ขอถามผู้รู้การ ทำสมาธิครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วัฏจจักรสงสาร, 21 มกราคม 2008.

  1. วัฏจจักรสงสาร

    วัฏจจักรสงสาร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +67
    [​IMG] กระผมเป็นคนหนึ่งที่เริ่มนั่งสมาธิ เนื่องจากทำงานเครียดมาก ก็เลยมากนั่งสมาธิ ภาวนา พุท -โธ สักพัก จิตคิดฟุ้งซ่านไปต่าง ๆ นา ๆ บ้างที่ก็เบื่อ งาน เบื่อ ชีวิต บ้าง ไม่อยากอยู่บ้าง เห็นรูปบ้าง เห็นศพบ้าง (เพราะเราคิดเองรึเปล่า) พอนั่งไปสักพักมีอะไรแวปเข้ามาก็ขนลุก เป็นอย่างนี้ประจำเลย ทุกทีนั่งก็จะมีอาการขนลุกตลอด บางทีก็นั่งเหมือนตัวงอ คอเอียงบ้าง หมุนบ้าง จนตัวเองก็ตกใจ จึงขอถามผู้รู้ว่า มันเป็นเพราะอะไร จะทำอย่างไรดีครับ
    แต่ช่วงเวลานี้ มีคนลงโพสไว้ว่าให้แผ่เมตตาและอุทิศกุศล ให้กับเจ้ากรรมนายเวร จริงหรือเปล่าครับ

    ขอบคุณครับ [​IMG]
     
  2. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    พุทธแท้ๆ เจ้ากรรมนายเวรไม่มีนะ

    มีแต่จิตเราที่มีวิบากติดมา ไม่ใช่สิ่งภายนอกที่ไหน

    คอเอียง หมุนบ้าง ตัวเอียง ก็แปลว่า มาถูกทางแล้ว
    อย่างน้อยก็แปลว่าเข้าฌาณสองได้ คือ การบริการหายไป เริ่ม
    จับอารมณ์ได้ จิต มันเลยมารับสิ่งที่เกิดขึ้นในกาย ยิ่งสงบจิต
    ลงได้ก็จะยิ่งมีอาการแปลกไปเรื่อย จนเหมือนแขนขาหาย หรือ
    บางทีเหลือแค่ส่วนเดียว เพราะ จิตมันไปรับอารมณ์ได้ละเอียด
    และแน่นอนขึ้น ก็ไปอยู่รวมที่บางจุด มันก็เลยเหมือนเห็นแค่นั้น
    ตรงนั้น รวมๆไป อาการทั้งหมดเรียกว่า ปิติ

    ก็ให้รู้ไปว่าเป็นขั้นตอนหนึ่งที่ต้องผ่าน และต้องปล่อยวาง พอปล่อย
    วางได้ จิตมันก็ไม่ไปเล่นอยู่กับการสื่อสารของกาย ก็จะมาเกาะที่จิต
    ขั้นแรกก็จะมี สุข เกิดขึ้น คือ เบาๆ สบายๆ ตอนนี้นิมิตจะเริ่มมาคือ
    สามารถยกรูปภาพใดๆขึ้นมาให้เห็นได้ ไม่ว่าจะลืมตาหรือหลับตา แต่
    หลับตานี้ดีกว่า ตรงที่เราไม่ตกใจไปกับสิ่งไหวๆรอบๆ เราก็เลี้ยงรูป
    ภาพนั้นให้นิ่ง หรือไหวๆได้ ถ้าทรงอารมณ์ได้ ก็จะเกิดโอภาส คือ
    มีแสงขาวสว่างวาบ ยังกะคนเปิดแฟลชใส่ลูกตา ถ้าผ่านตรงนี้ไปได้
    ก็จะเจริญสมาธิขึ้นเรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่ก็ติดกันอยู่แค่นี้ ติดแบบไม่ผ่าน
    หรือไม่ติดแบบมัวแต่เล่นกับมัน ก็ค่อยๆว่ากันเนอะ

    ส่วนภาพที่ไหวๆ ก่อนหน้าอาการสมถะ ปิติ ต่างๆ อันนั้นก็เป็นการนั่งสมาธิ
    แล้วหลุดกำลังหลุดเข้าภวังค์ ถ้าภาพดีๆไหลๆ เราไม่จับเรื่องจับราว ภาพ
    จะฉายเป็นร้อยๆ แล้วก็หลับ....

    แต่ถ้าเกิดไปจับภาพใดภาพหนึ่งแล้วหยุดคิดก็จะเป็นการปรุงภาพนั้นต่อไป
    เรื่อยๆ อันนี้ก็จะวุ่นวาย เพราะถ้าจิตมีความกลัว ก็จะปรุงภาพน่ากลัวให้ดูได้
    สร้างภาพเองหลอกตัวเอง ดังนั้น เมื่อเจอภาพอย่างนั้น ก็ให้รู้ว่า จะติดภวังค์
    แล้ว ให้รีบกับมาบริกรรม อย่าไปเสียดายภาวะฌาณ ให้พร้อมทิ้งแล้วเริ่มใหม่
    ใจจะเป็นกลางได้ง่าย และการย้อนขั้นตอนสมาธิบ่อยๆ จะทำให้จับสภาวะธรรม
    ในการเปลี่ยนฌาณแต่ละขั้น เอามาเล่น เอามาลัดได้

    อย่าลืมนะ เจ้ากรรมนายเวรของพุทธแท้ๆไม่มี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2008
  3. แอบยิ้ม

    แอบยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    151
    ค่าพลัง:
    +455
    คุณเล่าปังครับ
    ผมก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกัน ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    "เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร"
    หรือ "เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร"
    ข้อนี้จะไม่เกี่ยวพันกับนายเวรหรอกหรือครับ...
     
  4. onlyli

    onlyli เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +535
    ของผม เวลานั่งเเล้วตอนนี้ จะเจอเเต่ ภาพคล้ายๆโบสถ์พระ อย่างเดียวเลยอะครับ
    แต่เหมือนจะมี หลายหลังด้วย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคิดมากหรืออะไร
     
  5. แท้จริง

    แท้จริง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2008
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +989
    ตามความเห็นผมนะถูกผิดอย่างไรไม่รับรอง เน้นมั่วส่งไว้ก่อน 555

    เห็นใจและเข้าใจครับนั้งสมาธิไม่ให้เครียดน่ะจุดประสงค์ดีแล้ว
    ถ้าภาวนาพุทโธแล้วเอาไม่อยู่ลอง นึกถึงพระพุทธรูป หรือพระสงฆ์ท่านใด
    ท่านนึง นึกในใจไปนานๆเท่าที่ใจสบาย ถ้าเริ่มฟุ้งซ่านหนักๆก็เลิกหรือหยุด
    ไปทำอย่างอื่นก่อนก็ได้คับ

    สมาธิ เน้นที่ใจสบาย ปลอดโปร่ง ทำแล้วใจเป็นสุข อย่างนี้
    จะได้ผลเร็ว ก้าวหน้าได้เร็วครับ

    ส่วนอาการที่เกิดขึ้น ก็ขอให้รู้ตัวไว้เฉยๆครับ ไม่ต้องไปคิดอะไรให้วุ่นวาย
    หน้าที่ของเราคือทำให้ใจ สงบ เป็นสุข ปลอดโปร่ง เรื่องอื่นไม่ใช่หน้าที่
    ถ้าถามว่าทำอย่างไรดีกับอาการต่างๆก็ให้รู้ไว้ ว่าทั้งความคิด ทั้งอาการ
    ที่เกิดขึ้นต่างๆ มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ให้รู้ตัวไว้เสมอๆ ก็เป็นพอ

    เวลาทำบุญ ครูบาอาจารย์ผมก็บอกให้อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรก่อน
    ก็ไม่เสียหายอะไรถ้าจะ ทำบุญแล้วอุทิศให้นะ ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรครับ

    ยิ่งเป็นบุญที่เกิดจากสมาธิยิ่งเป็นบุญใหญ่ เจ้าหนี้เขาแทบจะมารอรับเชียวล่ะ
    ทำดีไม่ต้องกลัวอะไรครับ นึกถึงพระพุทธเจ้าเข้าไว้ อะไรก็ทำร้ายคุณ
    ไม่ได้หรอก

    โมทนา และเป็นกำลังใจให้คุณทำดีต่อๆไป ครับ
     
  6. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,514
    ค่าพลัง:
    +27,181
    ก็แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปแหละ
    เวลาเกิดอาการระหว่างฝึกก็ไม่ต้องสนใจจ้ะ
     
  7. vnoen

    vnoen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +827
    ถ้าจากที่เคยฟังมานะ คุณมาถูกทางแล้ว พยายามเข้า
    ดูกาย ดูเวทนา ดูจิต ดูธรรม ตามลำดับเลย
    ส่วนเรื่องอื่นๆระหว่างนั่งสมาธิ..พระท่านสอนว่า รู้แล้วละ.คือรู้หรือเห็นอะไรได้ก็ได้แต่รู้ได้แต่เห็นอย่าไปใส่อารมณ์เดี๋ยวจะหลุดจากสมาธิ ที่สำคัญอย่าท้อครับ..เอาใจช่วยครับเดี๋ยวคืนนี้จะแผ่เมตตาช่วย
     
  8. มาลี มีธรรม

    มาลี มีธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +63
    จากประสบการณ์ฝึกมา10กว่าปี ใช้วิธีพุทโธตามลมหายใจ พุทธเข้า โธออก แรกๆจะฟุ้งซ่านมากๆ ค่อยๆฝึกไป อย่าใจร้อน มันเป็นการทำบุญกับพระพุทธเจ้าโดยตรง กุศลมากกว่าทาน ศีล อีก
     
  9. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ก็ฝึกไปเรื่อยๆ เห็นรู้อะไรก็ละไปก่อนครับ พอประสบการณ์การปฏิบัติเรามากขึ้น ก็จะค่อยๆเข้าใจสภาวะต่างๆได้ดีขึ้นเอง อาศัยการสังเกตไปเรื่อยๆน่ะครับ ขออนุโมทนาบุญกับการปฏิบัติธรรมด้วยนะครับ
     
  10. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,739
    อย่างที่หลาย ๆ ท่านกล่าวล่ะครับ ถูกทางอยู่ ที่เจ้าของกระทู้เล่า เป็นอาการของปิติ ตัวโยก ขนลุก เป็นอาการของฌาน 2 ให้รู้ตัวแล้ววางเฉย ถ้าเพิ่งฝึกใหม่ ๆ หรือนาน ๆ ฝึกที ปิติเหล่านี้อาจจะเด่นชัด บางคนร้องไห้ลั่นเลย บางคนซะอึกซะอื่น บางคนตัวหมุนโยก เป็นอาการของแตละคน เมื่อทำเรื่อย ๆ อาการปิติจะผ่านข้ามไปเร็วมาก

    อีกประการผมถามคุณว่าเบื่อโลกเบื่อชีวิตหรือหน่ายชีวิตหน่ายโลก
    ครูบาอาจารย์สอนว่าหน่ายโลกนั้นดี แต่อย่าเบื่อโลกนะ สองอย่างนี้ให้ความรู้สึกไม่เหมือน เบื่อโลกมันมีอาการของความเศร้าหมองปนอยู่ด้วย

    แต่ความหน่ายโลก เช่น หน่ายชีวิตการเวียนว่ายตายเกิดมันดีนะ มันให้ความรู้สึกท้าทายที่จะหาทางละหาทางออก ถ้าเป็นอาการที่เกิดจากญาณมันก็ ญาณที่ 8 (หาดูเรื่อง ญาณ 16)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2008
  11. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ต้องมองออกไปที่เรื่องของ กฏแห่งกรรม หรือ วิบาก

    เช่น พระพุทธองค์ไปห้ามโคลูกอ่อนไม่ให้กินน้ำ ทำให้พระพุทธองค์ต้องทน
    ทุกข์กับการกระหายน้ำเมื่อต้องการฉัน ในกรณีนี้จะเห็นว่า แม่วัว ไม่ได้มาส่ง
    กรรม แต่ เป็น วิบากที่ติดมาในจิตที่เกิดดับสืบต่อเนื่องนั้น

    และถ้าดูไปที่ประเด็นที่ว่า จิตที่เกิดดับสืบต่อเนื่องนั้น คือสิ่งที่มีที่ปรากฏ และรอ
    การเห็นตามความเป็นจริง ก็จะถอนคำว่า วิญญาณที่แปลว่าผีออกไปสำเร็จ
     
  12. วัฏจจักรสงสาร

    วัฏจจักรสงสาร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +67
    ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้คำชี้แนะ ผมเริ่มเข้าใจ มากขึ้น ผมจะพยายามทำสมาธิ ให้ได้ครับ อนุโมทนากับทุกคนด้วยครับ
     
  13. เปลือกไม้

    เปลือกไม้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2007
    โพสต์:
    6,719
    ค่าพลัง:
    +38,356
    คุณแอบยิ้ม เจ้ากรรมนายเวรตัวจริงเขาไม่มาตามล่าตามทวงเหมือนในหนังหรอกครับ เขาก็ต้องไปเกิดหรือไปเสวยวิบากอะไรของเขาเอง แต่สิ่งที่มาตามทวงก็คือกฏแห่งกรรมที่เราทำไว้
    คุณขนิกสมาธิคุณปฏิบัติดีแล้ว อาการปีติเกิดขึ้นเดี๋ยวมันก็หายไปไม่ค่อยจะกลับมาอีก ตามรู้ ดู อย่างเดียวอย่าไปปรุงแต่งมันก็จะฟุ้งซ่านแบบคุณเป็น ปฏิบัติไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็ดีเองครับ
    ขออนุโมทนา
     
  14. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    เจ้าของกระทู้
    ไม่ใช่ฌาน 2 นะครับ อย่าเข้าใจผิด เดี๋ยวจะติดเป็นมิจฉาทิฏฐิ
    อารมณ์ของคุณนั้นเป็น อุปาจารสมาธิ ครับ ยังไม่ถึงฌานเลย
    ทำความเพียรสม่ำเสมอเข้านะครับ

    ส่วนคุณ Onlyli นั่นคือวิมานของคุณครับ หากคุณตายเดียวนั้น คุณจะเกิด ณ ที่นั้นทันทีครับ วิมานความจริงคล้ายโบสถ์-วิหาร ดีๆ นี่แหละครับ เป็นสมาธิขั้นอุปาจารเหมือนกันครับ
     
  15. โคล่า

    โคล่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2007
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +387
    การทำสมาธิทำให้จิตใจว้างครับผมแล้วมีสมาธิในการทำการงานครับ
     
  16. นาๆจิตตัง

    นาๆจิตตัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    220
    ค่าพลัง:
    +412
    สวัสดีครับ...ถือว่าพูดคุย สบายๆ เล่าสู่กันฟัง....ไม่ต้องเคร่งเครียดหรือยึดมั่นถือมั่น น่ะครับ
    อันที่ว่านั่งแล้วเหมือนตัวงอ คอเอียง คงเป็นอาการทางร่างกาย....มากกว่า
    พอนั่งนานๆเข้ามันเมื่อยได้เหมือนกัน ทั้งคอเอียงด้วย สติ สัมปชัญญะคง
    ตามรู้ทันถึงรู้อย่างนั้น แต่ บางคนสติ สัมปชัญญะตามไม่ทัน คือก็ไม่รู้เรื่อง ตามอาการที่ว่า หรือ
    มั่วสนใจตามจิตที่ส่งออกไป...คิด.....ระลึกกับสิ่งที่ไม่ได้ใช้ภาวนาหรือฝึกพระกรรมฐาน....
    หรืออาจเผอญหลับไป (ให้สนใจแต่บริกรรมภาวนาหรือกรรมฐานที่ใช้ ฝึก ถ้าอย่างอื่นแทรกเข้ามาให้ตัด
    ออกไปหรือไม่ต้องสนใจ) แต่ถ้าเข้าสมาธิลึกกว่านั้น มันเหมือนกับเรานอนหลับแต่มันไม่หลับ ต้องนั่งบ่อยๆ
    มากๆเข้าไว้ ต่อเนื่อง (ทุกวัน) ต้องคอยสังเกตุดู...เอาเอง...เหมือนกัน
    (สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าเอามือคลำ)
    บางทีนั่งไป จิตกังวลหรือไปวิตกกับเรื่องฌาน
    ว่าอยู่ชั้นโน้น นี้ (หรือ เอ้...นั่งมานี้มันได้ขนาดไหนแล้วน้า... พอคิดได้เรื่องเลย) สมาธิกลับถอน หล่นออกมาได้อีกเหมือนกัน
    แล้วจะทำอะไร อย่างไรดี....ก็ คือ...ไม่ต้องทำอะไรหรืออย่างไร ให้นั่ง นิ่ง ๆ เฉยๆ นิ่งเฉย หยุด อยู่กับกรรมฐานที่เราใช้ฝึก
    อะไรจะเกิดก็ช่างมัน คือ ช่างมันเถอะ ให้อยู่กับหยุดกับนิ่ง เยอะๆมากๆ เข้าไว้ เปรียบดั่ง ชั่วโมงบินของผู้ขับเครื่องบิน
    ชั่วโมงบินเยอะ ประสพการณ์ก็เยอะตามนั้น หรือที่เรียกกันว่า ประสพการณ์ภายใน นั้นเอง
    (ประสพการณ์ภายนอกในที่นี้ไม่ขอกล่าวถึง ของใครของมัน)........

    ส่วนที่ว่าคิดเองหรือว่าคิดโน้นนี้ พอเราฝึกสมาธิ ภาวนาแก่กล้าขึ้น สติ สัมปชัญญะ
    ก็แก่กล้าขึ้นตาม ทีนี้ก็จะตามเห็น ตามรู้ ตามความคิดนั้นเจอ หรือรู้เท่าทันมัน ยับยั้ง ห้ามปรามหรือ ปล่อยวาง
    ตัวคิด นั้นได้ ซึ่งก็ขึ้นกับตัวเองเหมือนกันว่า เราได้ฝึกจริง ทำจริงแค่ไหน เอาจริงจังขนาดไหน หรือว่าเอาแค่ฤทธิ์
    แค่เดช มุ่งไปทำนองนั้น หรือแบบว่า สู้ ฟัด ประหารกิเลส เอากันให้ตายไปข้างหนึ่งเลย (เพราะกำลังใจใช้ ไม่เท่ากัน)

    ที่ว่าแผ่เมตตาหรืออุทิศส่วนกุศล ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรนั้น มักนิยมให้เมื่อเรามีบุญหรือเมื่อเราต้องการอุทิศให้
    แต่ขณะนั่งหรือทำสมาธิหรือฝึกพระกรรมฐานนั้น มักอุทิศขณะหลังปฏิบัติแล้ว (ช่วงนั้นบุญกำลังทำงานอยู่หรือ
    ให้ตอนนั้น คงจะไม่สะดวกเพราะบ้างเข้าสมาธิลึกมากจนดับสัญญาตรงนั้นไปแล้ว)

    โมทนาสาธุ...สาธุ....สาธุ
    จาก...ผู้ถูกรู้ คนหนึ่งครับ
     
  17. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,739
    ยายทองประสา

    อาการขนลุกขนพองและโยกตัวไม่ใช่อาการของปิติซึ่งเกิดในฌานที่ 2 แล้วคืออะไร

    ถ้าบอกว่าไม่ใช่ต้องบอกให้แจ้งด้วยว่าคืออาการของอะไรเกิดจากอะไรเกิดในระดับไหนของฌานเป็นต้น

    กรุณา 1.ทำให้ได้ให้เห็นเอง
    2.ศึกษาอาการปิติจากที่มีท่านผู้รู้ครูบาจารย์บอกกล่าวไว้หรือลองอ่านในพระไตรปิฎกดูก้ได้

    ผมขอเรียนรู้จากยายทองประสา โปรดเล่าอาการของฌาณ 1,2,3 ถ้าได้ 4 ก็ดี
    เอาแบบที่ทำเองจริง ๆ นะไม่เอาจากตำรา เพื่อเป็นการเผื่อแผ่สำหรับผู้ที่เข้าใจผิดและจะเป็นประโยชน์ในการเลื่อนฌาน

    ปล. ที่พูดเรื่องฌานนี้ไม่ใช่บ้าฤทธิ์เดชอะไรนะ แต่ให้รู้ว่าฌานและอภิญญานั้นจำเป็นและมีประโยชน์ คือ อวิชชา มีอยู่ข้อนึงที่ต้องใช้อภิญญาในการทำลาย คือ ข้อไม่รู้อดีตไม่รู้อนาคตและไม่รู้ทั้งสองอย่างคือทั้งอดีตทั้งอนาคต วิธีการคือต้องได้บุปเพนิวาสนานุสติญาน และ/หรือจุตุปปาตญาน
    ญาณทั้งสองหรือข้อใดข้อหนึ่งใช้ดูอดีตของตนทำให้สลดสังเวชว่าเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ แล้วยังอยากจะเกิดอีกหรือ

    อวิชชามีอะไรบ้าง

    1. ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท 12 (ทำให้รู้ด้วยด้วยวิปัสนาปัญญา)
    2. ไม่รู้อริยสัจ 4 (ทำให้รู้ด้วยวิปัสนาปัญญา)
    3. ไม่รู้อดีตไม่รู้อนาคตไม่รู้ทั้งอดีตทั้งอนาคต (ทำให้รู้ด้วยอภิญญา)

    แล้วรวบทั้งหมดลงในไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตา

    ท่านผู้ที่บุญบารมีเต็มเปี่ยมท่านก็ทำกิจของท่านสร็จแล้ว

    ปล รู้ในที่นี้หมายถึงรู้แจ้งด้วยปัญญาญาณถึงจะหลุด ถ้ารู้แค่ตำราอย่างเราๆ ยังอีกนาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2008
  18. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,174
    ค่าพลัง:
    +7,815
    พอเริ่มชินกับสมาธิแล้วอาการที่ว่าก็จะหายไปเองครับ นั่งสามธิทุกครั้งต้องแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลให้ เจ้ากรรม นายเวร ญาติ เพื่อน เทวดา วิญญาณที่พอรับได้ให้มารับไปครับ ส่วนตัว เมื่อเราแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลไป บางท่านที่ได้รับ เขาก็กรุณามาบอกครับ ว่าได้รับแล้ว บางท่านก็มาบอกว่าให้แผ่แบบนี้ซิ ท่านจะได้รับเต็มที่ครับ
     
  19. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ไปหาอ่านได้ในเว็บบล็อค ของผมนะครับ ลิ้งค์ข้างล่างนี้ครับ ขี้เกียจไปก๊อบมาลงให้

    http://www.palungjit.org/club/bababobo/

    ขอย้ำ ว่าตอบตามเดิมนั้น ถูกต้องที่สุดแล้วครับ

    ถ้าขึ้นฌาณ 1 จิตต้องเป็นเอกคตา จะไม่มาโหยหวน ชักดิ้น ร้องเอะอะ เดือดร้อนอะไรเลย

    ในอานาปานุสสติ ผมทำได้หมดตั้งแต่ขณิก - อุปาจาร - ฌาน 1 - 4
    กับทั้งอากาสานัญจาญตนะ ตั่งแต่ขณิก - อุปาจาร อรูปฌาณ 1 - 4
    กองอื่นๆ ทำได้บ้างนิดๆ หน่อยๆ เป็นขณิก - อุปาจาร

    ผมไม่ได้เก่งกาจอะไร แต่ขออภัยด้วย หากผิดจากที่ท่านเคยรู้และเข้าใจมา
    สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...