พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.konmeungbua.com/teacher/t...gpo_jong2.html

    เรื่องราวเกี่ยวกับความเก่งกาจ แผลง ๆ ซึ่งบุคคลและสงฆ์อื่นยากจะทำได้ ยังมีเรื่องพิลึกพิลั่นมาเล่าลือสืบเนื่องกันอีกมาหลายกระทงความอย่างกับอีกครั้งหนึ่งท่านไปปัตตานี และสงขลาตามคำอาราธนานิมนต์ให้ไปประกอบพิธีมงคลทางพุทธศาสนา ได้มีคนนอกศาสนา สติไม่ใคร่เรียบร้อย มักชอบตะลบตะแลงลิ้นพ่นหาว่าพระสงฆ์ไทยไม่ดีจริงไม่เก่งจริง กล่าวท้าทายกระทำว้าวุ่นหลายครั้งหลายคราต่อภิกษุสงฆ์ไทยหลายองค์ และวันที่เขาจะเจอดีก็มาถึงเมื่อหลวงพ่อจงต้องเดินทางผ่านสวนยางพาราของเขาไป เห็นมีไฟป่าลุกไม้อย่างรุนแรงแล้วลามเข้าหาสวนยางของเขา เขาผู้นั้นได้ร้องเอ็ดตะโรและคร่ำครวญต่าง ๆ นานาว่าฉิบหายแล้ว ฉิบหายแน่. หลวงพ่อจงเห็นเป็นการน่าเวทนา จึงพูดขึ้นว่า ไม่ฉิบหายน่า พูดแล้วท่านก็ปีนขึ้นไปบนยอดกอไผ่จีนที่ขึ้นอยู่ข้างทาง เอายอดไผ่มาอมในปาก สะบัดไปแล้วร้อง ดับ...ดับ...ดับ...ดับ...ซึ่งอีกสิบนาทีต่อมา ไฟป่าก็ดับโดยอัศจรรย์ ทำคนนอกศาสนาคนนั้นเกิดอาการตะลึงจังงัง และแต่นั้นมาก็ไม่กล้ากระทำวุ่นวายท้าทายใครต่อใครในพุทธศาสนาอย่างคนปากพล่อยสามหาวอีก พร้อมทั้งมีจติใจหันไปเคารพศรัทธาเลื่อมใสต่อภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่งสืบไปในระยะหลังของชีวิต
    เคยมีผู้สงสัย แคลงใจหลายข้อกระทงความต่อคำเลื่องลือต่าง ๆ ที่ออกจะเชื่อยากว่า เรื่องราวเหล่านี้ที่เขาเล่าลือกันมาจะเป็นความจริงเพียงใด
    หลวงพ่อจงกล่าวตอบด้วยอาการสำรวมมีนัยว่า เรื่องของอารมณ์อย่างนี้ อริยสงฆ์ไม่พึงถือเป็นกิจ แต่อาตมาจะเคยทำอะไรมาบ้าง ถ้าเป็นเรื่องนานแล้ว ก็ไม่ได้สนใจจดจำเอาไว้ เพราะต้องใช้เวลาปฏิบัติกิจของสงฆ์หนักเหนื่อยอยู่เป็นอันมาก ทำชั่วชีวิตก็ยังคงทำไปไม่ได้เท่าไร ส่วนผู้อื่นจะพูดกล่าวขวัญถึงอาตมาทำนองไหนอย่างไร อาตมาไม่ถือสาโกรธเขาดอกนะ
    สมควรกล่าวขวัญถึงอัธยาศัยและอารมณ์กับการปฏิบัติตามความรู้สึกนึกคิดของหลวงพ่อจงอีกสักหน่อย เพราะท่านเป็นสงฆ์ประเภทที่มีผู้กล่าวขนานสัญลักษณ์เป็นวลีได้เต็มภาคภูมิว่า ท่านคืออริยสงฆ์จริงแท้แห่งพุทธสาวกในพระพุทธศาสนา แต่อย่างไรก็ดี เรื่องราวความเป็นมาเมื่ออดีตของท่านเต็มไปด้วยเรื่องราวขานไขมากเรื่อง ส่วนมากก็เป็นกรณียกย่องเชิดชูว่า ท่านทรงอิทธิบารมีแก่กล้าไปในทางอิทธิปาฏิหาริย์พิลึกพิลั่น จริงหรือเท็จยากจะพิสูจน์ เพราะตามความเป็นจริงของข้อเท็จจริงอยู่ที่ว่า มีเรื่องต่าง ๆ ซึ่งเมื่อผู้ใดเอาไปซักไซ้หาคำตอบจากท่าน ท่านไม่ใช่นักพูดและไม่มีนิสัยเป็นผู้ชอบโอ้อวด ทั้งไม่ชอบข่มขู่ใครทั้งทางกาย วาจา ใจ ท่านก็มักตอบปฏิเสธในท่วงท่าแบบเดียวกับเรื่องหลวงพ่อเดิมดังกล่าวเป็นนิจ อนึ่งในประการสำคัญก็คือ ระหว่างอายุ 30 ถึง 70 เศษ ท่านไปไหนมาไหนก็มักมีแต่ศิษย์เล็ก ๆ ไม่ใคร่สนใจอะไรติดตามรับใช้ปรนนิบัติ จวบจนอายุ 80 เศษ จึงมีชนชั้นมีอายุติดตามเพราะเห็นกันว่ามีวัยชรามาก กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุบังเอิญขึ้น ด้วยประการฉะนี้ นอกจากมีผู้รู้เห็นเองบ้าง ฟังจากคำเลื่องลือบ้าง กล่าวขวัญถึงท่านในทางที่เป็นความอัศจรรย์ของสมรรถภาพ หรือ อิทธิบารมีจึงเป็นเรื่องค้นหาประจักษ์หลักฐานยาก ผู้ได้ยินได้ฟังมาพูดมาร่ำลือกันนั่นแหละ หนทางที่ดี จะต้องวินิจฉัยรับผิดชอบต่อเรื่องราวที่นำเอามาพูดสู่กันฟัง... แต่อย่างไรก็ตาม มีข้อรับรองซึ่งสาธุชนพึงเชื่อมั่นได้แน่นอนอย่างหนึ่งก็คือ ในชีวิตของหลวงพ่อจง หากสิ่งใดเป็นความประพฤตินอกรีดนอกรอย ไร้ศีลสัจธรรม หลวงพ่อจงท่านจะต้องนำตนพ้นหนี มิยินยอมนำพาข้องแวะด้วยอย่างเด็ดขาด ในชีวิตของท่าน น้อยหนหรือพูดได้ว่า ...ไม่มีเสียเลย... คือไม่มีใครผู้ใดจะสามารถย้อมอารมณ์ให้บังเกิดอาการรังเกียจหรือโกรธเคืองท่าน จากพฤติการณ์ทั้งทาง กาย วาจา ใจของท่าน
    แต่มันก็แปลก ความเชื่อและความตื่นของคนเรานี้ช่างมีอานุภาพกังวานก้องไกล กรณีร่ำลือเกี่ยวกับหลวงพ่อจง แม้ท่านจะยิ่งปฏิเสธในปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ผู้คนก็ยิ่งเอาไปร่ำลือกันหนักเข้า มีสภาพดุจดั่งเอาน้ำมันราดบนกองไฟปานนั้น
    อุดมทัศนะและสัจธรรม
    หลวงพ่อจง มีปณิธานดำรงอัตตะของชีวิตบรรพชิตของท่านด้วยอาการเคร่งต่อศีล
    นอกจากพลังจิตของท่านเหี้ยมฮึกต่อทมะ คือ สามารถต่อการคุมจิตของตนไว้ใต้อำนาจ มิให้กระดิกกระโดดออกนอกทาง ที่เคร่งมากที่สุด คือ มั่นอยู่ในพรหมวิหารสี่ และใช้มากหนักไปในทางเมตตาแต่กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็มีครบครัน นอกจากนี้ ท่านยึดมั่นในหลักจาคะ สมัครใจเสียสละเพื่อผู้อื่นเท่าที่สามารถทำได้ตามที่กล่าวถึงมาตอนต้น ๆ แล้วประการสำคัญก็คือ เป็นผู้ดำรงสัจจะ และต้องการอบรมคนทุกคนให้เป็นผู้มีสัจจะ ไม่พูดปดมดเท็จ
    ดังนั้น ทั้งที่ท่านโกรธใครยากที่สุด ทว่าหากเป็นในเรื่องการกล่าวคำเท็จ ท่านมักมีอามรณ์เผลอโกรธเหมือนกัน เป็นแต่สามารถระงับได้รวดเร็ว มิปล่อยให้ไฟโกรธครอบงำอารมณ์เป็นายเหนือการบังคับพลังจิตของท่าน จนต้องตกเป็นทาสของมันให้กระทำการก่อเหตุเภทภัยขึ้น
    หลวงพ่อจงมีเกียรติคุณเป็นที่นิยมกว้างขวางจริงจังในคุณแห่งวิทยาคม เมตตา เป็นอันดับแรก ต่อไปก็เป็นคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดมหานิยม และน้ำมนต์ของท่านขึ้นชื่อลือชาว่า สามารถสะเดาะเคราะห์ ความอับโชคได้ผลประสิทธิมาก ด้วยประการฉะนี้ วัดหน้าต่างนอกจึงปรากฏมีทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และประชาชนแทบทุกจังหวัดเดินทางไปมานมัสการขอรดน้ำมนต์จากท่านไม่ขาดสาย โดยเฉพาะเมื่อครั้งที่มีงานฉลององค์พระประธานในโบสถ์ ปรากฏว่าได้มีประชาชนจากทั่วทุกทิศเป็นจำนวนร่วมแสนคน ไปร่วมพิธี ณ วัดหน้าต่างนอกตลอดทั้งเจ็ดวันเจ็ดคืน และได้ร่วมบริจาคเงินอย่างมากมาย ซึ่งต่อมา พระประธานในพระอุโบสถวัดหน้าต่างนอก ที่หลวงพ่อจงเป็นประธานสร้างนั้น ก็ได้รับพระราชทานพระราชลัญจกรนามจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินี้นาถ "พระสัพพัญญู" เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 อันเป็นวันหลังจากที่หลวงพ่อจงได้ถกคัดเลือกนิมนต์ไปร่วมกระทำพิธีถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าย่า ของสมเด็จพระบรมราชินี พร้อมด้วยพระเถรานุเถระ สำคัญและล้วนมีเกียรติคุณสูง
    สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชอัธยาศัยโปรดในความมีบุคลิกพิเศษ เต็มไปด้วยสง่าราศีของหลวงพ่อจงไม่น้อย และได้ทรงมีพระราชปฏิสันถารด้วยพระราชอัธยาศัยเป็นอันดีบ่อยครั้ง ในที่สุดทรงมีพระราชเสาวนีย์ขอรับเป็นองค์โยมอุปัฏฐานของวัดหน้าต่างนอก แต่ตราบกระทั่งหลวงพ่อจงมรณภาพ ไม่เคยทำเรื่องรบกวนพระราชหฤทัยเลย เคยมีผู้แนะให้ขอพระราชทานเงินสร้างเขื่อนกั้นน้ำและหอระฆัง กับปฏิสังขรณ์โบสถ์ของวัดหน้าต่างในซึ่งชำรุดมาก จนทำสังฆกิจมิได้ ซึ่งเป็นอุปสรรคไม่สะดวกแก่การสัญจรทั้งของวัดหน้าต่างนอกและวัดหน้าต่างใน หลวงพ่อจงได้ปฏิเสธว่า ไม่ควรรบกวนพระราชอัธยาศัยในการนั้น เพราะท่านที่ทรงสำแดงพระเมตตารับเป็นองค์อุปัฏฐาน ก็นับว่าเป็นนิมิตมงคลแก่ท่านและวัดมากอยู่แล้ว เรื่องของวัด วัดก็ควรทำเอง เพราะเรื่องสร้างเขื่อนนี้ต้องค่อยทำค่อยไป ประชาชนทั่วไปก็ร่วมมืออยู่แล้ว คงทำสำเร็จจนได้ในวันหนึ่ง
    หลวงพ่อจงเป็นผู้มีอัธยาศัยปกติไม่ชอบรบกวนจุกจิกต่อน้ำใจใคร ไม่เคยบิณฑบาตรขอร้องอะไรต่ออะไรจากใคร โดยมากมักมีผู้ไปนมัสการท่าน แล้วมองตรวจหรือสอบถามเพื่อช่วยเหลือทำบุญแก่ท่านเอง เช่น รู้ว่าท่านขาดเหลืออะไร มีอันใด ทำให้ท่านมีความไม่สะดวกเป็นความอึดอัดต่างก็จัดหาถวาย แต่ถ้าหากจะถามท่านว่า ท่านจะต้องการสิ่งนี้สิ่งนั้นไหม ท่านจะปฏิเสธทันทีว่า ยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ หรือ รอไปก่อนดีกว่า หรือ ไม่เป็นไรหรอก อาตมายังไม่ปรารถนา
    บรรดาพระราชวงศ์ พ่อค้าเศรษฐี ข้าราชการทุกประเภทโดยทั่วไปส่วนมากที่เคารพสักการะศรัทธาต่อท่าน ต่างมักพากันไปมาหานมัสการและคอยสอดส่องอุปการะท่านเสมอ อาทิ พระองค์ชายอนุสรณ์ พระองค์ใหญ่เฉลิมเขตต์ พระองค์เจ้าเฉลิมพล พระราชวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภาณุภัณฑ์ น.อ.ประสงค์ สุชีวะ ฯลฯ
    หลวงพ่อจงเป็นผู้มักน้อยมีสันโดษมาแต่เล็ก ดังนั้นเมื่อดำเนินตามแนวพุทธวิธีตามพระธรรมคำสอน ท่านจึงสามารถสำเร็จในฌานสมาบัติได้โดยมิยาก
    ชีวิตวัยเด็ก นอกจากช่วยพ่อแม่เลี้ยงควาย ดูแลบ้านและน้องแล้ว หลวงพ่อจงมิเคยทำงานหนักเบาสิ่งใด เพราะมีลักษณะคล้ายเป็นคนพิการ ตาก็ฝ้าฟาง หูก็ตึง แต่เป็นการอัศจรรย์ นับแต่เข้าเป็นพระภิกษุแล้ว ความพิการต่าง ๆ หายไปเป็นปลิดทิ้ง อวัยวะทุกสิ่งแจ่มใส อายุ 92 ปี ยังอ่านหนังสือได้โดยมิต้องใช้แว่น และยังสามารถสนตะพายเข็มได้ด้วยตนเอง ยกเว้นจากหูซึ่งมีประสาทชา ต้องพูดกับท่านดังหน่อย
    หลวงพ่อจงเป็นผู้เคร่งครัดต่อการรักษาความสะอาด มีจิตใจเป็นผู้มีความละเอียดรอบคอบ บริเวณในวัดนอกวัด หากท่านอยู่ไม่ไปไหนจะต้องทำการปัดกวาดขัดเกลาด้วยตนเองเสมอ และไม่ชอบใช้ใครทำหากใครจะช่วยทำก็ให้มาทำเองด้วยความสมัครใจของเขา ทั้ง ๆ ที่ท่านมีศิษย์ไม่ต่ำกว่าห้าคนอยู่ประจำเสมอ
    ตั้งแต่วัดหน้าต่างนอกเคยมีงานพิธีใด ๆ มา มีผู้มาร่วมชุมนุมสมทบการกุศล ชมงานวัด ไม่เคยมีสักครั้งเดียวที่จะเกิดเรื่องทะเลาะวิวาท แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง ได้มีทหารยศนายสิบผู้หนึ่ง เกิดอาการมึนเมาครองสติไม่อยู่ ได้อาละวาดไล่ตีผู้คนและชักปืนยิงวุ่นวาย มีผู้ไปนิมนต์หลวงพ่อจงขอให้ไปห้ามระงับเหตุ ท่านหัวร่อ พลางบอกว่าไม่ต้องห้ามเดี๋ยวก็หยุดไปเอง หากอาละวาดจนหยุดไม่ได้ ก็เห็นจะต้องตาย
    ...มันช่างเป็นความอัศจรรย์อะไรเช่นนั้น หลวงพ่อจงพูดขาดคำไปไม่ถึงสิบนาที มีคนวิ่งกระหืดกระหอบไปแจ้งท่านว่า นายสิบทหารผู้นั้นตายเสียแล้ว โดยอยู่อยู่ก็อวดศักดาเอาปืนจ่อขมับตนเอง อวดใครต่อใครว่าเป็นผู้ศักดาอาคมขลัง ปืนยิงไม่เข้า
    และอีกครั้งหนึ่ง มีนายทหารชั้นร้อยโทผ่านศึกอินโดจีน เป็นคนพิการขาขาด ได้ไปขออาศัยอยู่ด้วย หลวงพ่อจงก็ไว้วางใจ มอบให้เป็นผู้เก็บรักษาเงินของวัด อยู่มาสองปีเศษ เงินของวัดก็สูญหายไปเรื่อย ๆ มากบ้างน้อยบ้าง แต่หลวงพ่อจงก็ไม่เคยเป็นห่วงเอาธุระซักไซ้ดูว่าอย่างไร สืบมาไม่นาน หลวงพ่อจงได้เงินมาหมื่นเศษก็มอบให้ไว้อีก โดยบอกว่าเงินนี่จะเอาไว้ทำโบสถ์ให้รักษาไว้ให้ดีหน่อย
    ต่อมาถึงเวลาต้องการใช้เงิน คนผู้นั้น กลับตอบปฏิเสธว่าเงินไม่มีเสียแล้ว หลวงพ่อจงกล่าวซักว่า ...ก็ให้เก็บไว้บอกว่าจะเอาทำโบสถ์ ทำไมว่าเงินไม่มี พูดเป็นคนเสียสตินี่...
    อีกสี่วันต่อมา บุรุษพิการขาขาดผู้นั้นได้กลายเป็นคนบ้า บ้าขนาดหนัก และมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงเจ็ดวันก็เกิดมีอาการคลุ้มคลั่งขนาดตรีทูตจนป่วยเป็นไข้อย่างแรงถึงเสียชีวิต
    หลวงพ่อจงมีกิตติคุณอีกทางหนึ่งในการใช้น้ำมนต์ น้ำมันมนต์ของท่าน ท่านสร้างเองโดยหุงเดือดแล้วบริกรรมด้วยอาคมขลัง แล้วเอามือคนไปจนได้ที่ น้ำมันนี้มีสรรพคุณกินแก้ปวดท้อง หยอดยาแก้เจ็บ ตาแดง ตาต้อ ทานวดแก้เมื่อยขบ
    ในชีวิตของท่าน ท่านต้องปฏิบัติกิจโดยพิถีพิถันและต้องไปร่วมพิธีใหญ่ ๆ ของทางราชการ และของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่อยู่อย่างไม่ขาดสาย ไม่ว่าในการปลุกเสกอาคมสร้างของขลังในชมรมบรรดาเกจิอาจารย์หรืองานหลวง เช่น พิธีพุทธาภิเษกเหรียญและรูป อดีตสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรศิริวัฒน์ พิธีพุทธาภิเษกพระเครื่อง 25 พุทธศตวรรษ ตลอดจนถึงพิธีพุทธาภิเษกครั้งหลังสุดในชีวิต 94 ปีของท่าน คือพิธีพุทธาภิเษกสร้างเหรียญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ปัจจุบันกับร่วมในพระราชพิธีฉลองพระชนมายุครบสามรอบ ณ วัดราชบพิธ นี่ย่อมเป็นเครื่องสำแดงว่า มิว่าในสังคมชั้นใดเอกชน หรือว่าวงราชการชั้นสูงสุดแค่ไหน หลวงพ่อจงถูกยอมรับนับถือเป็นยอดอริยสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิ คุณธรรมสูงสุดผู้หนึ่ง
    ประการสำคัญ ในชีวิตท่าน หลวงพ่อจงมิเคยมีอารมณ์หลงตะหงิดอยากได้นั่นได้นี่เป็นสมบัติ นอกจากกระทำไปตามหน้าที่ เช่น สร้างกุฏิซึ่งเก่าคับแคบ มีน้อยให้มากขึ้นที่วัดหน้าต่างนอกตามอัตภาพ สร้างศาลาการเปรียญ สร้างโรงเรียนตามที่ทางราชการ อำเภอ จังหวัดนิมนต์พึ่งขอความร่วมมือจากบารมีของท่าน แต่อย่างไรก็ดี สิ่งของของวัดท่าน เช่น ตะเกียงเจ้าพายุ (สมัยนั้นยังไม่มีผู้ถวายไฟฟ้ากำเนิดแก่วัด) หากวัดอื่นยากจนกว่าไปขอใช้ ท่านก็ให้ไป ศาลาวัดบางหลังที่ควรเอาไว้ใช้ แต่มีผู้มาบอกว่าจะขอรื้อเอาไม้ไปทำโรงเรียน ช่วยเด็กไม่มีโรงเรียนจะนั่งเรียน ท่านก็อุทิศให้ไปอย่างยิ้มแย้มเต็มใจ ท่านได้พัดวิเศษอันสูงค่ายิ่ง เพราะเป็นของพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อมีผู้มาขอยืมไปใช้เพราะเห็นว่าสวยสุดสง่า แต่แล้วไม่เอาคืนให้ มีผู้อาสาไปเอาคืน ท่านก็เพียรครางหึหึในลำคอ พลางก็ห้ามว่า เมื่อคนอื่นเขาพอใจจะเป็นเจ้าของเอาไว้ครองเป็นสมบัติของเขายิ่งกว่าเรา เราอุทิศให้เขาไปเสียให้สมใจ ก็มิเห็นจะเป็นไรไป
    พฤติการณ์กรณีวาจาสิทธิ์ ของหลวงพ่อจงมีผู้พูดถึงกันมาก และ ปรากฏมีผู้ศรัทธาเชื่อกันว่า ท่านมีวาจาดุจดังพระร่วงอะไรทำนองนั้น แต่ท่านก็ไม่เคยว่ากล่าวใครสักกี่ราย แม้แต่การให้พรท่านก็มักให้แต่ในแนวทางสงฆ์ มีการสวดมนต์ภาวนาประพรมน้ำมนต์ ไม่เคยกล่าวคำอวยพรให้ใครอย่างใดในแบบสังคม
    กล่าวกันทางด้านสุขภาพ หลวงพ่อจงมีสุขภาพอนามัยดีเลิศ โรคที่มีบ้างก็แค่หวัดธรรมดา กิจวัตรการฉันของท่านก็เช่นเดียวกับสงฆ์อื่นเปลี่ยนแต่เป็นว่าตอนเช้าหกโมง ท่านฉันข้าวต้มหมูชามขนาดกลางชามหนึ่ง น้ำชากาแฟไม่ฉันเลย ส่วนน้ำดื่มชอบน้ำต้มธรรมดา ๆ เท่านั้น อย่างอื่นไม่ดื่มเลย เคยติดยานัตถุ์และบุหรี่อยู่ 4 - 5 ปี แต่ต่อมาเห็นว่าเป็นเครื่องทำให้รำคาญรุงรัง เพราะต้องเอาติดย่ามไปด้วย ทำให้มีห่วง ท่านเลยตัดสินใจเลิก เป็นการตัดกังวล มีผู้ถามว่า ของสองสิ่งเป็นยาเสพติดมีฤทธิ์ชะงัด เลิกกับมันยากนัก มีคนอยากเลิก เลิกไม่ได้ ท่านมีวิธีขมังอย่างไร หลวงพ่อเพียงตอบยิ้ม ๆ
    "...ตั้งใจอดจริง ก็ต้องทิ้งมันได้... ไม่มีอะไรในโลก ซึ่งเราตั้งใจทำและทำจริงแล้วจะทำไม่ได้ ทำได้ดีหรือไม่ สุดแต่กรรมและวาสนา หรือที่เรียกว่า แล้วแต่พระพรหมลิขิตไว้ประจวบเหมาะอย่างไรนั่นเอง..."
    อย่างไรก็ดี เวลาเข้านอนของท่าน กลับไม่เป็นเวลาแน่นอนเสมอไป เว้นแต่อยู่ที่วัดของท่าน แต่ก็อีกนั่นแหละ หากมีผู้ไปเยี่ยมนมัสการ ท่านก็มักไม่ชอบจะหนีเข้านอนในเวลาราวสี่ทุ่มอันเป็นปกติ เพราะท่านชอบรับแขก และเกรงใจว่าเขาอุตส่าห์ไปหา ก็ควรต้อนรับคุยกันให้เขาได้รับสิ่งที่ต้องการสมปรารถนา จวบจนวัยย่าง 90 เป็นต้นมา ลูกศิษย์ลูกหาเกรงกันว่าสุขภาพของท่านจะร่วงโรยเกินไป จึงมักจะรู้ว่าไม่ควรรบกวนท่านเกินเวลากำหนดเข้าจำวัด
    ก่อนนอน หลวงพ่อจงมักชอบเล่นกับแมว อุ้มมันตบหัวลูบหลังมันอยู่ราวสิบนาที จากนั้นศิษย์ทุบน่องทุบหลังอีกราวสิบถึงสิบห้านาทีเป็นอย่างมากจึงนอนหลับไปเลย วิธีนอนของท่านก็แปลก ตอนแรกจะนอนแบบก้มหลังโก้งโค้งพร้อมด้วยมีผ้าคลุมตลอดองค์ เป็นเช่นนี้ตลอดไป แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง แต่ก็จะกลับมาอยู่ในลักษณะนี้ จนถึงเวลาตื่นราวตีสี่ จากนั้นก็กระทำกิจวัตร คือปัดกวาดทั่วตลอดวัดด้วยตนเอง เสร็จก็พอดีได้เวลาเคาะระฆัง เรียกเป็นสัญญาณทำวัตรสงฆ์ร่วมด้วยภิกษุลูกวัด อย่างนี้เป็นนิจ
    วิธีใช้พระเวทย์ปลุกเสกเตือนอาคม (กับ) นับถือบูชาพระในวิธีถูกต้อง
    บรรดาเรื่องราวเกี่ยวกับการแสดงออกซึ่งพลังพิสดารกลายเป็นคำเลื่องลือนับถือในอานุภาพนาประการ ของหลวงพ่อจงอย่างไรก็ตามที เมื่อมีบุคคลเชื่อ บุคคลผู้ปราศจากเชื่อก็คงต้องมีควบคู่กันไป ดุจมีดำต้องมีขาวไม่มีปัญหา และจะวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไรก็ปราศจากข้อพิสูจน์อำนาจลึกลับที่ (อาจ) มีขึ้นจริง ในเหล่าคนผู้ไม่ศรัทธาก็ไม่เชื่อเป็นธรรมดา
    เมื่อราวปลายปีพ.ศ.2506 ได้มีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นขึ้นว่า หลวงพ่อจงก็มีอายุมากแล้ว เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาจะต้องมีมาสู่ท่าน และขณะนั้นท่านก็มักมีกิจเป็นห่วงอย่างเดียว คือประสงค์จะสร้างเขื่อนกั้นน้ำบริเวณริมหน้าวัดหน้าต่างใน ด้านนอกของวัดหน้าต่างนอกของท่าน กับบูรณปฏิสังขรณ์โบสถ์ที่เกือบใช้การไม่ได้ให้มีสภาพดีขึ้นจนใช้การได้ไปก่อน โดยมิใช่คิดสร้างใหม่เป็นเงินล้านอย่างเขาอื่น กับสร้างหอระฆังให้มีสภาพโอ่อ่าขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้บ้างบกพร่อง บ้างมิมีโอกาสสร้างไว้ก่อน ทั้งที่เป็นเรื่องภายในวัดของท่าน มัวแต่ใช้เวลาไปวุ่นวายช่วยธุรกิจของผู้อื่น และที่สำคัญที่สุดไม่กล้าและไม่พึงใจจะออกปากรบกวนชวนเชิญใครให้เขาทำบุญ เพราะถือว่าการทำบุญไม่ต้องเชิญชวน มันแล้วแต่จิตใจของผู้จะทำด้วยศรัทธาแค่ไหน โดยความนึกคิดของเขาเองเป็นสำคัญ จึงพากันเสมอข้อคิดเห็นว่า สมควรสร้างรูปเป็นรูปปั้นของท่านขึ้น และสร้างหนังสือประวัติของท่านขึ้น เขียนทุกสิ่งเกี่ยวกับท่านด้วยความเที่ยงธรรมและเป็นข้อเท็จจริง ทั้งสองสิ่งนี้สืบไปเบื้องหน้า หากใครเขานับถือเคารพมีศรัทธาตัวท่านจริงจังมิเสื่อมคลาย เขาก็จะได้หาไปไว้บูชาสักการะแทนตัวจริงของท่าน ซึ่งเงินรายได้เหล่านั้นก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่อาจรวบรวมสมทบเข้าเป็นกองทุนดำเนินการสร้างสรรค์งานสามประการ เขื่อนกั้นน้ำ บูรณปฏิสังขรณ์โบสถ์สร้างหอระฆังให้สำเร็จบริบูรณ์ลุล่วงผลตามปรารถนาของหลวงพ่อจงซึ่งท่านมีประสงค์ต้องการกระทำอย่างแรงกล้าก่อนมรณภาพ และสิ่งนี้แม้ท่านมิได้แสดงเป็นห่วง... แต่แน่ละท่านไม่ชอบรบกวนใคร ท่านคงจะคิดถึงมันและมันอาจเป็นอารมณ์รบกวนท่านในเฮีอกท้าของลมปราณมรณะบ้างก็ได้ ฉะนั้นความสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้จนเป็นผลสำเร็จ แม้หลวงพ่อจงจะสถิตย์อยู่ในภพใด แม้นวิญญาณของท่านรับทราบถึงบรรดา เจตนาดีที่มีผู้ต่อท่านกระทำต่อท่านเพื่อท่านในปัจจุบัน อนาคต ทั้งที่ไม่มีท่านเป็นตัวตนอยู่ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของท่านก็คงจะประสบปิติสุขเกษมสันต์สำราญอย่างอเนกอนันต์กาล
    เคยมีผู้ทำหนังสืออย่างย่อ ๆ แจกเป็นที่ระลึกในงานพิธีศพของท่านแต่ก็พิมพ์จำนวนจำกัดและแจกจ่ายไปหมดสิ้น ไม่พอกับจำนวนนับหมื่นแสนที่ต้องการทราบประวัติละเอียด และต้องการได้ไว้ เป็นเครื่องรำลึกบูชาคุณของท่านที่มีต่อสรรพสัตว์ไม่เลือกหน้า เพราะทุกคนยังรำลึกถึงพระเดชพระคุณของท่านมิมีวันลืมเลือนโดยง่าย
    สำหรับรูปปั้น เคยมีศิลปินรับอาสาไปสร้าง เขาคือ ชาญ สารพุทธิ อาจารย์ศิลปชั้นเอกจากเพาะช่าง
    หลวงพ่อจง พอใจรูปปั้นนั้นมาก เพราะเคยมีผู้ปั้นไปให้ท่านดู ท่านดูไปดูมาแล้วหัวร่อ บอกว่าไม่เหมือนไม่รู้ใคร คนอื่นไม่รู้จักหรือแม้ที่รู้จัก ก็คงจะยิ่งฉงนกันมาก... แต่เมื่อเป็นรูป โดย ชาญ สารพุทธิปั้น ท่านบอกว่า นี่เอง... จึงจะเป็นอาตมาได้อย่างคล้ายคลึงพอดูได้...
    จากนั้น ท่านได้ทำพิธีปลุกเสกรูปปั้นของท่านแทบทุกเช้าค่ำเวลาทำวัตรในเมื่อมีโอกาสเวลาไม่ต้องเดินทางไปที่อื่นใด และต่อมา ท่านได้ปลุกเสกเถ้าธูปเทียน ดอกไม้บูชาแห้ง และผมปลงของท่าน รวมส่งให้ศิลปินชาญ เพื่อใช้ผสมผงสร้างรูปปั้นอีกมาก หากใครผู้ใดมีรูปปั้นของท่านไว้บูชาและอาราธนาถูกวิธี จะบันดาลให้บังเกิดผลในอานุภาพศักดิ์สิทธิ์มหาศาลเป็นอัศจรรย์ อาทิ
    เป็นมหาเมตตา มหานิยม มหาลาภ คงกระพันชาตรีและแคล้วคลาด
    สะบัด "ปัด" อัคคี ป้องกันฟืนไฟรังควานและระงับดับจิต ตลอดจนความร้อนอกใจนานาประการปราศจากศัตรูผู้คิดบีฑาทำร้าย
    สำหรับพิธีบูชาหลวงพ่อจง คือ ใช้ธูปเจ็ดดอก เทียน และดอกไม้หอม กระทำบูชา อธิษฐานรำลึกถึงหลวงพ่อจง อาราธนาขอให้ท่านแผ่อิทธิบารมีปกป้องบังเกิดคุณตามเจตจำนง ซึ่งอธิษฐาน หมั่นทำเช่นนี้จะไม่ผิดหวัง มักได้ผลดีมาก
    บรรดาเครื่องรางของขลังของหลวงพ่อจงมีมากชนิด ท่านสร้างและปลุกเสกไว้เป็นจำนวนมาก แต่ก็มักหมดสิ้นไปโดยรวดเร็ว เพราะมีผู้แสวงหากันไว้มาก เพียงท่านเดินทางเข้ากรุงเทพฯ หรือ ต่างจังหวัดในเวลาวันสองวัน เครื่องรางของขลังซึ่งบรรดาศิษย์และผู้ติดตามเอาติดไปมักไม่ใคร่พอจ่ายแจกประชาชนทุกแห่ง เพราะพอรู้ว่าหลวงพ่อจงไปอยู่ที่ใด มักจะแห่กันเข้าหานมัสการอย่างคับคั่งเสมอไป
    ต่อไปนี้เป็นคำเฉลยอรรถาธิบายวิธีอาราธนาปลุกเสกอธิษฐาน การใช้เครื่องรางของขลังต่าง ๆ (ซึ่งเวลานี้ของแท้หายากอยู่เหมือนกัน แต่ที่มีอยู่แล้วก็มีเป็นจำนวนแสน ๆ ล้าน ๆ)...แต่อย่างไรก็ดี ก็ใช้ได้กับรูปปั้นและรูปบูชาด้วย... ให้สวดภาวนาอธิษฐานดังนี้
    ตั้ง นะโมสามจบ
    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
    ธรรมมัง สรณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
    ต่อจากนี้ สวดบทอิติปิโส อีกสามจบ แล้วจึงตั้งบทว่า
    พุทธัง อาราธนานัง
    ธรรมมัง อาราธนานัง
    สังฆัง อาราธนานัง
    จึงอธิษฐานดังนี้ ต่อไป
    ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์เจ้า และหลวงพ่อจง (พุทธสโร)... และถ้ามีเสื้อยันต์ ตะกรุดโทน ตะกรุดชุด 16 ดอก และของอื่น ๆ ให้ระบุชื่อของนั้น ๆ เวลารำลึกใช้
    จงดลบันดาลให้ข้าพระพุทธเจ้า จงประสบความเป็นผู้คงกระพันชาตรี แคล้วคลาดจากมหาอำนาจร้ายสรรพโพยภัยภยันอันตรายไม่ให้เข้าใกล้ทำร้าย และจงบังเกิดเป็นมหาเสน่ห์ มหานิยม จิตคิดเมตตาจากจิตใจผู้อื่นพึงมีต่อข้าพระพุทธเจ้า โดยอำนาจบารมีของพระคุณเจ้าที่ข้าพระพุทธเจ้าน้อมรำลึกบูชาโดยบริสุทธิ์ใจ ขออาราธนาจงดลบันดาลให้บังเกิดผลเป็นไปดังอธิษฐาน โดยพลันทันที
    หากมีเหตุฉุกเฉิน ให้รีบอธิษฐานภาวนา ดังนี้
    พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา พระบิดารักษา พระมารดารักษา พระอินทร์รักษา พระพรหมรักษา พระครูบาอาจารย์รักษา อิมังอังคพัน ธนังอธิถามิ
    แล้วปลุกเสกต่อไป ดังนี้
    อิติสุคโต อุสุวิหิสุ พุทธะสังมิ มออุ อุกันหะเนหะ อุตะธัง โธอุตะ ธังอะตะ หังระอะ อะนะปัสสะ
    (ภาวนาทบทวน ตั้งแต่ 3 ถึง 7 จบ)
    การใช้คำอธิษฐานภาวนาบทปลุกเสก ต้องจำให้แม่นยำคล่องแคล่วตึ้งจิตคิดรำลึกถึงพระบารมีคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และท่านอาจารย์หลวงพ่อจงโดยแน่วแน่
    หากใช้ตะกรุดโทน (มหารูดมงคลชาตรี) หรือใช้ตะกรุดชุด 16 ดอกติดตัวไป เมื่อจะเข้าโรมรันรบประจันบาน ให้เอามือรูดพระตะกรุดไว้เบื้องหน้าสะดือ จะแคล้วคลาดคงทนต่อปืนผาหน้าไม้ สรรพสาตราวุธ แหลนหลาว หอกดาบ ขวากหนาม ของแหลมของคมทุกชนิด แต่ยามคิดหนีศัตรู ให้รูดพระตะกรุดไว้เบื้องหลัง จะแคล้วคลาดอันตราย ไม่มีผู้ติดตามทำร้าย หรือไม่ขัดขวาง แม้จะไล่ติดตามก็ให้มีเหตุไล่ไม่ได้ไล่ไม่ทัน
    แต่ถ้าจะใช้เข้าหาเจ้านายผู้ใหญ่ ท้าวพระยาผู้มีอำนาจบารมียิ่งใหญ่ให้รูปพระตะกรุดทั้งสองประเภทที่มีอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง รูดไปเบื้องขวาตน ถ้าเข้าหาท้าวพระยากษัตริย์หรือนางผู้สูงศักดิ์ ให้รูดไปเบื้องซ้าย
    ถ้าจะทำการแข่งขัน แข่งเรือ แข่งม้า วัวควาย วิ่งแข่ง ตอนจะเริ่มออกแข่งขัน ให้ภาวนารูดพระตะกรุดไว้ใต้สะดือ แลเมื่อสามารถออกเลยล้ำหน้าเขาไปแล้ว จึงรูดพระตะกรุดกลับไปไว้เบื้องหลัง คู่แข่งขันจะไม่มีโอกาสไล่ตามทัน
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.konmeungbua.com/teacher/t...gpo_jong2.html

    ผู้ใดหมั่นบูชาหลวงพ่อจง (พุทธัสสโร) และบรรดาเครื่องรางของขลังซึ่งตนมีศรัทธาเลื่อมใสเชื่อมั่นในพระคุณอิทธิบารมีของท่าน ซึ่งมีได้แก่
    • เสื้อพระยันต์ราชสีห์มหาอำนาจ (สีแดง) คงกระพันชาตรี
    • พระเครื่อง ทุ่งเศรษฐี (ดำใหญ่ และ แดงเล็ก)
    • พระยันต์มหาอำนาจ (มหานิยมแคล้วคลาด)
    • พระตะกรุดชุด 16 ดอก (แคล้วคลาด คงกระพัน เมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์ มหาลาภ)
    • ธนบัตรขวัญถุง (เรียกเงินตราไหลมาเทมาหา)
    • พระตะกรุดโทน (เช่นเดียวกับพระตะกรุดชุด 16 ดอก แต่มีอิทธิบารมีแก่กล้าทางคงกระพัน ค่าพันตำลึงทอง)
    • รูปปั้น (หล่อ) ของหลวงพ่อจงเอง
    • พระยันต์ต่าง ๆ เขียนลงบนผืนผ้าขาว
    • เหรียญกลมรูปหลวงพ่อจง (สำหรับเด็ก)
    • ลักยม (เมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์)
    • ยันต์พระฉิม (มหาลาภ ค้าขายเป็นมหานิยม)
    โดยเฉพาะ พระยันต์ พระตะกรุด หากใช้ในการเดินทางและบังเกิดเมื่อยล้า หรือเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยจะปลุกเสกภาวนาป้องกันเสียก่อนก็ได้ โดยทำพิธีภาวนาอธิษฐานปลุกดังข้างต้นแล้ว ให้ยกมืออธิษฐานเสกซ้ำต่อไปอีกว่า
    เศกขาธัมมา อเศกขาธัมมา เนวเศกขาธัมมา ธัมมาเศกขาธัมมา จากนี้เอามือลูกแข้งขามือและร่างกายให้ทั่ว ให้คิดเชื่อว่าต่อไปนี้ตัวเราเดินวิ่งเท่าไร ๆ เป็นไม่มีเมื่อย ไม่มีเหนื่อยอีกแล้วอย่างเด็ดขาด เพราะพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์และท่านอริยสงฆ์หลวงพ่อจงท่านดลใจประสิทธิพรประเสริฐป้องกันแก่ตัวเราได้แล้ว จึงกราบสามครั้งบนพื้นธรณีลงไป
    สำหรับการปลุกเสกเครื่องรางของขลังทุกชนิด ควรกระทำทุกเช้าค่ำ โดยวิธีตั้งบทสวด ดังนี้
    คือจุด ธูป เทียน บูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และหลวงพ่อจง (พุทธัสสโร) เสียก่อน
    จากนั้น ตั้งนะโม สามจบ (กราบ) จึงปลุกเสกด้วยพระคาถาว่า
    พุทโธ พุทธัสสะ อิทธิฤทธิ์
    พุทธะ นิมิตตัง

    การปลุกเสกนี้ จะทำให้บังเกิดอิทธิบารมีเข้มขลังเพิ่มขึ้นทับทวีทั้งจะดลบันดาลสุขแก่ผู้เป็นเจ้าของ กระทำการบูชาตลอดนิจกาล มิว่าจะมีประสงค์ปรารถนาสิ่งใด ก็จะมักได้สมปรารถนาไม่เคลื่อนคลายไม่หลุดจากมือ
    เห็นสมควรแจ้งรายนามพระมหาตะกรุดชุด 16 ดอกไว้แต่ละดอกเพื่อความรู้อันสมบูรณ์ของท่านผู้ศรัทธา ดังนี้
    1. เกราะเพชร
    2. พรหมสี่หน้า
    3. มหานิยม
    4. คงกระพัน
    5. ป้องกันเขี้ยวงา
    6. เมตตา
    7. แคล้วคลาด
    8. ปกป้องภัยจากผี "คุณ"
    9. ปกป้องปัด "สะบัด" อัคคีพ่าย
    10. มหาอุด (สรรพอาวุธไม่ระคายผิว)
    11. ป้องกันภัย ขีปณาวุธนานา
    12. เดินทางไกลไม่เหนื่อยไม่เมื่อย
    13. กระทู้เจ็ดแบก
    14. ปกป้องภัยจากฟ้าผ่า
    15. นะจังงัง บังตาผู้อื่น
    16. มหารูด

    วาระสุดท้าย
    เมื่ออรุณทอแสงจับขอบฟ้าวันที่ 24 มกราคม 2508 ทุกคนผู้เป็นศิษย์ใครบ้างจะรู้ว่า วันนี้แล้วสัญญาณแห่งความวิปโยคจะเริ่มขึ้น ตอนสายมีข่าวว่าหลวงพ่ออาพาธด้วยโรคอัมพาตหมดความรู้สึกทางซีกขวาไปแถบหนึ่ง ได้แพร่สะพัดไปสู่บรรดาศิษย์ทั้งหลายและแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วปานกระแสลมกล้า ตอนสายวันนั้นที่กุฎีหลวงพ่อคราคร่ำไปด้วยผู้มาเยี่ยมอาการอาพาธของหลวงพ่อ ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตสาเหตุของการอาพาธครั้งนี้มีอยู่ว่า
    เมื่อเวลาประมาณ 06.00 น. เช้าวันที่ 24 มกราคม หลวงพ่อเข้าสุขาตามเวลาปกติ ขณะเสร็จกิจแล้วท่านลุกขึ้นมากุฎีไม่ได้ เพราะซีกกายข้างขวาของท่านหมดความรู้สึก นายขัน และพระเพ็ง ขนติโก ผู้ปฏิบัติหลวงพ่อเห็นว่า ท่านสุขานานเกินควร จึงตามเข้าไปเปิดประตูสุขาพบว่าหลวงพ่อกำลังพยายามจะทรงกายลุกขึ้น จึงช่วยพยุงท่านมายังเตียงนอน สังเกตเห็นว่าปากข้างขวาของท่านเบี้ยวผิดปกติ ได้ยินเสียงหลวงพ่ออุทานว่า
    "เขาเอาเราแน่ละคราวนี้ เขายึดเราหมดแล้ว"
    เสมือนหนึ่งหลวงพ่อทราบว่า กายนครของท่านจะต้องประสบภาวะขั้นสุดยอดของกฏธรรมดาในอนาคตอันใกล้นี้ ปัจฉิมอุทานของหลวงพ่อคราวนี้ ทำให้ทุกคนใจหายวาบหนักใจในอาพาธของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง เพราะแต่ไหนแต่ไรมาหลวงพ่อไม่เคยอุทานเช่นนี้เลย ทุกคนซ่อนความทุกข์ใจไว้ภายใน เฝ้าปรนนิบัติพยาบาลท่านเป็นอย่างดี ระยะ 7 วันแรก หลวงพ่อพูดได้เกือบปกติ ฟังชัด เมื่อล่วง 7 วันแล้วเสียงของท่านเริ่มน้อยลง แหบเครือลงโดยลำดับ เพราะความชราแห่งสังขารอันเก่าแก่ยาวนานถึง 99 ปี ประกอบกับฉันอาหารได้น้อยด้วย
    ต่อมาคณะศิษย์มีหลวงพ่อนิลเป็นประธาน ได้พร้อมใจกันมอบให้นายแพทย์สถานีอนามัยชั้นหนึ่งวัดโพธิ อำเภอบางบาล ร่วมด้วย นายประทิน อัมพานนท์ สถานีอนามัยพระขาว เป็นผู้ถวายการรักษาท่าน ในระยะนี้อาการของท่านทรงอยู่และดีขึ้นเล็กน้อย ด้วยความเอาใจใส่และความสามารถของแพทย์ ทุกคนภาวนาว่าแม้หลวงพ่อจะไม่หายขาดก็ขอให้พอทุเลาพอนั่งได้ก็ยังดี เพราะโรคนี้ใคร ๆ ก็รู้ว่า เป็นโรคที่รักษาให้หายขาดได้ยาก
    วันแล้ววันเล่าผ่านไป อาการของหลวงพ่อเริ่มทรุดลง พูดไม่ได้ยินเสียง หายใจไม่สะดวก มีเสมหะมาก สังเกตว่าหลวงพ่อมีทุกขเวทนาอย่างหนัก แต่เสียงครวญครางอย่างสามัญชนมิได้มีรอดจากปากให้ใครได้ยินเลย เมื่อท่านเจ็บปวดก็เป็นเพียงแสดงอาการส่ายหน้าไปมาให้เป็นที่สังเกตว่าท่านไม่สบายเท่านั้น หลวงพ่อมีใจแท้อยู่เหนือเวทนาทั้งปวง ไม่หวั่นไหว ใช้อธิวาสขันตีที่ท่านมีอยู่เป็นปกตินิสัย ข่มความทุกข์ทรมานอันเกิดจากอาพาธกล้าได้อย่างน่าสรรเสริญยิ่ง
    หลวงพ่อใช้ธรรมโอสถรักษาใจของท่านเองให้มั่นคงแจ่มใส ในยามที่ร่างกายเจ็บไข้ ได้นิมนต์พระมหาแสวง ฐิติสมฺปนฺโน ป.ธ. 5 วัดสันติการาม มาสวดสาธยาย ทวัตติงสาการ โพชฌงคปริตร อุณหิสวิชัย คาถาพระพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ อยู่เป็นนิจ แสดงว่า อาพาธนั้นจะชนะท่านได้ก็เพียงภายนอกเท่านั้น แต่ภายในอาพาธจะกล้ำกลายท่านไม่ได้เลย
    ระยะที่หลวงพ่ออาพาธหนัก บรรดาศิษย์และผู้ที่เคารพนับถือทั้งใกล้และไกลไปมาเยี่ยมเยือน สดับตรับฟังอาการอยู่ทุกวันอย่างแน่นขนัดทุกคนมีใจตรงกันอยู่จุดเดียว คือ สนองพระคุณหลวงพ่อให้สมกับที่ท่านได้บำเพ็ญประโยชน์เป็นบุรพการีแก่ทุกคนมานานแสนนาน บางท่านแนะนำให้นำพาหลวงพ่อไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลสงฆ์บ้าง โรงพยาบาลอื่น ๆ บ้าง บรรดาศิษย์ขอขอบพระคุณในความปรารถนาดีของท่านเหล่านั้น แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะเสียงส่วนใหญ่เห็นว่า หลวงพ่อชราภาพมากแล้วและอาการอาพาธก็หนัก ถ้าพาท่านเดินทางไปอาจเป็นการกระทบกระเทือนบอบช้ำ จนเป็นเหตุให้ท่านถึงมรณภาพเสียกลางทางก็อาจเป็นได้ จึงตกลงกันว่าขอให้หลวงพ่อได้หลับตาจากไปในท่ามกลางการสนองพระคุณของญาติและศิษย์ บนสยนาสนะที่หลวงพ่อเคยอาศัย ในท่ามกลางสถานวิเวกอันน่าอภิรมย์ด้วยดวงจิตอันสงบเถิด
    แล้ววาระแห่งความโศกสลดก็มาถึง วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2508 ค่ำลงแล้ว ดวงจันทร์ใกล้วันมาฆะปุรณมีทอแสงจ้าแจ่มใส คล้ายเป็นประทีปส่องทางให้ท่านได้เดินทางไกลไปสู่สุคติภพอันสงบ ตอนหัวค่ำดูเหมือนหลวงพ่อจะมีอาการทุเลากว่าเวลาอื่นที่ผ่านมา ไม่มีวี่แววว่าอาการจะทรุดหนักลงเลย บรรดาผู้ที่นั่งเฝ้าอาการอยู่ดูอุ่นใจขึ้น ถวายยาประจำตามปกติแล้ว ก็ผลัดเปลี่ยนกันเข้าประคองท่าน พัดวีถวายเท่าที่สามารถจะทำได้ แม้ว่าหลวงพ่อจะผ่ายผอมจนผิดตา แต่ก็มีรัศมีอิ่มเอิบใบหน้ายิ้มแย้ม แสดงถึงความเมตตาอยู่เป็นนิจ
    เวลาล่วงไป เสียงนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน พระจันทร์โคจรขึ้นสู่วันใหม่ ดิถีแห่งวันมาฆปุรณมี วันจาตุรงคสันนิบาตแห่งพระพุทธศาสนาเริ่มขึ้นแล้ว หลวงพ่อหลับตานิ่งสนิท นาน ๆ จึงจะหายใจยาวสักครั้งเงียบสงัด ทุกคนเฝ้าอาการอยู่ด้วยหัวใจอันหดหู่ แสนห่วง ไม่มีใครปริปากหนึ่งนาฬิกาผ่านไป หลวงพ่อสงบไม่ไหวติง จับชีพจรดูยังเต้นอยู่แต่ช้าและลึกลงทุกขณะ เมื่อเข็มนาฬิกาบอกเวลา 01.55 น. ของวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2508 หลวงพ่อก็จากพวกเราไปด้วยอาการอันสงบ ปราศจากอาการกระวนกระวายโดยสิ้นเชิง ท่ามกลางความโศกเศร้าอาดูร พิลาปรำพันของญาติและศิษย์ทั้งหลาย สิริประมวลอายุได้ 93 ปี 10 เดือน กับ 17 วัน ครองสมณเพศมาโดยตลอด 72 พรรษานับแต่เริ่มอาพาธมาจนถึงวาระสุดท้ายรวม 24 วัน
    หลวงพ่อถึงมรณภาพในวันมาฆะปุรณมี มาฆฤกษ์ วันจาตุรงคสันนิบาตแห่งพระพุทธศาสนา เป็นสัญลักษณ์ว่า หลวงพ่อจากไปดีแล้ว ไปประเสริฐแล้ว ขอให้ดวงวิญญาณอันเปี่ยมไปด้วยความดีงาม สงบบริสุทธิ์ด้วยสีลาทิคุรในพระพุทธศาสนายาวนานถึง 72 พรรษาของหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูงสุด จงไปสู่สัคคาลัย ได้สถิติอยู่ด้วยปรมสันติสุขในวิสุทธิวิมานเถิด
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.konmeungbua.com/teacher/t...gpo_jong2.html

    ภาคผนวก
    บารมีทางวิทยาคม
    หลวงพ่อจงให้หวยแม่น
    ได้มีการเล่าบอกกล่าวกันว่า...
    หลวงพ่อเมี้ยน เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ ตำบลกบเจา อำเภอบางบาล จังหวัดอยุธยา (ได้มรณภาพไปแล้ว) ท่านได้ศึกษาวิชาการประสานกระดูกและการรักษาโรคภัยต่าง ๆ มาจากหลวงพ่อเมี้ยน วัดพระเชตุพน ฯ หรือ วัดโพธิ์ ท่าเตียน จนสามารถใช้วิชานี้สงเคราะห์ผู้คนทั่วไปได้ แต่เมื่อท่านได้ครองเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ กบเจา ก็มีความเลื่อมใสในวิชากัมมัฏฐานตามแนวทางของหลวงพ่อจง และเมื่อได้ศึกษาต่อไปจึงได้ทราบว่าหลวงพ่อจงนั้นมีฌานพิเศษที่สามารถล่วงรู้เหตุการณ์เบื้องหน้าได้ ก็เลยอยากลองเรียนวิชานี้ จึงได้ตัดสินใจที่จะไปลองสอบถามดู แต่การถามเหตุการณ์เบื้องหน้านั้นไม่มีอะไรที่จะพิสูจน์ได้แน่นอนเท่ากับการขอหวย เพราะการให้หวยนั้นจะเท็จจริงประการใดก็รู้กันได้ในไม่กี่วัน
    เมื่อตกลงใจดังนั้นในวันต่อมาหลวงพ่อเมี้ยนจึงได้เดินทางไปพบหลวงพ่อจงที่วัดหน้าต่างนอก เมื่อได้พบหลวงพ่อจง จึงได้เข้าไปนมัสการและสนทนาสอบถามท่านถึงเรื่องต่าง ๆ แล้วจึงวกเข้าสู่เรื่องที่ท่านต้องการทราบ
    "หลวงพ่อ เรื่องการให้หวยนั้นทำได้จริง ๆ หรือขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนถามขึ้น
    "จ้ะ เขามีจริง ๆ" หลวงพ่อจงตอบสั้น ๆ
    "ผมอยากจะขอลองดู" หลวงพ่อเมี้ยนกล่าวต่อ
    "จะลองดูก็ได้ รอเดี๋ยวนะ" หลวงพ่อจงตอบ แล้วท่านก็ลุกออกจากอาสนะที่รับแขก เดินหายเข้าไปในกุฎิใหม่เพียงชั่วครู่ แล้วก็เดินออกมาพร้อมกับกระดาษแผ่นเล็ก ๆ แผ่นหนึ่ง ท่านส่งกระดาษแผ่นนั้นให้กับหลวงพ่อเมี้ยน หลวงพ่อเมี้ยนรับกระดาษแผ่นนั้นไว้แล้วก็มิได้เปิดดูเพียงแต่ยัดลงไว้ในย่ามและอยู่คุยกับหลวงพ่อจงอีกสักครู่หนึ่งก็ลากลับ
    หลังจากที่หลวงพ่อเมี้ยนเอากระดาษแผ่นนั้นใส่ย่ามและเดินกลับวัดแล้วก็เหมือนกับมีอะไรมาดลใจให้ท่านมิได้นึกถึงกระดาษแผ่นนี้อีกเลย เมื่อกลับมาถึงวัดโพธิ์ กบเจา ท่านก็ได้แต่ทำกิจอื่น ๆ มิได้นึกถึงเรื่องราวที่ไปขอหวยหลวงพ่อจงมา จนกระทั่งเย็นวันหวยออก (ในสมัยนั้นหวยออกตอนเย็น) พอท่านได้ทราบว่าหวยออกเลขอะไรแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าหลวงพ่อจงได้ให้กระดาษมาแผ่นหนึ่งในวันที่ท่านไปขอหวย จึงไปค้นหากระดาษแผ่นนั้นในย่าม เมื่อพบและคลี่กระดาษนั้นออกดูก็ปรากฏว่ามีเลขสามตัวเขียนเรียงกันอยู่ และที่น่าประหลาดยิ่งนักก็คือเลขทั้งสามตัวนั้นตรงกับเลขท้ายรางวัลที่หนึ่งมิได้ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย
    เมื่อเป็นเช่นนั้นหลวงพ่อเมี้ยนก็แน่ใจว่าหลวงพ่อจงมีญาณพิเศษในการรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าอยู่จริง แต่ก็ยังอยากจะลองให้หายสงสัย ในวันรุ่งขึ้นจึงเดินทางไปหาหลวงพ่อจงแต่เช้า เพื่อจะทดลองท่านอีก เมื่อไปถึงหลวงพ่อจงก็ถามว่า
    "รวยไหม"
    "ไม่ได้แทงเลยขอรับ เพราะพอได้ไปแล้วก็ลืม" หลวงพ่อเมี้ยนตอบ
    "จะขอใหม่ใช่ไหม" ท่านหยั่งรู้ใจหลวงพ่อเมี้ยนโดยที่หลวงพ่อเมี้ยนยังไม่ทันบอก
    "อยากลองใหม่ขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนตอบ
    "รอเดี๋ยว จะไปเอามาให้" หลวงพ่อจงตอบพร้อมกับลุกเข้าไปในกุฎิใหญ่เหมือนครั้งที่แล้ว เพียงชั่วครูก็ออกมาพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่งและส่งให้หลวงพ่อเมี้ยน เมื่อหลวงพ่อเมี้ยนได้รับกระดาษแผ่นนั้นแล้วก็ขอลากลับ และนับตั้งแต่วันนั้นหลวงพ่อเมี้ยนก็มิได้ใส่ใจกับเรื่องกระดาษที่หลวงพ่อจงให้มาอีกเลย จนกระทั่งหวยออกไปแล้ว จึงนึกขึ้นได้ว่าหลวงพ่อจงให้กระดาษมาแผ่นหนึ่ง จึงไปค้นในย่ามก็พบกระดาษแผ่นนั้น พอเปิดออกมาดู หลวงพ่อเมี้ยนกลับมีความประหลาดใจยิ่งขึ้นกว่าครั้งก่อน เพราะครั้งนี้หลวงพ่อจงเขียนเลขมาให้สองแถว แถวแรกเป็นเลขสามตัว แถวที่สองเป็นเลขสองตัว และปรากฏว่าเลขสามตัวนั้นก็ตรงกับเลขท้ายรางวัลที่ 1 ส่วนเลขสองตัวของหวยงวดนั้นมิได้ผิดเพี้ยนเลย คือเลขรางวัลออกอย่างไร ตัวเลขที่หลวงพ่อจงให้มาก็เป็นอย่างนั้น
    เมื่อผลออกมาว่าหวยที่หลวงพ่อจงเขียนใส่กระดาษให้หลวงพ่อเมี้ยนมานั้น เป็นเลขที่ตรงกับเลขท้ายสามตัวของรางวัลที่ 1 และตรงกับรางวัลเลขท้ายสองตัว โดยมิได้ผิดเพี้ยน ทำให้หลวงพ่อเมี้ยนเชื่อแน่ว่า วิชาการให้หวยของหลวงพ่อจงนั้นเป็นของแท้จริงยิ่งนัก แต่ก็อยากจะลองอีกเป็นครั้งที่สามเพื่อให้แน่แก่ใจ ดังนั้นในตอนเช้ามืดของวันต่อมา หลวงพ่อเมี้ยนจึงได้เดินทางมาที่วัดหน้าต่างนอกอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมาถึงและได้พบหลวงพ่อจงแล้วนั้น ท่านก็ได้ถามหลวงพ่อเมี้ยนเหมือนครั้งก่อนว่า
    "รวยไหมล่ะ"
    "ไม่ได้แทงเลยขอรับ เพราะลืมเสียสนิท" หลวงพ่อเมี้ยนตอบท่านไปอย่างนั้น แล้วก็พูดกับหลวงพ่อจงต่อไปว่า
    "อยากจะลองอีกครั้ง"
    "ได้จ้ะ คราวนี้ยากหน่อยนะ" หลวงพ่อจงพูดกับหลวงพ่อเมี้ยนอย่างนั้น เมื่อพูดจบหลวงพ่อจงก็เดินหายเข้าไปในกุฏิใหญ่เหมือนครั้งก่อน ๆ แต่คราวนี้ท่านหายเข้าไปในนั้นนานพอสมควร จึงได้ออกมาจากกุฏิใหญ่ แล้วก็บอกกับหลวงพ่อเมี้ยนว่า "หยิบเอาเองอยู่ที่นั่น" ท่านพูดพร้อมกับชี้มือไปที่ศีรษะของโครงกระดูกตาเอี่ยม ซึ่งแขวนติดอยู่กับฝากุฏิ หลวงพ่อเมี้ยนจึงเดินไปที่โครงกระดูกนั้น ก็เห็นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ พับสอดไว้ตรงด้านหลังกะโหลกศีรษะ หลวงพ่อเมี้ยนหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาแล้วก็เอาใส่ไว้ในย่าม โดยมิได้เปิดดูว่าในกระดาษแผ่นนั้นเขียนอะไรไว้บ้าง จากนั้นหลวงพ่อเมี้ยนได้อยู่คุยกับหลวงพ่อจงอีกครู่หนึ่งจึงได้ลากลับ
    เมื่อกลับไปถึงวัดโพธิ์ กบเจา หลวงพ่อเมี้ยนก็กระทำกิจต่าง ๆ ตามปกติ แล้วก็ลืมเรื่องราวที่ไปขอหวยมาจากหลวงพ่อจงเสียสิ้น จนหลังจากวันหวยออกจึงนึกขึ้นได้ว่าหลวงพ่อให้กระดาษมาแผ่นหนึ่ง ซึ่งท่านได้เอาใส่ย่ามไว้ หลวงพ่อเมี้ยนได้รีบขึ้นไปบนกุฏิและค้นหากระดาษแผ่นนั้นในย่าม ซึ่งปรากฏว่ายังอยู่ในสภาพเดิมทุกประการ หลวงพ่อเมี้ยนจึงรีบคลี่ออกดูก็พบว่าในกระดาษแผ่นนั้นมีลายมือของหลวงพ่อจงเขียนตัวเลขเรียงกันไว้หกตัว และสิ่งที่ทำให้หลวงพ่อเมี้ยนบังเกิดความศรัทธาในหลวงพ่อจงทวีคูณก็คือ ตัวเลขทั้งหกตัวในกระดาษแผ่นนั้น ตรงกับเลขสลากรางวัลที่ 1 ในงวดนั้นทุกตัวเรียบกันไปตั้งแต่ต้นจนตัวสุดท้าย (สมัยนั้นสลากกินแบ่งรัฐบาลก็มีเลขหกตัว)
    สิ่งที่ประจักษ์อยู่กับตาในเวลานั้น ทำให้หลวงพ่อเมี้ยนเชื่อมั่นยิ่งนัก ว่าวิชาการให้หวยหรือการล่วงรู้เหตุการณ์ภายหน้าของหลวงพ่อจงนั้นล้ำเลิศนัก เพราะท่านได้เห็นแจ้งมากับตาถึงสามครั้งสามหน ครั้นวันรุ่งขึ้นหลวงพ่อเมี้ยนจึงเดินทางไปที่วัดหน้าต่างนอกอีกครั้งหนึ่ง หลวงพ่อจงท่านก็ถามขึ้นเหมือนดั่งรู้ความในใจของหลวงพ่อเมี้ยนว่า
    "อยากจะลองเรียนดูหรือ"
    "ขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนตอบรับ แต่ในใจนึกก็เกิดความปิติที่หลวงพ่อจงได้ล่วงรู้ความตั้งใจที่ท่านเองมิได้บอกกล่าว
    "รอเย็น ๆ นะ" หลวงพ่อจงพูด เพราะขณะนั้นมีผู้คนอีกมากมายที่รอพบท่านอยู่
    เมื่อหลวงพ่อจงว่างจากการรับแขก ในตอนพลบค่ำ หลวงพ่อเมี้ยนจึงได้เข้าพบ หลวงพ่อจงได้พาหลวงพ่อเมี้ยนเข้าไปในกุฏิใหญ่ แล้วให้หลวงพ่อเมี้ยนนั่งลงตรงหน้าโครงกระดูกตาเอี่ยม ณ ที่นั้นเองหลวงพ่อจงก็เริ่มสอนให้หลวงพ่อเมี้ยนเรียนวิชาให้หวยหรือการล่วงรู้เหตุการณ์เบื้องหน้า
    หลวงพ่อจงเริ่มสอนด้วยการให้หลวงพ่อเมี้ยนนั่งสมาธินำจิตเข้าอสุภกัมมัฏฐาน เพ่งจิตเข้าสู่โครงกระดูกตาเอี่ยมแล้วภาวนา "อะระหัง" ทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อหลวงพ่อเมี้ยนนั่งกัมมัฏฐานได้สักครู่หนึ่งหลวงพ่อจงก็ถามว่า
    "ติดตาไหม"
    "ไม่ติดขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนตอบ
    "งั้นลองใหม่" หลวงพ่อจงพูดต่อไป เมื่อหลวงพ่อเมี้ยนเข้ากัมมัฏฐานสักครู่หนึ่ง หลวงพ่อจงก็ถามอีกว่า
    "ติดตาหรือยัง"
    "ยังขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนตอบ
    "งั้นตามมานี่" หลวงพ่อจงบอกให้หลวงพ่อเมี้ยนลุกออกมาจากหน้าโครงกระดูกตาเอี่ยม เดินตาม่านเข้าไปยังหน้าพระพุทธรูปซึ่งตั้งประดิษฐานอยู่ในกุฏิใหญ่ แล้วก็ให้หลวงพ่อเมี้ยนนั่งเข้ากัมมัฏฐานที่หน้าพระพุทธรูปนั้น เมื่อหลวงพ่อเมี้ยนเข้ากัมมัฏฐานได้สักครู่หนึ่ง หลวงพ่อจงก็ถามว่า "คราวนี้ติดตาไหม"
    "ติดตาแล้วขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนตอบ
    "งั้นเริ่มต้นใหม่นะ" หลวงพ่อจงบอกต่อไป "เมื่อติดตาแล้วก็ทำจิตให้สูงขึ้น เหมือนกับเราขึ้นไปอยู่บนยอดไม้ ย่อมมองเห็นโคนต้นไม้นั่นแหละ"
    นับตั้งแต่ที่หลวงพ่อจงพูดว่า "ทำจิตให้สูงขึ้น เหมือนกับที่เราขึ้นไปอยู่บนยอดไม้ย่อมมองเห็นโคนต้นไม้นั้น" หลวงพ่อเมี้ยนก็เริ่มฝึกปฏิบัติต่อไป จนกระทั่งนิมิตเห็นตัวเลขลอยขึ้นทีละตัว ๆ จนกระทั่งครบหกตัว แล้วตัวเลขทั้งหกนั้นจากเดิมที่เป็นสีขาวก็จะกลับกลายเป็นสีทองสุกสกาว ในขณะนั้นเองหลวงพ่อจงก็ถามว่า
    "เห็นแล้วใช่ไหม"
    "เห็นแล้วขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนตอบ
    "นั่นแหละเป็นของที่เราเห็นได้ แต่มันเป็นกิเลส เป็นลาภจร ไม่ควรนำไปบอกใคร" หลวงพ่อจงสอนเป็นอนุสติ
    "ขอรับ" หลวงพ่อเมี้ยนรับคำ
    พอรุ่งเช้า หลวงพ่อเมี้ยนก็เข้าไปลาหลวงพ่อจงแต่เช้าตรู่ เมื่อตอนที่ลานั้นหลวงพ่อจงก็สั่งกำชับอีกว่า "พูดไม่รู้ รู้ไม่พูด"
    เมื่อกลับไปถึงวัดโพธิ์ กบเจา แล้ว หลวงพ่อเมี้ยนก็ฝึกปฏิบัติตลอดมา จนกระทั่งจิตเข้าสมาธิได้รวดเร็ว เห็นตัวเลขได้ในเวลาไม่นานนักและปรากฏว่าตัวเลขที่เห็นนั้นตรงกับเลขรางวัลที่ 1 ทุกครั้ง
    หลวงพ่อจงนั้นท่านมีอุบายในการทดสอบจิตใจคนแยบยลนัก ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อบอกตัวเลขให้ทีไร พอหวยออกแล้วก็ต้องถามทุกทีไปว่า "รวยไหม" เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง และท่านยังได้ทดสอบคนเป็นขั้นเป็นตอน คือครั้งแรกให้ไปเพียงสามตัวก่อน ซึ่งเป็นเลขที่ตรงกับเลขท้ายรางวัลที่ 1 พอหลวงพ่อเมี้ยนสงบจิตใจได้ไม่เกิดความโลภ มิได้นำเลขนั้นไปแทงหวย ท่านก็ให้ครั้งที่สอง ซึ่งเป็นเลขท้ายรางวัลที่ 1 และเลขท้ายสองตัว ซึ่งถ้านำไปแทงหวยก็จะได้เงินมากขึ้น แต่เมื่อให้ไปสองครั้งแล้วหลวงพ่อเมี้ยนก็ยังไม่บังเกิดความโลภในจิต ท่านจึงได้ให้ครั้งที่สาม ซึ่งเป็นเลขรางวัลที่ 1 ถ้านำไปแทงถูกก็จะได้รางวัลเป็นเงินหลายแสนบาท (ในสมัยนั้น) ซึ่งหลวงพ่อเมี้ยนก็ผ่านการทดสอบจิตใจที่เกี่ยวกับความอยากหรือกิเลสไปได้ ถ้าหากในครั้งนั้นหลวงพ่อเมี้ยนได้ตัวเลขแล้วเอาไปแทงหวย หลวงพ่อจงก็คงไม่บอกในครั้งต่อ ๆ มา และในครั้งที่สามหรือครั้งสุดท้ายนั้น หลวงพ่อจงได้บอกว่า "คราวนี้ยากหน่อยนะ" แล้วเอากระดาษไปสอดไว้ที่โครงกระดูกตาเอี่ยม และให้หลวงพ่อเมี้ยนไปหยิบเอา ท่านก็คงจะหมายเอาว่า หลวงพ่อเมี้ยนมีจิตใจที่เข็มแข็งพอที่จะเรียนวิชาแขนงนี้ได้หรือไม่ เพราะการฝึกฝนวิชานี้ต้องเริ่มต้นที่การพิจารณาโครงกระดูกก่อน เมื่อหลวงพ่อเมี้ยนผ่านการทดสอบจิตใจในเบื้องต้นแล้ว จึงได้รับการสอนวิชาการให้หวยหรือการล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า
    เรื่องราวเกี่ยวกับปาฏิหาริย์ของวัตถุมงคลของหลวงพ่อจงได้เกิดประสบการณ์ให้เห็นเมื่อคราวที่เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ตลาดบ้านแพน อำเภอเสนา ในคืนวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2529
    หลังจากยามท้องถิ่นของตลาดบ้านแพนเคาะแผ่นเหล็กบอกเวลา 24.00 น. ผ่านไปเพียงชั่วครู่เดียวก็มีเสียงตะโกนขึ้นจากผู้คนที่มีบ้านเรือนอยู่ในซองบางปูว่า "ไฟไหม้ ๆๆ" จากเสียงตะโกนนั้นเองได้สร้างความโกลาหลขึ้นโดยทั่วไป ในขณะเดียวกันที่เปลวไฟลุกขึ้นอย่างโชติช่วงนั้น เสียงปะทุจากเชื้อเพลิงก็ดังเปรี๊ยะ ๆ ติดต่อกันมิได้ขาดระยะ เพราะย่านนั้นเป็นเรือนไม้เก่า ๆ ย่อมเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี กว่าจะสกัดให้เปลวไฟสงบลงได้ก็เมื่อเวลาใกล้ฟ้าสางแล้ว จากการสำรวจความเสียหายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ปรากฏว่ามีบ้านเรือนเสียหายทั้งสิ้น 46 หลัง ค่าเสียหายประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นการสูญเสียจากไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่สุดของตลาดบ้านแพน
    เมื่อทุกอย่างสงบเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่ามีบ้านเรือนจำนวนหนึ่งรอดพ้นจากความพินาศไปได้ ทั้ง ๆ ที่บ้านเหล่านั้นอยู่ติดกับบ้านหลังอื่น ๆ ที่ถูกไฟเผาผลาญไปหมดแล้ว
    คุณแก้ว ขมคิ้ว เจ้าของร้านขายของชำและอาหารกระป๋องที่ชื่อร้าน "แก้ว" ตั้งอยู่บ้านเลขที่ ก. 437/2 ตรงข้ามตลาดสดเทศบาลเมืองเสนา ในบ้านของคุณแก้วนอกจากจะมีภาพแววหางกระยางของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ นครสวรรค์แล้ว คุณแก้วยังเป็นผู้ที่มีความศรัทธาเชื่อมั่นในหลวงพ่อจงยิ่งนัก ดังจะเห็นได้จากการที่คุณแก้วห้อยเหรียญหลวงพ่อจงรุ่นหยดน้ำเนื้อเงินลงถม อยู่ที่คอเป็นประจำเพียงเหรียญเดียว ทั้ง ๆ ที่คุณแก้วก็เป็นนักนิยมพระ และมีพระเครื่องอื่น ๆ จำนวนไม่น้อย แต่คุณแก้วก็ห้อยเหรียญหลวงพ่อจงเพียงเหรียญเดียว
    "เหรียญหลวงพ่อจงนั้นเมตตามหานิยมและแคล้วคลาดดีนัก ห้อยเพียงเหรียญเดียวก็พอ" และความเชื่อในเรื่องนี้ก็ปรากฏเป็นจริงขึ้นเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ครั้งนี้ ดังรายละเอียดที่คุณแก้วได้เล่าให้ฟัง คือ...
    หลังจากที่คุณแก้วเข้านอนได้สักพักใหญ่ ๆ ก็ต้องตกใจตื่นเมื่อได้ยินเสียงเอะอะอึกทึกที่ข้างบ้านพร้อมกับมีเสียงตะโกนว่า "ไฟไหม้ ๆๆ" คุณแก้วจึงรีบถลันออกไปดูที่หน้าต่างด้านหลังบ้าน ก็ได้เห็นเปลวไฟกำลังลุกฮือขึ้นที่บ้านไม้หลังหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับด้านหลังบ้าน เมื่อเห็นภัยกำลังจะมาถึงตัว คุณแก้วจึงรีบเก็บข้าวของสำคัญที่มีค่าเพื่อหนีไฟเสียก่อน ด้วยอารามตกใจภรรยาของคุณแก้วจึงหยิบโน่นคว้านี่ที่เป็นของจำเป็นและมีค่าพอที่จะหยิบฉวยได้ใส่ห่อผ้าเพื่อจำได้นำติดตัวหนีไฟไปด้วย ส่วนคุณแก้วนั้นก็ย้อนกลับไปดูทิศทางของไฟอีกครั้งหนึ่ง ก็พบว่าในช่วงเวลา 2 - 3 นาทีนั่นเอง บ้านไม้หลังที่เป็นต้นเพลิงก็ถูกไฟไหม้จนท่วมหลังคา คุณแก้วคิดว่าคราวนี้บ้านของเขาคงไม่อาจพ้นภัยได้แน่ จึงย้อนกลับเข้าไปในห้องช่วยภรรยาเก็บข้าวของต่าง ๆ ที่พอจะหยิบฉวยได้ทันใส่ห่อผ้า เพื่อรีบพากันหนีไฟออกจากบ้าน แต่ด้วยสัญชาตญาณของคนไทย เมื่อมีภัยถึงตัวก็ย่อมจะต้องระลึกถึงคุณพระคุณเจ้าเป็นที่พึ่ง คุณแก้วจึงหันหน้ากลับไปยังห้องนอนพร้อมกับยกมือขึ้นพนมรำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อันมีหลวงพ่อจงและหลวงพ่อปานเป็นที่สุด ตลอดจนบุพการีทั้งหลายที่ได้ล่วงลับไปแล้ว ขอให้คุ้มครองตนเองและครอบครัว พร้อมทั้งทรัพย์สินให้พ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ด้วยเถิด เมื่อได้รำลึกถึงคุณพระคุณเจ้าเสร็จแล้ว คุณแก้วและภรรยาจึงรีบลงมาจากห้องนอนซึ่งอยู่ชั้นบน ขณะนั้นเองเปลวไฟก็ลามเลียเข้ามาทางหน้าต่างชั้นบนด้านหลังบ้าน ความรุนแรงของไฟลุกลามมาถึงบันไดที่จะลงสู่ชั้นล่าง ทั้งคุณแก้วและภรรยาจึงรีบวิ่งฝ่าเปลวไฟลงสู่ชั้นล่าง พอลงมาถึงชั้นล่าวได้ คุณแก้วจึงรีบเปิดประตูเหล็กหน้าร้านให้ภรรยาซึ่งถือห่อของมีค่าอยู่หลบออกไปก่อนเพื่อนำสิ่งของเหล่านั้นไปฝากบ้านญาติ ส่วนคุณแก้วก็ตามออกมาภายหลัง ในช่วงเวลาอันฉุกละหุกนั้นเองทั้งคุณแก้วและภรรยาก็มิได้คำนึงถึงทรัพย์สินและสินค้าที่อยู่ในร้านปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ขอเพียงแต่ตนเองรอดชีวิตออกไปได้ก็พอแล้ว เมื่อทั้งคู่ออกมาพ้นบ้านแล้ว คุณแก้วก็จัดการปิดประตูเหล็กทันที เพื่อป้องกันบรรดานักฉวยโอกาสทั้งหลาย ในขณะที่ปิดประตูเหล็กลงนั้น คุณแก้วก็ได้พบว่ามีกระแสลมโชยมาเป็นระลอกใหญ่ กระแสลมนั้นพัดมาจากทางด้านหลังของคุณแก้ว และความแรงของลมได้พัดพาเอากระแสเปลวไฟย้อนกลับไปยังทิศทางตรงข้าม เหตุการณ์ดังว่านั้นคุณแก้วก็ยังมิได้สนใจมากนัก เร่งให้ภรรยารีบหนีไปก่อน ส่วนตนเองจะได้คอยดูแลร้านและช่วยเหลือกันดับไฟเท่าที่จะทำได้จากนั้นคุณแก้วก็ไปช่วยเขาถือสายดับเพลิงจากรถดับเพลิงของเทศบาลที่จอดอยู่ในบริเวณนั้น ในขณะที่ช่วยเขาดับเพลิงอยู่นั้น คุณแก้วก็ได้สังเกตเห็นว่ารังสีของเปลวไฟได้ผ่านพ้นบ้านตนเองไปแล้ว จึงได้แต่ช่วยกันดับไฟอยู่จนกระทั่งไฟสงบเอาเมื่อตอนใกล้สาง
    หลังจากนั้นคุณแก้วก็เข้าไปสำรวจความเสียหายในบ้านของตนเอง ก็ปรากฎว่าฝาบ้านด้านข้างถูกไฟลามเลียจนดำไปหมด ส่วนด้านหลังบ้านซึ่งอยู่ติดกับบ้านต้นเพลิงถูกเปลวไฟเผาเสียหายเล็กน้อย ทั้งทรัพย์สินและสินค้ามิได้เสียหายเลย ทุกอย่างยังอยู่ในสภาพเดิม แม้แต่น้ำจากท่อดับเพลิงก็มิได้เข้ามาทำให้สิ่งใดในบ้านเปียกชื้นเลย ครั้งเมื่อทุกอย่างคงอยู่ในสภาพเดิม คุณแก้วก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนนอนได้ถอดสร้อยคอทองคำซึ่งห้อยเหรียญหลวงพ่อจงรุ่นหยดน้ำเนื้อเงินลงถมวางไว้ที่หัวนอน แต่ในขณะนั้นไม่มีเสียแล้ว ทำให้เกิดใจเสียขึ้นมาทันที เพราะเป็นวัตถุมงคลเพียงอย่างเดียวที่ตนเองห้อยติดตัวเป็นประจำ ยังไม่รู้ว่าถูกผู้คนหยิบฉวยหรือตกหายในระหว่างฉุกละหุกเสียที่ไหน จึงได้แต่อธิษฐานในว่า "ถ้าบารมีของหลวงพ่อจงคุ้มครองลูกอยู่ก็ขออย่าให้ของนั้นสูญหายไปไหน จงได้คุ้มครองลูกตลอดไปด้วยเถิด"
    เมื่อคุณแก้วได้พบกับภรรยาหลังจากที่ทุกอย่างสงบลงแล้ว จึงสอบถามเรื่องสร้อยคอที่แขวนเหรียญหลวงพ่อจงอยู่ซึ่งภรรยาของคุณแก้วก็ไม่สามารถให้คำตอบที่กระจ่างได้ เพราะความสับสนในคืนนั้น จนกระทั่งในเวลาต่อมา คุณแก้วและภรรยาก็ช่วยกันจัดข้าวของต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ให้เข้าที่ และเมื่อแก้ห่อผ้าที่ห่อข้าวของต่าง ๆ หนีไฟนั้นออก ก็ได้พบสร้อยคอเส้นนั้นซุกอยู่ในหอผ้านั้นเอง ทำให้คุณแก้วมีความปีติเป็นอย่างยิ่ง
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 11 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 9 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, chaiwan103 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ดึกมากแล้วยังเยอะเลยครับ

    อ่านให้สนุกนะครับ ผมไปนอนแล้วครับ

    โมทนาสาธุครับ
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10901

    โลหะปราสาท พุทธศิลป์ ความงามหนึ่งเดียวในโลก


    โดย พงศ์ภัค อรมุต

    http://matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01pra02140151&day=2008-01-14&sectionid=0131

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>บนถนนราชดำเนิน ถนนที่กล่าวกันว่าเป็นถนนสายที่สวยที่สุดสายหนึ่ง ก่อสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 บรรดาอาคารโดยรอบยังคงรูปลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมสไตล์ ตะวันตกที่สวยสดงดงาม และได้รับการอนุรักษ์ไว้ในระดับหนึ่ง

    ทว่าในความงดงามของอาคารเหล่านั้น ยังมีโบราณสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของชาติไทยที่มีการก่อสร้างยาวนานที่สุดถึง 160 ปี และอาจจะเรียกได้ว่ามีเพียงแห่งเดียวในโลก นั่นก็คือ "โลหะปราสาท"

    คำว่า "โลหะปราสาท" (Lohaprasada) เป็นชื่อดั้งเดิมของอินเดีย เรียกมาแต่ครั้งพุทธกาล สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพประทานความหมายว่า "ตึกที่มียอดเป็นโลหะ"

    "โลหะปราสาท" วัดราชนัดดารามวรวิหาร เป็นพุทธสถานที่สำคัญองค์ที่ 3 ของโลก ที่เหลืออยู่เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย ด้วยพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นพร้อมกับวัดราชนัดดารามวรวิหาร ด้วยทรงมีพระราชประสงค์ให้สร้างขึ้นแทนการสร้างเจดีย์ เหมือนเช่นพระอารามอื่น

    ดำเนินการก่อสร้างโดย สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัต บุนนาค) ขณะยังเป็น พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา ได้รับมอบหมายจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้เป็นแม่กองดำเนินการก่อสร้าง นับจากพุทธศักราช 2389 จวบจนแล้วเสร็จในพุทธศักราช 2550 เป็นเวลากว่า 160 ปี

    โลหะปราสาทตามแบบสถาปัตยกรรมไทย มีลักษณะที่โดดเด่น ประกอบด้วยอาคารขนาดใหญ่สูง 7 ชั้น ลดหลั่นกันตามลำดับ มีทางขึ้นเป็นบันไดเวียนตรงใจกลางอาคาร หลังคาเป็นยอดปราสาทรวมเป็น 37 ยอด ซึ่งหมายถึง หลักธรรมตามพระพุทธศาสนา 37 ประการ อันเป็นปัจจัยให้ดำเนินไปสู่การหลุดพ้นเข้าสู่ดินแดนพระนิพพานที่เรียกว่า "โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ" <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    37 ยอด จึงน้อมใจให้ผู้ที่มีจิตศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาเข้ามาปฏิบัติธรรมตามหลักโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ เพื่อเป็นหลักสำคัญในการดำเนินชีวิตอย่างมีสติ มีเหตุ และมีผลตามวิถีในการดำเนินชีวิตแห่งพระพุทธศาสนา

    ตามตำนานการสร้างโลหะปราสาท หลังแรกสร้างขึ้นในประเทศอินเดียตั้งแต่พุทธกาล โดยนางวิสาขา มีลักษณะเป็นปราสาทสูง 2 ชั้น มีห้องรวม 1,000 ห้อง ยอดปราสาทสร้างด้วยทองคำ

    ทั้งนี้ อาคารดังกล่าวไม่ได้เรียกว่าโลหะปราสาทมาตั้งแต่ต้น แต่ถูกเรียกว่า "มิคารมาตุปราสาท" ตามสมญานามของ นางวิสาขา ที่ได้ชักชวนให้มิคารเศรษฐีสหายของบิดา และเป็นบิดาของสามี หันมานับถือพุทธศาสนาและมิคารเศรษฐีได้เกิดความปลื้มปีติสำนึกคุณและได้ยกย่องนางวิสาขาเปรียบเสมือนมารดาของตน

    ปัจจุบันโลหะปราสาทหลังนี้สูญหายไปหมดแล้ว

    โลหะปราสาทหลังที่ 2 สร้างราวพุทธศักราช 382 โดย "พระเจ้าทุฏคามนี" กษัตริย์แห่งกรุง อนุราธปุระ ณ เกาะลังกา ลักษณะเป็นอาคารผังรูปจัตุรัส มีด้านกว้าง ยาว และสูงเท่ากันด้านละ 100 ศอก สูง 9 ชั้น มีห้อง 1,000 ห้อง หลัง คามุงด้วยแผ่นทองแดง

    ตามตำนานระบุว่า โลหะปราสาทหลังที่ 2 ประดับประดาผนังด้วยงาช้างและอัญมณี ซึ่งเกิดจากการเนรมิตโดยเทพยดา ต่อมา โลหะปราสาทหลังนี้ถูกเพลิงไหม้ พระเจ้าสัทธาติสสะจึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใหม่บนที่เดิมโดยมีความสูง 7 ชั้น <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ปัจจุบันโลหะปราสาทหลังนี้เหลือเพียงซากฐานและเสาเท่านั้น

    สำหรับโลหะปราสาทในประเทศไทยใน พ.ศ. 2538 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมสารีริกธาตุเพื่อบรรจุไว้ ณ บุษบกของโลหะปราสาท เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้สักการบูชา เนื่องในมหามงคลสมัยในปีกาญจนาภิเษก ฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี

    ด้วยเหตุนี้เอง ภายหลังจากพระราชพิธีดังกล่าวเสร็จสิ้นลง หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชนก็ได้ร่วมกันทำนุบำรุง รวมทั้งอนุรักษ์ "โลหะ ปราสาท" พุทธสถาปัตยกรรมแห่งนี้เรื่อยมา

    การดำเนินงานบูรณปฏิสังขรณ์โลหะปราสาท ซึ่งกรมศิลปากรได้รับมอบหมายให้ดูแลงานด้านศิลปสถาปัตยกรรม โดยมุ่งเน้นให้มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมและคุณค่าความหมายเชิงสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนา ตามพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โครงการบูรณะนี้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ.2541 จนแล้วเสร็จใน พ.ศ.2550

    และในปี 2550 เป็นปีที่โครงการบูรณปฏิสัง ขรณ์โลหะปราสาทแล้วเสร็จ และยังเป็นปีแห่งมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    ทางกรมศิลปากร โดยสำนักศิลปกรรมจึงได้จัดกิจกรรมเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความเป็นมาของโลหะประสาท และขั้นตอนของการบูรณปฏิ สังขรณ์ โดยจัดทำเป็นนิทรรศการชั่วคราวขึ้นภาย ในบริเวณวัดราชนัดดาวรวิหาร และนิทรรศการถาวรซึ่งจะติดตั้งอยู่ภายในองค์โลหะปราสาท

    เกรียงไกร สัมปัชชลิต อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า แม้ว่านิทรรศการชั่วคราวจะสิ้นสุดไปแล้ว แต่ผู้ที่สนใจยังสามารถเข้าไปชมนิทรรศการถาวรได้ที่ภายในองค์โลหะประสาท โดยจัดทำเรื่อง "โลหะปราสาท : เอกพุทธศิลป์สถาปัตย์ แห่งการสืบสานพระราชปณิธาน" เพื่อให้เห็นถึงความสำคัญในฐานะที่โลหะปราสาทเป็นศาสนสถานที่มีประวัติการก่อสร้างมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่รัชกาลที่ 3 - จนแล้วเสร็จในรัชกาลปัจจุบัน

    นิทรรศการดังกล่าวมีแนวคิดการจัดแสดงเพื่อนำเสนอรูปแบบการทำงานและมุมมองของช่างผู้ดำเนินการบูรณะในช่วงสุดท้าย คือสำนักสถาปัตย กรรม กรมศิลปากร แบ่งเนื้อหาเป็นหัวข้อดังนี้

    โลหะปราสาท-เอกพุทธศิลป์สถาปัตย์ กล่าวถึงพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาของรัชกาลที่ 3 ความหมาย ความเป็นมาและประวัติการสร้างโลหะปราสาทในประเทศไทย ตลอดจนความเป็นเอกพุทธศิลป์สถาปัตย์ของโลหะปราสาทจากแรกสร้างจนแล้วเสร็จ กล่าวถึงแนวคิดและขั้นตอนการบูรณะองค์โลหะปราสาทจนเสร็จสมบูรณ์ในสมัยรัชกาลปัจจุบัน

    ร่วมสืบสานพระราชปณิธาน เป็นการรวบรวมทรรศนะ มุมมองต่อโลหะปราสาทจากนักวิชาการ สถาปนิก วัด ชุมชนใกล้เคียง และบทความที่เขียนขึ้นเกี่ยวกับโลหะปราสาท รวมทั้งการรับข้อคิดเห็นจากผู้เข้าชมนิทรรศการ

    และในการจัดนิทรรศการถาวรจะนำเสนอในรูปแบบป้ายข้อมูลติดตั้งถาวรภายในโลหะปราสาทและบริเวณใกล้เคียง เพื่อให้ความรู้โดยสังเขปเกี่ยวกับโลหะปราสาท เป็นข้อมูลแก่นักท่องเที่ยว นักเรียน นักศึกษา และผู้ที่สนใจ

    นิทรรศการดังกล่าว มีขึ้นที่บริเวณชั้นล่างขององค์โลหะประสาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร.0-2282-0390

    แล้วจะได้ทราบถึงความเป็นมา ความสำคัญ และคุณค่าทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของโลหะปราสาท

    **************************************************

    รูปที่เกี่ยวกับตรุษจีน (ตามเว็บ)

    http://www.kapook.com/promote/chinese_newyear/glitter.php
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 01.gif
      01.gif
      ขนาดไฟล์:
      55.3 KB
      เปิดดู:
      3,280
    • 02.gif
      02.gif
      ขนาดไฟล์:
      48 KB
      เปิดดู:
      2,842
    • 03.gif
      03.gif
      ขนาดไฟล์:
      34.4 KB
      เปิดดู:
      1,870
    • 04.gif
      04.gif
      ขนาดไฟล์:
      96.1 KB
      เปิดดู:
      2,999
    • 05.gif
      05.gif
      ขนาดไฟล์:
      39.5 KB
      เปิดดู:
      2,118
    • 06.gif
      06.gif
      ขนาดไฟล์:
      18.8 KB
      เปิดดู:
      261
    • 07.gif
      07.gif
      ขนาดไฟล์:
      60.9 KB
      เปิดดู:
      2,275
    • 08-01-2008_01.gif
      08-01-2008_01.gif
      ขนาดไฟล์:
      239 KB
      เปิดดู:
      2,768
    • 08-01-2008_02.gif
      08-01-2008_02.gif
      ขนาดไฟล์:
      236.8 KB
      เปิดดู:
      2,051
    • 08-01-2008_03.gif
      08-01-2008_03.gif
      ขนาดไฟล์:
      34.2 KB
      เปิดดู:
      146
    • 08-01-2008_04.gif
      08-01-2008_04.gif
      ขนาดไฟล์:
      27 KB
      เปิดดู:
      145
    • 08-01-2008_05.gif
      08-01-2008_05.gif
      ขนาดไฟล์:
      46.2 KB
      เปิดดู:
      351
    • 08-01-2008_06.gif
      08-01-2008_06.gif
      ขนาดไฟล์:
      58.5 KB
      เปิดดู:
      273
    • 08-01-2008_07.gif
      08-01-2008_07.gif
      ขนาดไฟล์:
      214.1 KB
      เปิดดู:
      2,267
    • 08-01-2008_08.gif
      08-01-2008_08.gif
      ขนาดไฟล์:
      25.7 KB
      เปิดดู:
      166
    • 08-01-2008_10.gif
      08-01-2008_10.gif
      ขนาดไฟล์:
      329.7 KB
      เปิดดู:
      451
    • 08010802.gif
      08010802.gif
      ขนาดไฟล์:
      39.5 KB
      เปิดดู:
      252
    • 08010806.gif
      08010806.gif
      ขนาดไฟล์:
      31.9 KB
      เปิดดู:
      359
    • chinese02.gif
      chinese02.gif
      ขนาดไฟล์:
      27.3 KB
      เปิดดู:
      192
    • chinese04.gif
      chinese04.gif
      ขนาดไฟล์:
      20 KB
      เปิดดู:
      352
    • chinese05.gif
      chinese05.gif
      ขนาดไฟล์:
      24.8 KB
      เปิดดู:
      104
    • head_01.gif
      head_01.gif
      ขนาดไฟล์:
      16.8 KB
      เปิดดู:
      1,498
    • head_03.gif
      head_03.gif
      ขนาดไฟล์:
      22.1 KB
      เปิดดู:
      94
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "ให้ร่วมกันสร้าง เราจะมาโปรดสัตว์ไม่ให้สร้างคนเดียว"
    http://palungjit.org/showthread.php?t=57546&page=79

    <TABLE class=tborder id=post909127 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">10-01-2008, 06:12 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1876 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>พสภัธ<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_909127", true); </SCRIPT>
    สมาชิก ยอดนิยม
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: เมื่อวานนี้ 06:13 AM
    วันที่สมัคร: Nov 2005
    สถานที่: //////////////
    ข้อความ: 3,443 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 4,711 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 29,727 ครั้ง ใน 3,281 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 3434 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_909127 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->
    โต(กุมารน้อย) การสร้างพระอริยเจ้าดำเนินงานไปได้หลายองค์แล้ว...จะสร้างทั้งหมด 19 องค์ ตามรูปภาพที่เอามาลงนี่..หละ..นะ..จ๊ะ..
    จุดประสงค์..ต้องการให้พระเดชพระคุณท่านเหล่านี้ได้สงเคราะห์พระภิกษุสามเณร ณ. สำนักเรียนบ่อเงินบ่อทอง แห่งนี้...มีพระแม่กวนอิมแล้ว (ปางพันมือ)....พระ อ. ท่านต้องการให้ที่นี่เป็นสถานที่การศึกษาของพระเณร ให้มั้นคง..เมื่อท่านเป็นอะไรไป..คนที่มาทำงานต่อจะได้ทำได้..ไม่ต้องเอาความเป็นอยู่ไปฝากไว้กับผู้ใด....ท่านใดจะร่วมบุญก็ขอเชิญ..นะ..จ๊ะ...ตามศรัทธากำลังทรัพย์....ทั้งหมด 19 องค์ มีเจ้าภาพแล้ว 16 องค์ องค์ละ 40,000 บ.
    <!-- / message --><!-- sig -->
    ____________________________________________________________

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
  11. -๑ไร้IดีeJสา๑-

    -๑ไร้IดีeJสา๑- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +1,436
    ขออนุโมทนาครับ
    พอดีเซิจหาพ.ต.อ ชลอ อุทกภาชน์ เลยมาโพล่ที่นี่
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2551 พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่าน เรามีนัดกันในงานบุญใหญ่งานหนึ่ง ผมอยากให้ไปกันหลายๆท่านนะครับ ไปร่วมด้วยช่วยกันในงานบุญใหญ่งานนี้ อานิสงค์ที่ได้นั้น ถ้าจำไม่ผิด 15 กัปป์นะครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ผมลงประวัติของพระอริยะ ซึ่งเป็นพระอภิญญาใหญ่ ทั้ง 4 พระองค์ครับ

    [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]

    กราบ กราบ กราบ กราบ กราบ

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    คุณnongnooo นำไปทำน้ำมนต์ได้เลยนะครับ แต่ละองค์ท่านอธิษฐานจิตเดี่ยวได้อยู่แล้ว และยอดเยี่ยมด้วย แต่เรามีวัตถุมงคลที่ทั้ง 4 ท่านอธิษฐานจิตโดยใช้กสิน 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ บอกได้คำเดียวว่า สุดยอดจริงๆ

    แถมมีพระธาตุขึ้นด้วย ไม่ธรรมดาจริงๆ

    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมมีความคิดว่าจะตั้งเป็นชมรม โดยใช้ชื่อชมรมว่า "ชมรมพระวังหน้าและพระกรุวัดพระแก้ว" ผมจะไปขอให้ท่านอาจารย์ประถม และพี่ใหญ่ เป็นประธานที่ปรึกษา ส่วนประธานชมรม, เลขาธิการชมรม และส่วนอื่นๆ ไว้มาคุยกันอีกรอบ เรื่องของประธานชมรมนั้น ผมมีแนวคิดว่า จะให้คุณ นายสติ เป็นประธานชมรม เนื่องจากคุณ นายสติ เป็นผู้ที่รอบรู้ในเรื่องต่างๆเป็นอย่างดี จุดประสงค์เพื่อที่จะสืบสานและถ่ายทอดองค์ความรู้ต่างๆที่มีอยู่ให้ออกไปสู่ผู้ที่สนใจ จะได้ไม่เดินหลงทิศหลงทางกัน เห็นเป็นอย่างไรกันบ้างครับ

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    และจะเปิดรับสมัคร ท่านที่สนใจจะเข้ามาร่วมในชมรมด้วยนะครับ

    สำหรับท่านที่ยังไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน คงต้องมาคุยกันก่อน เนื่องจาก ชมรมที่จะตั้งขึ้นนี้ จะต้องไม่มีเรื่องของการซื้อ-ขาย หรือผลประโยชน์เกี่ยวกับพระพิมพ์และวัตถุมงคล

    เท่าที่เดาในตอนนี้ น่าจะมีสมาชิกชมรมประมาณ 15-20 ท่านเป็นเบื้องต้นก่อน เดาจากการที่ได้ไปพบปะพูดคุยและสังสรรค์กันเป็นประจำทุกๆเดือนครับ

    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผู้ที่เป็นสมาชิกของชมรม ผมฝากมวลสารไว้ชุดหนึ่ง ฝากพี่จิ๋วทำลูกอม ผมจะแจกสำหรับสมาชิกของชมรมด้วย สร้างใหม่แต่พลังอิทธิคุณก็ไม่เป็นสองรองใครแน่นอน แต่สำหรับท่านที่ไม่ได้เป็นสมาชิกชมรม ผมคงไม่ได้มอบให้ครับ

    มวลสารที่ทำนั้น เป็นมวลสารที่ผ่านพิธีมหาพุทธาภิเษกในวันเสาร์ห้า เดือนเมษายน 2550 และมีมวลสารที่ผ่านการอธิษฐานจิตโดยหลวงปู่สุภา กันตสีโล ,หลวงปู่ทองดี อนีโฆ ด้วยครับ
    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 14 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 10 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, narongwate, nongnooo+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สำหรับท่านที่ไม่ได้เป็นสมาชิกเว็บพลังจิต และมีความประสงค์ที่จะเป็นสมาชิกชมรม ผมรบกวนให้สมัครสมาชิกเว็บพลังจิต แล้วเข้ามาคุยกันบนบอร์ดก่อน เมื่อถึงเวลา ผมจะติดต่อไป ผมเองกว่าจะเข้ามาเรียนรู้ ก็ใช้ระยะเวลามากกว่า 10 ปี คุณเพชรเองก็ใช้ระยะเวลาศึกษาเองมาไม่น้อยกว่า 8-9 ปี คุณnongnooo กว่าที่ผมจะติดต่อไปหา ก็ใช้ระยะเวลาถึง 8 เดือน

    ถ้าเรามีความมุ่งมั่นที่จะศึกษาเรื่องหนึ่งเรื่องใดจริงๆแล้ว ระยะเวลาก็ไม่เป็นอุปสรรค์ เพียงแต่มีกำลังใจที่มุ่งมั่น มีวาสนาบารมีร่วมกันมา และเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาแล้ว ยังไงก็ต้องได้เจอกันและร่วมกันทำในสิ่งที่ดีๆกันต่อไปครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  19. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    นิดแค่ไหนพอจ๊ะ น้องเอย....
     
  20. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เมื่อเช้ามีท่านหนึ่งผมกำลังจะคิดว่าจะให้หรือไม่ให้พระพิมพ์ของหลวงพ่อ....อยู่ๆก็ไปเจอเค้าโมทนากับผมเรื่องอื่นเลยเรียบร้อยเลยท่านรับนิมนต์ซะแล้วครับ เอาดูรูปเล่นๆก่อนอัญเชิญครับ ผมมี หนึ่งเดียวเท่านั้น555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 เมษายน 2008

แชร์หน้านี้

Loading...