เมื่อลูกของข้าพเจ้าได้พบยมบาลและได้ไปเที่ยวสวรรค์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Supop, 12 สิงหาคม 2014.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เรื่องการข้ามมิตินั่นหละครับถูกแล้วครับ..
    ส่วนตัวต้องกล่าวคำว่าขอบคุณ คุณพรตพเนจร มากครับ
    ที่ได้แนะนำหรือเตือนมาครับและมิได้มองว่าเป็นการรบกวน
    อะไรเลยครับ และพอจะเข้าใจเจตนาคุณดีครับ..
    โดยส่วนตัวเรียกเรื่องที่เตือนว่าการทำให้ ภพภูมิสะเทือน ซึ่งปกติโดยส่วนตัว
    ยึดเป็นแนวทางปฏิบัติข้อหนึ่งส่วนตนอยู่ครับ..
    และก็พอจะเข้าใจบ้างถึงแม้ไม่มากนะครับสำหรับกลุ่มคนที่
    มีปีกและมีอาวุธติดตัวมาตั้งแต่เกิด.ว่าเดินทางสายไหนอยู่ครับ...
    อืมมม..โดยส่วนตัวแล้วเรื่องเชื่อมประตูมิติจะทำเพื่อเหตุแค่ ๒ กรณีครับ
    คือ ๑.เพื่อไปนั่งฝึกสมาธิในสภาวะไร้กาลเวลาที่กุฏิแห่งหนึ่งและ
    ๒.ต้องการทำคือเพื่อไปนั่งฝึกสงบจิตใจ
    บริเวณใต้ต้นไม้แห่งหนึ่งที่เย็นๆเพื่อเกี่ยวกับเรื่องวิปัสสนาแต่ก็ไม่ได้ทำบ่อย
    เท่าไรครับ..ทั้ง ๒ สถานที่นี้คุณ พรตพเนจร ทราบดีว่าที่ไหน..
    แต่ก็อาจจะมีบ้างที่อาจจะเพื่อเหตุส่วนตัว เช่นเพื่อไปยังแหล่ง
    ต้นกำเนิดของจิตเพื่อดึงบางอย่างมาแต่ก็เพื่อใช้ประโยชน์ทางธรรมทั้งนั้น
    และบางกรณีก็เพื่อโน้มนำมา
    เพื่อพิจารณาในการปล่อยวางอารมย์ปัจจุบันเฉยๆครับ
    ส่วนตัวคิดเอาเองว่าคงพอยอมรับได้.
    ปล.สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณอีกครั้งครับ...
    และหวังว่าจะพอคาดคะเนพื้นฐานนิสัยกันได้นะครับ...

     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เด่วผมจะเล่าให้ฟังอย่างนี้นะครับ
    ลองๆอ่านดูก่อนถือว่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์ครับ.
    วิธีการที่คุณเล่ามาทั้ง ๓ วิธีนั้น ถ้าจะเอา
    กิริยาทางจิตที่เกิดคล้ายๆกันครับ.แต่แตกต่างกันในหลักการณ์ครับ
    แบบของคุณที่เล่ามาเป็นการใช้สมาธิตั้งต้นก่อนเพื่อดึงให้จิตเข้า
    สู่สภาวะที่เป็นทิพย์และแยกออกจากกายตัวเองก่อน.แล้วสร้างภาพ
    เพื่อใช้ให้ภาพนั้นเป็นเสมือนประตูมิติ..หรือนั่งสมาธิจนเข้าสู่ความ
    สงบระดับสูงอย่างวิธีที่ ๑.นั้นจุดขาวๆที่ว่าก็เป็นเสมือนประตูมิติ.
    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในหลักการทั้ง ๓ วิธีก็คล้ายกันคือต้องดึงจิตให้แยก
    กับกายให้ได้ก่อนในระดับที่ตัดประสาทสัมผัสออกได้ซึ่งจะในระดับ
    กำลังสมาธิระดับไหนก็ตามแต่ความถนัดครับ.
    แต่ภาพนั้นหรือจุดขาวๆนั้นไม่ได้มีเพื่อการเปิดประตูมิติ.
    แต่ด้วยกิริยาที่ที่จะส่งผลกับจิตจึงมองเสมือนคล้ายคลึงกันได้
    ยิ่งกรณีที่เราจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจที่จะผ่านจุดหรือภาพนั้นๆก็ตามครับ
    .และวิธีที่ ๑.นั่นก็อันตรายมากครับ. ครูบาร์อาจารย์ท่านห้าม
    คุณไว้ ณ ถูกต้องแล้วครับ
    ที่ส่วนตัวรู้จักถึงขนาดเพี้ยนเลยนะครับ.เพราะกายทิพย์
    สะเทือนได้..เพราะถ้าหากบางคนมีความสามารถถึงนะครับ
    ให้ตรวจสอบตัวเองให้มั่นใจก่อนว่า เรามี ๑.มีครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิช่วยหนุน
    และ๒.มีพันธมิตรมีฤิทธิ์ทางภพภูมิและ ๓.รวมทั้งฐานกำลังสมาธิที่สูงพอตัว
    เพราะหากไปทำแล้วเพี้ยนทุกรายครับ..และก็กลับค่อนข้างยากด้วยครับ..
    แม้แต่ใครที่ฝึกวิชาเดินธาตุโบราณและเดินธาตุสายสมเด็จพระสังฆราชมีชื่อ
    ในอดีต..แล้วไปใช้หลักการรวมธาตุที่ข้างนอกกายโดยไม่ดึงเข้าสู่กายก่อน
    และไม่มีองค์ประกอบทั้ง ๓ ข้ออย่างที่กล่าวก็มีโอกาสเพี้ยนๆได้ทุกคนครับ..
    ส่วนวิธีที่ ๒ และ ๓ ไม่ค่อยน่าห่วงเพราะส่วนมากจะอยู่ภายใต้บารมีของครูบาร์
    อาจารย์เป็นทุนแต่โดยมากจะโน้มไปทางอฐิษฐานจิตเพื่อให้เกิด
    เครื่องรู้พิเศษซะส่วนใหญ่ถ้าสามารถผุดเรื่องที่อฐิษฐานจิตได้และ
    ก็พอมีกำลังสมาธิสะสมและกำลังสติทางธรรมพอที่จะรักษาอารมย์ไว้
    ได้เหมือนคุณนะครับ..แต่ก็มีบ้างที่จะโน้มมาทางเรื่องพลังงาน
    และก็มีบ้างแต่น้อยที่จะมาทั้งทางเรื่องพลังงานและเรื่องอฐิษฐานจิต
    ที่เห็นทำได้ส่วนมากจะอยู่ในรูปพระสงฆ์ครับ...
    แต่ข้อเสียนะครับคุณ Supop ก็คือส่วนมากมักจะไปติดในเรื่องสิ่งที่รู้ สิ่งที่เห็น
    หากว่าไม่สร้างกำลังสติทางธรรมเสริมให้มากๆส่วนมากจะ
    หลงทางเพราะจะติดเรื่องว่าตัวว่าตน.ยอมรับฟังความคิดเห็น
    ผู้อื่นๆได้ยากหากว่าไม่ตรงกับที่สัญญาในจิตตนเคยมี.
    เผลอๆหลงคิดว่าตัวเองบรรลุธรรมด้วยครับ.ซึ่งก็มีกรณี
    อย่างนี้อยู่ในปัจจุบันไม่ใช่ไม่มีครับ.ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายมากครับ.
    ส่วนแบบประตูมิติที่ส่วนตัวจะเล่าให้ฟัง หลักการมันคือ..
    การเปิดประตูมิติ ๒ มิติให้ได้ ๒ ประตูครับ ไม่ต้องนั่งสมาธิ
    เพื่อดึงกายกับจิตให้แยกออกจากกันพูดง่ายๆลืมตาทำนี่หละครับ
    และใช้เพียวกำลังจิตกับเทคนิคในการเชื่อมเส้นสายพลังงานแทนครับ
    .ประตูที่ ๑ คือตรงที่ๆเราอยู่และประตูที่ ๒ คือสถานที่ๆเราจะไปครับ..
    และก็เชื่อมทั้ง ๒ ประตูเข้าด้วยกันครับ.ส่วนจะดูอย่างเดียวหรือว่า
    จะอยู่ตรงนั้นก็มีในรายละเอียดย่อยกว่านี้อยู่ครับ..แต่ขอไม่พูดดีกว่า
    .อืมมมมม..เอาว่าเล่าที่พอๆจะเล่าให้ฟังได้ก็พอนะครับ..
    ปล.ประมาณนี้หละครับ..
     
  3. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +3,152
    ขอขอบคุณ คุณ nop มากๆครับ

    ข้าพเจ้าเข้าใจครับ การจะพูดคุยเรื่องพวกนี้แบบเปิดเผยมันอันตราย ทั้งทางตรงและทางอ้อม (และข้าพเจ้าพอจะเข้าใจวิธีที่คุณ nop แนะนำแล้วหล่ะครับ ขอบคุณมากครับ ขออีกอย่าง วิธีที่ 2 ของผมนั้น มีใช้ได้ทั้งลืมตาและหลับตาครับ แล้วแต่ผลที่ต้องการครับ) และเรื่องเทคนิกการปฏิบัติเหล่านี้ ข้าพเจ้าเองก็โดนเตือนแล้วครับ คงจะหยุดคุยเรื่องรายละเอียดแบบเปิดเผยแล้วหล่ะครับ เอาเป็นหลักการปฏิบัติโดยทั่วไปและประสบการณ์ความรู้ทั่วๆไปดีกว่าครับ ไม่ต้องลงรายละเอียดที่ไม่ควรเปิดเผยก็ได้ครับ

    ข้าพเจ้าเองมีประสบการณ์อันหนึ่งที่อยากได้คำตอบ ทางวิทยาศาสตร์ด้วยก็ดีครับ ถ้าใครพอจะตอบได้บ้างครับ

    มีครั้งหนึ่ง ทีวีแบบจอแก้วรุ่นเก่าที่ข้าพเจ้ามีอยู่ พอเปิดขึ้นมา หน้าจอมืดและดันมีแต่เส้นแสงสีขาวเส้นเดียวที่กลางจอแนวขวาง (ใครเคยใช้ทีวีรุ่นเก่า เวลาที่จอภาพเสียแล้วเป็นแบบนี้จะเข้าใจครับ)

    เสียงก็ไม่มี ข้าพเจ้ากำลังจะเดินไปปิด ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็เห็นภาพของรายการที่กำลังแสดงอยู่ ทั้งๆที่จอภาพก็ยังเสียอยู่อย่างนั้น (ลักษณะภาพที่เห็นจะลอยอยู่ใกล้ตา)
    ข้าพเจ้าจึงไปเอาทีวีอีกเครื่องมาเปิดแล้วปิดเสียงไว้ เอาวางไว้ด้านหลัง แล้วดูภาพที่จออีกครั้ง ก็เห็นรายการที่กำลังดำเนินอยู่ แล้วข้าพเจ้าก็หันไปมองอีกเครื่องหนึ่ง พบว่าเป็นรายการเดียวกัน และดำเนินด้วยภาพแบบเดียวกัน ข้าพเจ้าทดลองอยู่นาน จนแน่ใจ ใครรู้ทางหลักวิทยาศาสตร์บ้างครับ

    อ้อ ไม่ต้องเกรงใจกันนะครับ เชิญได้เลยครับทุกท่าน เพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจครับ จะอย่างไรเสีย ขอให้วางใจเป็นกลางไว้ครับ แล้วทุกอย่างมันจะไม่มีอะไรครับ

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปทุกท่านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2014
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ขอบคุณที่ช่วยเสริมครับ..เอาว่าลองฟังท่านอื่นๆดูบ้างเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์
    แม้ว่าส่วนตัวตอนนี้พอจะมีคำตอบได้บ้างจากกิริยาทางจิตที่เล่ามา.
    แม้ไม่ได้มีประสบการณ์ตรงแบบนี้นะครับ.
    .สรุปแล้วฟังหลายๆมุมมองจากสมาชิกท่านอื่นๆก็ดีเหมือนกันครับ.:cool:
    ..

    ปล.ขอให้ผู้ที่เข้ามาอ่านเจริญยิ่งๆขึ้นไปทั้งแนวทางการปฏิบัติของตนเอง
    และเจริญยิ่งๆขึ้นไปทั้งทางโลกและทางธรรมทุกๆท่านครับ..
     
  5. evanov

    evanov Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +64
    -ขอขอบคุณ ท่าน yooyut ที่ได้ช่วยตอบข้อสงสัยทั้งหลายทั้งปวง ส่วนเรื่องการปฏิบัติตามปกติเอามาคุยกันหน้าไมค์ และเรื่องประเภทโลดโผน โจนทะยาน พิสดารพันลึก เอาไว้คุยกันหลังไมค์ รับแซ่บ ตามนั้น คับ

    -ได้รับและอ่านข้อแนะนำจากท่าน yooyut แล้วคับ ขอบคุณ ท่าน yooyut ที่ได้ช่วยปรับแก้เรื่องอักขระและคำบริกรรมให้ ท่าน yooyut รู้จักอักขระชุดนี้ด้วย นับถือ นับถือ

    -ต้องขออภัย ที่ได้แอบดู ท่าน yooyut นะคับ ท่านก็คงจะทราบดี แต่ก็ไม่ได้ปิด ไม่ได้บังอะไร ทั้งๆที่ท่าน yooyut ถ้าจะปิดไว้ ก็สามารถปิดได้ และถ้าจะบังไว้ ก็สามารถบังได้ แต่ท่านก็ไม่ทำอย่างนั้น ผมก็รู้สึกละอายต่อท่าน ขอท่าน yooyut อย่าได้ติดใจ เอาความกับผมเลยนะคับ

    -สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณ คุณพี่ Supop มากๆ เลยคับ ที่เปิดโอกาสให้ผมได้คุยกับ ท่าน yooyut อย่างสบาย โดยที่คุณพี่ Supop ก็ไม่ได้ว่ากล่าวใดๆ ต่อผม ทั้งๆที่ คุณพี่ Supop เองก็เป็นเจ้าของกระทู้อยู่ ผมก็รู้สึกผิดต่อ คุณพี่ Supop อย่างมากเช่นเดียวกัน ที่ได้รบกวนต่อ คุณพี่ Supop ในครั้งนี้ ก็ขอถือโอกาสนี้ ขออภัย ต่อคุณพี่ Supop มาด้วยนะคับ ขอ คุณพี่ Supop อย่าได้ติดใจเอาความใดๆ กับผมเลยนะคับ
     
  6. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154

    เอ๊ะ! อ๊ะ! ใครมาดู ดูอะไร? ไม่รู้ไม่ชี้

    คุณอีวานอฟ จะดูอะไร ก็ขอเชิญดูไปเถอะครับ ตามสะดวกเลย ผมเปิดอ้าซ่าไว้ให้ทุกๆท่านดูกันตลอด ไม่เคยปิด ไม่รู้ว่าจะปิดไปทำไม ก็มันไม่มีอะไรจะให้ปิด ผมยึดถือแนวทางความโปร่งใส เปิดเผย ไม่มีวาระซ่อนเร้นใดๆ มาตลอดนะครับ ดังนั้น หากคุณจะมีฌาน ญาณใดๆ แล้วประสงค์จะดู ก็เชิญเลย เอาเป็นว่า ผมอนุญาตให้คุณดูได้ทุกเมื่อ ไม่จำเป็นต้องมาขอโทษขอโพยกัน แต่ดูแล้ว ผมว่าคุณจะเสียเวลาไปเปล่าๆปลี้ๆ เพราะว่าดูแล้วก็คงจะรู้สึกว่า ไม่มีสาระแก่นสารอะไร ให้คุ้มค่ากับการดูเลย

    กรณีอย่างนี้ ผมถือว่า คุณเป็นลูกผู้ชายพอ กล้าทำ แล้วก็กล้ารับ ข้อนี้ผมพอใจ คนประเภทคุณเป็นพวกคอบู๊ นิยมชมชอบการล้างผลาญ การพล่าผลาญ เป็นชีวิตจิตใจ แต่ก็มีสติสัมปชัญญะและความยับยั้งชั่งใจ ที่จะรู้ว่าการใดควรกระทำ การใดไม่ควรกระทำ จัดว่าเป็นเหมือนๆกันกับผม คนอย่างคุณนี่ผมชอบ ได้เจอคนคอเดียวกันอย่างนี้ ต้องการอะไรก็พูดกันตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อมให้เสียเวลา จะได้คุยกันได้ง่ายๆ คุยกันได้ยาวๆ นะครับ

    ดังนั้น เรื่องเกี่ยวกับข้อกรรมฐานของคุณ ผมก็มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ความช่วยเหลือกับคุณอย่างเต็มที่ เพื่อให้คุณเดินทางไปจนสุดเส้นทางที่คุณตัดสินใจเลือก ไม่ว่าคุณจะเดินไปในหนทางในแบบใดก็ตาม

    อย่างไรก็ตาม ญาณ ๘ ของคุณ จัดว่าพอใช้ได้แล้ว แต่ก็ยังมีร่องรอยเหลืออยู่นะครับ เอาอย่างนี้ละกัน ถ้าไม่รังเกียจ ผมจะส่งแบบฝึก“เจโตฯ”สักอย่างหนึ่ง ให้คุณเอาไปฝึกซ้อม เชื่อว่าหากได้ฝึกซ้อมตามแนวนี้แล้วล่ะก็ ญาณ ของคุณจะใช้งานได้อย่างเนียนมากขึ้น และหากฝึกได้อย่างชำนาญ คงจะทำได้ถึงขั้น “ไร้ร่องรอย” ได้แน่ๆ เอาล่ะ เตรียมตัวรอรับ“ของฝาก” ทาง PM จากผมได้ในเร็วๆนี้นะครับ

    ส่วนอีกข้อหนึ่ง นั้น คงไม่เกี่ยวกับผม ก็ขอส่งต่อให้กับ คุณ Supop รับไปไว้พิจารณาต่อไป เอ้า คุณพี่ Supop คร้าบ มีน้องมีนุ่ง เค้ามาขอขมาลาโทษ กับคุณพี่ Supopอยู่ ตกลงทางคุณพี่ Supop จะพิจารณาว่าอย่างไร ช่วยแจ้งให้เจ้าตัวเขารับทราบด้วย จะได้ไม่เป็นที่ค้างคาใจกันต่อไปนะคร้าบ คุณพี่ Supop คร้าบ
     
  7. mind stone

    mind stone เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +1,296
    มีแต่คนเก่งๆทั้งนั้นเลย...เราเองยังไปไม่ถึงไหน
    ขออนุโมทนาด้วยครับ...
     
  8. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +3,152
    ครับผม มาแล้วครับ

    ผมขอน้อมรับครับ

    ไม่ต้องเกรงใจครับ ในที่นี้ไม่มีอะไรเป็นของผมเลยครับ

    จะดูผมด้วยก็ได้นะครับ รู้สิ่งใดก็มาบอกกล่าวกันบ้างนะครับ

    แต่ข้าพเจ้าขออนุญาตเตือนไว้อย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้าก็เคยโดนตำหนิมาเช่นกัน
    คือ การจะดูอะไรใคร ต้องขออนุญาตเจ้าตัวเสียก่อน และถ้าไม่จำเป็นจริงๆ อย่าไปดูใครเขาไปทั่วนะครับ เพราะสิ่งที่จะตามมามันมากมายนัก ข้าพเจ้าเองก็เคยร้อนวิชามาเหมือนกันครับ ถ้าไม่ใช่ยังไงโปรดอภัยด้วยครับ

    สุดท้ายนี้ขออย่าได้เชื่อถือหรือยึดมั่นในสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลย

    ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านครับ
     
  9. evanov

    evanov Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +64

    ขอบคุณ คุณพี่ Supop ที่ได้ตักเตือนคับ ปกติแล้วไม่ได้ดูใครๆไปทั่วหรอกคับ เพราะผมไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องคนอื่น แต่ดูเฉพาะคนที่ผมมีหน้าที่จะต้องดูเท่านั้นเอง ขอบคุณคับ คุณพี่ Supop คับ
     
  10. evanov

    evanov Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +64
    ขอเรียนถามท่าน yooyut เป็นการเพิ่มเติมคับ เคยได้ยินมานานแล้วว่าในการเดินกำลังของแม่ธาตุพื้นฐาน มักจะมีเรื่องของปรอทธาตุมาเกี่ยวข้อง ผมเองก็ไม่เคยเห็นธาตุที่ว่านี้ จึงสงสัยว่าปรอทธาตุนี้คืออะไร และมีความเกี่ยวข้องยังไงกับวิชาเดินธาตุคับ ขอขอบคุณคับ
     
  11. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154
    คุณ Supop น่ารักมากๆ อุตส่าห์เสียสละเวลา เข้ามาตอบให้ ตามคำขอร้องของผม ขอขอบคุณ คุณ Supop เป็นอย่างยิ่ง มา ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ
     
  12. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154

    คำถามนี้ น่าจะไปถามไว้ในห้องเครื่องรางของขลังนะครับ แต่ในเมื่อมาถามที่ห้องนี้ ก็คงจะอธิบายได้ในประเด็นเรื่องของปรอทธาตุ ที่เกี่ยวข้องกับกรรมฐานเรื่อง “ธาตุ” เพียงเท่านั้น

    สำหรับเรื่องของ “ปรอทธาตุ” ที่คุณกำลังถามถึงนี้ เป็นวัตถุธาตุชนิดหนึ่ง เป็นธาตุคนละธาตุ กับ ธาตุปรอท (Mercury , Hg) ในทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งปรอทธาตุนี้ มีลักษณะหลากหลายรูปแบบ เป็นของเหลวก็มี เป็นของแข็งก็มี และที่สำคัญ ปรอทธาตุดังกล่าวนี้ มีความรู้สึกนึกคิดและมีธาตุรู้อยู่ในตัวของตัวเอง ปรอทธาตุบางชนิด ก็มีฤทธิ์อยู่ในตัวเอง มักจะพบปรอทธาตุพวกนี้ ไปกัดกินสิ่งต่างๆ เช่นแร่ธาตุอื่นๆ ซากพืช ซากสัตว์ และพบว่าสามารถเข้ากัดกินสัตว์และพืชที่มีชีวิตได้เหมือนกัน

    ปรอทธาตุ มีหลายระดับชั้น ตั้งแต่ระดับชั้นต่ำ ที่ผู้ศึกษาในวิชาการเดินธาตุ ไม่สมควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย ไปจนถึง ปรอทธาตุชั้นสูง ที่เป็นที่ต้องการ เสาะหา ของเหล่าผู้ศึกษาวิชาเดินธาตุ เพื่อใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ต่อไป

    อนึ่ง พื้นฐานการฝึกกรรมฐานในหมวดกสิณ โดยเฉพาะในหมวดภูตกสิณ ได้แก่ อาโปกสิณ เตโชกสิณ ปฐวีกสิณ และวาโยกสิณ เมื่อฝึกได้อย่างชำนาญในกสิณทั้ง 4 แล้ว ก็จะมีความสามารถในการควบคุมธาตุทั้ง 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ ได้ตามประสงค์ เมื่อทำการฝึกได้ถึงขั้นนี้ หากผู้ฝึกทำการเสาะหา และพบเจอปรอทธาตุดังกล่าว ก็จะสามารถทำการควบคุม บังคับบัญชา ปรอทธาตุนั้นๆ ได้ตามความประสงค์ เนื่องจาก ปรอทธาตุ มีความสัมพันธ์อยู่กับธาตุพื้นฐานของโลกธาตุ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลมและธาตุไฟ อย่างยิ่ง นั่นเอง

    ซึ่งเรื่องการควบคุมธาตุต่างๆ เหล่านี้ เป็นเรื่องสามัญธรรมดาและคุ้นเคยกันดี ของผู้ฝึกทางอิทธิวิธีอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด พิสดารพันลึก แต่อย่างใด

    เนื่องจากคุณอีวานอฟ พอจะรู้เรื่องกรรมฐานที่เกี่ยวข้องกับธาตุมาบ้างแล้ว ผมจะไปอย่างเร็วๆเลยก็ได้ แต่ก็เกรงว่า จะมีท่านผู้อ่าน ท่านอื่นๆ ที่ยังไม่มีพื้นด้านนี้ หากท่านได้มาอ่าน ท่านอาจจะตามไม่ทัน จึงขอเล่าอย่างช้าๆ ไปก่อนนะครับ

    ในการฝึกกรรมฐานเกี่ยวกับธาตุ นั้น นอกจากจะฝึกในลักษณะแยกเป็นแต่ละธาตุ ก็ยังมีการฝึกในลักษณะของการรวมธาตุอีกด้วย อย่างที่คุณอีวานอฟ ได้อ่านจากที่ คุณ Supop เจ้าของกระทู้ ได้เล่าถึงการฝึกรวมธาตุ ในข้างต้นนะครับ ซึ่งเมื่อมีการรวมธาตุแล้ว ก็จะมีเรื่องการแยกธาตุ การรับพลังงานของธาตุ การถ่ายพลังงานของธาตุ การแลกเปลี่ยนพลังงานของธาตุ และอื่นๆ อีกมากมาย

    ในส่วนของวิชาเดินธาตุเอง อย่างที่คุณได้ฝึกไปแล้ว ในส่วนของการตั้งธาตุ เป็นเรื่องของพื้นฐาน และเมื่อเรียนรู้ในสิ่งที่เป็นพื้นฐานแล้วก็ยังต้องเรียน การหนุนธาตุ การเดินธาตุ การอัดธาตุ การซ้อนธาตุ การแยกธาตุ การสลับธาตุ การย้อนธาตุและการพลิกแพลงธาตุต่าง ๆ ซึ่งเป็นความรู้ในขั้นต่อไป ที่จะมีระดับความยากมากขึ้นเรื่อยๆ

    สำหรับในวงการของผู้ที่ฝึกในส่วนของวิชาเดินธาตุเองนั้น ก็มีการถกกันมามาก ตั้งแต่สมัยอดีต จนมาถึงปัจจุบันว่า ในเรื่องของการใช้พลังงาน จากธาตุต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มธาตุพื้นฐาน หรือแม่ธาตุ อันได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลมและธาตุไฟ นั้น พลังงานจากธาตุ ที่เราสามารถหยิบยืมมาใช้ประโยชน์ได้ ด้วยกรรมวิธีเฉพาะ นั้น มาจากที่ไหนกันแน่? หรือกล่าวได้ อีกนัยหนึ่งว่า ธาตุทั้งหลาย อันได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลมและธาตุไฟ มีต้นกำเนิดของกำลังธาตุมาจากที่ใด?

    การจะหาคำตอบในเรื่องนี้ จำเป็นต้องมีความรู้ในเรื่องของการเดินธาตุในระดับที่ค่อนข้างลึกซึ้ง และประการสำคัญคือจะต้องมีความคล่องตัวในเรื่องของกรรมฐานบางประการ เช่น ภูตกสิณ 4 ซึ่งทั้งสองประการ จัดว่าเป็นกุญแจสำคัญในการไขเข้าไปสู่คำตอบของต้นกำเนิดพลังของธาตุ ทั้ง 4 นั่นเอง

    มีการทดลองอันสำคัญ อันหนึ่ง ที่ผู้ศึกษาในวิชาเดินธาตุ นำมาใช้ทดลองในเรื่องของการเสาะหาที่มาของต้นกำลังของธาตุ คือการใช้ “ปรอทธาตุ” มาเป็นตัวทดลอง แต่ในปัจจุบัน ปรอทธาตุ ของจริง เป็นของหายาก และก็มีของปลอมออกมาปะปนเสียด้วย ดังนั้น ในทางปฏิบัติ อาจจะไม่ค่อยเห็นการทดลองแบบนี้มากนัก แต่ก็ขอกล่าวไว้ให้อ่านกัน เพื่อให้เห็นเป็นแนวทางไว้นะครับ

    จากที่กล่าวมาข้างต้น จึงเป็นที่มาว่า เรื่องของ “ปรอทธาตุ” มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษา ฝึกอบรมในวิชาเดินธาตุ ได้อย่างไรนะครับ ซึ่งในทางปฏิบัติก็จะมีเรื่องราวที่มีขั้นตอนรายละเอียดแยกย่อยลงไปในแต่ละเรื่อง ที่ผมขอเว้นไว้ยังไม่กล่าวถึง เนื่องจากจะเป็นการยืดยาวมากเกินไป

    ขอจบการเสนอความเห็นประกอบข้อสอบถามของคุณ อีวานอฟ ไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ
     
  13. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,431
    ส่วนตัวข้าพเจ้าคงแตกต่างกับคนอื่นเพราะว่า ข้าพเจ้าสามารถสัมผัสโลกทิพย์ได้ตั้งแต่เด็กๆแต่ตอนนั้นเป็นพวกสัมภเวสีสะเป็นส่วนใหญ่ ต่อมาเมื่อทำสมาธิแบบสายพระป่าที่ให้ตัดนิมิตให้ได้อยู่ในสภาวะของความเป็นจริง มีใจเป็นใหญ่ ภาวนาจนจิตตกลงสู่ภวังค์เองได้ ในความสงบต้องสามารถเชี่ยวชาญในวสีทั้งห้าคือเข้าและออกในภวังค์นั้นได้ ในโลกทิพย์เมื่อมีเหตุไม่ดีมีพวกโลกทิพย์คนพาลก็สามารถถอยออกจากภวังค์ได้เลย ก็เลยไม่ค่อยจะเจอเรื่องร้ายๆหรือใครมาทดสอบอะไรครับ และก็มีเทวดาบางท่านเมตตามาบอกวิธีเรียกความสามารถในอดีตนั้นออกมาครับ อธิบายง่ายๆคือการใช้อธิษฐานบารมีนั้นแหละครับ
     
  14. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154

    ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณ Supop มาหลายวันแล้ว ในประเด็นที่อ้างถึง และประกอบกับยังไม่ปรากฏว่ามีท่านสมาชิกผู้เชี่ยวชาญและชำนาญการประจำห้องอภิญญา-สมาธิ มาคุยในประเด็นนี้ กับคุณ Supopนะครับ ดังนั้น ผมซึ่งเป็นผู้มีความรู้น้อย ด้อยปัญญา การปฏิบัติก็ยังไม่ได้เรื่อง ยังไม่ได้ราว ก็เลยขอเข้ามาคุยกับทางคุณ Supop ไปพลางๆ ก่อน เป็นการคั่นเวลา หวังว่าคุณ Supop คงจะยอมเปิดโอกาส ให้ผมได้คุยกับคุณ Supop บ้างนะครับ

    สำหรับเรื่องที่คุณเล่ามาให้อ่านกันนี้ ผมมีความเห็นว่า เป็นปรากฏการณ์ที่ประสาทสัมผัสของคุณ Supop สามารถปรับตัวเอง (เป็นการชั่วคราว) ให้สามารถรับสัมผัสกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (ซึ่งในที่นี้ ก็คือคลื่นโทรทัศน์ ที่ถูกส่งมาจากสถานีโทรทัศน์) ได้ นั่นเอง

    ถ้าจะให้พิจารณาถึงที่มา ที่ไป ในการเกิดปรากฏการณ์ ดังกล่าว ผมอยากจะมองไปถึงเรื่องการฝึกธาตุ ที่ผ่านมาของคุณ Supop เป็นสำคัญในเบื้องต้นนะครับ ผมก็ไม่ทราบว่าที่ผ่านมาคุณ Supop ฝึกเรื่องธาตุ มาอย่างไร และครูบาอาจารย์ ได้สอนในสิ่งใดให้กับคุณ Supop ไปบ้างแล้ว แต่ในหลักทั่วไป การฝึกธาตุ จะทำให้สมดุลของธาตุในร่างกายจัดระเบียบได้ดียิ่งขึ้น และเมื่อธาตุมีการจัดระเบียบสมดุลที่ดี ก็จะมีผลต่อการแสดงออกของกำลังธาตุในตัวเอง ดังนั้น เมื่อเหตุการณ์เกิดประจวบเหมาะ ที่ปัจจัยต่างๆ เข้าที่ ลงตัวพอดี การแสดงกำลังของธาตุ ก็จะสามารถเกิดขึ้นได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

    ของอย่างนี้ พอจะสังเกตได้ไม่ยาก โดยไม่จำเป็นต้องฝึกให้ถึงขั้นแกนกลางของร่างกายหรือแกนสันหลังเกิดเป็นสนามแม่เหล็กขึ้นมา ไม่ต้องถึงขั้นนั้น แค่ขั้นกลางๆ การแสดงกำลังของธาตุ ก็จะเริ่มแสดงให้เห็นกันบางส่วนแล้วล่ะครับ

    ทีนี้เมื่อกำลังของธาตุในร่างกาย แสดงกำลังออกมา อย่างที่กล่าวไว้ว่า คงจะมีปัจจัยที่เหมาะสมหลายอย่าง ประกอบกันเข้า ในเวลานั้น ทำให้กำลังของธาตุ ทำการแปลงระบบประสาทสัมผัสของคุณ โดยทำให้มีความสามารถในการรองรับ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ในระดับความถี่ของคลื่นโทรทัศน์ได้ (เป็นการชั่วคราว)นั่นเอง

    โดยทั่วไป คลื่นความถี่ของสมองจะแบ่งเป็น ๔ ชนิด เท่าที่ทำการศึกษาไว้ในปัจจุบัน คือ คลื่นเบต้า มีความถี่ประมาณ ๑๓-๒๕ Hz คลื่นอัลฟ่า มีความถี่ประมาณ ๘-๑๒ Hz คลื่นธีต้า มีความถี่ประมาณ ๔-๑๑ Hz และคลื่นเดลต้า มีความถี่ประมาณ ๐.๕-๓ Hz (Hz เป็นหน่วยของความถี่ รอบต่อวินาที) ซึ่งคลื่นในระดับคลื่นธีต้า และเดลต้า จะมีความสำคัญ ในการฝึกสมาธิอย่างมาก เพราะพบว่า เมื่อจิตอยู่ในสมาธิ ยิ่งสมาธิมีความลึกมากๆ ความถี่ของคลื่นสมองก็จะมีความราบเรียบมากขึ้น จนเข้าใกล้ ๐ Hz มากๆ

    ผมเข้าใจว่า กำลังธาตุในร่างกายคุณ Supop ได้ทำการปรับแต่งในส่วนของคลื่นสมองของคุณ ให้เข้าใกล้ ๐ Hz มากๆ ในช่วงเวลาครู่เดียวสั้นๆ นั้น

    สำหรับในส่วนของประสาทสัมผัส เข้าใจว่ากำลังของธาตุ ก็ได้ไปทำการปรับแต่งระบบการรับภาพ ของคุณ Supop ให้สามารถรับคลื่น ในระดับความถี่ของคลื่นโทรทัศน์ได้ชั่วคราว ซึ่งโดยปกติ ตาของเรา สามารถรับรู้คลื่นแสง (ซึ่งเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่นเดียวกับคลื่นโทรทัศน์) ในช่วงความยาวคลื่นระหว่าง 380 - 780 นาโนเมตร เราเรียกช่วงของการกระจายนี้ว่า Visible spectrum แต่ในชั่วขณะนั้น กำลังของธาตุ ได้ไปปรับแต่งให้ประสาทสัมผัสของคุณ ให้ขยายขอบเขตความสามารถ ให้รับและแปรผลคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ในช่วงของคลื่นโทรทัศน์ได้ด้วย

    จากที่กล่าวมา จึงเป็นสาเหตุว่า การแสดงออกของกำลังธาตุของร่างกาย ได้ไปทำการปรับแต่งการทำงานของระบบประสาทสัมผัสอย่างไร จึงทำให้คุณ Supop เกิดมองเห็นภาพจากรายการโทรทัศน์ที่ออกอากาศในขณะนั้นได้ ทั้งๆ ที่จอโทรทัศน์มีอาการเสีย และดูภาพไม่ได้ในขณะนั้น

    เข้าใจว่าความสามารถมองเห็นภาพจากโทรทัศน์นอกจอนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการชั่วคราว และบังคับ ควบคุมยังไม่ได้ใช่ไหมครับ? ถ้าหากว่าเป็นอย่างนี้ ความสามารถที่เกิดขึ้นนี้ ก็จัดว่ายังไม่มีประโยชน์โภคผลอะไรให้น่าติดตาม เรียกว่าแค่ทำให้เกิดความตื่นเต้น เล็กๆน้อยๆ ก็พอได้อยู่

    สิ่งสำคัญ ที่คุณ Supop น่าจะทำต่อไป คือการพยายามควบคุม บังคับอาการที่ว่านี่ให้ได้ เรียกว่าอยากดูโทรทัศน์เมื่อไหร่ ก็ไม่ต้องเปิดเครื่องรับโทรทัศน์ ก็ดูรายการโทรทัศน์ที่ต้องการได้ทุกเมื่อ ถ้าทำได้อย่างนี้ จึงจะเรียกได้ว่าพอจะมีประโยชน์และสามารถเอามาต่อยอดได้ต่อไป

    สำหรับวิธีการ เสนอว่า ลองนึกย้อนเหตุการณ์ไป ไม่ทราบว่าพอจะจำอารมณ์ใจในตอนนั้นได้หรือไม่? ว่าคุณ Supop วางอารมณ์ใจไว้อย่างไร ถึงเห็นภาพรายการโทรทัศน์ได้ ถ้าจำอารมณ์ใจได้ ฝึกทำการดูโทรทัศน์ โดยไม่ต้องเปิดเครื่องใหม่ อีกหลายๆครั้ง และวางอารมณ์ใจให้เหมือนกับที่เคยทำไว้เดิม ลองดูว่าจะทำได้อีกหรือไม่? หากทำได้ ก็จดจำอารมณ์ใจนั้นไว้ และพยายามซักซ้อมให้เกิดเป็นความคล่องตัวต่อไป แต่หากจำอารมณ์ใจเมื่อครั้งก่อนไม่ได้ แบบนี้จะลำบากหน่อย เพราะคงจะต้องเสียเวลาคลำทางกันอีกเยอะ กว่าจะคลำเจอ

    ฝึกให้ได้อย่างนี้ แล้วจะมีประโยชน์ในการต่อยอด ต่อไปนะครับ

    ที่ผมเล่ามาทั้งหมด ก็ได้พยายามประมวลความเป็นไปได้ โดยพิจารณาจากข้อมูลการฝึกของคุณ Supop ที่ผ่านมาเป็นสำคัญนะครับ ที่ผมเพ่งเล็งในเรื่องของการฝึกธาตุ ก็เพราะว่าคุณ Supop มีข้อเด่นในด้านนี้อยู่ (แต่ก็อาจจะมีสาเหตุมาจากเรื่องอื่นๆได้อีก แต่ผมยังไม่ได้ทำการวิเคราะห์ไว้ ในการตอบกระทู้ครั้งนี้) จึงเอาเรื่องความสัมพันธ์ของกำลังธาตุ กับการทำงานของอวัยวะในร่างกาย มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อให้เกิดความตระหนักว่า เรื่องของ “ธาตุ” เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เพราะว่าธาตุ จัดเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของจักรวาล ทั้ง ๓ โลกธาตุ แม้แต่ร่างกายของเรา ก็ประกอบไปด้วยธาตุ ๔ ดังนั้น หากเราสามารถฝึกการควบคุมธาตุได้ ก็จะเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อไปอย่างมากนะครับ

    ส่วนจะสามารถทำการฝึกได้ถึงขั้นใด จะทำให้แกนกลางของร่างกายหรือแกนสันหลังเป็นสนามแม่เหล็กได้หรือไม่ อันนี้ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลไป ไม่เกี่ยวกันนะครับ

    ผมขอจบการให้ความเห็นประกอบกระทู้ไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนครับ
     
  15. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +3,152
    ข้าพเจ้าขอขอบคุณ คุณ yooyut ผู้มีความรู้น้อย ด้อยปัญญา แต่ตอบข้าพเจ้าได้อย่างละเอียด ด้วยครับ ที่เมตตาต่อข้าพเจ้า

    ข้าพเจ้าได้ความรู้มาอีกมากจริงๆ ตามเหตุการณ์ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าพอจะจำได้ แต่ไม่แน่ใจนัก รู้แต่ว่าตอนนั้น ข้าพเจ้ายังไม่ได้กำหนดเข้าสมาธิอะไร แค่มองด้วยหางตา ความรู้สึกจะเหมือน เวลาที่เห็นวิญญาณจากภพภูมิอื่น ซึ่งข้าพเจ้าเคยเห็นมาในลักษณะนี้มาแล้ว ซึ่งข้าพเจ้าเคยสัมผัสภพภูมิอื่นโดยทางสัมผัสต่างๆ มาเรียกว่าเกือบจะครบ ทั้ง ตาเนื้อ ในสมาธิ ในฝัน กลิ่น เสียง ซึ่งการสัมผัสต่างๆเหล่านี้ ไม่ใช่แค่สัมผัสได้เฉยๆ แต่ข้าพเจ้ารู้ในเจตนาและอารมณ์ของเขาด้วย และตอนนี้ข้าพเจ้าเจอทีวีเครื่องที่ว่าแล้ว เดี๋ยวจะลองดูอีกทีว่าจะยังเห็นหรือไม่ และอาจจะทำเพื่อให้เกิดการพัฒนาต่อไปครับ

    ส่วนเรื่องการฝึกนั้น ข้าพเจ้าเคยฝึก กสิณไฟ น้ำ โดยการเพ่งแบบลืมตาและนำไปต่อยอดในนิมิต ส่วนลม ข้าพเจ้าได้มาจากอานาปานสติ แต่ดินยังไม่จริงจังนัก ทุกอย่างมันพัฒนามาจากหลังจากที่ข้าพเจ้าฝึก การเพ่งจิตแบบพุ่งในแบบที่สอง ตามที่เคยลงไปแล้วในโพสต์ก่อนหน้านี้ ต่อมาก็ได้มโนมยิทธิ ซึ่งในตอนนี้เองที่มีท่านจากทางภพภูมิมาฝึกการรวมธาตุให้ ซึ่งมีอยู่อย่างที่ข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจอีกเช่นกัน คือการกำหนดรวมธาตุนั้น ไม่ได้กำหนดเวลาตายตัว แต่มันจะมีช่วงเวลาที่ธาตุมา และไม่ได้มาทีเดียวทุกธาตุ บางครั้งเป็นธาตุน้ำมา บางครั้งเป็นธาตุไฟมา เมื่อกำหนดรวมธาตุ คือคล้ายๆการกลั่นในแต่ละธาตุแล้วหลอมรวมกัน เมื่อสำเร็จก็จะเป็นวัตถุธาตุ ตามชนิดที่ช่วงเวลานั้นกำลังธาตุนั้นๆมา แล้วกำหนดเก็บวัตถุธาตุนั้นๆเข้าไปในดวงจิต (อธิบายเท่านี้พอนะครับ)

    แล้วจริงๆในแต่ละกรรมฐานที่ข้าพเจ้าไม่ได้สนใจที่จะต่อยอดไปจนถึงที่สุดของกรรมฐานนั้นๆ คือฝึกพอรู้แล้วก็วางลงไป แต่จะไปเน้นทาง สัจจะธรรมและเมตตามากกว่า เพราะข้าพเจ้าเข้าใจได้เองว่า ข้าพเจ้าต้องเน้นในสิ่งเหล่านี้เพื่อเป้าหมายของข้าพเจ้าในกาลข้างหน้า.

    แต่มาปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าเริ่มที่จะเห็นความสำคัญบางอย่างที่ข้าพเจ้าจำเป็นจะต้องใช้ต่อไปในอนาคต จึงคิดจะกลับมารื้อฟื้นและเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าใครจะเป็นผู้แนะนำสั่งสอนหรือให้ความรู้แก่ข้าพเจ้าไม่ว่าจะทางใดก็ตาม ข้าพเจ้าจะตระหนักไว้อยู่เสมอว่า ท่านคือครูของข้าพเจ้า

    ข้าพเจ้าขอเคารพทุกท่านครับ

    สำหรับคุณ คุรุวาโร ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในธรรมของคุณด้วยครับ

    สุดท้ายนี้ขออย่าได้เชื่อถือหรือยึดมั่นในสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลย

    ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านครับ
     
  16. evanov

    evanov Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +64
    ขอบคุณ คุณพี่ Supop นะคับ ที่ได้เล่าเรื่องการฝึกธาตุให้ฟัง อ่านแล้วอึ้ง ทึ่ง เสียวจริงๆ เลยว่า ทำการฝึกแบบนี้ก็ได้เหมือนกัน ผมเองเป็นพวกมวยวัด ครูพักลักจำ ทำมาแบบงูๆ ปลาๆ เรื่องของหลักวิชาการ ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรกับเขา จึงค่อนข้างย่อหย่อนกับเรื่องทฤษฎี บางครั้งก็ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมเรื่องนี้เป็นอย่างนั้น ทำไมเรื่องนั้นเป็นอย่างนี้ ได้มีโอกาสมาพบเว็บพลังจิต ได้มีโอกาสพบกับสมาชิก ที่มีความรู้ นับว่าเป็นกุศลยิ่งนัก
    ได้อ่านเรื่องของคุณพี่ Supop แล้วก็มีข้อสงสัย ในโอกาสนี้ขอเรียนถาม ท่าน yooyut เป็นการเพิ่มเติมว่าในเรื่องของการฝึกเดินธาตุ จุดสุดยอดของกระบวนวิชานั้น อยู่ที่ตรงไหนคับ และที่จุดสูงสุดของวิชา เรามุ่งหมายในสิ่งใดเป็นสำคัญคับ ขอขอบคุณคับ
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    อยากจะให้ร่วมออกความเห็นไหมครับคุณ Supop ครับเกี่ยวกับที่คุณมีข้อสงสัย
    ใน #Rep 23 ครับ..ต้องขออนุญาตถามก่อนครับ..ถึงจะบอกว่า
    กิริยาตรงนั้นมันเป็นผลที่เกิดมาจากอะไรครับ..
    ที่ส่วนตัวไม่อยากตอบก่อนเพื่อรอฟังความคิดเห็นของท่าน
    อื่นๆก่อนเท่านั้น.และต่อไปก็แนะนำที่จะเขียนให้ฟังด้วยนะครับ
    จะได้เป็นข้อคิดสะกิดใจ.อ่านแล้วจะได้ข้อคิดสะกิดเตือนใจ
    และจะได้ไม่หลงตัวเอง และเผลอไปมีความคิด
    ลึกๆเรื่องการอยากได้รับการยอมรับจากสังคมว่าตัวว่าตนมีความ
    สามารถเหนือใครๆนะครับ.เด่วจะเสร็จพวกกิเลสมาร
    มันหลอกเราได้โดยที่เค้ายืนยิ้มหัวเราะดูเราอยู่ครับ
    .ส่วนตัวพูดแบบรวมๆนะครับ.ไม่เฉพาะเจาะจงใคร
    อ่านก่อนแล้วคิดดีๆก่อนที่จะตอบนะครับ..
    อาจจะยาวหน่อย ขอพื้นที่ตรงนี้ ๒ #Rep ครับ

    เพราะกิริยาที่เกิดตรงที่คุณ Supop เล่ามามันไม่ได้ใช้สมาธิสูงส่งอะไรเลยครับ
    แต่มันเป็นผลที่มาจากการเคยฝึกสมาธิไม่ว่ากรรมฐานอะไรก็ตามที่มันโน้ม
    ให้เกิดทิพยจักขุได้ มันจะเกิดกิริยาอย่างนี้ได้ทุกๆคนครับ เพียงแต่เราอาจขาด
    การสังเกตุครับ..กิริยาแบบนี้เกิดขึ้นได้ทั่วๆไป แม้ขณะในชีวิตปกตินี่หละครับ..
    ในระดับกำลังสมาธิขนิกสมาธิและพอมีความทิพย์สายตาดีหน่อยเล็ก
    น้อยแบบชั่วครางมันก็เกิดขึ้นได้ครับ..

    อารมย์ใกล้เคียงเวลาเรากำลังจะเข้าห้องน้ำ
    ทำการหนักแค่นั่นเองครับ ลองสังเกตุดูได้ครับ..
    เราลองไปกดโปรแกรมอะไรก่อนก็ได้ครับ..เรามองที่โลโก้ แม้ว่าในขณะที่
    โปรแกรมนั้นกำลังโหลดเข้าสู่โหมดใช้งาน หรือเปลี่ยนไปหน้าอื่นๆ.ไอ้ตัว
    โลโก้ที่ว่านี้ มันก็จะสามารถขึ้นมาลอยอยู่กลางอากาสได้ และมันก็ไม่ได้
    หายไปไหนครับ ถ้ามันหายไป เราแค่ตามลมหายใจ พูดง่ายๆคือเอาสติมา
    ตามลมภาพมันก็ยังอยู่ได้..จะเอาให้อยู่นานแค่ไหน ก็แล้วแต่ความขยัน
    ครับ.ซึ่งตรงนี้มันไม่ใช่คุณวิเศษอะไรเลย.มันเป็นแค่ผลทางสมาธิที่เกี่ยว
    กับทางด้านทิพย์จักขุ ในระดับที่เราเรียกว่า สามารถใช้ได้ แต่ไม่ใช่ระดับ
    การสร้างให้เกิด...
    ตรงนี้มันกิริยาเบสิคมากๆและภาพที่ขึ้นได้นี้นั้น
    มันขึ้นได้เป็นภาพสีด้วยครับ.ไม่ใช่ว่าจะเป็นภาพขาวดำอย่างเดียว..คุณลองเอาหลัก
    การนี้ไปฝึกดูได้ครับ..แต่ไม่ใช่ว่าไม่ดี เราใช้ความสามารถระดับนี้เพื่อสร้างภาพ
    ตั้งต้นในการสื่อหรือเชื่อมหรือเพื่อระลึกถึงครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิได้ในเบื้องต้น
    ป้องกันการกระทำอะไรโดยใช้กำลังใจตัวเองที่ไม่ผ่านครูบาร์อาจารย์
    อนาคตจะได้ไม่หลงตัวเองและเกิดอาการที่เรียกว่า เฝื่อทางสมาธิครับ...
    หรือใช้เป็นฐานในการต่อยอดกรรมฐานที่ใช้ภาพก็ได้ครับ..

    และการมองเห็นได้แบบนี้มันจะเป็นพื้นฐานที่จะทำให้เรามองเห็นเส้นสาย
    พลังงานแม้ว่าเราจะพอสัมผัสได้ก็ตามแต่เราไม่รู้ว่าเส้นสายภายนอกมันอยู่ตรงไหน
    มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรครับ..และเราควรจะต้องสัมผัสเส้นสาย
    พลังงานพวกนี้ได้ด้วยตาเปล่าด้วยครับเพราะเราจะเอาพวกเส้นสายพลัง
    งานพวกนี้นี่หละครับมาจัดเรียงตามแนวกระดูกสันหลัง..
    ภายหลังที่เราจัดระเบียบรูปแบบพลังงานในตัวเราได้แล้วครับ
    คือให้เราพิจารณาตัวเองให้ดีๆครับ ยังไม่ต้องรีบร้อนเผยแพร่หรือ
    แสดงอะไรที่เรายังทำไม่ได้
    ที่เรายังไม่เข้าใจครับ..ถ้าเรายังไม่รู้ตรงนี้ ทำตรงนี้ สัมผัสตรงนี้ไม่ได้
    ก็ไม่ต้องไปพูดเรื่องการจัดเรียงเส้นสายพลังงานตามแนวกระดูกสันหลัง
    ให้มันเสียเวลาครับ เพราะว่าอย่างไรมันก็ไม่พ้นคำว่า การรู้แบบ
    ทางสมมุติ คือมันยังไม่พ้นตำรา การอ้างอิง แหล่งองค์ความรู้ต่างๆครับ..
    และสุดท้ายเราเองนี่หละครับจะเบื่อ เพราะไม่ได้พัฒนาเครื่องรู้พิเศษอะไรให้เราเลย
    หรือแม้ความสามารถในการใช้กำลังจิตไปสู่ภายนอกด้วยครับ

    ..ซึ่งประเด็นนี้ตรงนี้ต่อไปก็จะไปมีความ
    สัมพันธ์ในการฝึกตั้งธาตุของวิชาเดินธาตุไม่ว่าคุณจะฝึกเดินธาตุโบราณที่จะ
    ต้องตั้ง ๔ ธาตุหรือเดินธาตุสายสมเด็จพระสังฆราชที่มีความละเอียดกว่าที่
    จะต้องตั้ง ๑๐ ธาตุ.หรือวิชาเดินธาตุจากพระอาจารย์ในดงซึ่งมีหลักการคน
    ละแบบ..ถ้าเบสิคพื้นฐานเรื่องการเห็นเส้นสาย เรื่องสายตา เรื่องพลังงาน
    ตรงนี้เราไม่มี.พื้นฐานเรื่องพลังงานกสิณ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ ฯลฯ
    เราไม่รู้เรื่องเอกลักษณะพลังงานต่างๆ และตาดีพอสมควร และควบคุม
    พลังงานตรงนี้ได้..ส่วนตัวขอถามแบบคนไม่รู้อะไรหน่อยครับว่า
    คุณจะเอาอะไรไปตั้งธาตุทั้ง ๔ หรือตั้งธาตุ
    ทั้ง ๑๐ ให้มันลอยนิ่งๆอยู่หน้าคุณได้ครับ..
    .
    เด่วต่ออีก #Rep ครับ
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เพราะเราจะต้องรู้ลักษณะพลัง
    งานกสิณแต่ละกองก่อนซึ่งมันมีเอกลักษณะเฉพาะตนแม้แต่กระทั่งกสิณสี
    ก็มีเอกลักษณะเฉพาะตน.ซึ่งในเอกลักษณะเฉพาะตนตรงนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์
    ได้ว่าใครทำได้จริงๆ.เพราะไม่มีทางที่คนที่ทำได้จะไม่รู้เรื่องตรงนี้ครับ..
    อย่างน้อยก็จะต้องเข้าถึงในเรื่องอารมย์เป็นอย่างต่ำ.และให้ดีมันต้องเรียกได้
    ควบคุมได้ ใช้งานได้ก่อน มันถึงจะมาตั้งให้ครบองค์ประกอบตั้งต้นได้..
    ที่สำคัญคือมันจะต้องทำให้คนอื่นๆสัมผัสได้ รู้สึกได้ด้วย.ให้คนที่เค้าไม่เคยสัมผัส
    ได้รู้นะว่า เอ่อนี้เป็นน้ำ นี่เป็นพลังงานไฟ นี่เป็นดิน นี่เป็นสี เป็นต้น
    ความสามารถเราถึงจะพอเรียกได้ว่าเริ่มคลานไปสู่โหมดวิญญานธาตุ.
    ให้เราพิจารณาสิ่งที่ส่วนตัวได้เล่าให้ฟังมาให้ดีๆก่อนครับ..เราจะต้องเข้าใจและรู้ดีก่อน
    ซึ่งมันจะบอกได้ว่าบุคคลคนนั้นเริ่มคลานเข้ามาในส่วนของวิชาเดินธาตุ
    ในโหมดของวิญญานได้บางแล้วครับ..

    หลักสังเกตุนะครับ..ว่าตัวเองเริ่มคลาน(เริ่มคลานนะครับ)เข้าสู่โหมดวิญญาน
    ธาตุได้หรือยัง ให้สังเกตุดูว่า ในสภาวะลืมตาปกติเราสามารถทำอย่างที่จะเขียน
    บอกกล่าวข้างล่างได้แบบตาเปล่าๆ โดยไม่ต้องตั้งท่าอะไรมากมายได้หรือยัง

    ๑.คุณสามารถเรียกพลังงานกสิณทั้ง ๑๐ กองให้ขึ้นมาบนฝ่ามือได้หรือยัง
    โดยเรียกให้ขึ้นมาได้ทีละกอง...และรวมมันได้หรือยัง
    เช่น รวม ดินน้ำลมไฟ หรือรวมสีทั้ง ๔ สี ครับ
    เป็นอย่างน้อยนะครับ ซึ่งหลักการรวมคนทำได้จะรู้ดีครับ
    ๒.คุณสามารถเชื่อมกระแสพลังงาน รวมทั้งดึงกระแสพลังงาน ส่งกระแสพลัง
    จากกสิณทั้ง ๑๐ กองไปยังวัตถุต่างๆไม่ว่าอะไรก็ตาม และสามารถส่งผ่าน
    ข้ามมิติเวลาได้หรือยัง...
    ๓.ตาเราในระดับขนิกฯสมาธิ มีความสามารถเห็น และสัมผัส และจับเส้นสาย
    พลังงานภายนอกได้หรือยัง..ถ้ายังอย่าไปพูดเรื่องจัดเรียงเส้นสาย เสียเวลา
    และอายเค้าครับ เด่วพวกแผนกเส้นสายที่เค้าชำนาญทางด้าน
    จักระมาอ่าน.มาเห็นเค้าจะขำเอาครับ..

    ๔.ถ้าเราสามารถทำ ๓ ข้อแรกได้ให้ดูว่าตัวเราสามารถเชื่อมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    ได้หรือยัง แบบเป็นเส้นตรงทั้งตัวและใส มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า.
    ๕.เราแยกแยะได้หรือยังว่า พลังงานแบบไหนดี หรือไม่ดี เพื่ออนาคตสำหรับการ
    จัดเรียงเส้นสายพลังงาน..และการป้องกันการแทรกแซงของพลังงานไม่ดีครับ
    ๖.สายตาเราดีพอหรือยัง ที่จะแยกแยะได้ว่า พลังงานแบบไหนดีไม่ดี..
    และเราสามารถที่จะมีวิธีการในการปรับกระแสพลังงานที่ไม่ดีได้หรือยัง
    โดยที่เราไม่เป็นอันตรายใดๆ หรือว่าสามารถช่วยบุคคลอื่นๆได้เช่นกัน

    ๗.เส้นสายพลังงานในตัวไปเชื่อม กับ ภายนอกหรือบุคคลอื่นๆได้หรือยัง
    ๘.คุณสามารถตั้งธาตุต่างๆ ไว้ข้างหน้าคุณในระดับตาเปล่าได้หรือยัง
    ไม่ว่าจะ ๔ ธาตุ ๑๐ ธาตุให้มันหมุนนิ่งๆแต่ละธาตุและไม่เคลื่อนไปไหน
    และปั่นมันรวมกันได้หรือยังครับ.
    และข้อ ๙.เห็นความแตกต่างๆของมันแล้วหรือยังครับ ว่าการใช้จิตบังคับ
    ที่ หน้าฝาก หน้าอก เหนือสะดีอ มันสัมพันธ์อะไรกับจำนวนธาตุที่เราตั้งครับ..
    และข้อ ๑๐.ถ้าทำข้อ ๙ ได้แล้วกำลังก็ยังไม่เกินระดับฌาน ๑ ครับ.
    จำเอาไว้นะครับ ที่พูดให้ฟังคือต้องทำได้ในระดับสมาธิเล็กน้อย พวกนี้
    เป็นผลที่ทำให้เราทำได้จากการฝึกในโหมดสร้างกำลังจิตมาทั้งนั้น..


    อ่านเขียนดูไว้ครับ.จะได้ไม่หลงตัวเอง
    แล้วจะบอกว่า ถ้าทำได้หมดทั้ง ๑๐ ข้ออย่างที่กล่าวมาให้ฟัง
    นี้แล้วนั้น.ทางสายเดินธาตุ ไม่ว่าสายไหน เค้าถึงจะเรียกว่าการเริ่มคลาน
    เข้าสู่วิญญานธาตุครับ.และถือว่าพอมีกำลังสมาธิเล็กน้อยแค่นั้น..
    และไม่ต้องไปพูดเรื่องเล่นแปรธาตุแบบที่ครูบาร์อาจารย์ในอดีตต่างๆท่าน
    ทำได้ให้ยิ่งเสียเวลาออกไปอีกยาวไกลเลยครับ..พวกกิเลสมันชอบหลอกให้หลง
    เหมือนๆว่ามันดูง่ายๆดูว่าเราน่าจะทำได้.นี่หละครับความแยบยลที่เรามัก
    จะแพ้กิเลสมารพวกนี้..ให้เราระลึกย้อนเตือนสติตัวเองให้ดีๆครับ

    เพราะตรงนั้นเป็นระดับกำลังสมาธิ
    ขั้นสูงซึ่งเราๆจะต้องมีความสำรวมและเจียมเนื้อเจียมตัวในการกล่าวถึง
    สิ่งๆต่างๆที่ท่านๆเหล่านั้นทำได้ด้วยครับเราถึงจะพอมีโอกาสที่ก้าวเดิน
    ต่อไปได้เพราะว่าครูบาร์อาจารย์ท่านถึงจะค่อยๆเริ่มเปิดทางให้เราครับ
    ..อ่านแล้วไม่เชื่อ รู้สึกขัดๆ กับสิ่งที่เขียนมา
    ให้ย้อนไปดูว่า ๑๐ ข้อที่ผ่านคุณทำอะไรได้บ้างครับ..

    ประเด็นที่เขียนไม่ใช่อะไรครับ..เราอย่าไปให้ความสำคัญกับพวกความ
    สามารถแบบนี้ ในระดับกำลังสมาธิแบบนี้มากเกินไปครับ..ไม่งั้นเราจะไปติด
    กับพวกมารที่มันมักจะดึงเราให้หลงว่า ความสามารถระดับหางอึ่งแบบนี้
    มันทำให้ดูเหมือนว่าตัวเราวิเศษวิโสเหนือกว่าคนอื่นๆเค้า.ทำให้เราอยากพูด
    อยากแสดงเพื่อให้เราลึกๆอยากได้รับการยอมรับจากบุคคลอื่นๆที่เข้ามาอ่าน
    นี่ถ้าเราขาดการเจริญสติการเดินปัญญาเผลอๆมันจะหลอกให้เราคิดว่าความ
    สามารถแบบนี้นะ ทำได้อย่างนี้ เป็นระดับพระอริยะโน้น อริยะนี้ หลอกให้เรา
    คิดว่าเราบรรลุคุณธรรมขั้นสูงเอาได้ง่ายๆนะครับ..เพราะฉนั้นควรระมัดระวัง
    เรื่องทำนองนี้ให้ดีๆครับ ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติที่มีจริตเดินมาทางนี้นะครับ..

    โดยที่ทำให้เราเผลอลืมไปว่า เราแนะนำกันก็เพื่อแนะในแนวทางที่สมาธิได้พบได้เจอ
    เพื่อให้พ้นสภาวะแบบนี้ไปได้เฉยๆ โดยลืมเน้นไปว่า เป้าหมายหลักๆของมัน
    คือการนำเครื่องรู้ตรงนี้ ความสามารถเล็กน้อยตรงนี้ นำไปใช้เพื่อก่อเกิด
    ประโยชน์แก่บคุคลอื่นๆ และใช้ประโยชน์ในทางธรรม เพื่อหนุนเพื่อโน้ม
    เป็นแนวทางเดินให้จิตเราก้าวพ้นไต่ระดับไปกำลังสมาธิขั้นสูง
    เพื่อยกระดับจิตไปวิปัสสนา ลด ละ กิเลสในใจของตนเองให้มันน้อยลงไปเรื่อยๆครับ
    ปล.หวังว่าจะเข้าใจที่พยายามจะสื่อนะครับ
    ด้วยความปรารถนาดีต่อกัลยามิตรทุกๆท่านครับ
     
  19. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +3,152
    ข้าพเจ้าต้องขอขอบคุณในคำแนะนำตักเตือนด้วยความหวังดีของคุณ nop นะครับ

    เรื่องราวต่างๆของข้าพเจ้านั้นล้วนมาจากประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นจริงทั้งสิ้นครับ
    ขออธิบายให้เข้าใจข้าพเจ้าอีกนิดนะครับ

    ข้าพเจ้านั้นไม่รู้ในแนวทาง จักระ แบบคุณ nop และ คุณ yooyut นะครับ ทั้งเรื่องคำศัพท์ที่ใช้ ทั้งแนวทางและความรู้ กรรมวิธีต่างๆ ข้าพเจ้าจึงไม่สามารถตอบได้ และไม่เคยทำครับ ถึงจะเคยฝึกมาบ้าง แต่ก็ไม่กี่ครั้งเพราะข้าพเจ้าไม่ได้สนใจตรงนี้ครับ ข้าพเจ้าจะเน้นไปทางกรรมฐานที่มีผู้ปฏิบัติโดยส่วนมากครับ

    เรื่องกสิณธาตุนั้น ข้าพเจ้าขออธิบายแค่เรื่องกสิณไฟของข้าพเจ้าก็พอนะครับ
    ข้าพเจ้าฝึกแบบลืมตาเพ่งมาก่อน แน่นอนว่าเป็นแนวทางแบบฤาษี เพราะตอนนั้นข้าพเจ้ายังไม่ได้ศึกษาธรรมะของพุทธศาสนาแบบเต็มตัว ต่อมาเมื่อเริ่มศึกษา ข้าพเจ้าจึงปรับเปลี่ยนมาใช้การทำนิมิตแทน และตอนนั้นข้าพเจ้าเองที่ฝึกก็เพราะอยากมีฤทธิ์นั่นแหละครับ แต่พอต่อมาเรื่อยๆ ข้าพเจ้าเริ่มศึกษาธรรมะของพุทธศาสนามากขึ้น ข้าพเจ้าจึงเริ่มเห็นว่า ข้าพเจ้ามีสิ่งที่ต้องทำให้ได้มากกว่านี้อยู่ จึงเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์มาเป็นเพื่อพยุงสังขารของตนเท่านั้น การเพ่งด้วยตาเปล่านั้นมันก่อผลกระทบต่อข้าพเจ้าอย่างมากมายในเรื่องของการคุมธาตุไม่เป็น จึงหยุดไว้เพียงแค่นั้น ส่วนนิมิตนั้นข้าพเจ้าเพียงตั้งนิมิตไฟไว้ (อ้อ เรื่องนิมิตนั้นเป็นเรื่องปกติของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้านั้นเล่นนิมิตมานานแล้ว นึกจะให้ภาพนิมิตเกิดมาแบบใด ก็จะเกิดภาพแบบนั้นได้ และไม่ใช่แบบภาพคิดนึกธรรมดานะครับ แต่เป็นภาพที่เหมือนมองด้วยตาเปล่า มีความคมชัดและภาพสวยกว่ากันมาก) เมื่อจิตที่ยึดเอาอารมณ์ไฟโดยการกำหนดนิมิตนั้น จนเกิดเป็นความร้อนตามกำลังของธาตุไฟขึ้นมารวมทั้งภาพนิมิตที่ชัดเจน (แรกๆนั้นความร้อนจะแผ่ซ่านไปหมดทั่วกาย ต่อมาเมื่อควบคุมได้จึงกำหนดขอบเขตความร้อนให้เล็กลงตามที่ต้องการและเบาหรือเร่งความร้อนเอาครับ) ข้าพเจ้าก็จะกำหนดเอาความร้อนนั้นวิ่งไปตามร่างกายที่ต้องการในยามหนาวครับ ส่วนเรื่องการกำหนดย้ายไปนอกตัวไปสู่วัตถุนั้นข้าพเจ้ายังไม่เคย เคยแต่กำหนดใส่ผู้อื่นหรือการเข้าไปดูผู้อื่นกำหนดเท่านั้นครับ (ทดลองทำกันในหมู่เพื่อนร่วมปฏิบัติครับ) เท่านี้คงพอเข้าใจนะครับ

    ส่วนเรื่องหลงตัวเองนั้น ข้าพเจ้าไม่เคยหลงตัวเองครับ อืม เอาเป็นว่าข้าพเจ้าสำนึกในตัวเองอยู่เสมอและยังไม่เคยหลุดครับ และไม่ได้ต้องการชื่อเสียงแต่อย่างใด ข้าพเจ้าไม่มีคุยกับใครเป็นการส่วนตัวไม่มีคุยกับใครนอกรอบครับ และข้าพเจ้าแค่ต้องการเล่าประสบการณ์บ้างเท่านั้น แต่ถ้าเห็นว่าไม่สมควร ข้าพเจ้าจะหยุดพูดคุยในรายละเอียดต่างๆ หล่ะครับ

    อีกอย่าง ข้าพเจ้าเองไม่ใช่พวกปฏิบัติทีเล่นทีจริง ไม่ได้นั่งแค่ 5 นาที 10 นาที พอ แต่นั่งเป็นชั่วโมงนั่งเป็นวัน และไม่ใช่รอให้ใจสบายแล้วจึงนั่ง แต่ข้าพเจ้าทำให้สบายในทุกสภาวะเพื่อให้พร้อมจะปฏิบัติได้ทุกเมื่อ จึงทั้งนั่งกลางฝน นั่งกลางแดด นั่งหน้าหนาว นั่งยามง่วง นั่งยามหิว นั่งดูเวทนา ทุกอย่างเหล่านี้เพื่อฝึกความอดทนของจิต เพื่อดูสภาวะของจิตเมื่อต่อสู้กับกิเลสครับ (จริงๆข้าพเจ้าเคยลงเรื่องราวเหล่านี้ไปหมดแล้วหล่ะครับในกระทู้ก่อนๆนี้)

    และการจะกลับมาเอาเรื่องความรู้ตรงนี้บางอย่างเพื่อใช้ประโยชน์ในทางธรรมครับ (แค่บางอย่างเพียงเล็กน้อยครับไม่ได้จะเอาทั้งหมดหรือเอาให้ถึงที่สุดครับ) และการถามเรื่องทีวีนั้น ข้าพเจ้าแค่ต้องการความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ครับ ว่าพอจะมีหลักการอะไรที่จะอธิบายได้บ้างหน่ะครับ ยังไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นเลิศนะครับแค่สงสัยครับ

    ข้าพเจ้าลืมไปอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องการรวมธาตุนั้น ท่านสอนไว้ว่า ให้ตั้งเริ่มต้นที่ ไฟ ดิน น้ำ ลม ครับ และการตั้งธาตุแต่ละธาตุนั้น ให้ตั้งจนธาตุนั้นๆชัดเจนครับ. (ข้อความเหล่านี้ รวมทั้งอารมณ์และลักษณะของธาตุต่างๆ ข้าพเจ้าก็เคยลงไปแล้วในกระทู้ก่อนๆ แต่อาจจะเป็นกระทู้ของท่านอื่น น่าจะเคยอ่านแล้วนะครับ)

    หวังว่าคงจะพอเข้าใจข้าพเจ้าบ้างนะครับ

    ขอบคุณอีกครั้งด้วยความเคารพครับ

    สุดท้ายนี้ขออย่าได้เชื่อถือหรือยึดมั่นในสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลย

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2014
  20. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154

    ขออนุโมทนาในความตั้งใจของคุณนะครับ อย่าได้คิดมากความในหลายๆเรื่องราวไปเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นมวยวัด มวยบ้าน มวยป่า มวยลูกทุ่ง มวยลูกกรุง ก็สามารถคุยกันได้ทั้งหมด ณ ที่แห่งนี้ ไม่มีข้อขัดข้องแต่อย่างใด ดีเสียอีก ที่จะได้เป็นโอกาสได้ปรับอะไรๆบ้าง ในเมื่อทราบว่าพื้นฐานไม่ดี ก็ปรับเสียให้แน่นๆ เมื่อพื้นดีแล้ว จะได้พัฒนาความรู้ให้เจริญขึ้น ให้ถึงระดับสุดยอดของวิชชาต่อไป

    อยากทราบอะไรขอให้สอบถามได้ครับ อย่าได้คิดว่าจะเป็นการรบกวนใดๆต่อผม (คุณพี่ Supop ก็อนุญาตให้คุณ ใช้พื้นที่ในกระทู้นี้ได้เต็มที่ โอกาสเป็นของคุณแล้ว) หากสงสัยในสิ่งใด ก็ขอให้รีบถามเสียก่อน คนอย่างผม จะตายวันไหน จะตายวัน ตายพรุ่ง ก็ยังไม่ทราบ เกิดผมถึงแก่ความตายขึ้นมา จะหมดโอกาสถามไถ่กันตลอดไปนะครับ

    ข้อสอบถามของคุณ ผมพิจารณาดูแล้ว ในฐานะที่ทำการศึกษา อบรมตัวเองมาทางนี้โดยตรง ก็เห็นสมควรที่จะต้องเข้ามาตอบ เพื่อเป็นประโยชน์ในการสร้างเสริมความเข้าใจให้กับสาธารณชนทั่วไป และอาจจะเป็นประโยชน์ในเชิงการพัฒนาวิทยาการที่เกี่ยวข้องอีกทางหนึ่งก็ได้

    แต่การตอบ ก็ขอตอบเท่าที่ทราบ บางเรื่องที่ยังเข้าไม่ถึง ก็ขอเล่าเป็นหลักการไว้เท่านั้นนะครับ คงไม่ขยายความไปถึงการปฏิบัติ เพราะภูมิรู้ยังไปไม่ถึง ก็ขอให้รับทราบกันตามนี้ด้วยครับ

    สำหรับท่านผู้อ่าน หากอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง หรืองงหนักยิ่งกว่าเดิม ผมก็ขอน้อมรับความผิดพลาดในการสื่อสาร ไว้แต่เพียงผู้เดียว และต้องขออภัยเป็นการล่วงหน้า มา ณ ที่นี้ด้วย

    สำหรับการฝึกศึกษาการเดินธาตุนั้น ต้องอาศัยพื้นของสมถกรรมฐาน คือการใช้ “ธาตุ” เป็นองค์บริกรรมภาวนา จนใจสงบ สงัด เป็นฌาน และนำเอากำลังใจที่เกิดมีขึ้นนั้น ไปใช้ในการควบคุม บังคับบัญชาธาตุต่างๆ ตามอัธยาศัยต่อไป

    ประโยชน์ในเบื้องต้น ที่จะพึงมี พึงได้ จากการฝึกธาตุ คือความสมดุลของธาตุต่างๆในร่างกาย ที่จะเกิดมีขึ้น เมื่อธาตุในร่างกายมีความสมดุล ก็จะเป็นการทำนุบำรุงพลานามัยให้แข็งแรง ห่างไกลจากโรคาพยาธิทั้งหลาย คุณอีวานอฟ ลองพิสูจน์ดูได้อย่างง่ายๆ ดังนี้

    ๑.ในตอนเช้าและตอนเย็น ให้บริกรรมชุมนุมธาตุและตั้งธาตุ

    ๒.บริกรรมภาวนาอาการ ๓๒ และบริกรรมคาถาครอบเอาไว้

    เท่านี้ เพียงกระทำอย่างต่อเนื่อง จะเห็นผลที่เกิดกับสุขภาพร่างกายได้ด้วยตัวเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การจะมีสุขภาพที่ดีได้ ก็ต้องอาศัยปัจจัยอย่างอื่นร่วมด้วยนะครับ เช่น การรับประทานอาหารให้ครบ ๕ หมู่ และการพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ รวมทั้งการทำใจให้สบายไม่เครียด นั่นเอง

    นี่ว่าถึงประโยชน์ของการฝึกวิชาธาตุในเบื้องต้น

    ในส่วนของการฝึก ระดับสุดยอดของวิชาที่ถามถึงมานั้น ในเรื่องของการเดินธาตุเอง จะมีส่วนเชื่อมโยงกับกรรมฐานในข้อที่ว่าด้วยธาตุ คือ “จตุธาตุววัฏฐาน” (ซึ่งเป็นกรรมฐาน ๑ ใน ๔๐ กอง ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแนะนำไว้) อย่างเน้นแฟ้นชนิดที่เรียกว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน เรียกได้ว่า การฝึกวิชาเดินธาตุให้ถึงจุดสุดยอด โดยไม่ได้มีความรู้ลึกซึ้งกับจตุธาตุววัฏฐาน ย่อมเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง แต่สำหรับผู้เจริญจตุธาตุววัฏฐานจนจิตมีความสงบ สงัดและเข้าถึงข้อกรรมฐานกองนี้ได้อย่างลึกซึ้งแล้ว การเข้าถึงสุดยอดของวิชาเดินธาตุย่อมเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายดุจพลิกฝ่ามือ

    เป็นไปได้ถึงขั้นนั้น!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

    ตามที่ได้กล่าวไว้แล้วว่าจักรวาลนี้ประกอบไปด้วยธาตุ ธาตุเป็นองค์ประกอบของทั้ง ๓ โลกธาตุ ดังนั้น ธาตุเป็นใหญ่ในจักรวาล อ้าว แล้วจิตล่ะ “จิต” เป็นใหญ่ด้วยไหม? ก็ต้องกล่าวว่า จิต ก็เป็นใหญ่เหมือนกัน ไปๆมาๆ ท่านกล่าวไว้ว่า “จิต” กับ “ธาตุ” ก็เป็นเรื่องเดียวกัน เรียกว่า “จิตธาตุ” นั่นเอง นับว่าจิตก็เป็นธาตุอย่างหนึ่ง เป็นธาตุพิเศษ ที่มีธาตุรู้ อยู่ในตัวเอง และสามารถมีพฤติกรรมอันหลากหลายและพิสดารพันลึกอย่างยิ่งนะครับ

    ดังนั้น การเข้าถึงสุดยอดของวิชาเดินธาตุ ที่คุณอีวานอฟ ได้ถามถึง ก็คือการเข้าถึงในธรรมชาติของแม่ธาตุใหญ่ทั้งห้า คือปฐวีธาตุ อาโปธาตุ วาโยธาตุ เตโชธาตุ อากาสธาตุและเพิ่มในเรื่องของอรูปธาตุขึ้นมา คือต้องเข้าถึงในธรรมชาติของ วิญญาณธาตุ และท้ายที่สุด ต้องเข้าให้ถึงธรรมชาติของ จิตธาตุ ที่เป็นธาตุสุดท้าย ท้ายสุด

    ตรงจุดนี้ผมขอกล่าวไว้เพียงเท่านี้ เพราะโดยส่วนตัว ก็ยังเข้าไปไม่ถึงในส่วนของ “จิตธาตุ” หากกล่าวต่อไปก็จะ ”เฝือ” ไปเสียเปล่าๆ จึงขอแนะนำหลักการทั่วไปมาไว้แค่นี้ก่อนครับ

    เมื่อผู้ฝึกสามารถเข้าถึงสุดยอดของวิชาเดินธาตุแล้ว ที่คุณอีวานอฟ ได้ถามต่อ คือที่จุดสุดยอดของวิชชา เรามุ่งหมายในสิ่งใดเป็นสำคัญ เรื่องนี้ แบ่งการพิจารณาได้ดังนี้ครับ

    ๑.ในฝ่ายโลกีย์ สามารถใช้ประโยชน์ในเชิงการต่อสู้ กล่าวคือผู้ฝึกวิชาอาวุธ หากสามารถหลอมรวม “กาย” “อาวุธ” และ “จิต” เข้าด้วยกันได้ ก็จัดเป็นยอดฝีมือ ที่หาตัวจับได้ยากยิ่ง การรวมทั้งสามสิ่งเข้าด้วยกันนั้น ก็ทำได้ เนื่องจากร่างกาย ก็ประกอบไปด้วย “ธาตุ” และในส่วนของอาวุธเองนั้น ก็ประกอบไปด้วย “ธาตุ” และยิ่งไปกว่านั้น “จิต” ก็จัดว่าเป็น “ธาตุ” เช่นเดียวกัน ดังนั้น ทั้งสามสิ่งล้วนมีองค์ประกอบพื้นฐานที่เหมือนกัน จึงสามารถหลอมรวมกันได้ทุกเมื่อ ตามความประสงค์

    ทีนี้มาดูประโยชน์ในด้านการเจริญกรรมฐานกันบ้าง

    ๒.การบำเพ็ญตบะของฤาษี ในการเดินธาตุทางสายฤาษี กล่าวว่า มหาฤาษีที่มีตบะแก่กล้า เมื่อไม่สามารถดำรงสังขารขันธ์ต่อไปได้ หากประสงค์ความเป็นอมตะ มักจะใช้วิธีทางการเดินธาตุ ทำการแยกเอาตัวตน หรือ “อาตมัน” ออกจากสังขารขันธ์ ที่กำลังจะแตกสลายนั้น แล้วเอา “อาตมัน” เข้าไปแทรกประสานไว้กับ ธาตุที่คัดเลือกไว้ เพื่อให้ดำรงความเป็นอมตะ ของ “อาตมัน” ได้ต่อไปชั่วกาลนาน ในกรณีนี้ ทำให้เกิด “ธาตุกายสิทธิ์” หลากหลายรูปแบบขึ้นมานั่นเอง

    สำหรับพวกเรา ชาวพุทธ นั้น เราไม่นิยมความเชื่อในเรื่องของ “อัตตา อาตมัน” แต่เรายึดถือกับคำสอนในเรื่องของ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา “ ดังนั้น การใช้ประโยชน์ของวิชาเดินธาตุขั้นสุดยอดของเรา จึงมีลักษณะที่แตกต่างกับทางสายฤาษี โดยสิ้นเชิง แตกต่างกันอย่างไร เราไปดูกันครับ

    ๓.การดำเนินวิชาธาตุขั้นสูงสุด ของชาวพุทธ กล่าวได้ว่าผู้ฝึกวิชา จะมีความแนบแน่นกับกรรมฐานว่าด้วยธาตุ คือ “จตุธาตุววัฏฐาน” (ซึ่งเป็นกรรมฐาน ๑ ใน ๔๐ กอง ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแนะนำไว้) อย่างเน้นแฟ้นชนิดที่เรียกว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน ผู้ฝึกเมื่อเข้าถึงวิชาธาตุแล้ว มีกำลังจิตที่มีอำนาจเหนือธาตุต่างๆ และสามารถใช้ประโยชน์จากธาตุได้อย่างดี ย่อมต้องได้รับการอบรมใจ ให้เข้าใจถึงความไม่เที่ยง การเกิดขึ้น ตั้งอยู่และเสื่อมสลายของธาตุ ที่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง ทั้งที่อยู่ในร่างกายของตัวเอง และที่อยู่ภายนอกร่างกาย เมื่อจิตมีภูมิธรรมที่สูงขึ้น สามารถแยกธาตุ แยกขันธ์ ได้ ก็จะลึกซึ้งในกฏไตรลักษณ์ถึงความไม่เที่ยงในสรรพสิ่ง และพัฒนาไปสู่ความรู้ที่ทำให้เกิดเป็นวิปัสสนาญาณ ให้จิตเกิดปัญญาเพื่อคลายความยึดมั่น ถือมั่นในร่างกายได้ต่อไป

    ซึ่งข้อนี้ เข้ากันได้กับการพิจารณาธรรมในเรื่อง “กายคตาสติกรรมฐาน” ในหมวด “กาย” ของมหาสติปัฏฐานสูตร นั่นเอง

    นี่นับว่า เป็นจุดมุ่งหมายสูงสุด ในการฝึกวิชาเดินธาตุ ตามคตินิยมของพวกเรา ชาวพุทธ ตามที่คุณอีวานอฟ ได้ทำการสอบถามมานั่นเอง

    มาถึงตรงนี้ ก็จัดว่า ได้ตอบข้อสงสัยให้กับคุณอีวานอฟ ได้ครบทุกประเด็นแล้วนะครับ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ในสิ่งใด ขอให้สอบถามเพิ่มเติมมาได้ตลอดเวลา

    และท้ายสุด สุดท้าย ขอขอบคุณ คุณ Supop ที่ได้ให้พื้นที่ในกระทู้ สำหรับการพูดคุย มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...