พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คาถาคลายทุกข์
    http://matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01fun02301250&day=2007-12-30&sectionid=0140

    วันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10886

    คอลัมน์ แท็งก์ความคิด

    โดย นฤตย์ เสกธีระ max@matichon.co.th



    หลายสัปดาห์ก่อนนวนิยายแปลเรื่องยาว "แฮร์รี่ พอตเตอร์"ฉบับภาษาไทยได้วางจำหน่ายเล่มที่ 7 ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายไปแล้ว

    "แฮร์รี่ พอตเตอร์" เป็นเรื่องราวของเด็กชายสายเลือดพ่อมดที่ใช้ความกล้าต่อสู้กับความชั่วร้าย

    ฉากการต่อสู้ในนวนิยายแปลเรื่องนี้ดุเดือดตื่นเต้น แอบแฝงไว้ด้วยความอบอุ่น ความรักอันบริสุทธิ์

    ในการต่อสู้ทุกครั้ง "แฮร์รี่ พอตเตอร์" และเพื่อนๆ จะนำคาถาพ่อมดมาใช้ต่อสู้กับศัตรู

    คาถาพ่อมดที่ "แฮร์รี่ พอตเตอร์" ใช้นั้น ไม่ได้สืบทอดมาทางพันธุกรรมนะครับ

    หากแต่ต้องฝึกฝนจากโรงเรียนพ่อมด

    คาถาแต่ละคาถา นักเรียนเวทมนตร์ต้องใช้ความเข้าใจในคาถานั้นๆ ถึงจะสามารถเสกสิ่งต่างๆ ตามที่ตัวเองต้องการได้

    พอนึกถึงเรื่อง "แฮร์รี่ พอตเตอร์" นึกถึงคาถาในเรื่อง

    พลอยทำให้อยากจะมีคาถาประจำตัวบ้างเหมือนกัน

    และพอนึกไปเรื่อยๆ ก็นึกได้ว่า เราก็มีคาถาประจำเหมือนกันนี่นา

    เรียกว่า "คาถาคลายทุกข์"

    คาถานี้ก็เหมือนกับคาถาของ "แฮร์รี่ พอตเตอร์" นั่นแหละครับ

    แค่ท่องอย่างเดียวไม่สามารถจะใช้มันได้หรอก

    ใครจะใช้ได้ต้องเข้าใจถ้อยคำของ "คาถา"

    รับรองว่าใครสามารถเข้าใจและใช้คำๆ นี้ในชีวิตประจำวันได้

    ทุกข์ของท่านจะคลี่คลายลงไปพลัน

    คาถาที่ว่านี้ หากจำไม่ผิด เข้าใจว่าได้มาในช่วงสงกรานต์เมื่อปีที่แล้ว

    ตอนนั้นพวกเรา 5-6 คน ไปขอพรจาก สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม เพื่อนำไปตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชน

    เป็นสิริมงคลแก่ท่านผู้อ่าน

    วันนั้น สมเด็จพระมหาธีราจารย์ท่านเทศนาให้ฟังเรื่อง พรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา

    พวกเราคงคุ้นเคยกันดีกับคำว่า "เมตตา" คือทำให้คนเป็นสุข "กรุณา" คือทำให้คนพ้นทุกข์ และ "มุทิตา" คือยินดีกับความสำเร็จของผู้อื่นมาแล้ว

    แต่เชื่อไหมครับว่า คาถาที่ทำให้คนคลายทุกข์ได้นั่นคือ "อุเบกขา"

    ใครหลายคนอาจจะแปลความหมายของคำว่า "อุเบกขา" ว่ามีสติ เป็นกลาง ไม่โน้มเอียง

    แต่ในความรู้สึกหลังจากฟังธรรมจากสมเด็จพระมหาธีราจารย์แล้ว

    เข้าใจได้ว่า "อุเบกขา" คือ การปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ

    วันนั้นจำได้ว่าพอออกจากกุฏิ "สมเด็จท่าน" รู้สึกหูตาสว่าง จิตใจเบิกบานเหมือนสำเร็จวิชาอะไรสักอย่าง

    ตั้งใจไว้ว่าจะน้อมนำเอา "อุเบกขา" เป็นคาถาประจำตัว เพื่อใช้ในการดำรงชีวิตประจำวัน

    ว่าแล้วก็ท่อง "อุเบกขา" "อุเบกขา" "อุเบกขา"

    แต่ขอสารภาพนะครับว่า ท่องไปอย่างนั้นแหละ เสกอะไรไม่ได้หรอก เพราะคำคำนี้ต้องใช้ความเข้าใจ และกว่าจะเข้าใจกันอีกทีก็เมื่อได้เห็นคนอื่นเขาใช้

    คือได้เห็นคนเขาปลอบญาติของผู้เสียชีวิตว่า อย่าได้ทุกข์โศกเลย เขาไปดีแล้ว

    ได้เห็น แม่ให้กำลังใจลูกที่ทำข้อสอบได้คะแนนไม่ดี ทั้งๆ ที่พยายามอ่านหนังสือเต็มที่ ซึ่งเรามักได้ยินแม่บอกเสมอว่า "ไม่เป็นไรหรอกลูก ลูกทำดีที่สุดแล้ว"

    หรือเวลาที่เตือนวัยรุ่นในเรื่องต่างๆ ด้วยความเป็นห่วง ทั้งเรื่องการคบเพื่อน การใช้จ่ายเงิน การใช้ชีวิตที่ผาดโผน แต่วัยรุ่นเขาไม่เชื่อ

    จนในที่สุดเราต้อง "ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ"

    คือ เราได้เห็น ได้เตือน และให้สติแล้ว แต่เมื่อเขาไม่เชื่อ เราก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามแรงกรรม คือ การกระทำของเขา

    ทุกอย่างที่ได้เห็น ได้ยิน และยกตัวอย่างมา คือการใช้ "อุเบกขา" เป็นคาถาทั้งสิ้น

    ไม่น่าเชื่อนะครับว่า เมื่อเราได้คาถานี้ ความห่วงใย และความกังวล จะค่อยๆ หายไป

    เมื่อความพะวงห่วงใยลดน้อยลง ความทุกข์ก็คลายหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ

    นั่นคืออานิสงส์ของคำว่า "อุเบกขา"

    เหมาะไหมที่จะนำมาเป็นคาถาคลายทุกข์ ?

    แต่อยากจะทำความเข้าใจสำหรับคำว่า "อุเบกขา" นี้อีกสักนิด

    คือคำว่า "อุเบกขา" ไม่ใช่การ "เพิกเฉย" นะครับ

    ประเภทเห็นเพื่อนถูกทำร้ายแล้ว เฉย ปล่อยให้เพื่อนเจอยำจมธรณี หรือการที่เห็นคนทำผิด แล้วไม่ตักเตือน ไม่ห้ามปราม อ้างว่าเป็น "อุเบกขา"

    อย่างนี้ไม่ใช่

    ยิ่งพวกเห็นปัญหา แล้วนิ่ง อ้างว่า "อุเบกขา"

    นี่ยิ่งไปกันใหญ่

    เพราะ "อุเบกขา" คือการยอมรับผลจากการกระทำที่เราทำดีที่สุดแล้ว

    ส่วนพวกที่นิ่งเฉย เขาเรียกว่า "หนีปัญหา"

    คือไม่ยอมทำอะไรสักอย่าง เพราะกลัว

    ดังนั้น "อุเบกขา" จึงเหมาะเป็นคาถาสำหรับคนทำงาน

    เหมาะสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง เหมาะสำหรับคนที่มีความรับผิดชอบต่อผู้อื่น

    เป็นคาถาคลายทุกข์

    เพราะบางสิ่งที่เราทำ บางสิ่งที่เราหวัง บางสิ่งที่เราห่วง อาจกลายเป็นสิ่งที่สร้างทุกข์ให้แก่เรา

    ดังนั้น เมื่อเราเจอทุกข์ที่เกิดจากสิ่งเหล่านี้ ขอให้ใช้ "อุเบกขา" เป็นคาถา

    ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติ

    ยอมรับผลจากสิ่งที่เราได้ทำอย่างดีที่สุด

    แล้วทุกข์กังวลที่เคยปรากฏ ก็จะคลายหายไปเองอย่างมหัศจรรย์
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://matichon.co.th/prachachat/pr...g=02for01271250&day=2007-12-27&sectionid=0205


    วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3961 (3161)​

    วิกฤตอเมริกาไร้จุดจบ ? บัตรเครดิต "ตัวแปรอันตราย" หนี้ประเทศพุ่งนาทีละ 1 ล้านดอลล์


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ในขณะที่วิกฤตสินเชื่อที่อยู่อาศัยประเภทด้อยคุณภาพ หรือวิกฤตซับไพรมยังคงสั่นคลอนฐานะการเงินของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอยู่อย่างต่อเนื่อง ตัวแปรใหม่ที่กำลังเพิ่มแรงบวกให้กับวิกฤตสินเชื่อในปีนี้ ได้ปรากฏเค้าลางขึ้นแล้ว ซึ่งก็คือ หนี้ค้างชำระบัตรเครดิต ซึ่งกำลังพุ่งลิ่วขึ้นอย่างน่าใจหายในหลายประเทศ ทั้งสหรัฐ ออสเตรเลีย และอังกฤษ

    เฉพาะในสหรัฐ สื่อมวลชนได้ประโคมข่าวการจับสัญญาณอันตรายของหนี้บัตรเครดิตค้างชำระที่กำลังเพิ่มขึ้นเร็วในระดับที่อาจอยู่เหนือการควบคุม โดยจากผลการวิเคราะห์ข้อมูลทาง การเงิน ซึ่งสำนักข่าวแอสโซซิเอตส์ เพรส (เอพี) รวบรวมจากบรรดาบริษัทบัตรเครดิตรายใหญ่สุดของโลก พบสถิติการเพิ่มขึ้นของยอดค้างชำระเกิน 90 วัน กำลังเพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุด

    สถิติการค้างชำระ 90 วัน เป็นหนี้บัตรเครดิตที่พบมากในกลุ่มสถาบันการเงินใหญ่สุดของประเทศ รวมถึงแอแวนต้า จีอี มันนี่ แบงก์ และเอชเอสบีซี ซึ่งรายงานว่า มียอดค้างชำระอย่างน้อย 90 วัน เพิ่มขึ้น 50% ของมูลหนี้ บัตรเครดิตคงค้าง หรือสูงกว่า

    ขณะที่มูลค่าหนี้บัตรเครดิตที่ค้างชำระ 30 วัน ในเดือนตุลาคมของ 17 ค่ายบัตรเครดิตยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 26% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เป็นมากกว่า 1.73 หมื่นล้านดอลลาร์

    โดยสถิติดังกล่าว มีสัดส่วนเกิน 4% ของเงินต้นคงค้างของลูกหนี้บัตรเครดิตในสถาบันการเงินต่างๆ ซึ่งเป็นบัตรเครดิตที่ออกโดยธนาคาร อาทิ แบงก์ออฟอเมริกา และแคปิตอล วัน และของกลุ่มธุรกิจค้าปลีก เช่น โฮม ดีโปต์ และ วอล-มาร์ต

    ทั้งนี้ เอพีได้วิเคราะห์ข้อมูลการเงินของกลุ่มตัวอย่างลูกหนี้บัตรเครดิตรายบุคคล ประมาณ 325 ล้านคนทั่วสหรัฐ ที่อยู่ในการบริหารของ กองทุนทรัสต์ต่างๆ ซึ่งตั้งขึ้นโดยบริษัทบัตรเครดิตต่างๆ เพื่อออกเป็นตราสารขายให้กับนักลงทุน ในลักษณะเดียวกับที่ธนาคารนิยมนำสินเชื่อ ซับไพรมมารวมกันแล้วแบ่งเป็นกองๆ เพื่อแบ็กอัพออกตราสารขายนักลงทุน

    ดังนั้น เมื่อรวมหนี้เหล่านี้เข้าด้วยกัน จะมีสัดส่วนประมาณ 45% ของหนี้บัตรเครดิตของชาวอเมริกัน 9.20 แสนล้านดอลลาร์ ที่ธนาคารกลางสหรัฐรวบรวมได้

    ขณะเดียวกัน จากข้อมูลรายงานที่บริษัท บัตรเครดิตยื่นต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ พบว่า ยอดผิดนัดชำระหนี้ ในกรอบเวลาที่สถาบันการเงินรับรู้ การขาดทุน และแทงหนี้สูญ เพิ่มขึ้น 18% รวมเกือบ 961 ล้านดอลลาร์

    แม้ตัวเลขหนี้บัตรเครดิตยังไม่นิ่ง แต่น่าสนใจว่า ยอดหนี้เกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์นี้ เพิ่มขึ้นจาก 7.25 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2548

    นอกเหนือจากตัวเลขหนี้บัตรเครดิตแล้ว แหล่งข้อมูลบางเว็บไซต์ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ยอดหนี้ของผู้บริโภคโดยรวมอยู่ที่ระดับประมาณ 10 ล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน ยอดรวมนี้เมื่อนำมาหาค่าเฉลี่ยต่อครัวเรือน หรือหารด้วยประชากร 300 ล้านคน จะพบว่า ชาวอเมริกันเป็นหนี้ตกประมาณ 33,333 ดอลลาร์ต่อหัว และกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการแบกภาระสินเชื่อ ซับไพรม และสินเชื่อประเภทอื่นๆ ที่พอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว

    ชาวอเมริกันจำนวนมาก ที่ถือธุรกรรมสินเชื่อ ที่อยู่อาศัยในอัตราดอกเบี้ยต่ำ และจะต้องจ่ายดอกเบี้ยอัตราใหม่ที่สูงขึ้นเร็วๆ นี้ กำลังหันไปหาบัตรเครดิต เพื่อช่วยให้พวกเขาผ่านช่วงเงินตึงตัวนี้ไปให้ได้

    นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ยอดผิดนัดชำระหนี้ และยอดค้างชำระบัตรเครดิตเกินกำหนด จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจาก ผ่านพ้นเทศกาลช็อปปิ้งในช่วงวันหยุดยาวนี้ไปแล้ว ดังความเห็นของ มาร์ก แซนดี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ และผู้ร่วมก่อตั้ง Moody"s Economy.com ตั้งข้อสังเกตว่า คุณภาพของหนี้บัตรเครดิตจะกัดกร่อนลงอย่างต่อเนื่องไปจนถึง ปีหน้า

    โดยส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบต่อเนื่องจากวิกฤตซับไพรม และแปรเปลี่ยนเป็นปัจจัยลบตัวใหม่ที่ ซ้ำเติมเศรษฐกิจของสหรัฐที่ย่ำแย่อยู่แล้วให้ เลวร้ายลงยิ่งขึ้น

    จากข้อมูลของสมาพันธ์คุ้มครองผู้บริโภคแห่งอเมริกา ระบุว่า โดยเฉลี่ยชาวอเมริกันใช้จ่าย ในช่วงเทศกาลวันหยุดท้ายปีประมาณ 1,000 ดอลลาร์ต่อคน และส่วนใหญ่เป็นการจับจ่าย ผ่านบัตรเครดิตถึง 75%

    นอกเหนือจากผลกระทบลูกโซ่ของวิกฤต ซับไพรมแล้ว นักวิเคราะห์เชื่อว่า ปัญหาหนี้ของสหรัฐยังมาจากพฤติกรรมการบริโภคของชาวอเมริกันเอง ที่มีมาอย่างยาวนาน แม้ว่าหนี้บัตรเครดิตจะสูง แต่นั่นก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหา โฮวาร์ด ดีวอร์ก ผู้ก่อตั้งคอนโซลิเดทต์ เครดิต คอนเซลิง เซอร์วิส ในฟอร์ต ลอเดอร์เดล รัฐฟลอริดา ซึ่งบริการให้คำปรึกษาแก่ผู้บริโภคที่เป็นหนี้สิน 5 ล้านคน ให้ความเห็นว่า ความปรารถนาของ ผู้บริโภคที่มีแต่ต้องการ ต้องการ แล้วก็ต้องการ จะจับจ่าย แล้วก็จับจ่าย ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบของประเทศ ซึ่งจะต้องมีคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยผ่านกระบวนการที่อาจจะต้อง เจ็บปวดอย่างมาก

    จากข้อมูลของธนาคารกลางสหรัฐระบุว่า 40% ของครัวเรือนอเมริกัน ใช้จ่ายเงินมากกว่า รายได้ที่มี และมีแนวโน้มว่าจะมีสถาบันการเงินเสนอบัตรเครดิตใหม่ให้กับชาวอเมริกันประมาณ 5.3 พันล้านข้อเสนอ ภายในสิ้นปี 2550 นี้

    ยิ่งกว่านั้น กระบวนการในการพึ่งช่องทางการยื่นล้มละลาย ก็ไม่ใช่ทางออกของชาวอเมริกัน อีกต่อไป เพราะนับจากมีการแก้ไขกฎหมาย ล้มละลายเมื่อปี 2548 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลง ข้อกำหนดบางประการ ทำให้หลีกเลี่ยงความ รับผิดชอบต่อหนี้ที่ตนก่อนั้น ทำได้ยากมากยิ่งขึ้น เนื่องจากลูกหนี้ที่มีรายได้เหนือระดับเฉลี่ย จะไม่สามารถยื่นล้มละลาย ภายใต้กฎหมายมาตรา 7 ได้เหมือนในอดีต ซึ่งภายใต้กฎหมายข้อนี้ ลูกหนี้สามารถล้างหนี้ได้ทั้งหมด แม้จะมีข้อ ยกเว้นให้สามารถยื่นได้ ภายใต้สถานการณ์พิเศษ แต่ก็ต้องทำแผนชำระหนี้คืน ตามมาตรา 13 ที่มีข้อกำหนดที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น

    สถานการณ์หนี้บัตรเครดิต เป็นภาพจุลภาค ที่ส่งสัญญาณเตือนในระดับที่กว้างกว่า เอพีได้วิเคราะห์ถึงหนี้อีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นเสมือน "ระเบิดเวลา" ของเศรษฐกิจขนาดใหญ่สุดของโลกไว้เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

    โดยตั้งข้อสังเกตถึงหนี้ของอเมริกา (national debt) ว่ากำลังมีตัวเลขโป่งพองขึ้นเรื่อยๆ ด้วยอัตราเพิ่ม 1.4 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน หรือ 1 ล้านดอลลาร์ต่อนาที

    ตัวเลขนี้ หมายถึงภาระหนี้ที่ชาวอเมริกัน ไม่ว่าจะเป็นหญิง ชาย เด็ก หรือทารกในประเทศ ต้องรับภาระเฉลี่ย 30,000 ดอลลาร์ต่อคน

    national debt หรือหนี้สาธารณะ ของอเมริกา หมายถึงจำนวนหนี้ทั้งหมดที่รัฐบาล ระบุในรายงานฐานะการเงินของประเทศ หนี้ดังกล่าว ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของพันธบัตร ที่ออกโดยรัฐบาล ปัจจุบันหนี้ของอเมริกาอยู่ ที่หลัก 9.13 ล้านล้านดอลลาร์

    นักเศรษฐศาสตร์บางรายเริ่มเปรียบเทียบสถานการณ์ของรัฐบาลวอชิงตันในขณะนี้ว่า ไม่ต่างอะไรกับผู้บริโภค ซึ่งใช้จ่ายราวกับว่า "จะไม่มีพรุ่งนี้อีกแล้ว" ทำให้พวกเขาต้องผูกติดกับบัตรเครดิต และเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบาก เพื่อให้ตัวเองสามารถหาเงินมาชำระดอกเบี้ยที่ขยับขึ้นอย่างรวดเร็วให้ได้

    สแตนเลย์ คอลเลนเดอร์ อดีตนักวิเคราะห์ งบประมาณ ประจำรัฐสภาอเมริกัน และปัจจุบันเป็นกรรมการผู้จัดการ ควอร์วิส คอมมิวนิเคชั่น บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจรายหนึ่ง ชี้ว่า รัฐบาลกำลังอยู่สภาพเดียวกับเจ้าของบ้าน ที่จะต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้น

    เขาเตือนว่า เมื่อใดก็ตามที่จีน ญี่ปุ่น หรือซาอุดีอาระเบีย บอกว่าพวกเขาซื้อพันธบัตรของสหรัฐมากพอแล้ว หนี้ของสหรัฐ ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ในระดับใดก็ตาม ณ ตอนนั้นจะยากต่อการ บริหารจัดการ ดังกรณีที่มีสมาชิกในสมัชชาประชาชนจีนบางราย ออกมาให้ความเห็นเมื่อเร็วๆ นี้ว่า จีนควรจะซื้อสินทรัพย์สกุลยูโรมากขึ้น แทนดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งผลที่ตามมาคือ ดาวโจนส์ดิ่งฮวบมากกว่า 300 จุด

    รัฐบาลและนักลงทุนต่างประเทศ ถือครอง หนี้สหรัฐไว้ทั้งสิ้น 2.23 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 44% ของจำนวนหนี้สหรัฐทั้งหมด เพิ่มขึ้น 9.5% จากปีที่แล้ว จากข้อมูลของกระทรวงการคลังสหรัฐ พบว่า ญี่ปุ่นถือครอง หนี้ของอเมริกามากที่สุด เป็นมูลค่า 5.86 แสนล้านดอลลาร์ รองลงมาคือจีน 4 แสนล้านดอลลาร์ และอังกฤษ 2.44 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ซาอุดีอาระเบียและประเทศที่ส่งออกน้ำมัน ถือครองไว้ประมาณ 1.23 แสนล้านดอลลาร์

    วุฒิสมาชิก จอร์จ วอยโนวิช จากพรรค รีพับลิกัน รัฐโอไฮโอ เตือนว่า การกู้เงิน จำนวนหลายแสนล้านดอลลาร์จากจีนและโอเปก ไม่เพียงจะทำให้เศรษฐกิจในอนาคตของประเทศอยู่ในจุดที่เสี่ยงแล้ว ยังรวมถึงความมั่นคงของประเทศ ที่ต้องอยู่ในภาวะเสี่ยงไปด้วย

    ดังนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่สหรัฐจะต้อง สร้างความมั่นใจได้ว่า ประเทศเหล่านี้แค่ ถือครองหนี้เท่านั้น โดยไม่ได้หวังควบคุม อนาคตของอเมริกา

    ทั้งนี้ค่าเงินดอลลาร์ลดลงประมาณ 35% นับจากสิ้นปี 2544 เมื่อเทียบกับอัตราอ้างอิง จากตะกร้าเงินสกุลของประเทศคู่ค้ารายสำคัญ
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>อยู่อย่างไร…ในปีที่อับโชค
    http://www.manager.co.th/lady/viewnews.aspx?NewsID=9500000153632
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ถนอมจิต คงจิตต์งาม</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>26 ธันวาคม 2550 11:49 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>thanomjit8@yahoo.com


    สัปดาห์แห่งการอำลาปีเก่า ต้อนรับปีใหม่มาถึงแล้ว แต่ดูเหมือนสภาพการณ์รอบตัวทั้งการเมืองและเศรษฐกิจยังดูหมองหม่น มัวซัวชอบกล

    ช่วงเวลาขึ้นปีใหม่ เลยกลายเป็นความหวังของผู้คนว่าจะนำพาไปสู่สิ่งใหม่ๆ ที่น่าจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

    คนที่มีโชคดีดีอยู่แล้วในปีที่ผ่านมา ก็อยากให้เรื่องราวที่จะได้พานพบดียิ่งขึ้นไปอีก
    คนที่อับโชคก็ปรารถนาเวลาที่จะนำสิ่งงดงามมาให้ตนเองบ้าง

    ช่วงนี้ตำราหมอดูขายดี เป็นพิเศษ คนเชื่อก็อ่านจริงจัง คนไม่เชื่อก็ยังอ่านเพราะอยากท้าทายดูหนทางชีวิตล่วงหน้าว่าจะเป็นอย่างที่ถูกทายทักไว้ไหม

    คนไหนพบว่า เป็นปีแห่งความสำเร็จก็สบายใจไประดับหนึ่ง อิ่มเอิบกับถ้อยคำอันรื่นหู
    คนไหนถูกทักว่า ดวงไม่ดีปีหน้าจะร้ายหนัก ทำอะไรไม่รุ่ง แจ้งเกิดไม่ได้ ใจก็ทดท้อห่อเหี่ยว

    ดิฉันเองนั้น ชีวิตผ่านมาหมดแล้ว ทั้งดีสุดเกินคาด ร้ายสุดเกินใจจะทนไหว แต่ได้พบว่าสัจธรรมว่า ต่อให้ร้ายแรงที่สุดนั้น แท้จริงก็ไม่มีอะไรเป็นอะไร
    ทั้งหมดอยู่ที่วิธีคิด เรื่องดีที่สุดอาจยังไม่เกิด เรื่องร้ายแรงที่สุดอาจยังไม่มาถึง

    ดิฉันลบคำว่า “โชคช่วย” ไปจากพจนานุกรมชีวิตนานแสนนานแล้ว ด้วยตระหนักดีกว่า สิ่งที่จะทำให้เลวหรือร้ายแท้จริงอยู่ที่ความคิดของเรานั่นเอง หาใช่สิ่งแวดล้อมรอบตัวไม่

    เจอสถานการณ์ตกอับแสนสาหัส ให้คิดเสียว่า ดีเหมือนกันได้มีโอกาสใช้ปัญญาเอาตัวให้รอด ได้บทเรียน ได้ประสบการณ์ที่ล้ำค่า ต่อให้หมดตัว ให้เหมือนตายทั้งเป็น ชีวิตนี้ก็ยังถือเป็นกำไร กำไรกว่าตอนเกิดใหม่ตั้งเยอะ คือได้สิ่งที่เรียกว่า “โอกาส”

    มีโอกาสที่จะสร้างสิ่งที่ดีงามให้กับคนอื่นที่ด้อยกว่า โชคร้ายกว่า มีโอกาสได้เจอเรื่องประหลาดแต่ก็ยังเอาตัวรอดมาจนได้

    เจอเรื่องราวแสนดี ก็ยิ่งถือเป็นเครื่องช่วยเตือนสติให้ดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาท ไม่ยินดีเกินเหตุกับสิ่งที่ได้เจอะเจอ เพราะทุกสรรพสิ่งมันไม่แน่นอน เดี๋ยวก็หัวเราะ เดี๋ยวก็ร้องไห้ เราต้องหัดเป็นคนเจอเรื่องดีก็ได้ เจอเรื่องร้ายก็ไม่จนมุม

    ลองหันไปมองรอบข้าง ดูธรรมชาติเป็นครู ตะวันขึ้นสวยงาม ร้อนแรง อ่อนแสงแล้วก็ตกดิน ดอกไม้เบ่งบานแล้วก็แห้งเหี่ยวอับเฉา โรยราตามเงื่อนไข ถึงเวลาก็เบ่งบานใหม่ ให้ความสดชื่นกับผู้พบเห็น เป็นอย่างนี้เรื่อยไป

    ที่ผ่านมา ดิฉันยึดแสงธรรมเป็นแสงทองของชีวิต ใช้เป็นที่พึ่ง เลยเป็นคนไม่ค่อยมีทุกข์ มีไม่สบายใจบ้างก็ไม่นาน เดี๋ยวก็หายไป ไม่ค่อยจมปลักในความทุกข์ เพราะไม่ชอบความร้อนรน ถ้ารู้ว่าสิ่งใดจะเป็นต้นเหตุให้เกิดความร้อนเกินพอดี หนาวเกินพอใจ อันนำไปสู่การป่วยไข้ทางจิต ต่อให้ต้องใช้วิธีผ่าตัดเฉือนกันแบบสดสดไม่ต้องใช้ยาสลบก็จะยอมทนอย่างไม่สะทกสะท้าน

    ความเครียด ความทุกข์ เลยไม่ค่อยแวะเวียนมา เพราะคงขี้เกียจเสียเวลากับดิฉัน เลยไปหาคนอื่นแทน

    เพราะเรารู้แล้ว จะสุขหรือทุกข์อยู่ที่ความคิดและจิตใจของเรา พลิกจากลบเป็นบวก พลิกอีกทีตีลังกาจากบวกเป็นลบก็ได้เช่นกัน

    ปีไหนที่หมอดูทำนายทายทักว่าไม่ดี ดิฉันยิ่งถือว่าโชคดีจริงๆ ที่มีคนเตือนให้ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท

    ยิ่งถูกทักว่าจะอับเฉาทำมาหากินยังไงก็ไม่รุ่ง ไม่สำเร็จ ยิ่งขยันกว่าเดิม ระมัดระวังกว่าเดิม ใช้วิธีคิดตามแนวที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ มองทุกอย่างตามความเป็นจริง รู้แต่ไม่รับเข้ามาให้รกสมอง ปัดขยะจากชีวิต คิดแต่สิ่งที่ทำแล้ว ตั้งใจให้เป็นประโยชน์ทั้งกับตนเองและกับคนอื่น แต่ถ้าทำแล้วผลตรงกันข้ามก็ใช้ปัญญาเข้าช่วย เป็นตรรกะอันแสนธรรมดาเท่านั้น

    ยอมรับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตแบบเป็นจริง อย่าทุกข์กับอดีต อย่ากังวลกับอนาคตจนเกินเหตุ อยู่กับปัจจุบันให้มีความสุขทุกวันก็พอแล้ว

    จะเอาอะไรกันนักหนา ลาภ ยศ สรรเสริญ เกิดได้ เสื่อมได้ เชื่อเถอะว่า ให้ถูกทำนายว่าชีวิตจะเข็ญใจขนาดไหนก็ ไม่มีอะไรเป็นอะไร หากรู้จักคิด

    ยกเว้นชอบคิดร้าย ชอบคิดผิด อันนี้ก็ต้องแล้วแต่คนคิด ตัวใครตัวมัน อยากแบกก้อนทุกข์ไว้ก็ตามใจ ใครก็ช่วยไม่ได้ ถ้าเราไม่ช่วยตัวเอง

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    <CENTER>ตะวันขึ้นทุกวัน
    ตะวันตกทุกวัน
    ชีวิตบางครั้งถูกหนุนขึ้นสูง
    บางครั้งถูกผลักให้ตกต่ำ
    มีเช้า แล้วมีค่ำ …วิตกไปใยเล่า
    นั่นคือความจริงของโลก</CENTER>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>สมเด็จพระสังฆราช ประทานพรปีใหม่ 2551
    http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9500000155091
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>29 ธันวาคม 2550 16:59 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระพรปีใหม่ 2551....เพื่อความร่มเย็นเป็นสุข พ.ศ.2551...เป็นบทร้อยกรอง กลอนสุภาพ ความว่า

    “ปีใหม่นี้โลกมากมีทุกข์ร้อนนัก

    วิธีใดเล่าจักแก้ไขได้

    เพราะปล่อยปละละเลยมานานมากมาย

    สุดเสียดายที่ไทยนี้มีพระพุทธ

    พระพุทธองค์ท่านทรงพระบารมี

    เหนือความชั่วความดีทั้งหลายหมด

    จงถวายชีวิตตรงองค์พระสุคต

    ปฏิบัติพระธรรมพจน์แห่งเมตตา

    ไม่ทำชั่ว ทำดีเป็นที่ตั้ง

    มุ่งมั่นหวังจิตพิสุทธิ์ ดุจปรารถนา

    โดยเสด็จสมเด็จพระบรมศาสดา สร้างมหาชีวิตให้ไทยร่มเย็น”
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://hilight.kapook.com/view/18893

    ส.ค.ส. พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย



    <CENTER>
    ปีใหม่ วันปีใหม่ สำหรับประชาชนชาวไทยการได้รับพรจากใคร ๆ คงจะไม่ยิ่งใหญ่ และมากด้วยคุณค่าเท่าพรอันยิ่งใหญ่ของ ในหลวง ทั้งนี้แต่ละปีของ ปีใหม่ วันปีใหม่ ในหลวง จะพระราชทานพร ปีใหม่ และทางสำนักพระราชวังจะนำภาพพระราชทานจัดทำเป็น การ์ดอวยพร หรือ ส.ค.ส. มอบเป็น ของขวัญปีใหม่ แก่ประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งวันนี้เรามี บทความ เกี่ยวกับ ส.ค.ส. พระราชทานมานำเสนอค่ะ
    [​IMG]

    เรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม
    ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
    </CENTER>
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับประชาชนชาวไทยการได้รับพรจากใครๆ คงจะไม่ยิ่งใหญ่ และมากด้วยคุณค่าเท่าพรอันยิ่งใหญ่ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือ ในหลวง ทั้งนี้ ในแต่ละปีของเทศกาลปีใหม่สำหรับคนไทยคงไม่มีถ้อยคำใดจะยิ่งใหญ่ และนำความปลาบปลื้มยินดีมาสู่ชีวิตและจิตใจได้เท่ากับ "พรพระราชทานปีใหม่แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทุกปี ที่สำนักพระราชวังจะนำภาพพระราชทานจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จัดทำเป็น "การ์ดอวยพร" หรือ "ส.ค.ส." มอบเป็นของขวัญแก่ประชาชนทั้งประเทศ
    ส.ค.ส.พระราชทาน คืออะไร
    ส.ค.ส.พระราชทาน คือ บัตรส่งความสุขที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประดิษฐ์ขึ้นด้วยพระองค์เอง เพื่อพระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทย เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ เป็นประจำทุกปี (ยกเว้น พ.ศ. 2548)
    ที่มาของ ส.ค.ส.พระราชทาน

    และในวันสิ้นปี (31 ธันวาคม) ของทุกปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพร เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงและสถานีโทรทัศน์ทุกสถานี นอกจากนี้ ยังทรงปลีกเวลาจากพระราชกรณียกิจ มาปรุแถบโทรพิมพ์ (เทเล็กซ์) พระราชทานพรปีใหม่ แก่เจ้าหน้าที่ผู้ถวายงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท ซึ่งส.ค.ส.พระราชทานแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2529 ซึ่งเป็น ส.ค.ส.พระราชทานสำหรับปี 2530 โดยทรงใช้รหัสแทนพระองค์ว่า กส.9 เช่นเดียวกับที่ทรงใช้ติดต่อทางวิทยุสื่อสาร ทรงระบุท้ายโทรพิมพ์ว่า กส.9

    ส.ค.ส.พระราชทาน ที่เป็นโทรพิมพ์เหล่านี้ เริ่มเผยแพร่สู่สาธารณชน เมื่อปี พ.ศ. 2530 เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาขึ้น จึงได้ทรงเริ่มต้นประดิษฐ์ ส.ค.ส.พระราชทาน ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนพระองค์ เมื่อปี พ.ศ. 2531 โดยทรงพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ขาวดำ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้โทรสาร (แฟกซ์) พระราชทานไปยังหน่วยงานต่างๆ โดยข้อความใน ส.ค.ส.พระราชทาน แต่ละปีจะประมวลขึ้นจากเหตุการณ์บ้านเมือง เพื่อสะท้อนให้เห็นปัญหา และอุปสรรคต่างๆ ที่ประเทศไทยต้องประสบ ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ในปีต่อๆ มา หนังสือพิมพ์รายวันได้นำลงตีพิมพ์ในฉบับเช้าวันที่ 1 มกราคม เพื่อให้พสกนิกรได้ชื่นชมอย่างทั่วถึง
    [​IMG]
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นับแต่ทรงใช้คอมพิวเตอร์ประดิษฐ์ ส.ค.ส.พระราชทาน ทรงเปลี่ยนแปลงคำลงท้ายของ ส.ค.ส.พระราชทาน เป็น ก.ส.9 ปรุง เนื่องจากทรงเปลี่ยนจากการ "ปรุ" ด้วยโทรพิมพ์ เป็นการ "ปรุง" ด้วยคอมพิวเตอร์ ถัดจากนั้น จะทรงระบุวันและเวลาที่ทรงประดิษฐ์ขึ้น เป็นรูปแบบเฉพาะ
    นอกจากนี้รูปแบบของ ส.ค.ส.พระราช ทาน จากปีแรก ซึ่งยังไม่มีการตกแต่งลวดลายใดๆ ข้อความที่ปรากฏอยู่ มีใจความสั้น กระชับ เรื่อยมาจนถึงช่วงระหว่างปี 2532 - 2537 ได้เริ่มมีการประดับประดาเป็นรูปทรง ส.ค.ส. มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นลายเส้นตรง เส้นเฉียง รูปดาวต่างๆ จนกระทั่งปี 2538 เป็นต้นมา ลวดลายที่ปรากฏจะยากขึ้นตามลำดับ มีภาพเครื่องดนตรีหลากชนิด ภาพหัวใจ ภาพประกอบในพระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนก ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นจากฝีพระหัตถ์แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสิ้น
    และเป็นที่ทราบกันดีว่า ส.ค.ส.พระราช ทานทุกปี ล้วนมีความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่ภายใน ไม่ว่าจะเป็นโดยตรงจากข้อความ จากลวดลาย หรือแม้กระทั่งสีสันที่ปรากฏ ซึ่งเราสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ส.ค.ส. ที่พระองค์พระราชทานในแต่ละปี ล้วนเป็นสีขาว - ดำ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการสะท้อนให้คนไทยได้เห็นถึงตัวอย่างของความประหยัด มัธยัสถ์ สิ่งของหลายๆ สิ่งแม้จะไม่มีสีสันดึงดูดตา แต่ก็มากมายด้วยความหมาย พระองค์พยายามทำทุกสิ่ง ให้เกิดประโยชน์ตลอดเวลา ทรงรักความเรียบง่าย ยึดมั่นในความหมาย และคุณค่าของสรรพสิ่งเป็นที่ตั้ง มากกว่าจะมองกันที่ความสวยงามฟุ้งเฟ้อ
    [​IMG]

    [​IMG]

    หมายเหตุ

    ในปี พ.ศ.2548 ไม่มี ส.ค.ส. พระราชทาน เนื่องจากเกิดเหตุการณ์คลื่นสึนามิ เนื่องจากแผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย พ.ศ.2547 ซึ่งนายขวัญแก้ว วัชโรทัย ประธานมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ตนได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสที่พระองค์จะพระราชทานพระราชดำรัสเนื่องในวันปีใหม่ ซึ่งหลังจากที่พระองค์พระราชทานเสร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตรัสว่า ปีใหม่ปีนี้ไม่ ส.ค.ส.พระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะพระองค์ทรงทำงานอย่างหนักในการให้ความช่วยเหลือประชาชนชาวใต้ที่ได้รับความเดือดร้อน

    นายขวัญแก้วกล่าวอีกว่า นอกจากนี้พระองค์ยังทรงตรัสอีกว่า พระองค์ทรงรู้สึกปลื้มใจที่คนไทยไม่ทิ้งกัน เวลาเดือดร้อนก็ช่วยเหลือกัน เป็นเรื่องที่ดีมากๆ ซึ่งการที่คนไทยได้ช่วยเหลือกันครั้งนี้เหมือนเป็นหลักประกันให้พระองค์ว่า เมื่อไรที่พระองค์เดือดร้อนก็จะมีคนมาช่วย สิ่งที่ทุกคนทำผลบุญก็จะส่งให้กับผู้ที่ให้การช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนด้วย ซึ่งพระองค์ทรงตรัสว่า ทรงปลื้มใจคนไทยที่ให้ความช่วยเหลือทุกคน ไม่รังเกียจว่าเป็นคนชนชาติไหน

    ข่าวที่เกี่ยวข้อง

    [​IMG] ผมเจอ พระเทพ บนรถไฟฟ้าใต้ดิน .. เรื่องไม่น่าเชื่อ แต่เป็นจริง
    [​IMG]"ในหลวง" ประทับโรงพยาบาลศิริราช ตรวจพระสมอง
    [​IMG]"ในหลวง" ทรงดีขึ้น พระราชทานดอกไม้แก่ผู้ป่วย
    [​IMG]พสกนิกรเปล่งเสียง "ไชโย" "ในหลวง" ทรงพระสำราญดี
    [​IMG]เต็มอิ่ม! รูปภาพ พิธีเฉลิมฉลอง 80 พรรษา ในหลวง
    [​IMG]ในหลวง ออกมหาสมาคม คลื่นมหาชน เสื้อเหลือง เฝ้ารับเสด็จ
    [​IMG]ในหลวง รับสั่งไม่ปรองดอง ประเทศชาติล่มจม
    [​IMG]งานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มหาราชา 4 - 8 ธ.ค. นี้
    [​IMG]สุดตระการตา รูปภาพ พลุและดอกไม้ไฟ เฉลิมพระเกียรติ
    [​IMG]ตระการตาพลุนานาชาติ เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา
    [​IMG]รูปภาพ ภาพ พลุ ดอกไม้ไฟ ในงานประกวดพลุนานาชาติ เมืองทองธานี ชุดที่ 1
    [​IMG]รูปภาพ ภาพ พลุ ดอกไม้ไฟ ในงานประกวดพลุนานาชาติ เมืองทองธานี ชุดที่ 2
    [​IMG]รูปภาพ ภาพ พลุ ดอกไม้ไฟ ในงานประกวดพลุนานาชาติ เมืองทองธานี ชุดที่ 3
    [​IMG]รูปภาพ ภาพ พลุ ดอกไม้ไฟ ในงานประกวดพลุนานาชาติ เมืองทองธานี ชุดที่ 4
    [​IMG]รูปภาพ ภาพ พลุ ดอกไม้ไฟ ในงานประกวดพลุนานาชาติ เมืองทองธานี ชุดที่ 5





    [​IMG]Kapook Glitter ต้อนรับคริสต์มาส และ ปีใหม่ มีของเล่นให้เพียบ … คลิกที่นี่เลย

    ข้อมูลจาก
    [​IMG]
    - [URL="http://th.wikipedia.org/wiki/ส.à¸​
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>สารพัดของขวัญเพื่อคนพิเศษ
    http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9500000152457
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>23 ธันวาคม 2550 18:01 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> ช่วงเทศกาลแห่งความสุขที่กำลังมาถึงนี้ เชื่อว่าหลายคนคงกำลังมองหาของขวัญ เพื่อมอบให้กับคนพิเศษอย่างพิถีพิถัน ของขวัญแต่ละชิ้น นอกจากสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้รับแล้ว ยังบ่งบอกถึงความหมายที่แฝงนัยยะไว้ในของขวัญชิ้นสำคัญที่ผู้ให้ตั้งใจแทรกไว้ด้วย


    ********


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ใส่ความห่วงใย ลงในกล่อง

    การมอบของขวัญ ให้คนพิเศษของเราในแต่ละเทศกาล การให้นอกจากจะนำความสุขมาให้คนที่คุณรักแล้ว ยังบ่งบอกถึงรสนิยม ความเอาใจใส่ของผู้ให้อีกด้วย ดังนั้นการมอบของขวัญแก่คนพิเศษของเราย่อมไม่ธรรมดา ปีใหม่นี้ กูร์เมต์ มาร์เก็ต และ โฮม เฟรช มาร์ท เปิดเผยโฉมใหม่ของ Signature Boxes กล่องของขวัญที่รังสรรค์การจัดได้ไม่จำกัดรูปแบบ ซึ่งจะทำให้การเลือกซื้อของขวัญประจำเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ง่ายเกินคาด และสร้างความประทับใจไม่รู้ลืมสำหรับผู้รับ โดยมี Signature Boxes มาเป็นไกด์ไลน์ให้เลือกถึง 6 แบบ 6 สไตล์ดังนี้

    แบบแรก สำหรับกอล์ฟ เลิฟเวอร์ เลือกหาถุงมือกอล์ฟคอลเลกชันใหม่ล่าสุด 1 คู่ ตุ๊กตาหัวไม้กอล์ฟสัก 1 ตัว หรือไม้พัทกอล์ฟสุดเก๋สัก 1 อัน บรรจุลงในกล่อง พร้อมน้ำดื่มเกลือแร่แสดงความห่วงใยในสุขภาพ สแนคนานาชนิดสำหรับขบเคี้ยวในสนามขณะออกรอบ หรือผลไม้ชนิดที่คนพิเศษของคุณชอบมากที่สุด เพียงเท่านี้ก็สร้างความประทับใจให้กับผู้รับได้ไม่น้อย

    แบบที่สอง เพื่อคุณแม่บ้านมือใหม่ที่กำลังเห่อการเข้าครัว เลือกอุปกรณ์สำหรับใช้บนโต๊ะอาหารสุดเก๋ อาทิ ชุดตะเกียบลวดลายไม่ซ้ำใคร สไตล์โมเดิร์นเจแปนนิส ชุดเครื่องปรุงอาหารนานาชนิดที่จะทำให้เพื่อนของคุณสนุกกับการคิดค้นเมนูใหม่ๆ ให้ได้ลิ้มลอง

    แบบที่สาม เหมาะเป็นของขวัญสำหรับเจ้าตัวน้อยวัยซน สาวน้อยแสนหวานก็สามารถนำตุ๊กตาบาร์บี้แสนสวยในชุดสีสันสดใสจัดวางอย่างโดดเด่นรายล้อมด้วยช็อกโกแลตนานาชนิด พร้อม คุ้กกี้ แครกเกอร์ ดิ๊ป ชนิดต่างๆ หรืออาจจะเป็นเค้กแสนอร่อยจากร้านโปรด ส่วนเด็กผู้ชายวัยซน สามารถเลือกรถแข่งสีสันสดใส วางบนขนมของโปรด และมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพียงแค่นี้เทศกาลแห่งความสุขก็จะเป็นเทศกาลแห่งความอร่อยของเด็กๆ ไปในตัว

    แบบที่สี่ ให้คนพิเศษที่เป็นหนอนหนังสือตัวยง ควรเลือกหนังสือขายดีสัก 2-3 เล่ม จัดวางเคียงคู่กับของว่างหลากหลายชนิด สำหรับวันพักผ่อนของคนพิเศษ อาทิ คุกกี้กล่องขนาดกำลังดี ขนมคบเคี้ยวต่างๆ เจลลี่ผลไม้สีสันสดใส เพิ่มเติมความห่วงใยด้วยน้ำผลไม้ให้ความสดชื่น หรือจะเป็นผลไม้สดบำรุงสายตา รับรองได้ว่าทุกครั้งที่หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน เขาคนนั้นจะคิดถึงคุณขึ้นมาทันที

    แบบที่ห้า สำหรับสาวผู้รักความสวยความงาม ประกอบด้วยอุปกรณ์สำหรับการบำรุงผิวพรรณ อาทิ แฮนด์ครีม บอดี้โลชั่นกลิ่นหอม รวมถึงอุปกรณ์เสริมความงามครบชุด กล่องใส่เครื่องประดับลวดลายเก๋ เพิ่มความสมบูรณ์แบบสำหรับสาวรักสวยรักงามด้วยผักออร์แกนิก ผักปลอดสารพิษ และผลไม้นานาชนิด บำรุงผิวพรรณจากภายใน หรือจะเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ที่จะทำให้สาวๆ ทั้งสวยและสุขภาพดีไปพร้อมๆ กัน

    แบบที่หก กลุ่ม Greenista สำหรับหนุ่มสาวอินเทรนด์ รวมผลิตภัณฑ์สีเขียวที่เปี่ยมคุณค่า ตอบรับการณรงค์ลดปัญหาโลกร้อน ภายในกล่องโดดเด่นด้วยถุงผ้าสำหรับชอปปิ้ง ลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติก และของขวัญ คุมโทนสีเขียวสบายตา อาทิ ชาเขียวพร้อมดื่ม ช่วยดับกระหาย หรือจะเป็นแอปเปิ้ลเขียวให้วิตามินซี ผักออร์แกนิกเสริมสุขภาพ เพิ่มความเก๋ด้วยผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติอีกนานาชนิด เทศกาลแห่งความสุขครั้งนี้ รับรองได้ว่าจะทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้นเยอะ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=352 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=352>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> หลากไอเดียสร้างความประทับใจ

    ยิ่งใกล้ช่วงเทศกาลปีใหม่เข้ามาทุกที หลายคนคงอดนึกสงสัยไม่ได้ว่า สารพัดของขวัญที่จะมอบให้กันในช่วงเทศกาลปีใหม่ อย่าง กล่องคุ้กกี้ ขวดไวน์ หนังสือ กรอบรูป และเครื่องประดับ จะห่อยังไงดีให้เก๋ไก๋ไม่ซ้ำใคร ภิญญ์มีไอเดียสดใหม่สร้างความประทับใจแก่ผู้รับ ด้วยการห่อของขวัญโดยใส่ไอเดียพิเศษเข้าไป ยังบ่งบอกถึงความพิถีพิถันและความเอาใจใส่ของผู้ให้ที่มีต่อผู้รับอีกด้วย

    การห่อของขวัญแบบถุง ด้วยการถักไหมพรมเป็นถุงใส่ของขวัญ แนะนำเทคนิคอีซีนิต (Eazy Knit) การถักนิตติ้งโดยไม่ใช้ไม้นิต ที่เด็กก็สามารถลงมือทำได้ง่ายๆ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ก็จะได้ชิ้นงานทรงกระบอก แค่เย็บปิดปลายด้านหนึ่งเป็นก้น ร้อยเชือกที่ปลาย อีกด้านหนึ่งเป็นหูรูด ใส่ของขวัญแล้วประดับด้วยดอกไม้ไหมพรม

    การตกแต่งกล่องของขวัญ ด้วยเทคนิคการม้วนแถบกระดาษ ใครอยากตกแต่งด้วยการม้วนแถบกระดาษ เทคนิคเปเปอร์ฟิลิกรี (Paper Filigree) ก็ง่ายเพราะแค่ตัดม้วนแถบกระดาษ ติดกาว เรียงเป็นรูปร่างตามใจชอบ เหมาะสำหรับใส่ของขวัญชิ้นเล็กๆ เช่น แหวน สร้อยคอ ต่างหู

    ขวดไวน์ผูกผ้าพันคอ ห่อสมุดไดอารี่เป็นเชิ้ตผูกเนคไท ถักโครเชต์หรือนิตติ้ง เป็นแถบเล็กๆ ตกแต่งให้หรูหราขึ้นด้วยเพชรรีด เลือกสีและลวดลายไหมพรมตามสไตล์ที่ชอบ แค่นี้ก็ได้ของขวัญสุดเก๋ไม่ซ้ำใครแล้ว

    ห่อของขวัญไอเดียใหม่จากเศษวัสดุ ขอแนะนำให้หยิบกระดาษเหลือใช้ในบ้านอย่างกระดาษสีธรรมดาและเศษวัสดุที่หาได้ทั่วไป และใช้ไหมพรมมาตกแต่งเป็นโบว์ ซึ่งวัสดุที่ใช้ห่อยังสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีก ไม่ต้องทิ้งให้เป็นขยะ ลดการทำลายสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

    เค้มไหมพรมตกแต่งสวยแทนโบว์ ทำเค้กไหมพรมง่ายๆ โดยพันไหมพรมเป็นก้อนเล็กๆ วางบนถ้วยเค้กกระดาษแล้วเย็บติดกับก้นกระดาษ ตกแต่งหน้าด้วยลูกปัด นำมาตกแต่งแทนโบว์ให้ดูเก๋ไก๋ไม่ซ้ำใคร ที่สำคัญผู้รับยังนำไหมพรมไปใช้ต่อได้อีกด้วย

    การห่อแบบลูกอมหรือท็อฟฟี่ การห่อแบบลูกอมเป็นการห่อแบบง่ายๆ แต่ต้องอาศัยความประณีต และขึ้นอยู่กับรูปลักษณะของของขวัญ เริ่มแรกให้นำกระดาษสาสีแดงหรือสีที่ชอบมาห่อทั้งแผ่นโดยให้กล่องของขวัญอยู่กึ่งกลางแผ่นกระดาษ จับรวบปลายกระดาษสารทั้ง 2 ข้างให้เป็นรูปท็อฟฟี่และเอาไหมพรมมาผูกทั้งสองด้าน จากนั้นใช้กรรไกรซิกแซ็กตัดริมกระดาษเก็บรายละเอียดให้สวยงาม

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> มอบคำอวยพรผ่านกระเช้าปีใหม่

    กระเช้าปีใหม่มิได้ทำหน้าที่เพียงบรรจุของขวัญของกำนัลเพื่อมอบให้กันเท่านั้น เพราะสีสันของกระเช้าที่แตกต่างกันยังใช้คำอวยพรหรือสื่อความหมายดีๆ ให้แก่กันแตกต่างไปด้วย เทศกาลแห่งการให้ในปีนี้ เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จัดทำกระเช้าปีใหม่หลากสีสันพร้อมเป็นตัวกลางส่งคำอวยพรจากสีอันเป็นสิริมงคลของกระเช้า สื่อถึงความใส่ใจและปรารถนาดีเป็นพิเศษแตกต่างจากกระเช้าของขวัญแบบเดิมๆ

    กระเช้าสีชมพู บ่งบอกถึงความรักที่คงทนและไร้เงื่อนไข ในความหมายด้านสุขภาพพลานามัยสีชมพูจะช่วยสร้างสมดุลระหว่างสุขภาพกายและใจ

    กระเช้าสีเหลือง หมายถึงความเจิดจ้า ความสว่างไสว ความเชื่อใจ สีเหลือง เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่และชีวิตที่ดีขึ้น การมอบกระเช้าสีเหลืองจึงเปรียบเสมือนการนำชีวิตไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง

    กระเช้าน้ำเงิน แสดงถึงความสง่างาม มีศักดิ์ศรี มีความสงบและสุขุม การมอบกระเช้าสีน้ำเงินจึงเป็นการส่งคำอวยพรให้ผู้รับมีความมั่นคง แข็งแรง และมีศักดิ์ศรี

    กระเช้าสีเขียว สื่อถึงความเจริญงอกงามและโชคลาภ ความสดชื่น และความเจริญเติบโต การมอบกระเช้าสีเขียวจึงเป็นคำอวยพรที่ดีเพื่อความเจริญรุ่งเรือง

    กระเช้าสีแดง คือสีแห่งมงคล ความสุขและความเจริญ ความภาคภูมิใจ ความตื่นตัว ความกล้าหาญ ความโชคดี มั่งคั่งร่ำรวย เงินทอง

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.parliament.go.th/news/news_detail.php?prid=19247

    <TABLE borderColor=#cccccc cellSpacing=0 cellPadding=0 width="80%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    วาสนา-บารมี

    </TD></TR><TR><TD colSpan=2>
    หมู่นี้มีคนมาถามอยู่เรื่อยๆ เรื่อง "บารมี" ซึ่งมาถามเชิงวิชาการนะ แบบว่าหากจะแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า "Charisma" ได้หรือไม่?

    ซึ่งการแปลแบบนี้ผู้เขียนก็ได้เคยได้ยินและมีอ้างอิงกันมาตั้งแต่คำว่า Charisma ได้ถูกใช้อย่างกว้างขวางเมื่ออ้างถึงประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ เมื่อ 40 กว่าปีมาแล้วเนื่องจากประธานาธิบดีเคนเนดี้มีความเป็นผู้นำที่มีลักษณะพิเศษที่สามารถปลุกเร้าความชื่นชมและความภักดีของประชาชนให้มีต่อตัวเขาได้อย่างกว้างขวาง

    ผู้เขียนขอตอบรวมๆ ไปทีเดียวเลยในที่นี้เสียเลยว่า Charisma มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก แปลว่า สนับสนุนหรือเข้าข้าง ส่วนในภาษาอังกฤษก็แปลว่า บุคลิกของผู้นำที่มีอำนาจพิเศษในการปลุกเร้าความภักดีหรือความกระตือรือร้นจากปวงชน

    ซึ่งว่าที่จริงหากจะแปลเป็นภาษาไทยให้เข้าใจกันง่ายก็น่าจะใช้ว่า "ผู้นำที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจประชาชนให้เลื่อมใสได้อย่างกว้างขวาง" ฟังดูจะสื่อความหมายได้ชัดและเข้าใจดีกว่าแปลว่า "บารมี" ที่เป็นภาษาบาลีกระมัง

    สำหรับคำว่าบารมีจริงๆ ที่เป็นภาษาบาลีนั้นผู้เขียนเชื่อมั่นว่าคงจะหาใครอธิบายให้เห็นภาพชัดเท่าท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ไม่ได้อีกแล้ว

    ท่านได้บรรยายเรื่องบารมีนี้ในการสอนให้กับนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวิชาพื้นฐานอารยธรรมไทยเมื่อ พ.ศ.2516 ดังนี้

    "การสืบเนื่องในกรรมนี้ มีเรื่องที่ควรจะต้องรู้อยู่ 2 อย่าง ที่ทำให้บุคคลสืบเนื่องต่อไปในกรรมดีหรือชั่ว พระพุทธศาสนาสอนว่า ผู้ใดทำดีไว้แล้ว จะมีสิ่งหนึ่งตกอยู่ในตัวเรียกว่า "บารมี" เราเคยได้ยินว่า คนนั้นมีบารมีมากทำอะไรก็สำเร็จ ถ้าทำกรรมชั่วแล้วผลที่ตกอยู่ในตัวคือ "อาสวะ" ทั้ง 2 อย่างนี้ทำให้เราสืบเนื่องในกรรม คือ บารมี และอาสวะนั้น เปรียบเหมือนกับเอาสิ่งใดที่มีสีต่างกันผสมกันลงไปในน้ำ เช่น ผงสีขาวและผงสีดำ ใส่ลงไปในแก้วน้ำอย่างละแก้ว แก้วที่ใส่ผงสีขาวนั้นเมื่อเอาอะไรคนหรือถูกสะเทือน ผงสีขาวก็จะพลุ่งขึ้นมา แต่ถ้าวางไว้นิ่งๆ ผงสีขาวก็จะตกตะกอนมองดูน้ำก็ใส เช่นเดียวกัน แก้วที่ใส่ผงสีดำเอาไว้ ถ้าน้ำอยู่นิ่งๆ ผงสีดำก็นอนก้นอยู่ ดูน้ำใส แต่ถ้าแก้วถูกกระทบอย่างแรงแล้ว สีดำที่ตกตะกอนอยู่แล้วก็จะพลุ่งขึ้นมา ทำให้น้ำเป็นสีดำ สมมุติว่า บารมีนั้นเปรียบเหมือนผงสีขาว คนที่มีบารมีมากก็เหมือนกับแก้วน้ำที่มีผงสีขาวตกตะกอนอยู่ เมื่อถูกกระทบกระเทือนผงสีขาวที่ตกตะกอนอยู่นั้นก็จะลอยขึ้นมาเต็มทำให้น้ำเป็นสีขาว หมายความว่า คนที่มีบารมีตกอยู่ในตัวนั้น ถ้ามีอะไรมากระทบใจก็จะออกมาในทางที่ดี ปฏิกิริยาออกไปจะเป็นไปในทางดีทั้งสิ้น คนที่ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง ไม่มีอกุศลมูล ทำบุญบริจาคให้คนอื่นเรื่อยมานั้น ก็จะมีบารมีตกอยู่เหมือนตกตะกอนสีขาว ถ้ามีอะไรกระทบกระเทือนอย่างแรง เป็นต้นว่า มีผู้ใดมาทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ หรือทำให้เสียหาย หรือสิ่งที่ทำให้ผงสีขาวขุ่นขึ้นมาก็จะเป็นสีขาว คนที่มีบารมีแล้วถูกกระทบกระเทือนอย่างไรก็ไม่โกรธ และมีแต่จะอภัยให้ คือ เป็นไปในทางดีทั้งสิ้น ส่วนคนที่มีอาสวะอยู่ในใจนั้น ถ้าอยู่นิ่งๆ ก็นึกว่าน้ำนั้นใสดี แต่กระทบนิดเดียวขุ่นขึ้นมาเป็นสีดำ คนนั้นก็จะมีโทสะได้ง่ายและจะเป็นไปในทางอาฆาตพยาทาทในทางชั่วต่างๆ

    ดังนั้น คนที่มีบารมีอยู่ในตัว จะกระทำความดีได้ง่ายเพราะบารมีที่มีนั่นเอง เป็นเครื่องส่งเสริมให้กระทำความดีแล้วก็จะสืบเนื่องไปในทางกระทำดี ถ้าทำความชั่วก็จะทำบาปได้ง่ายอย่างคนที่ทำความีบริจาคทรัพย์ทำบุญช่วยเหลือผู้อื่นที่ตกทุกข์ได้ยาก ในขั้นต้นอาจจะมีความรู้สึกเสียดาย (มีโลภ) ที่จะบริจาคทรัพย์เพื่อคนอื่น แต่ทำความดีเช่นนี้สม่ำเสมอแล้ว ต่อไปจะทำได้ง่ายเมื่อถึงคราวที่จะต้องบริจาคทรัพย์ช่วยเหลือผู้อื่น หรือทำบุญกับศาสนาจะไม่รู้สึกเสียดายหรือเดือดร้อนอย่างใดเลย กลายเป็นของเคยชินไป ส่วนผู้ที่ทำกรรมชั่วจนตกเป็นอาสวะแล้วก็จะทำบาปได้ง่ายและทำมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ยิงสัตว์เล็กเล่น ต่อไปก็จะฆ่าสัตว์ใหญ่ และต่อไปจะฆ่าคนก็จะทำได้ง่ายไม่เดือดร้อนอะไรทั้งสิ้น เพราะเคยชินในการทำชั่วเสียแล้ว แต่ความจริงคนเรานั้นก็ประกอบทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ตะกอนที่ตกอยู่ก็มีทั้งสีดำและสีขาว ถ้ากระเทือนขึ้นมันก็แล้วแต่ว่าสีขาวหรือสีดำมาก ถ้าสีขาวกับสีดำพอๆ กัน ก็จะเห็นเป็นสีเทา ถ้ามีสีขาวมากก็จะค่อนไปทางขาว แต่ถ้ามีสำดำมากก็จะค่อนไปทางสีดำ"

    ส่วนคำว่า "วาสนา" นั้นในประเทศไทยขณะนี้เป็นคำที่ฮิตมากและเป็นคำอีกคำหนึ่งที่มีคนมาถามมาคุยกับผู้เขียนมากเหลือเกิน ก็เลยไปค้นคำอธิบายของคำนี้มาจากหนังสือพจนานุกรรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) ซึ่งอธิบายคำว่าวาสนาดังนี้คือ

    "วาสนา : อาการกายวาจา ที่เป็นลักษณะพิเศษของบุคคล ซึ่งเกิดจากกิเลสบางอย่าง และได้สั่งสมอบรมเป็นเวลานานจนเคยชินติดเป็นพื้นประจำตัว แม้จะละกิเลสนั้นได้แล้ว แต่ก็อาจจะละอาการกายวาจาที่เคยชินไม่ได้ เช่น คำพูดติดปาก อาการเดินที่เร็วหรือเดินต้วมเตี้ยม เป็นต้น ท่านขยายความว่าวาสนาที่เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากฤต คือเป็นกลางๆ ไม่ดีไม่ชั่วก็มี ที่เป็นกุศลกับอัพยากฤตนั้น ไม่ต้องละ แต่ที่เป็นอกุศลซึ่งควรจะละนั้นแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่จะเป็นเหตุให้เข้าถึงอบายกับส่วนที่เป็นเหตุให้เกิดอาการแสดงออกทางกายวาจาแปลกๆ ต่างๆ ส่วนแรก พระอรหันต์ทุกองค์ละได้ แต่ส่วนหลัง พระพุทธเจ้าเท่านั้นละได้ พระอรหันต์อื่นละไม่ได้ จึงมีคำกล่าวว่า พระพุทธเจ้าเท่านั้นละกิเลสทั้งหมดได้พร้อมทั้งวาสนา; ในภาษาไทยคำว่า วาสนา มีความหมายเพี้ยนไปกลายเป็นอำนาจบุญเก่า หรือกุศลที่ทำให้ได้รับลาภยศ"

    เรื่องวาสนา-บารมีนี่ตั้งใจเขียนเป็นเรื่องวิชาการจริงๆ เพราะเห็นคนพูดๆ กันเยอะจังนัยว่าคนหนึ่งรู้แล้วแต่อีกคนไม่รู้ว่าใคร ไม่รู้ว่าพูดกันเรื่องอะไร

    อีกอย่างหนึ่งการเขียนหนังสือเชิงวิชาการนี่สบายจริงๆ ไม่ต้องเขียนเองสักเท่าไรเลย อาศัยอ้างอิงจากของครูบาอาจารย์เอาทั้งนั้น

    </TD></TR><TR><TD colSpan=2>
    .....มติชนรายวัน

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.geocities.com/knowledge_meditation/133.htm


    ธรรมะปฏิบัติ


    การบูชาสิ่งที่เป็นรูปธรรมหรือนามธรรมจะทำให้จิตใจของผู้นั้นไม่มีโอกาสปฏิบัติไต่เต้าได้สูงขึ้น จิตก็จะออกจากกายไปสถิตอยู่ใต้อิทธิพลของสิ่งนั้นและหมดอำนาจฤทธิ์เดชจะไม่มีวิชาต่อต้านป้องกันภัยจากภายนอกที่มาแผ้วผลาญได้ต่อไป เมื่อปฏิบัติได้เจริญพอสมควรแล้วลองทดสอบดูความขลังของวิชาที่ได้เรียนมาไปสู้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สูงกว่าดูบ้างว่าผ่านได้หรือไม่ด้วยสมาธิจิต ถ้าธาตุจิตเข้มแข็งพอที่จะต้านการกระทบได้ รีบปรับให้ดีสูงขึ้นกว่าเดิม วิชาก็จะชนะมารได้ เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องแล้ว จงทำเช่นนี้ตลอดไป วิชาก็จะสัมฤทธิ์ผลตามต้องการและเพิ่มเป็นทวีคูณ ซึ่งเป็นประโยชน์ในทางธรรมอย่างแท้จริง เป็นวิชาเข้าถึงจิตวิญาณธาตุที่สุดละเอียดโดยตรงของทุกภพทุกชาติได้ผล เป็นการปฏิบัติธรรมะครบถ้วนสมดึงสบารมีทุกประการ ส่งผลดีขึ้นแน่นอนในบั้นปลายของชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรม

    ธรรมะปฏิบัติที่ส่งผลต่อโลกธาตุ วิญญาณธาตุและอากาศธาตุอย่างแท้จริงไม่ได้จำกัดแต่การสอนอย่างเดียว จะต้องปฏิบัติธรรมไปด้วยเพื่อหลุดพ้น การบรรยายธรรมจะต้องเน้นถึงหลักธรรมเป็นการปฏิบัติบูชา เป็นสิ่งละเอียดที่มนุษย์จะต้องศึกษาให้เข้าถึงอย่าไปยึดติดอวิชชาจมอยู่ในขั้นโลกียธรรมที่ปฏิบัติกันและชอบอ้างว่าตนได้สำเร็จขั้นสูงแต่ไม่มีผลงาน จะไม่เข้าถึงสัจจธรรมที่จะใช้แก้กรรมของตนในชาตินี้ได้เลย

    การเรียนรู้ปริยัติธรรมเบื้องต้นเป็นพลังขับดันให้การปฏิบัติสมาธิเจริญธรรมที่มั่นคงเที่ยงธรรม ส่งเสริมชีวิตให้หลุดพ้นจากทาสของอธรรมและทำลายทุกสรรพสิ่งที่เกิดจากทุกข์ของจิตที่ไม่ได้ปฏิบัติจะส่งผลในทางมิจฉาทิฐิอยู่ตลอด

    การไปร่วมเดินขบวนคัดค้านต่อต้านหรือสนับสนุนทุกกรณีโดยมีผู้ทรงศีลที่ได้ละกิเลสหมดจดแล้วไปส่งเสริม กลัวจะตกเป็นเครื่องมือของผู้หาผลประโยชน์ในทางโลก สาเหตุใหญ่มาจากการสอนธรรมะที่ล้มเหลวมาตั้งแต่ต้น ที่ไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจความหมายให้ชัดแจ้งของคำว่า
     
  12. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    "จก" นะครับ ไม่ใช่ "ฉก"

    การสร้างพระเครื่ององค์ เป็นพระอรหันต์สาวกปางจกบาตรนี้ เท่าที่ผมรวบรวมไว้ มักจะพบว่าเป็นพระอรหันต์สาวกพระนามพระอุปคุตอรหันต์เถระเจ้าเท่านั้น ถวายพระนามว่า"พระอุปคุตปางจกบาตรพิชิตมาร" ซึ่งมักจะผินพระพักตร์ไปทางด้านซ้ายมือของเราสู่เบื้องบน ซึ่งหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนาเคยสร้างไว้ที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ให้โอกาสวันขึ้นปีใหม่ เป็นวันเริ่มต้นแห่งความสุข
    วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10887

    โดย "กฤษณา พันธุ์มวานิช" กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ

    http://matichon.co.th/matichon/matic...sectionid=0130


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    มวลมนุษย์เกือบทุกชาติทุกภาษา ต่างมีความเชื่อถือสอดคล้องต้องกันในเรื่องวันขึ้นปีใหม่ว่าเป็นวันที่ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ รับสิ่งใหม่ๆ และสลัดสิ่งเก่าๆ ทิ้งไป โดยเฉพาะสิ่งที่ไม่ดี

    วันที่ 1 มกราคม ตามสากลถือเป็นวันเริ่มต้นของปีใหม่ ความเป็นมาของปฏิทินนั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้วหลายครั้ง

    ชาวไทยแต่ก่อนมาเริ่มขึ้นปีใหม่เป็น 3 ระยะ คือ ขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติ โดยนับปีนักษัตรเป็นเกณฑ์ เริ่มวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 เป็นประเพณีมีตรุษระยะ 1 เริ่มปีใหม่ตามเกณฑ์ จุลศักราชตามปกติตกในราววันที่ 13 เมษายน เป็นประเพณีสงกรานต์ และมีงานนักขัตฤกษ์ 3 วัน วันต้นเป็นวันสงกรานต์ วันที่ 2 เป็นเนาว์ และวันที่ 3 จึงเป็นวันเถลิงศกเปลี่ยนจุลศักราชใหม่ระยะ 1 และขึ้นปีใหม่ตามสุริยคติ คือวันที่ 1 เมษายน ซึ่งประกาศใช้มาแต่ พ.ศ.2432 ซึ่งปัจจุบันวันที่ 13 เมษายน ของทุกปีถือเป็นประเพณีวันขึ้นปีใหม่ ที่ยึดถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมา เป็นวัฒนธรรมประจำชาติที่งดงาม โดดเด่น และฝังลึกเข้าไปในวิถีชีวิตของคนไทยมาช้านาน

    มีการเปลี่ยนแปลงประวัติวันขึ้นปีใหม่หลายครั้ง จนกระทั่งต่อมาถึงวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2483 คณะรัฐบาลสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม โดยมีเหตุผลว่า เพื่อให้สอดคล้องกับประเทศอื่นๆ

    ด้วยเหตุนี้ประเทศไทยจึงได้เริ่มใช้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2484 เป็นต้นมากระทั่งบัดนี้ และถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของไทย ด้วยคือเป็นวันแรกของปี

    วันขึ้นปีใหม่ มีวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ส่วนใหญ่จะเน้นการจัดงานรื่นเริงมากกว่าการทำบุญตักบาตร ให้ทาน จะเห็นได้จากการจัดกิจกรรมที่เรียกว่า เคานต์ดาวน์ จนจะกลายเป็นประเพณีของไทยไปแล้ว

    แก่นแท้ของวันขึ้นปีใหม่คือ การให้ความหมายของระยะเวลาขั่วโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งราว 365 วัน เวลา 12 เดือน ตามสุริยคติ หรือ 1 ปีนั่นเอง

    ด้วยเหตุที่ประเทศไทยประชาชนส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา ซึ่งบ่งบอกถึงวัฒนธรรมประเพณีของคนไทย ที่ถูกปลูกฝังให้เป็นผู้ที่มีความเอื้ออาทรต่อกันเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม แต่ไม่ได้หมายความว่าบุคคลที่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนาจะไม่มีความเอื้ออาทรยกตัวอย่างเช่น วันคริสมาสต์ของฝรั่ง ก็มีซานตาคลอสแจกของขวัญให้แก่เด็กๆ ซึ่งเป็นอีกวัฒนธรรมหนึ่งด้วยเช่นเดียวกัน

    ทุกชาติทุกศาสนามีวัฒนธรรมที่ดีงามประจำชาติของตนอยู่แล้วเพียงแต่ผู้สืบทอดวัฒนธรรมประเพณีจะหยิบยกสิ่งที่ดีงามเหล่านั้นออกสู่สังคมหรือไม่ จะเห็นได้ชัดเจน คือ ทั้งประเพณีไทยและจีนจะคล้ายๆ กันตรงที่วันขึ้นปีใหม่ไทย จะมีการทำความสะอาดบ้านเรือน ทำบุญให้ทาน เยี่ยมเยียนบิดามารดา ญาติผู้ใหญ่มอบของขวัญให้แก่กันและกัน หรือการส่งบัตรอวยพรปีใหม่ให้แก่กัน ประเพณีจีนก็เช่นกัน จะมีการทำความสะอาดบ้านเรือน ร้านค้า มีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ และการให้อั้งเปาแก่เด็กๆ หรือญาติผู้ใหญ่

    ซึ่งพอจะสรุปกิจกรรมที่ยึดถือปฏิบัติในวันขึ้นปีใหม่ ได้แก่

    1.การทำบุญตักบาตร โดยอาจตักบาตรที่บ้าน หรือไปที่วัดหรือตามสถานที่ต่างๆ ที่ทางราชการเชิญชวนไปร่วมทำบุญ

    2.การกราบขอพรจากผู้ใหญ่ และอวยพรเพื่อนฝูงการมอบขวัญ การมอบช่อดอกไม้ หรือการส่งบัตรอวยพร

    3.การจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูงญาติพี่น้องหรือตามหน่วยงานต่างๆ

    วันขึ้นปีใหม่นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้ทบทวนถึงการดำเนินชีวิตในอดีต เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีตให้ดีขึ้น ถึงแม้กาลเวลาจะหมุนเวียนไปพร้อมๆ กับวัฒนธรรมที่ปรับเปลี่ยนตามไปด้วย

    แต่สิ่งหนึ่งที่คงรูปไม่เปลี่ยนแปลง คือ ความเป็นตัวตน (อัตลักษณ์) ของแต่ละคน (เจ้าของวัฒนธรรม) การสร้างโอกาสวันขึ้นปีใหม่ให้เป็นวันเริ่มต้นชีวิตใหม่ ดูจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด นำสิ่งที่ไม่ดีในอดีตมาเป็นบทเรียน และสิ่งที่ดีงามเป็นอนาคตที่เราจะก้าวเดินต่อไป

    คนส่วนใหญ่มักจะดิ้นรนต่อสู้ชีวิต เพื่อให้ได้สิ่งที่พึงปรารถนา เมื่อได้สมความปรารถนาก็จะมีความสุข ความสุขที่เป็นพื้นฐานของชีวิต คือความพอใจในฐานะหน้าที่ ทุกคนต่างมีฐานะหน้าที่ต่างๆ กัน และจะให้เหมือนกันก็ไม่ได้ด้วย

    ชีวิตคนต้องการผลของการงาน และตำแหน่งหน้าที่เป็นประการแรก เพราะการงานและหน้าที่เป็นที่มาแห่งทรัพย์และเพื่อน การทำงาน การปฏิบัติหน้าที่ย่อมมีความเหน็ดเหนื่อย และมีความตรากตรำจากการต้องใช้ทั้งกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา ในท่ามกลางความร้อนหนาว และความเหน็ดเหนื่อย เพราะไม่มีงานหรือหน้าที่ใดได้โดยไม่เหน็ดเหนื่อยไม่ตรากตรำ งานเบาหน้าที่น้อย ก็เหน็ดเหนื่อยน้อย งานหนักหน้าที่มาก ก็เหนื่อยมากตรากตรำมาก

    การอดทนต่อความลำบาก หมายถึง การมีขวัญดี แม้จะเป็นอะไรก็ไม่ตกใจหรือหวาดกลัวง่ายๆ พร้อมเสมอที่จะต่อสู้ด้วยจิตใจที่เข้มแข็งอดทน ซึ่งจะนำไปสู่ความมีสุขภาพที่แข็งแรงได้ ความอดทนอดกลั้น หรือความทนทานของใจ เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำลายศัตรูที่ยิ่งใหญ่ของชีวิตเรา คือ ความเหนื่อยยากตรากตรำ ความลำบาก และความเศร้าใจ ก่อนที่จะบรรลุความสำเร็จตามเป้าหมายที่ปรารถนาของชีวิต

    ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนจะพบเป็นประจำทุกวัน และเกือบทุกเวลาด้วย

    วิธีฝึกกายใจให้ชีวิตมีความสุข

    - พยายามทำงานอย่าให้มีเวลาว่างมาก คนที่มีชีวิตอยู่อย่างเกียจคร้าน มีโอกาสเป็นโรคง่ายกว่าผู้ซึ่งทำงานอยู่เสมอ

    - หัดทำใจให้ชอบคนอื่นและให้อภัยแก่ผู้อื่นเสมอ พยายามคิดว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่เป็นผู้สมบูรณ์ทุกอย่าง

    - หัดพอใจในสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และยอมรับมันไว้ในฐานะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ

    - ลองหัดถือประโยชน์จากสิ่งที่เราเข้าใจว่าเป็นโชคร้ายดูบ้าง เป็นการเปลี่ยนขยะให้เป็นปุ๋ย

    - ถ้าเป็นปัญหายากลำบากสุดแก้ไขจริงๆ ก็ลองเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญ เมื่อเราพยายามทำดีแล้วทุกอย่างยังล้มเหลวอีกก็ไม่ต้องเสียใจ คนบางคนที่มีความล้มเหลวในเรื่องเล็กน้อย อาจจะเป็นช่องทางให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในภายหน้า

    ในวันขึ้นปีใหม่ 2551 สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยร่วมกันสืบสานประเพณีวันขึ้นปีใหม่ ด้วยการทำบุญตักบาตร การให้ทาน การแสดงน้ำใจไมตรีให้แก่กันแทนการให้สิ่งของ หรือหากจะมอบของขวัญที่ผลิตโดยฝีมือคนไทยเพื่อช่วยเศรษฐกิจของชาติอีกทางหนึ่ง

    และสิ่งสำคัญดังกล่าวข้างต้นคือการปลูกฝังความสุขให้เกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่น เพื่อให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งความสุขในวันขึ้นปีใหม่
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    'วันขึ้นปีใหม่' เขาทำอะไรกัน??
    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=150136&NewsType=1&Template=1

    “เทศกาลปีใหม่” เป็นช่วงเวลาที่จะ ได้ละทิ้งสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนความรู้สึกในจิตใจที่ ไม่ดีไปพร้อม ๆ กับปีเก่าและเริ่มต้นเปิดรับแต่สิ่งดี ๆ ในวัน ปีใหม่...ที่กำลังมาถึง

    ความเชื่อเช่นนี้ในทางจิตวิทยาถือว่า เป็นการเลียนแบบธรรมชาติ ด้วยว่าโดยธรรมชาติเองก็ยังมีการคลี่คลายเบิกบานด้วยชีวิตใหม่ และโลกยังมีเวลาตกแต่งผิวพื้นใหม่ด้วยการผลิดอกออกใบแห่งพรรณพฤกษา มวลมนุษย์ก็ควรจะมีการปรับเปลี่ยนใหม่เช่นกันเพื่อให้เหมาะสมกับสมัย

    หลายชนชาติมีความเชื่อและกิจกรรมที่แตกต่างกันไป ในเทศกาลปีใหม่นี้ อย่าง ชาวโรมันและชาวเยอรมันโบราณ มีความเชื่อกันว่าวันขึ้นปีใหม่ เป็นเวลาที่พวกเขาจะได้สลัด ปีเก่าทิ้งไป แล้วรับเอาแต่สิ่งดี ๆ ที่จะบังเกิดขึ้นในวันปีใหม่ไว้แทนที่ ใครคิดจะทำการสิ่งใด จะเริ่มทำในวันปีใหม่

    ส่วน ชาวอิหร่าน มีความเชื่อว่า วันปีใหม่เป็นเวลาแห่งการเกิดของสรรพสิ่งทั้งหลาย เป็นวันแห่งการฉลองชัยของสุริยเทพ ธรรมชาติ รวมไปถึงมวลมนุษยชาติทั้งมวล มาที่ ชาวซูลู ในทวีปแอฟริกา ต่างก็มีประเพณีเกี่ยวกับวันปีใหม่นี้เช่นกัน ซึ่งเมื่อถึงวันนี้ ชาวซูลู จะกินผลไม้ที่ออกผลเป็นครั้งแรก และผู้ชายจะกลืนกินเนื้อวัวสด ๆ เป็นการแสดงถึงความแข็งแรงและอุดมสมบูรณ์ในระหว่างปีที่จะมาถึง

    ขณะที่ ชาวอังกฤษโบราณ เมื่อวันนี้มาถึง ต่างพร้อมใจกันทำความสะอาดปล่องไฟเพื่อเตรียมไว้ต้อนรับโชคลาภที่จะเข้ามาในวันปีใหม่ โดยมีความเชื่อว่า จะลงมา ทางปล่องไฟและจะคงอยู่ที่นั่น ตลอดปี

    สำหรับ ชาวลาตินอเมริกา จะไม่นิยมให้นาฬิกาเป็นของขวัญในวันปีใหม่ เพราะหลีกเลี่ยงของขวัญที่มีเลข 13 เชื่อกันว่าเป็นตัวเลขที่ไม่เป็นมงคล นอกจากนั้น ชาวญี่ปุ่นและชาวอินเดียนแดง ยังมีความเชื่อคล้าย ๆ กันอีกว่า จะต้องเอาเสื้อผ้าเก่า ๆ ไปทิ้งและจะสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ รวมทั้งทำความสะอาดบ้านเรือนให้สะอาด สวยงาม เพื่อเป็นสิริมงคล ตรงนี้คล้ายกันกับของไทยด้วย

    ประเพณีวันขึ้นปีใหม่ของไทย เมื่อใกล้ถึงเทศกาล ปีใหม่ คนไทยจะนิยมพากัน เก็บกวาดบ้านเรือนให้สะอาด บางบ้านมีการตกแต่งประดับไฟอย่างสวยงามตามแบบสากล

    ในวันที่ 31 ธันวาคม วันสิ้นสุดของปีเก่า จะมีการทำบุญเลี้ยงพระที่วัด เพื่อประกอบกิจกุศลต่าง ๆ เช่น ฟังพระธรรมเทศนา ถือศีลปฏิบัติธรรม เพื่อให้จิตใจสดชื่นแจ่มใสเบิกบานในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ แต่บางคนก็เพียงทำบุญตักบาตร ปล่อยนก ปล่อยปลา เท่านั้น ส่วนตอนกลางคืน จะมีการจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องหรือตามหน่วยงานต่าง ๆ เป็นที่ครื้นเครงสนุกสนาน เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กัน

    ส่วนเช้าวันที่ 1 มกราคม เป็นวันแรกของปีใหม่เริ่มต้น ด้วยการทำบุญตักบาตร กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ญาติและผู้มีพระคุณที่ล่วงลับไปแล้ว

    การอวยพรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ของชาวไทย นิยมใช้บัตรอวยพร หรือสิ่งของนำไปมอบให้ผู้ที่เคารพนับถือ ตลอดจนญาติสนิทมิตรสหาย รวมทั้งผู้บังคับบัญชาในที่ทำงาน เป็นเครื่องแสดงถึงการระลึกถึงคุณความดีและไมตรีจิตมิตรภาพที่มีต่อ กันเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ นิยมไปอวยพรกันในตอนเช้า

    สำหรับในต่างจังหวัด จะมีการทำบุญเลี้ยงพระที่วัด อุทิศส่วนกุศลไปให้แก่ญาติที่ล่วงลับ ส่วนตอนกลางคืนจะมีการละเล่นพื้นบ้านหรือจัดงานมหรสพตามสถานที่สำคัญ ๆ ของจังหวัด

    วันปีใหม่สำหรับคนไทยนั้น มีความเชื่อกันว่า เป็นวันที่จะได้ตั้งต้นชีวิตใหม่ของปีต่อไป ในขณะเดียวกันเมื่อวันเวลาผันเปลี่ยนเวียนไปครบ 1 ปี ให้มองย้อนหลังกลับไปสำรวจดูว่า วันเวลาที่ผ่านมานั้นได้ใช้อย่างคุ้มค่าหรือไม่ และได้กระทำคุณงามความดีอันใดไว้บ้าง ถ้าทำอยู่แล้วก็ตั้งใจทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ในขณะเดียวกันถ้าได้กระทำความผิดหรือสิ่งใดที่ไม่ถูกต้องไว้ จะได้ปรับปรุงแก้ไขตัวเองเสียใหม่ เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีตให้ดีขึ้น

    ในวันปีใหม่นี้ คนไทยมักจะทำสิ่งดี ๆ ไม่นิยมให้ของมีคมแก่กัน เพราะเชื่อว่า อาจเป็นลางร้ายก่อให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นได้ หรือแม้แต่ห้ามพูดจาหยาบคาย หรือด่าทอกันในวันนี้

    ส่วนเพื่อนบ้าน ชาวอาทิตย์อุทัย นั้นจะถือว่าวันขึ้นปีใหม่ในช่วงปีใหม่เป็นวันสำคัญ ที่บ่งบอกถึงการเริ่มต้นใหม่ของ ปีนั้น ๆ....มักจะมีการประดับประดาบ้านด้วย สนประดับ และ เชือกประดับ

    สนประดับ นั้นประกอบด้วย...กิ่งสนใหญ่ ไม้ไผ่ และ ช่อดอกบ๊วย เชื่อถือกันว่า เป็นที่สิงสถิตของเทพเจ้าแห่งปี นำมาประดับตกแต่งเพื่อเป็น สัญลักษณ์ของวันปีใหม่...ใช้เพื่อแสดงการต้อนรับเทพเจ้าแห่งปี และวิญญาณของบรรพบุรุษ และเป็นการขอพรให้มีอายุยืนยาว มีความเจริญรุ่งเรือง และมีความมั่นคงในชีวิต โดยจะจัดวางไว้ที่หน้าประตูบ้าน ซึ่งอาจจะวางไว้ข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองด้านก็ได้

    ส่วน เชือกประดับ ประกอบด้วย...เชือกศักดิ์สิทธิ์ทำด้วยฟางข้าว มีแถบกระดาษ สีขาวห้อยเป็นพู่ ประดับกับส้ม มีความหมายว่า สุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงของสมาชิกในครอบครัว กุ้งมังกร มีความหมายว่า อายุยืนยาว และใบเฟิร์น ชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า บ้านที่ประดับแขวนเชือกประดับไว้ที่หน้าประตูบ้านนั้น บริสุทธิ์ สิ่งชั่วร้ายไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ และขจัดสิ่งชั่วร้ายออกไปจากบ้าน เนื่องในโอกาสวันขึ้น ปีใหม่อีกด้วย

    ในวันปีใหม่ของชาวญี่ปุ่น พวกเด็ก ๆ จะตื่นเต้นยินดีรอวันนี้กัน...เพื่อจะได้รับ โอโทชิดามะ นั่นก็คือ....ถุงเงิน ที่ผู้ใหญ่ให้แก่เด็ก ๆ ในวันปีใหม่ ซึ่งได้จากพ่อแม่ ญาติสนิท คล้ายกับการให้อั่งเปาในวันตรุษจีนของคนจีน

    โดยจำนวนเงินที่ให้นั้น จะได้แตกต่างกันไปแล้วแต่ อายุของเด็ก และฐานะของแต่ละครอบครัว เงินที่ให้เป็นของขวัญแก่เด็ก ๆ โอโทชิดามะ มักจะใส่ในซองเล็ก ๆ ซึ่งเขียนคำอวยพร และมีรูปของสัตว์ประจำปีนั้น ๆ หรือตัวการ์ตูน ที่เด็ก ๆ ชื่นชอบ

    ไม่ว่าจะชนชาติใด ช่วงเทศกาลปีใหม่ ก็มักจะมีแต่รอยยิ้ม...พร้อมส่งความสุข ให้แก่กัน.
    ทีมวาไรตี้
    หมายเหตุ
    การอวยพรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ของชาวไทย นิยมใช้บัตรอวยพร หรือสิ่งของนำไปมอบให้ผู้ที่เคารพนับถือ ตลอดจนญาติสนิทมิตรสหาย รวมทั้งผู้บังคับบัญชาในที่ทำงาน เป็นเครื่องแสดงถึงการระลึกถึงคุณความดีและไมตรีจิตมิตรภาพที่มีต่อกันเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่.

    [​IMG]
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ฟอร์ติเน็ตทำนายไวรัสปี 2008
    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=15128&catid=14

    วันจันทร์ที่ 31 เดือนธันวาคม พศ. 2550

    ดูเหมือนว่าจะไม่มีวิธีการใหม่ๆ เกิดขึ้นมากนักสำหรับพวกหัวขโมยไซเบอร์ แม้ว่าโดยภาพรวมของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ที่ผ่านมา เราจะเห็นการสูญเสียเงินจำนวนมหาศาลไปกับวิถีทางของการหาประโยชน์จากอินเตอร์เน็ต ด้วยการหารายได้แทบจะทั้งหมดจากวิธีการโจมตีที่ได้พัฒนาขึ้นและจำนวนผู้ที่ตกเป็นเหยื่อเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย แต่ไม่ควรจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกต่อไปเพราะองค์กรต่างๆ เริ่มตื่นตัวและมีความต้องการอย่างที่สุดสำหรับการปกป้องตัวเองจากอะไรก็ตามแต่ที่แอบรอซุ่มและเตรียมพร้อมโจมตีด้วยความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น

    เมื่อครั้งที่ริชาร์ด สตีนนอน ห้วหน้าฝ่ายการตลาดของฟอร์ติเน็ตและผู้ดูแลด้านความปลอดภัยได้ออกมาเปิดเผยถึง 10 อันดับภัยร้ายประจำปี 2007 เราจะพบว่าหลายๆ เหตุการณ์เป็นไปตามนั้น เช่น -ปริมาณรายได้ที่เพิ่มขึ้นของอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ (แค่ TJX เพียงอย่างเดียวสามารถแฮกเงินไปจากบัญชีเครดิตการ์ดได้ถึง 90 ล้านเหรียฐสหรัฐและมากกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐที่เป็นหนี้ด้วยความจำยอมโดยไม่รู้ตัว), -การโจมตีไปยัง DNS ต่อเนื่องตลอดทั้งปี , ไม่สามารถระบุตัวอาชญากรได้ , ความนิยมในวินโดวส์ วิสต้า ที่นำไปสู่เหตุการณ์ ซีโร่ อิมแพค (วิสต้าไม่ได้เป็นเพียงแค่ช่วงแวลาแห่งการรอเพื่อบุกโจมตีของอาชญากรรมไซเบอร์, มัลแวร์แบบใหม่ๆ หรือธุรกิจการจารกรรมเท่านั้น)

    โดยในปี 2008 สตีนนอน ได้แสดงทัศนะไว้อย่างน่าสนใจในเรื่องพฤติกรรมการโจมตีผ่านเครือข่าย ความต้องการด้านซอฟต์แวร์ แอพลิเคชั่น, พาณิชย์อิเลคทรอนิค และความนิยมในธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) เหล่านี้เป็นช่องทางในการสร้างรายได้ทวีคูณให้กับ อาชญากร ไซเบอร์ ที่พยายามรุกต่อไปจาก 5 พันล้านเพิ่มไปจนถึง 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

    สรุปการคาดการณ์ 10 อันดับภัยคุกคามที่ในปี 2551

    1.Facebook widgets เป็นช่องทางหนึ่งในการแพร่กระจายมัลแวร์ ทั้งที่มันเป็นแค่เกม,เป็นเครื่องมือในการเทียบเคียงหรือรายการหนังสือที่โปรดปราน

    2.กูเกิ้ลประกาศตัวเป็นผู้นำด้านเครือข่ายสังคมที่ไม่ต้องสูญเสียความเป็นส่วนตัว

    3.จะมีความเสี่ยงสูงมากที่ Salesforce.com AppStore จะเกิดช่องโหว่และทำให้ข้อมูลสูญหายได้

    4.รัฐบาลสหรัฐจะต้องใช้ความพยายามอย่างสูงที่ไม่สามารถจัดการได้ทั้งหมดในการกำหนดความต้องการสำหรับเพิ่มความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าการบุกรุก

    5.Ex-Soviet ยังคงมีความพยายามในระยะไกลที่จะใช้อาวุธอื่นๆ เข้าคุกคาม ด้วยการโจมตีเพื่อให้เกิดการหยุดการให้บริการแบบกระจาย Distributed Denial of Service (DDos) Attack ด้วยยุทธวิธีการปล่อยจรวดของยุคดิจิตอล

    6.อาชญากรต้องหาทางเข้าใกล้และพยายามทำความคุ้นเคย เป้าหมายของอาชญากรรมไซเบอร์อยู่ที่การมุ่งเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ด้วยการโจมตี

    7.ความพยายามที่จะทำลายตลาดทางการเงินด้วยการเพิ่มแผนการที่ละเอียดยิ่งขึ้น ด้วยอีเมล์ประเภทปล่อยข่าวลวงสำหรับปั่นหุ้น (pump-and-dump) ที่ใช้การโจมตีแบบ DDoS

    8.โลกจะต้องให้การต้อนรับพายุโทรจัน

    9.พวกก่อการร้ายทั้งหลายจะต้องนำ DDoS มาเป็นอาวุธในการเข้ารุกรานธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ และเว็บไซต์ที่ใช้เป็นช่องทางของสื่อ

    10.เกมคอนโซลที่ใช้ Wii จะกลายมาเป็นเครื่องสื่อสารเหนือกว่าอินเตอร์เน็ต

    แล้วมาคอยดูกันว่า คำเตือนเหล่านี้จะเป็นจริงหรือไม่ !!
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การเตรียมรถยนต์ก่อนออกเดินทาง
    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=15127&catid=33

    วันจันทร์ที่ 31 เดือนธันวาคม พศ. 2550



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ยาง สิ่งจำเป็นที่ต้องหมั่นตรวจสอบ ต้องเป็นยางที่อยู่ในสภาพดี และสิ่งที่ไม่ควรลืมก็คือยางอะไหล่ ที่ต้องเตรียมให้พร้อมอยู่เสมอ

    เบรก ตรวจตราให้มีความสมบูรณ์ และใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ควรตรวจเช็คน้ำมันเบรก จานเบรก ปั๊มลม และควรมีน้ำมันเบรกสำรองไว้ด้วย

    น้ำในหม้อน้ำ ให้อยู่ในระดับมาตรฐานเสมอ

    น้ำกลั่นในหม้อน้ำแบตเตอรี่ ให้อยู่ในระดับที่กำหนดไว้ ควรมีน้ำสำรองเก็บไว้ด้วย

    กระจกมองข้างทั้ง 2 ด้าน และกระจกมองหลังให้อยู่ในสภาพที่มองเห็นได้ชัดเจน

    น้ำมันเครื่อง ควรตรวจสอบว่าขาดหรือพร่องไปหรือไม่ ควรเติมให้ถึงขีดมาตรฐาน และควรมีสำรองติดรถไว้ด้วย

    น้ำมันเชื้อเพลิง ควรเติมให้เต็ม และควรคาดคะเน ตามเข็มวัดน้ำมัน และจำเป็นต้องเติมในจุดที่เหมาะสม

    เครื่องมือประจำรถและอะไหล่ต่างๆ ต้องมีติดรถไว้ให้พร้อมเสมอ

    เครื่องมือพยาบาล ติดรถไว้กรณีฉุกเฉิน หรือในกรณีเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย

    - ข้อคิดยามเดินทางไกล

    ควรแจ้งกำหนดการ ให้ผู้ที่อยู่ทางบ้าน และปลายทางทราบเสมอ เมื่อต้องการเดินทางไกล เพื่อตรวจสอบ เมื่อมีเหตุ หรือเห็นว่าผิดปกติ เช่นล่าช้ากว่ากำหนด และเมื่อถึงปลายทางแล้ว ควรแจ้งให้ทางบ้านทราบด้วย

    ข้อเตือนใจสำหรับนักเดินทาง ถ้าเส้นทางใดท่านไม่คุ้นเคย หรือต้องเดินทางตามลำพังในที่เปลี่ยว ไม่ควรไปในเส้นทางนั้น

    อย่าหยุดรถ หรือแวะรับคนข้างทางในที่เปลี่ยวโดยไม่จำเป็น

    นักเดินทางหลายรายเคยพบสิ่งไม่คาดคิด เมื่อคนร้ายอาจจะแกล้งขับรถชนท้ายรถท่านเพื่อให้ลงมาเจรจา แล้วใช้อาวุธปืนจี้ ปล้น เมื่อ เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ ไม่ควรหยุดรถ แต่ควรเดินทางต่อไปจนถึงป้อมตำรวจ

    ศึกษาเส้นทาง หรือสอบถามเส้นทางจากผู้รู้ให้ละเอียด เพื่อที่จะไม่ต้องเสียเวลาเดินทางย้อนกลับทางเดิม

    การแซงรถ ควรปฏิบัติตามกฎจราจรเสมอ ไม่ควรแซงตรงทางแยก บนเนินเขา บนทางโค้ง และบนสะพาน

    - ข้อปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน

    กรณีกระจกแตก เมื่อถูกก้อนหิน ก้อนกรวดกระเด็นมาถูกกระจกแตก ข้อควรปฏิบัติคือ ชะลอความเร็วของรถ แล้วเข้าข้างทางทันที ถ้าเป็นกระจก 2 ชั้นยังพอจะขับต่อไปได้ หรืออาจจะทุบกระจกรถเก่าออกให้หมด แล้วโกยเศษแก้วออกมาให้มากที่สุด เมื่อต้องการจะขับรถต่อไปอีก ให้ไขกระจกข้างขึ้นจนมิด เพื่อป้องกันอาการส่ายของรถบนถนน

    กรณีสุนัขวิ่งตัดหน้า ถ้าชะลอไม่ทันอาจจำเป็นต้องตัดสินใจชน มิฉะนั้นรถอาจเสียหลักได้ ถ้ากรณีที่เป็นสัตว์ใหญ่ไม่ควรบีบแตร เพราะจะทำให้สัตว์เหล่านั้นตกใจ และย้อนมาทำอันตรายได้

    กรณีหม้อน้ำรั่ว ถ้าหาอู่ไม่ได้ ให้ใช้วิธีการ โดยนำเอาสบู่ มาอุดรูรั่วไว้ก่อน เติมน้ำจนเต็ม แล้วขับไปให้อู่ซ่อมแซม

    กรณียางระเบิด เมื่อยางระเบิดกะทันหัน ต้องพยายามถือพวงมาลัยไว้ให้มั่นคง และพยายามบังคับรถเข้าข้างทางอย่างปลอดภัย และไม่ควรใช้เบรกอย่างกะทันหัน เพราะจะทำให้รถเสียหลักพลิกคว่ำ ควรใช้เกียร์เป็นตัวชะลอความเร็ว โดยเปลี่ยนเป็นเกียร์ต่ำทันที กรณียางระเบิดที่ล้อหลังท้ายรถจะส่าย ควรถือพวงมาลัยให้มั่นคง และรักษาทิศทางให้ตรง ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ พยายามย้ำเบรกหลายๆ ครั้งติดกัน เพื่อให้น้ำหนักตกอยู่ข้างล้อที่ใช้งานได้ กรณียางระเบิดที่ล้อหน้า พยายามจับพวงมาลัยให้มั่นคง ใช้เบรกให้เบาที่สุด ถ้าแฉลบไปทางใดต้องคืนพวงมาลัยกลับมาให้ตรงทิศทาง จนกว่าจะนำเข้าข้างทางเรียบร้อย

    กรณีคันเร่งน้ำมันค้าง ให้ใช้เบรกช่วยโดยไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับคลัตช์ เพราะเมื่อเหยียบคลัตช์ จะทำให้รอบเครื่องยนต์สูงขึ้นทันที อาจจะทำให้เกิดความเสียหายได้ จะใช้คลัตช์ในกรณีที่เปลี่ยนเกียร์เท่านั้น และเมื่อลดความเร็วลงมาอยู่ในอัตราที่ปลอดภัยแล้ว ใช้ปลายเท้าสอดเข้าไปใต้คันเร่งแล้วงัดขึ้นมา ถ้าคันเร่งไม่ขึ้น ก็พยายามนำรถเข้าข้างทาง แล้วปิดสวิตช์การทำงานทันที

    - ข้อควรระวัง

    การปิดสวิตช์กุญแจ ควรปิดไว้ที่ตำแหน่ง OFF อย่าปิดที่ LOCK เพราะจะทำให้พวงมาลัยทำงานไม่ได้

    กรณีฝากระโปรงรถเปิดเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ฝากระโปรงเปิดจนปิดกระจกบังลมหน้า การแก้ไขควรชะลอ และมองดูรถคันหลังด้วยว่า กระชั้นชิดหรือไม่ อย่าหยุดรถกะทันหัน เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ นำรถเข้าข้างทาง แล้วปิดให้เรียบร้อย

    เมื่อความร้อนขึ้นสูงผิดปกติ ให้รีบลดความเร็ว แล้วนำรถเข้าข้างทาง ตรวจดูรอยรั่วของหม้อน้ำ และข้อต่อต่างๆ สายพาน ถ้ามีน้ำพอ ให้ใช้น้ำราดลงหม้อน้ำได้เลย แต่ถ้ามีน้ำไม่พอ คอยให้เครื่องเย็น แล้วจึงเติมน้ำลงในหม้อน้ำ

    ถ้าที่ปัดน้ำฝนไม่ทำงาน พยายามนำรถเข้าหาอู่ หรือถ้าฝนตกหนักควรจอดพักดีกว่า

    กรณีรถสตาร์ตไม่ติด เกิดจากแบตเตอรี่ไม่มีไฟ ให้พยายามลาก หรือเข็น แล้วสตาร์ตกระตุก โดยให้ใช้เกียร์ 2 เหยียบคลัตช์ เมื่อความเร็วได้ที่ปล่อยคลัตช์ แล้วเหยียบคันเร่ง หรือให้ใช้สายแบตเตอรี่พ่วงกับรถคันอื่น แล้วสตาร์ต

    - อุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ยามเดินทางไกล

    อุปกรณ์สำหรับการเปลี่ยนยาง แม่แรง กากบาทถอดล้อ

    อุปกรณ์ส่องสว่าง ประเภทไฟฉาย ควรติดรถไว้ตลอด

    อุปกรณ์สำหรับการลากจูง

    อุปกรณ์สำหรับการพ่วงไฟ เช่น สายพ่วงแบตเตอรี่

    หมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน ทั้งตำรวจทางหลวง และตำรวจท่องเที่ยว

    น้ำเปล่าสำหรับเติมหม้อน้ำ

    น้ำมันเครื่อง
    ที่มา คอลัมน์ คาร์ทิป
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.komchadluek.net/2007/12/31/e001_183642.php?news_id=183642

    ข่าวเด่นรอบปี 2550-ในหลวงทรงห่วงภาษาไทย


    ในหลวงทรงห่วงภาษาไทย
    เรื่องแรกที่ต้องกล่าวถึง"ในหลวงทรงห่วงภาษาไทย" เนื่องในปี 2550 รัฐบาลประกาศให้เป็นปีส่งเสริมการใช้ภาษาไทยกระทรวงวัฒนธรรม มีหน้าที่ดูแลความเป็นไทยทุกแขนงได้จับตาการใช้ภาษาไทยของคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นอย่างใกล้ชิด มีหัวหอก "คุณหญิงไขศรีศรีอรุณ" รมว.วัฒนธรรม และ"วีระโรจน์พจนรัตน์" ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ทำโพลล์สำรวจพบเด็กไทยร้อยละ36 คลั่งชื่อฝรั่งเมินชื่อไทยพ่อแม่หมู่บ้านภาคอีสานตั้งชื่อลูกเป็นภาษาฝรั่ง ทอม-แพท-ไมเคิลเกือบทั้งหมู่บ้าน แถมมีหมู่บ้าน-ร้านอาหาร-โรงแรมใช้ชื่อฝรั่งหวั่นต่อไปไม่มีใครใช้ภาษาไทย ส่วนภาษาถิ่นก็ใกล้สูญทั้งเหนือ-ใต้-ออก-ตก เด็กวัยรุ่นอายที่จะพูด ส่วนเด็กแนว เด็กแว้น ชอบพูดภาษาไทยแบบ "แอ๊บแบ๊ว" นำภาษาไทยมาพูดเล่นล้อเลียนแบบไม่ชัด ล้อเล่นจนเป็นเรื่องตลก สุดท้ายกลายเป็นภาษาพูดติดปากนำมาใช้ในชีวิตประจำวันแบบผิดๆเช่น "ไปแล้ว" เป็น"ไปหล้าว" มันเหมือนภาษาไทยแบบอ้อนๆเหมือนเด็กพูดอ้อแอ้ๆ จนเป็นงานสัมมนาใหญ่ ประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ออกมาพูดเป็นห่วงเรื่องนี้ และเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่แก่นายนิตย์ พิบูลสงคราม รมว.การต่างประเทศและคณะเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ไทย โดยทรงห่วงผู้ที่ไปศึกษาต่อต่างประเทศจะลืมความเป็นไทยและการใช้ภาษาไทยด้วย เรื่องนี้กระทรวงวัฒนธรรมได้รับสนองพระบรมราชโองการนำไปสู่แผนแม่บทแก้วิกฤติภาษาไทยต่อรัฐบาลต่อไป
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ขับรถเที่ยว...สนุกอย่างเดียวไม่พอ
    http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9500000145965
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>30 ธันวาคม 2550 12:23 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> เมืองไทยถือว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ทั่วไปไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติอย่าง ป่าเขา น้ำตก ทะเล อุทยานแห่งชาติ หรือแหล่งท่องเที่ยวตามโบราณสถานต่างๆ เรียกได้ว่าเที่ยวกันทั้งปียังไม่หมด

    ยิ่งวันหยุดยาว หรือช่วงเทศกาลส่งท้ายปีอย่างนี้ ผู้คนต่างหลั่งไหลไปตามสถานที่ต่างๆมากมาย ดังนั้นการเดินทางโดยเฉพาะ "การขับรถท่องเที่ยว" คงต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ..."ผู้จัดการมอเตอริ่ง"แนะนำการเตรียมความพร้อม และวิถีปฏิบัติเพื่อการเดินทางอย่างปลอดภัย


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=430 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=430>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> **ตรวจเช็ครถก่อนเดินทางไกล**

    เพื่อให้การเดินทางไกลไปต่างจังหวัดในช่วงเทศกาลด้วยรถยนต์สวนตัวไม่ว่าจะเป็นการเดินทางท่องเที่ยว หรือกลับถิ่นฐานเดิมในต่างจังหวัด เป็นไปอย่างราบรื่นและมีความสุข ไม่ต้องมาปวดหัวกับปัญหารถเสียระหว่างการเดินทาง หรืออาจนำไปสู่อุบัติเหตุได้ ทั้งนี้คุณสามารถป้องกันได้กับการตรวจเช็คด้วยตัวเอง และไม่เสียเวลามากนักก่อนเดินทาง จะช่วยให้มั่นใจในการขับขี่ หรือหากพบข้อบกพร่องก็สามารถแก้ไขก่อนเดินทาง

    ตรวจรถภายนอก
    - ยาง ตรวจความดันลมยาง ดอกยาง และรอยฉีกขาด
    - ตรวจดูว่าขันแน่นดี แต่ก็ไม่แน่นจนเกินไปจนคลายออก ไม่ได้ด้วยตัวเอง
    - รอยรั่วซึม ตรวจดูว่ามีร่องรอยน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก หรือ น้ำรั่วซึมจากใต้ท้องรถ
    - ยางปัดน้ำฝน ทดลองปัดดู
    - ไฟส่องสว่าง ตรวจดูไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเบรก ไฟเลี้ยวหรืออื่นๆรวมทั้งระดับไฟหน้าด้วยว่าเป็นปกติทั้งหมด

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ตรวจภายในรถ
    - ยางอะไหล่และแม่แรง ตรวจเช็คลมยาง และให้แน่ใจว่าแม่แรงและด้ามขันใช้งานได้ตามปกติ
    - เข็มขัดนิรภัย ตรวจเช็คว่าหัวเข็มขัดสามารถล็อคได้เรียบร้อย
    - แตร ให้แน่ใจว่าดังดี
    - แผงควบคุมและอุปกรณ์ ตรวจดูให้แน่ใจว่าทำงานเป็นปกติ และที่ปัดน้ำฝน ปัดได้เรียบร้อยสม่ำเสมอ
    - เบรก เช็คระยะฟรีขาเบรกอยู่ในค่ากำหนดหรือไม่
    - ฟิวส์สำรองที่เตรียมไว้ต้องมีขนาดค่ากระแสใช้ได้ตามที่กำหนดที่แผงฟิวส์

    ตรวจใต้ฝากระโปรงหน้า
    - ระดับน้ำหล่อเย็น ควรจะมีอยู่ถึงระดับสูงสุดในถังพักสำรอง
    - หม้อน้ำและท่อยาง ควรดูว่าด้านหน้าหม้อน้ำหมดจดไม่มีเศษวัสดุ หรือใบไม้ติดอยู่ ดูท่อยางว่ามีรอยแยกเปื่อย มีรอยฉีกขาดหรือหลวม
    - สายพานขับต่างๆ ต้องไม่มีรอยแตก เลอะน้ำมันหล่อลื่น และความตึงสายพานอยู่ในค่ากำหนด
    - แบตเตอรี่และสายไฟ ตรวจดูและเติมน้ำกลั่นให้ได้ระดับที่กำหนดดูเปลือกแบตเตอรี่ว่ามีร่องรอยเสียหายหรือไม่ ดูขั้วต่อและสายไฟว่าอยู่ในสภาพดีหรือไม่
    - ระดับน้ำมันเบรกและคลัชท์ ตรวจดูว่าระดับน้ำมันเบรกและคลัทช์อยู่ในระดับที่ถูกต้อง
    - ท่อน้ำมันเชื้อเพลิง ตรวจดูว่าท่อน้ำมันมีการรั่ว หลุดหรือไม่

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=430 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=430>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> **เตรียมข้อมูลให้พร้อม**

    นอกจากการตรวจดูรถให้พร้อมแล้วในการเดินทางท่องเที่ยวนั้นเรายังต้องมีอีกหลายอย่างประกอบไปด้วยเพื่อให้วันหยุดของคุณเต็มไปด้วยความสนุกสนานและปลอดภัยมากที่สุด

    - ต้องตรวจสอบหาข้อมูลของแหล่งท่องเที่ยว ว่าช่วงที่จะไปเป็นฤดูไหน เหมาะกับสถานที่ที่จะไปเที่ยวรึเปล่า

    - จัดเตรียมแผนที่ในการเดินทาง ยิ่งช่วงนี้ราคาน้ำมันแสนจะแพง ถ้าจะไปไหนก็ควรสำรวจเส้นทางให้ดี จะได้ไม่หลง ไม่ต้องขับรถเลยหรืออ้อมให้เปลืองน้ำมัน

    - จัดเตรียมสัมภาระการเดินทางให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็น ไฟฉาย ยาสามัญประจำบ้านต่างๆ และของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=430 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=430>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> **ขับรถเที่ยวแบบปลอดภัย**

    หลังจากที่เราเตรียมความพร้อมของรถยนต์และข้อมูลในการเดินทางแล้ว ก็มาถึงเวลาที่ล้อหมุนได้เลย ในระหว่างเดินทางเราก็ยังมีเทคนิคในการขับรถง่ายๆมาบอกกันอีกด้วย เพราะถนนในต่างจังหวัดนั้นเราไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าจะเจออุปสรรคใดๆบ้าง ไม่ว่าจะเป็นสภาพถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ หรือถนนที่กำลังซ่อมแซม รวมถึงทัศนะวิสัยในการมอง

    - รัดเข็มขัดนิรภัยเสมอ การออกตัว การเร่ง การเบรก และการบังคับเลี้ยว จะต้องสัมพันธ์กัน โดยค่อยๆ เหยียบคันเร่งเพื่อป้องกันล้อหมุนฟรี เพราะการเร่งแรงและเพิ่มรอบของเครื่องยนต์เร็วเกินไป อาจจะทำให้ล้อหมุนฟรีได้ หรืออาจเกิดการลื่นไถล เสียสมดุลของรถได้

    - เมื่อขึ้นและลงเขาให้ใช้เกียร์ต่ำเพื่อเพิ่มพลังเครื่องยนต์ และอาจช่วยชะลอความเร็วของรถในขณะลงเขาร่วมกับการใช้เบรกอีกด้วย

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=200 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=200>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> - การเบรกก็จะต้องเป็นไปอย่างนุ่มนวล โดยพยายามควบคุมความเร็ว ชะลอความเร็วก่อนถึงสิ่งกีดขวาง เพื่อหลีกเลี่ยงการเบรกอย่างกะทันหัน อันจะทำให้รถเสียหลัก

    - พยายามหลีกเลี่ยงบริเวณที่เป็นทรายหรือโคลน หากจำเป็นต้องลุยผ่านให้ใช้เกียร์ต่ำ และรักษารอบให้สม่ำเสมอ อย่าเร่งเครื่องเกินความจำเป็นเพราะอาจทำให้ล้อฟรีจมโคลนลึกจนยากแก่การแก้ไข

    - หากต้องปีนข้ามหินหรือสะพานไม้แคบที่มีเส้นทางเฉพาะ ควรมีคนลงไปทำหน้าที่บอกทาง โดยคนบอกทางต้องมีคนเดียว คนขับต้องมองตรงไปข้างหน้าอย่าใช้วิธียื่นหัวออกมานอกตัวรถ มองสัญญาณมือจากคนบอกทางและค่อยๆ ควบคุมรถไปตามนั้น

    - ในการขับข้ามลำธาร หากมองไม่เห็นพื้นดินใต้น้ำ หรือไม่ทราบระดับความลึก ให้ลงมาใช้ไม้วัดระดับความลึกดูก่อน หากระดับน้ำสูงกว่าท่อกรองอากาศของเครื่องยนต์ไม่ควรขับลุยข้ามไป เพราะเครื่องยนต์จะดับกลางน้ำได้ ขับข้ามน้ำช้าๆ ด้วยรอบเครื่องยนต์ที่สม่ำเสมอ

    - การขับรถผ่านเส้นทางที่มีก้อนหินหรือเนินดินขวาง พยายามขับให้ล้อปีนข้ามก้อนหินช้าๆ โดยใช้เกียร์ต่ำ จะช่วยไม่ให้ช่วงล่างกระทบกระแทกหิน ควรหลีกเลี่ยงการขับคร่อมก้อนหิน เพราะอาจทำให้ช่วงล่างกระแทกกับก้อนหินเสียหายได้

    - หากไม่แน่ใจต่อเส้นทางข้างหน้า ให้หยุดรถ เดินลงมาสำรวจเส้นทางให้มั่นใจแล้วจึงขับต่อไป

    อย่าลืมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเดินทางก็คือความปลอดภัยและความไม่ประมาทขับรถอย่างมีสติ เพียงเท่านี้การท่องเที่ยวของคุณก็จะสนุกอย่างไม่มีวันลืมเลย..............

    ข้อมูลจาก Goodyear และ ปตท.
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    คล้ายๆจะอย่างนั้นครับ
    พระคุณเพชรล้วนงามจับใจจริงๆครับ
    เห็นทีไรหัวใจเต้นถี่(ping)
     
  20. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ขอบคุณครับ คุณตั้งจิต วันนี้อยู่ทางใต้ หรือย้ายมาที่....แล้วครับ วันนี้เวลาเที่ยงคืนอย่าลืมขอพรพระพิฆเณศนะครับ ผมว่าวันนี้จะจัดหิ้งพระใหม่ทั้งหมด และจะตั้งโต๊ะบูชาพระพิฆเณศที่ดาดฟ้า
     

แชร์หน้านี้

Loading...