พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คงเป็นงานหนักสำหรับทุกๆท่านที่ร่วมกันก่อตั้งขึ้น แต่ผลบุญที่ได้กันนั้น ผมคิดว่ามากมายนัก สำหรับการเชิดชูและเผยแพร่เรื่องราวต่างๆ ของหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีและพระคณาจารย์ในสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 ,พระมหากษัตริย์และวังหน้า ,งานศิลปบนพระพิมพ์และวัตถุมงคล ฯลฯ

    ต้องร่วมมือร่วมใจ ร่วมด้วยช่วยกันอย่างมาก นอกจากไม่มีเงินเดือนแล้วยังต้องควักกระเป๋ากันเองอีกด้วยครับ

    (good)
    .
     
  2. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    ขอปวารณาตัวครับ โดยส่วนตัวแล้วผมยังคิดว่าโดยเฉพาะหลวงปู่เทพโลกอุดรท่านมีบุญคุณอย่างใหญ่หลวงในฐานผู้นำพระพุทธศาสนามาเผยแพร่ยังประเทศเรา
    ไฉนไม่มีหน่วยงานใดของรัฐ โดยเฉพาะด้านศาสนามาเผยแพร่พระเกียรติคุณของท่านให้คนไทยได้รับรู้เลย ทั้งที่ก็ได้ปรากฏหลักฐานมาแล้ว

    ตามรอยบรมครูจากสารานุกรม
    (คัดลอกจาก .http://th.wikipedia.org)
    พระพุทธศาสนาสมัยทวาราวดี<o>:p></o>:p>

    พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ดินแดนประเทศไทย เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๖ สมัยเดียวกันกับประเทศลังกา ด้วยการส่งพระสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศต่าง ๆ ๙ สาย โดยการอุปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์อินเดีย ในขณะนั้นประเทศไทยรวมอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าสุวรรณภูมิ ซึ่งมีขอบเขตกว้างขวาง มีประเทศรวมกันอยู่ในดินแดนส่วนนี้ไม่น้อยกว่า ๗ ประเทศ ได้แก่ ไทย พม่า ศรีลังกา ญวน กัมพูชา ลาว มาเลเซีย ซึ่งสันนิษฐานว่ามีใจกลางอยู่ที่จังหวัดนครปฐมของไทย เนื่องจากได้พบโบราณวัตถุที่สำคัญ เช่นพระปฐมเจดีย์ และรูปธรรมจักรกวางหมอบเป็นหลักฐานสำคัญ แต่พม่าก็สันนิษฐานว่ามีในกลางอยู่ที่เมืองสะเทิม ภาคใต้ของพม่า

    พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่สุวรรณภูมิในยุคนี้ นำโดยพระโสณะและพ
    ระอุตตระ พระเถระชาวอินเดีย เดินทางมาเผยแผ่พุทธศาสนาในแถบนี้ จนเจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับ ตามยุคสมัยต่อไปนี้<o>:p></o>:p>
    [FONT=&quot]การสังคายนาพระไตรปิฎก[/FONT]

    ครั้งที่สาม

    การทำสังคายนาครั้งที่สามเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 235 ที่อโศการาม กรุงปาฏลีบุตร ประเทศอินเดีย โดยมีพระโมคคลีบุตร ติสสเถระ เป็นประธาน การทำสังคายนาครั้งนี้มีพระสงฆ์มาประชุมร่วมกัน 1,000 รูป ดำเนินการอยู่เป็นเวลา 9 เดือน จึงเสร็จสิ้น
    ข้อปรารภในการทำสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อ มีพวกเดียรถีย์ หรือนักบวชศาสนาอื่นมาปลอมบวช แล้วแสดงลัทธิศาสนาและความเห็นของตนว่าเป็นพระพุทธศาสนา พระโมคคลีบุตร ติสสเถระ จึงได้ขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราชสังคายนาพระธรรมวินัยเพื่อกำจัดความเห็นของพวกเดียรถีย์ออกไป
    ในการทำสังคายนาครั้งนี้ พระโมคคลีบุตร ติสสเถระ ได้แต่งคัมภีร์กถาวัตถุ ซึ่งเป็นคัมภีร์หนึ่งในพระอภิธรรมไว้ด้วย และเมื่อทำสังคายนาเสร็จแล้ว ก็มีการส่งคณะทูตไปประกาศพระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ ในที่นี้มีพระมหินทเถระ ผู้เป็นโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช ที่นำพระพุทธศานาไปประดิษฐานในลังกา รวมทั้งพระโสณะเถระและพระอุตตระเถระ ที่นำพระพุทธศาสนามาเผยแผ่ยังดินแดนสุวรรณภูมิด้วย
    สุวรรณภูมิ เป็นชื่อเรียกดินแดนที่มีการกล่าวถึงในคัมภีร์โบราณหลายฉบับในทางพุทธศาสนา ซึ่งคำว่าสุวรรณภูมินี่มีความหมายว่า "แผ่นดินทอง"
    คำว่าสุวรรณภูมิ แปลว่า "แผ่นดินทอง" ปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนา ส่วนมากปรากฏในคัมภีร์ชาดก(เรื่องราวที่มีอดีตมายาวนาน) เช่น มหาชนกชาดก กล่าวถึงพระมหาชนกเดินทางมาค้าขายที่สุวรรณภูมิ แต่เรือแตกกลางทะเล ในสมัยสังคายนาครั้งที่ 3 ราว พ.ศ. 234 พระเจ้าอโศกมหาราชได้ส่งพระธรรมทูตมาเผยแผ่พุทธศาสนาที่สุวรรณภูมิ โดยมีพระโสณะและพระอุตตระเป็นประธาน เมื่อท่านมาถึง ได้ปราบผีเสื้อสมุทรที่ชอบเบียดเบียนชาวสุวรรณภูมิ ทำให้ชาวสุวรรณภูมิเลื่อมใส จากนั้นท่านได้แสดงพรหมชาลสูตร เป็นที่น่าสังเกตว่า ตอนปราบผีเสื้อสมุทร ท่านได้สวดพระปริตรป้องกันเกาะสุวรรณภูมิไว้ จึงมีคำเรียก สุวรรณภูมิ อีกชื่อหนึ่งว่า สุวรรณทวีป แปลว่า เกาะทอง เมื่อสันนิษฐานจากสองคำนี้ ทำให้ได้ข้อสรุปอย่างน้อย 2 อย่าง คือ 1 สุึวรรณภูมิเป็นดินแดนที่เป็นแผ่นดินใหญ่ และ 2 สุวรรณทวีป คือ เกาะที่อยู่ติดกับสุวรรณภูมิ และเนื่องจากในชาดกกว่าว่า สุวรรณภูมิอยู่ทางทิศตะวันออกของอินเดีย เมื่อพิจารณาจากแผนที่โลก จึงน่าจะสันนิษฐานได้ต่อไปว่า สุวรรณภูมิ ส่วนที่เป็นแผ่นดิน ได้แก่ พม่า ไทย กัมพูชา ส่วน สุวรรณทวีป ที่เป็นเกาะ น่าจะได้แก่ หมู่เกาะชวา สุมาตรา หรืออินโดนีเซีย ตลอดทั้งฟิลิปปินส์ เมื่อพิจารณาหลักฐานทางโบราณคดีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาพบว่า เมืองหงสาวดี และเมืองนครปฐมสมัยทวารวดี มีอายุเก่าแก่ที่สุด และร่วมสมัยกัน คือ ราว พุทธศตวรรษที่ 6 แต่ศูนย์กลางพระพุทธศาสนาในแถบนี้ ยุคที่รุ่งเรืองที่สุดราว พุทธศตวรรษที่ 11-12 อยู่ที่จังหวัดนครปฐม โดยพบธรรมจักรมากมาย จึงสันนิษฐานว่า ศูนย์กลางสุวรรณภูมิน่าจะอยู่ที่เมืองโบราณ บริเวณพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม
    การสังคายนาครั้งที่ 3<o>:p></o>:p>
    <!--[if gte vml 1]><v:shapetype id="_x0000_t75" coordsize="21600,21600" o:spt="75" o:preferrelative="t" path="m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe" filled="f" stroked="f"> <v:stroke joinstyle="miter"/> <v:formulas> <v:f eqn="if lineDrawn pixelLineWidth 0"/> <v:f eqn="sum @0 1 0"/> <v:f eqn="sum 0 0 @1"/> <v:f eqn="prod @2 1 2"/> <v:f eqn="prod @3 21600 pixelWidth"/> <v:f eqn="prod @3 21600 pixelHeight"/> <v:f eqn="sum @0 0 1"/> <v:f eqn="prod @6 1 2"/> <v:f eqn="prod @7 21600 pixelWidth"/> <v:f eqn="sum @8 21600 0"/> <v:f eqn="prod @7 21600 pixelHeight"/> <v:f eqn="sum @10 21600 0"/> </v:formulas> <v:path o:extrusionok="f" gradientshapeok="t" o:connecttype="rect"/> <o:lock v:ext="edit" aspectratio="t"/> </v:shapetype><v:shape id="_x0000_i1025" type="#_x0000_t75" alt="การแพร่กระจายของพุทธศาสนาในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:AshokaMap2.gif" title="&quot;การแพร่กระจายของพุทธศาสนาในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช&quot;" style='width:225pt; height:135.75pt' o:button="t"> <v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\User\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image001.gif" o:href="http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/2/22/AshokaMap2.gif/300px-AshokaMap2.gif"/> </v:shape><![endif]--><!--[if !vml]-->[​IMG]<!--[endif]--><o>:p></o>:p>
    <!--[if gte vml 1]><v:shape id="_x0000_i1026" type="#_x0000_t75" alt="" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:AshokaMap2.gif" title="&quot;ขยาย&quot;" style='width:11.25pt;height:8.25pt' o:button="t"> <v:imagedata src="file:///C:\DOCUME~1\User\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image002.gif" o:href="http://th.wikipedia.org/skins-1.5/common/images/magnify-clip.png"/> </v:shape><![endif]--><!--[if !vml]-->[​IMG]<!--[endif]--><o>:p></o>:p>
    การแพร่กระจายของพุทธศาสนาในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช<o>:p></o>:p>
    เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เพื่อกำจัดพวกเดียรถีย์ปลอมบวชในพระพุทธศาสนา มีพระโมคคัลลีบุรติสสะเป็นประธาน ใช้เวลา 9 เดือนจึงสำเร็จในการสังคายนาครั้งนี้ พระโมคคัลลีบุรติสสะ ได้แต่งกถาวัตถุขึ้น เพื่ออธิบายธรรมให้แจ่มแจ้ง<sup>[8]</sup><o>:p></o>:p>
    หลังจากการสังคายนาสิ้นสุดลง พระเจ้าอโศกฯได้ส่งสมณทูต 9 สายออกเผยแผ่พุทธศาสนา คือ<o>:p></o>:p>
    1. คณะพระมัชฌันติกเถระ ไปแคว้นแคชเมียร์และแคว้นคันธาระ<o>:p></o>:p>
    2. คณะพระมหาเทวะ ไป มหิสกมณฑล ซึ่งคือ แคว้นไมซอร์และดินแดนลุ่มแม่น้ำโคธาวารี ในอินเดียใต้ปัจจุบัน<o>:p></o>:p>
    3. คณะพระรักขิตะ ไปวนวาสีประเทศ ได้แก่ แคว้นบอมเบย์ในปัจจุบัน<o>:p></o>:p>
    4. คณะพระธรรมรักขิต ไป อปรันตกชนบท แถบทะเลอาหรับทางเหนือของบอมเบย์<o>:p></o>:p>
    5. คณะพระมหาธรรมรักขิต ไปแคว้นมหาราษฎร์<o>:p></o>:p>
    6. คณะพระมหารักขิต ไปโยนกประเทศ ได้แก่แคว้นกรีกในเอเชียกลาง อิหร่าน และเตอร์กิสถาน<o>:p></o>:p>
    7. คณะพระมัชฌิมเถระ ไปแถบเทือกเขาหิมาลัย คือ เนปาลปัจจุบัน<o>:p></o>:p>
    8. คณะพระโสณะ และพระอุตตระ ไปสุวรรณภูมิ ได้แก่ ไทย พม่า มอญ<o>:p></o>:p>
    9. คณะพระมหินทระ ไปลังกา<o>:p></o>:p>
    <o>:p> </o>:p>
    วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่

    วัดเจดีย์หลวงเป็นวัดที่มีความสำคัญตั้งแต่อดีตเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นวัดที่ถูกสร้างขึ้นโดยกษัตริย์ผู้ครองอาณาจักรล้านนาในสมัยราชวงศ์มังราย และวัดนี้ได้สร้างอยู่กลางใจเมืองเชียงใหม่ ซึ่งแต่เดิมถือว่าเป็นศูนย์กลางทางการปกครองของอาณาจักรล้านนา ปัจจุบันวัดเจดีย์หลวงตั้งอยู่เลขที่ ๑๐๓ ถนนพระปกเกล้า ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ มีเนื้อที่ภายในวัดประมาณ ๓๒ ไร่ ๑ งาน ๒๗ ตารางวา
    แต่เดิมวัดเจดีย์หลวง ชื่อ “โชติการามวิหาร” แปลว่า พระอารามที่มีแต่ความรุ่งเรืองสว่างไสว เนื่องจากเป็นสถานที่บรรจุพระเกศาธาตุ และพระธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า ในกาลครั้งหนึ่ง เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราช ส่งสมณะทูต ๘ รูป ภายใต้การนำพระโสณะ และ พระอุตตะระ เข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในเขตสุวรรณภูมิ รวมทั้งภูมิภาคนี้ด้วย ได้นำเอาพระบรมธาตุมาบรรจุไว้ในองค์เจดีย์องค์เล็กสูง ๓ ศอก ที่สร้างขึ้น ณ บริเวณอันเป็นที่ตั้งของพระธาตุเจดีย์หลวงในปัจจุบัน ในเวลานั้นมีมีชายผู้หนึ่ง อายุ ๑๒๐ ปี มีใจเลื่อมใส ได้แก้เอาผ้าห่มชุบน้ำมันจุดบูชา และได้ทำนายว่า ต่อไปในภายภาคหน้า ตรงนี้จะเป็นอารามใหญ่ชื่อโชติการาม พวกลัวะทั้งหลายเอาข้าวของบูชาพระธาตุพระพุทธเจ้า จึงก่อเจดีย์หลังหนึ่งสูง ๓ ศอกไว้เป็นที่สักการบูชา
    นอกจากนี้ยังมีความหมายอีกนัยหนึ่งของคำว่า “โชติการาม” คือ เวลาที่มีการจุดประทีปโคมไฟไปประดับบูชาองค์พระธาตุเจดีย์หลวง จะปรากฏจะปรากฏแสงสีสว่างไสว มองเห็นองค์พระเจดีย์คล้ายเชิงเทียนที่มีเปลวไฟลุกโชติช่วงสว่างไสว ดูแล้วมีความงดงามยิ่งนัก สามารถมองเห็นได้แต่ไกล
    ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “วัดเจดีย์หลวง” เนื่องจากในภาษาเหนือ หรือคำเมือง หลวงแปลว่า “ใหญ่” หมายถึง พระธาตุเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่
     
  3. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
  4. อิสวาร์ยาไรท์

    อิสวาร์ยาไรท์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,608
    ค่าพลัง:
    +1,955
    धन्यवाद जी
     
  5. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    สงสัยจะเป็นอักษรศักดิ์สิทธิ์ เป็นคำโมทนาหรือเปล่าครับ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ อิสวาร์ยาไรท์ [​IMG]
    धन्यवादजी
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ไม่เป็นเกจิ เพราะเป็นไม่ได้แน่นอน

    เป็นตัวของตัวเองได้ เพราะว่าเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้

    และไม่ใช่คนที่เวลาพูด พูดอย่างหนึ่ง แต่เวลาที่ปฎิบัติ ปฎิบัติอีกอย่างหนึ่ง เช่น เรื่องการสร้างพระภายใน พูดอยู่ตลอดเวลาว่า ต้องสร้างแต่พระภายใน พระภายนอกไม่ให้สนใจ แต่ทางปฎิบัติ ต้องมีพระภายนอก หุหุหุ

    โมทนาสาธุครับ
     
  7. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    เป็นเมื่อไรจะตามไปขอวัตถุมงคล(deejai)
     
  8. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ตามล่าโจรบาปขโมยพระล้ำค่า
    .............ขโมยพระ..............


    คนร้ายใจบาปโจรกรรมพระพุทธรูปล้ำค่า ร่วม 7 องค์ ยัดใส่กระสอบปุ๋ย รอส่งขายให้เซียนพระชาวบ้านเจอเสียก่อน ตร.เร่งตรวจสอบตามวัดต่าง ๆ มีพุทธรูปโดนโจรกรรมไปหรือไม่ ขณะที่อีกชุดเร่งแกะรอยหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดีแล้ว
    เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 9 มกราคม 2551 พ.ต.ท.พีรกร พรมมา สารวัตรเวรสภ.สูงเม่น จ.แพร่ ได้รับแจ้งจากนายสฤษณ์ ดอกบัว ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 7 ต.หัวฝาย อ.สูงเม่น จ.แพร่ ว่ามีชาวบ้านในหมู่ บ้านไปพบพระพุทธรูปปางต่างๆจำนวน 7 องค์ซุกซ่อนอยู่ที่บริเวณ ศาลเจ้าใต้ต้นโพธิ์หน้าวัดดอนแก้ว หมู่ที่ 7 ต.หัวฝายชาว ขอให้รีบไปทำการตรวจสอบด้วยเกรงว่าจะมีมือดีขโมยเอาไปอีก

    หลังจากได้รับแจ้งแล้วจึงได้นำกำลังไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุตามที่ได้รับแจ้ง พบมีพระพุทธรูปที่ถูกนำไปซุกซ่อนมีจำนวนนับ 7 องค์ จึงนำออกมาจากที่ซุกซ่อน พบว่า พระพุทธรูปองค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูป พระเจ้าทันใจ ทำด้วย ทองเหลืองรมดำ ขนาดหน้าตัก 3 นิ้ว สูง 8 นิ้ว องค์ที่ 2 พระพุทธรูปบูชาทำด้วยเรซินสีงาช้าง หน้าตัก 5นิ้ว สูง8 นิ้ว องค์ที่ 3 พระนาคปรกทำด้วยทองเหลืองขนาดหน้าตัก 2 นิ้ว องค์ที่ 4 พระแก้วมรกต ขนาด หน้าตัก 3 นิ้ว สูง 6 นิ้ว องค์ที่ 5 พระนาคปรก ทำด้วยปูนปลาสเตอร์ขนาด หน้าตัก 2 นิ้วองค์ที่ 6 พระปางสมาธิพระธาตุ ขนาดหน้าตัก 2 นิ้ว ส่วนองค์สุดท้ายเป็น พระ ปางสมาธิ ขนาดหน้าตัก 2 นิ้ว พระ ทั้งหมดถูกใส่ไว้ในถุงปุ๋ย

    จากการสอบสวนไม่มีใครพบเห็นที่ไหนมาก่อนคาดว่าคนร้ายที่ขโมยมาคงจะตระเวนงัดอุโบสถตามวัดต่าง ๆ และนำมาซุกซ่อน ไว้เพื่อรอการนำออกไปจำหน่ายให้กับเซียนพระ ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจรับปากกับชาวบ้านว่าจะได้สืบสวนหาที่มาที่ไปรวมทั้งแกะรอยแก๊งลักพระมาลงโทษตามกฎหมายบ้านเมืองโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ได้ประสานไปยังพื้นที่ต่างๆหากมีการ แจ้งความหรือที่ใดมีพระหายก็ให้ไปตรวจสอบได้ที่ สภ.สูงเม่น ซึ่งในจำนวนพระทั้ง หมดนั้น มีพระที่มีราคาที่ประมาณราคาได้อยู่ 2 องค์คือพระแก้วมรกต และพระเจ้าทันใจ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่มีเซียนพระ ต้องการมาก หากพระองค์พระสมบูรณ์จะมีราคาเกินกว่า 50,000 ขึ้นไป
    http://www.chiangmainews.co.th/viewnews.php?id=22052&lyo=1
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ตั้งจิต [​IMG]
    เป็นเมื่อไรจะตามไปขอวัตถุมงคล(deejai)

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อย่าเรียกนะครับ เรียกพี่ ดีกว่ากันเยอะเลย

    พี่เอง ที่เคยบอกไว้ มีความรู้อยู่ไม่ถึง 1 % ขององค์ความรู้ที่ปู่มี และปู่เองก็เคยบอกเสมอว่า ความรู้เรียนกันไม่มีวันจบสิ้น บางสิ่งบางอย่างปู่ก็พึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกก็หลายๆอย่าง อย่างนี้จะเรียกพี่ว่า อาจารย์ ได้หรือ

    ตอบตรงนี้ได้เลยว่า ไม่ได้ แค่ศึกษาองค์ความรู้ที่ปู่มีอยู่ทั้งหมด ก็เรียนกันไม่หมดแล้ว

    แต่ถ้าเป็นคุณ นายสติ ก็ยังพอไหวครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  11. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เมื่อกี้แซวไปทีแล้ว....ท่าน อาจารย์หนุ่มครับ 5555เท่ห์ดีครับแต่อย่า....นะครับ
     
  12. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ผมกำลังว่าความไม่แน่นอนกับความบังเอิญ มากพอสมควรแล้วครับ ภาษาอเมริกันชนเรียก ว่า flip flop ครับ
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://palungjit.org/showthread.php?t=109875
    ลำดับพระบรมวงศานุวงศ์...ในรัชกาลปัจจุบัน...
    โดย คุณkoymoo<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_927256", true); </SCRIPT>

    ลำดับที่ 1 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
    ลำดับที่ 2 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
    ลำดับที่ 3 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณฯ สยามมกุฎราชกุมาร
    ลำดับที่ 4 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธรฯ สยามบรมราชกุมารี
    ลำดับที่ 5 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
    ลำดับที่ 6 สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
    ทรงเป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กับพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี

    ลำดับที่ 7 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
    พระนามเดิมว่า "หม่อมเจ้าหญิงกัลยาณิวัฒนา" เป็นพระธิดาในสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระบรมราชชนก) กับหม่อมสังวาลย์ มหิดล (สมเด็จพระบรมราชชนนี) ในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงกัลยาณิวัฒนา" ในสมัยรัชกาลที่ 8 เป็นที่ "สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้า" และได้กราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์ เพื่อทำการสมรสกับพันเอกอร่าม รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ จนกระทั่งในรัชกาลปัจจุบันจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคืนฐานันดรศักดิ์

    ลำดับที่ 8 ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี
    พระนามเดิมว่า "สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตน์ราชกัญญาฯ" เป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับ กับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ต่อมาได้กราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์เพื่อทำการสมรส

    ลำดับที่ 9 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
    สกุลเดิม "อัครพงศ์ปรีชา" อภิเสกสมรสกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2544 ต่อมาเมื่อมีพระประสูติกาลพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2548

    ลำดับที่ 10 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ
    พระนามเดิมว่า "หม่อมหลวงโสมสวลี กิติยากร" เป็นธิดาของหม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ กิติยากร กับท่านผู้หญิงพันธุ์สวลี ยุคล อภิเษกสมรสกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และได้รับสถาปนาให้ดำรงฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2520 ต่อมาในวันที่ 12 สิงหาคม 2534 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามเป็น "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ"

    ลำดับที่ 11 พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา

    ทรงเป็นพระธิดาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดามาตุ มีศักดิ์เป็นพระเจ้าหลานเธอพระองค์ใหญ่ในรัชกาลปัจจุบัน

    ลำดับที่ 12 พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์
    ทรงมีพระนามเดิมว่า "หม่อมเจ้าสิริวัณวรี มหิดล" เป็นพระธิดาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร กับนางสุจาริณี วิวัชรวงศ์

    ลำดับที่ 13 พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ
    ทรงเป็นพระโอรสในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา

    ลำดับที่ 14 พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์
    ทรงเป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กับนาวาอากาศเอกวีรยุทธ ดิษยศรินทร์

    ลำดับที่ 15 พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ
    ทรงเป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กับนาวาอากาศเอกวีรยุทธ ดิษยศรินทร์ ปัจจุบันประทับอยู่กับพระบิดาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

    ลำดับที่ 16 พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิมลฉัตร
    ทรงเป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธินฤมล มีศักดิ์เป็นพระหลานเธอในรัชกาลที่ 5

    ลำดับที่ 17 หม่อมเจ้าหลานเธอในรัชกาลปัจจุบัน
    ราชสกุล "มหิดล" พระโอรสธิดาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
    หม่อมเจ้าจุฑาวัชร (มหิดล) วิวัชรวงศ์
    หม่อมวัชเรศร (มหิดล) วิวัชรวงศ์
    หม่อมเจ้าจักรีวัชร (มหิดล) วิวัชรวงศ์
    หม่อมเจ้าวัชรวีร์ (มหิดล) วิวัชรวงศ์

    ลำดับที่ 18 หม่อมเจ้าหลานเธอในรัชกาลที่ 4** (ทรงพระดำเนินตามศักดิ์ของพระบิดา และเรียงตามพระชันษา)
    ราชสกุล "จิตรพงศ์" พระโอรสธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 4 เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์
    หม่อมเจ้าหญิงกรณิกา จิตรพงศ์
    ราชสกุล "ชยางกูร" พระโอรสธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 4 กรมหมื่นพงศาดิศรมหิป
    หม่อมเจ้าวราชัย ชยางกูร (2470 - ปัจจุบัน) ***
    หม่อมเจ้าเวียงวัฒนา ชยางกูร (2467 - ปัจจุบัน) ***
    หม่อมเจ้าอุทัยเที่ยง ชยางกูร (2473 - ปัจจุบัน) ***
    หม่อมเจ้าจรูญฤทธิเดช ชยางกูร (2475 - ปัจจุบัน) ***
    ราชสกุล "ดิศกุล" พระโอรสธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 4 กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
    หม่อมเจ้าหญิงกฤษณาพักตรพิมล ดิศกุล

    ลำดับที่ 19 หม่อมเจ้าหลานเธอในรัชกาลที่ 5** (ทรงพระดำเนินตามศักดิ์ของพระบิดา และเรียงตามพระชันษา)
    ราชสกุล "กิติยากร" พระโอรสธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 5 กรมพระจันทรบุรีนฤนาท
    หม่อมเจ้าวินิตา กิติยากร
    หม่อมเจ้าสุวนิต กิติยากร
    หม่อมเจ้ากิตติปียา กิติยากร
    ราชสกุล "ระพีพัฒน์" พระโอรสธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 5 กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์
    หม่อมเจ้าวิพันธุ์ไพโรจน์ ระพีพัฒน์
    หม่อมเจ้าดวงทิพโชติแจ้งหล้า ระพีพัฒน์
    หม่อมเจ้าทิตยาทรงกลด ระพีพัฒน์
    ราชสกุล "ฉัตรชัย" พระโอรสธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 5 กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน
    หม่อมเจ้าภัทรลดา (ฉัตรชัย) ดิศกุล
    หม่อมเจ้าสุรฉัตร ฉัตรชัย
    หม่อมเจ้าชายทิพยฉัตร ฉัตรชัย
    ราชสกุล "วุฒิชัย" พระโอรสธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ชั้น 5 กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร
    หม่อมเจ้าหญิงวุฒิสวาท วุฒิชัย
    หม่อมเจ้าหญิงวุฒิเฉลิม วุฒิชัย
    หม่อมเจ้าหญิงวุฒิวิฑูร วุฒิชัย

    ลำดับที่ 20 หม่อมเจ้าซึ่งเป็นพระนัดดาในกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ
    ราชสกุล "รัชนี" พระโอรสธิดาในพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์
    หม่อมเจ้าหญิงศะศิธรพัฒนวดี รัชนี
    หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี

    ลำดับที่ 21 หม่อมเจ้าซึ่งเป็นพระราชปนัดดาในรัชกาลที่ 5** (ทรงพระดำเนินตามศักดิ์ของพระบิดา และเรียงตามพระชันษา)
    ราชสกุล "บริพัตร" พระโอรสธิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิ์พินิต
    หม่อมเจ้าหญิงสุขุมาลมารศรี บริพัตร
    ราชสกุล "ยุคล"
    พระโอรสธิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล
    หม่อมเจ้าชายภูริพันธ์ ยุคล
    หม่อมเจ้าชายนวพรรษ์ ยุคล
    หม่อมเจ้าหญิงภาณุมา ยุคล
    พระโอรสธิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลทิฆัมพร
    หม่อมเจ้าชายมงคลเฉลิม ยุคล
    หม่อมเจ้าชายเฉลิมสุข ยุคล
    หม่อมเจ้าชายฑิฆัมพร ยุคล
    พระโอรสธิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ
    หม่อมเจ้าชายจุลเจิม ยุคล
    หม่อมเจ้าชายชาตรีเฉลิม ยุคล
    หม่อมเจ้าหญิงปัทมนรังษี ยุคล
    หม่อมเจ้าหญิงมาลิณีมงคล ยุคล

    คุณพลอยไพลิน เจนเซ่น****
    พระธิดาในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ กับนายปีเตอร์ เจนเซ่น มีศักดิ์เป็นหลานเธอในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    คุณสิริกิติยา เจนเซ่น****
    พระธิดาในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ กับนายปีเตอร์ เจนเซ่น มีศักดิ์เป็นหลานเธอในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    ท่านผู้หญิงพันธุ์สวลี กิติยากร
    นามเดิมว่า "หม่อมเจ้าหญิงพันธุ์สวลี กิติยากร" พระธิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล กราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์เพื่อสมรสกับหม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2499 เป็นพระมารดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ

    ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม
    พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ กับพันเอกอร่าม รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ มีศักดิ์เป็นพระราชภาคิไนยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    นายสินธู ศรสงคราม
    สามีท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานสมรส เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2516

    ร้อยโทจิทัส ศรสงคราม
    บุตรชายของท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม กับนายสินธู ศรสงคราม มีศักดิ์เป็นพระราชปนัดดาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    หมายเหตุ
    * ลำดับที่ 1 - 16 เรียงพระนามตามสำนักราชเลขาธิการ
    ** กำลังอยู่ในระหว่างการรวบรวมพระนาม และระบุเฉพาะเจ้านายที่ยังดำรงฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์
    *** กำลังตรวจสอบว่ายังทรงมีพระชนม์อยู่หรือไม่
    **** 2 ท่านนี้แม้จะเป็นสามัญชน แต่มีศักดิ์เป็นหลานเธอในรัชกาลปัจจุบัน บางครั้งจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ อยู่หน้าหม่อมเจ้าในราชสกุลอื่นๆ


    ขอบคุณข้อมูลจาก "รอยใบลาน"

     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post929074 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">21/1/2550, 08:34 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#13999</TD></TR></TBODY></TABLE>

    วันนี้(20 มกราคม 2550) ไปคุยกันในเรื่องของการตั้งชมรม ในเบื้องต้นนี้ สรุปชื่อชมรมว่า "ชมรมอนุรักษ์ศิลปะวังหน้าและวังหลวง" โดยประธานชมรม เป็นพี่จิ๋ว(ลูกชายท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร) โดยมีประธานที่ปรึกษา 2 ท่านคือ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาครและพี่ใหญ่

    ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เช่น คณะกรรมการที่จะดำเนินการของชมรม ,วัตถุประสงค์การตั้งชมรม การสมัครสมาชิกชมรม และรายละเอียดด้านอื่นๆ จะไปประชุมกันอีกครั้งก่อน

    ในอนาคต คงจะมีการจัดสัมมนาแลกเปลี่ยนความรู้กัน ตอนนี้ผมได้สถานที่แล้ว จะเป็นที่จังหวัดชลบุรี ซึ่งมีห้องประชุม มีจอมอนิเตอร์ รายละเอียดผมจะมาแจ้งให้ทราบกันอีกครั้งนะครับ

    โมทนาสาธุครับ

    <TABLE class=tborder id=post929595 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">21/1/2550, 07:28 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#14025</TD></TR></TBODY></TABLE>
    :::เพชร:::<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_929595", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 08:28 AM
    วันที่สมัคร: Jul 2006
    อายุ: 42 ปี
    ข้อความ: 2,564 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 16,272 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 25,595 ครั้ง ใน 2,635 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 2830 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]

    นับได้ ๑๓ คำพอดี และเป็นกำลังมหาอุด ซึ่งอายุจรของกระทู้นี้คือ อายุย่างเข้าปีที่ ๓ ซึ่งก็คือพระเกตุทับพระพฤหัส นับว่าสอดคล้องกันกับช่วงเวลาของดวงดาวดีมากครับ ชื่อนี้เกิดจากภูมิปัญญาของอาจารย์ปู่ประถม อาจสาคร และเป็นวาระที่ถูกกำหนดไว้แล้วครับ...

    แปลกที่ช่วงเช้าถึงเย็น ใช้เวลากับการเดินทางดู"กรุพระ" พูดคุยเรื่องสัพเพเหระ มาได้คุยเรื่องชื่อชมรมกันหลังเวลา ๑๖.๑๐ น. ช่วงเวลาที่ได้ชื่อชมรม เป็นเวลาของเทวีฤกษ์ หรือบูรณฤกษ์ ได้ชื่อในช่วง ๑๖.๔๐-๑๗.๑๕ น.<!-- / message --><!-- sig -->
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คำแปลบทสวดงานศพ
    http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=827&PHPSESSID=095b141088662edea167afe57d666c27

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffe082>คำแปลบทสวดงานศพ</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR><TR><TD>โดย : yai93</TD></TR></TBODY></TABLE>วันที่ : 18-02-2549
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="94%" align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle></TD></TR><TR><TD vAlign=top>ไปงานศพหลายครั้งแล้วแต่ไม่ทราบความหมายที่พระสวด จะหาอ่านคำแปลบทสวดงานศพได้ที่ไหน ขอความอนุเคราะห์ด้วย

    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD align=left bgColor=#fff9e6 height=22>ความคิดเห็นที่ 1 โดย : ม.ศ.พ. </TD><TD align=right bgColor=#fff9e6 height=22><INPUT class=nostyle type=checkbox align=absMiddle value=1 name=c_sel[1]>[​IMG] </TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc colSpan=2 height=1></TD></TR><TR><TD colSpan=2><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=4 width="94%" align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle></TD></TR><TR><TD vAlign=top>
    ประเพณีของชาวพุทธที่ประพฤติสืบๆ กันมาคือเมื่อมีญาติเสียชีวิตก็​


    นิยมทำบุญถวายทานกับพระภิกษุผู้ทรงศีลแล้วอุทิศให้ญาติผู้จากไป​


    เมื่อพระภิกษุท่านมาท่านก็แสดงพระธรรมเพื่อให้ญาติที่โศกเศร้าถึง​


    ผู้ล่วงลับไปได้คลายความโศกเศร้า บทธรรมที่นิยมแสดงหรือสวดใน​


    งานศพก็คือ มาติกาพระอภิธรรมปิฎก หรือพระอภิธรรมมัตถสังคหะ ​


    สำหรับมาติกาพระอภิธรรมปิฎก อ่านได้ในพระอภิธรรมปิฎก และ​


    อรรถกถา เล่มที่ ๗๕ ขึ้นไป ส่วนพระอภิธรรมมัตถสังคหะ มีแปลเป็น​

    ภาษาไทยและมีวางจำหน่ายตามร้านขายหนังสือธรรมทั่วไป ​

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc colSpan=2 height=1></TD></TR><TR bgColor=#fff9e6 height=22><TD align=left width="55%"></TD><TD align=right>วันที่ : 19-02-2549 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD align=left bgColor=#eeeeee height=22>ความคิดเห็นที่ 2 โดย : kchat </TD><TD align=right bgColor=#eeeeee height=22><INPUT class=nostyle type=checkbox align=absMiddle value=2 name=c_sel[2]>[​IMG] </TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc colSpan=2 height=1></TD></TR><TR><TD colSpan=2><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=4 width="94%" align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle></TD></TR><TR><TD vAlign=top>งานศพของผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา ในยุคพุทธกาลจัดอย่างไร
    มีพิธีกรรมต่างๆ และต้องมีพระภิกษุไปทำพิธีหรือไม่ครับ มีกล่าว
    ไว้ในพระไตรปิฎกหรือไม่ ถ้ามีกรุณาช่วยยกตัวอย่างด้วยครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc colSpan=2 height=1></TD></TR><TR bgColor=#eeeeee height=22><TD align=left width="55%"></TD><TD align=right>วันที่ : 23-02-2549 </TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD align=left bgColor=#fff9e6 height=22>ความคิดเห็นที่ 3 โดย : ม.ศ.พ. </TD><TD align=right bgColor=#fff9e6 height=22><INPUT class=nostyle type=checkbox align=absMiddle value=3 name=c_sel[3]>[​IMG] </TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc colSpan=2 height=1></TD></TR><TR><TD colSpan=2><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=4 width="94%" align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle></TD></TR><TR><TD vAlign=top>
    เท่าที่พบในอรรถกถาทั้งหลายกล่าวถึงงานศพชองพระอรหันต์ไม่มีพิธีกรรม​


    อะไร จะมีลักษณะที่ว่าเล่นสาธุกีฬาเพื่อให้สลดสังเวชเท่านั้น ส่วนงานศพของ​


    อุบาสกอุบาสิกาก็ไม่ปรากฏว่ามีพิธิกรรมอะไร จะมีเพียงแต่นิมนต์พระภิกษุ​

    สงฆ์มารับทานแล้วอุทิศส่วนบุญให้ผู้ตายเท่านั้น ​

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc colSpan=2 height=1></TD></TR><TR bgColor=#fff9e6 height=22><TD align=left width="55%"></TD><TD align=right>วันที่ : 23-02-2549 </TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD align=left bgColor=#fff9e6 height=22>ความคิดเห็นที่ 4 โดย : ม.ศ.พ. </TD><TD align=right bgColor=#fff9e6 height=22><INPUT class=nostyle type=checkbox align=absMiddle value=4 name=c_sel[4]>[​IMG] </TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc colSpan=2 height=1></TD></TR><TR><TD colSpan=2><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=4 width="94%" align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle></TD></TR><TR><TD vAlign=top>


    ก็ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พึงปฏิบัติในพระสรีระของพระตถาคตอย่างไร. ​


    พึงปฏิบัติในพระสรีระของพระตถาคต เหมือนที่เขาปฏิบัติในพระสรีระของพระ-​


    เจ้าจักรพรรดิ. เขาปฏิบัติในพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิเป็นอย่างไร. ​


    อานนท์ เขาห่อพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิด้วยผ้าใหม่ ครั้นห่อแล้วซับด้วย​


    สำลี ครั้นซับด้วยสำลีแล้ว ห่อด้วยผ้าใหม่ โดยอุบายนี้ ห่อพระสรีระของ​


    พระเจ้าจักรพรรดิด้วยผ้า ๕๐๐ คู่ เชิญลงในรางเหล็กอันเต็มด้วยน้ำมัน ครอบ​


    ด้วยรางเหล็กอื่น กระทำจิตกาธานด้วยของหอมทุกชนิด ถวายพระเพลิงพระ-​


    สรีระของพระเจ้าจักรพรรดิ สร้างพระสถูปของพระเจ้าจักรพรรดิไว้ในทางใหญ่​


    ๔ แพร่ง อานนท์ เขาปฏิบัติในพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิอย่างนี้แล้ว พึง ​


    ปฏิบัติในพระสรีระของพระตถาคตเหมือนเขาปฏิบัติในพระสรีระของพระเจ้า​


    จักรพรรดิฉะนั้น พึงสร้างพระสถูปของพระตถาคตไว้ในทางใหญ่ ๔ แพร่ง​


    ชนเหล่าใด จักยกขึ้นซึ่งมาลัยของหอมหรือจุณ จักอภิวาท หรือยังจิตให้เลื่อม​


    ใสในพระสถูปนั้น ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ชนเหล่านั้น​

    ตลอดกาลนาน.​


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc colSpan=2 height=1></TD></TR><TR bgColor=#fff9e6 height=22><TD align=left width="55%"></TD><TD align=right>วันที่ : 27-02-2549 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=827&PHPSESSID=095b141088662edea167afe57d666c27

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD align=left bgColor=#eeeeee height=22>ความคิดเห็นที่ 5 โดย : ภพฺพาคมโน </TD><TD align=right bgColor=#eeeeee height=22><INPUT class=nostyle type=checkbox align=absMiddle value=5 name=c_sel[5]>[​IMG] </TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc colSpan=2 height=1></TD></TR><TR><TD colSpan=2><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=4 width="94%" align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle></TD></TR><TR><TD vAlign=top>พระสังคิณี

    กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมา, กะตะเม ธัมมา กุสะลา, ยัสมิง สะมะเย กามาวะจะรัง กุสะลัง จิตตัง อุปปันนัง โหติ โสมะนัสสะสะหะคะตัง ญาณะสัมปะยุตตัง รูปารัมมะณัง วา สัททารัมมะณัง วา คัณธารัมมะณัง วา ระสารัมมะนัง วา โผฏฐัพพา รัมมะณังวา ธัมมา รัมมะณัง วา ยัง ยัง วา ปะนะรัพภะ ตัสมิงสะมะเย ผัสโส โหติ อะวิเข โป โหติ เย วา ปะนะ ตัสมัง สะมะเย อัญเญปิ อัตถิ ปฏิจจะสะมุปปันนา อรูปิโน ธัมมา อิเม ธัมมา กุสะลา.

    พระสังคิณี (แปล)

    ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล ธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศล ธรรมทั้งหลายที่เป็นอัพยากฤต ธรรมเหล่าไหนเป็นกุศล ในสมัยใด กามาวจรกุศลจิตที่สหรคตด้วยโสมนัส สัมปยุคด้วยญาณเกิดขึ้น ปรารภอารมณ์ใดๆ จะเป็นรุปารมณ์ก็ดี สัททารมณ์ก็ดี คันธารมณ์ก็ดี รสารมณ์ก็ดี โผฏฐัพพารมณ์ก็ดี ธรรมารมณ์ก็ดี ในสมัยนั้น ผัสสะ ความฟุ้งซ้านย่อมมี อีกอย่างหนึ่งในสมัยนั้น ธรรมเหล่าใดแม้อื่น มีอยู่ เป็นธรรมที่ไม่มีรูป อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล.

    พระวิภังค์

    ปัญจักขันธา รูปักขันโธ เวทะนากขันโธ สัญญากขันโธ สังขารักขันโธ วิญญาณักขักขันโธ, ตัตถะ กะตะโม รูปักขันโธ, ยังกิญจิ รูปัง อะตีตานาคะ ตะปัจจุปปันนัง อัชฌัตตัง วา พะหิตธา วา โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา ทีนัง วา ปะณีตัง วา ยัง ทูเร วา สันติเก วา ตะเทกัชฌัง อภิสัญญูหิตวา อภิสังขิปิตวา อะยัง วุจจะติ รูปักขันโธ.

    พระวิภังค์ (แปล)

    ขันธ์ ๕ คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ บรรดาขันธ์ทั้งหมด รูปขันธ์เป็นอย่างไร รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุปัน ภายในก็ตาม หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม เลวก็ตาม ประณีตก็ตาม อยู่ไกลก็ตาม อยู่ใกล้ก็ตาม นั้นกล่าวรวมกันเรียกว่ารูปขันธ์

    พระธาตุกะถา

    สังคะโห อะสังคะโห, สังคะหิเตนะ อะสังคะหิตัง อะสังคะหิเตนะ สังคะหิตัง สังคะหิเตนะ สังคะหิตัง อะสังคะหิเตนะ อะสังคะหิตัง สัมปะโยโค วิปปะโยโค, สัมปะยุตเตนะ วิปปะยุตตัง วิปปะยุตเตนะ สัมปะยุตตัง อะสังคะหิตัง.


    พระธาตุกะถา (แปล)

    การสงเคราะห์ การไม่สงเคราะห์ คือ สิ่งที่ไม่ให้สงเคราะห์เข้ากับสิ่งที่สงเคราะห์ไม่ได้ สิ่งที่สงเคราะห์เข้ากับสิ่งที่สงเคราะห์ได้ สิ่งที่ไม่สงเคราะห์เข้ากับสิ่งที่สงเคราะห์ไม่ได้ การอยู่ด้วยกัน การพลัดพรากคือ การพลัดพรากจากสิ่งที่อยู่ด้วยกัน การอยู่ร่วมกับสิ่งที่พลัดพรากไปจัดเป็นสิ่งที่สงเคราห์ไม่ได้.

    พระปุคคะละปัญญัตติ

    ฉะ ปัญญัตติโย ขันธะปัญญัติ อายะตะนะปัญญัตติ ธาตุปัญญัตติ สัจจะปัญญัตติ อินทริยะปัญญัตติ ปุคคะละปัญญัตติ, กิตตาวะตา ปุคคะลานัง ปุคคะละปัญญัตติ, สะมะยะวิมุตโต อะสะมะยะวิมุตโต กุปปะธัมโม อะกุปปะธัมโม ปะริหานะธัมโม อะปะริหานะธัมโม เจตะนา ภัพโพ อนุรักขะนาภัพโพ ปุถุชชะโน โคตระภู ภะยูปะระโต อะภะยูปะระโต ภัพพาคะมะโน อะภัพพาคะมะโน นิยะโต อะนิยะโต ปฏิปันนะโก ผะเลฏฐิโต อะระหา อะระหัตตายะ ปฏิปันโน.

    พระปุคคะละปัญญัตติ (แปล)

    บัญญัติ ๖ คือ ขันธบัญญัติ อายตนบัญญัติ ธาตุบัญญัติ สัจจบัญญัติ อินทรีย์บัญญัติ บุคคลบัญญัติ บุคคลบัญญัติของบุคคลมีเท่าไร มีการพ้นจากสิ่งที่ควรรู้ การพ้นจากสิ่งที่ไม่ควรรู้ ผู้มีธรรมที่กำเริบได้ ผู้มีธรรมที่กำเริบไม่ได้ ผู้มีธรรมที่เสื่อมได้ ผู้มีธรรมที่เสื่อมไม่ได้ ผู้มีธรรมที่ควรแก่เจตนา ผู้มีธรรมที่ควรแก่การรักษา ผู้ที่เป็นปุถุชน ผู้รู้ตระกูลโคตร ผู้เข้าถึงภัย ผู้เข้าถึงอภัย ผู้ไม่ถึงสิ่งที่ควร ผู้ไม่ถึงสิ่งที่ไม่ควร ผู้เที่ยง ผู้ไม่เที่ยง ผู้ปฏิบัติ ผู้ตั้งอยู่ในผล ผู้เป็นพระอรหันต์ ผู้ปฏิบัติเพื่อพระอรหันต์.

    พระกถาวัตถุ

    ปุคคะโล อุปะลัพภะติ สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ อามันตา, โย สัจฉิกัตโถ ปะระมัตโถ ตะโต โส ปุคคะโล อุปะลัพภะติ สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ, นะ เหวัง วัตตัพเพ, อาชานาหิ นิคคะหัง หัญจิ ปุคคะโล อุปะลัพภะติ สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนะ เตนะ วะตะ เร วัตตัพเพ โย สัจฉิกัตโถ ปะระมัตโถ ตะโต โส ปุคคะโล อุปะลัพภะติ สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ, มิจฉา.

    พระกถาวัตถุ (แปล)

    (ถาม) ค้นหาบุคคลไม่ได้โดยปรมัตถ์ คือ ความหมายที่แท้จริงหรือ
    (ตอบ) ใช่... ค้นหาบุคคลไม่ได้โดยปรมัตถ์ คือ โดยความหมายที่แท้จริง
    (ถาม) ปรมัตถ์ คือ ความหมายอันแท้จริงอันใดมีอยู่ ค้นหาบุคคลนั้นไม่ได้โดยปรมัตถ์ คือโดยความหมายอันแท้จริงอันนั้นหรือ
    (ตอบ) ท่านไม่ควรกล่าวอย่างนี้ ท่านจงรู้นิคคะหะเถิด ว่าท่านค้นหาบุคคลไม่ได้โดยปรมัตถ์ คือ โดยความหมายอันแท้จริงแล้ว ท่านก็ควรกล่าวด้วยเหตุนั้นว่า ปรมัตถ์คือความหมายอันแท้จริงอันใดมีอยู่ เราค้นหาบุคคลนั้นไม่ได้โดยปรมัตถ์ คือโดยความหมายอันแท้จริงนั้น คำตอบของท่านที่ว่า ปรมัตถ์คือความหมายอันแท้จริงอันใดมีอยู่ เราค้นหาบุคคลนั้นไม่ได้โดยปรมัตถ์คือ โดยความหมายอันแท้จริงนั้นจึงผิด.

    พระยะมะกะ

    เย เกจิ กุสะลา ธัมมา สัพเพ เต กุสะลามูลา, เย วา ปะนะ กุสะละมูลา สัพเพ เต ธัมมา กุสะลา, เย เกจิ กุสะลา ธัมมา สัพเพ เต กุสะละมูเลนะ เอกะมูลา, เย วา ปะนะ กุสะละมูเลนะ เอกะมูลา สัพเพ เต ธัมมา กุสะลา.

    พระยะมะกะ (แปล)

    ธรรมบางเหล่าเป็นกุศล ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดมีกุศลเป็นมูล อีกอย่าง ธรรมเหล่าใดมีกุศลเป็นมูล ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดก็เป็นกุศล ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดมีอันเดียวกับธรรมที่มีกุศลเป็นมูล อีกอย่างหนึ่ง ธรรมเหล่าใดมีมูลอันเดียวกับธรรมที่เป็นกุศล ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดเป็นกุศล.

    พระมหาปัฏฐาน

    เหตุปัจจะโย อารัมมะณะปัจจะโย อธิปะติปัจจะโย อนันตะระปัจจะโย สะมะนันตะระปัจจะโย สะหะชาตะปัจจะโย อัญญะมัญญะปัจจะโย นิสสะยะปัจจะโย อุปะนิสสะยะปัจจะโย ปุเรชาตะปัจจะโย ปัจฉาชาตะปัจจะโย อาเสวะนะปัจจะโย กัมมะปัจจะโย วิปากาปัจจะโย อาหาระปัจจะโย อินทริยะปัจจะโย ฌานะปัจจะโย มัคคะปัจจะโย สัมปะยุตตะปัจจะโย วิปปะยุตตะปัจจะโย อัตถิปัจจะโย นัตถิปัจจะโย วิคะตะปัจจะโย อะวิคะตะปัจจะโย.

    พระมหาปัฏฐาน (แปล)

    ธรรมที่มีเหตุเป็นปัจจัย ธรรมที่มีอารมณ์เป็นปัจจัย ธรรมที่มีอธิบดีเป็นปัจจัย ธรรมที่มีปัจจัยหาที่สุดมิได้ ธรรมที่มีปัจจัยมีที่สุดเสมอกัน ธรรมที่เกิดพร้อมกับปัจจัย ธรรมที่เป็นปัจจัยของกันและกัน ธรรมที่มีนิสัยเป็นปัจจัย ธรรมที่มีธรรมเกิดก่อนเป็นปัจจัย ธรรมที่มีธรรมเกิดภายหลังเป็นปัจจัย ธรรมที่มีการเสพเป็นปัจจัย ธรรมที่มีกรรมเป็นปัจจัย ธรรมที่มีวิบากเป็นปัจจัย ธรรมที่มีอาหารเป็นปัจจัย ธรรมที่มีอินทรีย์เป็นปัจจัย ธรรมทีมีฌานเป็นปัจจัย ธรรมที่มีมรรคเป็นปัจจัย ธรรมที่มีการประกอบเป็นปัจจัย ธรรมที่มีการอยู่ไม่ปราศจากเป็นปัจจัย ธรรมที่มีปัจจัย ธรรมที่ไม่มีปัจจัย ธรรมที่มีการอยู่ปราศจากเป็นปัจจัย ธรรมที่ไม่มีการอยู่ปราศจากเป็นปัจจัย.

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc colSpan=2 height=1></TD></TR><TR bgColor=#eeeeee height=22><TD align=left width="55%"></TD><TD align=right>วันที่ : 28-02-2549 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD align=left bgColor=#eeeeee height=22>ความคิดเห็นที่ 9 โดย : วันชัย๒๕๐๔ </TD><TD align=right bgColor=#eeeeee height=22><INPUT class=nostyle type=checkbox align=absMiddle value=9 name=c_sel[9]>[​IMG] </TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc colSpan=2 height=1></TD></TR><TR><TD colSpan=2><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=4 width="94%" align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle></TD></TR><TR><TD vAlign=top>ก่อนอื่นขอขอบพระคุณคุณภพฺพาคมโน กำลังอยากทราบบทแปลอยู่พอดีครับ ผมไปงาน

    ศพมาตั้งแต่เด็กจนบัดนี้ก็หลายสิบปี เสียดายที่ฟังไม่รู้เรื่อง แม้ปัจจุบันก็เพียงแต่คาดเดา

    (กุศลาธัมมา อกุศลาธัมมา) แอบคิดดังๆให้เพื่อนและญาติฟังก็หลายทีว่าน่าเสียดายโอกาส

    ที่นานๆจะได้เข้าวัด (สำหรับคนในยุคปัจจุบัน) น่าจะได้ใช้โอกาส(งานศพ) นี้ในการแสดง

    ธรรมให้มากกว่าการสวด ไปงานศพทุกทีก็คิดเสียดายทุกทีไป ก็ได้แต่คิดนะครับ ท่านผู้

    ใดจะกรุณายกตัวอย่างงานศพของผู้ศึกษาธรรมท่านใด พอเป็นแนวทางได้บ้าง ก็จักขอบ

    พระคุณยิ่งครับ


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc colSpan=2 height=1></TD></TR><TR bgColor=#eeeeee height=22><TD align=left width="55%"></TD><TD align=right>วันที่ : 17-06-2550 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD align=left bgColor=#eeeeee height=22>ความคิดเห็นที่ 10 โดย : wannee.s </TD><TD align=right bgColor=#eeeeee height=22><INPUT class=nostyle type=checkbox align=absMiddle value=10 name=c_sel[10]>[​IMG] </TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc colSpan=2 height=1></TD></TR><TR><TD colSpan=2><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=4 width="94%" align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle></TD></TR><TR><TD vAlign=top>ส่วนมากจะสวดอภิธรรม ปัจจัย 24 เช่น ธรรมที่เป็นกุศล ธรรมที่เป็นอกุศล ธรรมที่ไม่ใช่

    กุศล ธรรมที่ไม่ใช่อกุศล สวดบท อภิณณหปัจจเวกขณะ เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะ

    ล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไปไม่ได้ เรามีความ

    ตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้ เราจักต้องพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจ

    ทั้งสิ้น เรามีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใด

    ไว้ เป็นบุญหรือบาป เราจักได้รับผลของกรรมนั้น ฯลฯ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc colSpan=2 height=1></TD></TR><TR bgColor=#eeeeee height=22><TD align=left width="55%"></TD><TD align=right>วันที่ : 17-06-25</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post921356 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">16-01-2008, 06:10 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#1044 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>sira<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_921356", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 11:33 AM
    วันที่สมัคร: Feb 2005
    อายุ: 33 ปี
    ข้อความ: 130 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 25 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 967 ครั้ง ใน 127 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 146 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_921356 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->พระขรรค์พระพุทธเจ้า 5 พระองค์
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ผมมีข่าวบุญมาบอกครับผม เนื่องจากขณะนี้พระอาจารย์นิล ได้กำลังดำเนินการจัดสร้างพระขรรค์สำริดของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ เพราะฉะนั่นในพระขรรค์ก็จะต้องมีโลหะสำริดเป็นหลัก และก็ได้มีผู้ถวายสำริดเก่ากับพระอาจารย์มาแล้วส่วนหนึ่งดังรูปครับ
    แต่ช่างที่ทำการหล่อได้บอกว่าในการหล่อพระขรรค์ต้องมีส่วนผสมของทองแดงและดีบุกเพื่อเป็นตัวประสาน ซึ่งขณะนี้พระอาจารย์ก็มีทองแดงส่วนหนึ่งและไม่เพียงพอที่จะหล่อพระบรรค์สำริด ผมจึงบอกบุญมารับบริจาค " ลวดทองแดงและสำริดเก่า " เพื่อถวายพระอาจารย์นิลในการสร้างพระขรรค์สำริดในครั้งนี้ครับ

    สามารถส่งลวดทองแดงหรือสำริด เก่าๆก็ได้นะครับ มาตามที่อยู่ข้างล่างนี้ครับ
    นายสิรเชษฐ์ ลีละสุนทเลิศ
    19/117 อาคารปัญจทรัพย์คอนโด(A)
    ซอยโชคชัย 4(37) ถ.ลาดพร้าว
    แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว
    กรุงเทพฯ 10230 ครับ
    โมทนาบุญกับทุกๆๆท่านด้วยครับ

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]

    <!-- / message --><!-- attachments --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมอยากจะเตือนในเรื่องสิ่งเหล่านี้นะครับ

    "อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง"

    มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว และให้ใช้ "สติ" และ "ปัญญา" ตามหลักวิถีทางพุทธ ดีที่สุดครับ

    http://www.komchadluek.net/2008/01/18/a001_186249.php?news_id=186249

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=567 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>สาวเภสัชแฟนทิ้งพึ่งหมอเสน่ห์ถูกลวงข่มขืน</TD></TR><TR><TD vAlign=top>18 มกราคม 2551 19:06 น.</TD></TR><TR><TD class=Text_Story vAlign=top><!-- [​IMG] นักศึกษาสาวเภสัชศาสตร์เครียดแฟนทิ้ง หันหาไสยศาสตร์ พึ่งหมอทำเสน่ห์ ครั้งแรกหลอกจับหน้าอกยังไม่เฉลียวใจ ถูกหลอกให้มาพบเพื่อทำพิธีอีกครั้งกลางดึก สบโอกาสข่มขืนยับ โร่ขึ้นโรงพักแจ้งความ ตำรวจตามรวบตัวหมอเจ้าเล่ห์ยังปากแข็งขอให้การในชั้นศาล
    นักศึกษาเชื่อไสยศาสตร์จนต้องเสียตัวครั้งนี้ เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 18 มกราคม พ.ต.อ.สันติ ไทยเสถียร ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น พร้อมด้วย พ.ต.ท.วิเศษ ภักดีวุฒิ สารวัตรเวรสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น ควบคุมตัว นายพิสิษฐ์ อาสาฬหสมบูรณ์ อายุ 35 ปี เจ้าของร้านขายจักรยานไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้า เลขที่ 624/4 ถนนหน้าเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น ผู้ต้องหาลวงนักศึกษาสาวคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งใน จ.ขอนแก่น ไปข่มขืนกระทำชำเรา
    พ.ต.อ.สันติ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 01.30 น. วันที่ 12 มกราคม ที่ผ่านมา น.ส.ดาว (นามสมมุติ) อายุ 22 ปี นักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ ได้แจ้งความว่าถูกนายพิสิษฐ์ลวงไปข่มขืนที่บ้านพักตามที่อยู่ของผู้ต้องหา
    จากการสอบสวน น.ส.ดาว ให้การว่า หลังใช้ชีวิตอยู่กับแฟนมาระยะหนึ่ง แต่จู่ๆ คนรักก็ทำตัวออกห่าง เพราะมีผู้หญิงคนใหม่ ทำให้เครียดจัด ไม่รู้จะทำอย่างไรถึงจะได้ตัวแฟนกลับมาอยู่ด้วยเหมือนเดิม พยายามพูดจาขอให้กลับมารักกันเหมือนเดิมก็ไม่เป็นผล จึงคิดพึ่งวิธีทางไสยศาสตร์เพื่อดึงแฟนกลับคืนมา
    ต่อมาเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 1 ธันวาคม 2550 ได้ขับรถผ่านไปพบร้านของนายพิสิษฐ์ ที่เป็นตึก 3 คูหา 3 ชั้น ในตัวเมืองขอนแก่น เห็นใบปิดประกาศรับดูดวงและสะเดาะเคราะห์อยู่หน้าร้าน จึงเข้าไปติดต่อสอบถาม โดยนายพิสิษฐ์ ได้เริ่มทักทายเรื่องดวงชะตา และโน้มน้าวให้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ จนหลงเชื่อ ขึ้นไปทำพิธีที่ห้องบริเวณชั้นสองของตัวบ้าน ซึ่งเป็นห้องโถงโล่งมีเพียงเฟอร์นิเจอร์และโต๊ะเก้าอี้ 2-3 ตัวเท่านั้น เมื่ออยู่ด้วยกันสองต่อสอง นายพิสิษฐ์ ได้บอกให้นอนลงบนเสื่อปูพื้น โดยพูดเกี่ยวกับความเชื่อทางไสยศาสตร์ ที่เป็นสาเหตุของการที่แฟนไม่รัก พร้อมกับใช้มือเปิดเสื้อ น.ส.ดาวขึ้น ทำทีเสกคาถาใส่มือแล้วลูบไล้ตามหน้าอก จึงเป็นอันเสร็จพิธี
    จากนั้นนายพิสิษฐ์ได้นัดมาทำพิธีสะเดาะเคราะห์ใหญ่อีกครั้งในวันที่ 12 มกราคม เวลา 21.00 น. โดยให้เหตุผลว่า เป็นฤกษ์ยามที่เหมาะสมที่สุด เมื่อถึงวันเวลาที่นัด น.ส.ดาวจึงมาที่บ้านหลังเกิดเหตุอีกครั้ง และนายพิสิษฐ์ ได้พาไปชั้นสองของบ้านและทำพิธีเหมือนเดิม แต่คราวนี้นอกจากลูบไล้หน้าอกแล้ว นายพิสิษฐ์ ยังได้พยายามถอดเสื้อผ้า เมื่อขัดขืนก็ถูกทำร้ายร่างกาย จากนั้นได้ใช้กำลังข่มขืนจนสำเร็จ โดยขู่ห้ามแจ้งความเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะฆ่าให้ตาย
    พ.ต.อ.สันติ กล่าวว่า หลังรับแจ้งความ ได้ให้ผู้เสียหายไปตรวจร่างกายและสอบพยานแวดล้อม จนพบว่ามีคนเห็น น.ส.ดาว วิ่งออกมาจากบ้านหลังที่เกิดเหตุจริง จึงขออนุมัติหมายศาลเข้าควบคุมตัวนายพิสิษฐ์ มาสอบสวนและรับทราบข้อกล่าวหาข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยบุคคลนั้นไม่สามารถขัดขืนได้ เบื้องต้นผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธ โดยขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น

    -->
    นักศึกษาสาวเภสัชศาสตร์เครียดแฟนทิ้ง หันหาไสยศาสตร์ พึ่งหมอทำเสน่ห์ ครั้งแรกหลอกจับหน้าอกยังไม่เฉลียวใจ ถูกหลอกให้มาพบเพื่อทำพิธีอีกครั้งกลางดึก สบโอกาสข่มขืนยับ โร่ขึ้นโรงพักแจ้งความ ตำรวจตามรวบตัวหมอเจ้าเล่ห์ยังปากแข็งขอให้การในชั้นศาล
    นักศึกษาเชื่อไสยศาสตร์จนต้องเสียตัวครั้งนี้ เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 18 มกราคม พ.ต.อ.สันติ ไทยเสถียร ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น พร้อมด้วย พ.ต.ท.วิเศษ ภักดีวุฒิ สารวัตรเวรสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น ควบคุมตัว นายพิสิษฐ์ อาสาฬหสมบูรณ์ อายุ 35 ปี เจ้าของร้านขายจักรยานไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้า เลขที่ 624/4 ถนนหน้าเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น ผู้ต้องหาลวงนักศึกษาสาวคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งใน จ.ขอนแก่น ไปข่มขืนกระทำชำเรา
    พ.ต.อ.สันติ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 01.30 น. วันที่ 12 มกราคม ที่ผ่านมา น.ส.ดาว (นามสมมุติ) อายุ 22 ปี นักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ ได้แจ้งความว่าถูกนายพิสิษฐ์ลวงไปข่มขืนที่บ้านพักตามที่อยู่ของผู้ต้องหา
    จากการสอบสวน น.ส.ดาว ให้การว่า หลังใช้ชีวิตอยู่กับแฟนมาระยะหนึ่ง แต่จู่ๆ คนรักก็ทำตัวออกห่าง เพราะมีผู้หญิงคนใหม่ ทำให้เครียดจัด ไม่รู้จะทำอย่างไรถึงจะได้ตัวแฟนกลับมาอยู่ด้วยเหมือนเดิม พยายามพูดจาขอให้กลับมารักกันเหมือนเดิมก็ไม่เป็นผล จึงคิดพึ่งวิธีทางไสยศาสตร์เพื่อดึงแฟนกลับคืนมา
    ต่อมาเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 1 ธันวาคม 2550 ได้ขับรถผ่านไปพบร้านของนายพิสิษฐ์ ที่เป็นตึก 3 คูหา 3 ชั้น ในตัวเมืองขอนแก่น เห็นใบปิดประกาศรับดูดวงและสะเดาะเคราะห์อยู่หน้าร้าน จึงเข้าไปติดต่อสอบถาม โดยนายพิสิษฐ์ ได้เริ่มทักทายเรื่องดวงชะตา และโน้มน้าวให้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ จนหลงเชื่อ ขึ้นไปทำพิธีที่ห้องบริเวณชั้นสองของตัวบ้าน ซึ่งเป็นห้องโถงโล่งมีเพียงเฟอร์นิเจอร์และโต๊ะเก้าอี้ 2-3 ตัวเท่านั้น เมื่ออยู่ด้วยกันสองต่อสอง นายพิสิษฐ์ ได้บอกให้นอนลงบนเสื่อปูพื้น โดยพูดเกี่ยวกับความเชื่อทางไสยศาสตร์ ที่เป็นสาเหตุของการที่แฟนไม่รัก พร้อมกับใช้มือเปิดเสื้อ น.ส.ดาวขึ้น ทำทีเสกคาถาใส่มือแล้วลูบไล้ตามหน้าอก จึงเป็นอันเสร็จพิธี จากนั้นนายพิสิษฐ์ได้นัดมาทำพิธีสะเดาะเคราะห์ใหญ่อีกครั้งในวันที่ 12 มกราคม เวลา 21.00 น. โดยให้เหตุผลว่า เป็นฤกษ์ยามที่เหมาะสมที่สุด เมื่อถึงวันเวลาที่นัด น.ส.ดาวจึงมาที่บ้านหลังเกิดเหตุอีกครั้ง และนายพิสิษฐ์ ได้พาไปชั้นสองของบ้านและทำพิธีเหมือนเดิม แต่คราวนี้นอกจากลูบไล้หน้าอกแล้ว นายพิสิษฐ์ ยังได้พยายามถอดเสื้อผ้า เมื่อขัดขืนก็ถูกทำร้ายร่างกาย จากนั้นได้ใช้กำลังข่มขืนจนสำเร็จ โดยขู่ห้ามแจ้งความเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะฆ่าให้ตาย พ.ต.อ.สันติ กล่าวว่า หลังรับแจ้งความ ได้ให้ผู้เสียหายไปตรวจร่างกายและสอบพยานแวดล้อม จนพบว่ามีคนเห็น น.ส.ดาว วิ่งออกมาจากบ้านหลังที่เกิดเหตุจริง จึงขออนุมัติหมายศาลเข้าควบคุมตัวนายพิสิษฐ์ มาสอบสวนและรับทราบข้อกล่าวหาข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยบุคคลนั้นไม่สามารถขัดขืนได้ เบื้องต้นผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธ โดยขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น <TABLE align=center><TBODY></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdOakU0TURFMU1RPT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBd09DMHdNUzB4T0E9PQ

    วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6259 ข่าวสดรายวัน


    รวบหมอเสน่ห์ ถ่ายคลิปเปลือย

    ลวงเหยื่อสาวแก้ผ้า ทำพิธีแก้"เคราะห์"



    หมอเสน่ห์ลวงถ่ายคลิปโป๊เหยื่อสาวแล้วพยายามปลุกปล้ำ แต่เหยื่อไม่ยอมเลยเผ่นเตลิด เผยสาววัย 35 ขึ้นโรงพักแจ้งจับ"พ่อหมอ"หมอเสน่ห์คนดังในหมู่บ้านพยายามขืนใจ ทำทีเป็นทักว่ามีเคราะห์ ต้องทำพิธีแก้เคราะห์กลางดึก ให้เหยื่อแก้ผ้านอนหลับตา แอบใช้มือถือถ่ายคลิปไว้แล้วลูบไล้ปลุก ปล้ำ แต่เหยื่อไม่ยอมเลยต้องเผ่นเตลิด ตร.ตามไปจับได้ที่บ้าน ยึดมือถือมาดูก็พบภาพถ่ายเหยื่อสาวเปลือยเปล่า พอตกบ่ายเหยื่อขอถอนแจ้งความ เพราะพ่อหมอยอมจ่ายค่าทำขวัญให้

    เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 17 ม.ค. ตำรวจสภ.วัง ทอง จ.พิษณุโลก รับแจ้งเหตุจากนางต้อย (นามสมมติ) อายุ 35 ปี บ้านอยู่ อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ว่า ถูกเพื่อนบ้านเป็นชายหนุ่ม อายุ 31 ปี ซึ่งมีอาชีพเป็นหมอดูดวงชะตา สะเดาะเคราะห์ และหมอทำเสน่ห์ ลวนลามทางเพศ และถ่ายรูปเปลือยไว้

    จากการสอบสวนนางต้อยให้การว่า หมอดูคนดังกล่าวชาวบ้านในหมู่บ้านเรียกกันว่า "พ่อหมอ" เป็นที่นับหน้าถือตาของชาวบ้าน ทำนายดวงชะตา ทำไสย ศาสตร์รักษา สะเดาะเคราะห์ และทำเสน่ห์ กระทั่งไปรู้จักกับพ่อหมอ ทักว่ามีเคราะห์ร้าย ต้องทำพิธีแก้สะเดาะเคราะห์ถึงจะหาย โดยนัดให้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ในเวลากลางคืน กระทั่งเมื่อคืนวันที่ 16 ม.ค. ที่ผ่านมา พ่อหมอมาหาที่บ้านพร้อมกับอุปกรณ์สำหรับทำพิธีทางไสยศาสตร์ เมื่อมาถึงพาเข้าไปทำพิธีภายในบ้าน จ่ายเงินค่าครูให้จำนวน 1,200 บาท จากนั้นพ่อหมอบอกให้นอนราบกับพื้น พร้อมทั้งให้หลับตา ระหว่างได้ยินเสียงท่องคาถาพึมพำ

    นางต้อยให้การต่อว่า กระทั่งเวลาผ่านไป 10 นาที พ่อหมอบอกให้ถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมด เพื่อจะประกอบพิธีขั้นสุดท้าย จึงยอมถอดผ้าออก นอนเปลือยกายต่อหน้าพ่อหมอ และให้หลับตาต่อไปอีก มารู้สึกตกใจอีกครั้ง เมื่อพ่อหมอจับอวัยวะเพศ ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพ พยายามจะนวด ลูบคลำร่าง กาย จึงรีบลุกขึ้นต่อว่าจนพ่อหมอรีบหลบหนีออกมาจากบ้าน หลังเกิดเหตุ นอนไม่หลับทั้งคืน กระทั่งรุ่งเช้าปรึกษากับญาติพี่น้อง บอกให้เข้าแจ้งความตำรวจ เนื่องจากกลัวว่าพ่อหมอจะนำภาพถ่ายไปเผยแพร่ประจาน ทำให้ได้รับความเสียหาย

    ต่อมาตำรวจนำกำลังไปจับกุมพ่อหมอได้ที่บ้านพัก พร้อมของกลางเงินสดของผู้เสียหาย และโทรศัพท์มือถือ ภายในเครื่องมีภาพที่ถ่ายเอาไว้ จึงควบคุมตัวมาทำการสอบสวนให้การรับสารภาพว่า ชอบผู้เสียหายมานานแล้ว หลังจากได้รู้จัก จึงทักว่าจะมีเคราะห์ กระทั่งให้ไปทำพิธีที่บ้าน หลังจากถอดเสื้อผ้าออกเกิดอารมณ์ทางเพศ จึงใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปเอาไว้ เพื่อหวังจะใช้เป็นเครื่องมือต่อรองหากไม่ยินยอม และพยายามปลุกปล้ำ แต่ฝ่ายหญิงไม่ยอม จึงหลบหนีกลับมาอยู่บ้าน ไม่คิดว่าผู้เสียหายจะกล้าแจ้งความ

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังตำรวจจับกุมตัวพ่อหมอแล้ว ปรากฏว่าในช่วงบ่าย นางต้อยผู้เสียหายเดินทางเข้าพบตำรวจ และถอนแจ้งความไม่เอาเรื่อง เนื่อง จากเกรงว่าครอบครัวจะอับอาย ส่วนพ่อหมอผู้ต้องหาตกลงจะชดใช้เป็นค่าทำขวัญให้แก่ผู้เสียหาย ทางตำรวจจึงปล่อยตัวไป


    .
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  19. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ไม่ดีครับ ยังไม่มีคุณสมบัติ เพียงทำสิ่งที่ชอบทำ สิ่งที่อยากทำ สิ่งที่สมควรทำ และสิ่งที่ต้องทำเท่านั้นครับ ขอบคุณสำหรับคำชื่นชม แต่รับไม่ได้ครับ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

แชร์หน้านี้

Loading...