กสิณอะไรฝึกง่ายสุดหนอ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย lovepyou, 8 กรกฎาคม 2014.

  1. Jasmin99999

    Jasmin99999 วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    971
    ค่าพลัง:
    +3,332
    มาติดตามช้าไปหน่อย... ยังไม่เข้าใจออพชั่นเสริมเรื่องแหวนคือเอามาทำยังไงคะ พอดีไม่มีโอกาสได้ไปเดินบนหญ้าสักที

    ปล. ยังอยู่ในช่วงปฏิบัติน้องๆคุณรุ้งดาวอยู่เลย ^_^
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,013
    [​IMG]

    รูปตัวอย่างแหวนที่ทำไว้สวมเอง
    แวะมาแจมด้วยหรือ ไม่มีอะไรมากหรอก เค้าเรียกว่า การใช้แหวน
    แหวนโอม ตรีศูล บัณเฑาะว์ ในการช่วยถ่ายเทพลังงาน..
    หาได้จากเนทวงละ สองร้อยกว่าบาทแต่ขนาดจะใหญ่หน่อย
    คือ ๒ ซม.หมายถึงเส้นผ่าศูนย์กลางนะ
    ต้องเอามาปรับก่อนแล้วนำไปชุบตามแต่ชอบ.
    หรือชอบแบบสวยๆประดับเพชรรัสเซียก็ตามใจ
    มีเจ้าเดียวแระที่แหวนเค้าผ่านพิธีมาอยู่..
    คือหลังจากที่จิตคุ้นเคยกับการถ่ายเทพลังงานได้แล้ว
    เราจะสามารถกลับเอาด้านตรีของแหวนให้เข้ามาที่ตัว

    แล้วกำหนดให้พลังงานส่วนเกินตกค้างที่จะเป็นอันตราย
    กับร่างกายของเราออกได้ในระหว่างวันเพื่อลดอาการ
    ต่างๆที่เกิดขึ้นกับร่างกาย...ซึ่งแหวนลักษณะนี้มีความ
    สามารถทำได้.ที่ปลายสามารถให้ช่างเค้าดัดให้ดู
    สวยงามได้ตามแต่ชอบ.เป็นที่มาของคำว่า
    ออฟชั่นเสริม..ประมาณนี้.
    .
     
  3. Jasmin99999

    Jasmin99999 วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    971
    ค่าพลัง:
    +3,332
    5555+ ดมกลิ่นตามท่านพี่นพเลยเจ๊อะ...
    อ่านๆดูก็พอดีมาใกล้เคียงกับที่ปฏิบัติอยู่ เลยสิงกระทู้นี้ซะเลย...
    ขอบคุณคำแนะนำ/คำสอนพี่นพและท่านอื่นๆด้วยค่ะ

    ปล. อาจจะไม่ค่อยออกความเห็นตามกระทู้สักเท่าไหร่ กำลังลักจำ
     
  4. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    โห .. อย่าน้องอย่าพี่เลยค่ะ อย่างดิฉันเนี่ยหน่อมที่สุดในหมู่แล้วค่ะ อย่าถ่อมตัวเลยค่ะ ดิฉันดีใจที่มีคนมาร่วมฝึกด้วย เพราะคำถามจากหลายๆท่านอาจจะเป็นแนวทางหรือคำแนะนำที่มาเพิ่มความรู้และเสริมการฝึกของกันและกันได้นะคะ
     
  5. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    คุณนพคะ ดิฉันขอเล่าบางเรื่องให้ฟัง พอดีดิฉันค้นหาในเวปฯแล้วไปเจอข้อความของคุณนพเองนั่นแหละค่ะ ที่พูดเกี่ยวกับมนต์ โอม มณี ปัท เม ฮุม

    ย้อนไปตอนหนึ่งของชีวิตที่ดิฉันมีปัญหาช่วงแรกๆที่ก่อนจะก้าวเข้ามาสู่ทางธรรมนั้น ช่วงนั้นจิตใจดิฉันเป็นไฟเลยก็ว่าได้ มันมีแต่ความไม่สบาย คือมันมีปัญหาน่ะค่ะ คนที่มีปัญหาชีวิตน่ะ มันก็ไม่สุขน่ะค่ะ คงพอนึกภาพออกนะคะ

    มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ทำงานอยู่ จู่ๆ มนต์นี้ก็ไปปรากฎในที่ๆทำงานค่ะ มาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ลอยมาในหัวชัดเจน ดิฉันฉงนกึกอยู่คนเดียว เล่นเอาชะงัก แต่ตอนนั้นนี่ความฉลาดหอบผ้าหอบผ่อนออกจากสมองดิฉันไปแล้ว จิตที่เป็นอกุศลมันครอบคลุมดิฉันเสียแล้ว จะมีมนต์ใดๆมาทำให้คลายความเร่าร้อนในใจนั้นก็ไม่ได้เสียแล้ว ช่วงนั้นนี่องค์พระประธานที่บ้านท่านเหมือนร้องไห้เลยค่ะ สิ่งที่ดิฉันและคนในบ้านเห็นก็คือมีรอยคราบน้ำไหลออกมาคล้ายร้องไห้น่ะค่ะ และช่วงนั้นนี่ตัวดิฉันเองเหมือนคนที่บ้าไปแล้วเหมือนคนฟั่นเฟือน เพ้อเจ้อ คิดเอง เออเอง และแล้วก็ไม่รอดค่ะ ....

    แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นนะคะ เรื่องราวชีวิตช่วงหนึ่งนั้นดิฉันว่ามันต้องผ่านกันทุกคน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าใครจะโดนแบบไหน และมันก็ก็เป็นผลที่มากจากอดีตเป็นต้นเหตุนั่นเอง

    ประเด็นคือ มณี เป็ง เม ฮุม จะแสดงออกมาตอนที่เรามีภัย ?????


    ส่วนตัวแล้วดิฉันไม่อยากจะเชื่อท่านระมิงค์เลยนะคะ ดิฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยด้วย ไม่อะไรทำไมกับท่าน (.....) ด้วยซ้ำไป ดิฉันเนี่ยก็เพิ่งมารู้ตัวเองเหมือนกันว่าเป็นพวกที่ยึดติด แต่ยึดติดครูบาอาจารย์ค่ะ นั่นไงคะ เริ่มเห็นความโง่ของดิฉันบ้างหรือยัง

    ท่านกระซิบมาว่าแล้วจะได้รู้ความจริง เมื่อมาเรียนรู้วิชาในกระทู้นี้ ......
    ดิฉันถามตัวเองว่า ก็แล้วถ้าเป็นท่าน ( ..... ) แล้วมันไม่ดีตรงไหน ก็นั่นซี

    แต่ดิฉันช็อคอ่ะ อืมมม ใช่ซีนะ ก็ดิฉันมันไม่ใช่ปาดนี่นา เรื่องของเขียด มันก็ต้องไม่เข้าใจอย่างเขียดนี่แหละหนา !!!!!!....

    ฝากไว้ก่อนเถอะ ท่านระมิงค์ ....... !!!! :cool::cool::cool:
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,013
    ๕๕๕๕๕๕ ทั่วไปถือว่าไม่มีอะไรนะสำหรับเรื่องเล่า..เรื่องของบุคคล(..)
    บางทีมันก็พูดยากนะ..ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองถึงเข้าใจได้ดี. เลยไม่
    ค่อยอยากจะไปวุ่นวายอะไรกับใครมาก.เอาว่าพอรู้ๆกัน..
    .ทางปฏิบัตินะโดยปกติแล้วถ้าเราไม่ถูกกระทบกระเทือนทางด้านจิตใจอย่างรุนแรงมาก่อน..
    หรือเห็นความทุกข์ได้..น้อยคนนะที่จะเดินมาทางธรรมเลย..
    สำคัญว่าตอนนั้น.สติกับปัญญาที่เป็นเพื่อนแท้เราจริงๆตอนนั้น
    .จะโน้มแนวทางเดินให้จิตเราดำเนินชีวิตไปในรูปใดเท่านั้น..
    ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเลือกเส้นทางเดินได้ถูก ก็ย่อมได้รับการโมทนา
    จากภพภูมิระดับสูงต่างๆ..และมีโอกาสที่จะมีพันธมิตรทางภพภูมิ
    มีฤิทธิ์ที่พร้อมจะร่วมเดินทางไปกับเราได้ด้วย
    แต่ก็เป็นธรรมดาที่เราจะเซๆบ้าง เผลอๆแวะโน้นแวะนี้
    ชะแว๊ปข้างทางบ้าง.หรือพักนานหน่อย เพราะว่าบางกรณี
    มันก็น่าแวะนะ ทั้งๆที่ไม่ก่อเกิดประโยชน์อะไรให้ตัวเองและบุคคลอื่นๆ
    ซึ่งก็ถือว่าปกตินะ เป็นกันได้ทุกคน สำคัญว่าจะรู้ตัวได้เร็ว
    หรือเปล่าเท่านั้นเอง..
    ส่วนประเด็นเรื่องคำภาวนาแล้ว เคยอ่านผ่านๆมาตามตำนานว่า
    ออกแนวช่วยเหลือยามมีภัยนั่นหละ.แต่ก็ใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆได้
    เช่นกันคือป้องกันตนเอง ก็คือป้องไม่ให้มีภัย..และที่ดีก็ทำให้จิตใจ
    สงบเป็นเหตุให้นั่งสมาธิเข้าสู่ระดับสงบได้เร็วขึ้น..จะว่าไปแล้วนะ
    คำภาวนาบทนี้นะ..เป็นพื้นฐานสำคัญเลยหละ.นอกจากจะเป็นเครื่อง
    พิสูจน์เรื่องเมตตาของเรานะ.ยังเป็นตัวเชื่อมพลังงานในตัวเรา
    กับอากาศธาตุได้เร็วขึ้นอีกต่างหาก..ที่จะนำไปสู่ความ
    สามารถในการเรียกธาตุภายนอกต่างๆที่เค้าเรียกธาตุทอง
    ที่เป็นพลังงานจากภายนอกเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในทางธรรมได้
    ..และเป็นฐานนำไปสู่การเชื่อมเส้นสาย หรือพลังงานต่างๆจากภายนอกได้ด้วย..
    และทำให้พลังงานพวกนี้ก่อเกิดประโยชน์ร่วมกันได้อย่างกลมกลืนอีกด้วย..
    หากเราเรียกให้ขึ้นมาตั้งต้นได้ในรูปแบบพลังงานเหมือนพวก
    พลังงานกสิณกองต่างๆนะ....

    ปล.ประมาณนี้หละ..คุยเรื่องเบาๆเฮฮาบ้างก็ดีนะ..แบบขำๆชิวๆ
    ตามแบบคนอารมย์ดี.(deejai).
     
  7. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ส่วนตัวแล้วดิฉันไม่อยากจะเชื่อท่านระมิงค์เลยนะคะ ดิฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยด้วย ไม่อะไรทำไมกับท่าน (.....) ด้วยซ้ำไป ดิฉันเนี่ยก็เพิ่งมารู้ตัวเองเหมือนกันว่าเป็นพวกที่ยึดติด แต่ยึดติดครูบาอาจารย์ค่ะ นั่นไงคะ เริ่มเห็นความโง่ของดิฉันบ้างหรือยัง

    ท่านกระซิบมาว่าแล้วจะได้รู้ความจริง เมื่อมาเรียนรู้วิชาในกระทู้นี้ ......
    ดิฉันถามตัวเองว่า ก็แล้วถ้าเป็นท่าน ( ..... ) แล้วมันไม่ดีตรงไหน ก็นั่นซี

    แต่ดิฉันช็อคอ่ะ อืมมม ใช่ซีนะ ก็ดิฉันมันไม่ใช่ปาดนี่นา เรื่องของเขียด มันก็ต้องไม่เข้าใจอย่างเขียดนี่แหละหนา !!!!!!....

    ฝากไว้ก่อนเถอะ ท่านระมิงค์ ....... !!!!


    ขอใช้สิทธิพาดพิงเจ้าข้า...า....:mad:
    แม่รุ้งดาวก็อย่ามาเชื่ออะไรผมเลยนิ...ผมก็ซี้ซั๊วต่าไปอย่างงั้นเองแหละ...เวลาของขึ้นก็บ่นๆไปเรื่อย อย่าไปใส่ใจจดจำ ทำให้รกสมองเปล่าๆ...

    ส่วนที่จะฝากไว้อ่ะนะ...อย่าลืมเอาคืนด้วยล่ะ...อิอิอิ
    ผมพอจะเข้าใจวิธีการฝึกแบบนี้บ้างแล้วครับ แต่ว่าพักหลังผลการฝึกของผมนี่มันดูจะเลอะเทอะ ไปหน่อย จึงไม่ได้เล่าให้ฟัง เพราะเกรงจะเป็นการรบกวนท่านผู้อ่าน และอาจมีผู้อ่านบางท่านอ่านแล้วนึกอยากจะด่าผมขึ้นมา แต่ว่าด่าผมนี่ผมไม่ถือสาอะไร เพราะผมโตมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะคำด่านี่แหละ...เพียงแต่สงสารคนด่า ที่ต้องคิดนึกเอาคำใดๆมาด่า อันนี้รู้สึกว่าน่าเห็นใจ ดังนั้นถ้าผมไม่เล่าเรื่องบ้าๆบอๆ เลอะเทอะๆในระหว่างการฝึกแบบนี้เสียแล้ว หลายๆท่านก็จะสบายใจขึ้น อีกทั้งยังไม่รกกระทู้อีกด้วย...ส่วนตัวผมที่ฝึกๆไปเกิดเลอะๆเทอะๆ อันนี้ก็แก้ไม่ยาก คือกลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ก็เท่านั้นเอง...
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,013
    นั่นๆ คุณ rungdao ไปพาดพิงบุคคลที่ ๓ โดนทวงสิทธิ์คืนเลย..๕๕๕๕๕
    ช่วงนี้การปฏิบัติใหม่ๆทั่วๆไปไม่ค่อยมีอะไรมาตื่นเต้นเท่าไรครับ.
    คุณพี่ raming2555...แต่ส่วนตัวตอนนี้พอทราบแล้วว่า.เรื่องการตั้งธาตุต่างๆภายนอก
    ไม่ว่าจะตั้ง ๔ ธาตุ ๖ ธาตุหรือ ๑๐ ธาตุ หรือ ธาตุเดียว..
    กับการบังคับผ่านจุดร่างกายบนตัวเองไม่ว่าหน้าฝาก หน้าอก
    เหนือสดือแบบลืมตา. มันพอมีความสัมพันธ์กันอย่างไรบ้าง ทำไม่ถึง
    ต้องบังคับผ่านจุดต่างๆและกำหนดให้อยู่ตำแหน่งนี้บนร่างกาย..
    .
    ในระดับสมาธิเล็กน้อยแบบที่พอมองเห็นกระแสและเส้นสาย

    ปล.แต่ก็อย่างว่า มันแบบสมาธิเล็กน้อย.
    ของคุณพี่ raming2555 ลองสังเกตุดูยังครับ.
    .เล่าให้ฟังก็ได้ครับถือว่าเล่าสู่กันฟัง..
    แต่ส่วนตัวขอคิดก่อนว่าจะเล่าหรือไม่ ๕๕๕๕๕..
     
  9. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ขออภัยสำหรับท่านผู้รู้ในเรื่องเส้นสาย วงโคจรลมปราณทุกท่าน

    อ้นตัวข้าน้อยเอง.ก็ได้ยินเรื่องพลังจักระลมปราณมาประมาณหนึ่ง

    ...แต่ก็มิเคยได้ศึกษาชำนาญลึกซึ้งตรีงใจเรื่องนี้แต่ประการใดไม่..
    ดังนั้นจึงขอแอบซุ่มศึกษา..หาปัญญาใส่กระโหลกตามเรื่อง
    เดินตามทางผู้ชำนาญน่าจะ..ดีกว่า

    ===
    ขอแสดงทักษะปัญญาว่า
    อันด้วยปรากฏการณ์กระแส ต่างๆที่เกิดขึ้นกับป๋ามิงค์ จากที่พอรู้มา
    นี่ก็หาธรรมดาไม่

    อ้นด้วยว่าเพราะ...(เพราะอะไรอ่ะ!!ตะแหน่วว)

    ดังนั้นครับ..ขอเรียนเชิญคุณ nopphakan มาแถลงไขด้วยครับ

    (กำลังรอเรียนด้วยคนครับ ..อิอิ)
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,013
    อ่านแล้วง่วงเลยครับ..๕๕๕๕ แห๋มๆ อุตสาห์ว่าจะมาโม้กำลังระดับเล็กน้อยซะหน่อย
    เจอคุณพี่ raming2555 เล่นแอบวางเครื่อง J turbo ไปเชื่อมดึงเส้นสาย
    จัดเรียงกันแบบที่ใช้หลักการหมุนวนแบบทางปราณ.
    แล้วไปเชื่อมกับเส้นสายพลังงานภายนอกแบบกำลังสมาธิสูงอย่างนี้.
    ดูจากกิริยาแล้วถึงขั้นกับทำให้หนาวๆที่จะเล่าให้ฟังต่อ.
    มิน่าคุณtopluss99 รีบโอนสิทธิ์ทันที...๕๕๕

    เด่วขออนุญาตนะครับ.เริ่มต้นจักระที่ศรีษะขยายกว้างรอก่อน จักระตรงหน้าฝาก
    มันขยายย้อนลงมาเฉียงๆหน่อยทำให้ปากล่างรู้สึกตึงๆเล็กน้อยใต้ริมฝีปาก แต่จักระตรง
    อกหมุนเรียบๆเล็กน้อย แต่ที่บริเวณต่ำกว่าสะดีอจะหมุนเหวี่ยงๆที่หน่องด้าน
    ขวาเริ่มๆมีการหมุนอาจจะออกอุ่นๆหน่อยร่วมด้วย แต่ตรงจักระ ๑ หมุนอยู่
    แต่ว่าหมุนตรงก้นกบ...

    ต่อมาพอจักระ ๑ มันหมุนกว้างขึ้นจริงๆนอกจากไปด้านหน้ามันยังแว๊ปๆขึ้น
    มาตามแนวกระดูกสันหลังแล้วแต่มาถึงประมาณต่ำแหน่งที่ตรงกับสดือ ในขณะ
    เดียวกันที่มือก็เริ่มหมุนๆทั้ง ๒ ข้าง จากช่วงบริเวณขาด้านซ้ายตรงหน่องขึ้น
    ผ่านเลยหัวเข่าพลังงานผ่านได้แบบเรียบๆ ไม่เหมือนบริเวณขาด้านขวาเหมือน
    หน่องจะร้อนเหมือนติดๆตรงหัวเข่าขวาว่าน้ำในกระดูกจะไม่ค่อยมี

    มันเลยรู้สึกว่าหัวเข่าขวาเฉยๆ..ช่วงนี้กลางหลังเริ่มอุ่นๆ ศรีษะขวาเริ่มตึง...
    ทางด้านข้างด้านขวา. แต่พอที่มาจากมือทั้ง ๒ และที่มาจากหน้าอก
    เริ่มมารวมตรงจักระ ๑ แล้ววิ่งไป
    ตามแนวกระดูกสังหลังปรากฏว่า กลางหลังๆโล่งๆและผ่านขึ้นไปเชื่อม
    กับกลางกระโหลกได้เลยโดยที่วงขยายของจักระระหว่างคิ้วกว้างมากขึ้น
    ในเวลาเดียวกันงี้...ส่วนอาการใต้ริมผีปากล่างตึงหายไป เหลือค้างบน
    ริมกลางริมผีปากล่าง.แล้วก็ไปเชื่อมกับพลังงานภายนอกต่อ..อาการอย่างนี้

    ส่วนตัวคิดว่าเป็นสายปราณนะครับคุณพี่ raming2555 คือว่าจะแตกต่าง
    จากจักระตรงที่ว่า..จักระจะใช้การสัมผัสเส้นสายภายนอกด้วยมือทั้ง ๒ ข้าง
    แล้วจับเส้นสายพวกนั้นลากมาถักทอให้เข้ากับแนวกระดูกสันหลัง.และขึ้นมา
    ถึงต้นคอและก็เชื่อมกับจักระระหว่างคิ้ว.แล้วค่อยไปเชื่อมพลังงานภายนอก
    แบบที่คุณพี่ raming2555 ไปเริ่มเชื่อมตรงกระโหลกศรีษะนั่นหละครับ.
    เพียงแต่ว่าด้วยหลักการของคุณพี่ raming2555 พลังงานภายนอกจะ
    วิ่งลงมาเชื่อมเองกับจักระ ไม่ได้จัดเรียงจากจักระเพื่อไปเชื่อมกับภายนอก
    เท่านั้นเองครับ...โดยส่วนตัวคิดว่าไม่น่ามีอะไรนะครับ.แล้วแต่ถนัดครับ

    มันก็เชื่อมและจัดเรียงได้เหมือนกัน.ต่างกันที่เชื่อมแบบปราณหรือ
    ว่าจะเชื่อมแบบจัดเรียงจักระครับ..
    อืมมมม ส่วนอาการที่อทิสมานกายไปอยู่ตรงๆกระโหลกศรีษะนั่นหละครับ.
    มันจึงเป็นเหตุให้การเข้ามาเชื่อมพลังงานภายนอกเราเวลาเราฝึก
    .มันวิ่งไปเชื่อมกับจักระต่างๆในร่างกายเรานั่นหละครับ เหมือนเราย่อกาย
    เราไปวางไว้ตรงประตูเชื่อมพลังงานเลยประมาณนี้ครับ..ส่วนถ้าส่งผลด้านอื่นๆ
    อย่างไรตอนนี้ตอบว่ายังไม่ทราบครับ..

    ประมาณนี้ครับ..ผิดถูกอย่างไรขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ..
    :z1
     
  11. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ผมประทับใจอยู่คำหนึ่ง..มาก

    จากพระภิกษุรูปหนึ่งที่ผ่านร้อนหนาว ประสบการณ์ทางจิต
    เอากรรมฐาน... แลกชิวิต

    ยอมเอาชีวิตเข้าแลก...ไถ่ถอนกรรมข้อปาณาติบาต ที่ท่านเคยผิดพลั้งมา

    แต่อาจด้วยบารมีเก่า ครูผู้เฒ่าท่านดูแล เลยรอดตาย

    เห็นในธรรมที่พึงมี.. พึงใด้ ตามวาสนา

    " ธรรมมะ..เหนือเป็นเหนือตาย พระครูบาอาจารย์เจ้าทั้งหลายในอดีต
    ท่านไม่ได้คอยจ้ำจี้ จ้ำไช แบบครูสอนเด็กนักเรียน เช่นทุกวันนี้

    ทำความเพียรให้มาก ..ปัญญาจะเกิดแก่เธอเอง

    สิ่งใด..ที่เป็นอันตรายแก่เธอ..ธรรมะจะคุ้มครองเธอเอง

    อัตตาหิ อัตโนนาโถ..ธรรมข้อนี้..จงทำให้ถึงที่สุด.."

    อันนี้ก็กราบอภัยในบางถ้อยคำ ที่อาจคิดว่าเป็นการล่วงล้ำทักษะปัญญา
    ปราชญ์...ย่อมเข้าใจในปราชญ์

    ======
    ข้าพเจ้าไม่ใช่ปาด..ข้าพเจ้าคือ...เขียด
     
  12. phatchareeya

    phatchareeya สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +9
    เคยลองเพ่งทีวีดูจนน้ำตาไหลเพ่งนานมากค่ะ แล้วจอทีวีก็ลายไปแป็ปเดียวก็กลับมาอย่างเดิมแบบนี้เขาเรียกอะไรค่ะ หาคำตอบไม่ได้เลยค่ะ
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,013
    เรียกว่าคลื่นความถี่ของเราที่ออกจากสมองไปแทรกคลื่นความถี่ในการรับส่งสัญญานภาพ.
    .แสดงว่า ณ ช่วงเวลานั่นคลื่นความถี่สมอง
    ของเรามันลดลงมาต่ำจนเกือบนิ่งมันเลยมีกำลัง
    ไปแทรกคลื่นอื่นๆได้ครับ.ปกติเราลืมตาทั่วๆไป
    คลื่นความถี่เราจะ 8 Hz up ถ้าฝึกสมาธิมันก็จะลดลงมา
    เข้าช่วงที่มีสมาธิเล็กน้อย
    และลดลงมาช่วงจิตเป็นทิพย์หรืออุปจารสมาธิแต่จะ
    มีการปรุงแต่งทางจิตได้คือคลื่นจะขึ้นๆลงๆถ้าดูจากกราฟความถี่นะครับ
    และคลื่นเริ่มแกว่งน้อยลง
    และจะเริ่มไต่ระดับฌานขึ้นไปจนกระทั่งคลื่นความถี่สมองนิ่งจะมีพลังงานมาก
    ถ้าเราเริ่มเข้าสู่คลื่นความถี่ที่เริ่มแกว่งน้อยลงเรื่อยๆจนถึงช่วงก่อนจะนิ่งได้
    แบบไม่ได้ตั้งใจหรือแม้จะตั้งใจก็ตาม.เรื่องที่มันจะไปแทรกอะไรก็ตามที่เราดูอยู่ก็จะ
    เป็นไปได้หมดครับ
    และถ้าเป็นไปได้ควรกระพริบตาตอนดูทีวี
    หรือละสายตาเพื่อตัดการเชื่อมคลื่นภายนอกและเพื่อปรับ
    ให้คลื่นความถี่สมองเข้าสู่สภาวะปกติ.หากจ้องมองนานๆแล้ว
    พอคลื่นความถี่เรามันปรับไปเท่ากับคลื่นทีวีจนกลายเป็นระดับ
    เดียวกันมันก็จะส่งผ่านพลังงานในระดับนั่นๆย้อนเข้ามาที่ร่างกายเราได้
    เป็นเหตุให้เกิดอาการปวดศรีษะหรือส่งผลเสียต่อการมองเห็น
    ส่งผลต่อระบบการย่อยอาหารหรืออวัยวะภายในส่วนต่างๆได้
    ในอนาคตเพราะว่ามันเป็นคลื่นคนละระดับกับคลื่นสมองเราปกติครับ

    ประมาณนี้ครับ
     
  14. phatchareeya

    phatchareeya สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +9
    ขอบคุณค่ะ ตอนนั้นแค่อยากลองดูค่ะ แต่ก็ปวดบริเวณหัวคิ้วจนถึงขมับจริงๆ แล้วอย่างนี้นำไปใช้อะไรยังไงได้บ้างค่ะ คือไม่ค่อยเรื่ิองการเพ่งเท่าไหร่ค่ะ
     
  15. phatchareeya

    phatchareeya สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +9
    แต่ก่อนก็เคยเพ่งอย่างอื่นเหมือนกันแต่ทำไมน้ำตามันไหลออกมาละค่ะ ออกมามากด้วย
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,013
    อาการปวดเป็นเรื่องปกติครับ.เพราะเราไปปรับคลื่นสมองให้มันเป็นแนวเส้นตรง
    โดยที่เราไม่รู้ตัวเรียกๆง่ายๆก็คือจัดระเบียบคลื่นความถี่ในกายให้มันเป็นระเบียบ
    ถ้ากำลังสมาธิสะสมเรายังไม่มากพอเราก็จะปวดระหว่างคิ้วและตึงๆศีรษะส่วนบน
    ก่อนแต่ว่าร่างกายเรายังไม่ได้เปิดออกเพื่อรับพลังงานภายนอกจากกลางกระโหลก
    ศรีษะได้พลังงานมันก็จะย้อนมาดันตรงขมับเพราะว่ามันมักจะย้อมมาใกล้ๆบริเวณ
    ที่มันเข้ามาหรือส่งออกเป็นปกติครับ.และการลืมตาค้างนานๆน้ำตาไหลเป็นเรื่องปกติครับ
    เพราะสายตาเรามันจะแห้งเพราะถูกอากาศภายนอกมากเกินไป ร่างกายปกติจึงมันจะ
    กระพริบตาเพื่อให้เกิดสมดุลย์ตรงนี้.มันก็เลยต้องสร้างน้ำตามาเพื่อหล่อ
    เลี้ยงดวงตาซึ่งเป็นเรื่องปกติครับ.นอกจากว่าเราจะมีกำลังสมาธิสะสมเพียงพอ
    ในระดับที่มันสามารถสร้างกระแสพลังมาคลุมบริเวณดวงตาเราได้ปกติ
    เราถึงจะลืมตามองได้นานกว่าปกติโดยที่ไม่เป็นอะไรครับ.ส่วนการเพ่งประโยชน์
    ที่มีในทางปฏิบัติเค้าจะใช้เพื่อในกรณีที่เราหลับตาทำสมาธิไม่ค่อยได้เพราะว่า
    มีความคิดที่เกิดจากจิตมันขึ้นมารบกวนง่าย.การเพ่งจึงเสมือนการดึงให้จิต
    โน้มไปสนใจภายใจภายนอกแทนการสนใจความคิดที่จะผุดออกจากจิตพวกนั้น.
    พอจิตโน้มไปสนใจภายนอกบ่อยๆเรื่องที่ผุดพวกนั้นมันก็ไม่มีกำลังจะขึ้นมา
    พอเรากลับมานั่งหลับตาก็เลยมีความรู้สึกว่ามันสงบได้ง่ายครับ..
    แต่การเพ่งนั้นเราจะมองผ่านระหว่างคิ้วเพื่อเปรียบเสมือนเป็นการสร้างตาที่ ๓
    เพื่อตัดระบบประสาทต่างๆที่จะทำงานที่ดวงตาปกติ.ก็จะสามารถเกิดสมาธิขึ้นได้
    ในลักษณะที่จิตทำงานในลักษณะเกิดแสงเป็นแนวทางเดินจิตครับ.
    ซึ่งมันจะเน้นไปเด่นทางด้านทิพยจักขุก่อน...
    ถ้าหลับตาเค้าเรียกการที่จิตทำงานโดยการลดระดับความถี่ครับ..
    ซึ่งสุดแล้วนะครับ..จะหลับตาลืมตาก็สามารถทำได้หมด แล้วแต่ความชอบ
    ความถนัดของเราครับ.
    .

    ขออนุญาตนะครับ ของคุณนะครับจิตเดิมมันเด่นตรงเคยมีกำลังจิตสูง
    มาก่อนควบกับทิพย์จักขุครับ.เราจึงแอบคิดในใจลึกๆว่าลองทำแนวๆนี้
    ดูหน่อยจะเป็นไรหรือไม่.แต่พื้นฐานคุณก็เป็นคนขี้เกรงใจและเกรงว่าถาม
    แล้วคนเค้าจะมองคุณแปลกๆ.แต่ตอนนี้คุณเข้าได้มาอ่านกระทู้นี้แล้ว
    ให้คุณถามมาตรงๆได้เลยครับ.ระบุชือผู้ถามด้วยนะครับ
    ไม่ต้องเกรงใจ.มันถึงจะก่อเกิดประโยชน์ได้ทั้งต่อตัวเอง
    และผู้อื่นๆในอนาคตครับ...
     
  17. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ก่อนจะเห็นธรรมะต้องผ่านเป็นผ่านตายไปแล้วก่อนนี้เป็นเรื่องจริงดั่งครูผู้เฒ่ากล่าวไว้จริงๆแหละครับ...
    ผมเห็นคนส่วนมากก็จำเอาคำพูดครูผู้เฒ่าเหล่านี้มาพูด โดยที่ยังไม่รู้ความหมายเพียงแต่ฟังดูดี แต่นี่ไม่ได้ว่าป๋า Toplus99 นะครับ เพราะถึงผมมักจะล้อว่า ป๋าเพี้ยนๆบ้าๆบอๆ แต่ก็รู้ดีว่าป๋าฝึกมามิใช่น้อย ผ่านเรื่องอะไรมาเยอะ จนพูดไม่ออก ได้แต่ทำเป็นเพี้ยนๆบ้าๆบอๆไป ทั้งที่จริงๆแล้วมีดีมากกว่าชาวบ้านเขาเยอะ เพียงแต่พูดออกมาแสดงออกมาตรงๆไม่ได้เท่านั้นเอง...
    เรื่องผ่านเป็นผ่านตาย มันต้องเจอเข้ากับตัวเอง ถึงเวลานั้นมันจะตายจริงๆมันไม่ใช่เป็นแค่อุปทานหรือวิปัสนูกิเลส มันตายจริงๆ ผมเห็นว่าถึงเวลานั้นแล้วมีไม่กี่คนยอมตายเพื่อถวายเป็นพุทธะบูชา ธรรมะบูชา สังฆบูชาได้ และในจำนวนที่ยอมตายนี้ก็มีไม่มากนักที่ผ่านพ้นความตายมาได้แล้วได้เห็นธรรม...

    การรู้ธรรมนั้น เกิดได้จากการอ่านการฟัง คิด วิเคราะห์ ใคร่ครวญ พิจารณาซ้ำไปซ้ำมา ด้วยปัญญาของตน...
    การเห็นธรรมนั้น เกิดได้จากการที่จิตเข้าไปสถิตอยู่ในสภาวะธรรมนั้น และแจ้งแก่ใจของตนเอง ฑิฐิ มานะ อุปกิเลส ทั้งหลายจะสิ้นไปในเวลานั้น ณ ขณะนั้นที่ได้เห็นธรรม เป็นการเห็นสภาวะธรรมที่ไม่มีรูปไม่มีนาม ไม่มีที่มา ไม่มีที่ไป ไม่มีเบื้องหน้า ไม่มีเบื้องหลัง นี้เป็นที่มหัศจรรย์ใจมากครับ
    คนที่ผ่านเป็นผ่านตายไปจนเห็นธรรมะแล้วนั้น จะไม่ค่อยพูดธรรมะออกมาให้ใครฟัง เว้นเสียก็แต่นักปฏิบัติด้วยกัน เนื่องเพราะไม่เห็นประโยชน์ใดๆในการพูด ธรรมะไม่ได้เห็นได้บรรลุได้ด้วยการฟังเพียงอย่างเดียว ต้องปฏิบัติจนพ้นเป็นพ้นตายไปแล้วเท่านั้น ซึ่งจะมีสักกี่คนกันที่มีกำลังใจเพียงพอที่จะทำตรงนั้น...

    คนที่จะสอนนั้นหายากอยู่ก็จริง แต่คนที่คู่ควรจะได้รับการสอนยิ่งหายากกว่า ทั้งที่เรื่องผ่านเป็นผ่านตายไปนี้จะว่าไปแล้ว ถึงพวกเราทั้งหลายไม่ปฏิบัติธรรมใดๆเลย ในท้ายที่สุดพวกเราก็ต้องตายทุกคนอยู่ดี ตายเวลาไหนไม่รู้ แต่รู้ว่าต้องตายแน่ๆทุกคน ก็แล้วทำไมนะ เมื่อจะต้องตายอยู่แล้วแต่กลับไม่กล้ายอมตายถวายพระธรรม ยังอยากจะตายแบบไร้ค่า ตายแบบเห็ดแบบรา ไร้สาระ นี้ตรงนี้คนคิดไม่ได้ พออารมณ์สุดท้ายที่ใกล้จะตายจริงๆจากการปฏิบัติกลับกลัวแล้วถอนกำลังทิ้งเสีย

    บ่นซะเยอะนิ..สงสัยจะแก่เพราะบ่นนี่แหละ...
    ป๋าToplus99ลองดูครูผู้เฒ่าที่ท่านเหนือเป็นเหนือตายไปแล้วนะครับ ท่านจะพบกับความพิการทางกายที่แลกกันมากับธรรมะ อวัยวะภายในหรือบางส่วนของภายนอกมันพิการไปแล้ว ระบบมันรวน เครื่องในมันพังเสียแล้ว ครูผู้เฒ่าเหล่านี้จะทรงสังขารไว้ก็ด้วยอาศัยกำลังใจเป็นหลัก ข่มเวทนาก็ด้วยสังขารุเบกขาญาณเอาไว้ เห็นยืนได้ นั่งได้ ยิ้มได้ นี่จริงๆแล้ว อวัยวะมันเสื่อมไปเยอะแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2014
  18. phatchareeya

    phatchareeya สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +9
    ขอบคุณนะค่ะสำหรับคำแนะนำทุกท่าน ที่ดิฉันถามไปโดยไม่ระบุผู้ตอบก็แค่อยากให้คนที่รู้จริงๆมาตอบค่ะ ขอโทษด้วยนะค่ะ
     
  19. phatchareeya

    phatchareeya สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +9
    ดังนั้นดิฉันควรจะฝึกแบบไหนดีค่ะเพื่อให้ได้ผลค่ะ
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,013
    ..อืมมมมมม คุณ phatchareeya ครับขอพูดตรงๆนะ..
    นักปฏิบัติส่วนมากเค้ามักไม่มีความคิดว่า
    ตัวเองเป็นผู้รู้หรอกครับ.มีแต่ความคิดว่ายังเป็นผู้ที่ควรจะต้องศึกษาต่อ
    และโดยพื้นฐานเค้าจะไม่คิดว่าตัวเก่งด้วยครับ..
    ยิ่งคุณมาถามแบบไม่รุบะชื่อหรือใช้คำว่าผู้รู้.
    โดยที่แนวทางการปฏิบัติไม่สัมพันธ์กับหัวข้อกระทู้
    และไม่ใช่เจ้าของกระทู้ด้วยแล้ว
    ยิ่งจะทำให้เค้าไม่กล้าแนะนำคุณ.คิดๆให้ดีๆน่าจะเข้าใจนะครับ..
    ที่เรามาพูดๆคุยๆกันก็เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน
    ไม่มีใครเก่งกว่าใคร ใครดีกว่าใครหรอกครับ. ถ้าคุณจะหาผู้รู้จริงๆ
    คุณรอให้ พระพุทธเจ้าท่านเสด็จมาสอนคุณนะครับ.หรือรอให้มีครูบาร์
    อาจารย์ทางภพภูมิมาสอนคุณนะครับ อย่างนั้นถึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้รู้
    นี่คือประเด็นแรกนะครับ
    ๒.จะบอกหลักสังเกตุอะไรให้อย่างหนึ่งนะครับ..พวกที่เห็นวิญญานได้
    แบบแว๊ปๆ เป็นเงา หรือเป็นคล้ายบุคคลเราถือว่าเคยมีทิพย์จักขุดีระดับ
    หนึ่ง แต่พวกที่เห็นคล้ายเงา คล้ายบุคคลได้แบบมีแสงสว่างร่วมด้วยนั้น
    บุคคลกลุ่มนี้เค้าเคยได้ทิพย์จักขุมาในระดับเห็นได้ด้วยตาเปล่ามาแล้วทั้งนั้น.
    คุณไม่ต้องเสียเวลาไปถามนักปฏิบัติที่เค้าไม่เคยเห็นเหมือนคุณมาก่อนให้เสีย
    เวลาหรอกครับ.ยังไงๆเค้าก็แนะนำคุณไม่ได้ตรง ถ้าเจอบุคคลไม่มีพื้นฐานเหมือนคุณ
    มาก่อนในทางด้านการเห็นแบบนี้ คนเห็นผีมันต้องคุยกับคนเห็นผี
    และเห็นผีแบบเดียวกันครับถึงจะคุยกันรู้เรื่อง.

    ๓.จำเอาไว้อย่างหนึ่งว่า กำลังสมาธิในระดับฌาน ๔ จริงๆนั้นในระดับที่
    กายกับจิตมันแยกขาดกันอย่างเด็ดขาดนั้น.เราจะไม่สามารถที่จะควบคุม
    จิตของเราเองได้ หรือ กายทิพย์ของเราเองให้อยู่ในร่างกายได้เพราะนิสัยเดิม
    ของจิตมันชอบส่งออกเป็นทุน..และถ้าเรามีความคิดผุดขึ้นมาแค่เสี้ยววินาที
    จิตมันจะรวมกับคืนสู่ร่างกายทันทีเร็วยิ่งกว่าจรวด..ถ้ายังคิดได้แสดงว่านั่น
    ไม่ใช่แระ.ยังอยู่ภายใต้ความคิดปรุงแต่งอยู่..คนที่ฝึกมาถึงกำลังฌาณ ๔
    เค้าถึงรู้ตัวเองว่า ต้องมาฝึกเจริญสติในชีวิตประจำวันให้ต่อเนื่องเพื่อ
    ควบคุมจิตไม่ให้ออกจากร่างกายตัวเอง ไม่งั้นพอถึงกำลังฌาน ๔ อีกครั้ง
    มันจะควบคุมจิตตัวเองไปไม่ด้อีก และถ้าไม่ฝึกก็จะกลายเป็นพวกหลง
    ตัวเองไปยึดติดกับการเห็นการรู้ ท่องเที่ยวไร้สาระไปเรื่อยเปื่อยครับ
    เค้าถึงพยายามฝึกจนกระทั้งสามารถทำให้จิต
    มันนิ่งๆไปออกไปข้างนอกได้เพื่อป้องกันตรงนี้
    ในขณะที่กายกับจิตแยกกันอย่างเด็ดขาดชั่วคราวนะครับ.
    .และก็ควบคุมจิตให้อยู่อย่างนี้จนกระทั่งเห็นขันธ์ ๕
    ส่วนนามธรรมมันปรากฏให้เห็นเพื่อโน้มเข้าสู่การเดินปัญญา
    และให้จำไว้ว่าถ้ายังไม่เห็นขันธ์ ๕
    นามธรรมตรงนี้หรืออ่านแล้วยังไม่เข้าใจ ไม่ต้องไปพูดเรื่องวิปัสสนา
    และเดินปัญญาให้เสียเวลาเพราะว่า จะยังไม่พ้นสภาวะความคิดที่ปรุ่ง
    แต่งร่วมกับจิต ประเด็นนี้อ่านแล้วพิจารณาดีๆครับ..

    ๔.ไอ้สภาวะที่มันที่มืดๆ แต่ว่าไม่สามารถโน้มวิปัสสนาอะไรได้ หรือว่าทำ
    อะไรได้ที่มันก่อเกิดประโยชน์ในการลด ละ กิเลสนั่น หรือว่าเราออกมา
    แล้วไม่ได้เพิ่มหรือก่อให้มีความสามารถทางจิตอะไรเพิ่มเติม..พวกนี้
    มันเป็นสภาวะที่ยังอยู่ภายใต้ความคิดทั้งนั้น.ยิ่งเข้าไปแล้วมืดๆอยู่
    พอระลึกได้แล้วอารมย์มันถอยออกมา พร้อมกับการเต้นผิดปกติของหัวใจ
    ที่มันแรงขึ้นคือมันติดอยู่ในระดับฌานต้นๆเท่านั้นครับ.ปกติถ้าติดระดับนี้เค้า
    จะไม่ระลึกสติขึ้นมาเพราะจะทำให้สภาวะมันถอยหลัง.และมักจะเข้าไม่ได้
    อีก แม้ว่าการเข้าได้ครั้งแรกก็จะเป็นแบบไม่รู้ตัว..

    ๕.และถ้าเข้าแบบไม่รู้ตัวแบบนี้ ถ้าผ่านได้ ต่อไปจะเข้าไปคล้ายๆมืดๆอีก แต่จะเห็น
    เป็นดวงดาวเต็มท้องฟ้า แต่ว่าก็จะทำอะไรไม่ได้อีก.ไม่มีผลอะไรใดๆทั้งสิ้น..
    ซึ่งสภาวะในข้อที่ ๔ คนนั่งสมาธิทั่วๆไปก็ทำได้ หรือไม่จำเป็นต้องฝึกสมาธิ
    มาก่อนก็ทำได้ เพราะฉนั้นอ่านๆให้ดีๆ อย่าไปให้ความสนใจหรือไปเชื่อว่ามันเป็น
    สภาวะที่ดีอะไร..จำไว้ถ้าเข้าแล้วออกมาต้องมีผลต่อระดับกิเลส มีผลต่อเครื่องรู้
    พิเศษต่างๆไม่มากก็น้อย ตลอดจนความสามารถบางอย่าง ถ้าออกมาไม่ใช่ไม่ต้อง
    สนใจมันครับ...

    ๖.ให้ฝึกเจริญสติในชีวิตประจำวันให้ต่อเนื่องให้ได้ก่อน จนพอมีกำลังสติทางธรรม
    มากพอ มีกำลังสมาธิสะสมมากพอ จะทำให้นั่งสมาธิได้ดีขึ้น ผ่านสภาวะจากข้อที่ ๔ ไปข้อที่
    ๕ ได้..และนั่งจนเห็นขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม.จะเข้าใจกิริยาทางจิต กิริยาความคิด
    กิริยาของขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม....แล้วค่อยมาดูว่าตัวเองชอบฝึกกรรมฐานแบบ
    ที่ใช้การมองภาพรูปแบบไหน..ก็จะกลับเข้าสู่แนวกรรมฐานเดิมที่จิตเรามันเคยฝึก
    มาในอดีตได้และก็จะปลอดภัยครับ.....
    ถ้าไม่พยายามทำอย่างที่บอก เราก็จะเป็นคนที่พูดแบบที่คิดว่าตัวเราเองมีสติ
    แต่ก็พูดแบบไม่มีสตินั่นหละครับ...สติทางโลกกับสติทางธรรมมันคนละแบบกันครับ
    สติทางธรรมคือตัวที่คอยควบคุมความคิดที่เกิดจากจิต ควบคุมพฤิตกรรมของจิต
    ให้จิตคลายตัวเองออกจากความคิด ออกจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม เพื่อให้ค่อยๆละ
    ค่อยๆคลายความคิดที่เกิดจากจิตพวกนี้ ให้ออกจากจิตให้ได้.

    เพราะสติทางธรรมมันจะเป็นตัวที่ทำให้เราเข้าใจเรื่องต่างๆที่เป็นนามธรรมได้ดีด้วยครับ
    ถ้าเราไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนามธรรมพวกสัมผัสที่เห็น แสดงว่าสติทางธรรมเรายังไม่พอ
    ให้เราเปลี่ยนจากความสงสัย ให้เป็นไม่สนใจแล้วเร่งสร้างสติทางธรรมให้มากๆ
    เด่วพอมีสติทางธรรมมันจะย้อนรู้ได้ของมันเอง ไม่งั้นจะเสียเวลาปฏิบัติเฉยๆ..

    ไอ้พวกความคิดที่ว่า.มีการตัดสินใจว่าจะต้องเป็นอย่างที่ฉันคิด ต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น
    ต้องเป็นอย่างที่ฉันคิดอย่างนี้ เพื่ออย่างนี้ มันเป็นการแบ่งพรรคแบ่งพวก
    เลือกข้าง แบ่งฝ่าย แยกแยะ ทั้งๆที่มีคนบอกคนเตือนไปแล้ว อย่างนี้เค้าเรียกว่าใจไม่
    เป็นกลาง และเรียกว่าขาดสติทางธรรมในการควบคุม..เป็นสติแบบโลกๆ.มันก็จะ
    สงสัยวนเวียนไปเรื่องเดิมๆไม่จบสิ้น และจะทำให้เราคิดฟุ้งเฟ้อไปเรื่อยเปื่อยด้วยครับ
    .และก็จะส่งผลให้เราพูดแบบที่คิดว่าตัวเองมีสติทั้งๆที่ไม่มีสติทางธรรม
    อย่างที่เป็นๆอยู่ทุกวันนี้นั่นหละครับ
    ..
    ปล.หวังว่าจะพอเข้าใจที่พยายามสื่อนะครับ
    และสำหรับคุณขออนุญาตเล่าให้ฟังแค่นี้นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...