พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TURObFkyOHpNak14TVRJMU1BPT0=&sectionid=TURNd05RPT0=&day=TWpBd055MHhNaTB6TVE9PQ==

    เซียนน้ำมันฟันธง ปี"51ราคายังแพง
    วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6241 ข่าวสดรายวัน



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>ใครจะคาดคิดว่าปี"50 ราคาน้ำมันตลาดโลกจะพุ่งถึง 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

    จากต้นปีราคาน้ำมันดิบอยู่แค่ 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล น้ำมันสำเร็จรูปดีเซลและเบนซินอยู่ที่ 60-65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เผลอแป๊บเดียวราคาน้ำมันดิบทะลุ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลไปตั้งแต่เดือนต.ค.50 ส่วนน้ำมันดิบจ่อ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

    น้ำมันที่ถึงจุด 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สร้างความตกใจให้กับคนไทยไม่น้อย และยังไม่ทันที่คนไทยจะหายตกใจ นายฮิวโก้ ชาเวซ ประธานาธิบดีของเวเนซุเอลา ขู่ว่าหากสหรัฐโจมตีอิหร่านจะทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกสูงถึง 200 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เมื่อคิดเป็นราคาน้ำมันในไทยน่าจะอยู่ที่ 60-70 บาท/ลิตร

    ส่วนแนวโน้มน้ำมันในปี "หนูทอง" จะเป็นอย่างไร ติดตามจากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน



    น้ำมันแพงรอบ 150 ปี

    นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รมว.พลังงาน มองว่าราคาน้ำมันในปีหน้าจะยังสูงต่อไป เนื่องจากกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก(โอเปก) พอใจราคาน้ำมันดิบที่ 90-100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยระบุไว้ที่ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

    คงต้องติดตามว่าในการประชุมช่วงเดือนก.พ.51 โอเปกจะยืนยันที่จะไม่เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอีกหรือไม่

    ภาพรวมของสถานการณ์น้ำมันในปี"51 คงไม่ดีนักราคาจะยังผันผวนค่อนข้างสูง สิ่งสำคัญคือการผลิตของกลุ่มโอเปก ซึ่งเมื่อปีก่อนหน้านี้โอเปกลดกำลังการผลิตไป1.2 ล้านบาร์เรล/วัน และในปี"50 เพิ่มกลับมาให้เพียง 5 แสนบาร์เรล/วัน หากราคาน้ำมันลดต่ำกลุ่มโอเปกจะลดกำลังการผลิตเพื่อดันราคาให
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ดีเอสไอเผย'แชร์ลูกโซ่'ทำเจ๋งกว่า 5 พันล. เตือนระวังภัยตุ๋นผ่านเน็ตพบกว่า 100 เว็บ

    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=15248&catid=17

    วันจันทร์ที่ 31 เดือนธันวาคม พศ. 2550

    <TABLE id=table110 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=608>ผบ.ดีเอสไอเผยมูลค่าความเสียหายจากแชร์ลูกโซ่ปี 2550 ไม่ต่ำกว่า 5 พันล้าน บางรายเจอตุ๋นไป 50 ล้าน คาดปีหน้าสถานการณ์ไม่ต่างไปจากเดิม พบ 100 เว็บเข้าข่ายทำธุรกิจต้มตุ๋น

    พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมามีผู้ถูกหลอกลวงให้นำเงินไปลงทุนผ่านเว็บไซต์หลายราย โดยผู้เสียหายจะเป็นกลุ่มคนที่มีฐานะทางการเงิน คาดว่ามูลค่าความเสียหายของแชร์ลูกโซ่บนเว็บไซต์แต่ละวงมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท โดยผู้เสียหายบางรายหลงเชื่อนำเงินไปร่วมลงทุนกว่า 50 ล้านบาท

    พ.อ.ปิยะวัฒก์กล่าวถึงแนวโน้มการฉ้อโกงผ่านแชร์ลูกโซ่บนเว็บไซต์ในปี 2551 ว่า จากภาวะเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยสถาบันการเงินที่ลดต่ำลงปีนี้ เชื่อว่าในปี 2551 ปัญหาประชาชนถูกหลอกลวงให้นำเงินไปร่วมลงทุนในธุรกิจแชร์ลูกโซ่ในหลากหลายรูปแบบคงไม่แตกต่างไปจากเดิมนัก จึงอยากเตือนประชาชนให้ระวังการถูกหลอกลวงให้ไปลงทุนในรูปแบบของแชร์ลูกโซ่ ซึ่งเห็นได้จากปลายปีนี้ แชร์ลูกโซ่หลายวงได้ทยอยปิดบริษัทและขนเงินหนี ในปีหน้าเชื่อว่ารูปแบบการโฆษณาชวนเชื่อจะเปลี่ยนแปลงไปจากแชร์ข้าวสาร หรือแชร์เครื่องอุปโภคบริโภค เป็นแชร์ผ่านเว็บไซต์
    พ.อ.ปิยะวัฒก์กล่าวด้วยว่า จากการตรวจสอบของดีเอสไอพบว่ามีเกือบ 100 เว็บไซต์ ที่มีรูปแบบแชร์ลูกโซ่ ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนระวังถูกหลอกลวงผ่านอินเตอร์เน็ต โดยการประกาศผ่านหน้าเว็บไซต์ว่า 'คุณคือผู้โชคดี' ได้รางวัลเป็นรถยนต์ บ้าน หรือเงินรางวัล แต่มีเงื่อนไขให้โอนเงินไปร่วมลงทุนก่อน หรือชักชวนให้โอนเงินผ่านระบบออนไลน์ไปร่วมลงทุนในต่างประเทศ เป็นต้น ในระยะแรกการลงทุนผ่านเว็บไซต์อาจได้ผลตอบแทนสูง แต่ก็มักเป็นผลตอบแทนในระบบคอมพิวเตอร์ จึงขอย้ำเตือนให้ระวังและอย่าหลงเชื่อ ควรแจ้งข้อมูลมายังดีเอสไอ เพื่อตรวจสอบและอายัดเงินที่เคลื่อนไหวในระบบของแชร์วงดังกล่าวไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้เสียหายจำนวนมาก
    ด้านนายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า การหลอกลวงประชาชนมีให้เห็นทุกยุคทุกสมัย เพราะการหลอกลวงทำได้ง่ายแค่จูงใจด้วยการจ่ายผลตอบแทนสูง ดังนั้น ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจึงต้องเตือนประชาชนให้รู้เท่าทันขบวนการแชร์ลูกโซ่เป็นระยะๆ เพื่อชี้ให้เห็นว่าการลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนสูงมักล่อแหลมต่อการถูกฉ้อโกงหลอกลวง และขอให้ตัดสินใจด้วยพื้นฐานข้อมูลรอบด้านก่อนนำเงินไปลงทุนทุกรูปแบบ

    <TD width=5></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    อบคุณครับคุณเพชร ช่วงนี้กำลังมีพรที่อยากขอพอดี
    ส่วนตัวผมชื่อย้ายสังกัดแล้วตั้งแต่วันที่ 24 ธ.ค. ส่วนตัววันนี้ยังอยู่ทางใต
    ้ครับ
     
  4. Baramee

    Baramee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    230
    ค่าพลัง:
    +1,032
    ใครตาดีลองดูว่า
    พระอรหันต์จกบาตรนี้ใครปลุกเสก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.matichon.co.th/prachacha...g=02biz03311250&day=2007-12-31&sectionid=0214


    วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3962 (3162)​

    ทำไมต้องตามใจลูกค้า


    คอลัมน์ กำหนดจุดแกร่ง SMEs ไทย

    โดย ผศ.ดร.กฤษติกา คงสมพงษ์

    หัวข้อเรื่องที่ดิฉันนำเสนอในฉบับนี้คิดว่าผู้ประกอบการทั้งหลายคงทราบคำตอบกันเป็นอย่างดี เนื่องจากที่ผ่านมาธุรกิจส่วนใหญ่ได้ให้ความสำคัญกับการทำตามใจลูกค้า แต่มีข้อสังเกตว่าการทำงานเพื่อตามใจลูกค้านั้นไม่ได้ทำให้สินค้าและบริการทุกประเภทขายดีและประสบความสำเร็จเหมือนกันหมด เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ดิฉันมีข้อคิดดีๆ ในเรื่องนี้มาฝากค่ะ

    มาดูกันว่าการทำงานเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางและสร้างงานออกมาให้ตรงกับรสนิยมของลูกค้านั้น ต้องทำอยู่บนพื้นฐานใดถึงจะทำให้ธุรกิจอยู่ได้ เพราะหากตามใจลูกค้าจนไร้ขอบเขต ก็อาจกระทบต่อระบบการทำงานได้เช่นกัน และการนำเอาทฤษฎีด้านการตลาดมาใช้จริงๆ จะต้องคำนึงถึงผลที่ตามมาด้วย

    - ดีที่สุด (better best) เชื่อว่าหลายท่านทราบดีว่าลูกค้าต้องการสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็มักได้รับคำตอบนี้เสมอ แต่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับองค์กร ฟังดูแล้วอาจขัดๆ หูอย่างบอกไม่ถูก เพราะหลายท่านอาจเข้าใจว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า น่าจะสร้างผลประกอบการที่ดีให้กับองค์กร

    แต่ดิฉันมีคำเตือนว่าการเชื่องานวิจัยเพียงอย่างเดียว โดยปราศจากการนำเอาประสบการณ์มาใช้ประกอบด้วย อาจทำให้เสียหายได้เช่นกัน ดังนั้น จะต้องวิเคราะห์ว่าการทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า ต้องไม่ใช่สิ่งที่อยู่บนพื้นฐานแห่งการเพิ่มต้นทุน การผลิต เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าและบริการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น จะต้องทำความเข้าใจว่าลูกค้าของธุรกิจนั้นคือกลุ่มไหน ? เนื่องจากสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าแต่ละกลุ่มนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

    - ถูกที่สุด (cheaper cheapest) เรื่องราคานั้นมีความสำคัญต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อไม่น้อยเลยทีเดียว แม้ว่าผู้บริโภคจะชื่นชอบสิ่งที่ดีที่สุดก็ตาม แต่จากข้อมูลที่ดิฉันได้สัมผัสจากงานวิจัยเกี่ยวกับการตัดสินใจซื้อสินค้าประเภทอุปโภคและบริโภคทั่วไปในชีวิตประจำวัน สินค้าและบริการที่มีราคาถูกมักได้เปรียบกว่าเสมอ แม้ว่าจะถูกกว่าเล็กน้อย ก็มีผลเชิงจิตวิทยาเช่นกัน

    ดิฉันกำลังจะบอกว่าทุกวันนี้ยังมีลูกค้ากลุ่มที่ยอมจ่ายน้อยกว่าเพื่อได้สินค้าที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน ดังนั้น ผู้ประกอบการจะต้องตระหนักเสมอว่าการตั้งราคาขายนั้น จะส่งผลลบหรือบวกต่อสินค้าและบริการ จึงทำให้แบรนด์ต่างๆ มีความแตกต่างด้านราคาไม่มากนัก เพราะหากการขายให้กับลูกค้ากลุ่มเดียวกัน ราคาแพงเกินไปก็ไม่น่าจะดี หรือหากถูกกว่าคนอื่นมากๆ ก็อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นด้านคุณภาพได้

    - รวดเร็วที่สุด (faster fastest) เรื่องการบริการถือว่าเป็นหัวใจสำคัญต่อการขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการก็ตาม หากสามารถพัฒนาระบบการทำงานที่สามารถตอบสนองเรื่องความพึงพอใจของลูกค้า แน่นอนว่าจะมีความได้เปรียบคู่แข่งทันที เนื่องจากความรวดเร็วทันใจนั้น สามารถมัดใจลูกค้าได้ทุกกลุ่ม แม้ว่าทุกวันนี้ธุรกิจต่างๆ จะหันมาเน้นเรื่องการบริการ และนำมาใช้เป็นกลยุทธ์สำคัญในการผลักดันเรื่องยอดขาย แต่ก็ไม่ควรประมาทเด็ดขาด เพราะหากคู่แข่งสามารถมัดใจลูกค้าได้ด้วยการบริการที่รวดเร็วกว่า โอกาสที่ลูกค้าจะเปลี่ยนใจก็เป็นไปได้สูงเช่นกัน

    ดังนั้น จะต้องมีการสำรวจเรื่องความพึงพอใจอย่างต่อเนื่อง เพื่อจะได้ทราบว่าการทำงานนั้นสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ในระดับใด ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่ดีที่สุด หรือถูกที่สุดก็ตาม ลูกค้าส่วนใหญ่มักต้องการความสะดวกรวดเร็วเสมอ !

    เรื่องการทำงานเพื่อตามใจลูกค้านั้นมีความสำคัญมากน้อยแค่ไหนคงทราบกันดีแล้ว ทั้งนี้ ดิฉันได้ให้ข้อคิดเรื่องการทำงานเพื่อตามใจลูกค้ากันไปแล้ว ต่อจากนี้ไปใครจะทำตามใจลูกค้าในรูปแบบไหน ก็ขอให้คำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม และขอฝากไว้ว่าการทำงานเพื่อตามใจลูกค้านั้นจะเป็นผลบวก แต่การทำตามใจคนขาย จะเป็นผลลบต่อธุรกิจทันทีค่ะ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.matichon.co.th/prachacha...g=02lsc01311250&day=2007-12-31&sectionid=0224

    วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3962 (3162)​

    ธุรกิจทุกวันนี้อยู่รอดได้ ไม่ใช่ลดต้นทุนอย่างเดียว


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ดร.วิทยา สุหฤทดำรง อาจารย์ประจำภาควิชาอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กล่าวว่า คำนิยามของคำว่าโลจิสติกส์มีการรวบรวมไว้มาก แต่เราใช้คำนิยามไม่เป็น พบเจอผู้ใหญ่หลายคนพูดเรื่องโลจิสติกส์เป็นมากกว่าการขนส่ง แต่ทำไมเป็นอย่างนี้ ทุกคนปฏิบัติมีงบประมาณ ซัพพลายเชนทำกันเกือบทุกอุตสาหกรรม แต่สุดท้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้นปฏิบัติถูกหรือเปล่า

    ทุกวันนี้นักวิชาการพยายามเอาวิชาการมาทำให้ง่ายเข้า แต่ผลปรากฏว่า สิ่งสำคัญ คือ เราเข้าใจไม่ตรงกัน ปฏิบัติไม่ตรงกัน สิ่งสำคัญเราไม่เคยคิดอย่างโลจิสติกส์ เราไม่เคยคิดอย่างซัพพลายเชน เราพยายาม ที่จะหา only solution

    โลจิสติกส์เป็นอะไรที่ไม่มีตัวตน ผมเปรียบเทียบโลจิสติกส์เป็นนักดนตรี แล้วคุณเล่นดนตรีอะไร ไวโอลิน เชลโล แต่มันรวมกันแล้วเป็นเพลง โลจิสติกส์สร้างเพลง คือ สร้างธุรกิจให้เกิดขึ้น ผลกำไรส่งของได้ เพราะฉะนั้น นักโลจิสติกส์จะมี จัดซื้อ จัดหา ผลิต จัดส่ง ผมเชื่อว่าเราอยู่ในทิศทาง เราต้องเปลี่ยนให้เร็ว เราต้องตามฝรั่งให้ทันคิดให้เป็นทำไมต้องทำ สิ่งนี้

    ผมตั้งข้อสังเกต คน 2 คนเอาหนังสือขึ้นชั้น คนแรกวางๆ ได้ค่าแรงรายวัน คนที่สองค่อยๆ วางแล้วหันไปด่าคนแรก วางหนังสือให้ดี ถ้าหนังสือยับไปลูกค้าไม่ซื้อ ต้องคำนึงถึงลูกค้าคนสุดท้ายที่ใช้ของ มีความคิดแบบบูรณาการ โลจิสติกส์ไม่ใช่เรื่องใช้แรง แต่เป็นเรื่องใช้ความคิด บริษัทผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ข้ามชาติรายใหญ่มาเมืองไทยเอาหัวสมองมา นั่นคือ การจัดการ

    ในกระบวนการโลจิสติกส์มี make คือ ผลิตกับ move คือ เคลื่อนย้าย ดูอย่างไรเป็น โลจิสติกส์ในมุมมองของผม ให้นึกถึงก่อนใคร จ่ายเงิน ค่าอะไร พูดถึงโลจิสติกส์ต้องมีลูกค้า ขนส่งมีผู้รับจบ เป็นกิจกรรมเดียวกัน เพราะฉะนั้นโลจิสติกส์จะต้องทรงคุณค่า ลูกค้าจ่ายเงินค่าอะไร ตรงนั้นมาจากไหน ผมว่า เรื่องโลจิสติกส์เป็นเรื่องการไหลของทรัพยากร ในองค์กรมี 5 M 1 I ไหลทุกอย่าง และไม่ใช่ไหลเฉพาะ finish good แต่ไหลตั้งแต่คน เครื่องจักร

    โลจิสติกส์เป็นเรื่องระบบการจัดการ เพราะฉะนั้นเวลานึกถึงโลจิสติกส์ สิ่งที่แตกต่างจากการขนส่ง คือ โลจิสติกส์มีความเป็นองค์รวม ทุกสิ่งทุกอย่างมีความเชื่อมโยงกัน กิจกรรมที่ ทำอยู่ส่วนหนึ่งเป็นกิจกรรมของโลจิสติกส์ ทำขนส่ง ทำคลังสินค้า ทำการผลิต แต่ผมบอกได้ว่า คุณยังไม่ได้ทำโลจิสติกส์ ดูตรงไหน "คุณยังไม่วางแผน"

    คำนิยามของโลจิสติกส์ต้องดูต้นชนปลายขององค์กร ตั้งแต่ซื้อของเข้ามาจนส่งออกไปให้ถึงมือลูกค้า ถ้านึกถึงโลจิสติกส์ต้องเห็นลูกค้า ต้องเห็นคุณค่า ทุกครั้งที่พูดถึงโลจิสติกส์ต้องพูดถึงซัพพลายเชน ต้องพูดถึงคุณค่า (value chain) เพราะคุณค่าที่เกิดเป็นสินค้า 1 ชิ้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยคนคนเดียว ทุกคนต้องแบ่งกันทำ ใครเก่งอันไหนทำอันนั้น นั่นคือ ซัพพลายเชน แล้วส่งมารวมกัน

    ยกตัวอย่าง ผมจะทำหนังสือพิมพ์ขาย 1 เล่ม มีข่าวอาชญากรรม ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวบันเทิง ผมซื้อหนังสือพิมพ์ 7 บาท ผมอ่านข่าวทุกอย่าง โต๊ะข่าวแต่ละโต๊ะเป็นซัพพลายเชน รวมกันเป็นหนังสือพิมพ์ มีคุณค่า

    นักข่าวไปหาข่าวมา ข่าวไหลมาที่โต๊ะข่าว โต๊ะข่าวจัดเรียงใส่หนังสือพิมพ์ แล้วส่งสายส่ง ผมจ่ายเงินซื้อหนังสือพิมพ์ 7 บาท คือ ผมซื้อ โลจิสติกส์ คือ การไหลของข่าว

    ผมไม่ได้บอกว่า โลจิสติกส์เป็นเรื่องของการไหลของสินค้าและบริการ ผมบอกว่า โลจิสติกส์คือ การไหลสิ่งที่ลูกค้าต้องการซื้อ และไหลมาจากไหน ถ้าเราไม่มององค์กรเรา มองทั้งวงจรชีวิตต้นน้ำยันปลายน้ำว่า ซัพพลายเออร์เราเป็นใคร ขึ้นอยู่กับคุณจะมองขอบข่ายตรงไหน

    คุณลักษณะที่ดีของโลจิสติกส์ส่วนมาก จะมอง 2 อย่าง คือ ประสิทธิภาพ และประสิทธิผล แต่ส่วนใหญ่จะเน้นประสิทธิภาพ ต้นทุนถูกที่สุด แต่ในส่วนของธุรกิจจะมีกำไร ต่อเมื่อขายของได้ ถ้าขายของได้ของต้องถึงมือลูกค้า ประสิทธิผลต้องมาก่อน ต้องมีผลลัพธ์แล้วค่อยมาปรับ

    ผลมี 2 อย่าง คือ 1.ต้องทำกำไรกับลูกค้าได้ และส่งของถึงลูกค้า 2.ส่งของถึง แต่ลูกค้าไม่ซื้อของล้าสมัย ต้องทำมาเปลี่ยน การจัดการ โลจิสติกส์และซัพพลายเชนทั้งหมด ทำให้ลูกค้าได้ของ แล้วค่อยมาปรับกระบวนการ

    แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งที่เราทำเกี่ยวกับโลจิสติกส์หรือไม่ เรามีสินค้า เรามีการผลิต แต่สิ่งที่ทุกคนทำอยู่เป็นส่วนหนึ่งของโลจิสติกส์แล้ว แต่ยังไม่เป็นโลจิสติกส์ แต่สามารถทำให้เป็นโลจิสติกส์ได้ทันที

    สมมุติการเตะฟุตบอล ทุกวันนี้คนเตะฟุตบอลไม่ดูข้างหน้า ไม่ดูผู้รับ พอลูกเข้าเท้า เตะไปก่อน เหมือนวัตถุดิบส่งมา ผลิตเสร็จ ส่งไปขายก่อนเลย และไปตั้งอยู่หน้าร้าน ขายได้ ส่งคืนกลับมา เป็นการเตะฟุตบอลแบบไม่ดูใคร ต่างคนต่างเตะ แต่เมื่อใดก็ตามที่ลูกบอลเข้าเท้า ให้ดูสิว่า มีผู้รับหรือไม่ แล้วพร้อมที่จะรับ ถ้าส่งไปเข้าเท้าพอดี

    วันนี้ฝ่ายผลิต ต้องดูฝ่ายขาย ดูฝ่ายจัดส่งหรือเปล่า เวลาจะซื้อวัตถุดิบมาดูเครื่องผลิตหรือเปล่า ดูครบทั้งหมดหรือเปล่า ถ้าดูครบองค์รวมทั้งกระบวนการ สิ่งที่ท่านทำอยู่เป็นกิจกรรมธรรมดา ถ้าจะเป็นโลจิสติกส์ของการจัดซื้อโลจิสติกส์ของการผลิตโลจิสติกส์ ของการจัดส่ง โลจิสติกส์ของการขาย แล้วพร้อมจะปรับตัว เหมือนลูกฟุตบอล ที่เตะเข้าเท้าแล้วผ่านประตูได้

    สิ่งที่สำคัญมาก โลจิสติกส์คือ การสร้างสมดุลของสมการธุรกิจ คือ ไหลคุณค่าที่ลูกค้าต้องการซื้อ เมื่อไหร่คุณค่าไม่มีการไหล สมการธุรกิจไม่เกิดขึ้น ธุรกิจไม่มี

    ถ้าอยากได้กำไรสูงสุดต้องลดต้นทุน โลจิสติกส์เป็นส่วนหนึ่ง ถ้าทำโลจิสติกส์แล้วคุณสามารถลดต้นทุนได้ แต่ที่อยากเสริมไว้ ธุรกิจทุกวันนี้อยู่รอดได้ไม่ใช่ลดต้นทุนแต่เพียงอย่างเดียว ประเด็นคือ การเปลี่ยนแปลง

    ถ้าพูดถึงโลจิสติกส์หัวใจแรกคือ การเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการ (change management) คือ เปลี่ยนระบบโลจิสติกส์ เปลี่ยนระบบการไหล เพราะการไหลคือ ชีวิต ถ้าทรัพยากรทางธุรกิจไม่ไหล จบเสร็จสิ้น

    เวลาพูดถึงโลจิสติกส์ของประเทศ ส่วนมากเราพูดถึงสินค้า แต่ไม่มีใครพูดถึงเรื่องโลจิสติกส์ของคนเลย ลูกค้าของประเทศคือ ประชาชน ขายของอย่างเดียว ถ้าประชาชนทำงานไม่ได้ ไม่มีคนผลิต ของไปขาย อันนั้นคือ มุมมอง
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ถอดรหัส"โรคจากวิถีชีวิต" ภัยสุขภาพคนไทยปี'51
    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=14756&catid=28

    วันที่ 25 ธันวาคม 2550 เวลา 07:40:50 น.

    บทความพิเศษ


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]



    </TD></TR></TBODY></TABLE>ในช่วงปลายปีบางคนเตรียมตัวเดินทางไปตรวจเช็คสุขภาพประจำปีตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อจะได้เตรียมรับมือกับโรคภัยต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดี แต่บางคนก็ยังเห็นเป็นเรื่องไกลตัว เพราะมองว่าไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะไปตรวจร่างกายเพราะยังแข็งแรงดี จึงละเลยในเรื่องการดูแลสุขภาพตัวเอง เรียกว่าผัดวันประกันพรุ่งไปก่อน ถ้าหากไม่เกิดโรค ก็ไม่เดินทางไปตรวจเช็ค

    การนิ่งเฉยและไม่ใส่ใจสุขภาพนี้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งจะทำให้โรคมีความรุนแรงและรักษายากมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าภาระค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพก็ย่อมมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

    เป็นที่น่าสังเกตว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่ชอบการป้องกันและดูแลสุขภาพของตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ แต่จะปล่อยให้เกิดโรคก่อนจึงจะเดินทางไปรักษา หรืออาจเป็นเพราะคนไทยยังยึดหลัก "ทำอะไรตามใจคือไทยแท้" คือตามใจตัวเองทุกอย่าง โดยเฉพาะการดำเนินชีวิตที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรค

    จากนิสัยคนไทยในข้อนี้นี่เอง ที่ทำให้โรคต่างๆ มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่สามารถป้องกันได้ แต่กลับกลายเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศ เป็นปัญหาที่เกิดจากวิถีชีวิตที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมและขาดความสมดุล

    ถือเป็นภัยเงียบระดับชาติที่เราไม่อาจมองข้ามไปได้

    "เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมองและโรคมะเร็ง" อยู่ในกลุ่มของโรคที่เกิดจาก วิถีชีวิตซึ่งเป็นปัญหาสำคัญและมีแนวโน้ม เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นปัญหาที่สังคมไทยทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญและร่วมมือกันป้องกันเพื่อลดปัญหาไม่ให้ขยายวงลุกลาม

    โรคจากวิถีชีวิต ซึ่งไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อโรค แต่เกิดมาจากสาเหตุการใช้วิถีชีวิตที่ไม่ถูกต้องนั้นเกิดจากการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้อง ขาดการออกกำลังกาย สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า และกินผักผลไม้น้อย ทำให้ป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคทางเดินหายใจอุดกั้นเรื้อรัง และโรคความดันโลหิตสูง มากขึ้น

    จากการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนและอัตราตายด้วยโรคไม่ติดต่อที่เป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญของประเทศ ได้แก่ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง (อัมพฤกษ์ อัมพาต) โรคเบาหวานและอุบัติเหตุจากการจราจรทางบก และจากรายงานสถิติสาธารณสุข พ.ศ. 2540-2549 พบว่าจำนวนและอัตราตายด้วยโรคมะเร็งและโรคหัวใจขาดเลือด มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ส่วนจำนวนและอัตราตายด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง (อัมพฤกษ์ อัมพาต) โรคเบาหวานและอุบัติเหตุจากการจราจรทางบก พบว่ามีแนวโน้มชะลอตัวลง <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>
    [​IMG]


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้หมายความว่าคนไทยใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้นแต่อย่างใด

    ในประเทศไทยแต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคจากวิถีชีวิตดังกล่าว ประมาณ 1 ใน 4 ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด ในระดับโลกพบว่าการเสียชีวิตจากโรคดังกล่าว มีจำนวนผู้เสียชีวิตมากกว่าผู้เสียชีวิตด้วยโรคติดเชื้อ เช่น โรคเอดส์ มาลาเรียไปแล้ว 2 เท่าตัว

    นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลกยังระบุว่าในปี 2548 ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากโรคจากวิถีชีวิต 35 ล้านคน หรือร้อยละ 60 ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด 58 ล้านคน และหาก ไม่เร่งแก้ไข คาดว่าในปี 2558 จะมีผู้เสียชีวิตจากโรค ดังกล่าวเพิ่มขึ้นร้อยละ 17 หรือประมาณ 41 ล้านคน ซึ่งประเทศไทยได้กำหนดเป้าหมายหลักไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่10 (พ.ศ. 2550-2554) และแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฉบับที่ 10 พ.ศ. 2550-2554 เพื่อลดปัจจัยเสี่ยง ภาวะโรค และภาระค่าใช้จ่ายจาก โรคไม่ติดต่อเรื้อรังดังกล่าว

    เรื่องนี้ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ร่วมกัน ผลักดันให้มีแนวทางการลดปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระดับชาติขึ้น โดยได้ยกร่างกรอบแผนยุทธศาสตร์และเส้นทางการลดปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรังแห่งชาติ พ.ศ. 2550-2559

    และได้บูรณาการแผนเกี่ยวกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่ได้มีการดำเนินการอยู่แล้ว เช่น แผนเบาหวาน แผนอ้วน แผนภัยเงียบ แผนคนไทยไร้พุง โดยได้ยกระดับกรอบงานและขยายเครือข่ายสู่ระดับประเทศ สร้างการมีส่วนร่วมด้วยการจัดระดมสมองเพื่อพิจารณากรอบการทำงานจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างความเข้าใจ การยอมรับ และการมีส่วนร่วม ทำให้เกิดความถูกต้อง เหมาะสม ครบถ้วน และเป็นรูปธรรมเพื่อปฏิบัติได้จริงจังและยั่งยืน และนำไปสู่การสร้างวิถีชีวิตใหม่ที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดีของคนไทย <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]



    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เราในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่งจะทำอย่างไรเพื่อป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังซึ่งถือเป็นปัญหาระดับชาติ

    ก่อนอื่นเราต้องปรับเปลี่ยนแบบแผนการดำเนินชีวิตเนื่องจากความเจ็บป่วยจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเกิดจากพฤติกรรมที่สามารถป้องกันได้ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา สิ่งมึนเมา สารเสพติด นอกจากนี้ ยังต้องลดความเสี่ยงจากการบริโภค โดยเฉพาะลดการบริโภคอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล ซึ่งมีอยู่มากในอาหารจังค์ฟู้ด

    จากการสำรวจเรายังพบอีกว่า คนไทยบริโภคน้ำตาลเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าเท่าตัวในเวลา 20 ปี โดยเพิ่มจาก 12.7 เป็น 29 กิโลกรัมต่อคนต่อปี โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่มีการบริโภคขนมขบเคี้ยวและน้ำอัดลมจนมีปัญหาเกี่ยวกับเหงือกและฟันในอัตราที่สูงขึ้นจนน่าตระหนก ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครอง ตลอดจนสถาบันการศึกษาจำเป็นที่จะต้องปลูกฝังค่านิยมเกี่ยวกับการบริโภคให้มากขึ้น

    นอกจากนี้ ในส่วนของความปลอดภัยของอาหาร ยังเป็นปัญหาสำคัญ โดยเฉพาะการใช้สารพิษและสารเคมีในภาคเกษตรกรรมซึ่งมีปริมาณมากที่สุด การบริโภคพืชผักผลไม้ ประชาชนจึงต้องทำความสะอาดเพื่อขจัดสารพิษ ที่นำไปสู่การเกิดโรคได้

    การบริโภคอย่างถูกหลักย่อมเป็นผลดีต่อสุขภาพ แต่ที่เราจะละเลยไม่ได้ก็คือ การออกกำลังกาย แม้ว่า ในปัจจุบันการเล่นกีฬาและการออกกำลังกายของคนไทยจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังนับว่าอยู่ในอัตราที่ต่ำเพียงร้อยละ 34.7 ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ เมื่อนำไปเทียบกับประเทศออสเตรเลีย อังกฤษ และสิงคโปร์ ซึ่งมีอัตราการออกกำลังกายประจำมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด

    การที่เยาวชนออกกำลังกายน้อยลงทำให้ปัญหาโภชนาการเกินเพิ่มมากขึ้น ในปี 2548 เราจึงพบว่ามีเด็กโภชนาการเกินถึงร้อยละ 17 และคาดว่าในอีก 10 ปี ข้างหน้า 1 ใน 5 ของเด็กปฐมวัยจะเป็นโรคอ้วน นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลที่น่าเป็นห่วงอีกเนื่องจากเด็กในวัยเรียนอายุ 6-14 ปี ในกรุงเทพฯ กว่า 1 แสนคน กินอาหารฟาสต์ฟู้ดทุกวัน ทำให้มีอุบัติการณ์การเป็นโรคอ้วนมากกว่าในภาคอื่นๆ ประมาณ 3-5 เท่า และมีโรงเรียนไม่เกินร้อยละ 40 จัดกิจกรรมออกกำลังกายเสริมนอกจากชั่วโมงพลศึกษา

    นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่สังคมต้องร่วมกันรับรู้เกี่ยวกับ "โรคจากวิถีชีวิต" เพื่อเตรียมรับมือกับภัยสุขภาพในปี 2551

    เตรียมรับมือ 5 โรคร้ายภัยจากวิถีชีวิต

    เบาหวาน มักมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์นอกจากนี้ ยังอาจมีสาเหตุอย่างอื่นโดยเฉพาะการบริโภคแป้งและน้ำตาลมากเกินไปทำให้เกิดโรคอ้วน รวมทั้งยังเกิดจากการใช้ยา เช่น สเตอรอยด์ ยาขับปัสสาวะ ยาเม็ดคุมกำเนิด หรืออาจพบร่วมกับโรคอื่นๆ เช่น ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง มะเร็งของตับอ่อน ตับแข็งระยะสุดท้าย คอพอกเป็นพิษ เป็นต้น

    ความดันโลหิตสูง พบได้ประมาณ 10% ของประชากรทั่วโลก เป็นภาวะเรื้อรังที่พบได้บ่อยในคนไทยและสามารถตรวจพบได้ด้วยวิธีการง่ายๆ คนที่มีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูงมักเกิดจาก บิดา มารดา ปู่ย่า ตายาย พี่ ป้า น้า อา มีประวัติเป็นความดันโลหิตสูง หรืออาจเป็นโรคอ้วนหรือเบาหวานมาก่อน รวมทั้งเกิดจากสาเหตุอื่นๆ

    โรคหัวใจหลอดเลือด มากกว่า 3 ใน 5 ของคนไทย มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดตั้งแต่ 1 อย่างขึ้นไปส่งผลให้โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นโรคเรื้อรังหรือโรคประจำตัวอันดับหนึ่งของคนไทย กลุ่มโรคนี้เกิดจากปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน เช่น ความดันเลือดสูง โคเลสเตอรอลสูง การสูบบุหรี่ การมีเส้นรอบเอวหรือน้ำหนักเกินกว่ามาตรฐาน ออกกำลังกายไม่เพียงพอ และเบาหวาน

    โรคหลอดเลือดสมอง สาเหตุอันดับแรกมาจากอาการความดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่ เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และฮอร์โมนเพศหญิงสูงขึ้นเมื่อหมดวัยมีประจำเดือน พบมากในผู้ที่มีอายุเกิน 45 ปี ขึ้นไป การป้องกันทำได้โดยหยุดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ทานอาหารที่มีไขมันมากเกินไป ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

    โรคมะเร็ง คนไทยป่วยด้วยโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นเพราะพฤติกรรมเสี่ยงทั้งกินอาหารไม่เหมาะสม ไม่ออกกำลังกาย การดื่มเหล้าจะเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งถึง 9 เท่า การสูบบุหรี่ก็มีโอกาสสูงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ผู้ที่หยุด สูบบุหรี่จะลดโอกาสเกิดมะเร็งปอดได้ร้อยละ 60-70 ในผู้หญิง หากมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย และมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายหลายคนจะยิ่งเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปากมดลูก อีกอย่างหนึ่งคือไม่ตากแดดจ้า เพื่อป้องกันโรคมะเร็งผิวหนังจากรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด และไม่ควรกินปลาน้ำจืดดิบ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • hhc02251250p2.jpg
      hhc02251250p2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      38.8 KB
      เปิดดู:
      511
    • 550000017247002.jpg
      550000017247002.jpg
      ขนาดไฟล์:
      64.3 KB
      เปิดดู:
      45
    • 012.gif
      012.gif
      ขนาดไฟล์:
      13.1 KB
      เปิดดู:
      389
    • ann16_1.gif
      ann16_1.gif
      ขนาดไฟล์:
      5 KB
      เปิดดู:
      329
    • rude.gif
      rude.gif
      ขนาดไฟล์:
      129 bytes
      เปิดดู:
      324
    • 01_142.jpg
      01_142.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.7 KB
      เปิดดู:
      49
    • 103011378236223by.gif
      103011378236223by.gif
      ขนาดไฟล์:
      8.5 KB
      เปิดดู:
      321
    • m-063.gif
      m-063.gif
      ขนาดไฟล์:
      42.8 KB
      เปิดดู:
      461
    • th_00.gif
      th_00.gif
      ขนาดไฟล์:
      7.4 KB
      เปิดดู:
      326
    • th_01.gif
      th_01.gif
      ขนาดไฟล์:
      4.9 KB
      เปิดดู:
      314
    • th_02.gif
      th_02.gif
      ขนาดไฟล์:
      3.3 KB
      เปิดดู:
      320
    • th_03.gif
      th_03.gif
      ขนาดไฟล์:
      3.7 KB
      เปิดดู:
      308
    • th_04.gif
      th_04.gif
      ขนาดไฟล์:
      3.4 KB
      เปิดดู:
      327
    • th_05.gif
      th_05.gif
      ขนาดไฟล์:
      3.4 KB
      เปิดดู:
      330
    • th_06.gif
      th_06.gif
      ขนาดไฟล์:
      2.6 KB
      เปิดดู:
      323
    • th_07.gif
      th_07.gif
      ขนาดไฟล์:
      3.5 KB
      เปิดดู:
      323
    • th_08.gif
      th_08.gif
      ขนาดไฟล์:
      3 KB
      เปิดดู:
      316
    • th_09.gif
      th_09.gif
      ขนาดไฟล์:
      3.3 KB
      เปิดดู:
      312
    • th_10.gif
      th_10.gif
      ขนาดไฟล์:
      3.8 KB
      เปิดดู:
      314
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2007
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อวันก่อน ผมนำสิ่งที่เป็นมหามงคลเข้าบ้าน สักพักเดียวเท่านั้น ผมได้กลิ่นหมาก เป็นกลิ่นที่คุ้นเคยอยู่ กลิ่นหอมอ่อนๆเย็นๆ

    ขอกราบ...........................
    กราบ กราบ กราบ กราบ กราบ

    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิธีดูแบบโบราณ... ได้ลูกสาวหรือลูกชาย

    http://hilight.kapook.com/view/18870

    <CENTER>
    สมัยก่อนนั้นยังไม่มีการอัลตร้าซาวน์ว่า คุณแม่ที่ตั้งครรภ์จะได้บุตรสาวหรือหรือบุตรชาย แต่คนโบราณก็รู้ก่อนคลอดว่าตนนั้นจะได้บุตรเพศไหน โดยใช้วิธี ดูดวง ดวง ทำนายดวง ทำนายฝัน ซึ่งวันนี้เรามี บทความ ดูดวง ดวง ทำนายดวง ทำนายฝัน ว่าจะได้ลูกเพศไหนตามวิธีโบราณมาฝากค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2007
  10. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  12. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ไปทานขาหมูเยอรมันทิ้งทวนมา...หร่อย...หร่อย...

    ที่ Deutsch ประเทศเยอรมัน มีร้าน Donisl ขายขาหมูเยอรมันจริงๆ
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
     
  13. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    เล่นกับลูกอยู่ครับ
    อีกเดี๋ยว ก็ให้นอนครับ

    วันนี้ผมถวายพระหน้าตัก ๙ นิ้ว
    ผ้าไตร ๑ ชุด
    ปัจจัย ๕๐๐ บาท
    ตามที่ตั้งคำไว้แล้วครับ
    แถมผมถวายพระชุด ๒ ให้ท่านพระครู ๑ องค์

    สาธุครับ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ระวังอ้วนนะครับ เดี๋ยวจะลดน้ำหนักลำบาก คิคิคิ

    ชิมขาหมูเยอรมันเนื้อนุ่ม เซอร์ลอยน์ย่างจิ้มแจ่ว รสจัดจ้าน
    http://palungjit.org/showthread.php?t=103988
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โมทนาบุญด้วยนะครับ

    .
     
  16. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน )

    ก๊าก.....กลางวันแสกๆ ม่ายมีใครเลย(evil)
     
  17. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    พาลูกและผบ.ไปไหว้ ปีชงที่วัดเล่งนัยยี่ เจริญกรุงครับ ปีใหม่นี้ใครเกิดปี ชวด ระกา เถาะ และมะเมีย ควรไปไหว้กันครับฝากดวงเสริมสิริมงคล ทำมากไว้ก่อนดีครับ หรืออีกตำราบอกว่าใครมีเดือนที่เกิด เป็นมะเมียก็ชงเหมือนกันครับลองเช็คดูแล้วไปไหว้กันครับ
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ปี 2551 (ตามแบบสากล) ผมขออาราธนาพระบารมีคุณพระศรีรัตนตรัย ,พระบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ,พระบารมีพระอรหันต์ทุกๆพระองค์ ,พระบารมีหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ,พระบารมีพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก โปรดจงดลบันดาลให้ทุกๆท่าน มีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์และแข็งแรง ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน ในสิ่งที่ทุกๆท่านคิด ,กระทำการต่างๆในสิ่งที่ดี,ที่งาม,ที่ถูกต้อง ขอให้ประสบกับความสำเร็จ สำเร็จ สำเร็จ ทุกๆประการตลอดปีและตลอดไปด้วยเทอญ
    <!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน ส.ค.ส.2551 แก่ปวงชนชาวไทย
    http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9500000155458



    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>31 ธันวาคม 2550 19:55 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG]

    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน ส.ค.ส. พ.ศ.2551 แก่ปวงชนชาวไทย ซึ่ง ส.ค.ส.พระราชทานในปีนี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์ชุดปกติขาว ประทับฉายพระรูปกับคุณทองแดง สุวรรณชาด และเหลน จำนวน 4 สุนัข ซึ่งพระราชทานชื่อว่า กันนิ ราชปาลยัม จิปปิปะไร และคอมไบ ตามชื่อพันธุ์สุนัขของอินเดียที่ใช้เป็นแบบปั้นรูปสุนัขซึ่งเป็นบริวารของพระตรีมูรติ

    ส.ค.ส.พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในปีพุทธศักราช 2551 นี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์ชุดปกติขาวประทับฉายพระรูปกับคุณทองแดง สุวรรณชาดและเหลน จำนวน 4 สุนัข ซึ่งพระราชทานชื่อว่า กันนิ ราชปาลยัม จิปปิปะไร และคอมไบ ตามชื่อพันธุ์สุนัขของอินเดีย ที่ใช้เป็นแบบปั้นรูปสุนัข ซึ่งเป็นบริวารของพระตรีมูรติ คือ กันนิ เพศเมียนั่งบนพระเพลา ราชปาลยัม เพศเมียยืนด้านขวา จิปปิปะไร เพศผู้ นั่งด้านหน้าใกล้พระบาทขวา และคอมไบเพศเมีย ยืนด้านซ้าย

    ด้านล่างมีข้อความเป็นตัวหนังสือสีเหลืองว่า สวัสดีปีใหม่ ขอจงมีความสุขความเจริญ และมีตัวเลขสีแดง 2007 12 21 และเวลา 16:52 โดยมุมบนซ้ายมีตราสัญลักษณ์ 2 ตรา คือ ตราพระมหาพิชัยมงกุฎ และผอบทอง ใต้ลงมามีข้อความ ส.ค.ส. 2551 ส่วนมุมบนด้านขวามีตัวหนังสือสีเหลืองว่า Happy New Year 2008 และตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550

    กรอบของ ส.ค.ส.พระราชทานฉบับนี้เป็นภาพใบหน้าคนเล็กๆ เรียงกันด้านละ 2 แถว รวม 373 หน้าที่หน้ามีแต่รอยยิ้ม ในกรอบด้านล่าง มีข้อความ ก.ส. 9 ปรุง 23 20 10 ธ.ค. 50 พิมพ์ที่โรงพิมพ์สุวรรณชาด ท.พรหมบุตร ผู้พิมพ์โฆษณา Printed at the Suvarnnachad publishing , D.Bramaputra , Publisher

    ทั้งนี้ ในระหว่างที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพรปีใหม่ และ ส.ค.ส.พระราชทาน ปี 2551 แก่ปวงชนชาวไทยนั้น คุณทองแดง สุวรรณชาด ได้หมอบเฝ้าอยู่แทบพระบาทตลอดเวลา



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=567 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>ในหลวงพระราชทานพรปีใหม่ "อย่าคิดถึงประโยชน์ส่วนตน"
    http://www.komchadluek.net/2007/12/31/a001_183769.php?news_id=183769

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top>31 ธันวาคม 2550 20:06 น.</TD></TR><TR><TD class=Text_Story vAlign=top><!-- [​IMG] พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพรปีใหม่ให้แก่พสกนิกรชาวไทย ให้คนไทยคิดให้ถูกตรงและแน่วแน่ อย่าคิดถึงประโยชน์ส่วนตน อย่าก่อปัญหาและก่อเงื่อนไข และให้มีความสุขสบาย และได้พระราชทาน ส.ค.ส.ให้แก่ปวงชนชาวไทย เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์ชุดปกติขาว ประทับฉายพระรูปกับคุณทองแดง สุวรรณชาด และเหลน จำนวน 4 สุนัข


    เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2551 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพรปีใหม่เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ ประจำปีพุทธศักราช 2551 ความว่า บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2551 แล้ว ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดี มาอวยพรแก่ท่านทุกๆ คน และขอขอบใจท่านเป็นอย่างมาก ในน้ำใจไมตรีที่ทุกคน ทุกฝ่าย แสดงให้เห็น ทั้งในคราวที่เจ็บป่วย และในการจัดงานวันเกิดครบ 80 ปี รวมทั้งได้แสดงความวิตกห่วงใยอย่างจริงใจ ในการเจ็บป่วยของพี่สาวข้าพเจ้า
    สถานการณ์ของบ้านเมืองเราแต่ปีก่อน และต่อเนื่องมาถึงปีที่แล้ว เป็นอย่าง ก็เป็นที่ทราบกันอยู่แก่ใจ แต่อย่างไรก็ตาม เราได้มีรัฐธรรมนูญ และได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว นับว่าประเทศชาติของเราได้ผ่านหัวเลี้ยวสำคัญอีกขั้นหนึ่ง
    จึงเป็นหน้าที่ของเราทุกคน ที่จะต้องช่วยกับประคับประคองกิจการของบ้านเมือง ให้ดำเนินไปด้วยดี ให้มีความเป็นปึกแผ่นและร่มเย็นเป็นปรกติสุข ทางที่เราจะช่วยกันได้ ก็คือการทำความคิดให้ถูกตรงและแน่วแน่ จะต้องเพลาการคิดถึงประโยชน์เฉพาะตัว พยายามโอนอ่อนผ่อนปรนเข้าหากัน ด้วยไมตรีจิตและความเมตตากรุณา อย่าก่อปัญหาและก่อเงื่อนไข อันเป็นเหตุให้เกิดความไม่สงบและความแตกแยก ผู้ใดมีภาระหน้าที่อันใด ก็เร่งกระทำให้สำเร็จลุล่วงไป ให้ประเทศชาติอันเป็นที่อยู่ที่อาศัยของเรา ดำรงมั่นคงอยู่ด้วยความผาสุกร่มเย็นตลอดไป
    ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวไทยเคารพบูชา จงคุ้มครองรักษาให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย ให้มีความสุขสบาย สุขใจ และประสบความแต่สิ่งที่พึงประสงค์ ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน
    ส่วน ส.ค.ส.ที่ทรงพระราชทานให้แก่ปวงชนชาวไทยในปีพุทธศักราช 2551 นี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์ชุดปกติขาว ประทับฉายพระรูปกับคุณทองแดง สุวรรณชาด และเหลน จำนวน 4 สุนัข ซึ่งพระราชทานชื่อว่า กันนิ ราชปาลยัม จิปปิปะไร และคอมไบ ตามชื่อพันธุ์ของอินเดีย ที่ใช้เป็นแบบในการปั้นรูปสุนัข ซึ่งเป็นบริวารของพระตรีมูรติ คือ กันนิ เพศเมีย นั่งบนพระเพลา ราชปาลยัม เพศเมีย ยืนด้านขวา จิปปิปะไร เพศผู้ นั่งด้านหน้าใกล้พระบาทขวา และคอมไบ เพศเมีย ยืนด้านซ้าย
    ด้านล่างมีข้อความเป็นตัวหนังสือสีเหลืองว่า สวัสดีปีใหม่ ขอจงมีความสุขความเจริญ และมีตัวเลขสีแดง 2007 12 21 16 : 52 มุมบนด้านซ้ายมีตราสัญลักษณ์ 2 ตรา คือ ตราพระมหาพิชัยมงกุฎ และผอบทอง ใต้ลงมามีข้อความ ส.ค.ส.2551 มุมบนด้านขวามีตัวหนังสือสีเหลืองว่า แฮปปี้ นิว เยียร์ 2008 (Happy New Year 2008) และตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550
    กรอบของ ส.ค.ส.พระราชทานฉบับนี้ เป็นภาพหน้าคนเล็กๆ เรียงกันด้านละ 2 แถว รวม 373 หน้า ทุกหน้ามีแต่รอยยิ้ม ในกรอบด้านล่าง มีข้อความ ก.ส.9 ปรุง 23 20 10 ธ.ค. 50 พิมพ์ที่โรงพิมพ์สุวรรณชาด ท.พรหมบุตร ผู้พิมพ์โฆษณา Printed at the Suvarnachad publishing, D.Bramaputra, Publisher ในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพรปีใหม่ และ ส.ค.ส.พระราชทานปี 2551 แก่ปวงชนชาวไทยนั้น คุณทองแดง สุวรรณชาด ได้หมอบเฝ้าอยู่แทบพระบาทตลอดเวลา

    -->
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพรปีใหม่ให้แก่พสกนิกรชาวไทย ให้คนไทยคิดให้ถูกตรงและแน่วแน่ อย่าคิดถึงประโยชน์ส่วนตน อย่าก่อปัญหาและก่อเงื่อนไข และให้มีความสุขสบาย และได้พระราชทาน ส.ค.ส.ให้แก่ปวงชนชาวไทย เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์ชุดปกติขาว ประทับฉายพระรูปกับคุณทองแดง สุวรรณชาด และเหลน จำนวน 4 สุนัข
    เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2551 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพรปีใหม่เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ ประจำปีพุทธศักราช 2551 ความว่า บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2551 แล้ว ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดี มาอวยพรแก่ท่านทุกๆ คน และขอขอบใจท่านเป็นอย่างมาก ในน้ำใจไมตรีที่ทุกคน ทุกฝ่าย แสดงให้เห็น ทั้งในคราวที่เจ็บป่วย และในการจัดงานวันเกิดครบ 80 ปี รวมทั้งได้แสดงความวิตกห่วงใยอย่างจริงใจ ในการเจ็บป่วยของพี่สาวข้าพเจ้า
    สถานการณ์ของบ้านเมืองเราแต่ปีก่อน และต่อเนื่องมาถึงปีที่แล้ว เป็นอย่าง ก็เป็นที่ทราบกันอยู่แก่ใจ แต่อย่างไรก็ตาม เราได้มีรัฐธรรมนูญ และได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว นับว่าประเทศชาติของเราได้ผ่านหัวเลี้ยวสำคัญอีกขั้นหนึ่ง
    จึงเป็นหน้าที่ของเราทุกคน ที่จะต้องช่วยกับประคับประคองกิจการของบ้านเมือง ให้ดำเนินไปด้วยดี ให้มีความเป็นปึกแผ่นและร่มเย็นเป็นปรกติสุข ทางที่เราจะช่วยกันได้ ก็คือการทำความคิดให้ถูกตรงและแน่วแน่ จะต้องเพลาการคิดถึงประโยชน์เฉพาะตัว พยายามโอนอ่อนผ่อนปรนเข้าหากัน ด้วยไมตรีจิตและความเมตตากรุณา อย่าก่อปัญหาและก่อเงื่อนไข อันเป็นเหตุให้เกิดความไม่สงบและความแตกแยก ผู้ใดมีภาระหน้าที่อันใด ก็เร่งกระทำให้สำเร็จลุล่วงไป ให้ประเทศชาติอันเป็นที่อยู่ที่อาศัยของเรา ดำรงมั่นคงอยู่ด้วยความผาสุกร่มเย็นตลอดไป
    ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวไทยเคารพบูชา จงคุ้มครองรักษาให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย ให้มีความสุขสบาย สุขใจ และประสบความแต่สิ่งที่พึงประสงค์ ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน
    ส่วน ส.ค.ส.ที่ทรงพระราชทานให้แก่ปวงชนชาวไทยในปีพุทธศักราช 2551 นี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์ชุดปกติขาว ประทับฉายพระรูปกับคุณทองแดง สุวรรณชาด และเหลน จำนวน 4 สุนัข ซึ่งพระราชทานชื่อว่า กันนิ ราชปาลยัม จิปปิปะไร และคอมไบ ตามชื่อพันธุ์ของอินเดีย ที่ใช้เป็นแบบในการปั้นรูปสุนัข ซึ่งเป็นบริวารของพระตรีมูรติ คือ กันนิ เพศเมีย นั่งบนพระเพลา ราชปาลยัม เพศเมีย ยืนด้านขวา จิปปิปะไร เพศผู้ นั่งด้านหน้าใกล้พระบาทขวา และคอมไบ เพศเมีย ยืนด้านซ้าย
    ด้านล่างมีข้อความเป็นตัวหนังสือสีเหลืองว่า สวัสดีปีใหม่ ขอจงมีความสุขความเจริญ และมีตัวเลขสีแดง 2007 12 21 16 : 52 มุมบนด้านซ้ายมีตราสัญลักษณ์ 2 ตรา คือ ตราพระมหาพิชัยมงกุฎ และผอบทอง ใต้ลงมามีข้อความ ส.ค.ส.2551 มุมบนด้านขวามีตัวหนังสือสีเหลืองว่า แฮปปี้ นิว เยียร์ 2008 (Happy New Year 2008) และตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 กรอบของ ส.ค.ส.พระราชทานฉบับนี้ เป็นภาพหน้าคนเล็กๆ เรียงกันด้านละ 2 แถว รวม 373 หน้า ทุกหน้ามีแต่รอยยิ้ม ในกรอบด้านล่าง มีข้อความ ก.ส.9 ปรุง 23 20 10 ธ.ค. 50 พิมพ์ที่โรงพิมพ์สุวรรณชาด ท.พรหมบุตร ผู้พิมพ์โฆษณา Printed at the Suvarnachad publishing, D.Bramaputra, Publisher ในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพรปีใหม่ และ ส.ค.ส.พระราชทานปี 2551 แก่ปวงชนชาวไทยนั้น คุณทองแดง สุวรรณชาด ได้หมอบเฝ้าอยู่แทบพระบาทตลอดเวลา <TABLE align=center><TBODY></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...