กสิณอะไรฝึกง่ายสุดหนอ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย lovepyou, 8 กรกฎาคม 2014.

  1. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    ใครก็ได้คับ แล้วแต่ ไม่เจาะจง
     
  2. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239

    ขอบพระคุณพี่นพเป็นอย่างยิ่งคะ อธิบายได้ละเอียด ชัดเจนมากเลยคะ

    สัญญาต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีต น้องนิวเชื่อว่า หากรู้จักน้อมนำแต่สิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่เรา ก็ย่อมมีประโยชน์ เป็นบทเรียนอย่างนี้เป็นต้นคะ ถ้าได้เห็นความผิดพลาดมาแล้ว เราก็ย่อมจะไม่ทำให้ผิดพลาดอีก หรือพยายามเลี่ยงอย่างนี้เป็นต้นคะ

    แต่ถ้ามัวแต่ไปยึดมั่น ถือมั่น ในสิ่งอันไม่ก่อประโยนช์ ก็อย่างที่พี่นพได้กล่าวไว้แล้วเช่นนั้นเองคะ

    เห็นแล้ว ก็คือเห็น รู้แล้ว ก็คือรู้ แต่ก็ต้องอยู่กับปัจจุบัน

    ขอบพระคุณพี่นพคะ มาทีไร ก็ไม่ผิดหวังจริงๆ อิอิ:cool:
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,013
    เล่าแบบทั่วๆไปเนาะ คุณ loveyou เคยได้ยินเรื่องประตูมิติไหมครับ
    หรือพวกสตาร์เกท อะไรทำนองนี้. เคยพอมีหลักสังเกตุไหมครับ
    ว่าทำไมพระธาตุต่างๆถึงต้องสร้างตรงนั้นตรงนี้ ทำไมพระองค์ใหญ่
    ถึงต้องสร้างตรงนี้ ทำไมประตูทางเข้าวัดถึงต้องทำให้สูงๆและมีอะไรๆ
    ห้อยอยู่ตรงกลาง..ทำไมทางเดินในวัดป่าบางที่ถึงมักชอบทำเป็นทาง
    รูปสามเหลี่ยม..เล่าให้ฟังเป็นข้อสังเกตุครับ..ที่ผมกล่าวมาแล้วตรงนี้
    หากว่าสายตาเราพอมองเห็นและพอสัมผัสเรื่องพลังงานได้จะเข้าใจและทราบที่
    เล่าให้ฟังมาเป็นอย่างดี แต่ทราบไม่ทราบไม่ใช่ประเด็นหลักนะครับ

    เล่าให้ลองนึกดูเล่นๆ...
    โดยสรุป เอาเป็นว่าความสามารถของมนุษย์เรายังไม่สามารถ
    ที่จะย้ายในเรื่องของมวลสารหรือพวกธาตุดินให้ข้ามพ้นประตูพวกนี้ได้
    เหมือนๆกับพวกวัตถุลึกลับต่างๆ แม้ว่าในอดีตจะมีมนุษย์ที่เคยทำอย่างนี้
    ได้มากมายแต่นั้นจะเป็นสำหรับผู้สำเร็จระดับจิตธาตุครับ..
    แทบจะนับท่านได้ และก็จะอยู่ในภาพห่มเหลืองซะส่วนมากด้วยครับ
    ..แต่ตรงประตูมิตินี้ ความสามารถในเรื่องการข้ามของดวงจิต
    หรือเรื่องพลังงานสามารถทำได้ปกติ และแม้ว่าเราจะยื่นบางส่วน
    ของร่างกายเราข้ามไปเพื่อสัมผัสบรรยากาศอีกมิติและการใช้
    ตามที่ ๓ เชื่อมก็ทำได้ปกติแต่มันพูดดังๆจะไม่เหมาะ.
    จริงๆถ้าพอทราบหลักการมันไม่ถือว่ายากครับ.
    และในอนาคตอนาคตงอ ถ้าหากว่ามีโอกาสได้เจอ
    ตัวกันเป็นๆ.เด่วจะช่วยพิสูจน์ในเรื่องที่พูดให้ดู
    แบบชนิดที่คุณก็จะสัมผัสได้ในสิ่งที่กล่าวมาแล้ว
    ข้างต้นครับ.ถ้าสนใจนะ แต่ส่วนตัวมักไม่ค่อยชอบเล่า.
    อะไรมากมายเพราะมันไม่ได้ส่งเสริมเรื่องการลดกิเลสเท่าไรครับ
    และถ้าอนาคตสายตาคุณดีขึ้นระดับที่พอจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
    ในบางครั้งเด่วจะพาไปยืนดูตอนที่ภพภูมิบางกลุ่มโผล่ออกมา
    จากประตูมิติครับ.สนุกไปอีกแบบนะครับ..

    ในอดีตนะครับหลวงปู่ ด. มีชื่อในอดีต
    สายบารมีท่านก็ทำได้เป็นปกติเนื่องด้วยฐานกำลังสมาธิ บารมีท่าน
    แตกต่างๆกับผู้ฝึกหรือฆารวาสปกติมาก แบบชนิดที่ว่า
    เราๆคงมิอาจจะไปคิดเปรียบหรือวิเคราะห์อะไรได้.
    และหลายๆท่านเราก็จะทราบดีในนามของพระอาจารย์ในดง
    ซึ่งก็มีหลายๆท่านสุดแล้วแต่ว่าใครจะมีบุญสัมพันธ์กับท่านใดครับ

    ปล.ตาเห็นได้เท่าที่ใจมองเห็นครับ...
     
  4. [-VaLentine-]

    [-VaLentine-] กระผมสมาธิและกำลังจิตกากสุดในเวปนี้

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +486
    สุดยอดเลยครับพี่นพ ผมขอถามบ้างดีกว่า เพราะสมาธิระดับผม คงไม่มีทางมองเห็นละครับ ผมสนใจเรื่องเทวโลกครับ อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับนางฟ้า...(อาจจะดูไร้สาระนิดนะครับแต่ผมว่าจะสร้างแรงศรัทธาเพิ่มขึ้น)
    ๑.นางฟ้า นางอัปสร ในสวรรค์ แต่ละชั้นนี้ ความสวยหรืองามนี้ ขึ้นอยู่กับชั้นไหน แบบนี้หรือป่าวครับ เช่น ชั้นสูงสุดคือ ชั้น 6 สวยที่สุด ชั้น รองลงมา ชั้น 5 จะสวยรองลงมา หรือป่าวครับ *___*
    ๒.สวรรค์ทุกชั้นนี้ สามารถฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าได้ทั้งหมดหรือป่าวครับ หรือเฉพาะ ชั้น 3 ชั้น ยามา ขึ้นไป (เพราะถ้าฟังธรรมได้ ภูมิธรรมสูงขึ้นน่าจะตัดกิเลสได้ดีขึ้นแบบนี้ป่ะครับ)
    ๓.คนเราถ้าสมมุติตายแต่ไม่ได้เข้าฌาน ตาย แต่จิตจับภาพพระพุทธรูปได้นี้ จะได้เกิดเป็นเทวดาชั้นไหนบ้างครับ

    ปล.พี่นพ ฝึก กรรมฐานอะไรบ้างครับ เผื่อผมจะได้เป็นแนวทางว่าควรฝึกอะไรอีกบ้าง เพราะผมฝึกแต่ อานาปนสติเป็นฐานไปก่อน ^____^
     
  5. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    ละราคะกสิณสีเหลือง
    ละโทสะกสิณสีแดง
    ละโมหะกสิณสีขาว
    จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิดีกสิณไฟเทียน
     
  6. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ถ้าอยู่เชียงใหม่ พระอาจารย์เปลี่ยน วัดป่าอรัญวิเวก อ.แม่แตง ท่านเคยมีประสบการณ์ พญานาค บางครั้งมาในร่างงู ให้สังเกตที่ตาจะเป็นเพชร ในเว็บพลังจิตนี้ก็มีเรื่องราวของท่าน ศึกษาดูเถิด
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,013
    ตอบ ให้ได้ครับ พอจะเข้าใจอารมย์วัยรุ่นครับ.วัยรุ่นย่อมเข้าใจวัยรุ่นเหมือนกันครับ ๕๕๕ .
    .แต่ขอให้ทราบอย่างหนึ่งก่อนนะครับ
    สิ่งที่เราเห็นถ้ามันยังสามารถสร้างเป็นภาพได้แสดงว่ามันยังมีการปรุงแต่งอยู่.
    ไม่ว่าจะสร้างจากสัญญาที่เกิดจากตัวจิตเอง ไม่ว่าจะสร้างจากสัญญาของจิตกับ
    การสร้างร่วมกับสัญญาที่เกิดจากภายนอก หรือแม้กระทั้งที่ตัวจิตสร้างร่วมกับความ
    คิดที่เกิดจากจิต(ปกติเราจะใช้ในชีวิตประจำวันหรือการงาน)
    หรือ ตัวจิตสร้างร่วมกับขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    และขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมปรุงแต่งหลอกตัวมันเองเพื่อหลอก
    ให้จิตสร้างภาพขึ้นมา..เอาประมาณนี้ก่อน จนกระทั้งไม่มีภาพ ถึงจะพ้นสภาวะการ
    ปรุงแต่งต่างๆได้..เช่น ความรู้ร้อน ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกร้อนเหมือนกัน แต่ต่างที่
    ภาษาพูด หรือ เทวดาไม่ว่าใครก็ตามที่ปฏิบัติก็จะต้องรู้ว่าเป็นระดับเทวดาเหมือนกัน
    ถึงแม้ว่าหน้าตาจะแตกต่างกันตามสภาพแวดล้อมที่ตนเองเกิด.เช่น ฝรั่งเห็นอย่าง
    ไทยเห็นอย่าง จีนเห็นอย่าง...พอเข้าใจในเบื้องต้นนะ....
    ตอบข้อที่ ๑ นะครับพอเราจะแยกได้อย่างไรครับว่าใครเป็นเทวดา เป็นเทพ เป็นพรหม แม้ว่าจะมีสัญญา
    อยู่..หลักสังเกตุคือให้เราตัดสัญญาต่างๆที่สร้างขึ้นมาเป็นภาพออกไปก่อนครับ..
    ให้เราสังเกตุที่กิริยาในลำดับต่อมา ว่าเทวดามีพื้นฐานจาก ศีล หิริโอตัปปะ เทพมี ศีล
    มีสมาธิ พรหมมี ศีล สมาธิ ปัญญา และมีเรื่องเมตตา..พูดอย่างนี้ก็ยังจะทำให้งงๆได้อีก
    ถ้ายังงงๆ ก็ให้สังเกตุที่กิริยาครับ...ความสวยเป็นสิ่งที่ปรุงขึ้นมากับสัญญาของเรา
    แต่ละดวงจิตมีสัญญาแตกต่างๆกัน เราเลยไม่สามารถเอาประเด็นว่าใครสวยกว่าดีกว่า
    มาแยกแยะได้ แต่หากดูจากกิริยา จะพอทราบ ถ้ากิริยากล่ำกลึ่งคล้ายๆเราที่มีหิริโอ
    ตัปปะก็คือเทวดา ถ้าดูแล้วบุคคลิกเข็มๆดูมีฤิทธิ์ก็เป็นเทพ ส่วนที่มีมากกว่าที่กว่า
    ทั้งหมดและมีเมตตาด้วยก็คือพรหมไงครับ ส่วนระดับสูงกว่านี้เมตตาก็จะมากมาย
    แบบไม่มีประมาณไม่มีแบ่งพรรค แบ่งฝ่าย เลือกข้าง สร้างความดีด้วยการมาสอน
    มนุษย์นั้นและรู้จักการอุเบกขาก็คือ ท่านที่ได้เราเชื่อว่าอยู่สายพระโพธิสัตว์
    ถ้าระดับสูงกว่านี้ก็จะเน้นไปในเรื่องสุดท้ายก็คือเรื่องปัญญาทางธรรม..เขียนประมาณ
    นี้น่าพอจะคาดคะเนได้แล้วนะครับ..ภาพที่เห็นตนนั้นๆเป็นระดับไหนครับ..
    ตอบข้อที่ ๒ ถ้าถามว่าชั้นไหนบ้างฟังธรรมจากผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพท่านได้
    พี่ก็ขอตอบนะครับ ไม่ทราบว่าชั้นไหนครับ..คือส่วนตัวยอมรับว่าอดีตเป็นพวก
    ชอบท่องเที่ยวแบบบันเทิงเพราะว่ากำลังสติมันอ่อนครับ.และไม่ใช่จะมีความสามารถ
    เที่ยวได้แบบละเอียด จนกระทั่งจะเอามาเขียนเป็นหนังสือได้ครับ ๕๕๕ ที่ไปก็คือเอาไว้
    เพื่อตรวจสอบ อะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติของตนเองเฉยๆ เช่นตรวจสอบ
    สภาพแวดล้อมการมองเห็นด้วยคำภาวนาแตกต่างกัน หรือแม้กระทั่งเอาไว้ตรวจสอบ
    ระดับจิตเราว่า ไปตรงนั้นตรงนี้เค้าต้อนรับหรือไม่ จะได้รู้ตัวว่าเราจะต้องมาปรับปรุง
    ตรงไหนแค่นั้นเองครับ...แต่ที่เห็นระดับพรหมอยู่ภายในและเทวดามีฤิทธ์หลายๆท่าน
    ภายนอกอยู่ที่ไหนนี่หละคล้ายๆเจดีย์จำไม่ได้ ๕๕๕ ชั้นไหนน่าจะพอทราบนะ
    ข้างในนั้นคงไม่ต้องบอกนะครับ ว่ามีระดับไหนจะเข้ามาโดยเฉพาะวันพระ
    และเจอระดับพระมีชื่อหลายๆท่านก็เจออยู่แถวๆนั้น มีทั้งรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง..
    และเคยเจอระดับท่านที่เป็นพระมีชื่อในอดีตท่านก็อยู่สอน เชื่อไหมครับว่าเป็นฆารวาส
    อย่างเราๆที่หละแต่ส่วนมากเค้าจะแต่งชุดขาวหลวมๆครับจะอยู่ที่เค้าเรียกว่าชั้นดุสิต
    ตอบ ข้อที่ ๓ นะครับ คนเราถ้าไม่เคยนึกถึงพระมาก่อนจนจิตมีความชิน
    พอมีความเป็นทิพย์ที่จะเห็นภาพพระได้ เวลาใกล้จะตายคิดว่าจะนึกถึงพระ
    ออกไหมครับ ไหนจะสภาพร่างกายที่ใกล้จะพัง ไหนจะวิบากกรรมที่ตนเคย
    สร้างมาอีกที่มันจะมาเป็นอุคคนิมิครก่อนที่จะตาย
    แต่ถ้าปฏิบัติมา สร้างความดีจนเคยชิน แล้วสามารถนึกเป็นอุคคนิมิตรหรือ
    ปรากฏเป็นภาพพระได้ตอบไม่ได้ครับ เพราะยังไม่เคยตายจริงๆครับ ๕๕๕๕
    คิดว่าในตำราน่าจะพอได้อ่านมานะครับ..แต่เคยซ้อมตายอยู่ครับ ถ้านึกถึง
    พระพุทธฯได้ นึกนึกพระปัจจเจกได้ก่อนเป็นภาพตั้งต้น
    และตัดภาพออกได้ภายในเสี้ยววิดวงจิตเราก็จะไปยังสถานที่ๆ
    ที่เราเชื่อว่าท่านๆนั้นอยู่ครับ..ถ้าเรานึกถึงผลบุญที่เราทำมาออก
    ก็จะไปเสวยผลบุญตรงนี้..แต่ทั้งนี้เราจะต้องเคยมีโอกาสสัมผัส
    สภาวะที่ไม่มีการเกิดใดๆก่อนและมีแต่ปิติครับ..ตัวจิตเราถึงจะทราบ
    ได้ว่าสภาวะตรงที่เราไปอยู่เป็นระดับไหนได้เองของมันครับ...
    ปล.กรรมฐานหลักที่ผ่านมาและทุกวันนี้ก็คือเจริญสติในชีวิตประจำวันครับ
    ทุกวันนี้ยังเดินนับก้าว นั่งตามลมใจ นั่งตามลมหายใจไม่เคยทิ้งครับ
    แต่ก็ขาดเกินๆบางนะเรื่องปกติ ๕๕๕ เพียงแต่
    ปรับระบบการหายใจเข้าออกให้ลึกขึ้นให้ผ่าน
    หน้าอกจนถึงท้องจนเป็นปกติ..ที่เคยๆเล่าให้ฟัง
    ที่เคยถ่ายทอดตลอดอธิบายต่างๆนั้นมันมีพื้นฐาน
    จากการเจริญสติเดินปัญญาทั้งนั้นครับ..มันเปรียบ
    เสมือนต้นทุนที่จะช่วยหนุนให้เราเข้าถึงในเรื่องที่
    ดูเหมือนว่าจะเข้าถึงได้ยากแต่จะไม่ยากสำหรับเรา
    ขึ้นอยู่กับว่าเรานึกอะไรออกได้ไหมว่าระหว่างทาง
    เราจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์บ้างและที่สำคัญก็คือ
    ต้องไม่ลืมปลายทางที่แท้จริงครับ...

    ปล.ประมาณนี้ครับ ;)
     
  8. [-VaLentine-]

    [-VaLentine-] กระผมสมาธิและกำลังจิตกากสุดในเวปนี้

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +486
    ขอบคุณพี่นพมากครับ ได้คำตอบละเอียดดีแท้ พอจะเข้าใจครับ มานั่งอ่านในบอร์ดนี้ดีมากเลยครับ บางทีว่างจากการืำงานหรือนั่งกรรมฐานก่อนนอน จะได้มีแนวทางเหมือนมีคนแนะนำ และพออ่านสิ่งที่เราสนใจยิ่งมีกำลังศรัทธา สายธรรมนี้อีกยาวไกลนัก^__^

    ปล.ผม 27 (วัยรุ่นปลายๆละครับ5555) ครับ ปฏิบัติมาประมาณ 6 ปี ได้ แต่เริ่มจริงจังมาประมณปีกว่าๆนี้เอง แต่สมาธิก็ยังไม่เอาอ่าว ฟุ้งซ่านบ้างนิ่งบ้าง ช่วงนิ่งก็มีความสุขครับ และรู้สึกว่าพอเราสวดมนต์นั่งกรรมฐานแผ่เมตตา ผู้บังคับบัญชาก็รักเรามากขึ้น เพื่อนร่วมงานก็ดีต่อเรา( มันน่าอัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อ) ผมจะแวะเข้ามาอ่านเรื่อยๆครับ มีอะไรดีจะนำไปปฏิบัติ มีข้อสงสัยคงต้องรบกวนพี่ๆในบอร์ดนะครับ ^____^
     
  9. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    สงสัย..ต้องสอบถาม คุณ Nopphakan หาความรู้เพิ่มเติม ช่วยอธิบายบรรยาย..ทีรึ

    เหตุไฉนหนอ...ว่าปราฏกาณ์ญาณสัมผัส ของแต่ละบุคคลจึงมีปฏิกริยาในร่างสังขารร่างกายมนุษย์เรา
    ที่ต่างกันออกไป...เช่น บางครั้ง บางคนอาการคล้ายๆจะอ้วก..แต่ไม่อ๊วกจริง

    หรืออาการปวดหลัง ปวดเอว หรือตึงตัวที่ศรีษะ เส้นประสาทแถบขมับซ้ายขวา

    หรืออาการตัวชาโดยเฉพาะแผ่นหลัง...
    หรือมีการดิ่งวูบเข้าอารมณ์สมาธิ ได้อย่างรวดเร็ว เพียงนึกถึงครูบาอาจารย์ที่ศักดิ์สิทธิ์

    ราวกับมีใครมาคอยสั่งการ..บังคับให้เป็นไป
    เมื่อมีจิตวิญญาณ หรือสิ่งลี้ลับ เข้ามาเฉียดใกล้


    ปฏิกริยาความแตกต่างในแต่ละบุคคล..ขึ้นอยู่กับอะไรได้บ้าง????
    ก็ถามเผื่อๆอีกหลายท่าน..
    ที่คาดว่าคงประสบพบเจอกันมาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ตุลาคม 2014
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,013
    สงสัยว่าจะตอบคุณป๋า toplus99 ๕๕๕ ยาวนะครับขออนุญาตปรับพื้นหน่อยนะครับ
    เพื่อว่าใครจะแวะมาอ่านอาจจะไม่งงหรืองงมากกว่าเดิม ๕๕๕
    อนุญาตแนะนำว่าให้มองในมุม
    มองของธาตุและพลังงาน.เพื่อตัดปัญญาเรื่องการปรุงแต่งสร้างเป็นภาพขึ้นมา
    ไม่ว่าจากสัญญาภายในจิตหรือสัญญาภายนอกจิตหรือสัญญาทั้งภายในและภายนอกจิต
    หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง..และเพื่อให้น้อมนำไปในทางด้านที่เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์
    สามารถพิสูจน์ได้ในบางส่วน และน้อมนำไปในทางด้านที่ทำให้เราสามารถสัมผัส
    ได้และรับรู้ความรู้สึกกับอารมย์ต่างๆได้ เพื่อเลี่ยงบาลีภาษาทางสมมุติต่างๆ
    เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันครับ และส่วนของประเด็นคำถาม

    "ปฏิกริยาความแตกต่างในแต่ละบุคคล..ขึ้นอยู่กับอะไรได้บ้าง"
    ขออนุญาตแนะนำว่า..ให้พยายามการมองออกเป็น ๒ ส่วนดังนี้
    คือ ๑.การมองจากภายในคือร่างกายและ ๒.คือการมองภายนอกร่างกาย
    ส่วนที่ ๑.การมองจากภายในต่างๆของร่างกายประกอบด้วยธาตุ
    ทั้ง ๔ คือธาตุดิน น้ำ ลม และไฟบวกกับจิตธาตุหล่อหลอมร่วม
    กับเหตุและปัจจัยในอดีตอะไรก็ตามและกลายมาเป็นบุคคลใด
    บุคคลหนึ่งขึ้นมาที่แตกต่างกันออกไป..

    ส่วนที่ ๒.การมองจากภายนอก.คืออากาศธาตุที่เป็นเสมือน
    ตัวกลางในการนำพาพลังงานต่างๆหลักๆก็คือพลังงานความร้อน
    พลังงานความเย็น.ที่มีอยู่แล้วโดยธรรมชาติ.ที่แตกต่างกันตรงระดับ
    ความหนาแน่น แตกต่างกันตรงระดับคลื่นความถี่ต่างๆ.ครับ
    และสิงสำคัญอีกอย่างที่ต้องพอทราบก็คือ จิตธาตุนี้จะไม่ทิ้งร่างกายจริงๆ
    หากว่าธาตุทั้ง ๔ ยังไม่เสื่อมสลายครับ แต่ความสามารถที่ดวงจิตจะสามารถ
    ควบคุมและบังคับร่างกายเพื่อให้แปรสภาพอยู่ในระดับธาตุได้นั้นเป็นอีกประเด็น
    แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรครับ..

    ที่นี้มาว่ากันต่อครับ..พอเราพอเข้าใจแล้ว..ร่างกายก็จะเติบโตด้วยการเพิ่มธาตุ
    ต่างๆขึ้นมา บวกกับอีกสิ่งก็คือ ความคิดต่างๆ หรือเรียกง่ายๆว่าความคิดที่เกิดจากจิต
    ขอใช้ตัวย่อว่า''คคทจ'' ตัวนี้พอเริ่มมีความคิดไปในทางกุศล จิตก็จะสัมพันธ์เชื่อมประสาน
    ให้กายนี้มีกิริยาต่างๆในทางที่เป็นกุศลและส่งผลของมาเป็นคลื่นความถี่อย่างหนึ่ง
    ก็คือวาจา ด้วยกิริยาที่เริ่มหันมาสร้างความดีรูปแบบต่างๆ..จนกระทั้งมาถึงเรื่องของ
    การเจริญสติในชีวิตประจำวัน..ก็จะได้สติทางธรรมตัวหนึ่งขึ้นมา ที่เป็นเสมือนพลังงาน
    ตัวหนึ่งที่จะคอยควบคุมตัวจิต เนื่องจากว่าสติทางธรรมตัวนี้จะอยู่ครอบตัวจิตธาตุอีกที

    ทั่วๆไป เราเข้าใจว่าคือ ตัวที่คอยควบคุมพฤติกรรมของจิต ควบคุมพฤติกรรมความคิดนั้นเอง
    ที่บอกว่ามันควบคุมได้.เพราะพฤติกรรมของจิตและความคิดมันล้วนแล้วแต่ขึ้นมาจาก
    ตัวจิตทั้งนั้น..สติทางธรรมมันอยู่ต่อจากจิตมันจึงทำหน้าที่ตรงนี้ได้..ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า
    ใครจะมีความเข็มแข็งหรือมากมีน้อยครับ ถ้ามีมากก็ควบคุมความคิดได้เร็ว รู้ทันได้เร็ว
    ประมาณนี้พอเข้าใจภาพกว้างๆนะครับ..and then.ในลำดับต่อมาหลังจากมีสติทางธรรม
    แล้วนั้น.จนสติตัวนี้สามารถควบคุมจิตให้อยู่ในสภาวะที่เป็นกลางได้คือจิตไม่เกิด กิริยาคือ
    ไม่ปรุงร่วมกับอารมย์ทั้งภายในและภายนอกและไม่มี คคทจ เข้ามาปรุ่งร่วม และสติทางธรรม
    นี้ก็ให้จิตได้รู้เห็นสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้นในขณะปัจจุบันเท่านั้นด้วยสภาวะที่จิตเป็นกลางดังที่
    กล่าวมาแล้วข้างต้น..ก็จะเกิดเป็นภูมิความรู้อย่างหนึ่งให้กับจิต ที่เราเรียกกันติดปากว่า
    ปัญญาทางธรรมนั้นเองครับ..อ่านมาถึงตรงจุดนี้ จะเข้าใจว่าทำไมพระมีชื่อในอดีตหลายๆ
    ท่านสายวิปัสสนาถึงใช้คำว่า ยิ่งคิดยิ่งไม่รู้ ในช่วงที่เราเดินปัญญา เพราะถ้าเราคิดก็จะกลาย
    เป็น คคทจ ปรุงกับจิตมันจึงกลายเป็นปัญญาทางโลก ซึ่งปกติเราจะใช้ทั่วๆไปสำหรับเรื่องงาน
    เรื่องที่ต้องใช้ความคิดต่างๆ..ถ้าปัญญาทางธรรมก็จะเป็นปัญญาที่เกิดในตัวจิตที่มันผสม
    ผสานแทรกลงไปอยู่ในตัวจิตดวงนี้ครับ...
    ขอสรุปประเด็นใน #Rep นี้เมื่ออ่านมาแล้ว จะทราบว่าหลังจากที่รวมเป็นร่างกายด้วย
    ส่วนประกอบต่างๆที่กล่าวมาแล้วข้างต้น บวกกับหลังที่ร่างกายเจริญเติมโตขึ้นมามีอะไร
    บ้างที่เพิ่มเติมมา เช่น สติทางธรรมมันอยู่ตรงไหน และปัญญาทางธรรมมันอยู่ตรงไหนนะครับ
    และขอพัก #Rep นี้ไว้ก่อนเอาไว้ต่อใน # Rep ต่อไปที่จะเริ่มมีเรื่องสมาธิเข้ามา
    ซึ่งจะช่วยอธิบายในข้อสงสัยที่คุณ ป๋า ได้ถามไว้ครับ แต่วันนี้ขออู้จักหน่อยเด้อครับ
    วันนี้มีเรื่องตรึงๆเกี่ยวกับหน้าที่การงานตั้งแต่เช้ายันค่ำเลยครับ(ข้ออ้างอู้ครับ ๕๕๕)
    เด่วฟื้นคืนชีพจะมาเล่าให้ฟังต่อครับ
     
  11. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    มาโผล่ที่หน้านี้ เจอเรื่องพญานาคพอดี..

    เผอิญเมื่อคืนฝันว่า กลับไปที่บ่อน้ำที่บ้านเก่า
    (คือชอบฝันไปที่บ้านเก่า ที่บ่อน้ำแห่งนี้เป็นที่นึงที่ฝันถึงบ่อยอยู่...??)
    ...ฝันว่าไปยืนที่บ่อน้ำ เห็นผนังดินเกาะตามขอบบ่อ..เป็นแนวยาวลงไปใต้บ่อถึงน้ำเป็นจำนวนมาก แม่บอกว่ามีงูใหญ่มาอาศัยใต้บ่อ..จากการสังเกตขอบผนังดิน(คือนี่เป็นการสังเกตในฝันนะไม่รู้มีเหตุผลจริงไหม.)
    (เคยฝันทำนองนี้มาก่อน คือมักจะฝันว่ามีงูอยู่ในบ่อน้ำ..น่าจะเป็นพวกสัญญาเก่า ที่มักจะฝันถึงงู ในน้ำบ้าง บางทีฝันว่าเหาะไปเที่ยวที่โรงเรียนเก่า ชอบฝันว่าเหาะไปดมดอกไม้ต้นนั้นต้นนี้ เพลินมาก แต่ก็ต้องระวังจะมีงูใหญ่ซ่อนอยู่ในต้นไม้..ด้วย??..)

    ..สักพัก กองผนังดินแนวยาวที่ยาวลงไปใต้บ่อ ค่อยๆดันเลื่อนขึ้นมาเรื่อยๆ มีนั่นนี่ขึ้นมาพร้อมกัน(ไม่รู้ใช่สมบัติไหม ท่าจะไม่ใช่) แต่ที่จำได้..มีรูปปั้นปู่ฤาษี(แต่ปั้นเป็นกระดาษเปเปอร์มาร์เช่-_-"คือปั้นด้วยกระดาษ..)ลอยขึ้นมาด้วย ครึ่งองค์ หน้าตาปู่ฤาษีสวยงามมาก ท่านว่าท่านเป็นพญาศรีสุทโธ ท่านบอกว่ามีงูใหญ่มาอาศัยใต้บ่อ

    ตื่นมาก็งง ว่าทำไมท่านศรีสุทโธเป็นปู่ฤาษี ทำไมไม่เป็นพญานาค
    แล้วมีงูใหญ่มาอาศัย เกี่ยวอะไรกับท่านพญาศรีสุทโธ??ที่ต้องมาบอก บอกทำไม??
    แล้วทำไมไปฝันถึงบ่อน้ำเก่า เพราะถ้ามีงูใหญ่ ก็ไม่เกี่ยวกันแล้ว เพราะไม่ได้อยู่ที่บ้านนั้นมานานแล้ว
    หรือจะบอกอะไร.. ไม่เข้าใจเลย

    หรือจะเป็นแค่ฝันเลอะเทอะมาก

    คุณนพ.. หรือใคร? พออธิบายได้หรือเปล่าจ๊ะ ขอบคุณมากจ๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2014
  12. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ขอตอบตามความคิดของตนก่อ ท่านพญาศรีสุทโทนาคราชท่านทรงบำเพ็ญพรตเหมือนฤาษี ท่านจึงเป็นพญานาคที่มีธรรมและเป็นใหญ่กว่าพญานาคทั้งหลาย
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,013
    คุณ ปุณฑ์ พอจะจำได้ไหมครับ ที่เคยบอกว่าถ้าคุณฝึกสมาธิ
    จะได้เปรียบคนอื่นๆที่สามารถเข้าสมาธิระดับสูงได้.และจิตมัน
    ก็มีสัญญาเกี่ยวกับเรื่องฤิทธิ์มาเกี่ยวข้องด้วย แม้ว่าตอนนี้เรา
    จะคิดอย่างไรก็ตามเนาะ..และทางผู้เป็นเลิศทางเมืองบาดาลนั้น
    ท่านจะมีความชำนาญมาตั้งแต่สมัยไหนแล้วเกี่ยวกับเรื่อง
    การไต่ระดับสมาธิในขั้นสูงและมีบางท่านก็จะยังเป็นต้น
    ตำรับทางวิชาเดินธาตุโบราณอีกด้วย.
    และที่สำหรับทางนั้นเคารพและศรัทธาในตัว
    ของผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพมากว่าที่มนุษย์อย่างเราๆจะเข้า
    ได้เสียอีก สังเกตุได้หากเราผ่านประตูเข้าไป สิ่งแรกที่เรา
    จะเห็นก็คือ พระสรีระของผู้เป็นเลิสที่ มี ๒ ท่านดูแลอยู่
    ก็น่าจะพอคาดการณ์อะไรได้แล้ว.
    เพราะฉนั้นจึง
    ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จิตของผู้ที่เคยมีสัญญากับทางบาดาลนั้น
    มักจะมีเรื่องเกี่ยวกับฤิทธิ์และมักจะเข้าสมาธิระดับสูงได้เป็นปกติ
    การที่บุคคลใดก่อนจะไปเป็นอะไรก็ตามหรือแม้แต่บรมครูท่าน
    ต่างๆหรือแม้แต่อาจารย์ ของผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพองค์ปัจจุบัน
    ท่านก็อยู่ในสถานะของพระฤาษีมาก่อน แต่เรามักจะเรียก
    พระฤาษีที่อยู่ในเส้นทางพระโพธิฯว่า พระมหาฤาษีต่างๆ.
    ซึ่งก็อยู่ในช่วงระหว่างทางก่อนที่ท่านจะเป็นพระพุทธฯองค์ใด
    องค์หนึ่ง..และผู้ที่มีความชำนาญในการเข้าสมาธิระดับสูง
    เราก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ท่านพระฤาษีต่างๆนั้นจะมีความ
    ชำนาญกว่าฆารวาสหรือบุคคลทั่วๆไป แต่เราจะยังไม่ให้
    น้ำหนักในเรื่องของการเดินปัญญา.แต่ก็อย่าลืมว่าสมาธิ
    ก็เป็นบาทฐานที่สำคัญสำหรับการเดินปัญญาอย่างที่เรา
    ก็มิอาจปฏิเสธได้.
    ขึ้นอยู่กับว่า
    ใจเรามีความเป็นกลางพอหรือไหมและ
    เข้าใจได้พอที่จะรู้จักเลือกพิจารณานำประเด็นไหน
    เพื่อมาใช้กับแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมกับจริตของตนเองครับ
    โดยไม่มีการแบ่งแยก ว่าดี ไม่ดี ไปตัดสินว่าไม่ใช่ทาง
    ไม่ใช่แนว และมองว่าไม่ใช่เรา หรือแม้กระทั่ง
    เผลอพลาดพลั้งคิดว่าตนดีกว่า..แบบที่ตนเองเป็นต้องถูกที่สุด..
    เรามีความเคารพ ในบุคคลในภพภูมิใดๆก็ตามที่อยู่ในเส้น
    ทางของ ศีล สมาธิ และปัญญา ทั้งสามส่วนนี้มากน้อยเพียงใด
    ถ้าเราไม่มีการแบ่งแยก ให้ความเคารพในทุกๆเส้นทางอย่างที่
    กล่าวมานี้..พวกท่านเหล่านั้นก็พร้อมที่จะคอยสนับสนุนเราเอง
    ไม่ว่าทางใดทางหนึ่งครับ..สิ่งที่เราอาจไม่เคยทราบเลยท่านๆ
    เหล่านั้นมิเคยมีความคิดที่จะแบ่งแยก ยกระดับ เหมือนๆมนุษย์
    ที่เรามักเผลอพลาดพลั้งคิดเอาเอง.และก็พร้อมที่จะช่วยเหลือ
    เราตามแนวปฏิบัติเสมอ ขอให้เราเข้าถึงตรงนี้ ด้วยเมตตา
    ที่เป็นกลางให้มันออกจากจิต เมตตาที่ไม่มีการตัดสิน
    แยกแยะ เลือกชั้นวรรณะ ชี้ว่าใครผิดใครถูก..เราก็จะเริ่ม
    เข้าถึงการสนับสนุนได้เองไม่ว่าทางใดทางหนึ่งบางครั้ง
    แม้เราเองก็มิอาจจะทราบได้และเล่าให้ใครฟังดังๆไม่ได้
    แม้แต่ตัวกระผมเองก็ไม่ต้องมานั่งเกร็งกล้ามเพื่อเข้าสมาธิ
    ระดับสูงในการที่จะทำอะไรพิเศษเกี่ยวกับน้ำให้วุ่นวาย
    หรือแม้องค์ความรู้วิเดินธาตุบางส่วนก็ได้ท่านๆเหล่านั้น
    ให้การสนับสนุนให้เราได้พอรู้ได้พอเข้าใจแม้ว่าเราจะ
    ไม่มีความชำนาญและกำลังสมาธิสูงเหมือนๆท่านที่สนับสนุนก็ตาม
    และก็ได้ท่านๆเหล่านั้นให้การส่งเสริมอาวุธพิเศษบางอย่าง
    .เพราะท่านรู้ดีว่าเจตนาในการในการใช้งานเราเป็นอย่างไร.
    ซึ่งไม่ใช่แบบนามธรรมที่เรารู้คนเดียว ซึ่งสามารถทำให้ใคร
    ก็ตามสัมผัสได้ และยิ่งทราบได้ดีขึ้นหากว่าตาดีหน่อย
    และขึ้นอยู่กับวาระและความเหมาะสมในเรื่องของการถ่ายทอด.
    แต่สุดท้ายเราก็นำสิ่งที่ได้มาเพื่อใช้เป็นฐานสำหรับการเดินปัญญาเพื่อเป้าหมาย
    เดียวกันทั้งนั้นนั่นหละครับ...

    ปล.ประมาณนี้ครับ..พอจะเข้าใจภาพกว้างๆนะครับ..
     
  14. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    นับถือท่านนพจริงๆที่ท่านพิมพ์ตอบแบบยาวๆ ท่านดอกบัวก็มา จะตอบบ้างก็ดีนะท่าน ถือว่าเป็นความรู้ ไม่ได้ฟุ้งอะไร ครูบาอาจารย์ท่านรู้จริตคนบางทีท่านก็ไม่ว่าให้เจอเอง คิดเอง บางทีท่านก็ดักให้หงายเงิบไปเลย บางทีท่านก็เมตตาไม่ต้องถามท่านตอบเลย บางครั้งก็ฝันเลยตรงๆ
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,013
    ที่นี้พอจะภาพรวมพื้นฐานเข้าใจแล้วก็มาโม้ต่อให้ป๋า toplus99 ครับ ๕๕๕..
    และก็อย่าลืมว่าพื้นฐานที่ได้มานั้นไม่ว่าจะเป็นกำลังสติทางธรรม ปัญญาทางธรรม
    ล้วนแล้วมาฐานของกำลังสมาธิทั้งสิ้น ไม่ว่าจะได้จากกำลังสะสมแบบเล็กๆน้อย
    ที่เราได้จากการเจริญสติในชีวิตประจำวัน หรือกำลังสมาธิแบบพิธิการต่างๆ
    ไม่ว่าจะอริยาบทใดๆไม่ว่าเดิน ยืน นั่งหรือนอนนั้น ก็จะมาหนุนส่งเสริมกัน ณ จุดนี้..
    ที่นี้ถ้าหากว่าเราในสภาวะปกติประจำวัน เราขาดกำลังสติทางธรรมที่จะคอย
    ควบคุมจิต คอยควบคุมพฤิติกรรมของจิตตรงนี้ บวกกับปัญญาทางธรรมที่จะโน้ม
    นำให้จิตเราน้อมนำไปทางกุศลต่างๆเพื่อที่จะให้รู้ได้เข้าใจตามเป็นจริงว่าสิ่งไหน
    ควรและไม่ควรกระทำ ก็จะเหลือเพียงแต่เพียงแต่ตัวจิตเพียงลำพังเสมือนกับว่า
    โดดเดี่ยวดาย และหากว่ามีการรับรู้จากภายนอกที่ยังปนด้วยกิเลสต่างๆ ด้วยเครื่อง
    หล่อหลอกถึงความสามารถที่จิตจะได้ หลอกหล่อไปในทางที่ส่งเสริมกิเลสด้านอื่นๆ
    และสบทบด้วยการหลอกหล่อว่านี้เป็นแนวทางเดินตามที่ผู้เป็นเลิสด้วยไซร์
    ด้วยปัญญาทางธรรมไม่เพียงพอที่พิจารณาสิ่งที่เข้ามาตรงนี้.และกำลังสติทางธรรม
    ที่ไม่เพียงพอที่ควบคุมจิต ก็จะเป็นเหตุให้ถูกควบคุมจากพลังงานภายนอกต่างๆ
    ได้ง่ายๆ.และด้วยฐานกำลังสมาธิเราไม่เพียงพอในระดับที่เพียงพอสร้างจิตให้มี
    ความเข็มแข็ง มีกำลังเพียงพอที่จะต้านท้านแล้วไซร์ ก็จะเปรียบดังช่องทางให้พลัง
    งานภายนอกต่างๆเหล่านี้เจาะเข้ามาเพื่อควบคุมตัวจิตเราแทนกำลังสติทางธรรม
    อย่างที่ควรจะเป็น และก็จะแทรกความคิดต่างๆแทนลงไปในตัวจิตของเรา
    แทนปัญญาทางธรรมของเรานั้นเอง..เราจึงพบว่าบุคคลต่างๆเหล่านี้เวลาพูดอะไร
    จึงดูเหมือนกับว่าเป็นบุคคลที่พูดแบบไม่มีสติ บางครั้งดูคล้ายว่าบุคคลเหล่านั้น
    ดูมิเหมือนว่ามีความเป็นตัวเองเหมือนเช่นในอดีตที่ผ่านมา..กิริยาหรือนิสัยต่างๆ
    ที่แสดงออกจึงดูเหมือนเรากับว่าควบคุมตัวเองไม่ได้..และมักจะไม่ค่อยให้ความ
    สำคัญกับเรื่องการเจริญสติและเดินปัญญา สังเกตุดูแม้จะมีความสามารถรับรู้
    ทางนามธรรมได้ในระดับหนึ่ง แต่จะขาดความเข้าใจในวัตถุประสงค์ หรือขาด
    ความเข้าใจในนามธรรมระดับที่สูงกว่าพวกที่เข้ามาควบคุมจิตตนเอง.
    และจะไปให้จิตเราสร้างสติและเดินปัญญาได้อย่างไรเพราะกำลังสติและปัญญาทางธรรม
    เหมือนตัวที่จะแก้ปัญหาสิ่งที่ควบคุมมีหรือจะยอม
    และมักหลอกหล่อว่า บุคคลที่เข้ามาเตือน
    เป็นบุคคลที่มีความคิดเป็นอกุศลว่าเค้าไม่ใช่ ไม่ดี มองไปทางอกุศลต่างๆนาๆ
    มักจะมีความคิดแบ่งแยก เผลอไปปรามาส ไม่เว้นว่าจะห่มเหลือง ห่มขาว
    หรือบุคคลทั่วๆไป ด้วยหมายหมั่นว่าตนเหนือกว่าใคร..
    และมักถูกควบคุมและสร้างหลอกร่วมกับจิตด้วยว่าเรานะดีแล้วดีที่สุด
    ในด้านที่เราเข้าใจอยู่นี้.. หลอกร่วมกับจิตให้เรา
    คิดว่าเราประเสริฐมีปัญญาสูงกว่าใคร ยอมรับใครได้ยาก มีความอิจฉาลึกๆ
    อยู่ในใจ..เผลอๆจะนึกเอาเองแบบไม่รู้ตัวว่าตนเป็นระดับสูงๆเป็นผู้บรรลุแล้ว
    ระดับโน้นระดับนี้เลยมักน้อมให้เราใช้วลีคำพูดเปรียบ
    ประหนึ่งที่พระโพธิสัตว์ฯ หรือพระพุทธฯท่านชอบใช้
    เช่น โปรดเหล่าสัพสัตว์ ,โปรดสัตว์โลก ,เธอควร ฯลฯ และมักมีความคิดที่ชี้ชัด
    ว่าต้องนั้นต้องนี้เท่านั้น.และมักจะเต็มไปด้วยข้ออ้างใน
    การใช้บาลีในการหลีกเหลี่ยง
    แนวทางเดินของผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพด้วยครับ
    กิริยาต่างๆที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมได้นั้นเองที่เล่่ามาก่อนหน้าสำหรับผู้
    ขาดในเรื่องของสติทางธรรมและปัญญาทางธรรมเพียง ต่อมาก็จะเป็นในกรณี
    ผู้ที่พอมีแล้ว.มีจิตน้อมนำระลึกถึงพระรัตน์ตรัย ตลอดครูบาร์ อาจารย์ต่างๆ
    ก็จะมีพลังงานที่ออกจากจิตตรงไปเชื่อมกับกระแสต่างๆของท่านเหล่านั้นเสมอ
    เป็นปกติ.พอถึงเวลาที่จะปฏิบัติหรือทำอะไรก็ตาม ก็จะได้รับการสนับสนุน
    จากท่านๆเหล่านั้น ในรูปของพลังงานเราจะสัมผัสง่ายสุดเพราะถ้าเป็นภาพอยู่
    จะต้องมีกำลังสติและสมาธิเพียงพอที่จะมองภาพที่เห็นในระดับที่เปลี่ยนเป็น
    พลังงานได้ถึงจะทราบว่า ภาพที่เห็นเหล่านั้นมาจากฐานพลังงานรูปแบบใดๆ
    การเข้าสมาธิได้เร็วในบางครั้ง การก้าวข้ามปัญญาหาการปฏิบัติที่ติดขัด
    ได้ในช่วงนั้น ความเข้าใจในการเดินหน้าต่อสำหรับแนวการปฏิบัติของตนเอง
    หรือแม้แต่การโน้มนำให้ได้พบหนทางต่างๆไม่ว่าทางใดทางหนึ่งสำหรัญ
    การยกพัฒนาคุณภาพทางจิต การยกพัฒนาแนวทางการปฏิบัติของตนนั้น
    ล้วนแล้วได้รับการสนับสนุนจากแหล่งพลังงานภายนอกระดับที่ดีๆที่เข้า
    มาเชื่อมกับตัวจิตที่ประกอบด้วยสติทางธรรมด้วยปัญญาทางธรรมแม้ไม่มาก
    หรือแม้แต่จะไม่รู้ตัวก็ตาม แต่ด้วยจิตที่เป็นกุศลก็จะยังให้เชื่อมกับแสพลังงาน
    ฝ่านดีได้ตลอด เพราะสิ่งที่ดีก็จะดึงดูดสิ่งที่ดีๆเข้าหากันนั้นเอง....
    ส่วนบุคคลที่สามารถเคลียร์ป้องกันพลังงานต่างๆจากภายนอกได้ และพลังงาน
    ที่ตกค้างจากทั้งที่มาจากภายนอกและภายในได้แล้วขอมิกล่าวถึง ณ ที่นี้ครับ
    ที่เล่าๆมาคงพอมองภาพรวมแบบกว้างๆออกได้นะครับว่า
    ความเข้าใจทางด้านนามธรรมต่างๆ
    ที่ส่งผลต่อกิริยาทางจิตและกิริยาทางกายของเรานั้น
    มีองค์ประกอบอย่างไร และมีความเป็นมาอย่างไรบ้างครับ..


    สุดท้ายนี้ ''การพัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก..ย่อมเป็นทุกข์ แต่หลีกเหลี่ยงไม่ได้
    แม้แต่ตัวจิตเราเองวันหนึ่งก็ต้องจากร่างกายนี้''
    ........อยากรู้อะไร ให้ดูจิตตัวเองครับ ส่วนตัวฝึกอย่างนี้ครับ......
    ปล.ประมาณนี้ครับ...;)
     
  16. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    อย่าหาว่าอวยกันเองเลยนะท่าน เว็บนี้มีคนเก่ง แล้วก็มีคนหลงบ้าง เราจะทราบว่าท่านไหนเป็นอย่างไร ท่านก็จะไม่ดูถูกใคร สมัยก่อนรุ่นน้องเราเก่งกว่าเราก็มี เราอยากได้วิชาก็ต้องถาม เรามาถามในเว็บเพราะความสะดวก หาญาติธรรมด้วยนั่นแหละ ส่วนตัวแล้วก็ไม่ขยันและไม่เก่ง กลัวการหลงมากแต่ทุกวันนี้ ครูบาอาจารย์ก็มาช่วยหลายทีแล้ว อธิษฐานจิตเอา
     
  17. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ขอบคุณคุณกิ่งสน
    คุณนพกานต์ มากมาย

    ว่าแต่ สองท่านดูแล เป็นใครอ่ะจ๊ะ..catt12


    เล่าอีกเรื่องให้ฟังจ๊ะ
    ตอนปี 54 ก่อนไปกรรมฐาน สามสี่วัน
    ฝันว่ามีพญานาค เป็นผู้ชายงามสง่าแบบกษัตริย์ แต่ในใจทราบว่าท่านเป็นพญานาค
    มาชวนไปดูที่ๆท่านอยู่ ก็เหาะตามท่านไป ไปถึงที่ๆมีภูเขาแม่น้ำ
    เห็นพญานาคตัวใหญ่ เล่นน้ำอยู่หลายตน(องค์?) ในฝันตกใจกลัวอยู่วูบนึง
    ก็ปรับจิตให้เป็นปกติ ท่านที่ชวนมา น่าจะเป็นผู้นำ(กษัตริย์) ดูองอาจและสง่างามมาก

    พอสามสี่วันก็ได้ไปกรรมฐานที่วัดเขาสมโภชน์กระทันหัน ไปแบบไม่รู้จักมาก่อน..
    ก็ดูเป็นสถานที่เหมือนที่ฝัน มีถ้ำพญานาคอยู่ด้วย มีปู่นาคา ย่านาคี
    บางกระแสว่า พญานาคคือหลวงปู่คงในชาติอดีตเอง ท่านจะมาตามลูกหลานไปปฏิบัติ
    แต่จริงๆ ก็ไม่ทราบว่าพญานาคที่วัดเขาสมโภชน์เป็นใครกันแน่..??
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2014
  18. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ต่อไปก็มาเข้าเรื่องของเจ้าของกระทู้ดีกว่า เดี๋ยวจะห่างจากที่เขาตั้งไว้ ถ้าจะถามว่ากสิณอะไรฝึกง่ายที่สุดก็แล้วแต่บุคคลนะ แต่คิดว่าฮิตที่สุดน่าจะเป็นกสิณแสงสว่าง เพราะวิชาธรรมกายก็แนวนี้ ดร.อาจอง ชุมสายฯก็ให้เด็กๆฝึกแนวนี้ รู้สึกว่าท่านจะนับถือท่านไสบาบาด้วย ก็เป็นทางเลือกหนึ่ง สมัยก่อนรุ่นพี่เห็นเราเป็นคนขี้โมโห แรง ไม่ยอมใคร เขาบอกให้เราฝึกกสิณสีโดยบอกว่าให้เอาผ้าสีแดงมาจ้อง เราฟังดูแล้วไม่เข้าใจก็ไม่ทำ หาคนสอนยาก แล้วก็มีบางท่านหาว่า กสิณ มันไม่ถึงนิพพาน คือ คนว่าคงขาดความรู้อันแท้จริง มั้ง คิดเหมือนที่ท่านนพว่าที่สุดคือการเดินปัญญา แล้วก็ไม่ยึดอะไรเลย ซึ่งใครก็พูดได้แต่ทำยาก ครูบาอาจารย์หลายท่านทำให้เห็นเลย บางท่านแทบไม่ดังแต่ท่านเป็นพระอริยะก็มี ท่านดังในถิ่นของท่าน เรียบง่าย เมตตาสูง เช่น ครูบาอ่อน ตอนท่านมรณภาพอัฐิเป็นพระธาตุ ถ้าใครเคยพบท่านจะพบกับใบหน้าที่มีเมตตาสูง วัดก็ธรรมดา ใครไปหาท่านช่วยหมด
    ขอเวิ่นเว้อต่อ ทุกคนต่างก็รู้ถึงฝึกจนได้อะไรก็แล้วแต่ก็ยังไม่สิ้นอาสวะกิเลส แต่การที่เราได้พลังทางจิตมันก็เป็นกำลังใจให้เราเดินหน้าต่อ หลายท่านในกระทู้ที่มีนิมิตรในทางสนับสนุนก็น่ายินดีที่มาแล้ว พิสูจน์แล้ว ส่วนใครที่กำลังฝึกก็ขออนุโมทนาบุญ ส่วนท่านผู้ที่ชี้แนะก็ถือว่าท่านได้ให้ธรรมทานแล้ว
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,013
    โม้ต่อในกระทู้นี้ดีกว่า ไม่กล้าไปเขียนในกระทู้คุณ นักรบเงา ยิ่งว่าด้วยวิชาธรรมกาย
    แล้วก็คงจะมีแต่คุณพี่ Raming กับคุณ นักรบเงา ที่น่าจะพอสนทนากันได้รู้เรื่อง
    ส่วนข้าน้อยขืนไปพรวดพลาด..มิหวังจิ หน้าแตกหมอมิรับ Admin แน่ๆ ๕๕๕

    จริงๆช่วงนี้..เบื่อๆเซงๆรอวาระทางสมมุติด้วย..กว่าจิตจะว่างๆได้เหมือนชาวบ้านชาวช่องเค้า
    ความจริงทางภพภูมิ..มีเรื่องเกี่ยวกับสารสีขาวๆโผ่ลมาแล้วหละครับ..
    แต่ว่าเพียงด่านทดสอบครั้งแรก ก็ตกแบบชนิดที่ว่า ๔ เรื่องในครั้งเดียว
    ตกแบบล้านเปอร์เซนต์เต็ม ส่วนตัวเลยไม่ซีเรียส ๕๕๕๕๕

    มีเครื่องเล่นมานำเสนอ คือ การเขียนยันต์กลางอากาศ..
    ไม่รู้หรอกว่าคุณ พี่ คุณ ป๋า
    จิสนใจหรือเปล่า หรือมองว่าไร้สาระเนาะ..แต่ประโยชน์อย่างหนึ่งก็คือ ถ้าเราไปอยู่ป่า
    นอกจากจะแผ่เมตตาและอ่อนน้อมต่อเจ้าที่เป็นเรื่องปกติแล้ว...บางทีหรือแห่งก็ยังจะมี
    ภูมิที่พอมีฤิทธิ์ ที่ชอบมากลั่นแกล้ง.แต่คงมิได้เน้นแกล้งเราโดยตรง..ถ้าไม่อยากได้ยิน
    เต๊นท์ข้างๆร้องกรี๊ดโวยว๊าย..อย่างนี้ก็พอมีประโยชน์ หรือจะเขียนไว้ที่เสาบ้านก็ได้.

    ส่วนการดึงเพื่อมาเพิ่มในวัตถุนั้น.เป็นเรื่องรองส่วนตัวมองว่าปล่อยให้เป็นเรื่องของท่านที่ห่มเหลือง
    แต่ถ้าจะให้เล่าให้ฟังก็ไม่ยาก..
    ขอแต่ให้ตั้งต้นเห็นกระแสพลังงานด้วยตาเปล่าให้ได้ก่อน
    ผมรอโม้ต่ออยู่เน้อ.ส่วนเรื่องจำตัวอักษรได้คงมิห่วง
    มันถึงจะไม่ส่งผลต่อการสูญเสียกำลังจิตของตนเอง และหลักในการปิดอักขระ
    ต่างๆ ดึงอักขระต่างๆมารวมกัน..มีแบบทั้งต้องใช้อุปกรณ์เสริม ใช้อวัยวะบางส่วน
    และสุดท้ายให้จิตเป็นตัวเขียน..หลักๆมาจากหลักของการตั้งต้น
    วิชาเดินธาตุในระดับกำลังสมาธิระดับต่ำ
    แต่ขอให้จิตมีสัมผัสพลังงานได้ในแบบตาเปล่าก็เพียงพอครับ...

    ปล.เล่าๆให้ฟังไปอย่างนั้นหละ เล่นขำๆครับ..
     
  20. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    มาชูจั๊กกะแร้2ข้าง สนับสนุนเรื่องเขียนยันต์กลางอากาศครับ
    ........
    ผมเขียน นะสำเร็จได้ตัวเดียวเองครับ
    ตัวอื่นๆยังเขียนไม่ออก

    เคยขอหลวงปู่เรียนยันต์โสฬสครับ ท่านไม่สอน
    เซ้าซี้มากๆเข้าท่านก็จะเสกยันกลางอากาศใส่ รีบถอยแทบไม่ทัน
    เพราะถ้าหลบยันของท่านไม่พ้นก็จะมีอาการตกชานไม่ใช่ฌาณซะด้วยสิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...