แก้วมณีโชติ สิ่งวิเศษสูงสุดในโลกิยภูมิ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย jets-one, 5 กรกฎาคม 2011.

  1. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ทำไม?ทำไม?ทำไม? มาเสียเวลาเล่นตัวหนังสืออยู่ทำไม?

    ขออนุญาตครับ

    ทำไมลุงมหาถึงหยุด ถึงไม่ค่อยเข้าวัดธรรมยุติ

    ๑ พระก็คือพระ เพราะว่าท่านยึด ท่านถือตนว่าเป็นพระ
    ยกเว้นครูบาอาจารย์ระดับสุดยอด ที่องค์ท่านรู้ว่า
    พระคืออะไร? ฆราวาสคืออะไร?
    ภูมิรู้คืออะไร? ภูมิธรรมคืออะไร?
    ครูบาอาจารย์บางท่าน เมื่อมีพระมาสนทนาธรรมกับผม
    ไม่ทันข้ามคืน องค์ท่านก็เรียกพระรูปนั้นไปต่อว่า

    "ไปยุ่งกับเขาทำไม?"
    ขนาดองค์ท่านเองยังบอกว่า

    "ให้ปฏิบัติเองต่อไปไม่ต้องไปถามใครอีก"

    ๒ แม้ครูบาอาจารย์ระดับสุดยอดๆ
    ท่านก็เพียรพยายาม จะให้ผมเดินเส้นทาง อริยะ เหมือนกับ สายธรรมยุติ ทั่วๆไป

    ๓ ขนาดองค์หลวงตามหาบัว ญานสัมปันโน องค์ท่านยังบอกว่า


    "เราไม่มีบุญบารมี ที่จะสู้กับภัยพิบัติได้"

    การที่ผมไม่ค่อยเข้าวัดธรรมยุติ ก็เพราะเหตุอันนี้

    การที่ผมไม่ยอมเดินเส้นทาง อริยะ ก็เพราะว่าผมก็มีเส้นทางเดินของผม
    การที่พระ สู้ภัยพิบัติไม่ได้ แล้วจะให้ผมไปเสียเวลากับท่านอีกทำไม

    ตั้งแต่เกิดจนปัจจุบัน ยังไม่มีท่านผู้ใดครอบงำผมได้
    ตลอดชีวิตผม ไม่มีใครมาสั่งว่าจะให้ผมทำอะไร

    มีแต่ผมไปขอคำแนะนำว่า ควรจะทำอะไร? ควรจะทำอย่างไร?

    ส่วนผมจะทำอะไร? ส่วนผมจะทำแบบไหน?
    ล้วนเป็นเรื่องที่ผมต้องทำด้วยตัวผมเอง
    ผมอยากทำ ผมก็จะทำ ผมไม่อยากทำ ผมก็ไม่ทำ
    แค่นี้เอง

    อย่าได้ลืมว่า มนุษย์โลกทั้งหมดมี ๕๐๐๐ กว่าล้าน
    นับถือศาสนาพุทธ แค่ ๔-๕% เท่านั้น

    ใน ๔-๕% นั้น มีผู้ปฏิบัติน้อยกว่าน้อย

    ท่านที่พากันบอกว่า
    ต้องเดินตามเส้นทาง สายอริยะ
    ต้องเดินตามเส้นทางที่พระพุทธองค์สอน

    ท่านเหล่านั้นกลับพากันลืมเลือนว่า
    ระดับอริยะ เท่าที่มีอยู่นั้น มีจำนวนเท่าไร?
    สำเร็จชั้นอริยะแล้วทำอะไรได้บ้าง?
    สู้ภัยพิบัติได้ไหม?
    ถ้าสู้ไม่ได้ ผมจะไปเสียเวลาร่วมด้วยกันทำไม?

    ชาวนาเขาพากันเดือดร้อนทั่วหน้า ถูกอมค่าจำนำข้าวเป็นแสนๆล้าน
    พวกเขาเหล่านั้น ล้วนเคย ทำบุญใส่บาตรพระสงฆ์ทั้งหมดทั้งสิ้น

    ไหนล่ะพระจะมาช่วยเขา แค่นั่งให้พรที่วัดพอล่ะหรือ?

    เห็นพระน้อยรูปออกมาช่วย องค์ที่นำหน้า ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็เป็นพระที่ถูกคนในเว็บนี้เหน็บแนมว่า


    "แอบอ้างว่าเป็นพระองค์ที่ ๑๑"

    ผมจึงเห็นว่า เส้นทางอริยะ นั้นทำประโยชน์ให้ชาวโลกได้น้อยเกินไป
    ผมจึงเห็นว่า เส้นทาง เคร่งศีล เคร่งธรรม สันโดษ มักน้อย
    จะทำให้ไม่สามารถ ทำประโยชน์ให้ชาวพุทธ ให้ชาวโลก ได้ไม่คุ้มกับที่ได้เกิดมาในยุคนี้

    ส่วนผมจะทำอะไร ผมมีเป้าหมายอะไร เดี๋ยวก็รู้เอง

    เพราะผมคงไม่ยอมเดินเส้นทางที่ทำประโยชน์ได้เพียงน้อยนิดเป็นแน่

    ส่วนใครจะเดินเส้นทางของตัวท่านเอง ผมก็ไม่เห็นว่า ผมได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยแต่อย่างไร?

    ส่วนใครที่คิดว่าจะมาเสนอแนะ?
    ส่วนใครที่คิดว่าจะมาชักชวน?

    ขนาดองค์หลวงตามหาบัว ขนาดองค์หลวงปู่คำพัน ทั้งชวน ทั้งเสนอแนะ

    ผมก็ยังไม่สนใจใยดี

    แล้วพวกที่มาเขียนตัวหนังสือ ที่ตนพากันเข้าใจว่าเป็น ธรรม นั้น

    ผมก็จะถามกลับว่า

    ท่านคิดว่า ท่านเก่งกว่า องค์หลวงตามหาบัวไหม?
    ท่านคิดว่า ท่านเก่งกว่า องค์หลวงปู่คำพันไหม?

    ในขณะที่ผมกำลังรวบรวมกลุ่มคน
    ในขณะที่ผมกำลัง ใช้ศาสตร์ทุกแขนง
    ในขณะที่ผมกำลังทำงานของผมอยู่เงียบๆ

    กลับมีคนคิดจะใช้ ตัวหนังสือ ที่ท่านพากันเข้าใจว่าเป็น ธรรม มาชี้แนะอะไรผมอีก

    ถ้าเก่งจริง ถ้าแน่จริง มัวแต่เดินตามเขาอยู่ทำไม

    ถ้าเก่งจริง ถ้าแน่จริง จะมามัวเสียเวลา เวลาเล่นตัวหนังสือกันอยู่ทำไม?

    ก็เพราะว่า เรื่องการสู้ภัยพิบัติ
    ก็เพราะว่า เรื่องการสืบทอดพระพุทธศาสนา

    พวกเทวดา พวกเทพ พวกพรหม เขารู้กันหมดแล้ว

    ขอโมทนาบุญ

    ลุงมหา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2014
  2. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ทิฏฐิมหา มนะมนี
     
  3. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    หลวงปู่วัง ภูลังกา, หลวงปู่ทองรัตน์, หลวงปู่สิงห์, หลวงปู่จาม

    ครูบาอาจารย์ท่านเหล่านี้ ธรรมยุติทั้งนั้น

    ตามประวัติแล้ว ว่ากันว่าบางท่านเหล่านั้น

    คือ หน่อเนื้อพุทธะ อีกด้วย ธรรมยุติใช่ว่าจะเป็นการปฏิบัติเพื่อความหลุดเสียทั้งหมด

    ยิ่งหากใครเป็นพุทธภูมิ ยิ่งจะต้องชัดเจนในโพธิปักขิยะ
     
  4. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ภัยพิบัติป้องกันได้ ยังไงๆก็ต้องเกิด เพราะมันเป็นกฏของสัจธรรม

    เขื่อน ถ้าลองว่ามีรูตามด ยังไงๆก็ต้องแตก

    เปรียบอธรรมทุจริตมันแทรกบนพื้นปฐพี

    พลังของน้ำ ไฟ ลม นั่นเอง จะเคลื่อนตัวช่วยขจัดคราบสกปรก

    คนดีมีศีลธรรมมีอนุสสติให้พอระลึกได้

    มีสัมมาทิฏฐิพอประมาณ มีมิจฉาที่ไม่หนักหนาสาหัส

    ไม่ต้องกลัว ว่าจะไม่ภพภูมิที่ดีรองรับ หากมันเป็นเช่นนั้น

    เตรียมตัวไว้ให้ดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2014
  5. Silver11Wing

    Silver11Wing ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +570

    ผมพอจะเข้าใจแล้วครับลุงมหา ว่าแนวทางของลุงมหาเป็นอย่างไร

    ถ้าผมเดินไปสุดทางของผม หรือเดินต่อไปไม่ไหวในทางของผม

    ผมรู้แล้วว่ายังมีอีกเส้นทางนึงที่น่าสนใจ และรู้แล้วว่าควรจะปรึกษาใคร


    ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม ความรู้ดีๆที่ลุงมหาได้บอกกล่าวให้ได้รู้กัน

    ทำให้ผมเข้าใจอะไรได้เพิ่มขึ้นอีกมากครับ


    ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งครับ และขอโมทนาบุญด้วยครับ
     
  6. Silver11Wing

    Silver11Wing ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +570
    :d:d:d
     
  7. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    คำบอก คำสอนของครูบาอาจารย์ ท่านหมายความว่าอย่างไร?

    ขออนุญาตครับ

    องค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านสอนว่า


    "พระโพธิสัตว์ เป็นผู้มีบุญบารมีมาก"
    "เป็นผู้ที่จะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต"
    "ต้องให้ความเคารพท่านด้วย"


    ติดตามมาด้วย

    "เมื่อเฮาตายไปแล้ว จะมีช้างเผือกหนุ่มมาเกิด"

    องค์หลวงตามหาบัว ญานสัมปันโน องค์ท่านบอกเล่าว่า

    "เราไม่มีบุญบารมีพอที่จะสู้กับภัยพิบัติ"

    รวมความว่า พระในยุคของท่าน สู้ภัยพิบัติไม่ได้
    พระในยุคของท่าน บารมีไม่พอ
    ให้พึ่ง "ช้างเผือกหนุ่ม" ต่อไปในอนาคต


    ใครอยากรู้ว่า พระโพธิสัตว์ ท่านเป็นใคร?

    ใครอยากจะรู้ว่า พระโพธิสัตว์เป็นอย่างไร?

    ก็ศึกษาเอาได้ จากหนังสือ "พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ"

    ลุงมหาอ่านแล้วอ่านอีก ก็พบก็เจอแค่ว่า พระโพธิสัตว์ ๕๐๐ ชาตินั้น
    ไม่มีพระชาติไหน ขับรถยนต์ นั่งเครื่องบิน หรือแม้แต่เรือเหาะ

    มีแต่ม้า มีแต่วัวเทียมเกวียน มีแต่ยุคจักรๆ วงศ์ๆ ที่ดูจะโบร่ำโบราณ

    จึงสรุปได้ว่า พระโพธิสัตว์ ก็คือพระโพธิสัตว์
    และพระโพธิสัตว์ก็คือ คนธรรมดาๆ ในสายตาของคนทั่วไป เท่านั้นเอง

    ส่วนที่ผิดแผกแตกต่างจากคนทั่วไปก็คือ


    "ความระบือ ลือ ลั่น" นั่นเอง

    ขนาดองค์หลวงปู่ทวด ยังระบือ กันขนาดนี้
    ขนาดองค์หลวงปู่โต ยังระบือ กันขนาดนั้น

    แล้วพระโพธิสัตว์ ยุคกึ่งพุทธกาล จะระบือ ลือ ลั่น กันขนาดไหน

    ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะรู้ช้า ใครจะรู้เร็ว แค่นั้นเอง

    ไม่ต้องมีใครหน้าไหน มาบอกมาเล่า เดี๋ยวก็จะได้รู้กันทั่ว

    ต่างกับองค์เทพ ท่านจะโปรดใคร องค์ ท่านต้องดูที่

    ๑ ความผูกพัน
    ๒ บุญ วาสนา บารมีเดิม
    ๓ ความต่อสู้ดิ้นรน
    ๔ มีสัมมาทิฐิ
    ๕ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
    ๖ ความนอบน้อมถ่อมตน

    แค่นี้ก็เพียงพอแล้วครับ ที่จะรับความเมตตาจากองค์ท่านได้

    ขอโมทนาบุญ

    ลุงมหา

     
  8. Silver11Wing

    Silver11Wing ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +570
    ขออนุญาติถามครับลุงมหา

    ถามแบบผู้ไม่รู้จริงๆนะครับ

    คือ หากมีพระโพธิสัตว์มาเกิดในยุคเรา

    พระโพธิสัตว์ ต้องเป็นพระ หรือว่าจะเป็นฆราวาสก็ได้

    แล้วพระโพธิสัตว์ ต้องเป็นคนไทย หรือว่าจะเป็นคนเชื้อชาติอื่นก็ได้

    แล้วมีวิธีหรือหลักใดๆมั้ยครับ ที่จะทำให้เรารู้ได้ว่า ท่านเป็นพระโพธิสัตว์
     
  9. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ลุงมหา แกมีความเชื่ออย่างมั่นเหมาะ ผู้ที่กำลังแก้ไขภัยพิบัติอยู่ขณะนี้ คือ อาจารย์ฆราวาส ท่านหนึ่งที่อยู่ ชัยภูมิบุรี

    หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือช้างเผือกหนุ่ม อดีตช้างปาเลไลย์ ในอนาคตวงศ์
    แต่นั่นก็เป็นความเชื่อส่วนตัว เฉพาะกลุ่ม จึงเป็นที่มา ของการสร้างพระใหญ่ ปางปาเลไลย์

    ส่วนข้อความที่อ้างถึง หลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัว

    มีปรากฏพยานหลักฐานตรงไหนบ้าง อย่างที่ลุงมหา ใช้เป็นข้อความอิงอ้างเสมอมา

    และหากค้นเรื่องราวของคำว่า ช้างเผือกหนุ่ม มีความเป็นมาอย่างไร

    เรื่องราวของช้างเผือกหนุ่ม เป็นเรื่องราวที่หลวงปู่ขาว
    สนทนากับหลวงพ่อทูล ท่านเล่าให้หลวงพ่อทูลฟัง ในสมัยที่อยู่กับหลวงปู่มั่น

    ซึ่งมีเนื้อหาไม่ใช่อย่าง ที่ลุงมหาใช้อ้างอิง ลองเข้าไปอ่านดู

    คลิ๊ก

    ส่วนเรื่องช้างปาเลไลย์ เป็นใครนั้้น
    ครูบาอาจารย์บางท่านกล่าวไว้อย่างไร ก็ลองไปค้นหาดู มีอยู่หลายคำตอบ

    หรือจะเชื่อว่าเป็นการแบ่งภาคสร้างบารมี นั่นก็เป็นความเชื่อของแต่ละบุคคล จุดนี้ว่ากันไม่ได้

    เพราะหากใครสร้างพระเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา มีเจตนาที่ดี ซึ่งก็เป็นเรื่องดี

    ผมยังเคยโอนเงินร่วมสร้าง ตั้งแต่สมัยที่ลุงมหา ยังไม่เข้ามาโปรโมท ในเวบนี้


    โพธิสัตว์องค์ไหนคือ ช้างปาลิไลย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2014
  10. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ถามเรื่องพระโพธิสัตว์(ที่บุญบารมีสูงๆ)

    ขออนุญาตครับ

    อ้าวผมก็บอกแล้วว่า อยากรู้จักพระโพธิสัตว์ ให้พิจารณาจากหนังสือ "พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ"

    พระโพธิสัตว์ คือผู้บำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศน์ ครับ

    สะสมไป สะสมไป ทุกภพทุกชาติ เมื่อยเมื่อไหร่ ก็ขึ้นไปพักอยู่ในเทวโลก
    แต่ละภพ แต่ละชาติ ก็ทำเน้นหนักไปในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ

    ภพท้ายๆ พระโพธิสัตว์ จะจุติลงมา แก้ไขภัยพิบัติในยุคกึ่งพุทธกาล
    (ในทุกๆกึ่งพุทธกาล ของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ จะเกิดมหาภัยพิบัติขึ้นเสมอ)

    สิ่งสำคัญที่สุด ของพระโพธิสัตว์ที่ท่านบารมีสูงๆคือ ต้องมีฤทธิ์
    ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ถ้าไม่มีฤทธิ์ไม่ใช่(พระโพธิสัตว์ที่บารมีสูงๆ)

    ฤทธิ์ของพระโพธิสัตว์ระดับสูงๆคือ ฤทธิทางใจ นะครับ
    เพราะระดับนี้ บุญบารมีสูงมากแล้ว

    และส่วนมากท่านจะใช้พลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประจำองค์ของท่าน ซึ่งก็คือ

    "ลูกแก้วศักดิ์สิทธิ์ ประจำพระองค์ พระพุทธเจ้า รวมถึง พระโพธิสัตว์ระดับสูงๆด้วย"

    ลูกแก้ววิเศษนี้ หลายๆท่านรู้จัก หลายๆท่านเขียนถึง

    แต่ลุงมหาเคยเห็นมาแล้ว เพียงแต่ลืมขอหยิบ ขอจับดูเท่านั้น

    และลูกแก้วนี้ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า มีมูลค่ามากกว่า สองแสนล้านบาทไทยครับ

    องค์หลวงปู่มั่นท่านบอกเล่าว่า


    "พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน เป็นบรรพบุรุษของเราชาวไทยนี่ล่ะครับ"

    และองค์ท่านยังบอกอีกว่า

    "พระมหากษัตริย์ไทยทุกๆพระองค์ และเหล่าเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงทั้งหมดเป็นหน่อเนื้อพุทธภูมิ"

    พระโพธิสัตว์ และผู้ปรารถนาพุทธภูมิทั้งหมด ตลอดจนชาวพุทธ ที่เป็นชาวต่างชาติ
    ต้องมีกรรมผูกพันก่อน แล้วจะค่อยๆขยับ ค่อยๆย้ายจนเข้ามาเกิดเแป็นคนไทย
    จึงจะเข้าสู่ พระโพธิสัตว์ระดับสูงต่อไปได้

    พระโพธิสัตว์ ที่เป็นพระ หรือเป็นฤๅษี มักเป็นระดับกลางๆครับ

    ส่วนพระโพธิสัตว์ระดับสูงๆ จะเป็นสามัญชนคนธรรมดานี่เอง

    อยากรู้จักพระโพธิสัตว์ ต้องเอาองค์หลวงปู่ทวด เอาองค์หลวงปู่โต เป็นเกณฑ์ครับ
    ว่า ระดับนี้ บารมียังไม่ถึง ผู้ที่ได้รับพุทธพยากรณ์ ว่าเป็น พระอนาคตวงศ์ ๑๐ พระองค์แรกๆ

    อยากรู้จักพระโพธิสัตว์ ต้องศึกษาบารมี ๓๐ ทัศน์ครับ

    ท่านที่บารมีสูงๆ จะเป็น ปรมัตถบารมีครับ
    และต้องทำมากกว่าพูด ที่พูดมากๆ แล้วทำไม่ได้ ไม่ใช่แน่นอน

    ท่านที่บุญบารมีสูงๆ ผมก็บอกแล้ว ต้องดูที่ความ "ระบือ ลือ ลั่น" ครับ
    ประเภทที่รู้จักกันไม่กี่คน รู้จักกันไม่กี่กลุ่ม รู้จักกันไม่กี่จังหวัด ไม่ใช่แน่นอน

    ขนาดองค์หลวงปู่มั่น องค์หลวงตามหาบัว ยังไม่ได้เสี้ยวเลย
    ส่วนพระองค์อื่นๆ ก็คงแค่ ละเมอ เพ้อ พก เท่านั้นเอง

    พระโพธิ์สัตว์ที่ท่านบารมีสูงๆ ไม่ต้องถามหา ไม่ต้องตามหา
    เพราะแค่ขนาดองค์จตุคามรามเทพ แม้ลูกเล็กเด็กแดง ยังรู้จักเลย

    เพราะเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม มันยิ่งกว่า สึนามิ + น้ำท่วมใหญ่ปี๕๔ ซะอีก

    และอีกอย่างที่สำคัญมากๆ ใครไปต่อต้านท่าน ใครไปล่วงเกินท่าน
    วิบัติเร็วอย่างยิ่ง วิบัติแรงอย่างยิ่ง
    แถมยังแก้ไขไม่ได้อีกต่างหาก

    ถึงได้มีคนปากกล้าแต่ขาสั่น ออกมาบอกว่า ผมก็เคยทำบุญสร้างพระใหญ่เหมือนกัน ไงล่ะครับ

    ขอขอบคุณในคำถามที่ถามมา

    ขอโมทนาบุญ

    ลุงมหา

     
  11. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    จะเห็นว่าลุงมหาจะเลี่ยง ตั้งแต่เรื่อง องค์เทพ ไม่มีธาตุ4

    พอยกข้อเท็จจริง ตามลิ้งที่แนบ เกี่ยวกับช้างเผือก

    ที่ลุงมหา มักเอามาอ้างไม่หมด ลุงมหาก็เลี่ยง ซ้ำยังใส่ไคล้ ว่าเป็นการต่อต้าน

    เรื่อง จตุคาม หากเอาเข้าจริง เป็นเรื่องของสร้างกระแสการปั่นราคา
    เป็นการตลาดในวงการพระเครื่อง ดูได้ที่ชื่อรุ่นแต่ละรุ่น
    เอาชื่อของท่านมาบังหน้า แสวงหาผลประโยชน์ มีกี่ชิ้นงานที่บริสุทธิ์จริง
    ช่วงนั้นกระแสภาพปาฏิหาริย์มาแรง พอมีการตรวจสอบ
    ก็เป็นเรื่องของการสร้างภาพ เช่น ภาพถ่ายติดดวงกลมๆ
    จนมีพระท่านหนึ่ง ต้องออกรุ่น จตุคำ โดยนัยยะ บอกเป็นนัยๆ ว่าอย่างมงาย

    เสร็จแล้วกระแสจตุคาม ก็เงียบหายไป คงพอประเมินได้ ว่าจากสาเหตุใด
    ขนาดเจ้าพิธี ที่เป็นนักบวชท่านหนึ่ง ต้องป่วยเป็นโรคร้าย

    ส่วนที่ว่า "พระโพธิสัตว์ ที่เป็นพระ หรือเป็นฤๅษี มักเป็นระดับกลางๆ

    ส่วนพระโพธิสัตว์ระดับสูงๆ จะเป็นสามัญชนคนธรรมดานี่เอง"

    ตรงนี้หลวงปู่ดู่ ใครๆต่างรู้จักดี

    ท่านเติมท้ายเกี่ยวกับ พระโพธิสัตว์ที่บารมีเต็ม ไว้ว่าอย่างไร ท่านว่า

    "หน่อพุทธภูมิที่มีบารมีเต็มแล้ว สูงแล้ว เขามักจะไม่เป็นกษัตริย์
    เพราะจะมีภาระหนักหน่วง ส่วนใหญ่เขามักเป็นคนธรรมดาแล้วบวชพระ"

    ดูง่ายๆ เรื่องราวดาชกสิบชาติสุดท้าย ในชาติสุดท้าย พระเวสสันดร ยังต้องออกบวชเป็นฤาษี

    และที่บอกว่า "ขนาดองค์หลวงปู่มั่น องค์หลวงตามหาบัว ยังไม่ได้เสี้ยวเลย
    ส่วนพระองค์อื่นๆ ก็คงแค่ ละเมอ เพ้อ พก เท่านั้นเอง"

    ตรงนี้คงไม่ใช่แน่ พระอริยเจ้าอย่าง หลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัว คนทั้งประเทศต่างรู้จัก
    เห็นได้จากงานพระราชทานเพลิงศพหลวงตามหาบัว
    ผู้คนทั่วทั้งสารทิศ ทั้งพระ ฆราวาส ต่างหลั่งไหลมาร่วมงาน จนพื้นที่บริเวณวัดแทบไม่มีที่จะเดิน

    ส่วนเรื่องการร่วมทำบุญสร้างพระ นั้น เป็นกิจวัตร สละบริจาคเล็กๆน้อยๆ ที่ต้องทำ และไม่ได้เจาะจง

    อยากจะทำสิ่งใดผมก็ทำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2014
  12. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ลองพิจารณาเรื่องนี้ดูนะครับ

    ขออนุญาตครับ

    ถ้าอยากทราบกันว่า บุญบารมีสร้างกันอย่างไร?

    ก็ลองพิจารณาเรื่องนี้ดูกันนะครับ

    ลุงมหาเป็นผู้ทำ สถานีโทรัศน์ วีดีโอ ช่อง

    "Phrayaichaiyaphum foundation" ใน Youtube.com

    Phrayaichaiyaphum Foundation - YouTube

    ปัจจุบันมีทั้งหมด ๔๙๐ ตอน

    รายการนี้ ถ่ายทำเอง ตัดต่อเอง อั๊พโหลดเอง

    กล้อง อุปกรณ์ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปถ่ายทำ ออกเองเกือบ ๑๐๐%

    มีญาติธรรมเห็นลุงมหา เดินเลือกซื้อกล้องตกรุ่นอยู่ในห้างโลตัส ราคาตัวละ ๑๐๐๐ บาท
    ท่านก็เลยเลือกให้ เพิ่มเป็นตัวละ ๒๐๐๐ บาท แถมยังออกเงินให้ด้วย

    นอกจากนี้ก็มีเจ้าภาพ อีกเพียงแค่ ๓ งานช่วยค่าเดินทางให้

    ลองคิด ลองพิจารณาดูนะครับ

    ทำงานฟรีแบบนี้ ค่าใช้จ่ายออกเอง ใจต้องระดับไหน?

    ขอโมทนาบุญ

    ลุงมหา

     
  13. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ผมเข้าใจแล้วครับ ลุงมหา

    ขออนุญาตครับ

    มีญาติธรรม ที่ติดตามอ่านข้อเขียนของผมมานาน
    โทรหาผมแล้วบอกเล่าว่า ที่ลุงมหาเขียนเล่าเรื่ิองคุณแม่องค์ญาณ (ล่าสุดข้างบนนี้) ท่านบอกว่า


    "ผมเข้้าใจแล้ว"

    และเมื่อวานท่านก็โทรมาบอกเล่าว่า กำลังเดินทางไปขอความอนุเคราะห์จากคุณแม่องค์ญาณ

    ท่านผู้นี้ผมเคยทำงานร่วมกับท่าน ให้ท่านช่วยหา ผู้รับเหมา สร้างโครงการ สแกนดิเนเวีย เรซิเด็นท์โปรเจ็ค ระดับ ๑๘๐๐ ล้านบาท

    น่าเสียดาย ผู้รับเหมาใจไม่ถึง ไปฝ่อเอาตอนท้ายๆ ก็เลยชวดงานไป

    โอกาสมาถึง ปล่อยให้ผ่านไปอย่างน่าเสียดาย เสียดายๆๆๆ แทนครับ

    บางที พวกบุญบารมีไม่ถึง (ไม่เชื่อว่าจะได้ลาภก้อนใหญ่อย่างง่ายดาย) ก็เข็นยากเหมือนกัน

    มหาเศรษฐีบางท่าน นัดที สองเดือนกว่าจะได้เจอ
    มหาเศรษฐีบางท่าน พูดคุยอยู่นั่นล่ะ เลขาเตือนแล้ว เตือนอีก ก็ไม่ยอมลุกไปไหน

    จนอดบอกเล่าออกมาไม่ได้


    "วันนี้นายแปลก ปรกติ คุยกับใครไม่เกิน ๑๕ นาที"
    "แต่วันนี้คุยได้เป็นชั่วโมงๆ จนแขกต้องขอตัวลากลับเอง?"


    แม้ผมจะขอตัวลากลับ อาการสะดุ้ง สายตาที่มองตรงมาบอกว่า "เสียดายๆๆ"
    ก็เมื่อคนมีบุญบารมีเจอกัน ๑๕ นาที จะพอหรือ?

    ขอโมทนาบุญ

    ลุงมหา

     
  14. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ผู้ยิ่งใหญ๋ ความระบือ ลือ ลั่น ก็ลองดูในแถวๆ ปทุมฯ ที่มีฐานอันยิ่งใหญ๋ แผ่ไปทั่วทุกทวีป

    แต่ในขณะเดียวกัน มีพระอีกท่านหนึ่ง

    เห็นได้จากสื่อในช่วงที่ออกมาปะฉะดะ ในเรื่องราวของพระท่านหนึ่ง
    ที่ชอบแจกรถ มี ดร.ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ พ่วงท้าย จนบัดนี้เงียบหายไป

    แหละผู้ที่ถูกคนในเว็บนี้เหน็บแนมว่า "แอบอ้างว่าเป็นพระองค์ที่ 11" นั่นแหละครับ

    กำลังหาช่องเพื่อล้มระบบฐาน อันยิ่งใหญ่ โดยร่วมกันต่อสู้กับ องค์เทพบนเวที

    สิ่งที่พยามสื่อในข้อมูล ที่ลุงมักอ้างอิงคำครูบาอาจารย์ทั้งหลายนั้น
    ข้อเท็จจริงต้นเค้าโครง มันมีปรากฏอยู่ ก็ได้สื่อไปแล้ว

    เอาเถิดลุงมหา...เห็นความตั้งใจดีในบางสิ่ง ระดับลุงมหา จะใช้ทำไมกล้องราคาสองพัน

    ระดับนี้ต้อง FullHD หรือ4K อัพลงยูทูบ ก็ควรจะ 720p หรือ 1080p จึงจะเหมาะกัน และชัดเจนยิ่งกว่า
    จริงๆระดับ 720 ลงมา ควรจะสิ้นไปเสียด้วยซ้ำในสารบบ ยูทิวบ์ สมัยนี้เทคโนฯ มันลุดหน้าไปไกลแล้ว

    ระวังนะการสร้างให้มี ความระบือ ลือ ลั่น จะมีความผิดพลาดที่แฝงอยู่ และจะเป็นข้อครหาของสังคมโลก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2014
  15. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    มียูทูบจะให้ดู

    เป็นหนังสั้นโปรโมทเกมส์ ในเนื้อหา ฝ่ายชายได้มอบแก้วมณีชนิดหนึ่ง ให้ต่อฝ่ายหญิง เพื่อความเป็นเซียน

    เสร็จแล้ว ก็ต้องอยู่กันคนละภพ

    และนี่ก็เป็นตัวอย่างภาพวีดีโอระดับ 720p
    รายละเอียดเกี่ยวกับชื่อวีดีโอ คือ "ผู้ยิ่งใหญ่" ที่ไม่ได้มีนัยยะอะไร
    เป็นแต่เพียงตัวอย่างการเลือกคุณภาพ ของความละเอียดในจำนวน Pixel

    <iframe width="560" height="315" src="//www.youtube.com/embed/J6K9wDQnA1M" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2014
  16. Silver11Wing

    Silver11Wing ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +570
    ขอบคุณมากครับลุงมหา

    สำหรับคำตอบ ผมคงต้องศึกษาอีกเยอะเลยครับ

    ขอโมทนาบุญด้วยครับ
     
  17. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
  18. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ยกมาให้อ่านกันอีกที ผู้มีปัญญาจะได้ใช้สติปัญญาลองพิจารณาดู

    คำสอนที่น่าสนใจที่สุดขององค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    "พระโพธิ์สัตว์ เป็นผู้มีบุญบารมีมาก"
    "เป็นผู้ที่จะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต"
    "ต้องให้ความเคารพท่านด้วย"


    คำสอนที่น่าสนใจที่สุดขององค์หลวงปู่มหาบัว ญานสัมปันโน

    "เราไม่มี บุญ-บารมี พอที่จะแก้ไขภัยพิบัติได้"

    ยกมาให้อ่านกันอีกที ผู้มีปัญญาจะได้ใช้สติปัญญาลองพิจารณาดู
    ว่าเราๆท่านๆจะใช้ประโยชน์จากข้อเขียนเหล่านี้ได้บ้างไหม

    ส่วนท่านอ้างคำสอนครูบาอาจารย์ ท่านโน้น ท่านนี้
    ส่วนท่านอ้างคำสอนของพระพุทธองค์

    ท่านเชื่ออะไร ท่านก็ทำของท่านไป

    ส่วนท่านที่หาทางเดินให้ชีวิตตนยังไม่ได้ เขาย่อมจะมีสติปัญญา พิจารณาเอง

    เขาพูดเรื่อง แนวทางเดินของชีวิต เขาพูดเรื่ิองทางเลือก
    ยังมีคนมาอวดดี อวดเด่น พูดเรื่องพระธรรม ไปโน่น

    ทำไมผมต้องมาสลดหดหู่ในสติปัญญาของคนพวกนี้ด้วย

    แค่ความเหมาะสมยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจ ยังจะอ้างพระธรรมคำสอนอันใด?

    คนที่หาความสำเร็จ คนที่หาเส้นทางเดินของชีวิตยังไม่ได้

    คนที่มีปัญหาชีวิต มีปัญหาครอบครัวมีอยู่ีมากมาย

    ผมก็แค่เสนอทางเลือกให้เขาได้คิดได้พิจารณากันเท่านั้นเอง

    คนที่รู้ธรรม คนที่เห็นธรรม เขาย่อมพูดเรื่องธรรมได้อย่างสอดคล้องกลมกลืน
    ไม่ใช่ธรรมขาดๆ แหว่งๆ ไม่ใช่ ยกพระธรรมคำสอนมาอวดอ้าง

    ลุงมหา

     
  19. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    อนาถปิณฑิกเศรษฐี จนก็เพราะเทวดา กลับมารวยก็เพราะเทวดา

    ขออนุญาตครับ

    เอตทัคคะในฝ่ายผู้เป็นทายก ของพุทธกาลนี้

    "อนาถปิณฑิกเศรษฐี จนก็เพราะเทวดา กลับมารวยก็เพราะเทวดา"

    ถ้าจะมีคนรวยเพราะองค์เทพ จากพรหมโลก ยังจะเป็นไปได้หรือไม่?


    ก็ลองอ่าน ก็ลองพิจารณากันนะครับ

    ส่วนใครที่คิดว่า ศีล สมาธิ ปัญญา พารวยได้ ก็ไม่ต้องมาอ่าน
    ส่วนใครที่คิดว่า คนจะหาทางรวยต้องไปขัดแข้งขัดขาเขาหน่อย ก็รอรับกรรมกันเอาเอง
    ส่วนใครที่คิดว่า อุตส่า่ห์อ้างพระธรรมนำหน้า จะเป็นบาปไปได้อย่างไร อยากลองก็ลองเอาเอง

    ขอบคุณครับ

    ลุงมหา


    ขอขอบคุณเว็บไซด์ วิกิพีเดีย สำหรับข้อมูล และเว็บลิ้งค์

    �غ�ʡ �͵�Ѥ�� 84000.org

    02-อนาถปิณฑิกเศรษฐี
    เอตทัคคะในฝ่ายผู้เป็นทายก
    อนาถบิณฑิกเศรษฐี เกิดในตระกูลมหาเศรษฐี ในเมืองสาวัตถี บิดาชื่อว่า “สุมนะ”
    มีทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาล เมื่อเกิดมาแล้วบรรดาหมู่ญาติได้ตั้งชื่อให้ว่า “สุทัตตะ” เป็น
    คนมีจิตเมตตาชอบทำบุญให้ทานแก่คนยากจนอนาถา

    ได้ชื่อใหม่เพราะให้ทาน
    เมื่อบิดามารดาของท่านล่วงลับไปแล้ว ได้ดำรงตำแหน่งเศรษฐีแทน ให้ตั้งโรงทานที่
    หน้าบ้านแจกอาหารแก่คนยากจนทุกวัน จนกระทั่งประชาชนทั่วไปเรียกท่านตามลักษณะนิสัย
    ว่า “อนาถบิณฑิกะ” ซึ่งหมายถึง “ผู้มีก้อนข้าวเพื่อคนอนาถา” และได้เรียกกันต่อมาจนบาง
    คนก็ลืมชื่อเดิมของท่านไปเลย
    ท่านอนาถบิณฑิกะ ทำการค้าขายระหว่างเมืองสาวัตถีกับเมืองราชคฤห์เป็นประจำ
    จนมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับเศรษฐีเมืองราชคฤห์ นามว่า “ราชคหกะ” และต่อมาเศรษฐีทั้ง
    สองก็มีความเกี่ยวดองกันมากขึ้น โดยต่างฝ่ายก็ได้น้องสาวของกันและกันมาเป็นภรรยา ดังนั้น
    เมื่ออนาถบิณฑิกะ นำสินค้ามาขายยังเมืองราชคฤห์จึงได้มาพักอาศัยที่บ้านของราชคฤหเศรษฐี
    ผู้ซึ่งมีฐานะเป็นทั้งน้องเขยและพี่เมียอยู่เป็นประจำ

    อนาถบิณฑิกเศรษฐีสำเร็จพระโสดาบัน
    อนาถบิณฑิกเศรษฐี ดำรงชีวิตอยู่ในกรุงสาวัตถี โดยมิได้ทราบข่าวเกี่ยวกับการเกิดขึ้น
    แห่งพระพุทธศาสนาเลย จวบจนวันหนึ่งท่านได้นำสินค้ามาขายยังเมืองราชคฤห์ และได้เข้าพัก
    ในบ้านของราชคหกเศรษฐีตามปกติ แต่ในวันนั้น เป็นวันที่ราชคหกเศรษฐี ได้กราบทูล
    อาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์เป็นจำนวนมากมายและฉันภัตตาหารที่เรือน
    ของตนในวันรุ่งขึ้น
    ราชคหกเศรษฐี มัวยุ่งอยู่กับการสั่งงานแก่ข้าทาสบริวาร จึงไม่มีเวลามาปฏิสันถาร
    ต้อนรับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเหมือนเช่นเคย เพียงแต่ได้ทักทายปราศัยเล็กน้อยเท่านั้นแล้วก็
    สั่งงานต่อไปแม้ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ก็เกิดความสงสัยขึ้นเช่นกัน จึงคิดอยู่ในใจว่า
    “ราชคหกเศรษฐี คงจะมีงานบูชาอัญหรือไม่ก็คงจะกราบทูลเชิญพระเจ้าพิมพิสารเสด็จมายัง
    เรือนของตนในวันพรุ่งนี้”
    เมื่อการสั่งงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ราชคหกเศรษฐี จึงได้มีเวลามาต้อนรับพูดคุยกับ
    อนาถบิณฑิกเศรษฐี และท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ได้ไต่ถามข้อข้องใจสงสัยนั้น ซึ่งได้รับคำ
    ตอบว่าที่มัวยุ่งอยู่กับการสั่งงานนั้นก็เพราะได้กราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระ
    ภิกษุสงฆ์ มาเสวยและฉันภัตตาหารที่เรือนของตนในวันพรุ่งนี้
    อนาถบิณฑิกเศรษฐี พอได้ฟังคำว่า “พระพุทธเจ้า” เท่านั้นเอง ก็รู้สึกแปลกประหลาด
    ใจ จึงย้อนถามถึงสามครั้งเพื่อให้แน่ใจ เพราะคำว่า “พระพุทธเจ้า” นี้เป็นการยากยิ่งนักที่จะ
    ได้ยินในโลกนี้ เมื่อราชคหกเศรษฐีกล่าวยืนยันว่า “ขณะนี้ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระ
    สงฆ์ เกิดขึ้นแล้วในโลก” จึงเกิดปีติและศรัทธาเลื่อมใสอย่างแรงกล้า ปรารถนาจะไปเข้าเฝ้า
    พระพุทธองค์ในทันที่นั้น แต่ราชคหกเศรษฐียับยั้งไว้ว่ามิใช่เวลาแห่งการเข้าเฝ้า จึงรอจนรุ่งเช้า
    ก็รีบไปเข้าเฝ้าก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จไปยังบ้านราชคหกเศรษฐี ได้ฟังอนุปุพพิกถาและ
    อริยสัจสี่จากพระพุทธเจ้าแล้วได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคลในพระพุทธศาสนา
    ประกาศตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต

    อนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างวัดถวาย
    อนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้ช่วยอังคาสถวายภัตตาหารแด่พระบรมศาสดาและพระภิกษุ
    สงฆ์ ครั้นเสร็จภัตตากิจแล้วก็ได้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาเพื่อเสด็จไปประกาศพระ
    ศาสนายังเมืองสาวัตถี พร้อมทั้งกราบทูลว่า จะสร้างพระอารามถวายเมืองสาวัตถีนั้น พระบรม
    ศาสดาทรงรับอาราธนาตามคำกราบทูล
    อนาถบิณฑิกเศรษฐี รู้สึกปราบปลื้มปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง รีบเดินทางกลับสู่กรุงสาวัตถี
    โดยด่วน ในระหว่างทางจากกรุงราชคฤห์ถึงกรุงสาวัตถี ระยะทาง ๕๔ โยชน์ ได้บริจาคทรัพย์
    จำนวนมากให้สร้างวิหารที่ประทับเป็นที่พักทุก ๆ ระยะหนึ่งโยชน์ เมื่อถึงกรุงสาวัตถีแล้วได้
    ติดต่อขอซื้อที่ดินจากเจ้าชายเชตราชกุมาร โดยได้ตกลงราคาด้วยการนำเงินปูลาดให้เต็มพื้นที่
    ตามที่ต้องการ ปรากฏว่าเศรษฐีใช้เงินถึง ๒๗ โกฏิ เป็นค่าที่ดิน และอีก ๒๗ โกฏิ เป็นค่าก่อ
    สร้างพระคันธกุฏีที่ประทับของพระบรมศาสดา และเสนาสนะสงฆ์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕๔
    โกฏิ แต่ยังขาดพื้นที่สร้างซุ้มประตูพระอาราม ขณะนั้น เจ้าชายเชตราชกุมารได้แสดงความ
    ประสงค์ขอเป็นผู้จัดสร้างถวาย โดยขอให้จารึกพระนามของพระองค์ที่ซุ้มประตูพระอาราม ดัง
    นั้นพระอารามนี้จึงได้ชื่อว่า “เชตวนาราม”

    เศรษฐีทำบุญจนหมดตัว
    เมื่อการก่อสร้างพระอารามเสร็จแล้วได้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วย
    พระภิกษุสงฆ์เสด็จเข้าประทับจัดพิธีฉลองพระอารามอย่างมโหฬารนานถึง ๙ เดือน (บางแห่ง
    ว่า ๕ เดือน) ได้จัดถวายอาหารบิณฑบาตอันประณีตแก่พระบรมศาสดาและพระภิกษุสงฆ์ เมื่อ
    พิธีฉลองพระอารามเสร็จสิ้นลงแล้วได้กราบอาราธนาพระภิกษุจำนวนประมาณ ๒๐๐ รูป ไป
    ฉันภัตตาหารที่บ้านของตนทุกวันตลอดกาล
    อนาถบิณฑิกเศรษฐี ทำบุญโดยทำนองนี้ ทั้งให้ทานแก่คนยากจน และการถวายทาน
    แด่พระภิกษุสงฆ์ จนกระทั่งทรัพย์สินเงินทองที่เก็บสะสมไว้ลดน้อยลงไปโดยลำดับ ทรัพย์ที่
    หาได้มาใหม่ก็ไม่เท่ากับจ่ายออกไป ภัตตาหารที่จัดถวายพระภิกษุสงฆ์ก็ลดลงทั้งคุณภาพและ
    ปริมาณ จนที่สุดข้าวที่หุงถวายพระก็จำเป็นต้องใช้ข้าวปลายเกวียน กับข้าวก็เหลือเพียงน้ำ
    ผักเสี้ยนดอง ตนเองก็พลอยอดอยากลำบากไปด้วย ถึงกระนั้นเศรษฐีก็ยังไม่ลดละการทำบุญ
    ถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุสงฆ์ได้แต่กราบเรียนให้พระภิกษุสงฆ์ทราบว่า ตนเองไม่สามารถ
    จะจัดถวายอาหารอันประณีตมีรสเลิศเหมือนเมื่อก่อนได้ เพราะขาดปัจจัยที่จะจัดหาพระภิกษุ
    สงฆ์ที่เป็นปุถุชนก็พากันไปรับอาหารบิณฑบาตที่ตระกูลอื่นที่ถวายอาหารมีรสเลิศกว่า

    เศรษฐีขับไล่เทวดา
    ขณะนั้นเทวดาตนหนึ่งผู้เป็นมิจฉาทิฎฐิ ซึ่งสิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูบ้านของท่าน
    อนาถบิณฑิกเศรษฐี ไม่เลื่อมใสพุทธศาสนา เบื่อระอาที่พระภิกษุสงฆ์เดินรอดซุ้มประตูเข้าออก
    ทุกวัน เพราะในขณะที่ภิกษุสงฆ์เดินรอดซุ้มประตูนั้นตนไม่สามารถจะอยู่บนซุ้มประตูได้ เมื่อ
    เห็นเศรษฐีกลับกลายมีฐานะยากจนลงเพราะทำบุญแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงปรากฎ
    กายต่อหน้าท่านเศรษฐีกล่าวห้ามปรามให้เศรษฐีเลิกทำบุญเสียเถิด แล้วทรัพย์สินเงินทองก็จะ
    เพิ่มพูนขึ้นเหมือนเดิม ท่านเศรษฐีจึงถามว่า
    “ท่านเป็นใคร ?”
    “ข้าพเจ้าเป็นเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูเรือนของท่าน”
    “ดูก่อนเทวดาอันธพาล เราไม่ต้องการเห็น ไม่ต้องการฟังคำพูดของท่าน ขอท่านจง
    ออกไปจากซุ่มประตูเรือนของเรา อย่ามาให้ข้าพเจ้าเห็นอีกเป็นอันขาด”
    เทวดาตกใจ ไม่สามารถจะอยู่ที่ซุ่มประตูเรือนของเศรษฐีได้อีกต่อไป กลายเป็นเทวดา
    ไร้ที่สิงสถิต ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เข้าไปหาเทวดาผู้มีศักดิ์สูงกว่าตนให้ช่วยเหลือ
    แต่ไม่มีเทวดาองค์ใดจะสามารถช่วยได้ เพียงแต่บอกอุบายให้ว่า “ทรัพย์เก่าของเศรษฐีจำนวน
    ๘๐ โกฏิ ซึ่งใส่ภาชนะฝังไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำถูกน้ำเซาะตลิ่งพังจมหายไปในสายน้ำ ท่านจงไปนำ
    ทรัพย์เหล่านั้นกลับคืนมามอบให้ท่านเศรษฐี แล้วท่านเศรษฐีก็จะหายโกรธยกโทษให้ และ
    อนุญาตให้อยู่อาศัยที่ซุ้มประตูบ้านดังเดิมได้”

    เทวดาทำตามนั้น

    ได้นำทรัพย์เหล่านั้นมามอบให้เศรษฐีด้วยอำนาจฤทธิ์เทวดา

    เมื่อเศรษฐียกโทษให้แล้วได้อยู่ ณ สถานที่เดิมของตนสืบไป


    ต้นแบบการทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย
    พุทธบริษัทผู้ใฝ่บุญนั้น ย่อมปรารภเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ ขึ้นมาเป็นเรื่องทำบุญได้เสมอ
    เช่นเรื่องของอนาถบิณฑิกเศรษฐี นี้ วันหนึ่งหลานของท่านเล่นตุ๊กตาที่ทำจากแป้งแล้วหล่นลง
    แตก หลานร้องไห้ด้วยความเสียดายตุ๊กตา เพราะไม่มีตุ๊กตาจะเล่น ท่านเศรษฐีได้ปลอบโยน
    หลานว่า
    “ไม่เป็นไร เราช่วยกันทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ตุ๊กตากันเถิด” ปรากฏว่าหลานหยุด
    ร้องไห้ รุ่งเช้า ท่านจึงพาหลายช่วยกันทำบุญเลี้ยงพระแล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้ตุ๊กตา
    ข่าวการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ตุ๊กตาของท่านเศรษฐี แพร่ขยายไปอย่างรวดเร็ว
    ประชาชนชาวพุทธบริษัททั้งหลาย เห็นเป็นเรื่องแปลกและเป็นสิ่งที่ดีที่ควรกระทำ ดังนั้นเมื่อ
    ญาติผู้เป็นที่รักของตนตายลงก็พากันทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เหมือนอย่าที่ท่านเศรษฐีกระทำ
    นั้น และถือปฏิบัติกันอย่างแพร่หลายสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน

    มอบภารกิจของตนให้ลูกหลาย
    ตามปกติทุก ๆ วัน ภิกษุทั้งหมดผู้อยู่ในกรุงสาวัตถีจะรับนิมนต์เพื่อฉันภัตตาหารใน
    บ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐี และในบ้านของนางวิสาขาดังนั้น บุคคลอื่น ๆ ผู้ประสงค์จะ
    ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์ก็ต้องมาขอโอกาสแก่ท่านทั้งสองนี้ เมื่อนิมนต์พระได้แล้วก็ต้องเชิญ
    ท่านทั้งสองนี้ไปเป็นประธานที่ปรึกษาด้วย ทั้งนี้ก็เพราะท่านทั้งสองทราบดีว่าควรประกอบ
    ควรปรุงอาหารอย่างไรให้ต้องกับอัธยาศัยและวินัยของพระ ควรจัดสถานที่อย่างไรจึงจะเหมาะ
    สม นอกจากนี้ก็เพื่อเป็นสิริมงคลแก่เจ้าของบ้านเรือนที่จัดงานอีกด้วย ดังนั้นท่านทั้งสองจึงไม่
    ค่อยมีเวลาอยู่ปฏิบัติเลี้ยงดูพระภิกษุที่นิมนต์มาฉันที่บ้านของตน นางวิสาขาจึงได้มอบหมาย
    ภารกิจหน้าที่นี้แก่หลานสาว
    ส่วนอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้มอบให้แก่ลูกสาวคนโตชื่อว่า “มหาสุภัททา” นางได้ทำ
    หน้าที่นี้อยู่ระยะหนึ่ง ได้ฟังธรรมจากพระคุณเจ้าแล้วได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ต่อมาได้แต่ง
    งานแล้วก็ติดตามไปอยู่ในสกุลของสามี
    จากนั้นอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ได้มอบหมายให้ลูกสาวคนที่สองชื่อว่า “จุลสุภัททา”
    นางก็ทำหน้าที่แทนบิดาด้วยดีโดยตลอด และก็ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันเช่นกัน ต่อจากนั้นไม่
    นาน นางก็ได้แยกไปอยู่กับครอบครัวของสกุลสามี อนาถบิณฑิกเศรษฐี จึงได้มอบหน้าที่ให้
    ลุกสาวคนเล็กชื่อว่า “สุมนาเทวี” กระทำแทนสืบมา

    ลูกสาวป่วยเรียกบิดาว่าน้องชาย
    สุมนาเทวี ทำหน้าที่ด้วยความขยันเข้มแข็ง งานสำเร็จลงด้วยความเรียบร้อยทุกวัน
    ทั้ง ๆ ที่นางอายุยังน้อย จากการที่นางได้ทำบุญถวายภัตตาหาร พระภิกษุสงฆ์และได้ฟังธรรม
    เป็นประจำ นางก็ได้บรรลุเป็นพระสกทาคามี แต่ต่อมานางได้ล้มป่วยลงมีอาการหนัก ใคร่อยาก
    จะพบบิดา จึงให้คนไปเชิญบิดามา
    ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี พอได้ทราบว่าลูกสาวป่วยหนักก็รีบมาเยี่ยมโดยเร็ว พอมา
    ถึงได้ถามลูกสาวว่า
    “แม่สุมนา เจ้าเป็นอะไร ?”
    “อะไรเล่า น้องชาย ?” ลูกสาวตอบ
    “เจ้าเพ้อหรือ แม่สุมนา ?” บิดาถาม
    “ไม่เพ้อหรอก น้องชาย” ลูกสาวตอบ
    “แม่สุมนา ถ้าอย่างนั้น เจ้ากลัวหรือ ?” บิดาถาม
    “ไม่กลัวหรอก น้องชาย”
    นางสุมนาเทวี พูดโต้ตอบกับบิดาได้เพียงเท่านั้นก็ถึงแก่กรรม

    พระโสดาบันร้องไห้ไปกราบทูลพระศาสดา
    ท่านเศรษฐี แม้จะเป็นพระโสดาบัน ก็ไม่อาจจะกลั่นความเศร้าโศกเสียใจเพราะการ
    จากไปของธิดาได้ เมื่อเสร็จงานศพและได้ร้องไห้น้ำตานองหน้าไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาพระ
    พุทธองค์ได้ตรัสปลอบว่า
    “อนาถบิณฑิกะ ก็ความตายเป็นสิ่งเที่ยงแท้ของสรรพสัตว์มิใช่หรือเหตุไฉนท่านจึง
    ร้องไห้อย่างนี้ ?”
    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อนั้นข้าพระองค์ทราบดี แต่นางสุมนาเทวีธิดาของข้าพระ
    องค์ เมื่อใกล้เวลาจวนจะตาย นางไม่สามารถคุมสติได้เลย นางบ่นเพ้อจนกระทั่งตาย ข้าพระ
    องค์โทมนัสร้องไห้เพราะเหตุนี้ พระเจ้าข้า”
    พร้อมทั้งได้กราบทูลถ้อยคำที่นางสุมนาเทวีเรียนตนเองว่าน้องชาย ถวายให้พระพุทธ
    องค์ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคได้สดับแล้วตรัสว่า
    “ดูก่อนมหาเศรษฐี บุตรของท่านมิได้เพ้อหลงสติอย่างที่ท่านเข้าใจ แต่ที่นางเรียก
    ท่านว่าน้องชายนั้น ก็เพราะท่านเป็นน้องของนางจริง ๆ นางเป็นใหญ่กว่าท่านโดยมรรคและ
    ผล เพราะท่านเป็นเพียงพระโสดาบัน แต่ธิดาของท่านเป็นพระสกทาคามี เป็นอริยบุคคลสูง
    กว่าท่าน และบัดนี้ นางได้ไปเกิดเสวยสุขอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว นี่แหละคฤหบดี ธรรมดา
    บุคคลไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ตาม ถ้าอยู่ด้วยความไม่ประมาท ประพฤติดีปฏิบัติ
    ชอบ ก็ย่อมเสวยสุขเพลินทั้งในโลกนี้และโลกหน้า”
    อนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้ฟังพระพุทธดำรัสแล้วหายจากความเศร้าโศกเสียใจกลับได้รับ
    ความปีติเอิบอิ่มใจขึ้นมาแทน เมื่อควรแก่เวลาแล้วก็กราบทูลลากลับสู่เคหสถานของตน
    เพราะความที่อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นผู้มีศรัทธามั่นคงไม่หวั่นไหว ฝักใฝ่ในการทำ
    บุญให้ทาน ไม่มีผู้ใดจะเปรียบเทียบได้ พระพุทธองค์ยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้
    เลิศกว่าอุบาสกทั้งหลาย ในฝ่าย ผู้เป็นทายก

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2014
  20. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    เรื่องของท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐี กับเทวดา นั้น

    ถ้าอ่านดีๆ และพิจารณาสักนิด ก็พอจะเข้าใจได้ว่า

    เป็นเรื่องของการที่เทวดามาลองใจ ความเป็นเอตทัคคะ และคุณวิเศษ ของผู้มีอจลศรัทธา

    โดยเป็นหลังเหตุการณ์ ที่ท่านอนาถบิณฑิกะ สำเร็จพระโสดาบันด้วยแล้ว

    แน่นอนความปรารถนาอันแรงกล้า ในตำแหน่งเอตทัคคะดังกล่าว

    กับการได้เพียรสั่งสมขุมทรัพย์ ทั้งทรัพย์ภายนอก และทรัพย์ภายใน มาด้วยตนเอง เมื่อครั้งอดีต

    เทวดาย่อมไม่สามารถมาหักล้างความเป็นทายก ผู้มีความมั่นคงต่อคุณพระรัตนตรัย ในท่านเศรษฐีนั้นได้

    การที่เทวดาได้นำทรัพย์เหล่านั้น มามอบให้เศรษฐี จึงไม่ใช่อำนาจฤทธิ์ของเทวดา โดยฝ่ายเดียว

    ต้องประกอบกับ บุญฤทธิ์ ที่เคยสั่งสมมานั้นด้วย

    อีกทั้ง อริยฤทธิ์ในท่านเศรษฐี ผู้มีศรัทธามั่นคงไม่หวั่นไหว ฝักใฝ่ในการทำบุญให้ทาน

    ทำให้เทวดาตนนั้น ต้องร้อนรน กับการที่กล่าวห้ามปรามให้เศรษฐีเลิกทำบุญ
     

แชร์หน้านี้

Loading...