การปฎิบัติที่ดำเนินสู่มิจฉาทิฎฐิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย arjhansiri, 7 กรกฎาคม 2014.

  1. arjhansiri

    arjhansiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2013
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +148
    พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาที่เกิดจากความคิดที่ถูก และความคิดที่ถูกมีในพุทธปัญญาเท่านั้น ส่วนปัญญที่เกิดจากความคิดของตนที่เฉไฉออกไปนั้นเป็นความเห็นตนเองที่ไม่ใช่สัมมาทิฎฐิ และคนส่วนใหญ่แล้วที่ขาดการสะสมสุตะก็มักจะใช้ความคิดตนเองที่เกิกจากการคิดการปฎิบัติที่ผิดมาาเป็นที่ตั้งจึงเกิคความเห็นที่เรียกว่ามิจฉาทิฎฐิ มิจฉาทิฏฐินี้ถ้าได้เกิดกับใครแล้วแก้ยากมากที่สุด
    มิจฉาทิฎฐินั้นดูไม่ยากครับผู้ใดมีสรณะอื่นที่นอกเหนือจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งแล้ว ท่านเหล่านั้นจะยังก้าวลงนิยามแห่งความถูกต้องไมัได้เพราะขาดการสะสมสุตตะ ยังไม่มั่นคงในพระรัตนตรัย หรือเรียกอีกอย่างว่า ยังไม่หยั่งลงมั่นในพระรัตตนะตรัยยังมีหิน กรวด ดิน ทรายที่มาในรูปต่างๆ คิดว่าศักดิ์สิทธิ์บ้างสามารถคุ้มครองภัยอันตรายต่างๆนานนาได้บ้าง บุคคนเหล่านี้เป็นบุคคลที่น่าสงสารมากเพราะไกลพระนิพพานไปทุกที แล้วแก้ไขได้ยากมาก จึงเรียกว่ามิจฉาทิฎฐิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2014
  2. arjhansiri

    arjhansiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2013
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +148
    วิธีที่จะแก้มิจฉาทิฎฐินั้นมีทางเดียว คือการสะสมสุตตะให้มาก ไตร่ตรองว่าทำไมเราถึงมีเพียงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งไม่ได้ ผมมีข้อคิดเห็นไว้ดังนี้ 1.เพราะขาดสุตตะ 2.ไม่เห็นคุณและเชื่อมั่นในในพระรัตวตรัยนั้นเอง 3.มีความกลัวเป็นที่ตั้ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2014
  3. arjhansiri

    arjhansiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2013
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +148
    พระพุทธองค์จึงกล่าวว่าใครมี5อย่างนี้ ศรัทธา ศิล สุตตะ จาคะ ปัญญา สำเร็จความปราถนาได้ทุกอย่างแม้กระทั้งพระนิพพาน
     
  4. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    คุณ arjhansiri ครับ แล้วผมต้องทำยังไงครับ ถึงจะมีสัมมาทิฐิ เป็นสัมมาทิฐิแบบเดียวกับในองค์มรรคหรือเปล่าครับ ขอบคุณครับ
     
  5. arjhansiri

    arjhansiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2013
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +148
    มีทางเดียวคือการสะสมสุตตะให้มากครับ การสะสมสุตตะมากนั้นจะทำให้เราประมวลความรู้ที่พระพุทธองค์ได้แสดงไว้มากมายหลายที่ต่างวาระต่างสถานที่และปฎิบัติสมถะวิปัสนาควบคู่ไปด้วย ดั่งที่พระพุทธองึ์นั้นกล่าวไว้ว่าการสะสมสุตตะเหมือนการสะสมอาวุธยามออกสงครามจะได้มีอาวุธไว้ต้อสู้ศัตรูครับ
     
  6. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    เห็นด้วยกะคุณ arjhansiri ครับ สะสมสุตตะไปก่อน พอปฏิบัติไปถึง เดี๋ยวอ๋อเอง เพราะมันจะไปตรงกับที่ศึกษามา แต่ต้องสะสมสุตตะให้ถูกที่ คำพระพุทธเจ้า ถูกต้องที่สุดทั้งคำและความหมายครับ
     
  7. arjhansiri

    arjhansiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2013
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +148
    สาธุครับ
     
  8. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
    เด่วนี้นับถือกันแปลกๆ ไม่ว่าจะศาลพระภูมิ สัตว์เดรัชฉาน ซากโน้น นั้น นี้ วิญญาณเด็ก ปู่ ย่า ตา ยาย
    ช้าง ฯลฯ

    เหล่านี้ พระพุทธเจ้าไม่เคยบอกให้กราบไหว้เลย ไม่รู้ไปเอามาจากไหนกัน
     
  9. arjhansiri

    arjhansiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2013
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +148
    พวกเราทุกคนโชคดีแล้วที่ได้เกิดมาเป็นชาวพุทธ สังคมเราถูกหล่อหลอมมาจากศิลธรรมคุณธรรมที่มาจากพุทธปัญญา สังคมเราถึงร่มเย็นเป็นสุข บางครั้งสังคมเราอาจจะมีความวุ่นวายบ้างในบางช่วงขณะก็เพราะมารมีกำลังทำให้ผู้มีอำนาจหลงผิดไปบ้างแต่ในที่สุดแล้ว สังคมชาวพุทธก็มีต้นทุนสูงอยู่แล้วในเรื่องความเห็น เราๆท่านๆต่างคนก็เข้ามาศึกษาพุทธศาสนาเพื่อความพ้นทุกข์คือพระนิพพานที่เป็นจุดหมายสูงสุด บางท่านถึงขนาดออกบวชใช้บาตรใช้จีวรหาเลี้ยงชีพเดินตามพระพุทธองค์ แต่ก็มีไม่ใช่น้อยที่พุทธบริษัทได้เดินหลุดรอยนอกทางองค์มรรควิธีไป น่าเป๊นห่วงมากผมพอเข้าใจได้นะครับว่าทุกคนก็มีเวลาของแต่ล่ะคน แต่ผมก็ทำหน้าที่เล็กๆน้อยๆของพุทธสาวกคอยเตือนกันเท่านั้น ก้าวแรกบนเส้นทางมรควิธีนั้นคือสัมมาทิฎฐิ พยามไตร่ตรองกันดีๆแล้วจุดหมายคงไม่ไกล 3อย่างจำไว้ช่วยเราได้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธองค์ไม่อยู่แล้ว คงเหลือพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ถ่ายทอดตกถึงเรามาโดยสงฆ์สาวกและพุทธบริษัทของพระองค์ พวกเราจึงควรปกป้องถ่ายทอดคำสอนของพระองค์ให้ก้าวไกลยิ่งๆขึ้นไป ยิ่งเปิดเผยยิ่งรุ่งเรืองคำของตถาคต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2014
  10. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    สังคมเราไม่ได้อยู่เย็นเป็นสุขนะคับ ลองตามข่าวดีๆ
    ทุกวันนี้ก็มีแต่เรื่องฆาตรกรรม เยอะขึ้นเรื่อยๆ แบบคาดไม่ถึงก็เริ่มมาเรื่อยๆ

    อย่างล่าสุดวันนี้ มีข่าว พนงรถไฟ ฆ่าเด็ก คือเรื่องแบบนี้มันไม่น่าเกิดขึ้นนะ
    2-3 วันนี้ พ่อฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าตัวตายบ้าง ฆ่าๆๆๆ

    ช่วงนี้ออกแต่ข่าวคนตาย คนฆ่ากัน แล้วยังพวกมิจฉาชีพอีก
    คือสมัยนี้น่ากลัวมาก จนไม่น่าไว้ใจใครเลย

    สังคมนักศึกษาก็กลายเป็นสังคมดื่มเหล้า เที่ยว
    การเมือง.... ไม่ต้องพูดถึงเลย

    ดูสิ เละเทะไปหมด ไม่ได้มีความสงบสุขเลยนะคุณ ถ้ามันจะสงบสุข เป็นแค่ข่าวหลอก ๆ
    จิงๆ สังคมเราวุ่นวายมาก... แทบจะหาความสงบไม่ได้เลย

    ขนาดแค่เวลาดูทีวี ละคร ก็มีแต่ตบ ตีกัน (จะหาความสงบสุขได้จากไหน? เด่วก็มีเสียงดัง เสียงด่า)
    ลองเปิดทีวี และนั่งนับรายการที่ไม่กระตุ้น อารมณ์ เป็นไปเพื่อความสงบสุข
    กับรายการกระตุ้นอารมณ์ อันไหนมันจะเยอะกว่ากัน?
    เพลงก็มีแต่ส่งเสริม รักๆ ใคร่ๆ (มานั่งนับเพลงที่ทำให้คนจิตใจสูงขึ้น มีสักกี่เพลง?)
    รายการก็นิยม พูดคำหยาบ เสียดสีกัน
    (เด่วนี้ไม่รู้เป็นอะไร ทำไมชอบกันจัง คำด่า คำหยาบ คำเสียดสี
    ถึงขนาดเพื่อนเราหลาย ๆ คน ยังเป็นไปกับเค้าเลย เป็นค่านิยมที่ไม่ดีเลยนะ แต่ผมชอบรายการรถโรงเรียนนะ
    รายการนี้ไม่มีคำหยาบ แม้คนในรายการในอดีตทำผิดมา เค้าก็จะสอนไปในทางที่ดี และก็พรีเซ็ท ออกมาได้สนุก)

    ในสถานธรรม วัดเอง ก็ยังมีข่าวออกมาอยู่เรื่อยๆ นะ
    ล่าสุดก็แมีใช้กระเป๋าหลุยส์ พระ... เณร... ฯลฯ

    อะไรอีกดี...

    พูดถึงพุทธบริษัท คนไทยนับถือพุทธก็จริง แต่ศึกษากันจริง ๆ จะสักกี่คน
    ทุกวันนี้ ยังไหว้เจ้าที่ ต้นไม้ อะไรไม่รู้ กันอยู่เลย ซึ่งเรื่องแบบนี้ ไม่ใช่คำสอนทางพุทธนะ

    บางทีก็ไปให้ความสำคัญกับการนั่งสมาธิ มากเกินไป เหมือนว่าสมาธิคือทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้
    จะมีประโยชน์อะไร นั่งสมาธิไป พอออกสมาธิก็กลับไปทำสิ่งเดิม ๆ อีก

    สังคมไม่ได้สงบสุขนะคับ กำลังแย่ลง ๆ และก็แย่ลงไปเรื่อย ๆ
    ยิ่งดู ยิ่งแย่ ยิ่งแย่ ยิ่งปลง

    คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น ไม่มีความกลัวต่อบาปมากขึ้น เห็นแก่เงินมากขึ้น ไหนจะโฆษณาที่ไม่เป็นความจริงอีก เยอะมาก

    คนเกิด สมัยนี้ ไม่ใช่โชคดีนะคับ. คนที่โชคดีคือเกิดทันสมัยพระพุทธองค์
    หรือสมัยที่ ทุกคนถือศีล สมัยที่มนุษย์มีอายุ ยาวมากๆๆ

    คนเกิดสมัยนี้ คือคนที่โชคร้ายน้อยลง แค่นั้น เพราะคนรุ่นหลัง ๆ ต่อไปนี้ โชคร้ายยิ่งกว่า
    เพราะถูกมอมเมาด้วย กิเลส ตัญหา รัก โลภ โกรธ ลง ยิ่งกว่า 100%

    ลองดูเถอะ วัยรุ่นสมัยนี้กับ วัยรุ่นเมื่อ 20 30 ปีที่แล้ว ต่างกันชัดเจน แล้ววัยรุ่น รุ่นต่อ ๆ ไป
    จะยิ่งต่างไปอีก (ไม่ใช่ทั้งหมดนะ แต่โดยภาพรวม)

    ผมติดตาม ดูความเป็นไปของบ้านเมืองมาสักพักแล้ว
    บอกได้อย่างเดียวว่า ไม่มีอะไรดีขึ้นคับ มีแต่จะแย่ลง หากไม่เชื่อก็ลองไปศึกษาลึก ๆ ดู

    เอาง่าย ๆ ขนาดคนคุยธรรมมะกันเอง ยังมีปัญหาเลย
    นี้ขนาดเป็นคนที่ถูกกรองมาแล้วนะ แล้วไอ่ที่ไม่ศึกษาธรรมมะเลย จะขนาดไหน..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2014
  11. arjhansiri

    arjhansiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2013
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +148
    ก็น่าจะเป็นจริงตามที่ท่านกล่าวมานะครับ ในขณะนี้มารมีกำลังมากเหลืแเกิน แต่บ้านเมิองเรายังดียังพอมีที่ให้เราได้หลบภัยในใบบุญของพระศาสนาอยู่บ้างนะครับ ยังดีกว่าพวกที่เขาอยยู่กันในดงแห่งความขัดแย้งอย่าง พวกตะวันออกกลางอย่างอีรักอาฟกาสนิสถานที่นั้นดูน่าจะหาความสุขสงบได้ยากนะครับ ดีแล้วที่เราเกิดมาเป๋นคนไทยมีพระพุทธศาสนาองค์แห่งความรู้ที่บริสุทธิ์ทำให้ปัญญาของเราพอที่จะเอาตัวรอดปลอดภัยจากมารทั้งหลายได้ เกิดมาชาตินี้คุ้มมากแล้วจริงๆที่ได้มีโอกาสได้เป็นบุคคลผู้ได้สดับ สาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2014
  12. ดีมั่กมั่ก

    ดีมั่กมั่ก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +12

    มีเพียงพระรัตน่ตรัยเท่านั้นเป็นที่พึ่งแท้จริง

    แม้แต่ความเห็นอะไรที่คุณเขียนมา ก็คือสิ่งที่มีในพระธรรม อันเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัยนั่นเอง


    เขมาเขมสรณทีปิกคาถา
    (หันทะ มะยัง เขมาเขมะสะระณะทีปิกะคาถาโย ภะณามะ เส)
    เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกล่าวคาถาแสดงสรณะอันเกษมและไม่เกษมเถิด
    พะหุง เว สะระณัง ยันติ ปัพพะตานิ วะนานิ จะ,
    อารามะรุกขะเจต๎ยานิ มะนุสสา ภะยะตัชชิตา
    มนุษย์เป็นอันมาก, เมื่อเกิดมีภัยคุกคามแล้ว ก็ถือเอาภูเขาบ้าง,
    ป่าไม้บ้าง, อารามและรุกขเจดีย์บ้างเป็นสรณะ
    เนตัง โข สะระณัง เขมัง, เนตัง สะระณะมุตตะมัง,
    เนตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะ ทุกขา ปะมุจจะติ
    นั่น มิใช่สรณะอันเกษมเลย, นั่นมิใช่สรณะอันสูงสุด,
    เขาอาศัยสรณะนั่นแล้ว, ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
    โย จะ พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระณัง คะโต,
    จัตตาริ อะริยะสัจจานิ สัมมัปปัญญายะ ปัสสะติ
    ส่วนผู้ใดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้ว,
    เห็นอริยสัจคือความจริงอันประเสริฐสี่ด้วยปัญญาอันชอบ
    ทุกขัง ทุกขะสะมุปปาทัง ทุกขัสสะ จะ อะติกกะมัง,
    อะริยัญจัฏฐังคิกัง มัคคัง ทุกขูปะสะมะคามินัง
    คือเห็นความทุกข,์ เหตุให้เกิดทุกข์, ความก้าวล่วงพ้นทุกข์เสียได้,
    และหนทางมีองค์แปดอันประเสริฐเครื่องถึงความระงับทุกข์
    เอตัง โข สะระณัง เขมัง เอตัง สะระณะมุตตะมัง,
    เอตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ
    นั่นแหละเป็นสรณะอันเกษม, นั่นเป็นสรณะอันสูงสุด,
    เขาอาศัยสรณะนั่นแล้ว, ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้



    หมายเหตุ . เจ้าของกระทู้อาจแค่เรียบเรียงคำพูดไม่ถูกต้องบางท่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2014
  13. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ทำใจครับ
    ทุกสมัยก็เป็นอย่างนีิ
    ไม่มีหรอกครับ สมัยที่คนรักษาศีลกันหมด
    เมื่อมีมนุษย์ มีตัวตนของสัตว์
    มันก็เกิดมาพร้อมกับ กุศลธรรม และอกุศลธรรม
    สมัยพุทธกาลก็มีคนชั่ว คนมอมเมาในกิเลสมากมาย
    อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ
    ในสมัยนั้นไม่มีกฏหมาย เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนกันมาก
    มีการฆ่าบูชายันต์ทำพิธีที่ไม่สมเหตุสมผลมากมาย
    การศึกษาไม่ทั่วถึง สามีภริยาอายุ 16
    การอยู่ให้มีความสุข ต้องรู้จักปล่อยวางจากสิ่งรอบข้าง
    ไม่ไปยึดเกาะกับสิ่งเร้าภายนอกมากนัก
     
  14. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ..............อย่าตำหนิการนั่งสมาธิเลย...แท้จริงแล้ว สมาธิขณะนั่งนั้น เพื่อ พบรสของความสงบจะได้รู้ว่า สภาวะที่มีการปรุงแต่งน้อยเป็นอย่างไร...แต่ด้วยความที่ทุกข์คือบังคับบัญชาไม่ได้ ย่อม มีการแปรปรวนเป็นธรรรมดา...ปัญญา คือ รู้เห็น และ เปรียบเทียบกันระหว่างสภาวะวุ่นวาย และ สงบ....เหมือนกินข้าวเน่า กับ ข้าวหมกไก่ เมื่อ เปรียบเทียบกันได้ จะมีความเข้าใจ ยิ่งยิ่งขี้นไป ตรงนี้ต่างหาก....ส่วนการที่มีจิตตั้งมั่น นั้น ก็ คือ การมีสมาธิ ไม่ว่าจะลืมตาหรือหลับตา....จะยังไงก็ ตามแต่....การนั่งสมาธิพบรสสุขสงบก็ตาม ไม่ นั่งก็ ตาม...ย่อมเจอความจริงจากการเปรียบเทียบรส สองอย่างนั้น มี การ แปรปรวนเป็นธรรมดา.เกิดความเข้าใจยิ่งยิ่งขึ้นไป.:cool:เพิ่มนิดนึง...เมื่อลืมตา ย่อมเห็นเหตุเกิดจากสฬายตนะ...เมื่อหลับตา ก็เหมือนปิดสฬายตนะบางส่วน(ยกเว้นผู้รู้)...สิ่งนี้ทำให้เห็นเหตุปัจจัย จาก สฬายตนะ หรือ อารัมณะได้..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2014
  15. Piagk3

    Piagk3 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +1,222
    การสั่งสมสุตตะ สุตตะที่ว่า ต้องเป็นคำสอนที่ออกจาก พุทธโอษฐ์ เท่านั้น จึงจะเห็นผลจริง การลงมั่นในศัรทธา ต้อง หยั่งลงมั่นในพระศาสดาเพียงส่วนเดียว
     
  16. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    เวลาจิตมันทำงานก็ให้เพียรอย่างหนักบางทีเราจะหยุดพักมันไม่ได้หยุดเพราะจิตมันทำงาน เมื่ออยู่ตัวแล้วค่อยพักและไม่ต้องอยากในการบรรลุเกินพอดีเอาให้พอเหมาะมันจะกลายเป็นภวะตัณหาและไม่ต้องมีความอยากเอาชนะให้ทำใจเป็นพระ อยู่กับตัวเองเสียบ้างปล่อยวางในวันสำเร็จ
     
  17. arjhansiri

    arjhansiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2013
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +148
    มีนักปฎิบัติที่ขาดความรู้ปฎิบัติด้วยความยากได้ยากเป็นเพ่งรูปเพ่งนามกันปวดหัวตัวสั่น พร้อมกับป้อนกิเลสเข้าไปในจิตเพิ่มเติมกิเลสทั้ง3ตัวโลภะโทษะ โมหะกันเข้าไปอีก เพราะความทยานอยากที่จะบรรลุธรรม นี่ก็เป็นเหตุให้เกิดมิจฉาสมธิได้ การเพ่งฌานนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นในการบรรลุธรรม แต่ต้องเริ่มจากการเฝ้าดูความจริงประครองจิตไปเรื่อยๆสติระลึกเห็นการเกิดดับของรูปนาม พอจิตเริ่มมีกำลังมากขึ้นสติเริ่มมีกำลังจากการระลึกตรงสภาวะจริงของสภาวะรูปนามได้ติดต่อกันมากขึ้นจิตจะมีกำลังมากขึ้นตามลำดับ เมื่อสติเริ่มมีกำลังสติจะระลึกไวตรงความเป็นจริงความเพลินเริ่มถูกตีกรอบเข้ามาความเพลินจะน้อยลง ให้เรามีความรู้สึกตัวพยามเพ่งอย่างยิ่งมีสติระลึกตรงสภาวะความจริง ดั่งคำที่พระพุทธค์กล่าวว่าสมควรประคองจิตในสมัยที่ควรประคอง สมควรเพ่งในสมัยที่ควรเพ่ง เพ่งอย่างยิ่งในสมัยที่ควรเพ่งอย่างยิ่ง สมควรทำให้ร่าเริงในสมัยที่ควรร่าเริง และการเพ่งฌานนั้นไม่ว่าจะเป็นการเพ่งลมหายใจหรือการเพ่งธาตุดินในที่สุดแล้วจะมาจบที่เดียวกัน ตรงมโนทวารเห็นการดับไปของรูปนาม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...