กสิณถึงฌานสี่อธิษฐานใช้ผลได้ ถ้ายังใช้ผลไม่ได้เป็นจินตนาการไปแล้ว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Saber, 15 สิงหาคม 2014.

  1. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถาม : เมื่อทำกสิณถึงฌานสี่แล้วจะเปลี่ยนเป็นอรูปฌาน ยังไม่มั่นใจว่าตัวเองได้อรูปฌานจริงหรือเปล่า ? ผมหรือคิดไปเอง หรือกำลังหลอกตัวเอง ?
    ตอบ : ทำไมโง่แท้วะ..! ถ้าทรงกสิณถึงฌานสี่ก็ใช้ผลได้แล้ว คุณก็อธิษฐานขอใช้ผลก่อนสิ ถ้าเป็นไปตามที่ต้องการเราค่อยไปเปลี่ยนเป็นอรูปฌาน ไม่ใช่อธิษฐานแทบตายแล้วไม่เกิดอะไรเลย ถ้าอย่างนั้นก็หลอกตัวเองแน่นอน

    ถาม : ท่าทางจะหลอกตัวเอง
    ตอบ : ถ้าทรงกสิณถึงฌานสี่ได้ ก็คือ กสิณที่เป็นปฏิภาคนิมิต สามารถย่อได้ ขยายได้ ให้มาได้ ให้ไปได้ ก็อธิษฐานใช้ผลได้แล้ว

    ถาม : ตอนนี้ย่อได้ ขยายได้ แต่อธิษฐานใช้ผลไม่ได้ครับ
    ตอบ : ถ้ายังใช้ผลไม่ได้ ไม่น่าจะใช่ ย่อได้ขยายได้ของเรากลายเป็นจินตนาการไปแล้ว

    ถาม : จะแก้ไขอย่างไร ?
    ตอบ : ถ้าเราเริ่มจากการจับภาพกสิณมาจริง ๆ จะเห็นพัฒนาการทีละน้อย จากแรก ๆ ที่เราจับได้ครู่เดียวภาพก็หายไป ต้องลืมตามอง แล้วหลับตานึกถึงใหม่ จนกลายเป็นติดตา ติดใจ คือหลับตาหรือลืมตาก็เห็นเหมือนกัน

    หลังจากนั้นพอประคับประคองไปเรื่อย ภาพก็จะค่อย ๆ เปลี่ยน เปลี่ยนจากวัตถุสีเข้มกลายเป็นสีจางลง ลักษณะจางลงก็คือ จางเหมือนกับสีเหลือง เหมือนกับเหลืองอ่อน แล้วก็เริ่มใส พอเริ่มใสมากขึ้น ๆ จนกระทั่งสว่างจ้า แปลว่าเริ่มเข้าสู่เขตของฌานสี่แล้ว ถ้าอธิษฐานย่อได้ ขยายได้ ให้มาได้ ให้หายได้ ก็กลายเป็นฌานสี่เต็มที่ ทีนี้เราก็อธิษฐานใช้ผล

    แต่อย่างเราไม่ได้เริ่มจากการนับหนึ่งสองสามมา เรากระโดดไปตอนสุดท้าย ไปคว้าเอาส่วนใดส่วนหนึ่งมา ส่วนใหญ่เป็นแค่เราคิดว่าใช่ โดยเฉพาะคนที่ฝึกมโนมยิทธิมา กำลังใจที่ใช้ในการควบคุมความคิดตัวเอง สามารถทำได้คล่องตัวกว่าคนอื่นเขา และชัดเจนกว่า จึงทำให้คิดว่าตัวเองได้แล้วก็เป็นได้

    เพราะฉะนั้น..สำคัญที่สุด คือ อธิษฐานใช้ผลดู ถ้าใช้ได้แน่นอน ค่อยเปลี่ยนเป็นอรูปฌาน แต่ถ้าจะทำอรูปฌานให้เว้นอากาสกสิณ เพราะอากาสกสิณทำเป็นอรูปฌานไม่ได้ และเว้นอาโลกกสิณไปด้วย ลักษณะของความสว่างกับอากาศก็ใกล้เคียงกัน ทำให้บางทีเราจะขาดความมั่นใจ แต่ถ้ามีความคล่องตัวจริง ๆ เว้นแค่อากาสกสิณอย่างเดียวก็พอ กองอื่น ๆ สามารถทำเป็นอรูปฌานได้ทั้งหมด

    หลวงพี่เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    บทสนทนานี้ดีมากๆเลยครับ..หลักการตรวจสอบ เทคนิค
    และการพัฒนาต่อยอดไปอรูปฌานตามที่ท่านพระอาจารย์กล่าวเลยครับ..
    และส่วนตัวขออนุญาตเพิ่มเติมบางประเด็นเล็กน้อยครับ
    เผื่อว่าจะพอมีประโยชน์และเพิ่มหลักสังเกตุให้ได้บ้าง...
    ขอแยกเป็น ๒ ประเด็นคือ ๑.ประเด็นที่เกี่ยวกับนิมิตรและ
    การกล่าวถึงอรูปฌานแบบที่ยังไม่ผ่านการสร้างภาพ
    และ ๒.ประเด็นเกี่ยวกับข้อสังเกตุในการอฐิษฐานจิต

    เวลาปฏิบัติการที่เราจะเห็นได้ชัดเจนว่าอากาศกสิณ
    กับอาโลกสิณมีความใกล้เคียงกันได้ชัดเจนที่สุดในเรื่องของความสว่าง
    อย่างที่ท่านบอกก็คือการฝึกกสิณแบบลืมตาจะเริ่มเห็นสภาวะนี้ในช่วงที่
    จิตจะเริ่มเข้าสู่ระดับฌานและจะทำให้เข้าใจจุดนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นครับ..

    และอากาศกสิณกับวาโยกสิณก็ยังมีความใกล้เคียงกันตั้งแต่ในระดับ
    อุคคนิมิตรด้วยครับตรงนี้กำลังสมาธิยังสูงก็เห็นได้
    ขอเพียงจิตเริ่มทำงานในสภาวะที่เป็นทิพย์และ
    ควรใช้สังเกตุนิมิตรตั้งต้นที่เกิดให้ดีไม่งั้น
    จะทำให้สับสนได้เช่นกันถ้าเป็นวาโยกสิณจะมีรูปร่าง
    อุคคนิมิตรตั้งต้นๆคล้ายๆอุคคนิมิตบางกองให้ลองสังเกตุดูด้วยครับ

    และก็ยังไม่ควรไปอรูปฌานถ้าหากว่ายังไม่ผ่านเรื่อง
    การสร้างภาพต่างๆอีกด้วยครับ
    เพราะว่าจะยังไม่มีประโยชน์อะไร.
    บางครั้งอาจจะทำให้เราพลั้งเผลอเข้าใจตัวเองผิด
    ว่ากำลังสมาธิเราสูงหรือเผลอจิตนาการไปได้
    จากภาพนิมิตรต่างๆที่ปรากฏให้เราเห็นอย่าง
    ที่เราไม่รู้ตัวครับ.เพราะอรูปฌานนั้น ถ้าระบบ
    หายใจเข้าออกเราถึงท้องได้เป็นปกติหรือเรา
    มีพื้นฐานจากอาปาฯเป็นปกติแล้ว.เวลาเรานั่ง
    สมาธิมันก็จะสามารถพรวดพราดไปอรูปฌานได้

    หรือแม้ว่ากระทั่งจิตเราเข้าสู่สภาวะเป็นทิพย์
    แบบนอนๆอยู่หรือไม่ได้มีสมาธิอะไรมากมันก็จะ
    พรวดพราดไปอรูปฌานได้เช่นกันเป็นปกติครับ

    ให้สังเกตุดูว่า สภาวะเหมือนๆเราหลุดไปอยู่
    ในอวกาศ จิตนิ่งๆก่อนขยับไปไหนไม่ได้
    และมองเห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้า และเราก็จะนึก
    เรื่องที่เกี่ยวกับการวิปัสสนาอะไรก็ไม่ออก

    บางท่านที่จิตเคยชินกับการส่งออกบ่อยๆ
    จิตก็จะไปโหมดท่องเที่ยวไปยัง
    สถานที่โน้นสถานที่นั่นไปเรื่อยๆเปื่อย.ตามแต่
    สัญญาเดิมในจิตนั่นเองครับ.ตรงนี้อาจทำให้
    บางท่านหลงเข้าใจไปได้อีกว่าเป็นความสามารถ
    พิเศษทางจิตที่ทำให้เราได้ไปเห็นโน้นเห็นนี้.
    และถ้าไม่ทันตรงจุดนี้.อาจจะเผลอโน้มจิต
    เข้าไปมีส่วนร่วมกับสถานที่หรือสิ่งที่เห็นตรงนั้นได้
    พอกลับออกมาก็จะทำให้รูปแบบชีวิตเปลี่ยนไป

    ประเด็นนี้ต้องระวังให้ดีครับเพราะถ้าติดแล้ว
    โอกาศจะกลับเป็นคนปกติทั่วๆไปค่อนข้างยาก
    เพราะว่าจิตมันจะโน้มให้ไม่ยอมรับฟังความคิด
    เห็นของใครๆและสร้างอัตตาให้ตัวเอง ว่าเรามี
    ความสามารถทางจิตดีและมีความเก่งกว่าใครๆ
    อย่างที่เราคาดไม่ถึงด้วยครับ..


    เด่วว่ากันต่อและไปอีกประเด็นครับ
    .
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    มาว่ากันต่อครับ
    เพราะฉนั้นถ้าจะอยู่ในช่วงฝึกกสิณอย่าสนใจ
    นิมิตรต่างๆที่ไม่ใช่นิมิตรหลักๆที่เราฝึกอยู่
    และถ้าหลุดไปอรูปฌานก็ไม่ต้องสนใจเรื่องนิมิตร
    ต่างๆให้ตัดไปเลย.
    ถ้าไม่ทราบว่านิมิตรเป็นอย่างไร
    ให้ดูเรื่องเหล่านี้ทางด้านขวามือเรา.
    ในห้องนี้ที่เขียนโดยหลวงพ่อมีชื่อท่านหนึ่งไว้เป็นแนวทางไว้ครับ

    และให้เน้นไปที่เรื่องของการวิปัสสนาถ้าเผลอหลุดไปอรูปฌาน
    เพียงอย่างเดียวก็จะปลอดภัยและส่งผลต่อการพัฒนา
    ทางจิตของเราในด้านต่างๆได้เอง ไม่ว่าสายตาดีขึ้น
    กำลังสมาธิคงที่ดีขึ้นในระหว่างวัน..สัมผัสต่างๆด้าน
    นามธรรมเกี่ยวกับ การรับรู้ถึงพลังงานและ
    ด้านการเรียกใช้พลังงานดีขึ้นและเราทำได้ไหม
    .ตลอดจนเครื่องรู้ต่างๆที่จะค่อยๆมาแบบ
    เล็กๆน้อยดีขึ้นไหม.ตลอดจนการพัฒนาความ
    เข้าใจในการปฏิบัติต่างๆเราจะดีขึ้นได้ของมันเองครับ

    เนื่องจากการเผลอไปอรูปฌาน
    แบบพรวดพราดโดยที่เราไม่ผ่านการสร้างภาพมาก่อน
    กำลังสมาธิสะสมและกำลังสติทางธรรมที่เราจะได้
    จากช่วงที่เราสร้างภาพนั้นมัน
    จะยังไม่เพียงพอให้เรารักษาอารมย์ในระดับ
    อรูปฌานเพื่อต่อยอดวิปัสสนาได้.
    อีกทั้งเราจะยังไม่สามารถวางอารมย์เรื่องที่
    จะพิจารณาซึ่งจะสามารถผุดขึ้นมา
    ได้เองตอนที่เราเข้าอรูปฌานหลัง
    จากสร้างภาพได้แล้ว.และจะไม่กลายเป็นนิวรณ์
    และดึงให้จิตเรากลับสู่ร่างกายทันที.
    และจะยังรักษาอารมย์ในอรูปฌานได้เป็นปกตินั่นเองครับ


    ต่อ ประเด็นที่ ๒.ประเด็นเกี่ยวกับข้อสังเกตุในการอฐิษฐานจิต
    ส่วนหลักการอฐิษฐานจิตนั้นเราต้องรู้จักวางอารมย์(คิดๆไว้ระหว่างวัน
    ว่าจะอฐิษฐานเรื่องอะไรแล้วก็ทำลืมๆไม่สนใจ)
    ในเรื่องที่จะอฐิษฐานจิต
    ไว้ก่อนเช่นกันครับไม่งั้นพอถึงปฏิภาคนิมิตรที่มันเริ่มสว่าง เราจะไม่สามารถ
    สามารถนึกอะไรออกได้.และถ้าเผลอเข้าใกล้นิมิตรมากไป ก็อาจจะโดนดูด
    เข้าไปอยู่ในนิมิตรได้อีก.และถ้าอยู่ห่างนิมิตรมากไป
    แล้วรักษาอารมย์ไม่ทันก่อนจะได้อฐิษฐานจิต
    ก็จะทำให้ไม่เกิดผลและประโยชน์อะไรครับ..

    ส่วนถ้าวางอารมย์ไว้ก่อนแล้ว.ในช่วงที่กำลังอฐิษฐานจิตความสว่าง
    จะตกลงมาเล็กน้อยเป็นเรื่องปกติอย่าให้ความสนใจนิมิตร
    ณ ตอนนี้ครับ.พอเราอฐิษฐานจิตจบให้รักษาอารมย์ไว้อย่าให้หลุด
    จากอารมย์ตรงนั้นเดี๋ยวมันจะย้อนกลับเข้าสู่ปฏิภาคนิมิตร
    ที่สว่างๆเหมือนเดิมได้ และให้เราทำการอฐิษฐานจิต
    ซ้ำอีกครั้งหนึ่งครับ ผลของการอฐิษฐานก็จะเกิดขึ้นได้จริง
    พร้อมๆกับการที่อารมย์ถอยลงมาเล็กน้อย
    หรือความสว่างลดลงเล็กน้อยได้เองอัตโนมัติครับ

    ส่วนถ้าใครสามารถวางอารมย์ได้หลายๆเรื่อง
    การอฐิษฐานให้เกิดผลในครั้งต่อไป
    ผลจะสามารถเกิดขึ้นได้เลยเรื่อยๆ
    โดยไม่ต้องย้อนกลับไปปฎิภาคนิมิตรเหมือน
    ครั้งแรกที่ต้องอฐิษฐานซ้ำไว้ก่อน ๒ รอบ
    เพื่อให้จิตทำงานพูดง่ายๆคือไม่ต้องอฐิษฐาน
    ซ้ำเหมือนครั้งแรกนั่นเองครับ.

    ปล.ประมาณนี้ ขอบคุณครับ
    .
     
  4. Tewadhama

    Tewadhama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +188
    ผมรบกวนถามคุณ nopphakan ได้ไหมครับผมอยากทราบว่าผมฝึกสมาธิแบบอานาฯ จะเข้าถึงฌาน 4 จะต้องมี อุคหนิมิต หรือปฏิภาคนิมิต หรือไม่ครับ และสามารถอธิฐานจิตได้ไหมครับ เพราะทุกวันนี้ที่ฝึกอยู่ รู้เพียงว่าเป็นสมาธิ พอนั่งไปเริ่มนิ่ง จะรู้สึกว่าจะมีอาการขาลั่น เสียงน้ำย่อยในท้องดัง บางทีวูบแป้บ เหมือนจะหลับ แต่พอออกจากสมาธิแล้ว ความง่วงเหงาหาวนอนหายไปหมด ตื่นนอนก็สบายสดชื่นทันที่ที่รู้สึกตัว ไม่ทราบว่าพอจะแนะนำเป็นธรรมทานได้ไหมครับ...คืออยากฝึกให้ถึงฌาณสี่
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เด่วจะเล่าให้ฟังอย่างนี้แล้วกัน
    นะครับก่อนไปทำความเข้าใจเรื่องการอฐิษฐานจิตนะครับ..
    กิริยาของคุณ Tewadhama ให้เห็นภาพแบบรวมๆนะครับ.
    .เอากิริยาทางจิตที่เกิดกับกายตอนนี้ก่อนนะครับทั่วไป ถ้าส่วนขาบริเวณหน่อง
    ทั้ง ๒ ข้างมันจะมีอาการคล้ายๆลมหน่วงๆแบบเบาๆ ส่วนตรงท้องจะมีอาการ
    คล้ายลมหมุนอยู่ภายในแบบเป็นคล้ายๆท่อตรงๆแต่หมุนยังไม่ถึงตรงลิ้นปี่..
    ส่วนบริเวณศรีษะส่วนหน้าฝากจะรู้สึกโล่งๆสบายๆหน่อยให้ลองสังเกตุดูนะครับ..
    พวกนี้เป็นผลที่ได้จากกำลังสมาธิที่เราฝึกผ่านมานั่นเองครับ..

    และกิริยาต่างๆที่คุณเล่าให้ฟังมานั้น เป็นกิริยาที่เกิดขึ้นได้ปกติครับ.
    เพียงแต่ว่าเป็นกิริยาทางจิตที่สภาวะของจิตเรา
    ไปค้างอยู่อยู่ในระดับฌานครับ คือมันอยู่ช่วงนั่นจนมันเคยชิน
    ถ้าเราจะไต่ระดับเราต้องค่อยๆหาวิธีลดคลื่นความถี่ในระดับฌาน
    นี้ให้ต่ำลงๆมาเรื่อยก็จะสามารถพัฒนาต่อไปได้ของมันเองครับ.
    .เบื้องต้นในการลดระดับคลื่นความถี่ เวลาที่เรารู้สึก
    คล้ายๆว่าวูปๆเหมือนจะหลับ.ก็เพียงแต่อย่าพยายามลืมตาและให้ค่อยยก
    ลำตัวขึ้นก็จะนั่งต่อได้โดยไม่หลุดจากสภาวะอารมย์ตรงนี้ครับ.และก็จะสามารถ
    ยกไต่ระดับฌานขึ้นไปถึงระดับฌาน ๔ ได้เองตามลำดับ..

    แต่โดยปกติการจะผ่านการไต่ระดับในช่วงนี้ไปได้นั้น
    พอเราเริ่มมีความชำนาญในการเข้าสู่ฌาน ๑ แบบพิธีการแล้ว
    มันก็มักจะมีเรื่องราวในอดีตผุดขึ้นมารบกวนครับ.
    ก็ให้หาวิธีจัดการระเบียบการใช้ชีวิตประจำวัน
    ให้เป็นปกติ อย่าให้มีเรื่องติดค้างภายในใจ ไม่ว่าเรื่องจะเกิดจากภายนอก
    หรือว่าเรื่องต่างๆจะเกิดจากภายใน.
    หากว่ายังมีอะไรติดค้างก็ให้
    เลิกสนใจไปก่อน.และควรพิจารณา เรื่อง สังโยชน์ ๑๐ ,การพิจารณา
    ความตายเป็นอารมย์,เรื่อง อริยสัจ ๔ เรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วแต่จะชอบ
    เพื่อเป็นแนวทางเดินของจิตเอาไว้ใช้วางเรื่องต่างๆ ตอนที่มันมักจะผุด
    มาตอนที่เรากำลังจะไต่ระดับฌานครับ....

    ปล.เด่วต่ออีก #Rep ครับ
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ที่นี้พูดถึงในเรื่องอาปาฯนั้น.ให้เราไปเน้นที่ระบบหายใจของเราครับ
    คือควรให้ระบบหายใจเปลี่ยนจากการหายใจเข้าออกถึงหน้าอก
    ให้ลงมาถึงท้องให้เป็นปกติในชีวิตประจำวันให้ได้ด้วยครับ.
    เพื่อเพิ่มความระเอียดของระบบหายใจ.และการหายใจแบบถึงท้อง
    ก็เป็นพื้นฐานที่จะทำให้เราเข้าถึงกรรมฐานกองอื่นๆได้ทุกกองครับ.
    และจะทำให้เราสัมผัสกิริยาต่างๆที่เป็นนามธรรมระหว่างทางได้ชัดเจนขึ้น
    เช่น เห็นลมหายใจเป็นเส้นสายได้ พวกนี้ถือว่าเป็นกิริยาปกติ
    และกิริยาอะไรระหว่างทาง ไม่ว่าจะได้ยินเสียง
    หรือแสงอะไรต่างๆก็ไม่ควรสนใจครับ
    เพราะจะขวางการถึงปลายทางที่
    ก่อเกิดประโยชน์ให้กับจิตเราได้ครับ

    ส่วนอาปาฯนั้น.ถ้าเราหายใจลึกถึงท้องโดยปกติและผ่านขั้นตอน
    อย่างที่เล่าใน #Rep ก่อนหน้ามาแล้วนั้น..จิตจะไปโน้มในเรื่อง
    ของเก่าเดิมที่เคยมีในจิตก่อนครับ.จะยังไม่เข้าสู่การอฐิษฐานจิตได้ครับ.
    เพราะหากไปถึงกำลังฌาน ๔ ด้วยระบบหายใจอย่างนี้แล้ว พอถึงในระดับ
    ที่จิตกับกายแยกกันได้เด็ดขาดแบบชั่วคราวแล้ว แบบตัดร่างกายๆได้จริงๆ
    และเรามีกำลังสติทางธรรมมากพอที่จะควบคุมจิตไม่ให้ออกไปท่องเที่ยว
    และอยู่ในร่างกายได้แล้วนั้น..ถ้าใครบังคับให้จิตดูอวัยะภายในร่างกายได้
    ก็จะไปได้มรรคผลเกี่ยวกับเรื่องของการตัดร่างกายและการยึดหมั่นในตัวตน
    ส่วนใครบังคับจิตให้วิ่งไปดูอวัยวะส่วนที่เจ็บป่วย ก็จะเกิดการระเบิดกึกก้อง
    กัมปนาท.และร่างกายบริเวณนั้นที่บกพร่องมานานแค่ไหนก็จะหายได้เป็นปกติครับ

    .มีบางกลุ่มที่กำลังสมาธิเค้าดีหน่อยอาจเพราะจังหวะให้
    และไม่มีภาระใดๆช่วงนั้น..เค้าจะมองต่อเข้าไปในตัวจิต.เรียกง่ายๆ
    ว่าจิตในจิต.คือผ่านตัวจิตเข้าไปเรื่อยๆ.จนเกิดการระเบิดเสียงดังกึกก้อง
    กัมปนาทและขาวโพนไปหมดคล้ายๆกรณีรักษาอวัยวะภายใน..
    .สิ่งที่ได้กลับมาก็จะเป็นของเก่าในอดีต
    ที่เค้าเคยทำได้เด่นๆจะกลับมาในรูปแบบที่ใช้งานได้..

    แต่ที่เล่าๆมาให้ถ้าทำได้เป็นเพราะการสะสมของระดับกำลังสมาธิของเราครับ..
    แต่การที่เราจะทำให้จิตมีความสามารถในการอฐิษฐานจิตนั้น
    เราต้องสร้างให้ตัวจิตเอง มีกำลังจิตหรือพลังจิตเกิดขึ้นมาก่อน
    จากตัวของจิตเองครับ..ถึงจะเพียงพอสำหรับการอฐิษฐานครับ..
    การฝึกกสิณต่างๆ ที่ให้จิตสร้างภาพขึ้นมา ก็เพื่อเป็นอุบายโน้ม
    ให้จิตเกิดกำลังจิตตรงนี้ได้ในอนาคต.และ
    การที่ย่อ ขยาย หรือเปลี่ยนแปลงภาพนั้นก็เปรียบเสมือน
    การที่เราออกกำลังกายให้กับจิต..เมื่อจิตออกกำลังกายบ่อยๆ

    จิตก็จะเกิดกำลังจิตได้เอง เหมือนเราออกกำลังกายบ่อยร่าง
    กายก็จะแข็งแรงได้เช่นกันครับ..แต่ข้อดีก็คือว่า กำลังจิตจริงๆที่
    เกิดขึ้นกับจิตตรงนี้ มันจะไม่แปรผันเหมือนร่างกายที่มีการเสื่อม
    สลายลงไป..เราจึงพบเห็นว่า พระสงฆ์ผู้มีอายุมากๆหลายท่าน
    แม้ร่างกายภายนอกท่านจะดูไม่แข็งแรง แต่กำลังจิตท่านเข็มแข็ง
    นั่นหละครับ..ที่เล่ามาโดยรวมนี่คือข้อแตกต่างการสะสมกำลัง
    ของสมาธิและการสร้างจิตจนเกิดของกำลังจิตครับ..

    ปล.พอจะมองภาพกว้างๆออกนะครับ..
     
  7. Tewadhama

    Tewadhama เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +188
    ขอขอบพระคุณคุณ Nopphakan มากครับสำหรับธรรมทาน ที่ชี้แนะแนวทางให้ ขอบคุณครับ อนุโมทนาสาธุ
     
  8. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ใครสงสัยผลการปฏิบัติ ของตัวเอง ว่าได้ฌานสี่ จริง หรือ จินตนาการไปเอง ลองพิจารณาดูด้วยตัวเองครับ
     
  9. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    พระอาจารย์กล่าวว่า "การฝึกกสิณต้องใช้ให้ได้ผลก่อน ถ้ายังใช้ผลไม่ได้ยังไม่ถือว่าได้จริง อย่างถ้าเราใช้วาโยกสิณ เราอยู่ตรงนี้ตั้งใจว่าเราจะไปบ้าน กำหนดจิตเข้าสมาธิตั้งใจอธิษฐานว่าเราจะไปบ้าน คลายสมาธิออกมาอธิษฐานใหม่ แล้วตัวเราไปอยู่ที่บ้านเลย นั่นคือใช้วาโยกสิณได้ผล

    (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗
     
  10. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ใช้ได้จริงครับและณาน 4 ในกสิณจริงๆก้อาจไม่เหมือนที่ใครๆคิดว่าถึงณาน 4 กันแล้วก้ได้ครับผลจึงไม่เคยเกิดขึ้น
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ส่วนมากที่ย่อขยายได้แต่อฐิษฐานจิตไม่ได้
    นั่นเพราะมันเป็นกำลังระดับอุปจารสมาธิครับ
    สังเกตุง่ายๆนอกจากไม่ได้ผลแล้ว ยังขาดกำลังจิต
    แต่ก็จะหลงตัวเองอย่างคาดไม่ถึงด้วยครับ....


    ส่วนการเข้าถึงระดับอฐิษฐานจิตได้แล้วเกิดผลนั้น
    บอกได้เลยว่า ต้องฟิตมากครับ แทบจะนับคนที่ทำได้
    ส่วนมากที่เห็น จะเป็นแต่ระดับพระสงฆ์ ในอดีตนะครับ
    เช่น ท่านที่วัดท่าซุงในอดีต ใครๆก็รู้จักถ้าเอ่ยชื่อ

    และจะเล่าอะไรให้ฟัง เพื่อให้อยู่กับความเป็นจริงนะครับ
    และอย่าได้เที่ยวอ้างเอาตำรง ตำรา เที่ยวไปเทียบใคร
    เที่ยวไปเปรียบกับการปฏิบัติใคร ถ้าเรายังไม่เคยเข้าถึงบ้าง
    หรือได้ลองปฏิบัติมาบ้างแล้วเพียงเพื่อจะเข้าชนะใคร
    หรือว่าดิสเครดิสใครนะครับ ถ้าใครมาโม้
    ไม่ต้องไปพูดอะไรมาก บอกให้มาแสดงให้ดูก็จบครับ
    ทำได้แล้วไป ทำไม่ได้ โดนข้อหา โม้แค่นั้นหละจบ


    คือเราอ่านตำรา เราต้องย้อนมาดูตัวเองด้วยครับ
    ท่านที่ดังๆในอดีต ที่วัดท่าซุง ท่านฝึกแค่ ๑๔ วันก็สำเร็จแล้วนะครับ
    ไอ้กสิณ ๑๐ กองเนี่ย
    และก็อีก ๗ วันถัดมาท่านก็เต็มรอบทางด้านนี้แล้วนะครับ
    และเด็กๆท่านก็มีต้นทุน ทางด้านสัมผัสทางตา และทางเสียง
    อยู่แล้วเป็นทุนครับ

    ดังนั้นย้อนมาดูตัวเราเองบ้าง
    ว่ากระโหลกกระลาอย่างตรู ถามซิฝึกมากี่ปีแล้วสมาธิเนี่ย
    อยู่วงการนี้มากี่ปีแล้ว..
    และกรรมฐานแต่ละกอง เคยมีกองไหน ฝึกสำเร็จจนใช้งานได้บ้าง
    และกว่าจะสำเร็จได้ ใช้เวลากี่ปี กี่เดือน กี่วัน
    เคยใช้งานได้หรือยัง ไม่ว่าเพื่อคนอื่นๆ หรือทางธรรม
    หรือแค่ติดกิริยาระหว่างทาง แล้วหลงตัวเอง
    ว่าตนเองสุดยอด คนว่าตนบรรลุ
    คิดว่าตนเป็นผู้วิเศษ
    ต้องนี้ย้อนให้ฟัง จะได้ไม่เผลอเอาตัวเอง
    เอาท่านไปเปรียบกับใครๆเค้า

    มาทางอฐิษฐานจิต การใช้งาน เช่น อฐิษฐานให้เกิดน้ำ แล้วมีน้ำปรากฏขึ้นนั้น
    ไม่ใช่ว่า จะทำกันได้ง่ายๆ
    การที่จะให้เก่งเหมือนระดับครูบาร์อาจารย์ในอดีตที่ความเร็ว
    ระดับที่หายใจแค่ครั้งเดียวแล้วเกิดผลคงยากมากครับ
    และต้องดูด้วยว่าพระอาจารย์ ท่านที่แนะนำปัจจุบัน ท่านมีความสามารถระดับไหน
    เรียกว่า การสะสมมันต่างๆกัน
    บางคนพื้นฐาน อธิบายจนหูฉีกยังไม่เข้าใจ
    แค่สัมผัสกระโหลกกะลา ยังคิดว่า วิเศษวิโสอยู่ได้
    พอเข้าใจนะครับ





    เอาแค่นั่งให้ถึงปภิภาคนิมิต จริงๆให้ได้ ประกันได้ว่า แทบนับคนได้
    เพราะคนที่ถึง กำลังระดับนี้ จะมีกำลังจิตแน่นอน
    (พูดง่ายๆ พวกหมอผี หมอธรรม พวกพลังงานจักรยานอวกาศไม่มายุง
    หรือทำอะไรไม่ได้หรอกครับ นอกจากเห่าบ๊อกๆเหมือนซิสุ)
    เพราะจะสามารถเล่นกับพลังงานได้ ไม่ใช่แบบที่ ย่อ ปั่น ขยาย ในกำลังระดับอุปจารสมาธิ
    ที่แค่ลืมตา นั่งเล่น เข้าส้วมอยู่(ถ้าพูดว่า นั่งคะรี่ก็ดูจะไม่ดี) ก็มองเห็นได้
    ทำได้แต่ไร้ประโยชน์
    และหลงเข้าใจว่าตน
    ได้ฌาน ๔ และหลงตัวเองทั้งหลายนะครับ คนละแบบกัน

    แต่เคยได้ยินนักปฏิบัติ เอามาโม้กันเหลือเกิ๊นป่านว่าเป็นกิริยาวิเศษ ข๊ำมาก

    และกสิณมันไปได้หลายทางครับ
    ๑.ทางอฐิษจิต แล้วเกิดผลจริง (พวกนี้อย่างน้อยจะตาดีกว่าปกติและใช้
    งานได้ปกติในชีวิตประจำวันครับ และมักจะมีความฉลาด
    ในการอฐิษฐานจิตเป็นทุน รู้จักการวางอารมย์ ถ้าตรงนี้ไม่มี แนะนำให้ไปทางด้านอื่นๆ
    หรือไปขายบะหมี่โหน่งก็ได้ครับ...)

    ๒.ทางด้านสร้างเน้นกำลังจิต เพื่อไปเล่นในรูปแบบพลังงานกสิณแทน
    (จะไปได้ในการเล่นกับพลังงานอย่างน้อย กสิณ ๑๐ พลังงานภายนอก ไม่ว่าพลังงาน
    จักกง จักกะ จักรวาล บ้าบอคอแตกอะไรก็ตามแล้วแต่จะเรียก การดึง เคลื่อน ย้าย เพิ่มลด
    เส้นสายพลังงาน จะทำได้แบบสิวๆ) ตรงนี้ถ้าไม่เกิดปกติในชีวิตประจำวัน
    อย่าเสนอหน้ามาโม้เรื่องกสิณ เด่วเวลาโดนทดสอบจะเงิบ


    ๓.ต่อยอดไปอรูปฌาน(จะได้เปรียบตรงฐานกำลังสมาธิระดับสูงใช้งานได้จริง
    ถ้ามีความชอบทางด้านคาถาอาคมจะได้เปรียบมาก แต่นานหน่อยเวลาใช้งาน)
    ส่วนมากคนที่มาทางด้านนี้ จะเป็นคนที่มีระเบียบวิธีในการใช้ชีวิตปรจำวัน
    ร่วมทั้งการจัดระเบียบการนั่งสมาธิเป็นทุน

    และแม้มีทั้ง ๓ อย่างนี้ ก็ต้องมาเดินปัญญาต่อ
    เพื่อไปต่อยอดปัญญาญาน อีกนะครับ
    เรียกได้ว่า เป็นแค่เครื่องใช้งานระหว่างทาง
    เพื่อสะสมบารมี หรือของเล่นก็แล้วแต่
    เพราะหลักๆเราต้องการกำลังที่ได้
    เพื่อวิปัสสนาเดินปัญญาเป็นหลักครับ

    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังครับ (^_^)
     

แชร์หน้านี้

Loading...