พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.chaipat.or.th/chaipat/index.php?option=com_content&task=view&id=20&Itemid=58

    [​IMG]

    การบริจาคสมทบมูลนิธิชัยพัฒนา

    1. บริจาคโดยโอนผ่านทางธนาคาร ดังนี้


    - บริจาคสมทบมูลนิธิชัยพัฒนา

    ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาย่อยสวนจิตรลดา ชื่อบัญชี มูลนิธิชัยพัฒนา
    บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 067-2-00011-9


    - บริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยภาคใต้

    ธนาคารทหารไทย สาขาสนามเสือป่า ชื่อบัญชี กองทุนบูรณะฟื้นฟูภาคใต้

    บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 046-2-40205-8


    - บริจาคสมทบวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก

    ธนาคารทหารไทย สาขาตรีเพชร ชื่อบัญชี มูลนิธิชัยพัฒนา (สร้างวัดพระราม 9)
    บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 092-2-01722-3


    2. บริจาคเป็นธนาณัติ / ตั๋วแลกเงินไปษณีย์


    กรุณาสั่งจ่าย มูลนิธิชัยพัฒนา
    ปณ. จิตรลดา กรุงเทพมหานคร 10303



    กรณีโอนเงินผ่านทางธนาคาร : ใคร่ขอความกรุณาผู้บริจาคนำสำเนาใบโอนเงิน
    พร้อมเขียนชื่อ - ที่อยู่ พร้อมเบอร์ติดต่อกลับอย่างชัดเจน
    ส่งกลับมาที่ โทรศัพท์ 0-2282-4425-8 และ 0-2282-3338
    โทรสาร 0-2282-3339



    หมายเหตุ จำนวนเงินที่บริจาคสามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้ภายในปีที่บริจาค
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.chaipat.or.th/chaipat/index.php?option=com_contact&Itemid=3

    ติดต่อมูลนิธิ
    <TABLE class=contentpane cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=contentheading width="100%">สำนักงานมูลนิธิชัยพัฒนา </TD><TD class=buttonheading align=right width="100%"> </TD></TR><TR><TD><TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD></TD><TD vAlign=top align=right rowSpan=2>[​IMG]
    </TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left width=40 rowSpan=6>[​IMG] </TD></TR><TR><TD vAlign=top>อาคาร 608 สนามเสือป่า </TD></TR><TR><TD vAlign=top>ถนนศรีอยุธยา เขตดุสิต </TD></TR><TR><TD vAlign=top>กรุงเทพ ฯ </TD></TR><TR><TD vAlign=top>ประเทศไทย </TD></TR><TR><TD vAlign=top>10300 </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=left width=40>[​IMG] </TD><TD>โทรศัพท์ : 0-2282-4425 </TD></TR><TR><TD align=left width=40>[​IMG] </TD><TD>Fax. : 0-2282-3339 </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD colSpan=2>ดาวโหลดข้อมูลเป็น วีการ์ด </TD></TR><TR><TD colSpan=2>
    ส่งขอความหาเราได้ที่นี้:

    <FORM id=emailForm name=emailForm action=index.php?option=com_contact&Itemid=1 method=post target=_top>กรุณาใส่ชื่อคุณ:
    <INPUT class=inputbox size=30 name=name>
    กรุณาใส่อีเมล์ของคุณ:
    <INPUT class=inputbox size=30 name=email>
    หัวข้อ:
    <INPUT class=inputbox size=30 name=subject>

    ข้อความที่ต้องการติดต่อ:
    <TEXTAREA class=inputbox name=text rows=10 cols=50></TEXTAREA>
    <INPUT type=checkbox value=1 name=email_copy> สำเนาข้อความนี้ไปยังอีเมล์คุณ

    <INPUT class=button onclick=validate() type=button value=ส่งข้อความ name=send>
    <INPUT type=hidden value=com_contact name=option></FORM></TD></TR></TBODY></TABLE>

    ********************************************

    สามารถเข้าไปติดต่อมูลนิธิชัยพัฒนาที่เว็บไซด์มูลนิธิชัยพัฒนาได้ตามลิงค์ที่ให้มาได้นะครับ

    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นอกจากการบริจาคให้กับมูลนิธิชัยพัฒนาแล้ว องค์กรการกุศลอื่นๆที่ทำประโยชน์กับประเทศชาติก็สามารถบริจาคได้ เช่นสภากาชาดไทย ,โรงพยาบาลสงฆ์ ,วัดพระบาทน้ำพุ ฯลฯ หรือการบริจาคเลือดก็ได้เช่นกันครับ

    เดี๋ยวจะถูกต่อว่ามาอีกว่า ลงแล้วไม่ค่อยจะบอกอะไรต่อ เรื่องนี้สามารถบอกกันได้

    ท่านที่มีพระวังหน้าหรือพระกรุวัดพระแก้ว ควรจะชำระหนี้แผ่นดินคืนนะครับ แล้วกรวดน้ำ(น้อมถวายบุญกุศล , ถวายบุญกุศล และอุทิศบุญกุศล)ให้กับองค์ผู้อธิษฐานจิต ,พระองค์ท่านที่มีพระราชดำรัสหรือพระบัณฑูรให้สร้างพระพิมพ์ ,ช่างสิบหมู่แห่งวังหน้าและวังหลวง ,ท่านผู้มีส่วนในการสร้างพระพิมพ์ทุกๆท่าน ,เจ้าของเดิมของพระพิมพ์หรือวัตถุมงคล ,เทวดาประจำองค์พระพิมพ์ ,และประชาชนทั้งหลายที่ท่านเหล่านั้นที่เป็นผู้ที่จ่ายภาษีให้กับรัฐครับ

    ผมเองบอกได้แต่เพียงว่า ผมรอดตัวแล้ว ผมถือว่าได้บอกกล่าวกันแล้ว ท่านผู้อ่านจะทำหรือไม่ทำก็แล้วแต่ตัวท่านเอง

    โมทนาสาธุครับ
    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 15 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 10 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, :::เพชร:::+, chai wong, littlelucky+, nongnooo+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ท่านผู้อ่านยังเยอะอยู่เลยนะครับ

    .
     
  5. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เสร็จไป ๑ หิ้ง ขาดอีก ๑ หิ้ง แรงหมดซะก่อนครับ คุณหนุ่ม วันเสาร์ที่ ๑๒ มกราคมหน้านี้(ฤกษ์พรหมประสิทธิ์ เสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ) อย่าลืมนะครับ จะทำพิธีกรรมเกี่ยวกับพระ เกี่ยวกับเจ้า พิธีกรรมเกี่ยวกับของขลังทั้งหลาย หรือการทำพิธีทั้งหลาย การจัดหิ้งพระมีผลดีมากเลยครับ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    โอ้โห งานนี้เปิดให้ชมถึงบ้านแล้วครับ
    โพสนี้ต้อง (*) (*) (*) (*) (*)

    โมทนาสาธุครับคุณเพชร
    (good)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    รับทราบครับ

    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.firstbuddha.com/Buddha/dharma3.html

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=578 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE class=webbody cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=webbody width=749 height=33>
    การชำระหนี้สงฆ์ <!-- #EndEditable -->​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=206></TD><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><!--DWLayoutTable--><TBODY><TR><TD vAlign=top><!-- #BeginEditable "detail" -->

    [​IMG]
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี
    หลวงพ่อสอนให้ลูกศิษย์ และญาติโยมรู้จักชำระหนี้สงฆ์ และแนะนำให้สร้างพระชำระหนี้สงฆ์พร้อมทั้งนำ เกร็ดความรู้ที่ได้ ประสบมาเล่าให้ฟัง เพื่อจะเป็นประโยชน์ ต่อท่านทั้งหลายจะได้นำประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง อีกทั้งจะได้เป็นเครื่องป้องกัน ตัวเอง และผู้อื่นไม่ให้กระทำความชั่วต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับของพระ สงฆ์อีก ท่านเล่าในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานว่า
    "ของทุกอย่างที่ขึ้นชื่อว่า เป็นสมบัติของสงฆ์แล้ว จะเป็นสิ่งของ หรือวัตถุเครื่องใช้อะไรก็ตาม จะมีราคามาก หรือน้อยก็ตาม ผู้ที่นำไปใช้โดยพละการหรือทำสิ่งของเหล่านั้นเสียหาย จะต้องนำสิ่งของเหล่านั้น มาทดแทน ให้เหมือนเดิม ไม่เช่นนั้นจะทำให้ผู้ล่วงละเมิด ลงสู่อเวจีมหานรกได้โดยง่าย"
    อย่างวัดร้างที่ปรากฏว่า เป็นที่ดินเปล่า ไม่มีฐานะแสดงว่า เป็นวัด หรือบางแห่งแสดงฐานะว่า เป็นวัดแต่อยู่ในป่าในดงหรือ วัดที่มีฐานะอยู่ก็ตาม เราจะนำสิ่งของอะไรมาก็ตามในเขตนั้นเป็นของสงฆ์หรือว่าถ้าใครยึดแผ่นดินของสงฆ์ไว้ เป็นสมบัติ ส่วนตัวละก็ ถือว่า ซวยขนาดหนัก แบบนี้ มีผู้เรืองอำนาจรุกรานสงฆ์ เคยตกนรกขั้นขุมที่ 7 มาแล้ว ขุมนี้หนักมาก รองจาก อเวจีมหานรก เพราะอะไร เพราะ บุกรุกที่ดินของวัด ถึงแม้จะไม่มีเจตนาโกง วัดก็เป็นวัดร้าง แต่ไม่รู้ว่า เป็นวัดร้าง แค่นี้ก็ ตกนรกขุมที่ 7 จะมาอ้างว่าไม่รู้ไม่ เจตนาไม่ได้ มีความผิดหมด หรือว่า มีไม้ลอยมาหน้าบ้าน เราเห็นว่า ไม่มีเจ้าของ เอาเข้ามาทำฟืน แต่ถ้าไม้นั้นมาจากวัด ก็เป็นไม้ของสงฆ์ไปเอาเข้ามันก็บาป ต้นหญ้าต้นฝาง ที่มันอยู่กลางทุ่งสถานที่นั้นอาจ จะเคยเป็นวัดมาก่อนก็ได้ เขาเคยถวายเป็นของสงฆ์ แต่ว่า สภาพของวัดมันสูญไป ของที่อยู่ในนั้นทั้งหมด แม้แต่แผ่นดิน ก็ยังเป็นของสงฆ์ เราไปเอาต้นไม้ต้นเดียวมาก็บาป แล้วโทษของสงฆ์ หนักมาก เรียกว่า ขั้นอเวจีขั้นเดียว มีระดับเดียว ระดับอื่นไม่มี
    หลวงพ่อปานท่านก็ชวนชาวบ้านชำระหนี้สงฆ์ว่า ใครจะชำระหนี้สงฆ์บ้าง ด้วยจำนวนเท่าไหร่ก็ตาม เอามารวมกัน แล้วประกาศต่อหน้าสงฆ์ ขอชำระหนี้สงฆ์ คือ วัดร้างที่ปรากฏมีเป็นวัดก็ตาม หรือไม่ปรากฏเป็นวัดก็ตาม วัดที่มีพระก็ตาม วัดไหนก็ได้ ทำไปโดยเจตนาว่ารู้ว่าเป็นของสงฆ์ก็ตามไม่รู้ก็ตาม แต่สิ่งเหล่านั้น ย่อมไม่ทราบค่าราคาของ ถือว่าเป็นของเล็กน้อย ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงินเท่านี้ ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายเห็นสมควร ก็ขอให้พร้อมกัน ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลาย ไม่ เห็นสมควรก็ขอให้นิ่งอยู่ ถ้าพระหมดสาธุพร้อมกัน เป็นอันว่าใช้ได้ ชำระกันแบบนี้ทุกปี ท่านบอกว่า ค่อย ๆ ทำไป เรื่องนี้ มันเป็นเรื่องหนัก
    ในเมื่อพระสงฆ์สาธุ ท่านจะมอบเงินจำนวนนั้นเป็นสมบัติของสงฆ์ เป็นสิทธิของสงฆ์ที่พึงใช้ จะใช้ได้ก็ต้องเอาเงินจำนวน นั้นไปใช้ในการก่อสร้าง หรือบำรุงสงฆ์ ท่านทั้งหลาย อาจสงสับว่า ของต่าง ๆ ที่เป็นสิ่งก่อสร้างก็ดี วัสดุเครื่องใช้ต่างๆ ก็ดี หรือต้นไม้ใบหญ้าก็ดี ของที่อยู่ในวัดทั้งหมด ถ้าหากรื้อหรือนำไปใช้แล้ว เกิดชำรุดเสียหาย ทำไมเราจะต้องสร้างแทนของเดิม ทั้งนี้เพราะทรัพย์สินต่างๆ ที่เขาสร้างไว้ในวัด เขาไม่สร้างให้พระองค์ใดองค์หนึ่ง เขาสร้างถวายบูชาพระพุทธเจ้า คำ ว่าของสงฆ์นี่น่ะ ต้องหมายถึง พระพุทธเจ้าเป็นประธาน เป็นของส่วนกลาง ไม่มีใครหรอกที่จะถือสิทธิ์ว่า เป็นของฉันจะมาชี้ว่า สมบัตินี้เป็นของฉัน เป็นของส่วนตัว ถ้าทำอย่างนั้น จะต้องลงนรกหมด เรื่องนรกนี้ เขาไม่เว้นใครหรอก
    ของในวัดก็เหมือนกัน ถ้าพระองค์ใดปลูกไว้ถ้าเขาสึกแล้วก็ตามเขาตายแล้วก็ตาม ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ถ้าว่าเขาตาย หรือสึกไปแล้ว พระองค์ใดองค์นหนึ่ง จะถือเป็นทายาทกันเองก็ดี ใช้เองก็ดี ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเป็นของสงฆ์เสียแล้ว เวลาจะกินจะใช้ต้องประชุมสงฆ์ ต้องลงมติอนุมัติจึงถือว่าไม่เป็นโทษ
    ก็มีตัวอย่างเรื่องหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ มีพระองค์หนึ่ง ชื่อ พระอาจารย์ทิม สำหรับอาจารย์ทิมนี่ รุ่นเดียวกัน อยู่ที่สุพรรณบุรี เป็นนักก่อสร้าง พระองค์นี้เป็นพระดีมากระเบียบวินัยก็ดี เจริญสมถภาวนาก็ดี แต่ว่าโทษมันมีอยู่อย่างหนึ่งแกป่วยครั้งหลังสุด กำลังก่อสร้างโบสถ์ สตางค์ส่วนตัวแกไม่มี หมอเขาบอกว่า ต้องต้มยาหม้อในราคา 60 บาท ท่านก็เลยขอยืมเงิน ที่เขาสร้างโบสถ์ก่อน ฉันหายแล้ว เวลาใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะใช้คืน
    พอปี 2508 ดันตายเสียได้ "ไอ้เงิน 60 บาท ดันเป็นพิษ พระทิมไปนั่งจ๋อที่นักพระยายม" เวลาทุ่มเศษๆ กำลังนอน สบายๆ เห็นเทวดาองค์หนึ่ง เป็นพวกวชิระ มายืนปลายเท้า กราบ กราบ
    ถามว่า "มาทำไม" เขาบอกว่า "ท่านใหญ่ให้นิมนต์ไปพบครับ"
    เลยบอกว่า "แกไปข้างหน้าฉันตามไป"
    ตามไป หน่อยเดียวแกบอกว่า "เดี๋ยว ผมต้องไปตามอีก 2 องค์ แกไปตามอีก 2 องค์ "
    เราก็ตรงไปพอถึงก็พบท่านทิม อยู่ที่ สำนักพระยายม จึงถามว่า "ไง....มานั่งอยู่ที่นี่เล่า"
    แกก็บอกว่า "เป็นหนี้สงฆ์อยู่ 60 บาท "
    ถามว่า "คนอย่างแกเป็นหนี้สงฆ์ด้วยเรอะ" แกบอก "เป็นหนี้ตอนใกล้ตาย เพราะหมอที่สั่งยามาให้ แต่ไม่มีเงิน ทุ่มเทเอาไปสร้างโบสถ์หมด ไอ้เงินส่วนตัวจริงๆ นี่เรียกว่า ตามอัธยาศัยมันไม่เหลือ ก็เอาเงินส่วน นี้เขาไปซื้อยา "
    จึงเข้าไปถามลุง (พระยายม) ถามลุงว่า "ยังไงนี่"
    ลุงบอกว่า "ยังไม่ว่าไง เดี๋ยวค่อยว่า คอยอีกสององค์ก่อน ยังไม่สอบสวน "
    ถ้าสอบสวนไม่ได้ ของสงฆ์นี่หนักมาก ปิดปากเลย ถ้ากรรมดีละก็หนัก ปิดปาก กระเบื้องอันเดียวกันปิดปากเลย เรื่องบุญนี่ พูดไม่ได้เลย
    พออีกสององค์ไปถึงเรียบร้อยแล้ว ท่านก็เรียกอาจารย์ทิมเข้าไปถามว่า "ท่านเองเงินสงฆ์ไปใช้ 60 บาท ใช่ไหม" ท่านตอบว่า "ใช่" ไปใช้เพื่ออะไร" บอกว่า "มันป่วย หมอเขาสั่งยามา "
    จิตคิดอย่างไร" จิตคิดว่า ถ้าใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะชำระหนี้สงฆ์ แต่นี่ยังไม่ทันชำระใช่ไหม" แกตอบว่า "ใช่" แล้วท่านถามว่า "จะว่าอย่างไร" ท่านบอกว่า "ไม่มีเรื่องจะว่า"

    ลุงพุฒ ท่านก็หันมาถามพวกเราว่า "ท่าน 3 องค์จะว่าอย่างไร" บอกว่า "ยังมีเรื่องว่าอยู่" "ว่ายังไงล่ะ" "ทำอย่างพระองค์นี้จะต้องไปเป็นพรหม เขาได้ฌานสมบัติ ควรจะไปเป็นพรหม"
    ท่านก็เลยบอกว่า "เวลาตายก่อนจะดับจิต อารมณ์อยู่ในฌานฌานยังตั้งไม่ได้"
    เลยถามว่า "ไอ้เรื่องนี้พอจะอภัยกันได้ไหม"
    ท่านก็เลยบอกว่า "ของสงฆ์อภัยให้กันไม่ได้ มันต้องชำระหนี้สงฆ์"
    ก็บอกว่า "ต้องสร้างพระพุทธรูป 1 องค์ หน้าตัก 12 นิ้ว"
    เราเลยบอกว่า "เรื่องเล็ก เอาสัก 10 องค์ก็ยังได้" ท่านบอกว่า "องค์เดียวพอ"
    แล้วพระอีกสององค์ท่านก็รับไปคนละองค์ รวมเป็น 3 องค์ เราบอกว่า "อย่างนี้ ฮ้อ ตกลง" ท่านก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นไปได้ตามผลของความดี"
    ตอนนั้นเลยบอกกับท่านทิมว่า "อย่าเพิ่งไป อยู่ที่นี่ก่อน"
    ถามลุงว่า "การสอบสวนขอพักเดี๋ยวได้ไหม"
    ท่านบอกว่า "ได้" เราก็เลยบอกท่านทิมว่า "จำอารมณ์หนึ่งได้ไหม"
    เขาถามว่า "อะไรล่ะ" ก็เลยบอกว่า "เอกัคคตารมณ์กับอุเบกขาน่ะ" บอก "จำได้" "จำได้ก็ขอไปตามนั้น"
    นั่นมันฌาน 4 ท่านทิม เลยไปเป็นพรหมชั้นที่ 11 ถ้าไปตอนนั้น ก็ไปด๊อกแด๊ก อยู่แค่ กามาวจร ต้องช่วยกระตุกตรงนี้ มัน พ้นตอนที่เรารับปากจะให้ อารมณ์ที่ปิดปากอยู่ก็หมด ลุงพุฒ แกตั้งใจช่วยเลยให้คนมาตาม ไม่ได้ตั้งใจคอยใคร ขนาดมาตามเลยนะ ที่ตามก็มีพระอยู่ 2 องค์ อีกองค์หนึ่ง เป็นพระอยุธยาหนุ่ม เลยละองค์นั้น ตอนนั้น ฉันก็อายุสัก 40 กว่าๆ องค์ที่ อยู่อยุธยา ก็อยู่ในเกณฑ์ 30 เศษๆ แต่ไม่รู้ว่า วัดไหน รูปร่างสูงๆ ดำๆ อีกองค์หนึ่ง รูปร่างหน้าตาดี ไม่รู้อยู่วัดไหน เวลาไป ตามก็มี 3 องค์ เลยเล่นกำไรเสียเลย พระพุทธรูป 12 นิ้ว กับคนที่จะไปพรหม ราคามันไม่เท่ากันใช่ไหม เราสร้างพระ 12 นิ้วเดี๋ยวเดียว ไอ้คนที่บำเพ็ญบารมีเป็นพรหม มันง่ายเสียเมื่อไหร่ล่ะ
    คราวนี้มันก็มีปัญหาอยู่ว่าทำไมท่านจึงเจาะจงมาเอาฉันไปช่วย ถ้าลงได้เป็นแบบนี้ละก้อจะต้องเป็นเครือเดียวกันเป็นพวก เดียวกัน เดินทางแนวเดินกัน อาจารย์ทิมกับฉันรู้จักกันมานาน ตั้งแต่ ตอนบวชอยู่ใหม่ๆ ส่วนอีก 2 องค์ไม่รู้ว่า เขารู้จักกัน มาเมื่อไหร่ แต่ทั้งสององค์นั้น บ้าๆ บวมๆ เหมือนกัน เงินส่วนตัวไม่มี ฉันถามอีกองค์หนึ่ง ที่รูปร่าง หน้าตาดี ๆ บอกว่า อยู่สิงห์บุรี จากนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจ ถามถึงปฏิปทา เขาก็บอกว่า ผมกับท่าน บ้า ๆ บวมๆ เหมือนกัน สตางค์ไม่เหลือ อาจารย์ ทิม ก็บ้าเหมือนกัน แต่ดันบ้าตายก่อน มันจะลงนรก เราให้ลงไม่ได้ ทีนี้วิธีกระตุ้นๆ นิดเดียว ถ้าบอกว่า อาจารย์ทิม เริ่มนั่งเข้าฌานละก็ซวยเลย ใครจะไปเข้าฌานได้ยังไง เขาต้องถามถึงอารมณ์ เดิมนิดเดียว ถามว่าจำอารมณ์หนึ่งได้ไหม เอกัคคตา กับ อุเบกขา
    บอกจำได้เท่านี้ก็พอแล้ว จำได้เป็นฌาน 4 สภาพก็เป็นพรหม ตัวแกก็เป็นพรหมแจ๋ว เลยบอกไปตามอัธยาศัย ข้าจะกลับวัด เดี๋ยวลูกศิษย์ข้าคอย ที่เล่าให้ฟังนี่ มันเป็นเรื่อง ของผู้ที่ไม่มีเจตนาโกงเงินสงฆ์ ไอ้พวกที่มีเจตนาโกง ไม่มีทางช่วย เรี่ยไร มา 10 บาท เอาของเขาไปใช้ 9 บาท 90 สตางค์ อีก 10 สตางค์ ก็เอาเข้ากระเป๋าอย่างนี้ ลงอเวจีมหานรก
    ของสงฆ์นี่ แม้แต่กระเบื้องแตก ๆ ก็เก็บไม่ได้ ของที่สงฆ์เขาไม่ใช้ แล้วเห็นว่า มันดีนี่เอาไปบ้านหน่อย อย่างนี้ เอวังตกดัง ตูม อเวจี และก็มีอีกเรื่องหนึ่ง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ในสมัยของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระวิปัสสีทศพลสมัย พระวิปัสสีนั้น มีพระอยู่ 4 องค์ เวลานั้น ข้าวยาก หมากแพง ฝนแล้งไม่ตกตามฤดูกาล ข้าวที่บ้านเขาอาจจะมีมาก แต่ว่าข้าวที่วัดมีน้อย พระพวกนั้นมีเพื่อนมาหาข้าวที่จะกินเข้าไปมัน ไม่พอข้าวส่วนตัวไม่มี ก็มีข้าวสารของสงฆ์ ไปนำข้าวสารของสงฆ์มา เมื่อได้ข้าวสารของสงฆ์มาคนละทะนานแล้ว ก็มาหุง เลี้ยงเพื่อนคิดในใจว่า ถ้าเราได้ข้าวสารมาใหม่เราก็จะชำระหนี้สงฆ์ คือว่าเราจะใช้หนี้ให้ แต่ในเมื่อยังไม่ทันจะใช้หนี้พระ 4 องค์นั่นก็ตาย ตายทั้ง ๆ ที่ยังมีเจตนาว่า จะชำระหนี้ แต่ก็ยังไม่ได้ชำระ
    ตายแล้วไปไหน ปรากฏว่า ไปไหม้อยู่ในอเวจีมหานรก สิ้นพันปีนรก เมื่อพ้นจาก อเวจีมหานรกแล้ว ก็ตกนรกบริวารผ่านมา 4 ขุมแล้วก็ยมโลกีนรกอีก 10 ขุมมาเป็นเปรต เปรตนี้จัดเป็น 12 ระดับ ระดับที่ 1 ถึงระดับที่ 11 ไม่มีโอกาสจะได้โมทนา บุญของชาวบ้านที่ทำให้ ระดับที่ 12 ที่เรียกว่า ปรทัตตูปชีวิเปรต ตอนนั้นมีโอกาสในระหว่างที่เป็นเปรตระดับที่ 1 ถึงที่ 11 ก็พบพระพุทธเจ้าหลายองค์
    ถามท่านว่า เมื่อไหร่ข้าพระพุทธเจ้าจะได้กินข้าว กินน้ำเสียที เห็นน้ำเข้าวิ่งไปน้ำก็หายกลายเป็นทะเลเพลิง เห็นข้าวอยากจะกิน วิ่งเข้าไป ก็ปรากฏว่า เป็นทรายแล้วก็เป็นไฟลุก กินไม่ได้ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ ก็ทรงพยากรณ์ว่า เมื่อไรพระพุทธ เจ้า ทรงพระนามว่า พระสมณโคดม อุบัติขึ้นในโลก ในตอนนี้แหละญาติของเจ้าชื่อว่า พระเจ้าพิมพิสารจะบำเพ็ญกุศลแล้ว เธอหมดทุกคน ได้รับโมทนา ก็จะพ้นทุกเวทนาเสียที เปรตทั้งหลายเหล่านั้นคอยกันมานาน
    จนกระทั่ง เมื่อพระพุทธเจ้า ทรงอุบัติ พระเจ้าพิมพิสารถวาย พระเวฬุวันมหาวิหาร แล้วก็ถวายทาน แก่พระพุทธเจ้า พร้อม ด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด เมื่อถวายทานแล้ว ก็ไม่ได้กรวดน้ำ ไม่ได้กรวดซีเพราะไม่รู้ ตอนนั้นมันเป็นการทำบุญคร้งแรกยังไม่ รู้ว่า ทำบุญแล้วกรวดน้ำกันได้ผล
    เปรตทุกคนที่คอยอยู่ ก็นั่งตั้งท่าจะโมทนา เห็นพระเจ้าพิมพิสารไม่กรวดน้ำให้ ก็เดือดร้อน กลางคืนเข้ามา ในพระราชนิเวศน์ พระเจ้าพิมพิสาร ก็ไม่เห็นตัว เป็นพระโสดาบัน แต่ท่านไม่เห็นตัว ก็เลยร้อง เมื่อร้องขึ้นมา พระเจ้าพิมพิสารก็ตกใจ แปลกใจว่า เสียงอะไรไม่ทราบมาร้องกึกก้อง ในเมื่อพระเจ้าพิมพิสาร ตกใจในตอนเช้าก็ไปหาพระพุทธเจ้าไปถามว่าเมื่อ คืนนี้ไม่รู้เสียงอะไร มันร้องกรี๊ดกร๊าดๆ ในพระราชฐาน ไม่เคยได้ยิน
    พระพุทธเจ้าก็เล่าความนั้นให้ทราบ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เปรตเป็นญาติของพระองค์ต้องการโมทนาบุญ เมื่อวานนี้พระองค์ทรงทำบุญแล้ว ไม่ได้กรวดน้ำอุทิศให้ คำว่า อุทิศ แปลว่า เจาะจง นะอุทิศนี่นะ เขาแปลว่า เจาะจงให้เฉพาะ พระเจ้าพิมพิสาร จึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด ไปฉันอาหารในพระราชนิเวศน์ ตอนนี้เมื่อพระพุทธเจ้า ฉัน เสร็จก่อนจะโมทนา พระเจ้าพิมพิสารก็กรวดน้ำ
    ใช้คำว่า อิทังโนญา ตีนังโหตุ แปลเป็นใจความว่า ขอผลทานนี้ จงสำเร็จแก่ญาติของข้าพเจ้า เท่านี้นะละ การกรวดน้ำ ครั้งแรกเปรตทั้งหลายเหล่านั้น ตั้งท่าคอยอยู่แล้ว ได้รับโมทนา เมื่อได้โมทนา แล้วร่างกายทิพย์หมด มีความอิ่มเอิบ มีความสวยสดงดงาม ร่างกายเทวดา แต่ว่า เป็นเทวดาชีเปลือย ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีผ้านุ่ง เพราะอะไร เพราะว่า ในสมัย ก่อนเมื่อจะตาย ไม่ได้เคยทำบุญ ถวายผ้าผ่อน ท่อนสไบ ไว้ในพุทธศาสนา เมื่อร่างกายสวย แต่ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีกางเกง นี่มันก็แย่เหมือนกันก็เดือดร้อน ตอนกลางคืนจึงเข้ามาหาพระเจ้าพิมพิสาร แสดงตัวให้ปรากฏ แต่ว่าตอน ยืนน่ะ สงสัยนะว่า จะยืนหันหลังให้ คงไม่ยืนหันหน้าหรอก คงจะอายเหมือนกัน พระเจ้าพิมพิสาร แปลกใจว่า คนอะไรสวยก็สวย แต่แก้ผ้าไม่มีเสื้อไม่มีผ้า
    ตอนเช้าไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า พวกเปรตพวกนั้นแหละเป็นเทวดา แต่ไม่เคยถวาย ผ้าไตรจีวรไว้ใน พุทธศาสนา เพราะอาศัยบารมีที่พระองค์ให้อาหารเป็นทาน เขาก็มีแต่ร่างกายสวยงามผ้าจึงไม่มี พระเจ้าพิมพิสาร ถามว่า ทำไมเขาจึงจะได้ผ้า ท่านก็บอกว่าต้องถวายไตรจีวรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็อุทิศส่วนกุศลให้เขาจะได้เครื่อง ประดับอันเป็นทิพย์ พระเจ้าพิมพิสารก็ทำอย่างนั้นแต่ พอได้เครื่องประดับแล้ว เทวดาก็มาแสดงตัวให้ปรากฏแล้วนับตั้งแต่ วันนั้นเป็นต้นมา ก็เลยไม่รบกวนอีก
    นี่เล่าถึง เรื่องของสงฆ์ ให้ฟังนะว่า มีเจตนาขอยืม ยังมีโทษขนาดนี้ แต่ถ้าหากว่า เราไปเอามา โดยไม่ขอยืม มันจะมีโทษ ขนาดไหน
    และอีกเรื่องหนึ่ง กากะเปรต สมัยที่เกิดเป็น กา แย่งข้าวในขันที่เขานำไปจะถวายพระ ข้าวสุกนั้นเขา นำไปยังไม่ถึงพระ ยังไม่ใช่ของสงฆ์ จะถือว่าเป็นของชาวบ้านก็ไม่ได้ เพราะเขาตั้งใจถวายสงฆ์แล้ว กรรมเล็กน้อยเพียงเท่านี้ตายแล้วไปลง อเวจี แล้วถามมาเกิดเป็น เปรต
    ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ คนที่กินข้าวที่พระอนุญาตแล้วทำไมถึงตกนรก และพระที่ให้ก็ต้องตกนรกด้วยครับ
    หลวงพ่อ : "ถ้าอาหารที่พระให้ ต้องเป็นของที่ญาติโยมถวายเฉพาะองค์นั้นไม่มีโทษแน่ แต่ที่เป็นอย่างนี้ ต้องเป็นอาหาร ที่ เขาถวายเป็นส่วนกลาง คือ เป็นของสงฆ์ ของสงฆ์นั้นพระองค์ใดองค์หนึ่งไม่มีสิทธิ์ให้นอกจากสงฆ์จะประชุมตกลงให้พระ องค์นั้น เป็นผู้จ่ายแทนสงฆ์ ตัวอย่างของสงฆ์เช่น อาหารวันพระที่มี ข้าวใส่บาตรเหลือมากๆ แล้ว ทายกใส่ถ้วยเอาไปบ้าน โดยที่คณะสงฆ์ ไม่มีส่วนรู้เห็น อย่างนี้ แม้แต่เจ้าอาวาสเอง ยังไม่มีสิทธิ์ให้ตามลำพัง
    บางทีกินอาหาร ที่พระฉันเหลือ ถ้าพระอนุญาตแล้ว ไม่มีโทษ (สำหรับญาติโยมที่ไปในงาน ทางวัดเขาตั้งใจเลี้ยงก็ไม่เป็นไร) แต่บางท่านก็หยิบของที่พระฉันแล้วเอามาเฉย ๆ บางท่านก็ขอเอาดื้อๆ ให้หรือไม่ให้ก็ตาม ออกปากขอ แล้วยกไปเลย พระยังไม่ทันอนุญาต ท่านทายกประเภทนี้ ท่านช่วยยก คนที่กินกับท่าน ลงอเวจีแบบสะดวก เมื่อจะขอต้องดูว่า อาหารมาก ไหมถ้ามากจนเหลือเฟือ ก็ขอให้พระท่านให้ ตามความพอใจของท่าน เพราะท่านอาจจะมีกังวล นำอาหารไปให้ใคร ที่ท่าน มีภาระต้องเลี้ยง ถ้าถือเอาตามความพอใจ ก็ต้องถือว่า แย่งอาหารจากพระมีโทษ 100 เปอร์เซ็นต์
    และ อาหารถวายพระพุทธรูป ก็เหมือนกัน อาหารประเภทนี้ ดูเหมือนจะเป็นเหยื่อล่อให้ทายกลงอเวจี สะดวก สบายมาก อาหารที่เขานำมาวัด เขาตั้งใจถวายพระสงฆ์ การนำไป ถวายพระพุทธรูปนั้น เป็นความดี เพราะเป็น พุทธานุสสติ ด้วย เป็น พุทธบูชา ด้วย แต่อาหารประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้มาก เพราะ พระพุทธรูป ไม่ได้ฉัน ท่านจะฉัน หรือไม่ฉัน ก็ตาม อาตมาคิดว่า ทายกทายิกาไม่มีสิทธิ์จะกิน หลายวัดหรือส่วนใหญ่ ทายกมักจะเอาอาหารดีๆและมากๆ ไปทุ่มเทถวาย พระพุทธรูป
    เมื่อพระฉันเสร็จแล้วต่างก็ยกเอามากิน ตอนนี้ไม่ถูกด้วยประการทั้งปวง ต้องเอาไว้ถวายพระตอนเพลจึงจะถูก ทายก ทายิกาได้ เฉพาะอาหารที่เหลือเดนจากพระฉันเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์สถาปนาตนเอง เป็น "ลูกศิษย์พระพุทธรูป" แต่ประการ ใด
    รวมความว่า ของที่ถือว่าเป็นของสงฆ์นั้น คือ ของในวัดทุกประเภท ที่เขาภวายเป็นของสงฆ์แล้ว แม้แต่ ดอกไม้ ผลไม้ ในวัด เศษไม้ที่คิดว่า ทำอะไร ไม่ได้แล้ว เอามาทำฟืนบ้าง ทำอย่างอื่น เล็ก ๆ น้อย ๆ บ้างจง อย่าคิดว่า ไม่ทำบาป แม้แต่ เศษกระเบื้องที่ทิ้งแล้ว ก็เป็นของสงฆ์ มีผลเสมอกัน เว้นไว้แต่ ดอกไม้ ผลไม้ ที่พระหรือท่านผู้ใดปลูกในวัดถ้าท่านเจ้า ของยังอยู่ในเขตวัดนั้น และท่านอนุญาต อย่างนี้เอามาได้ไม่บาปด้วย ท่านเจ้าของมีสิทธิ์สมบูรณ์ ให้ได้ รับมาได้ ไม่มีโทษ ถ้าท่านผู้ปลูก ออกไปจากวัดนั้น หรือตายไปแล้ว ของนั้นเป็นของสงฆ์โดยตรง ไปเอามา มีโทษตามกำลังบาป ขโมยของสงฆ์
    และอีกประการหนึ่ง วัดร้างที่ไม่มีพระอยู่ แต่มีสภาพเป็นวัด ถ้าเราไปนำมานิดเดียว แม้แต่ต้นหญ้าต้นเดียว เขาถือว่า เป็น หนี้สงฆ์ อันนี้อันตรายมาก สมัย หลวงพ่อปาน ท่านก็แนะนำ ให้คนชำระหนี้สงฆ์ บาทสองบาท สลึงสองสลึง บางคน ไม่มี เงิน เอามาทำงานแทน ทำอะไรก็ได้ ไม่บังคับ คือ ดายหญ้าก็ตามไม่เอา ค่าแรง"
    ผู้ถาม : "แล้วเรื่องพระชำระหนี้สงฆ์มีความเป็นมาอย่างไรครับ..?"
    หลวงพ่อ : "เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ฉันไปที่ศรีราชาญาติโยมเขาถามเรื่องชำระหนี้สงฆ์ ถ้าหลายๆชาติมาเราไม่รู้อะไรมาบ้าง ถามว่า จะถามอย่างไร ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน พอตอบไม่รู้ ก็เห็นพระ ท่านลอยมา ท่านบอก "ถ้าจะชำระให้ครบถ้วน เป็น เงินเท่าไรก็ไม่พอให้สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก 4 ศอก"
    พระหน้าตัก 4 ศอก ถือว่า เป็นพระประธานมาตรฐาน ท่านบอกว่า "พระพุทธรูปนี่ ไม่มีใครตีราคาได้ ใช้ในการชำระหนี้สงฆ์ หนี้สงฆ์ที่แล้วๆมาถือเป็นการหมดไป"
    ฉันพูดแล้ว ก็กลับมาวัด ต่อมาพวกนั้น ก็ถามใหม่ว่า "สร้างพระองค์เดียวได้คนเดียวหรือกี่คน" ฉันก็ไม่รู้อีก ซิ ก็นึกถึงท่าน ท่านก็มาใหม่ ท่านก็บอกว่า
    "ถ้าไม่ปิดทองได้คนเดียว ถ้าปิดทองครบถ้วนได้ทั้งคณะ"
    คำว่า "คณะ" หมายความว่า บุคคลหลายคนก็ได้ ตัดบาปเก่า ถ้าสร้างใหม่ เอาอีกนะ สร้างหนี้ใหม่ต่อ เป็นหนี้ใหม่ เหมือน กันนะ
    ผู้ถาม : "ถ้าหากถามว่า เรามีสตางค์น้อย แล้วถวายพระจะได้ไหมครับ...?
    หลวงพ่อ : ถ้าเรามีสตางค์น้อยๆ ก็ใส่ซองเขียนหน้าซองว่า ชำระหนี้สงฆ์" คือว่า ไม่ได้จำกัด ทำไปเรื่อย ๆ ให้สบายใจ บาท สองบาทตามกำลังที่จะพึงทำได้ เขาไม่ได้เกณฑ์ว่า จะสร้างพระนี่ เขาถามก็บอก ท่านมาบอก อัตรานี้โละกันเลยนะคือ ไม่ ใช่จะเกณฑ์ให้สร้างพระ เพราะทุนไม่พอใช่ไหม เราก็ทำไปเรื่อย ใจสบาย
    มีสตางค์รับเงินเดือนมาทีทำ 5 บาท ใส่ซองถวายพระบอก "ขอชำระหนี้สงฆ์" ท่านไม่รู้ท่านใช้ผิดท่านลงนรกเองไม่ต้อง ห่วง ถ้าไปกินเป็นส่วนตัวละเรียบร้อย
    เงินชำระหนี้สงฆ์ มันมีค่ากว่า เงินสังฆทาน และวิหารทาน
    ถ้าไปใช้เป็นส่วนตัวไม่ได้ ต้องใช้เป็นส่วนกลางอันตรายกับพระ แต่ช่างท่านเถอะ ถ้าบวชแล้วอยากโง่ให้ลงนรกไปใช่ไหม"
    ผู้ถาม : " ถ้ามีญาติโยม เอาเงินไปถวายพระ แต่พระก็เอาเงินไปปลูกบ้านบ้าง ให้ญาติโยม ไปออกดอก ออกช่อบ้าง อยาก ทราบว่าผลบุญที่ลูกได้ทำแล้ว จะมีอนิสงฆ์สมบูรณ์แบบ หรือไม่เจ้าคะ...? "
    หลวงพ่อ : "เขาถวายเป็นของสงฆ์ใช่ไหม เขาถวายเข้าไปในวัดใช่ไหม แล้ววัดไม่ได้ทำอะไร แต่คนใน วัดเอาไปปลูกบ้าน เงินนั้นไปที่อื่นใช่ไหม เขาถวายอานิสงส์ มันได้ตั้งแต่ถวาย มีอานิสงส์ครบถ้วน นั่นเขา ครบ 100 เปอร์เซ็นต์เลยนะ คนอื่น เอาไปใช่ไหม อย่าไปยุงกับเขาเลยนะ
    อานิสงส์ได้ ตั้งแต่เริ่มให้ ยิ่งให้ ก็ยิ่งอานิสงส์หนักขึ้น เวลาให้ต้องให้ด้วยตนเองใช่ไหม ขณะที่พระรับก็เกิด ธรรมปีติอิ่มใจ อานิสงส์มันเพิ่ม แต่ว่าคนที่นำเอาไปใช้พิเศษ คนนั้นลงอเวจีแน่"
    คัดมาจากหนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับพิเศษ และหนังสือสมบัติ พ่อให้
    ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี


    http://www.firstbuddha.com/Buddha/dharma3.html
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://romphosai.com/forums/forum16/thread3241.html

    ผู้โพส เด็กฝั่งธนฯ
    แหล่งที่มา

    "นวโลหะ" v.s. "นยโลหะ"

    "ประสกอึ่งอ่าง"


    กลับมาอีกแล้วนะครับ สำหรับเรื่องราวเพื่อสาระและความรู้กึ่งเสียดสีวงการ ให้ประเทืองทั้งปัญญาและทั้งบันเทิงเริงใจอย่าง "เรื่องนี้ต้องขยาย" ในคราวนี้
    เมื่อเอ่ยถึงเนื้อโลหะผสมที่มีลักษณะ"กลับดำ"โดยธรรม ชาติชนิดหนึ่งที่เรียกหากันโดยทั่วไปว่า เนื้อ "นวโลหะ"นั้น หลายๆท่านก็คงจะทราบอยู่แก่ใจเป็นอย่างดีแน่นอนอยู่แ ล้วว่า อันเนื้อโลหะชนิดนี้ แค่ชื่อก็บอกชัดแจ่มแจ้งอยู่ในตัวแล้วว่า จะต้องมี"โลหะ 9 อย่าง" หล่อหลอมผสมผสานกันอย่างไม่อาจที่จะเป็นอื่นไปได้
    เพื่อรื้อฟื้นความทรงจำ ก็คงต้องไล่เรียงกันอีกสักครั้งหนึ่งไปเลยทีเดียวคือ
    1.ทองคำ
    2.เงิน
    3.ทองแดง
    4.ชิน
    5.ปรอท
    6.เหล็กละลายตัว
    7.เจ้าน้ำเงิน
    8.ดีบุก
    9.สังกะสี

    หากไม่ครบ ก็คงจะต้องเรียกในชื่ออื่นๆใดๆก็ได้ แต่ต้องไม่ใช้ชื่อว่า"นวโลหะ"อย่างเด็ดขาด ถ้ามีโลหะผสมกันเพียง 5 อย่าง ก็ต้องว่า"เบญจโลหะ" ถ้ามีโลหะผสมกัน 7 อย่าง ก็ต้องว่า "สัตตโลหะ" ถ้ามีโลหะผสมกัน 10 อย่าง ก็ต้องว่า "ทศโลหะ" และหรือว่า หากใครๆจะตั้งใจผสมเนื้อให้เริ่ดหรูสะแมนแตนอลังการง านสร้าง โดยหาโลหะนานาพรรณมาได้ถึง"10,000"ชนิด(สงสัยต้องนั่ งกระสวยอวกาศไปขุดเอาจากดาวอังคารเป็นแน่) ก็ต้องเรียกว่า"ทศสหัสโลหะ"จึงจะถูกต้องตามความเป็นจ ริงนะครับ แต่เดี๋ยวนี้กลับพัฒนาไปยิ่งกว่านั้น เพราะพระที่โฆษณาว่า "นี่คือพระเนื้อนวโลหะแท้ๆนะจ๊ะ" แต่พอเอาเข้าจริงๆแล้ว กลับผ่ากลับกลายเป็นเพียง"โลหะกลับดำ"ธรรมด๊า ธรรมดาที่มีโลหะส่วนผสมไม่ถึง 9 อย่าง ไปเสียนี่ ส่วนที่ยังมีคุณธรรมใน กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อยู่บ้าง แม้จะไร้เสียซึ่งวาสนาจักควานหาโลหะทั้ง 9 อย่างมาให้ครบถ้วนตามอัตราส่วนของตำราโบราณ แต่อยากสร้างพระเนื้อนวโลหะกับเขาบ้าง ก็เลยผสมเนื้อ"สัมริด"ขึ้นมาแล้วเอา"หัวชนวน"เนื้อ"น วโลหะ"แท้ๆ"หยดใส่" พอให้ได้ชื่อว่า"มี" เพียงนี้ ก็ยังนับว่าดีเป็นนักๆแล้ว

    ในยุคที่"พระเครื่อง"กลายเป็นธุรกิจข้ามชาติ ที่ต้องผลิตอย่าง"อุตสาหกรรมหนัก"ไปเสียแล้ว เพราะอย่างไรเสีย ก็ได้ชื่อว่า"นวโลหะ"อยู่นั่นเอง แม้เนื้อหาออกจะ"จืดชืด"จากต้นตำรับแห่งบูรพคณาจารย์ แต่กาลก่อนเหมือนอย่างคำบาลีที่ว่า "อัพโพหาริก"(มีก็เหมือนไม่มี)อย่างไม่มีผิดเพี้ยนจน ไม่เห็นฝุ่นเลยก็ตามที เพราะยังดีกว่าบางเจ้าที่สุดแสนจะน่ารักและขโมยไปนั่ งยางโดยแท้ เพราะเจ้าหล่อนมีแค่"ทอแดง"ผสมกับ"ดีบุก" 2 อย่างเท่านั้น ก็ยังมีหน้ามาร้อง"โย่"หรือ"เยสส์"แล้วก็ตามด้วย"โอเ คนะคะๆๆๆๆ...."เรียบร้อยโรงเรียนเจ๊ไปแย้ว...... ก็ทราบหรือไม่เล่าท่านผู้ชม ว่าโลหะราคาถูกๆ2 อย่างกับส่วนผสมอื่นๆอีกเล็กน้อยเท่านี้ เมื่อผสมกัน ก็พอที่จะ"กลับคล้ำๆ"คล้ายๆกับนวโลหะตอน"เริ่มดำ"หลอ กตา"ผู้ไม่รู้"แบบน้ำขุ่นคลั่กๆได้ เรียบร้อยแล้ว มักจะปรากฏอย่างดาษดื่นในบรรดา เนื้อนวโลหะราคาถูกๆ ตามโรงงานปั๊มหรือหล่อพระทั่วไป จนได้อีกชื่อหนึ่งว่า"นวะโรงงาน"นั่นแล แต่ให้ฟ้าผ่าแมวโดราเอม่อนเถิด ผมไม่อยากเนื้อนวะโรงงานนี้ว่าเป็น"นวะ"เลยจริงๆ เพราะจะคิดอีท่าไหน มันก็หาใช่เป็นเนื้อ"นวโลหะ"ไม่จนแล้วจนรอดอยู่นั่นแ ล
    น่าจะเรียกว่า"นยโลหะ"จะเหมาะสมและถูกต้องตามความเป็ นจริงกว่าด้วยประการไหนๆ ก็"โลหะนะยะ(หล่อน)"อันได้แก่"นวโลหะปลอม"หรือ"นวโลห ะอุปโลกน์"ไงล่ะฮ้า ท่านผู้ชม.... **ประมาณทำนองเดียวกับ"ชายไม่จริง หญิงไม่แท้"นั่นแหละฮ่า............ **จุ๊กกรู้ๆๆๆ....................................
    <!-- / message -->
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เหนือ-อีสานอุณหภูมิลดลง คาดภาคกลางอาจหนาวถึงก.พ. กทม.ได้ลุ้นอากาศเย็นต่อ

    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=15395&catid=27

    หนาวมาเยือนอีกระลอก กรมอุตุฯชี้เหนือ-อีสานอุณหภูมิลดต่ำลงที่สุด กทม.-ภาคกลางก็ได้ลุ้น อากาศเย็นต่อเนื่องอีกหลายวัน มวลอากาศเย็นปกคลุมไทยเป็นระยะ

    สำนักพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 4 มกราคม 2551 ความกดอากาศสูง หรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงจากประเทศจีนได้แผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลงอีก 1-3 องศาเซลเซียส ขณะเดียวกันก็จะมีอากาศหนาวเย็นโดยทั่วไป โดยเฉพาะในวันที่ 3 มกราคมนี้อุณภูมิจะลดลงต่ำที่สุด จะส่งผลให้หลายจังหวัดในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย รวมถึงภาคอีสาน มีอุณหภูมิหนาวเย็นมากยิ่งขึ้น

    ทั้งนี้ จากสภาพอากาศดังกล่าวยังส่งผลให้มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้มีกำลังแรง จึงทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มมากขึ้น กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะทางตอนล่างของภาค ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยโดยเฉพาะบริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ระมัดระวังอันตรายจากสภาวะฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ส่วนคลื่นลมในอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-4 เมตร ขอให้ชาวเรือที่เดินเรือในอ่าวไทยเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ เรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง และผู้ที่อาศัยตามแนวชายฝั่งขอให้ระมัดระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่ซัดเข้าหาฝั่งในช่วงนี้
    สำหรับภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้รับผลกระทบจากความกดอากาศสูงดังกล่าวเช่นกัน โดยจะมีอากาศเย็นต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 4 มกราคมนี้เช่นเดียวกัน

    'ช่วงนี้ยังถือว่าเป็นช่วงของฤดูหนาว ดังนั้น จึงจะมีความกดอากาศสูง หรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ปกคลุมประเทศไทยเป็นระยะ และยังจะมีสภาพอากาศในลักษณะนี้ต่อไปอย่างต่อเนื่อง จนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2551 จึงจะเข้าสู่ฤดูร้อน' สำนักพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยาระบุ

    *******************************************************

    ระวังสุขภาพกันด้วยนะครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สมุนไพร พิชิตหนาว
    http://women.sanook.com/health/herbal/herbal_46573.php

    เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาว สาวๆ ต้องดูแลสุขภาพนะคะ
    หลักง่ายๆ ของการดูแลสุขภาพโดยทั่วไปคือ ต้องดูแลร่างกายให้ ได้รับความอบอุ่น เริ่มกันตั้งแต่การรับประทานอาหาร เครื่องดื่ม การทำความสะอาดร่างกาย ตลอดจนการดูแลสุขภาพด้านอื่นๆ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วย
    ซึ่ง WP มีคำแนะนำดีๆ มาฝากค่ะ

    [​IMG]


    + ฤดูหนาวรับประทานอะไรดี
    สำหรับการรับประทานอาหารในช่วงฤดูหนาว สาวๆ อย่างเราควรเลือกรับประทานอาหารที่ร้อนและปรุงเสร็จใหม่ๆ ควรมีรสเปรี้ยวอมขมเล็กน้อย และรสเผ็ด เช่น แกงส้มดอกแค แกงขี้เหล็ก แกงป่า สะเดาน้ำปลาหวาน และน้ำพริก เพราะธรรมชาติจะปรับเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ผักพื้นบ้านและพืชสมุนไพรในฤดูต่างๆ ก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน ในฤดูหนาว มักจะมีสมุนไพรพื้นบ้าน เช่น สะเดา ซึ่งมีรสขม เมื่อกินแล้วจะช่วยแก้ไข้ ทำให้เจริญอาหาร ขี้เหล็กมีสรรพคุณช่วยระบาย ดอกแคแก้ไข้หัวลม ซึ่งสาว WP ควรเลือกรับประทานผักพื้นบ้านที่มีอยู่ตามฤดูกาล ส่วนการเลือกเครื่องดื่มในช่วงหน้าหนาวนี้ ควรจะเป็นเครื่องดื่มร้อนๆ เช่น น้ำขิง ชาสมุนไพร เพื่อช่วยให้ชุ่มคอ ลดอาการไอ แก้หวัด ซึ่งป้องกันการเป็นหวัดในช่วงนี้ได้อีกทางหนึ่งด้วย

    + หน้าหนาวควรดูแลร่างกายอย่างไร
    ด้วยอากาศที่หนาวเย็น เราควรอาบน้ำด้วยน้ำอุ่นและเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่หนา แต่บางครั้งการอาบน้ำอุ่นจะทำให้ผิวแห้งง่ายกว่าอาบน้ำเย็น เพราะน้ำมันที่ผิวหนังจะถูกชะล้างออกไป รวมทั้งความชื้นของอากาศที่ลดลง ก็จะเพิ่มให้ผิวแห้งแตกและคันได้ง่าย ดังนั้น สาวๆ ควรจะดูแลร่างกายในช่วงหน้าหนาวนี้เป็นพิเศษ โดยสามารถนำเอาสมุนไพรพื้นบ้านมาประยุกต์ใช้ดูแลผิวพรรณ อย่าง น้ำมันงา ขมิ้นชัน ผิวมะนาว และผิวมะกรูด

    สมุนไพรดูแลผิวพรรณ
    + น้ำมันงา นำงาดิบประมาณ 1 ถ้วย โขลกให้ละเอียด บีบเอาน้ำมันจากงาเก็บไว้ในขวด ทาผิวตอนเช้าและก่อนนอน น้ำมันงาจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดอาการแห้งแตกและคัน
    + ขมิ้นชัน มีสรรพคุณช่วยลดอาการคันและช่วยลดอาการผดผื่นตามผิวหนัง เพียงนำขมิ้นชันสดมาล้างให้สะอาด โขลกให้ละเอียด บีบน้ำที่ได้นำมาทาผิว หลังอาบน้ำเช้า-เย็น แต่อาจจะมีสีของขมิ้นติดตามเสื้อผ้าที่สวมใส่
    + ผิวมะกรูด น้ำมันที่ผิวของมะนาวและมะกรูด จะช่วยเคลือบผิว ให้ชุ่มชื้น ลดอาการคัน ลดการอักเสบ โดยนำมะนาวที่ใช้แล้ว ส่วนบริเวณผิวด้านนอกของมะนาว มาทาผิวบริเวณที่แห้งคัน เช้า-เย็น ก็จะช่วยลดอาการคันได้

    + การดูแลสุขภาพด้วยการอาบสมุนไพร
    การอาบน้ำอุ่นในฤดูหนาวจะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น เพราะในฤดูหนาว คนส่วนใหญ่มักจะเป็นหวัด คัดจมูก และคันตามผิวหนัง ซึ่งหากนำสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยลดอาการคัน มาต้มอาบแทนน้ำเปล่า ก็จะช่วยบรรเทาอาการคันได้ดี สมุนไพร ที่หาได้ง่าย ที่ควรนำมาต้มมีดังนี้

    [​IMG]• ยอดผักบุ้ง จำนวน 5 ยอด ใช้รักษาอาการคัน
    • ใบมะกรูด จำนวน 3-5 ใบ แก้วิงเวียน ช่วยให้หายใจสบาย
    • ใบมะขาม/ใบส้มป่อย 1 กำมือ แก้อาการคันตามร่างกาย ช่วยให้ผิวหนังสะอาด
    • ต้นตะไคร้ จำนวน 3 ต้น บำรุงธาตุไฟ
    • หัวไพล จำนวน 2-3 หัว ลดอาการอักเสบ ปวด บวม
    • ใบหนาด จำนวน 3-5 ใบ ช่วยบำรุง แก้โรคผิวหนัง น้ำเหลือง
    • หัวขมิ้นชัน จำนวน 2-3 หัว ช่วยสมานแผล แก้คันตามผิวหนัง
    • การบูร จำนวน 15 กรัม ช่วยบำรุงหัวใจ
    • หัวหอมแดง จำนวน 3-5 หัว แก้หวัดคัดจมูก

    เพียงนำสมุนไพรทั้งหมดมาต้มรวมกัน ผสมน้ำเย็นให้พออุ่น แล้วนำมาอาบ สรรพคุณของสมุนไพรก็จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ลดอาการคันตามผิวหนัง ช่วยให้หายใจโล่ง แค่นี้สาวๆ ก็จะรู้สึกสบายตัว ไม่ต้องกังวลกับฤดูหนาวแล้วค่ะ





    Woman plus Vol.9 No. 414 (14 December 2007)<!--END-->​

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  12. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    งั้นเป็นพิธี ขอของขลังของคุณเพชรได้อ่ะเปล่าครับ(deejai)
    nongnooo...
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พี่และพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ หลายๆท่าน ร่วมด้วยช่วยกันกับน้องเอ เรื่องงานบวชของผู้ที่อยากบวชด้วยนะครับ

    เมื่อวานนี้ ทำเรื่องขออนุมัติจาก ผบทบ.เรียบร้อยแล้ว ส่วนจะเดินทางเมื่อไร จะโทร.บอกน้องเออีกครั้งนะครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    เสร็จไป ๑ หิ้ง ขาดอีก ๑ หิ้ง แรงหมดซะก่อนครับ คุณหนุ่ม วันเสาร์ที่ ๑๒ มกราคมหน้านี้(ฤกษ์พรหมประสิทธิ์ เสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ) อย่าลืมนะครับ จะทำพิธีกรรมเกี่ยวกับพระ เกี่ยวกับเจ้า พิธีกรรมเกี่ยวกับของขลังทั้งหลาย หรือการทำพิธีทั้งหลาย การจัดหิ้งพระมีผลดีมากเลยครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nongnooo [​IMG]
    งั้นเป็นพิธี ขอของขลังของคุณเพชรได้อ่ะเปล่าครับ(deejai)
    nongnooo...

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    มีหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่ผมเคยประสบพบเห็นมา ในความคิดของตนเอง(ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่า จะถูกต้องตรงกับความเป็นจริงหรือไม่) ในหลายๆเหตุการณ์ เป็นเรื่องของวาสนาบารมีของแต่ละคน เป็นเรื่องของ ของๆใครก็จะเป็นของๆคนนั้น ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ต้องได้ เป็นเรื่องของการมีบุพกรรมร่วมกันมาครับ

    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พิธีทำบุญคล้ายวันมรณภาพ ครบ ๓๗ ปี 'ท่านเจ้าคุณนรฯ'
    http://palungjit.org/showthread.php?t=107236

    [​IMG]
    รูปจากhttp://www.komchadluek.net/2008/01/02/photo_42104.php



    <TABLE class=tborder id=post896444 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">เมื่อวานนี้, 11:32 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>:::เพชร:::<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_896444", true); </SCRIPT>
    สมาชิก
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 09:20 AM
    วันที่สมัคร: Jul 2006
    อายุ: 42 ปี
    ข้อความ: 2,372 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 15,476 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 23,626 ครั้ง ใน 2,430 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 2614 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_896444 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->พิธีทำบุญคล้ายวันมรณภาพ ครบ ๓๗ ปี 'ท่านเจ้าคุณนรฯ'
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->พิธีทำบุญคล้ายวันมรณภาพ ครบ๓๗ ปี 'ท่านเจ้าคุณนรฯ'

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=567 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top></TD></TR><TR><TD class=Text_Story vAlign=top><!-- [​IMG][/IMG] [​IMG] 0 นายทองต่อ กล้วยไม้ ณ อยุธยา อดีตปลัดกรุงเทพมหานครในฐานะประธานมูลนิธิพระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) กล่าวว่า วัดเทพศิรินทราวาส มูลนิธิพระพระยานรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์)


    โรงเรียนเทพศิรินทร์ ได้กำหนดการบำเพ็ญกุศลคล้ายวันมรณภาพ ครบรอบปีที่ ๓๗ พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ณ พระอุโบสถวัดเทพศิรินทราวาส ในวันอังคารที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๑ โดยมี เจ้าประคุณสมเด็จพระญาณวโรดม เป็นประธานในพิธี
    พิธีเริ่มณ เวลา ๐๙.๑๕ น.พระธรรมไตรโลกาจารย์ วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม แสดงพระธรรมเทศนา พระสงฆ์ ๔ รูป สวดรับเทศน์ พระสงฆ์วัดเทพศิรินทราวาส ๑๐ รูป สวดพระพุทธมนต์ เวลา ๑๑.๐๐ น.ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ สามเณร วัดเทพศิรินทราวาส ทั้งวัด เวลา ๑๒.๐๐ น.บังสุกุล จึงขอเรียนเชิญท่านผู้มีเกียรติที่เคารพศรัทธาเลื่อมใสใน "ท่านธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ" ร่วมงานบำเพ็ญกุศลตามกำหนดการดังกล่าว
    สำหรับประวัติ "ท่านเจ้าคุณนร" (ท่านธมฺมวิตกฺโก ภิกฺขุ หรือพระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต) เกิดเมื่อวันเสาร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีระกา ตรงกับวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๐ เวลา ๐๗.๒๕ น. ณ บ้านหลังวัดโสมนัสวิหาร อ.ป้อมปราบศัตรูพ่าย จ.พระนคร บิดาชื่อ พระยานรราชภักดิ์ (ตรอง จินตยานนท์) มารดาเป็น อุบาสิกาชื่อ นางราชภักดิ์ (พุก จินตยานนท์) มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๕ คน
    ท่านเจ้าคุณนรฯ ได้อุปสมบทในวันถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เพื่อน้อมเกล้าฯถวายเป็นพระราชกุศล ณ วัดเทพศิรินทราวาส โดยมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร) เป็นพระอุปัชฌาย์ ขณะที่บวชท่านเจ้าคุณนรฯ มีอายุ ๒๘ ปี
    กิจของสงฆ์นอกจากรักษาศีล ๒๒๗ ข้อแล้วยังให้ความสำคัญในการออกรับบิณฑบาตตอนเช้า ชั่วระยเวลาหนึ่ง รวมทั้งการลงโบสถ์ การสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น อย่างเคร่งครัดตลอดเวลาที่อยู่ในสมณเพศ ท่านเจ้าคุณนรฯ ได้มรณภาพเมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๑๔
    ในการบำเพ็ญกุศลคล้ายวันมรณภาพซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ผู้เคารพศรัทธาเลื่อมใส "ท่านเจ้าคุณนรฯ" ว่าจะมีขึ้นทุกวันที่ ๘ มกราคม เป็นประจำทุกปี จึงมีผู้เดินทางไปร่วมงานกันอย่างเนืองแน่น โอกาสนี้ทางวัดได้เปิดให้ศรัทธาสาธุชนเข้าสักการบูชาอัฐิธาตุของท่านเจ้าคุณนรฯ อย่างใกล้ชิด ภายในพระอุโบสถ นอกจากนี้ยังผู้นำหนังสือธรรมะแจกเป็นที่ระลึกให้กับผู้ร่วมงานโดยทั่วกัน
    ขณะเดียวกันได้มีศิษยานุศิษย์อีกไม่น้อยที่ได้นำอาหารต่างๆ ทั้งคาวหวานไปเปิดโรงทานบริการแก่ผู้ร่วมงานได้รับประทาน "ฟรี" อีกด้วย
    ในส่วนของหนังสือที่"ท่านเจ้าคุณนรฯ" ได้แปลไว้เล่มหนึ่ง ที่มีผู้ให้ความสนใจมาก คือหนังสือ "วิทยาศาสตร์การหายใจ" ซึ่งได้จำหน่ายหมดไปครั้งหนึ่งแล้วนั้น จากการเปิดของ นายสุทธิจิตต์ จินตยานนท์ (หลานชายของท่านเจ้าคุณนรฯ) บอกว่า ขณะนี้ได้จัดพิมพ์ขึ้นมาใหม่ ด้วยรูปแบบที่เหมือนเดิมทุกประการ ในวันจัดงานทำบุญฯ ทางมูลนิธิจะนำหนังสือเล่มนี้มาจำหน่ายเพื่อการกุศล เล่มละ ๒๐๐ บาท โดยจะนำรายได้ในส่วนนี้สมทบทุนมูลนิธิต่อไป
    สำหรับหนังสือประวัติและภาพวัตถุมงคลของ"ท่านเจ้าคุณนรฯ ฉบับมาตรฐาน" ติดต่อได้ที่ผู้จัดทำโดยตรง นายธนิต ผดุงศิลป์ บ้านเลขที่ ๙๖/๓-๔ ถนนงามวงศ์วาน(ซอย๑๒) อ.เมือง จ.นนทบุรี ๑๑๐๐๐ โทร.๐-๒๙๕๑-๘๔๗๘, ๐-๒๙๕๑-๗๙๓๕ เล่มละ๑,๕๐๐ บาท ธนาณัติ สั่งจ่าย ปณ.งามวงศ์วาน (ค่าส่งฟรี) รายได้ส่วนหนึ่งมอบให้กับยุวพุทธิกสมาคม จ.ชลบุรี
    หนังสือเล่มนี้มี๔๐๐ หน้า พิมพ์ด้วยกระดาษอาร์ตอย่างดี สี่สีทั้งเล่ม ประกอบด้วยประวัติท่านเจ้าคุณนรฯ อย่างละเอียด มีหลายเรื่องที่หลายคนยังไม่ทราบมาก่อน และวัตถุมงคลที่ท่านได้อธิษฐานจิต ซึ่งแบ่งออกเป็น ๓ ยุค คือ ยุคแรก อธิษฐานจิตถวายสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ยุคที่สอง อธิษฐานจิตให้กับนายอธึก สวัสดีมงคล ยุวพุทธิกสมาคม จ.ชลบุรี พระราชปัญญาโกศล (เจ้าคุณอุดมสารโสภณ) และพระสงฆ์ในวัดเทพศิรินทร์ ยุคที่สาม วัตถุมงคลที่ได้อธิษฐานจิตไว้ก่อนมรณภาพ รวมทั้งสิ่งของต่างๆ ที่ท่านได้เก็บไว้ เช่น ใบตอง ผงพุทธคุณ เม็ดกริ่ง แล้วนำมาสร้างเป็นองค์พระทีหลัง
    -->

    สำหรับประวัติ "ท่านเจ้าคุณนร" (ท่านธมฺมวิตกฺโก ภิกฺขุ หรือพระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต) เกิดเมื่อวันเสาร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีระกา ตรงกับวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๐ เวลา ๐๗.๒๕ น. ณ บ้านหลังวัดโสมนัสวิหาร อ.ป้อมปราบศัตรูพ่าย จ.พระนคร บิดาชื่อ พระยานรราชภักดิ์ (ตรอง จินตยานนท์) มารดาเป็น อุบาสิกาชื่อ นางราชภักดิ์ (พุก จินตยานนท์) มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๕ คน
    ท่านเจ้าคุณนรฯ ได้อุปสมบทในวันถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เพื่อน้อมเกล้าฯถวายเป็นพระราชกุศล ณ วัดเทพศิรินทราวาส โดยมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร) เป็นพระอุปัชฌาย์ ขณะที่บวชท่านเจ้าคุณนรฯ มีอายุ ๒๘ ปี
    กิจของสงฆ์นอกจากรักษาศีล ๒๒๗ ข้อแล้วยังให้ความสำคัญในการออกรับบิณฑบาตตอนเช้า ชั่วระยเวลาหนึ่ง รวมทั้งการลงโบสถ์ การสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น อย่างเคร่งครัดตลอดเวลาที่อยู่ในสมณเพศ ท่านเจ้าคุณนรฯ ได้มรณภาพเมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๑๔

    ที่มา หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
    [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    *********************************************************************

    ท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านเป็นศิษย์ผู้พี่ของอาจารย์ของคณะเรา และมีองค์พระอุปัชฌาย์ (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร)) องค์เดียวกันครับ

    ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ติดตามได้ในกระทู้ พิธีทำบุญคล้ายวันมรณภาพ ครบ ๓๗ ปี 'ท่านเจ้าคุณนรฯ'
    http://palungjit.org/showthread.php?t=107236

    โมทนาสาธุครับ

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pla2914.jpg
      pla2914.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.8 KB
      เปิดดู:
      5,436
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ระวัง! “สแปม”จะมาเยือนคุณโดยไม่รู้ตัว
    http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9500000154611
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>31 ธันวาคม 2550 18:56 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> หลายคนคงจะคุ้นเคยกับคำว่า Spam Mail หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Unsolicited Commercial Email (UCE) ซึ่งหมายถึง 1 การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้รับไม่ได้ร้องขอ โดยส่วนมากจะมีจุดมุ่งหมายในการโฆษณาสินค้า โดยที่เราไม่รู้เลยว่าผู้ที่ส่งมานั้นเป็นใคร ความนิยมในการส่งสแปมเมลมีเพิ่มมากขึ้นจนมีจำนวนมากถึง 9-60 พันล้านต่อปี เนื่องจากความสามารถในการส่งข้อมูลซึ่งคล้ายกับการส่งจดหมายทั่วไป แต่มีความเร็วในการส่งสูงและมีต้นทุนที่ต่ำ ผู้ส่งสามารถส่ง Spam Mail จำนวนเป็นพันพร้อมกันในเวลาไม่กี่วินาทีโดยใช้ต้นทุนเพียงไม่กี่ร้อยบาท

    Spam Mail ถือเป็นสื่อโฆษณาที่มีต้นทุนต่ำซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบธุรกิจรายใหม่ได้ใช้ประโยชน์ในการโปรโมตสินค้าของตน แต่อย่างไรก็ตามมันก็ได้สร้างผลกระทบและความเสียหายไว้แก่ผู้รับอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นความเสียหายที่เกิดต่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือ ISP ที่ระบบต้องเสียหายหรือช้าลงไปจนผิดปกติเนื่องจากการได้รับ Spam Mail เป็นจำนวนมากจน Server ไม่สามารถรองรับได้ หรือผลกระทบที่เกิดต่อผู้รับ Spam Mail ที่ต้องเสียเวลาในการเปิดเมล์เหล่านี้และพบว่าเป็นข้อมูลที่ไม่ต้องการ

    ที่สำคัญ ข้อมูลโดยมากที่มากับ Spam Mail มักจะเป็นข้อมูลที่ไม่พึงประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับการขายสินค้าลามกอนาจาร ข้อมูลปลอม รวมถึงการแฝงเอาไวรัส หรือโปรแกรมต่างๆ ที่สามารถสร้างความเสียหายได้เข้ามาในเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้รับ เปรียบเทียบง่ายๆกับการที่มีคนนำใบปลิวขายสินค้าที่เราไม่ต้องการมาใส่ไว้ในตู้จดหมายหน้าบ้านเราเป็นจำนวนหนึ่งพันแผ่นทุกๆวัน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือผู้รับจะต้องเสียเวลาในการคัดแยกจดหมายที่ต้องการออกจากใบปลิวและนำใบปลิวเหล่านี้ไปทิ้งทุกๆวัน

    ปริมาณใบปลิวที่มากจนเต็มตู้จดหมายจนไม่สามารถจะรับจดหมายสำคัญจากไปรษณีย์ได้ เหล่านี้คือผลกระทบที่สร้างปัญหาให้กับผู้รับเป็นอย่างมาก

    ผู้ใช้อีเมลหลายคนมีวิธีป้องกัน Spam Mail โดยการตั้ง Filter เพื่อกรองอีเมลที่เข้ามา โดยอีเมลจากบุคคลที่ผู้ใช้ไม่รู้จักจะถูกส่งให้ไปอยู่ใน junk email folder แต่เทคโนโลยีก็คือเทคโนโลยีซึ่งมักจะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ คือบางครั้งอีเมลที่ผู้ใช้ต้องการก็อาจจะถูกส่งไปอยู่ใน junk email folder ทำให้พลาดอีเมลสำคัญไปในบางครั้ง

    ในปี 2003 ประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการออก CAN-SPAM Act of 2003 มาควบคุม Spam Mail ซึ่งแม้จะทำให้จำนวน Spam Mail ลดลงแต่ก็ไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาให้หมดไปได้ เช่นเดียวกับประเทศไทยที่มีการกำหนดบทบัญญัติที่ออกมาควบคุม Spam Mail ไว้ในมาตรา 11 ของพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ระบุว่า

    “ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่นโดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว อันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นโดยปกติสุข ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท”

    หากพิจารณาถึงบทบัญญัติข้างต้น จะเห็นได้ว่ากฎหมายได้กำหนดองค์ประกอบความผิดในเรื่อง Spam Mail ไว้ 2 ข้อคือจะต้องเป็นการส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์

    1.โดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว ซึ่งมุ่งหมายถึงการปลอมแปลงหรือปกปิด IP Address ของผู้ส่ง

    2.เป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นโดยปกติสุข ซึ่งจะต้องมีความรุนแรงพอสมควรโดยใช้มาตรฐานวิญญูชนเป็นเกณฑ์พิจารณา

    บทบัญญัติข้างต้นได้กำหนดโทษไว้เพียงโทษปรับ ไม่มีโทษจำคุก แต่เป็นคดีที่ไม่สามารถยอมความได้

    อย่างไรก็ตาม ยังคงมีประเด็นถกเถียงกันเกี่ยวกับบทบัญญัติข้างต้นว่า หาก Spam Mail นั้นไม่ได้ปกปิดแหล่งที่มา แต่ส่งมาเป็นจำนวนมากจนทำให้การทำงานของระบบผู้รับผิดปกติไป จะมีความผิดหรือไม่? อย่างไรจึงจะเรียกว่าเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นโดยปกติสุข เช่น หากผู้ส่งส่ง Spam Mail โดยเปิดเผยแหล่งที่มาให้พนักงานทุกคนในบริษัท ก. คนละหนึ่งฉบับ แต่ปริมาณทั้งหมดที่ส่งเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัท ก. โดยปกติสุข ผู้ส่งจะมีความผิดหรือไม่ ในความเห็นของผู้เขียน บทบัญญัติเรื่อง Spam Mail นั้นน่าจะเป็นบทบัญญัติที่แตกออกมาจากมาตรา 10 ระบุว่า

    “ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบ เพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนจนไม่สามารถทำงานตามปกติได้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

    อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ในกรณีที่การส่ง Spam Mail ให้แต่ละบุคคลจะไม่ได้มีปริมาณมาก แต่ก็สร้างความรำคาญ ทำให้เสียเวลาและทรัพยากรผู้รับในการอ่านและกำจัด Spam Mail เหล่านั้น และในส่วนของ ISP เองก็ได้รับความเสียหายจากการที่ผู้ใช้บริการของตนจำนวนมากได้รับ Spam Mail จนทำให้ระบบของ ISP ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ

    ภายหลังจากที่ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่สมบูรณ์ ช่องโหว่ และข้อบกพร่องของพระราชบัญญัติฉบับนี้ ซึ่งก็คงต้องยอมรับว่าไม่มีกฎหมายใดที่บัญญัติขึ้นมาโดยปราศจากข้อบกพร่อง หากแต่พระราชบัญญัติฉบับนี้ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของกฎหมาย IT ในประเทศไทยที่มีแนวโน้มที่จะพัฒนาขึ้นตามเวลา เพียงแค่ให้มีการบังคับใช้อย่างจริงจังโดยความร่วมมือของทั้งฝ่ายราชการและเอกชน ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เสือกระดาษหรือกฎหมายที่ไม่สามารถบังคับใช้ได้จริงอย่างที่หลายๆคนได้ให้ความเห็นไว้
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่าน
    http://palungjit.org/showthread.php?t=104579

    <TABLE class=tborder id=post864868 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">15-12-2007, 03:37 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>Pattana<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_864868", true); </SCRIPT>
    สมาชิก กิตติมศักดิ์
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: เมื่อวานนี้ 02:01 PM
    วันที่สมัคร: Sep 2005
    อายุ: 40 ปี
    ข้อความ: 2,631 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 18,741 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 36,951 ครั้ง ใน 2,671 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 4003 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_864868 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่าน
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->เนื่องจากเวป palungjit.org ได้เปิดให้สมาชิกได้ใช้ประโยชน์จากเวปได้โดยไม่ได้มีการเก็บค่าใช้จ่ายใดๆ

    ดังนั้นเพื่อเป็นการช่วยกันประหยัดเนื้อที่ใน Hard disk ของ Server เพื่อแบ่งปันเนื้อที่ให้สมาชิกท่านอื่นได้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างทั่วถึง จึงขอความร่วมมือมายังท่านท่านสมาชิกที่มีการนำเสนอรูปภาพดังนี้ครับ

    รูปที่ถ่ายมาจากกล้อง Digital เนื่องจากในปัจจุบันนั้น ภาพที่ได้จากกล้องมีขนาด Pixel ที่สูงขึ้น หากท่านนำมา Load ขึ้นเวปเลย โดยไม่มีการปรับขนาดของภาพให้เล็กลงนั้น ทำให้ต้องเสียพื้นที่ในการเก็บภาพมากขึ้น จึงขอให้ท่านสมาชิกได้ปรับขนาดของภาพให้เหลือลงเท่าที่ต้องการนำเสนอ และลดขนาดของภาพลงให้พอประมาณโดยที่ยังสามารถเห็นรายละเอียดของภาพได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะทำให้ Hard disk มีที่ว่างเหลือมากขึ้น และสมาชิกสามารถจะเรียกดูรูปได้อย่างรวดเร็ว

    จึงขอความร่วมมือมายังท่านสมาชิกทุกท่านดังนี้ครับ

    ยกตัวอย่างภาพด้านล่างนี้ ซึ่งสมาชิกได้ถ่ายมาจากกล้องโดยไม่ได้มีการปรับลดขนาดของภาพลง ซึ่งเวลาที่ท่านคลิ้กที่ภาพเพื่อต้องการดูภาพขนาดใหญ่ จะเห็นว่าต้องใช้เวลาในการ Load ภาพอยู่พอสมควร และมีขนาดของภาพที่ใหญ่มากเพราะมี Resolution อยู่ที่ 1920x1080 pixels โดยมีขนาดของไฟล์อยู่ที่ 876.2 KB ซึ่งต้องใช้เวลาในการ Upload ค่อนข้างนาน
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG]
    </FIELDSET>
    จากภาพข้างบน ได้นำมาทำการ Crop ภาพ เพื่อให้เหลือพื้นที่ของภาพเฉพาะที่ต้องการจะนำเสนอ และได้ Resize ขนาดของภาพจากเดิมลงเหลือเพียง 340x320 Pixels ทำให้เหลือขนาดของไฟล์เพียง 52.4 KB เท่านั้น แต่ยังสามารถเห็นรายละเอียดของภาพ และใช้เวลาในการ Load ภาพได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งหากท่านคลิ้กที่ภาพจะเห็นว่าใช้เวลาไม่มากในการจะดูภาพที่มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG]
    </FIELDSET>
    ลองคลิ้กที่ภาพทั้งสอง จะเห็นความแตกต่างที่ชัดเจน

    <LEGEND>รูปจากกล้องที่ไม่ได้ทำการปรับลดขนาด</LEGEND>
    [​IMG]

    <LEGEND>จากรูปบนหลังจากที่ได้ทำการปรับลดขนาดแล้ว</LEGEND>[​IMG]

    แนะนำให้ใช้ ASDSee 6.0 ขึ้นไป ในการ Crop ภาพและ Resize ภาพครับ เพราะใช้งานค่อนข้างง่าย

    ขอบคุณสมาชิกทุกท่านที่ให้ความร่วมมือ เพื่อที่ Server จะได้มีเนื้อที่เหลือว่างเพื่อให้บริการกับสมาชิกท่านอื่นๆได้อย่างสะดวกและทั่วถึงครับ

    <!-- / message -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. littlelucky

    littlelucky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +1,938
    สมเด็จพระสังฆราชกรุงรัตนโกสินทร์ รวม ๑๙ พระองค์
    <table top="" bordercolorlight="#00FF00" bordercolordark="#FF00FF" border="1" bordercolor="#0000ff" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr> <td align="center" width="219"> </td> <td align="center" valign="top" width="150"> </td> <td align="center" valign="top" width="131"> </td> <td align="center" valign="top" width="132"> </td> <td align="center" valign="top" width="137"> </td> </tr> <tr> <td align="center" valign="top" width="219"> </td> <td align="center" valign="top" width="150"> </td> <td align="center" valign="top" width="131"> </td> <td align="center" valign="top" width="132"> </td> <td align="center" valign="top" width="137"> </td> </tr> <tr> <td align="center" valign="top" width="219"> </td> <td align="center" valign="top" width="150"> </td> <td align="center" valign="top" width="131"> </td> <td align="center" valign="top" width="132"> </td> <td align="center" valign="top" width="137"> </td> </tr> <tr> <td align="center" valign="top" width="219"> </td> <td align="center" valign="top" width="150"> </td> <td align="center" valign="top" width="131"> </td> <td align="center" valign="top" width="132"> </td> <td align="center" valign="middle" width="137">



    </td></tr></tbody></table>
     
  19. littlelucky

    littlelucky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +1,938
    มหาราช

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
    <!-- start content --> มหาราช เป็นคำสันสกฤตจากคำว่า มหาราชา เป็นชื่อเรียกกษัตริย์หรือผู้ปกครอง ที่ได้ทำภารกิจอย่างมากมายช่วยเหลือผู้คนทั้งด้านการรบ การแก้ไขปัญหาภายในประเทศ การรักษาเอกราชของประเทศ คงไว้ด้วยความยุติธรรมอันเป็นแบบอย่างที่ดี ในประเทศหรือเขตการปกครองต่างๆ จึงได้รับการยกย่องว่าเป็น "มหาราช" เขียนไว้ที่ท้ายชื่อ
    <table id="toc" class="toc" summary="เนื้อหา"> <tbody><tr> <td> เนื้อหา

    [ซ่อน]
    </td> </tr> </tbody></table> <script type="text/javascript"> //<![CDATA[ if (window.showTocToggle) { var tocShowText = "แสดง"; var tocHideText = "ซ่อน"; showTocToggle(); } //]]> </script>
    [แก้] กษัตริย์พระองค์ที่ได้รับสมัญญานามมหาราช


    [แก้] ในราชอาณาจักรไทย

    [แก้] ต่างประเทศ

    [แก้] อ้างอิง

     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไหว้ 5 ครั้ง<O[​IMG]</O[​IMG]

    ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญ ญาณวรเถระ )<O[​IMG]</O[​IMG]

    วัดเทพศิรินทราวาส<O[​IMG]</O[​IMG]

    [​IMG]

    คัดลอกจาก http://www.konmeungbua.com/saha/Lung...pu_armpan.html<O[​IMG]</O[​IMG]

    ในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ไม่ว่าเวลาไร ตามแต่เหมาะต้องไหว้ให้ได้ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย ในคราวเดียวนั้น ถ้ามีดอกไม้ธูปเทียนก็บูชา ถ้าไม่มีก็มือ 10 นิ้วและปากกับใจ ควรไหว้จนตลอดชีวิต คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 1 พึงนั่งกระโหย่งเท้าประณมมือว่า<O[​IMG]</O[​IMG]
    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ 3 หน แล้วว่าพระพุทธคุณ คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    อิติปิโส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควาติ ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    หยุดระลึกถึงพระปัญญาคุณทรงรู้ดีรู้ชอบสิ้นเชิง พระบริสุทธิคุณทรงละความเศร้าหมองได้หมด พระกรุณาคุณทรงสงสารผู้อื่นและสั่งสอนให้ปฏิบัติตามของพระพุทธเจ้า จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ <O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 2 ว่าพระธรรมคุณ คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโน สนฺทิฆฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญญูหีติ ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    หยุดระลึกถึงคุณพระธรรมที่รักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ <O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 3 ว่าพระสังฆคุณ คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ยทิทํ จตฺตาริ ปุริสยุคานิ อฏฐปุริสปุคฺคลา เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ อาหุเนยฺโย ปาหุเนยฺโยทกฺขิเนยฺโย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺสาติฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    หยุดระลึกถึงคุณ คือ ความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติชอบ ของพระอริยสงฆ์ จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    นั่งพับเพียบประณมมือตั้งใจถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะไม่ถือสิ่งอื่นยิ่งกว่าจนตลอดชีวิต ว่าสรณคมน์ คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ทุติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ <O[​IMG]</O[​IMG]
    ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ <O[​IMG]</O[​IMG]
    ตติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ <O[​IMG]</O[​IMG]
    ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ <O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 4 ระลึกถึงคุณมารดาบิดาของตน จนเห็นชัดแล้ว กราบลงหน 1 ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ข้า ฯ ขอ กราบไหว้คุณท่านบิดาและมารดา<O[​IMG]</O[​IMG]
    เลี้ยงลูกเฝ้ารักษา แต่คลอดมาจึงเป็นคน<O[​IMG]</O[​IMG]
    แสนยากลำบากกายไป่คิดยากลำบากตน<O[​IMG]</O[​IMG]
    ในใจให้กังวลอยู่ด้วยลูกทุกเวลา<O[​IMG]</O[​IMG]
    ยามกินพอลูกร้องก็ต้องวางวิ่งมาหา<O[​IMG]</O[​IMG]
    ยามนอนห่อนเต็มตาพอลูกร้องก็ต้องดู<O[​IMG]</O[​IMG]
    กลัวเรือดยุงไรมดจะกวนกัดรีบอุ้มชู<O[​IMG]</O[​IMG]
    อดกินอดนอนสู้ ทนลำบากหนักไม่เบา<O[​IMG]</O[​IMG]
    คุณพ่อแม่มากนักเปรียบน้ำหนักยิ่งภูเขา<O[​IMG]</O[​IMG]
    แผ่นดินทั้งหมดเอามาเปรียบคุณไม่เท่าทัน<O[​IMG]</O[​IMG]
    เหลือที่ จะแทนคุณ ของท่านนั้น ใหญ่อนันต์<O[​IMG]</O[​IMG]
    เว้นไว้ แต่เรียนธรรม์ เอามาสอนพอผ่อนคุณ<O[​IMG]</O[​IMG]
    สอนธรรมที่จริงให้ รู้ไม่เที่ยงไว้เป็นทุน<O[​IMG]</O[​IMG]
    แล้วจึงแสดงคุณ ให้เห็นจริงตามธรรมดา<O[​IMG]</O[​IMG]
    นั่นแหละจึงนับได้ ว่าสนองซึ่งคุณา<O[​IMG]</O[​IMG]
    ใช้ค่าข้าวป้อนมาและน้ำนมที่กลืนกิน ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 5 ระลึกถึงคุณของบรรดาท่านผุ้มีอุปการคุณแก่ตน เช่น พระมหากษัตริย์และครูบาอาจารย์ เป็นต้นไป จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ข้า ฯ ขอนอบน้อมคุณแด่ท่านครู ผู้อารี<O[​IMG]</O[​IMG]
    กรุณาและปรานีอุตส่าห์สอนทุก ๆ วัน<O[​IMG]</O[​IMG]
    ยังไม่รู้ ก็ได้รู้ ส่วนของครูสอนทั้งนั้น<O[​IMG]</O[​IMG]
    เนื้อความทุกสิ่งสรรพ์ดีชั่วชี้ ให้ชัดเจน<O[​IMG]</O[​IMG]
    จิตมากด้วยเอ็นดูอยากให้รู้เหมือนแกล้งเกณฑ์<O[​IMG]</O[​IMG]
    รักไม่ลำเอียงเอนหวังให้แหลมฉลาดคม<O[​IMG]</O[​IMG]
    เดิมมืดไม่รู้แน่เหมือนเข้าถ้ำเที่ยวคลำงม<O[​IMG]</O[​IMG]
    สงสัยและเซอะซมกลับสว่างแลเห็นจริง<O[​IMG]</O[​IMG]
    คุณส่วนนี้ควรไหว้ ยกขึ้นไว้ ในที่ยิ่ง<O[​IMG]</O[​IMG]
    เพราะเราพึ่งท่านจริงจึงได้รู้ วิชาชาญ ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]

    (บทประพันธ์สรรเสริญคุณมารดาบิดา และ ครูบาอาจารย์ของ ท่านอาจารย์ จางวางอยู่ เหล่าวัตร วัดเทพศิรินทราวาส<O[​IMG]</O[​IMG]

    ลิขสิทธิ์เป็นของ ท่านเจ้าคุณพระโศภนศีลคุณ (หลวงปู่หลุย พาหิยาเถร) วัดเทพศิรินทราวาส)
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    ต่อไปนี้ไม่ต้องประณมมือ ตั้งใจพิจารณาเรื่อง และร่างกายของตนว่า จะต้องแก่ หนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ หนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย หนีความตายไปไม่พ้น จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น มีกรรมเป็นของตัว คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นอนิจจังไม่เที่ยง ไม่แน่นอน เป็นทุกข์ลำบากเดือดร้อน เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตน ฯ ครั้งพิจารณาแล้ว พึงแผ่กุศลทั้งปวงมีการกราบไหว้เป็นต้นนี้ อุทิศให้แก่ท่านผู้มีคุณมีมารดาบิดา เป็นต้น ตลอดจนชั้นสูงสุด คือพระมหากษัตริย์ ทั้งเทพยดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายว่า จงเป็นสุข ๆ อย่ามีเวรมีภัยเบียดเบียนกันและกัน รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    การไหว้ 5 ครั้งนี้ ถ้าวันไหนขาด ให้ไหว้ใช้ 5 ครั้งในวันรุ่งขึ้น ถ้านั่งกระโหย่งเท้าไม่ได้ ก็นั่งพับเพียบ ถ้าไม่ได้ ก็นอนไหว้ เมื่อยกมือไม่ขึ้น ก็ปากกับใจ ถ้าทำได้อย่างนี้เป็นเครื่องพยุงตนให้เป็นคนดี ไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดี ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ถ้าผู้ใดประพฤติได้เสมอตลอดชีวิต ผู้นั้นจะอุ่นใจในตัวของตัวเอง มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่ง ๆ ขึ้นเสมอทุกคืนทุกวัน คุ้มครองป้องกันภยันตรายปราศจากความเสียหายที่ไม่เหลือวิสัย และ ตั้งตัวได้ในทางคดีโลกและทางคดีธรรม เต็มภูมิเต็มขั้นของตน ๆ ทุกประการ จบเท่านี้ ฯ
     

แชร์หน้านี้

Loading...