พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ที่ว่าเอามากๆ หมายถึงหลักหมื่นองค์ขึ้นไปครับ
     
  2. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    มีอีกครับ คราวนี้ full set
    <TABLE class=tborder id=post703523 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">เมื่อวานนี้, 09:49 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#9306 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>:::เพชร:::<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_703523", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 06:58 AM
    วันที่สมัคร: Jul 2006
    อายุ: 42 ปี
    ข้อความ: 1,458 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 11,813 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 14,135 ครั้ง ใน 1,494 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 1570 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_703523 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->ช่วงแอบดูข้อสอบ

    นาทีทองเพียง ๑ นาที สมมุติว่า ข้อสอบรั่ว ๑ ข้อ

    ข้อ1) พระองค์ไหนเป็น"พระ"สมเด็จปัญจสิริ และองค์ไหนเป็น"เณร"ปัญจสิริ ลองตั้งข้อสันนิษฐานประกอบไปด้วย?



    มีผู้แอบดูข้อสอบ ๒ ท่าน อิอิ รีบดูๆๆ อีก ๑ นาที จะริบข้อสอบแล้ว***
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 8 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 5 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">



    </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>:::เพชร:::, active, nongnooo </TD></TR></TBODY></TABLE></B>
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
    <!-- / attachments --><!-- sig -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=tborder id=post703622 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">เมื่อวานนี้, 11:03 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#9317 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>:::เพชร:::<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_703622", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 06:58 AM
    วันที่สมัคร: Jul 2006
    อายุ: 42 ปี
    ข้อความ: 1,458 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 11,813 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 14,135 ครั้ง ใน 1,494 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 1570 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_703622 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->เริ่มเลยนะครับ เวลา ๒๔.๐๐ พอดี หมดเวลาทายกัน เวลา ๑๖.๐๐ น.ตามเวลาของเวป GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:58 PM

    ข้อ ๒) พระทั้ง ๔ องค์ที่เราเห็นแต่ด้านหลังนี้เรียงจากซ้ายไปขวามือของเรา เป็นพระพิมพ์เดียวกัน ขอถามว่าเป็นพระอะไร พิมพ์อะไร องค์ไหนเป็น"พระ" และองค์ไหนเป็น"เณร" หรือเป็น"พระ"ทั้ง ๔ องค์ หรือดูแล้ว"เณร"ทั้ง ๔ องค์? เรียงจากทางซ้ายมือไปทางขวามือ องค์ที่ ๑- ๒ ๓ หรือ ๔
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG]
    </FIELDSET></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    <TABLE class=tborder id=post703636 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">เมื่อวานนี้, 11:16 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#9318 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>:::เพชร:::<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_703636", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 06:58 AM
    วันที่สมัคร: Jul 2006
    อายุ: 42 ปี
    ข้อความ: 1,458 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 11,813 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 14,135 ครั้ง ใน 1,494 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 1570 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_703636 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->ข้อ ๓)พระสมเด็จหลังเบี้ยทั้ง ๓ องค์นี้องค์ไหนคือ"พระ" องค์ไหนเป็น"เณร" หรือเป็น"พระ"หรือเป็น"พระ"ทั้ง ๓ องค์ หรือดูแล้ว"เณร"ทั้ง ๓ องค์? เรียงจากทางซ้ายมือไปทางขวามือ องค์ที่ ๑- ๒ หรือ ๓
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 38 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 35 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, :::เพชร:::+, chaipat+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    โอ้โห บุคคลทั่วไปเยอะมากจริงๆ

    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://84000.org/tipitaka/pitaka1/



    <CENTER>พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑

    มหาวิภังค์ ภาค ๑</CENTER><CENTER></CENTER>
    บทภาชนีย์

    มรรคภาณวาร

    <CENTER>บทภาชนีย์ มรรคภาณวาร</CENTER><CENTER> </CENTER>
    [๓๘] หญิง ๓ จำพวก คือ มนุษย์ผู้หญิง ๑ อมนุษย์ผู้หญิง ๑ สัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย ๑​
    อุภโตพยัญชนก ๓ จำพวก คือ มนุษย์อุภโตพยัญชนก ๑ อมนุษย์อุภโตพยัญชนก ๑
    สัตว์ดิรัจฉานอุภโตพยัญชนก ๑
    บัณเฑาะก์ ๓ จำพวก คือ มนุษย์บัณเฑาะก์ ๑ อมนุษย์บัณเฑาะก์ ๑ สัตว์ดิรัจฉาน-
    *บัณเฑาะก์ ๑
    ชาย ๓ จำพวก คือ มนุษย์ผู้ชาย ๑ อมนุษย์ผู้ชาย ๑ สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ ๑

    หญิง ๓ จำพวก มีมรรคพวกละ ๓ เป็น ๙​
    <CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER>๑. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค ๓ คือ วัจจวรรค ปัสสาวมรรค มุขมรรค ของมนุษย์ผู้หญิง ต้องอาบัติปาราชิก
    ๒. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค ๓ คือ วัจจมรรค ปัสสาวมรรค มุขมรรค ของอมนุษย์ผู้หญิง ต้องอาบัติปาราชิก
    ๓. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค ๓ คือ วัจจมรรค ปัสสาวมรรค มุขมรรค ของสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย ต้องอาบัติปาราชิก

    อุภโตพยัญชนก ๓ จำพวก มีมรรคพวกละ ๓ เป็น ๙​
    <CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER>๑. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค ๓ คือ วัจจมรรค ปัสสาวมรรค มุขมรรค ของมนุษย์อุภโตพยัญชนก ต้องอาบัติปาราชิก
    ๒. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค ๓ คือ วัจจมรรค ปัสสาวมรรค มุขมรรค ของอมนุษย์อุภโตพยัญชนก ต้องอาบัติปาราชิก
    ๓. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค ๓ คือ วัจจมรรค ปัสสาวมรรค มุขมรรค ของสัตว์ดิรัจฉานอุภโตพยัญชนก ต้องอาบัติปาราชิก

    บัณเฑาะก์ ๓ จำพวก มีมรรคพวกละ ๒ เป็น ๖​
    <CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER>๑. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค ๒ คือ วัจจมรรค มุขมรรค ของมนุษย์บัณเฑาะก์ต้องอาบัติปาราชิก
    ๒. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค ๒ คือ วัจจมรรค มุขมรรค ของอมนุษย์บัณเฑาะก์ต้องอาบัติปาราชิก
    ๓. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค ๒ คือ วัจจมรรค มุขมรรค ของสัตว์ดิรัจฉานบัณเฑาะก์ต้องอาบัติปาราชิก

    ชาย ๓ จำพวก มีมรรคพวกละ ๒ เป็น ๖​
    <CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER>๑. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค ๒ คือ วัจจมรรค มุขมรรค ของมนุษย์ผู้ชาย ต้องอาบัติปาราชิก
    ๒. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค ๒ คือ วัจจมรรค มุขมรรค ของอมนุษย์ผู้ชาย ต้องอาบัติปาราชิก
    ๓. ภิกษุเสพเมถุนธรรมในมรรค ๒ คือ วัจจมรรค มุขมรรค ของสัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ต้องอาบัติปาราชิก.

    [๓๙]
    อาบัติปาราชิก ๓๐​
    <CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER>๑. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของมนุษย์ผู้หญิง ต้องอาบัติปาราชิก
    ๒. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในปัสสาวมรรคของมนุษย์ผู้หญิง ต้องอาบัติปาราชิก
    ๓. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของมนุษย์ผู้หญิง ต้องอาบัติปาราชิก
    ๔. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของอมนุษย์ผู้หญิง ต้องอาบัติปาราชิก
    ๕. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในปัสสาวมรรคของอมนุษย์ผู้หญิง ต้องอาบัติปาราชิก
    ๖. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของอมนุษย์ผู้หญิง ต้องอาบัติปาราชิก
    ๗. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของสัตว์ดิรัจฉานตัวเมียต้องอาบัติปาราชิก
    ๘. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในปัสสาวมรรคของสัตว์ดิรัจฉานตัวเมียต้องอาบัติปาราชิก
    ๙. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย ต้องอาบัติปาราชิก
    ๑๐. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของมนุษย์อุภโตพยัญชนกต้องอาบัติปาราชิก
    ๑๑. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในปัสสาวมรรคของมนุษย์อุภโตพยัญชนก ต้องอาบัติปาราชิก
    ๑๒. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของมนุษย์อุภโตพยัญชนกต้องอาบัติปาราชิก
    ๑๓. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของอมนุษย์อุภโตพยัญ*ชนก ต้องอาบัติปาราชิก
    ๑๔. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในปัสสาวมรรคของอมนุษย์อุภโตพยัญชนก ต้องอาบัติปาราชิก
    ๑๕. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของอมนุษย์อุภโตพยัญชนกต้องอาบัติปาราชิก
    ๑๖. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของสัตว์ดิรัจฉานอุภโตพยัญชนก ต้องอาบัติปาราชิก
    ๑๗. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในปัสสาวมรรคของสัตว์ดิรัจฉานอุภโตพยัญชนก ต้องอาบัติปาราชิก
    ๑๘. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของสัตว์ดิรัจฉานอุภโตพยัญชนก ต้องอาบัติปาราชิก
    ๑๙. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของมนุษย์บัณเฑาะก์ ต้องอาบัติปาราชิก
    ๒๐. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของมนุษย์บัณเฑาะก์ ต้องอาบัติปาราชิก
    ๒๑. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของอมนุษย์บัณเฑาะก์ต้องอาบัติปาราชิก
    ๒๒. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของอมนุษย์บัณเฑาะก์ต้องอาบัติปาราชิก
    ๒๓. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของสัตว์ดิรัจฉาน*บัณเฑาะก์ต้องอาบัติปาราชิก
    ๒๔. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของสัตว์ดิรัจฉาน
    *บัณเฑาะก์ ต้องอาบัติปาราชิก
    ๒๕. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของมนุษย์ผู้ชาย ต้องอาบัติปาราชิก
    ๒๖. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของมนุษย์ผู้ชาย ต้องอาบัติปาราชิก
    ๒๗. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของอมนุษย์ผู้ชาย ต้องอาบัติปาราชิก
    ๒๘. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของอมนุษย์ผู้ชาย ต้องอาบัติปาราชิก
    ๒๙. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในวัจจมรรคของสัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ต้องอาบัติปาราชิก
    ๓๐. เมื่อเสวนจิตปรากฏ ภิกษุสอดองค์กำเนิดเข้าในมุขมรรคของสัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ ต้องอาบัติปาราชิก

    <CENTER>เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ บรรทัดที่ ๑๒๕๔ - ๑๓๔๙. หน้าที่ ๕๐ - ๕๓.</CENTER><CENTER> </CENTER>
    http://84000.org/tipitaka/pitaka1/v.php?B=1&A=1254&Z=1349&pagebreak=0
    สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑
    http://84000.org/tipitaka/read/?สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่_๑</U>
    http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/mean_reverse.php?text=1&Aindex=%CA%D2%C3%BA%D1%AD</U>
    http://84000.org/tipitaka/read/?index_1

    บันทึก ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖

    การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจาก พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ.
    หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ DhammaPerfect@yahoo.com
    <CENTER></CENTER><CENTER>.</CENTER>
     
  6. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    สวัสดีค่ะ ตกลงว่าตั้งชื่ชมรมกันรึยังค่ะ อ่านไม่เคยทันพวกท่านเล๊ย หุหุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2008
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมไปหาเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับ "อมนุษย์" มาให้ครับ

    http://www.pantown.com/board.php?id=3898&area=1&name=board4&topic=24&action=view

    โดย: [0 3] (เรียบเรียงจาก ไข่มุก อุทยาวลี)

    ตำนานกรณียเมตตสูตร

    เมื่อไปที่ไหนก็ควรให้ความเคารพแก่สถานที่นั้น ตำนานกรณียเมตตสูตร ได้ให้ข้อสอนใจเกี่ยวกับการเข้าไปทำกิจใดๆ ในสถานที่หนึ่ง
    ในอธรรถกถากรณียเมตตสูตร กล่าวไว้ว่า เมื่อใกล้เข้าพรรษา ภิกษุหมู่หนึ่งชวนกันไปเผ้าพระพุทธเจ้า ซึ่งเวลานั้นประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี ขอเรียนพระกรรมฐาน เรียนได้แล้วได้ทูลลาพากันไปหาสถานที่อันสมควร เพื่อเป็นที่บำเพ็ญพระกรรมฐาน ไปถึงราวป่าเชิงเขาแห่งหนึ่ง ดูเหมาะดี มีลำธารน้ำ มีหมู่บ้านที่อาศัยบิณฑบาตอยู่ไม่ไกลนัก ชาวบ้านเล่าก็มีศรัทธาเลื่อมใสนิมนต์ให้อยู่จำพรรษา ปลูกกุฏิให้อยู่รูปละกุฏิ ภิกษุหมู่นั้นจึงตกลงจำพรรษาอยู่ที่นั่น
    ภิกษุเหล่านั้นเริ่มบำเพ็ญสมณธรรม ถ้าฝนไม่ตก ภิกษุทั้งหลายมักนั่งที่โคนไม้เป็นส่วนใหญ่ รุกขเทวดาซึ่งสิงสถิตอยู่ที่ต้นไม้เหล่านั้น เห็นท่านผู้ทรงศีลมานั่งอยู่ใต้รุกขวิมานของตนเช่นนั้น ก็ไม่สามารถจะนิ่งเฉยได้ ต้องหอบหิ้วออกจากวิมานสู่พื้นดิน ได้ความลำบากมาก แรกๆ ก็ทนได้ ด้วยเข้าใจว่าภิกษุเหล่านั้นจะกลับไปไม่ช้า ครั้นปรากฏว่าภิกษุหมู่นั้นจำพรรษาที่นั่น จึงคิดขับไล่ โดยไม่ใช้กำลังกายผลักไส หากแต่ใช้วิธีรบกวนทางประสาท คือ ทำให้เป็นผีหลอก ส่งเสียงโหยหวน และมีกลิ่นเหม็น ภิกษุจึงไหวหวาดจิตไม่สงบในการบำเพ็ญกรรมฐาน จึงปรึกษากันว่า "การเข้าพรรษานั้น มีพระพุทธบัญญติไว้เป็น ๒ ข้อคือ เข้าพรรษาต้น (แรมค่ำ ๑ เดือน ๘ ) เรียกว่า ปริมิกาวัสสูปนายิกา และ การเข้าพรรษาหลัง (แรม ๑ ค่ำ เดือน ๙) เรียกว่า ปัจฉิมิกาวัสสูปนายิกา เมื่อภิกษุหมู่นั้นไปกราบทูลพระพุทธเจ้า ทรงมีพระดำรัสว่าสถานที่ที่ไหนก็ไม่เหมาะทั้งนั้นซึ่งก็เป็นความจริง จึงแนะนำให้ภิกษุกลับไปที่เดิมอีก และทรงสอนภิกษุให้ประพฤติตนให้สมควรแก่การอยู่ป่า ให้เจริญเมตตาอัปมัญญา คือ แผ่เมตตาไปทั้งหมดทั้งโลก ซึ่งมีความปรากฏในกรณียเมตตาสูตร ทรงตรัสว่า ไปถึงที่นั่นก่อนจะเข้าสู่ราวป่า ให้หยุดยืนตั้งใจเมตตาพร้อมกับสาธยายสูตรนี้ แล้วเทวดาภัยจะไม่มีอีกต่อไป แล้วจะได้การอนุเคราะห์จากเหล่าเทวดา
    พระพุทธเจ้าทรงเปลี่ยนกรรมฐานให้ภิกษุหมู่นั้นใหม่คือ เมตตากรรมฐาน อันสามารถจะเป็นแนวแห่งวิปัสสนาได้ด้วย เป็นปริตรคือ เป็นเครื่องป้องกันภัยได้ด้วย
    ภิกษุหมู่นั้นกลับไปยังที่เดิม ปฏิบัติตามพระพุทธโองการเป็นผลดีหมดทุกอย่าง เทวดาทั้งหลายได้รับกระแสเมตตาจากภิกษุหมู่นั้น ทำให้จิตใจเยือกเย็น หายความชังและมีเมตตาตอบ แทนที่จะเนรมิตให้ภิกษุเห็นภัยต่างๆ ภิกษุจึงตั้งบำเพ็ญสมณธรรมและได้บรรลุอรหัตถผลในพรรษานั้น เมื่อออกพรรษาแล้วจึงไปจากที่นั้นโดยสวัสดิภาพ

    ตำนานรัตนสูตร (ยังกิญจิ)


    รัตนสูตร (ยังกิญจิ) คือ พระธรรมบท ปรากฎในอรรถกถารัตนสูตร


    เดิมกรุงเวสาลี นครหลวงแห่งแคว้นวัชชี มั่งคั่งด้วยข้าวปลาธัญญาหาร อาณาประชาราษฎร์ร่มเย็นเป็นสุข จวบจนคราวหนึ่งในสมัยพุทธกาล เกิดฝนแล้งขาดแคลนอาหารถึงขนาดคนยากจนอดตาย ซากศพถูกทิ้งเกลื่อน พวกอมนุษย์ได้กลิ่น ก็พากันเข้าไปทำอันตรายซ้ำเติมทำให้คนตายมากขึ้น อหิวาตกโรคก็เกิดระบาด ทำให้คนตายเหลือที่จะคณานับ นครเวสาลีประสบภัย ๓ ประการพร้อมกัน คือ ทุพภิกขภัย (ข้าวยากหมากแพง) อมนุษย์ภัย (ผีรบกวน) และโรคภัย (เกิดอหิวาตกโรค)

    ชาวเมืองชวนกันร้องทุกข์ต่อพระราชาว่า การเกิดภัยร้ายแรงนี้ชะรอยผู้ครองรัฐจะประพฤติมิชอบ จึงเกิดยุคเข็ญเช่นนี้ พระราชาจึงโปรดให้ชาวเมืองประชุมกันที่ศาลากลางเมือง เพื่อวิจัยความผิดของพระองค์ก็ไม่พบความผิดของพระราชาเลย จึงปรึกษากันต่อไปว่าทำอย่างไรภัยร้ายแรง ๓ ประการนี้จึงจะสงบ ผลสุดท้าย จึงตกลงให้เชิญเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาโปรด

    เวลานั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ ในสมัยพระเจ้าพิมพิสาร ชาววัชชีเกรงพระเดชานุภาพของพระเจ้าพิมพิสาร จึงแต่งให้เจ้าลิจฉวี ๒ องค์เป็นราชฑูตคุมเครื่องบรรณาการไปถวายพระเจ้าพิมพิสาร ทูลความให้ทรงทราบ แล้วขอพระราชทานวโรกาสกราบทูลเชิญเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปโปรดชาววัชชีซึ่งก็ได้รับพระราชานุเคราะห์เป็นอันดี ทูตชาววัชชีได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์กราบทูลเล่าความทุกข์ยาก แล้ววิงวอนเชิญเสด็จไปโปรดชาวเวสาลีให้พ้นภัย

    พระบรมศาสดาทรงสดับดังนั้นแล้ว ทรงคำนึงเห็นว่า หากพระองค์ไปกรุงเวสาลีในครั้งนี้ จะได้ประโยชน์ถึง ๒ อย่าง คือ ภัยจะสงบไปอย่างหนึ่ง และชาววัชชีได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้วจะได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุมรรคผลเป็นอันมาก อีกอย่างหนึ่งนับเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการแผ่พระศาสนา จึงทรงรับนิมนต์พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบเช่นนั้น ก็โปรดให้รีบแต่งทางเสด็จพระพุทธดำเนินระยะทางจากกรุงราชคฤห์ถึงแม่น้ำคงคา อันเป็นพรมแดนแห่งแคว้นทั้งสองนั้น ๕ โยชน์ รับสั่งให้ปราบพื้นถมดิน ทำทางให้เรียบ ให้ปลูกที่ประทับแรมทุกโยชน์ เตรียมให้เสด็จวันละโยชน์ แล้วทูลเชิญเสด็จพระสังฆาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป มีการส่งเสด็จอย่างเอิกเกริกมโหฬาร

    ฝ่ายกรุงเวสาลีมีความยินดีหาที่เปรียบมิได้ เตรียมการรับเสด็จเป็นการใหญ่ เมื่อเรือส่งเสด็จใกล้ฝั่งวัชชีเข้าไป บัดดลก็มีเมฆฝนมืดมาทั้ง ๔ ทิศ ฟ้าแลบแปลบปลาบ ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงย่างพระบาทแรกเหยียบดินที่ฝั่งแม่คงคาแดนวัชชี ฝนโบกขรพรรษก็ตกพรูลงมา ใครอยากเปียกก็เปียกใครไม่อยากเปียกก็ไม่เปียก ฝนตกมากและนาน น้ำไหลนองพัดพาสิ่งโสโครกต่าง ๆ ลงแม่น้ำลำคลองไปสิ้น ก็ชุ่มเย็นและสะอาดทั่วไปในแดนวัชชี โดยเฉพาะบริเวณกรุงเวสาลีอันเป็นแดนภัย การนำเสด็จจากฝั่งแม่คงคาถึงกรุงเวสาลีเป็นเวลา ๓ วันพอดี

    ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จถึงกรุงเวสาลี พระอินทร์พร้อมด้วยเทพบริวารเป็นอันมากก็มา ณ ที่นั้น ทำให้พวกอมนุษย์ต้องถอยร่นหลบหลีกไปเป็นอันมากพระผู้มีพระภาคเสด็จประทับยืนที่ประตูพระนครเวสาลี รับสั่งให้พระอานนท์เรียนรัตนสูตรแล้วให้เข้าไปทำปริตรภายในกำแพงสามชั้นแห่งกรุงเวสาลี พร้อมด้วยเจ้าชายลิจฉวีทั้งหลายติดตามห้อมล้อมไปด้วย พระอานนท์เรียนจำรัตนสูตร ซึ่งพระผู้มีพระภาคประทับยืนตรัสบอกที่ประตูเมืองได้แล้ว ก็ขอพุทธานุญาตใช้บาตรของพระองค์ใส่น้ำ เดินสวดรัตนสูตรพลางซัดน้ำในบาตรไปจนทั่วพระนคร

    พอพระเถระเจ้าสวดขึ้นบทยังกิญจิ วัตตัง พวกอมนุษย์หัวดื้อที่ไม่ยอมหนีไปแต่แรก ก็ทนอยู่ไม่ไหวอีกต่อไป ชิงกันหนีออกทางประตูเมืองทั้ง ๔ แน่นอัดยัดเยียด พอพวกอมนุษย์ออกไป โรคในตัวมนุษย์ก็หาย จึงพากันลุกออกมาบูชาพระเถรเจ้าด้วยเครื่องบูชาต่างๆได้เชิญเสด็จพระพุทธองค์ไปประทับที่ศาลากลางเมือง ภิกษุสงฆ์ คณะเจ้าลิจฉวี และราษฎรก็ไปเฝ้าที่นั่น แม้ท้าวสักกเทวราชก็ทรงพาเทวดาทั้งปวงมาเฝ้าด้วย ฝ่ายพระอานนท์เที่ยวทำการรักษาทั่ว

    กรุงเวสาลีแล้วก็มาเฝ้าที่นั่นมีชาวนครเวสาลีติดตามมาเฝ้าเป็นอันมากรวมเข้าด้วยกันเป็นมหาสมาคมพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสรัตนสูตรซ้ำอีกในมหาสมาคมนั้น เมื่อจบเทศนาสรรพอุปัทวันตรายภัยพิบัติก็สงบหาย ความสวัสดีและสุขกายสบายใจแผ่ไปทั่ว พุทธเวไนยได้ศรัทธาปสาทะและเกิดความรู้ธรรมเป็นอันมาก ฯลฯ แต่นั้นฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล พืชพรรณธัญญาหารกลับอุดมเหมือนดังเดิม ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธปริตร คือ รัตนสูตร ดังพรรณนามาฉะนี้

    รัตนสูตรเป็นบททำน้ำมนต์ พระที่เป็นหัวหน้าจะเริ่มหยดเทียนลงในน้ำมนต์ตั้งแต่ "เย สุปปะ ยุตตา" หรือ "ขีณัง ปุราณัง" เป็นอย่างช้า พอถึง "นิพพันติ ธีรา ยะถายัมปะทีโป" ก็ดับเทียนโดยจุ่มลงในน้ำมนต์ (ดูคาถารัตนสูตร )



    .
     
  8. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ขอสอบถามสั้น ๆ ได้ไหมค่ะ ท่านใดสงสารโปรดเข้ามาตอบสั้น ๆ พอเก็บความรู้ได้ ยิ้มได้รับพระจากรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ท่านมอบพระกรุวัดพระแก้วมาให้ แต่ยิ้มความรู้น้อย ไม่เข้าใจคำว่ากรุวัดพระแก้ว ครั้นจะถามท่านก็กลัว(งก)ว่าเขาจะขอคืน 55
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.pantown.com/board.php?id=...24&action=view

    โดย: [0 3] (เรียบเรียงจาก ไข่มุก อุทยาวลี)

    ตำนานอาฏานาฏิยปริตร

    อาฏานาฏิยสูตร กล่าวไว้ว่า
    ในสมัยหนึ่ง เมื่อพุทธเจ้าประทับ ณ เขาคิชฌกูฏ กรุงราชคฤห์ ท้าวจาตุมหาราช คือ ท้าวธตรฏฐ์ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักข์ และท้าวกุเวร พร้อมด้วยบริวารอันได้แก่ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ นาค และยักษ์ มาเฝ้าพระพุทธเจ้า
    ท้าวมหาราชเหล่านี้ บางครั้งเรียกว่า จตุโลกบาล (ผู้รักษาโลกทั้ง ๔) ซึ่งเป็นผู้นับถือพุทธศาสนา เมื่อได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ท้าวกุเวรกราบทูลว่า อมนุษย์ที่เป็นบริวารของจตุโลกบาล บางพวกก็เลื่อมใสพระพุทธเจ้า บางพวกก็ไม่เลื่อมใส เพราะพระองค์ทรงแสดงธรรมให้ถือศีล ๕ คือให้ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม การพูดเท็จ และการเสพสุรา แต่มนุษย์และยักษ์ยังชอบทำบาปเหล่านี้ จึงขัดใจไม่ค่อยเลื่อมใส สาวกของพระองค์ที่ประกอบวิปัสสนาธุระ ไปบำเพ็ญสมณธรรมในเสนาสนะป่าเปลี่ยว เมื่อไม่มีสิ่งป้องกัน อมนุษย์ก็จะรบกวนเบียดเบียนให้ลำบาก ขอให้พระองค์ทรงรับเอาเครื่องป้องกันรักษา คือ อาฏานาฏิยปริตรไว้ จะได้ประทานให้สาวกสวด จะทำให้อมนุษย์เลื่อมใส ไม่เบียดเบียนภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา และกลับจะช่วยคุ้มครองรักษาให้อยู่ผาสุข แล้วจึงกล่าว อาฏานาฏิยปริตร ขึ้นในเวลานั้นว่า วัปัสสิสสะ นะมัตถุ เป็นต้น
    เมื่อพระองค์ทรงรับโดยดุษณีภาพ ท้าวกุเวรจึงกราบทูลต่อไปอีกว่า ผู้ที่เจริญอาฏานาฏิยปริตรนี้ดีแล้ว อมนุษย์จะไม่ทำร้าย ถ้าอมนุษย์ยังผืนกระทำจะแพ้ภัยตัวเองจากนั้น พระพุทธเจ้าจึงนำมาตรัสเล่าแก่ภิกษุทั้งหลายในภายหลัง
    ตำนานมงคลสูตร (อะเสวะนา)

    มงคลสูตร ในขุทกปาฐะ ขุทกนิกาย เป็นพระพุทธดำรัสตรัสแก่เทวดาผู้ทูลถามสิ่งที่เป็นมงคล จึงโปรดแสดงข้อธรรม ๓๘ ประการ เป็นมงคลภายใน
    มูลเหตุที่เทวดาไปทูลถามพระพุทธเจ้านั้น เพราะไม่สามารถตกลงกันได้เป็นเวลานานถึง ๑๒ปี ซึ่งต่างก็คิดค้นโต้เถียงกันอย่างกว้างขวาง ทั้งในหมู่มนุษย์และเทวดา และไม่เพียงในจักรวาลนี้ แพร่ไปทั่วทุกจักรวาลทีเดียว ซึ่งล้วนแต่ถือมงคลภายนอกทั้งนั้น เช่น
    พวกที่ ๑ ถือสิ่งที่ได้เห็นคือ รูป ซึ่งสมมุติกันว่าดีว่าดีงามเป็นมงคล
    พวกที่ ๒ ถือสิ่งที่ได้ยิน คือเสียง ที่สมมุติกันว่าดีงามและเป็นมงคล
    พวกที่ ๓ ถือสิ่งที่ได้ทราบทางจมูก ลิ้น กาย โผฏฐพพะ ที่สมมุติว่าดีงามเป็นมงคล
    ในที่สุดเทวดาชั้นดาวดึงส์ ได้สติขึ้นก่อน ดังนั้น เทวราชาของตนคือ พระอินทร์เป็นผู้มีปัญญา จึงได้เฝ้าทูลความว่า เกิดมงคลปัญหา

    แบ่งเป็น ๓ พวก ไม่อาจตกลงกันได้ ขอให้ทรงวินิจฉัยปัญหาเรื่องนี้ด้วย พระอินทร์ตรัสถามว่า มงคลกถานี้เกิดที่ไหนก่อน ก็ได้ความว่าเกิดในโลกมนุษย์ก่อน ก็ควรให้มนุษย์เป็นผู้วินิจฉัย ขณะที่โลกมนุษย์มีพระพุทธเจ้าเป็นจอมปราชญ์ การที่เทวดามาถามพระอินทร์นั้น เปรียบเสมือนบุคคลต้องการแสงสว่างแต่ทิ้งดวงไฟ แล้วบอกแสงหิ่งห้อย จากนั้นเทวดาจึงมาเฝ้าพระพุทธเจ้า
    พระพุทธเจ้า โปรดให้เทพบุตรผู้หนึ่ง เป็นตัวแทนกราบทูลถามมงคลปัญหาและพระองค์ทรงตรัสแก้ เรียกว่า "มงคลสูตร"
    มงคลสูตรนี้ ใช้สวดเฉพาะงานมงคลอย่างเดียว และงานนั้นต้องตั้งน้ำมนต์ด้วยสายสิญจน์ พอพระสงฆ์ขึ้น "อเสวนา ฯ" เจ้าภาพจุดเทียนน้ำมนต์ที่ปักอยู่ที่บาตรขึ้นขัน แล้วยกที่น้ำมนต์นั้นไปประเคนพระสงฆ์ผู้เป็นผู้สวด

    ตำนานองคุลิมาลปริตร

    ตำนานที่กล่าวถึงความเป็นมาแห่งคาถาคลอดลูกง่าย
    พระปริตร (บทสวดนี้ คัดมาจากองคุลิมาลสูตร ในมัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก มีเรื่องเล่าไว้ ในอรรถกถาเฉพาะความตอนนี้ว่า จำเดิมแต่พระองคุลิมาลบวชแล้ว ท่านลำบากด้วยการบิณฑบาต เพราะชาวบ้านต่างหวาดกลัว ทำให้ไม่ได้อาหารบิณฑบาต เมื่อบิณฑบาตนอกพระนครไม่ได้ จึงเข้าไปภายในพระนคร ด้วยคิดว่าในเมืองมีคนมากคงไม่มีคนรู้จัก แต่ก็มีบางคนจำได้ ชาวบ้านจึงแตกตื่น ท่านได้พบหญิงมีครรภ์แก่คนหนึ่งเจ็บครรภ์ แต่คลอดไม่ได้ เนื่องด้วยครรภ์หลง (ครรภ์ขัด) เจ็บปวดร้องครวญครางอยู่ นางตกใจพระเถระ เพราะฤทธิ์แห่งความตกใจ พระเถระจำความไปกราบทูลพระพุทธเจ้า ทรงรับสั่งว่า ถ้าเช่นนั้นเธอจงกลับไปที่หญิงมีครรภ์คนนั้นแล้วทำสัจจกิริยา กล่าวว่าดังนี้
    ยโตหัง ภคินิ ชาโต นาภิชานามิ สัญจิจจปาณัง ชีวิตา โวโรเปตา
    เตนะ สัจจนะ โสตถิ เตโหตุ โสตถิ คัพภัสสะ
    ซึ่งแปลว่า ดูกรน้องหญิง จำเดิมแต่อาตมาเกิดมาแล้ว มิได้รู้สึกว่าจงใจทำลายชีวิตสัตว์เลย ด้วยความจริงอันนั้น ขอความสวัสดีจงมีแก่เจ้า ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์เจ้าเถิด)
    พระเถระฟังแล้ว มีความข้องใจจึงกราบทูลว่า "จะมิเป็นมุสาวาทหรือพระเจ้าจ้า ข้าพระองค์ตั้งแต่เกิดมานี้ ฆ่าสัตว์มากมายนัก "
    พระพุทธเจ้าจึงรับสั่งว่า "ถ้าอย่างนั้นจงกล่าวเสียใหม่ว่า ..อริปาย ชาติยา ชาโต แปลว่า..เกิดแล้วในชาติอริย.."(คือหมายความว่าตั้งแต่บวชมาแล้ว)
    พระเถระหายข้องใจ รับพระดำรัสแล้ว จึงกลับไปที่หญิงผู้นั้นเพื่อทำสัจจกิริยา ชาวบ้านทราบความประสงค์ของท่าน ได้จัดให้หญิงนั้นอยู่ในม่านและถวายตั่งให้พระเถระนั่งอยู่นอกม่าน กับบอกให้หญิงผู้นั้นรู้ตัวว่า บัดนี้พระเถระท่านมาเพื่อความสวัสดี ครั้นแล้วพระเถระทำสัจจะกิริยา ตามนัยพระพุทธภาษิตตรัสสอน พอท่านกล่าวจบทารกก็คลอด การคลอดนั้นง่ายคล้ายกับน้ำที่ไหลออกจากธัมมกรก(หม้อกรองน้ำ) มีความสบายทั้งมารดาและบุตร
    ชาวบ้านเห็นเป็นความศักดิ์จึงสงวนตั่งที่พระเถระนั่ง ไม่เอาไปใช้ในกิจอื่นๆ ถ้าหญิงคนไหนคลอดบุตรยาก ก็พามานั่งตั่งตัวนั้น คือใช้ตั่งตัวนั้นเป็นที่ทำคลอด การคลอดก็สะดวกดี และมีความผาสุกทั้งมารดาและบุตร ส่วนผู้ที่มาไม่ได้ก็ใช้น้ำล้างตั่งตัวนั้น แล้วนำน้ำนั้นไปรดศีรษะ การคลอดก็เรียบร้อย มีความสวัสดีทั้งมารดาและบุตร เมื่อตั่งตัวนั้นกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิแล้ว ชาวบ้านก็ขยายเขตการช่วยเหลือไปถึงสัตว์ต่างๆ ถ้าสัตว์ตัวไหนตกลูกยาก นำมาที่ตั่งตัวนั้นเป็นตกได้เสมอ เพราะเหตุที่ผู้เคยแต่ทำลายชีวิตเขามากมายเป็นผู้ช่วยชุบชีวิตคนและสัตว์ไปเช่นนี้ เป็นเหตุให้ประชาชนหายกลัว พระเถระท่านจึงบิณฑบาตได้โดยสะดวก ไม่ลำบากเหมือนแต่ก่อน เมื่อท่านได้อาหารพอเพียงจิตก็ระงับ ทำให้บำเพ็ญสมณธรรมสะดวกขึ้น ในที่สุดก็บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในพระพุทธศาสนา ตำนานมงคลสูตร (อะเสวะนา)

    มงคลสูตร ในขุทกปาฐะ ขุทกนิกาย เป็นพระพุทธดำรัสตรัสแก่เทวดาผู้ทูลถามสิ่งที่เป็นมงคลจึงโปรดแสดงข้อธรรม ๓๘ ประการ เป็นมงคลภายใน
    มูลเหตุที่เทวดาไปทูลถามพระพุทธเจ้านั้น เพราะไม่สามารถตกลงกันได้เป็นเวลานานถึง ๑๒ปี ซึ่งต่างก็คิดค้นโต้เถียงกันอย่างกว้างขวาง ทั้งในหมู่มนุษย์และเทวดา และไม่เพียงในจักรวาลนี้ แพร่ไปทั่วทุกจักรวาลทีเดียว ซึ่งล้วนแต่ถือมงคลภายนอกทั้งนั้นเช่น พวกที่ ๑ ถือสิ่งที่ได้เห็นคือ รูป ซึ่งสมมุติกันว่าดีว่าดีงามเป็นมงคล พวกที่ ๒ ถือสิ่งที่ได้ยิน คือเสียง ที่สมมุติกันว่าดีงามและเป็นมงคล พวกที่ ๓ ถือสิ่งที่ได้ทราบทางจมูก ลิ้น กาย โผฏฐพพะ ที่สมมุติว่าดีงามเป็นมงคล
    ในที่สุดเทวดาชั้นดาวดึงส์ ได้สติขึ้นก่อน เทวราชาของตนคือ พระอินทร์เป็นผู้มีปัญญา จึงได้เฝ้าทูลความว่า เกิดมงคลปัญหา แบ่งเป็น ๓ พวก ไม่อาจตกลงกันได้ ขอให้ทรงวินิจฉัยปัญหาเรื่องนี้ด้วย
    พระอินทร์ตรัสถามว่า มงคลกถานี้เกิดที่ไหนก่อน ก็ได้ความว่าเกิดในโลกมนุษย์ก่อน ก็ควรให้มนุษย์เป็นผู้วินิจฉัย ขณะที่โลกมนุษย์มีพระพุทธเจ้าเป็นจอมปราชญ์ การที่เทวดามาถามพระอินทร์นั้น เปรียบเสมือนบุคคลต้องการแสงสว่างแต่ทิ้งดวงไฟ แล้วบอกแสงหิ่งห้อย จากนั้นเทวดาจึงมาเฝ้าพระพุทธเจ้า
    พระพุทธเจ้า โปรดให้เทพบุตรผู้หนึ่งเป็นตัวแทนกราบทูลถามมงคลปัญหาและพระองค์ทรงตรัสแก้ เรียกว่า "มงคลสูตร"
    มงคลสูตรนี้ ใช้สวดเฉพาะงานมงคลอย่างเดียว และงานนั้นต้องตั้งน้ำมนต์ด้วยสายสิญจน์ พอพระสงฆ์ขึ้น "อเสวนา ฯ" เจ้าภาพจุดเทียนน้ำมนต์ที่ปักอยู่ที่บาตรขึ้นขัน แล้วยกที่น้ำมนต์นั้นไปประเคนพระสงฆ์ผู้เป็นผู้สวด


    (เรียบเรียงจาก ไข่มุก อุทยาวลี)



    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตอบสั้นๆว่า เป็นพระพิมพ์ที่สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ 4 , รัชกาลที่ 5 ,รัชกาลที่ 6และอยู่ในวัดพระแก้วครับ
     
  11. kittipongc

    kittipongc เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2006
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +3,648
    อิอิ โดนทดสอบโดยขุนศึกใหญ่ที่ดูแลกองหน้า(หน่วยจู่โจม+หน่วยกล้าตาย)
    ครับ ขอเรียนตามตรงเลยนะครับว่าก่อนที่ผมจะขอสมัครผมก็ศึกษากระทู้ต่างๆของพวกพี่เป็นเวลาหลายเดือน เพื่อดูเจตนารมณ์ว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นอย่างไร
    เพราะผมศรัทธาก็หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร บอกตรงๆว่าไม่อยากโดนหลอก เลยอ่านกระทู้ของพวกพี่ไปเรื่อยๆ ทั้งของคุณหนุ่ม คุณเพชร คุณ guawn คุณพันวฤทธิ์ คุณสติ คุณโสระ และอีกหลายๆท่าน ซึ่งน่าจะอยู่ทีมเดียวกัน
    ยิ่งศึกษา ก็ยิ่งมั่นใจว่า เจตนาดีจริงๆ สามารถวางใจได้เลย อีกทั้งยังนึกขอบคุณพวกพี่ๆ ที่มาแบ่งปันความรู้ต่างๆ และคอยสอนเรื่องอื่นๆ อีก แต่ที่แน่ๆคือ ช่วยสานต่อพระพุทธศาสนา อย่างแน่นอน
    ดังนั้น ผมขอแสดงเจตนาของผมเลยละกัน
    1.สำหรับชมรมนี้ ผมเห็นด้วยเพราะอย่างน้อยก็เป็นการเผยแพร่ข้อมูลพระพุทธศาสนาที่มีค่าให้แพร่หลาย และช่วยส่งเสริมศรัทธาให้ยิ่งๆขึ้นไป
    2.ตัวผมดูพระไม่เป็นนะครับ บอกไว้ตรงนี้เลย ผมเลยไม่ใส่ใจว่าเป็นพระแท้/พระปลอม แต่คิดว่าหากเป็นพระที่ หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร เสกยังงัยก็สุดยอดครับ
    3.คิดว่าหากได้เข้าชมรมแล้วน่าจะมีโอกาสแบ่งเบาภาระบ้าง(เป็นการสร้างบุญ บารมีอีกทางหนึ่ง และเพื่อยังประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นด้วย) และที่แน่ๆน่าจะได้ไปทำบุญตามที่ต่างๆครับ สำหรับผมและภรรยาถือว่าไปเที่ยวครับ อิอิ มันสุขใจ
    4.คิดว่าหากได้เข้าชมรมแล้วน่าจะมีกิจกรรมดีๆที่สนันสนุนการฝึกปฎิบัติ สมาธิ อยู่ด้วยครับ เพราะ จิต สำคัญมาก ผมอยากพัฒนาให้มากที่สุด
    5.หากมีวาสนา อาจได้พบเจอหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร สาธุ สาธุ


    เพราะอย่างนี้ผมถึงได้บอกว่า โอกาสดีๆอย่างนี้หายาก
    ถึงแม้ไม่ได้เข้าร่วมชมรมก็ไม่เป็นไรครับ แล้วแต่วาสนา อิอิ :)
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ลัก...ยิ้ม [​IMG]
    ขอสอบถามสั้น ๆ ได้ไหมค่ะ ท่านใดสงสารโปรดเข้ามาตอบสั้น ๆ พอเก็บความรู้ได้ ยิ้มได้รับพระจากรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ท่านมอบพระกรุวัดพระแก้วมาให้ แต่ยิ้มความรู้น้อย ไม่เข้าใจคำว่ากรุวัดพระแก้ว ครั้นจะถามท่านก็กลัว(งก)ว่าเขาจะขอคืน 55
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    รู้สึกว่า จะมีอาการไอครับ อาการไอ "คุก คุก คุก" เหอ เหอ เหอ

    พระกรุวัดพระแก้ว เป็นพระที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 , 5 , 6 และอาจจะมีในยุคก่อนหน้าทั้ง 3 รัชกาลด้วย เพียงแต่พบได้น้อย

    ผมจะแบ่งเป็น 4 ยุค

    1.ยุคสมัยรัชกาลที่ 1 - 3 ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องราง มีพระพิมพ์เป็นจำนวนน้อย(จำนวนน้อย ไม่ใช่เป็นหลักร้อย น่าจะเป็นหมื่นหรือเป็นแสนองค์ ในความคิดของผม และผมไม่แน่ใจในข้อมูลมากนักครับ)

    2.ยุคสมัยรัชกาลที่ 4 - สมัยรัชกาลที่ 5 ปี พ.ศ.2415 เป็นพระพิมพ์ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร อธิษฐานจิต และได้อาราธนาสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ร่วมอธิษฐานจิตด้วย

    3.ยุคสมัยรัชกาลที่ 5 ปี พ.ศ.2415 - สมัยรัชกาลที่ 5 ปี พ.ศ.2428 เป็นพระพิมพ์ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร และพระคณาจารย์สมัยนั้น อธิษฐานจิต

    4.ยุคสมัยรัชกาลที่ 5 ปี พ.ศ.2429 - สมัยรัชกาลที่ 6 เป็นพระพิมพ์ที่พระคณาจารย์ในสมัยนั้น อธิษฐานจิต

    ใน 3 ช่วงหลังนี้ มีพระพิมพ์เป็นจำนวนมาก จำนวนไม่น้อยกว่าเลข 8 หลักครับ

    .
     
  13. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ขอถามอีกนิด แต่อาจจะต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะกระจ่าง 55 หวังว่าคงไม่รังเกียจ ถ้าไม่สะดวกตอบตรง ๆ ได้ค่ะ ยินดีค่ะ

    ขอเรียนถามต่อว่า ผู้ใดเป็นผู้สร้าง และเมื่อนำออกมาให้ผู้ศรัทธาได้บูชาแล้ว
    การนำออกมาถือว่าถูกต้อง/ไม่ถูกต้องตามปฏิบัติค่ะ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    55555

    รู้ว่าใครเป็นหน่วยกล้าตาย ใครเป็นหน่วยจู่โจมเลยหรือครับเนี่ย

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  15. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    หากเดินแบบผม จะสะบักสะบอมครับ นี่ย่อหลักสูตรมาให้อ่านทีละหน้า ทุ่นแรง และเวลากว่าผมมาก ทำไมไม่เอา? จะลุยถั่วแบบผมใช้เวลา 8-9 ปีหนาท่าน...
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โอ้โห ถามสั้นๆ แต่คนตอบ ตอบยาวครับ

    ขอตอบย่อๆนะครับ เพราะว่า ถ้าตอบเต็มรูปแบบ เนื้อหาค่อนข้างยาว และมีความเสี่ยงสูง (เสี่ยงเป็นไข้หวัด จะไอดัง "คุก คุก คุก") แต่ถึงจะตอบย่อๆ ก็มีความเสี่ยงสูงพอสมควรครับ

    ผู้สร้าง ต้องแบ่งเป็น 3 ช่วง

    1.ประมาณปี พ.ศ.2400 ถึง พ.ศ.2428 หลวงปู่ท่านเจ้า(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ) พระองค์ท่านได้ค้าขายกับเมืองจีน โดยให้ท่านเจ้าคุณกรมท่า(ท้วม บุญนาค) เป็นแม่กองงาน ท่านนำมวลสารหลายๆอย่าง รวมทั้งช่างฝีมือชาวจีน(ที่พระเจ้ากรุงจีน ได้ส่งมาช่วยเหลืองานที่ประเทศไทย) หลวงปู่ท่านเจ้า(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ) พระองค์ท่านจึงได้สร้างพระพิมพ์และวัตถุมงคล รวมทั้งเครื่องเบญจรงค์ขึ้นมา อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้สร้างพระพิมพ์และวัตถุมงคล จะนำเข้าพิธีพุทธาภิเษกหลวง ที่วัดบวรสถานสุทธาวาส (วังหน้า)

    2.ประมาณ ปี พ.ศ.2429 ถึง พ.ศ.2451 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์มีพระราชดำรัสให้สร้างพระพิมพ์และวัตถุมงคลขึ้น นำเข้าพิธีพุทธาภิเษกหลวง ที่วัดพระศรีรัตนศาสนาราม (วังหลวง)

    3.ประมาณ ปี พ.ศ.2452 จวบจนปลายรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านมีพระราชดำรัสให้สร้างพระพิมพ์และวัตถุมงคลขึ้น นำเข้าพิธีพุทธาภิเษกหลวง ที่วัดพระศรีรัตรศาสดาราม (วังหลวง)

    เดี๋ยวมาต่อครับ

    .
     
  17. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    คำถามเหล่านี้มีแทรกซึมอยู่ในความเห็นทั้งหมดก่อนหน้านี้แล้ว ใช้เวลาค้นหาจะพบเรื่องราวเหล่านั้น..

    วิธีสอบความเข้าใจว่าคนๆนั้นรู้เรื่องขนาดไหน ง่ายๆเลยนะครับ เช่นเวลาเขาเรียกชื่อ"กรุวัดพระแก้ว"

    ขอให้คิดในใจไว้ก่อนว่า เขาอาจจะคิดว่าเป็นพระแก้วมรกตตรงฝั่งสนามหลวงตรงข้ามกระทรวงกลาโหม ความจริงคือ มีวัดพระแก้ว ๒ แห่ง การระบุ"กรุ"ลงไปเท่ากับว่าเรารู้จริง หากบอกกรุวัดพระแก้ว มันตีได้ทั้งหลายกรุ คือแบบเหวี่ยงแห ดังนั้นจึงต้องหลอกถามไปเรื่อยๆ(ก็เอาความรู้จากในนี้ไปคุยนั่นแหละ) ก่อนเพื่อเก็บข้อมูลให้ได้ว่า ความรู้เขามีอยู่เท่าไหร่ บางทีเผยมากไปก็เสียเวลา เรื่องมันยาวมาก เรื่องราวการสร้างตั้งแต่เมื่อ ๑๕๐ กว่าปีก่อน เล่าไปๆมาอาจจะเพี้ยน ถ่ายทอดไม่ครบ
     
  18. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead colSpan=2>วันนี้ 02:57 PM</TD></TR><TR title="โพส 918878" vAlign=top><TD class=alt1 align=middle width=125>sithiphong</TD><TD class=alt2>อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ลัก...ยิ้ม [​IMG]
    ขอถามอีกนิด แต่อาจจะต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะกระจ่าง 55 หวังว่าคงไม่รังเกียจ ถ้าไม่สะดวกตอบตรง ๆ ได้ค่ะ ยินดีค่ะ

    ขอเรียนถามต่อว่า ผู้ใดเป็นผู้สร้าง และเมื่อนำออกมาให้ผู้ศรัทธาได้บูชาแล้ว
    การนำออกมาถือว่าถูกต้อง/ไม่ถูกต้องตามปฏิบัติค่ะ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    โอ้โห ถามสั้นๆ แต่คนตอบ ตอบยาวครับ

    ขอตอบย่อๆนะครับ เพราะว่า ถ้าตอบเต็มรูปแบบ เนื้อหาค่อนข้างยาว และมีความเสี่ยงสูง (เสี่ยงเป็นไข้หวัด จะไอดัง "คุก คุก คุก") แต่ถึงจะตอบย่อๆ ก็มีความเสี่ยงสูงพอสมควรครับ

    ผู้สร้าง ต้องแบ่งเป็น 3 ช่วง

    1.ประมาณปี พ.ศ.2400 ถึง พ.ศ.2428 หลวงปู่ท่านเจ้า(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ) พระองค์ท่านได้ค้าขายกับเมืองจีน โดยให้ท่านเจ้าคุณกรมท่า(ท้วม บุญนาค) เป็นแม่กองงาน ท่านนำมวลสารหลายๆอย่าง รวมทั้งช่างฝีมือชาวจีน(ที่พระเจ้ากรุงจีน ได้ส่งมาช่วยเหลืองานที่ประเทศไทย) หลวงปู่ท่านเจ้า(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ) พระองค์ท่านจึงได้สร้างพระพิมพ์และวัตถุมงคล รวมทั้งเครื่องเบญจรงค์ขึ้นมา อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้สร้างพระพิมพ์และวัตถุมงคล จะนำเข้าพิธีพุทธาภิเษกหลวง ที่วัดบวรสถานสุทธาวาส (วังหน้า)

    2.ประมาณ ปี พ.ศ.2429 ถึง พ.ศ.2451 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์มีพระราชดำรัสให้สร้างพระพิมพ์และวัตถุมงคลขึ้น นำเข้าพิธีพุทธาภิเษกหลวง ที่วัดพระศรีรัตนศาสนาราม (วังหลวง)

    3.ประมาณ ปี พ.ศ.2452 จวบจนปลายรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านมีพระราชดำรัสให้สร้างพระพิมพ์และวัตถุมงคลขึ้น นำเข้าพิธีพุทธาภิเษกหลวง ที่วัดพระศรีรัตรศาสดาราม (วังหลวง)

    เดี๋ยวมาต่อครับ</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=tborder id=post918879 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead id=currentPost style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] วันนี้, 02:57 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #13794 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>:::เพชร:::<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_918879", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 02:57 PM
    วันที่สมัคร: Jul 2006
    อายุ: 42 ปี
    ข้อความ: 2,515 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 15,999 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 25,055 ครั้ง ใน 2,576 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 2771 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_918879 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ลัก...ยิ้ม [​IMG]
    ขอถามอีกนิด แต่อาจจะต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะกระจ่าง 55 หวังว่าคงไม่รังเกียจ ถ้าไม่สะดวกตอบตรง ๆ ได้ค่ะ ยินดีค่ะ

    ขอเรียนถามต่อว่า ผู้ใดเป็นผู้สร้าง และเมื่อนำออกมาให้ผู้ศรัทธาได้บูชาแล้ว
    การนำออกมาถือว่าถูกต้อง/ไม่ถูกต้องตามปฏิบัติค่ะ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    คำถามเหล่านี้มีแทรกซึมอยู่ในความเห็นทั้งหมดก่อนหน้านี้แล้ว ใช้เวลาค้นหาจะพบเรื่องราวเหล่านั้น..

    วิธีสอบความเข้าใจว่าคนๆนั้นรู้เรื่องขนาดไหน ง่ายๆเลยนะครับ เช่นเวลาเขาเรียกชื่อ"กรุวัดพระแก้ว"

    ขอให้คิดในใจไว้ก่อนว่า เขาอาจจะคิดว่าเป็นพระแก้วมรกตตรงฝั่งสนามหลวงตรงข้ามกระทรวงกลาโหม ความจริงคือ มีวัดพระแก้ว ๒ แห่ง การระบุ"กรุ"ลงไปเท่ากับว่าเรารู้จริง หากบอกกรุวัดพระแก้ว มันตีได้ทั้งหลายกรุ คือแบบเหวี่ยงแห ดังนั้นจึงต้องหลอกถามไปเรื่อยๆ(ก็เอาความรู้จากในนี้ไปคุยนั่นแหละ) ก่อนเพื่อเก็บข้อมูลให้ได้ว่า ความรู้เขามีอยู่เท่าไหร่ บางทีเผยมากไปก็เสียเวลา เรื่องมันยาวมาก เรื่องราวการสร้างตั้งแต่เมื่อ ๑๕๐ กว่าปีก่อน เล่าไปๆมาอาจจะเพี้ยน ถ่ายทอดไม่ครบ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เป็นไงครับ ผิดจากที่ผมพิมพ์ไม่มากเลยนะ อิอิ...เวลาเดียวกันอีกต่างหาก!!;)
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ลัก...ยิ้ม [​IMG]
    ขอถามอีกนิด แต่อาจจะต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะกระจ่าง 55 หวังว่าคงไม่รังเกียจ ถ้าไม่สะดวกตอบตรง ๆ ได้ค่ะ ยินดีค่ะ

    ขอเรียนถามต่อว่า ผู้ใดเป็นผู้สร้าง และเมื่อนำออกมาให้ผู้ศรัทธาได้บูชาแล้ว
    การนำออกมาถือว่าถูกต้อง/ไม่ถูกต้องตามปฏิบัติค่ะ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    พระพิมพ์และวัตถุมงคล ที่นำออกมาจากวัดพระแก้ว เป็นสมบัติแผ่นดิน บางส่วนจะเป็นทั้งสมบัติแผ่นดินและสมบัติสงฆ์ (เนื่องจากมีการสร้างพระพิมพ์ เพื่อถวายเป็นกฐินหลวง) ผู้ที่นำออกมา ต้องได้รับความวิบัติทั้งทางตรงและทางอ้อม และเป็นกรรมหนัก

    ส่วนผู้ที่นำพระพิมพ์และวัตถุมงคล ไปซื้อขาย ต้องได้รับกรรมเช่นกัน ผลของกรรมเรื่องนึงที่แน่ชัดก็คือ การเจ็บป่วยไม่สบาย (อาจเป็นทั้งครอบครัว) ถ้ากรรมหนักมาก จะเป็นถึงอัมพฤก หรืออัมพาต

    ดังนั้น ผู้ที่มีจึงต้องทำบุญ(และต้องทำบุญไปเรื่อยๆ จนกว่าชีวิตจะหาไม่) ต้องชำระหนี้สงฆ์ และชำระหนี้แผ่นดิน

    การชำระหนี้แผ่นดิน ทำได้โดย ทำบุญให้กับประเทศชาติ ทำบุญให้กับคนหมู่มาก เช่น การทำบุญกับสภากาชาดไทย ,มูลนิธิชัยพัฒนา เป็นต้น หรือการบริจาคโลหิตก็ได้เช่นกัน และต้องกรวดน้ำให้กับองค์ผู้อธิษฐานจิต ,ผู้สร้าง และเจ้าของเดิมครับ
     
  20. kittipongc

    kittipongc เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2006
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +3,648
    จริงๆ แล้วผมชอบทางลัดนะ แต่เนื่องจากเป็นทางลัดเลยพื้นฐานไม่แน่นเหมือนพี่ แต่น่าจะไปถึงจุดหมาย(ที่ไหนน้อ....)ได้เหมือนกัน ^-^
     

แชร์หน้านี้

Loading...