สมเด็จพระมหาเถระศรีศรัทธาฯ บูรพาจารย์ถ่ายทอดสรรพวิชชาด้วยพระองค์เอง

ในห้อง 'ดูดวง และ ทำนายฝัน' ตั้งกระทู้โดย แสนสวาท, 9 พฤศจิกายน 2013.

  1. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    ไม่ต้องเปลี่ยนจริตหลอกครับ เพราะดัดจริตมันดัดไม่ได้ ต้องทำความเห็นให้ตรงก่อน ศึกษาให้มากๆ ฟังธรรมะให้มากๆ ผมไม่ได้มาเถียงกับเจ้อะนะ (แต่ก็ดูเหมือนจะเถียงนะเนี่ย แต่เขามาแก้อรรถนะจ๊ะ) เมื่อมีความรู้แล้ว จะได้ทำถูก ปฏิบัติถูก อย่าคิดว่าตัวเองจะหลุดพ้นจากสังสารวัฏฏ์ได้ง่ายๆนะครับ ปัญญาที่ทำมาในยุคนี้จะมีใครมีปัญญาเท่าท่านพระพาหิยะ ฟังธรรมเล็กน้อย ก็เป็นพระอรหันต์


    บุคคลผู้เดินทางถ้าไม่หมั่นดูแผนที่หรือดูหนทางที่ตนเดินมา แล้วเดินไปในทางที่ตนคิดหวัง จะรู้ได้ยังไงว่าตนเองเดินมาถูกทางแล้ว
     
  2. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    ครับแน่นอน ถ้าผมตรวจสอบแล้วว่าผิด ต้องรีบเปลี่ยนความคิด ความเข้าใจ แต่ถ้าเชื่อโดยไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักของพระไตรปิฏกนั้นนั่นสิ...อันตราย โดยเฉพาะเจาะเวลาหาอดีต แล้วก็ยึดเอาว่าเป็นนั่นเป็นนี่ แล้วก็มาสอนกันแบบธรรมะของฉันๆ ตำราอย่างฉันเท่านั้นแน่ ตำราอื่นศาสตร์อื่นสู้ฉันไม่ได้ โอ้...อันนี้ไม่น่าทำ ไม่น่าทำนะจ๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2014
  3. แสนสวาท

    แสนสวาท ชมรมสุวรรณภูมิธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2007
    โพสต์:
    2,399
    ค่าพลัง:
    +2,488
    ทุกอย่างที่ทำในวันนี้ สำเร็จดีทุกย่างก้าว
    บริวารมาช่วยเหลืองานดี ส่วนที่ดิฉันต้องทำ ก็เรียบร้อยทุกประการ
    พร้อมต้อนรับผู้ที่มีบุญสัมพันธ์กับเรา กับสุวรรณโคมคำ
    ท่านใดที่มีบุญสัมพันธ์กันขอให้ได้กลับมา ร่วมเรียน ร่วมคิด ร่วมทำกุศลร่วมกัน

    ในยามค่ำคืน วันที่ ๒๐ มีนาคม....
    จะมีพิธีสำคัญ ที่จะต้อนรับครูบาอาจารย์ที่เป็นภาคดวงจิต
    เป็นพิธีอันศักดิ์สิทธิ์อีกวาระหนึ่ง
    วาระแห่งฟ้า
    ภาคธรรมจักรกรรมจักรกำลังจะเริ่มต้น


    ค่ำคืนนี้แสงเงาแห่งราตรี
    จะทอแสงรับไมตรีจากฟากฟ้า
    ที่พระองค์จะเสด็จดำเนินมา
    เป็นประธานสำคัญวันไหว้ครู

    ขอเชิญเพื่อนที่นิมิตกระทบจิต
    พาคนใกล้ชิดมาเป็นหมู่
    รับข่าวสารพร้อมกันลองตรองดู
    ลงทะเบียนนำสู่แผ่นดินสุวรรณโคมคำ...เป็นศิษย์สุวรรณโคมคำร่วมกัน


    โดย จันทร์ อรหัง

    มาร่วมกันในงานพิธีวันไหว้ครู รุ่นที่ ๒๔
    พฤหัสที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๗ เวลา ๑๗.๓๐ และ ๒๐.๐๐น.

    โทร.08 4111 5264
    และ 02 681 2524
     
  4. แสนสวาท

    แสนสวาท ชมรมสุวรรณภูมิธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2007
    โพสต์:
    2,399
    ค่าพลัง:
    +2,488
    เมื่อปิรามิดซ้อนทับจักรราศี
    นิมิตดีก่อเกิดอีกมากหลาย
    ธรรมจักรหมุนวนธรรมกาย
    พาคนหลายล่วงรู้ธรรมในตน

    เจริญธรรมเจริญธาตุครบทั้งสี่
    ดวงธรรมมีมากมายทุกแห่งหน
    สัปปายะเหมาะสมแต่ละคน
    พลังอันเหลือล้นเวียนกลับคืน
    ณ แผ่นดินบูรพาจารย์ศรีสุวรรณโคมคำ สาธุการ

    จันทร์อรหัง
    8.26 1.3.2557
     
  5. แสนสวาท

    แสนสวาท ชมรมสุวรรณภูมิธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2007
    โพสต์:
    2,399
    ค่าพลัง:
    +2,488
    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป
    ไปนอนก่อนล่ะ

    สาธุการ
    แสนสวาท
     
  6. ป้าสวย

    ป้าสวย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +162
    เมืองสุวรรณโคมคำ ใช่เมืองเดียวกับในเรื่องมนต์นาคราชทางช่อง 7 ตอนนี้รึเปล่าค่ะ
     
  7. ต้นพุทธ

    ต้นพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2012
    โพสต์:
    922
    ค่าพลัง:
    +3,612
    ผุ้ใดก็ตามที่ถ่ายทอดความรู้ที่ถูกต้อง ก็ย่อมนำมาซื่งบุญกุศลให้การให้ธรรมะเป็นธรรมทาน ตรงกันข้าม หากถ่ายทอดความรู้ในทางธรรม ไปในทางที่ผิดไปจากความเป็นจริง เชื่อกันว่าเกิดใหม่ก็จะโง่ไปอีก 500 ชาติ

    เลือกเสพ เลือกพิจารณาด้วยปัญญา โดยมีหลักปริยัติ และพระไตยปิฏกเป็นตัวชี้วัดนะค่ะ

    อย่าเชื่อเพียงแค่ ชื่นชอบในอภิญญา ตามกระแสตลาด
    การปฏิบัติในเรื่องของ ทาน ศีล ภาวนานั้น หากคุณปฏิบัติจริง การได้อภิญญามาก็เป็นเรื่องปกติเพราะมันคือของแถม และเป็นแค่เปลือก ส่วนแก่นแท้นั้นหากเรามัวแต่หลงเพลินกับอภิญญา ก็จะส่งผลให้ยึดติด จนอาจจะนำมาซึ่งความเสื่อม จิตตกและหมกมุ่น จนส่งผลให้การเดินทางสู่แก่นแท้ ของธรรมะของคุณนั้นล่าช้า และตามติดมาด้วยวิบากกรรม
     
  8. ต้นพุทธ

    ต้นพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2012
    โพสต์:
    922
    ค่าพลัง:
    +3,612
    เห็นด้วยกับคุณแสนสวาทค่ะ

    แสนสวาท;8873136]ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป...สาธุ สาธุ สาธุค่ะ
    ไปนอนก่อนล่ะ...เห็นด้วยอย่างยิ่งคะ ขอให้คุณแสนสวาทพักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลสุขภาพให้มากๆนะค่ะ เพราะการพักผ่อนที่เพียงพอนำมาซึ่งความสมบูรณ์ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจส่งผลให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองได้ดี สมองแจ่มใส ไม่เพ้อ ไม่หลงไม่ลืมง่ายค่ะ

    สาธุการ
    แสนสวาท
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2014
  9. rattanamatee

    rattanamatee สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +20
    เพ้อได้โล่อีกแล้ว แสนสวาทเอ๋ย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2014
  10. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    ไม่เคยดูหนังเหมือนกันเลยไม่รู้ครับ....แต่ว่าดินแดนสุวรรณโคมคำนั้นเป็นดินแดนที่ใหญ่มาก กินอาณาบริเวณไปถึงประมาณจียตอนกลางๆได้มั้ง อ่านแผนที่ไม่ค่อยเป็น จำไม่ได้ว่ามีแผนที่ที่ไหน แต่พระอาจารย์ดร.ธรรมบาล(จิตตภาวันไม่ใช่เมืองกาญ.หลวงพ่อดอสระอินอดิน)ท่านเคยเล่าให้ฟัง ว่าดินแดนสุวรรณภูมินี้กว้างใหญ่ไพศาลมากครับ วัฒนธรรม อารยธรรมก็รุ่งเรือง ถ้าเจอเรื่องราวเหล่านั้นจะเอามาโพสให้อ่านนะครับ ป้าแสนคงไม่ว่านะครับ เพราะเป็นการแสดงแง่คิดในหลายๆด้าน ไม่มุ่งทางเดียว..นิ
     
  11. สีลสิกขา

    สีลสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    1,271
    ค่าพลัง:
    +7,137
    ยังไงคุณป้าแสนสวาท อย่าลืมตื่นนะคะ เพราะยังมีเรื่องราวอีกมากมายเกี่ยวกับพุทธศาสนา ที่ดิฉันอยากรู้ และคุณป้าแสนสวาทก็ยังไม่รู้จริงๆ อีกมาก
    แต่ขอแบบถูกต้องตามพระไตรปิฏกนะคะ อย่ามาแบบน้ำขุ่น ๆ มัว ๆ ซัว ๆ เด๋วดิฉันจะเข้าใจผิด ไปเผยแผ่ผิด ๆ บาปหนักไปใหญ่ ดิฉันเองยิ่งปัญญาเบาอ่านไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด..

    สาธุค่ะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2014
  12. rattanamatee

    rattanamatee สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +20
    คัมภีร์สุวรรณโคมคำใช่เรื่องเดียวกับเกราะเพชรเจ็ดสีป่าวครัช แสนสวาทพูดเหมือนคนเพ้อ ไม่ต้องไหว้ครูหรอกนะ เอาหนังสือมาอ่านที่บ้านเองดีกว่า
     
  13. Abiding

    Abiding สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2013
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +22
    ขอความกระจ่าง จากท่านผู้ตั้งกระทู้ด้วย

    ..................................................................................
    คือ ออกจะสงสัยว่าผู้บรรลุธรรมได้ เข้าสู่นิพพาน สำเร็จอรหัง ต้องเป็นพุทธิจริต เท่านั้นจริงหรือ เพราะจากที่อ่านมานี้ ลูกชายนายช่ายทองก็เป็น โทสะจริต แต่ทำไมยังสำเร็จได้ ??? :z16

    รบกวนช่วยไขข้อข้องใจด้วยเถอะ มันออกจะไม่เคลียร์ (ได้แนบเรื่องมาให้อ่านด้วย โดยคัดลอกมาจากบทความของ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี)

    พระลูกชายนายช่างทอง

    ในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เวลานั้นอัครสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครู คือ พระสารีบุตร มีกุลบุตรมาบวชด้วย เป็นลูกชายนายช่างทอง เป็นคนหนุ่มและเป็นคนรวย ท่านก็มาคิดว่า คนหนุ่มคนรวยก็ดี มักจะหนักไปในความเจ้าชู้ นี่พูดแบบภาษาไทยๆ ถ้าพูดแบบภาษาธรรมะก็่ว่าเป็นคนมีราคจริต เพราะในฐานะที่คุณเธอเป็นคนโสด ก็เลยคิดอย่างนั้น ในเมื่อท่านคิดแบบนี้แล้ว ท่านก็เลยให้กรรมฐานคืออสุภกรรมฐาน และกายคตานุสสติกรรมฐาน ให้เธอเจริญ เพื่อเป็นการทำลายราคจริตคือความรักสวยรักงาม เป็นอันว่าพรรษาหนึ่งทั้งพรรษา พระลูกชายนายช่างทองจะว่าไม่ได้ก็ไม่ได้ นั่งหลับตาภาวนาพิจารณาไป แต่จิตใจไม่มีอะไรเป็นผล เมื่อถึงเวลาออกพรรษาแล้ว พระสารีบุตรก็คิดว่า กุลบุตรผู้นี้ไม่ใช่วิสัยของตนที่ควรจะฝึก ควรจะเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า

    ตอนนี้อาจจะไม่เข้าใจ ความจริงมีอยู่ว่า บุคคลบางคนเขาบำเพ็ญบารมีมาเพื่อพระพุทธเจ้าทรงฝึกโดยตรง อันนี้คนอื่นฝึกไม่มีผล บางคนบำเพ็ญมาให้ใครจะฝึกก็ได้ อันนี้พระสาวกฝึกได้ผล ในสมัยเวลานี้ก็เหมือนกัน คนที่มาคณะเราทุกคนจะให้เขาได้ผลเหมือนกันกับเราอย่างน้อยที่สุดเกิดสัทธาก็ไม่ได้เหมือนกัน ว่าโดยอัธยาศัยเดิม บารมีเดิมมาไม่มีมาเพื่อเราจะฝึกฝนได้ จะไปกะเกณฑ์ให้เขาได้มรรคได้ผลอันนี้ไม่ต้องพูดถึง หรือได้ฌานโลกีย์ก็ไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ให้เขาเลื่อมใสสัทธามันก็ไม่มี นี่เรียกว่าไม่ใช่คนเป็นคู่ปรับกัน

    เมื่อพระสารีบุตรดำริดังนั้น ก็นำพระลูกชายนายช่างทองไปเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลให้ทรงทราบว่า อยู่กับท่านมา ๓ เดือน คือ ๑ พรรษา สอนอสุภกรรมฐาน กับกายคตานุสสติ ในฐานะที่เป็นคนหนุ่มให้ระงับความพอใจในความสวยสดงดงาม แล้วเธอไม่ได้อะไรเลย

    พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาแล้วได้ความทราบชัด คือพระพุทธเจ้าไม่ต้องนั่งเสียเวลาภาวนา เห็นเข้าก็รู้เลยว่าคนนี้ควรจะฝึกแบบไหนจึงได้ บอกพระสารีบุตร ดูก่อน สารีบุตร เธอกลับได้ กุลบุตรผู้มีสัทธาที่ตถาคตไม่สามารถจะสอนให้ได้มรรคผลนั้น ไม่มี

    เมื่อพระสารีบุตรลุกไปแล้ว องค์สมเด็จพระชินสีห์ ทรงทราบว่าพระลูกชายนายช่างทองไม่ใช่เป็นคนมีราคจริต เป็นคนหนักไปในทางโทสะจริต คือเป็นคนโมโหง่าย ฉะนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงให้โลหิตกสิณแทนที่จะให้อสุภกรรมฐาน โดยทรงเนรมิตดอกบัวทองคำขึ้นมาดอกหนึ่ง มีสีแดง กสิณสีแดงนี่เขาเรียกโลหิตกสิณ แล้วก็สั่งให้พระลูกชายนายช่างทองไปนั่งที่กองทรายหน้าวิหาร เอาดอกบัวสีแดงไปปัก เอาก้านปักเข้ากับกองทราย ลืมตาจำภาพให้ได้ เวลาหลับตานึกถึงภาพแล้วนั่งภาวนาว่า สีแดงๆ ๆ ให้ภาวนาค้ำใจเข้าไว้ เกรงว่าใจมันยังจะกระสับกระส่าย คำภาวนาเป็นเครื่องโยงใจให้เข้าถึงจุด และถ้าหากว่าบังเอิญจิตใจมันฟุ้งซ่าน ภาพมันเลือนไปก็ลืมตาขึ้นมาดูใหม่ จำภาพได้แล้วภาวนา สีแดง ๆ ๆ

    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=181>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>พระลูกชายนายช่างทองก็ไปปฏิบัติแบบนั้น คือเอาก้านปักลงไปกับทราย ทำเนินทรายขึ้น ลืมตาจำภาพดอกบัว จำภาพได้แล้วก็หลับตา นึกถึงภาพว่าสีแดงๆ พอภาพนั้นมันเลือนไปจากใจก็ลืมตาไปดูใหม่ ทำอย่างนี้ ๒ ถึง ๓ ครั้ง ปรากฏว่าเธอได้ฌาน ๔ ให้ดอกบัวนั้นเป็นสีแดง แต่ถ้าเวลาหลับตาไปภาวนาไปนึกถึงภาพดอกบัว ภาพของดอกบัวกลายจากสีแดง เป็นสีเหลือง จากสีเหลืองเป็นสีขาว กลายจากสีขาวเป็นสีประกายพรึกแพรวพราว จะบังคับให้ใหญ่ก็ได้ จะบังคับให้เล็กก็ได้ ให้สูงได้ ให้ต่ำได้ อยู่ข้างหน้าอยู่ข้างหลังก็ได้ จนคล่องแคล่วดีแล้ว</TD></TR></TBODY></TABLE>
    องค์สมเด็จพระประทีปแก้วอยู่ ณ พระมหาวิหาร สมเด็จพระพิชิตมารจึงได้ดำริว่า เวลานี้พระลูกชายนายช่างทองได้ฌาน ๔ แล้ว ต่อไปเป็นตอนของวิปัสสนาญาณ ถ้าเราไม่ช่วยเธอๆ จะสามารถได้บรรลุมรรคผลไหม องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า ถ้าเราไม่ช่วยไม่ได้มรรคผลแน่ เราต้องช่วย วิธีช่วยของพระองค์ พระลูกชายนายช่างทององค์นั้นกำลังเพลิน เพลิดเพลินมีความสุขใจ จิตเป็นอุเบกขารมณ์ก็ทรงสบาย ไม่ต้องลืมตาเลย เห็นภาพดอกบัวแพรวพราว สวยสดงดงาม บังคับให้อยู่ข้างซ้าย ข้างขวา ข้างหน้า ข้างหลัง นึกไปอยู่ที่ไหนก็ได้ตามความประสงค์เกิดความชื่นใจ

    องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงทรงเนรมิตดอกบัวเดิมให้มีสีเศร้าหมองเหี่ยวแห้งลงไป พระลูกชายนายช่างทองเล่นฌานจนเพลิน มีความชุ่มชื่นดีแล้วก็ลืมตาขึ้นมาดูใหม่ ดูดอกบัวสีแดง คราวนี้ความสดใสของดอกบัวไม่ปรากฏ สีก็เศร้าหมอง กลีบก็เหี่ยว เกสรก็แห้ง เอ๊ะ นี่มันเป็นอย่างไรกันแน่ ท่านก็มานึกในใจว่ามันอย่างไรกันนี่ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่ เอาล่ะ มันจะเหี่ยวมันจะแห้งก็ช่างมัน ก็มานึกในใจว่า ชีวิตและร่างกายของคนกับดอกบัวนี่มันมีสภาพคล้ายคลึงกัน เมื่อมีความเกิดขึ้นแล้วก็มีความเปลี่ยนแปลงไป สึกหรอ ร่อยหรอ ลงไปแบบนี้ มันหาอะไรคงที่ไม่ได้ พิจารณาแบบนี้ไปจนชื่นใจ เห็นภาพก็คงเป็นไปตามเดิม สำหรับภาพเป็นประกายตามเดิม แต่ว่าดอกบัวจริงๆ เศร้าหมอง จิตใจก็คงที่ลดลงไปจากอำนาจกิเลส

    ต่อมา องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ทรงเห็นจิตของเธอหดเหี่ยวลงไปเล็กน้อยแล้ว ชักจะหมดกำลังแล้ว เห็นว่าร่างกายมันไม่เที่ยงมันเป็นทุกข์แบบนี้ มันหาอะไรทรงตัวไม่ได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้เนรมิตดอกบัวให้มีกลีบหล่น เกสรหล่น ความเหี่ยวแห้งปรากฏ ก้านค้อมลงไปจนทนไม่ไหว เรียกว่าหมดสภาพของความเป็นดอกบัว เธอพิจารณาตามปกติพอสบายใจลืมตามาดูดอกบัวใหม่ เอาแล้ว เมื่อกี้แค่เหี่ยวเท่านั้น เวลานี้กลีบก็หล่นหมดแล้วหรือนี่ เกสรก็ร่วง มันงอหงิกเหี่ยวจะตายอยู่แล้ว มันแห้งไปเสียหมดแล้ว ก็เลยหลับตาใหม่ มานั่งนึกถึงชีวิตของตัว โอหนอ ร่างกายของเรานี้ไม่ต่างกับพืชพรรณธัญญาหาร ถึงดอกบัวนี้เดิมก็ดีเป็นสาระเป็นแก่นสาร มีความแข็งแรงมาก เป็นดอกบัวทองคำ แล้วอยู่ๆ ต่อมาก็เหี่ยวแห้งลงไป เวลานี้กลีบดอกบัวทั้งหลายก็หล่นหมด เกสรก็ร่วงหมด ความแห้งปรากฏมาก ก้านที่เหี่ยวแห้งลงไป ไม่สามารถจะต้านทานแม้แต่ฝักเล็กๆ ที่เป็นของเดิมภายในก็หักลงไป

    แล้วมานั่งพิจารณาว่าชีวิตและร่างกายของเรานี้ก็เหมือนกับดอกบัว มันไม่มีอะไรเป็นของจีรังยั่งยืน ไม่มีอะไรคงที่ ทั้งนี้ก็เพราะว่ามันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด ขณะที่ทรงตัวก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ดอกบัวเหี่ยว ดอกบัวไม่รู้ตัวว่ามันจะทุกข์ เพราะมันไม่มีจิตใจ แต่เราเป็นคนที่มีจิตใจ ใจจับอยู่ในกาย ไปยึดถือว่าร่างกายเป็นเราเป็นของเรา มันก็มีความทุกข์เพราะว่าร่างกายนี้เป็นของธรรมดา มันมีความทรุดโทรมเป็นของธรรมดา เป็นเรื่องต่อไปข้างหน้า อันนี้เป็นความจริงแท้ นี่ดอกบัวกับเรามีสภาพอย่างนั้น ในเมื่อทรุดโทรมลงไปแล้ว ในที่สุดมันก็สลายตัวลงไปหมดสภาพฉันใด แม้ชีวิตและร่างกายเราก็มีสภาพเช่นนั้น คือว่ามันเกิดแล้วไม่ช้า มันก็สลาย มันก็พังลงไป

    ตอนนี้ละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านก็เลยหมดอาลัยในชีวิต หมดอาลัยในร่างกาย คิดอยู่ว่านี่เรามาหลงร่างกายว่ามันเป็นเรามันเป็นของเรามันมีสภาพคงที่ แต่เนื้อแท้ที่จริง เวลาที่เราเกิดใหม่ๆ มันเกิดเป็นเด็ก เวลานี้มันโตเป็นผู้ใหญ่ มันมีการเจริญขึ้นเหมือนกับดอกบัว ที่เกิดมาใหม่ๆ มันก็เล็กเป็นตุ่มน้อย ต่อมามันก็ขยายตัว มีความเจริญถึงบานเต็มที่ บานเต็มที่แล้วก็ในที่สุดดอกบัวก็คลายตัวมาถึงความเหี่ยวแห้ง แล้วก็สลายตัว ชีวิตของเราก็เหมือนกัน ร่างกายของเราก็จะมีสภาพเหมือนดอกบัวอย่างนี้ ในที่สุดก็จะล้มทับบนพื้นปฐพี เรียกว่าตาย มีประโยชน์อะไร เป็นอันว่าร่างกายของเรานี้มีสภาพใช้ไม่ได้ ไม่ควรคบ คือมันมีสภาพกลับกลอกไม่คงที่ จะบำรุงบำเรออย่างไรก็ตามที มันก็ไม่หยุดยั้งในการเสื่อมเพื่อจะสลายตัว

    เมื่อท่านมาพิจารณาแบบนี้แล้วก็คิดว่า ถ้าร่างกายเกิดขึ้นมามันไม่มีประโยชน์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่มีสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อย่างนี้คิดว่าไม่ควรจะมีกับเราอีก เพราะอาศัยอารมณ์ที่จับอยู่ในฌาน ๔ เกิดปัญญา มันเกิดมาก ความแหลมคมมาก กำลังใจมีกำลังสูง ชั่วครู่เดียวเธอก็สำเร็จอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา

    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    “ผู้เข้าไปหาย่อมไม่หลุดพ้น ผู้ไม่เข้าไปหาย่อมหลุดพ้น”
    http://faq.watnapp.com/th/practice/84-new-practice/89-01-01-0031
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2014
  14. แสนสวาท

    แสนสวาท ชมรมสุวรรณภูมิธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2007
    โพสต์:
    2,399
    ค่าพลัง:
    +2,488
    การเปลี่ยนจริต ทำได้ในภาคเป็นมนุษย์นี่แหละ
    ไม่ต้องรอเกิดใหม่ แต่ต้องใช้ พลังของสมาธิ
    การแปรเปลี่ยนนิสัยเดิมจากจริตเดิมต้องใช้พลังสมาธิ
    และสมาธิที่ทรงพลังที่สุดคือกสิณกรรมฐาน

    เมื่อเจริญกรรมฐานอย่างถูกต้อง ถูกวิธี ถูกแนวทางจริตแห่งตน
    (วงเล็บนะ ว่าถูกจริตตนเองการคำนวณได้นี้จากศาสตร์แห่งสุวรรณโคมคำเท่านั้น)
    ก็สามารถทำให้จิตเป็นสมาธิได้
    เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว จะเกิดธาตุรู้ แล้วนำธาตุรู้ เรียกว่าปัญญา
    ปัญญาอันนี้ ต่างจากปัญญาทางโลกนะ
    นำปัญญาไปพิจารณา ย่อมเกิดความเบื่อหน่าย และเกิดการตัดกิเลสในที่สุด

    ปัญญาที่ได้จากการคำนวณวันเดือนปีเกิด หรือลัคนาก็ไม่ใช่ปัญญาที่เกิดจากสมาธิ
    คนละตัวกัน

    เมื่อคุณ อะบิวดิ้ง มีข้อสงสัยก็เพราะเกิดจากความรู้ที่เคยได้รับต่างจากที่จะได้ยินใหม่ที่นี่
    คุณควรเจริญกรรมฐานทุกวัน เพือให่้เกิดพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง
    เรียกว่า ปรารถนาจะบรรลุธรรม หรือปรารถนาจะเปลี่ยนจริตแล้ว
    ควรฝึกให้จิตมีพลัง


    หาฟังจากเทปของหลวงพ่อวิริยังค์ได้ค่ะ
    ท่านเทศนาไว้ได้ไพเราะอย่างยิ่ง

    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป
    สาธุการ
    แสนสวาท
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2014
  15. แสนสวาท

    แสนสวาท ชมรมสุวรรณภูมิธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2007
    โพสต์:
    2,399
    ค่าพลัง:
    +2,488
    กสิณเป็นทางแห่งฌาน

    การเจริญสมาธิ พระพุทธองค์ทรงแนะไว้ ๔๐ วิธี เพื่อเป็นอุบายให้แต่ละลักษณะนิสัย
    ได้ฝึกฝนตามความชอบ (เพราะยังทำอะไรตามความชอบอยู่)
    หรือ ฝึกกรรมฐาน ตามจริตของตน

    จริต กับ กรรมฐาน ๔๐

    โทสะจริต นิสัยมักโกรธ ควรฝึกกสิณสี(วรรณะกสิณ) และ พรหมวิหาร ๔
    โมหะ และวิตก จริต เป็นจริตฟุ้ง เหมาะแก่การเจริณอานาปานสติ
    ศรัทธาจริต จริตเชื่อง่าย เหมาะกับ อนุสตติ ๑- ๖
    ราคะจริต เพราะเป็นผู้มีราคะมาก กรรมฐานเป็นอสุภะกรรมฐาน ๑๐ และ กายคตานุสสติกรรมฐาน
    พุทธิจริต จริตพิจารณา เหมาะกับ อาหาเรปฏิกูลสัญญา จตุธาตุววัฏฐาน มรณานุสสติ อุปสมานุสสติ

    เมื่อเจริญกรรมฐานที่ตนถนัด จิตบางท่านก็อาจเข้าไปถึงจุดที่เคยได้มาในอดีต
    ทำให้เจริญกรรมฐานได้เร็วและ ได้แสงสว่างกลับคืนมา (บรรลุธรรมตามลำดับ)

    การฝึกกสิณกรรมฐาน สามารถไปได้ถึงฌานสี่
    จากนั้น พระพุทธองค์ต้องช่วย หากไม่ช่วยลูกชายนายช่างทอง ก็คงไม่สามารถบรรลุ
    เมื่อจิตไปถึงฌาน ๔ แล้ว ก็นับว่ามีพลังทางจิต
    เหมาะควรแก่การเจริญวิปัสสนาต่อไป พระองค์จึงเนรมิตให้ดอกบัวเหี่ยว อันนี้เป็นการเจริญวิปัสสนา

    ดังนั้น พอจะตอบข้อข้องใจของการเปลี่ยนจริตได้บ้าง
    หากท่านสงสัยอีก ให้ท่านเจริญกรรมฐานให้ถึงฌาน ๔ ก่อนนะ แล้วท่านจะรู้เอง

    สาธุการ
     
  16. แสนสวาท

    แสนสวาท ชมรมสุวรรณภูมิธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2007
    โพสต์:
    2,399
    ค่าพลัง:
    +2,488
    กรรมฐานกลางที่ทุกจริตฝึกได้คือ ๑๐ กอง

    กสิณ ดิน
    กสิณ น้ำ
    กสิณ ไฟ
    กสิณ ลม
    กสิณ แสงสว่าง
    กสิณ อากาศ
    อรูปฌาน ๔
    รวมเป็น ๑๐ กอง

    เราสอน ๔ กอง ไปเรียนได้ฟรี
    ติดตามที่ เฟชน่าจะเหมมาะกว่า ชื่อครูสอนกรรมฐาน หรือ ชมรมศิษย์สุวรรณโคมคำ

    LINE : paenpin คุยกันผ่าน ไลน์ก็ได้ค่ะ
     
  17. แสนสวาท

    แสนสวาท ชมรมสุวรรณภูมิธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2007
    โพสต์:
    2,399
    ค่าพลัง:
    +2,488
    หลักสูตรเรียนฟรี

    ๑.ปริศนาเลข ๓ ตัว ๕-๖-๗ เมย เรียน ๓ วัน เรียนตัวเลขและกสิณดิน
    ๒.กสิณภาคประชาชนทั่วไป รุ่น ๒๐ เปิด ๑๙ เมย.เรียน ๑ วันเต็ม
    ๓.กสิณธาตุบารมี ๓ วัน รุ่น ๑ เรียนกสิณ ๓ วันเน้นตามจริตธาตุแต่ละคน และพยากรณ์
    ๔.กสิณไฟธาตุบารมี ๑ วัน รุ่น ๑ เน้นการฝึกกสิณไฟ

    สนใจ (ชอบ) แบบไหน ก็เลือกเรียนแบบนั้น
    โทร 08-4111-5264
    LINE : paenpin คุยกันผ่าน ไลน์ก็ได้ค่ะ

    คุณอะบิวดิ้ง ไปเรียนได้นะ
     
  18. Abiding

    Abiding สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2013
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +22
    ขอบคุณที่ตอบคำถามค่ะ


    ขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่ตอบค่ะ

    ยอมรับค่ะ ว่าข้อมูลที่มีตามที่ศึกษาพุทธประวัติ หนังสือ เอกสารอ้างอิงต่างๆ ข้อมูลจากผู้รู้ ผู้ที่ศึกษาธรรม ไม่เคยทราบเลยว่า เราสามารถเปลี่ยนจริตได้ในภาคที่เป็นมนุษย์ (เช่นเกิดมาเป็นโทสะจริต ปฏิบัติในชาตินี้ ยังไม่ตาย เปลี่ยนเป็นพุทธิจริตได้ ? และถึงจะสามารถบรรลุธรรมได้ เมื่อเปลี่ยนเป็นพุทธิจริตแล้วเท่านั้น ?)
    เพียงแต่ทราบว่าหากเรามีนิสัยส่วนใดที่ไม่ดี ข้อด้อยตามจริต เช่น
    1. โทสะจริต โมโหง่าย ก็ต้องแก้ไขควบคุมอารมณ์ รู้อารมณ์ เป็นต้น
    2. ศรัทธาจริต เชื่อง่าย ก็ต้องรู้จักการรับข้อมูลและนำมาพิจารณา ไตร่ตรองก่อนที่จะเชื่อตามคำบอกเล่า หรือเขาว่าเอา

    จริตต่างๆ มีทั้งข้อดี ข้อเสีย มีทั้งจุดเด่น จุดด้วย ปรับปรุงส่วนด้อยและใช้ในส่วนที่ดีของจริตนั้นๆ

    แต่พอสรุปได้แล้วว่า การบรรลุธรรม การจะอยู่ในกระแสนิพพานนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็น "พุทธิจริต" เท่านั้น
    เพียงแต่เราเลือกปฏิบัติกรรมฐาน ๔๐ กอง ของพระพุทธองค์ ให้ถูกต้องตามจริต ปฏิบัติอย่างถูกต้อง ถูกวิธี อย่างแท้จริง ตั้งมั่น ตั้งใจ ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ มีวินัย ก็สามารถบรรลุธรรมได้ ไม่ชาติใด ก็ชาติหนึ่ง
    จึงเป็นข้อสรุปที่ว่า ไม่ว่าจริตใดก็สามารถบรรลุธรรมได้ catt24

    ขอบคุณค่ะ ที่ตอบคำถาม และแนะนำให้ฟังธรรมะ .... Abiding(การยึดถือปฏิบัติ) catt3
    หมายเหตุ ถ้าพุทธิจริต ไม่ได้หมายถึง ๕(ดาวพฤหัส) อย่างเดียว แต่หากหมายถึงผู้ศึกษา ปฏิบัติ อย่างถูกต้อง จนทำให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อย่างแท้จริง

    ตามความเข้าใจของผู้เขียนดาวทุกดวงก็สามารถเปลี่ยนเป็นพุทธิจริตได้ หากผู้นั้นสามารถเปลี่ยนเป็น พุทธ ได้ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

    หลวงพ่อวิริยังค์(เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล) ท่านเป็นผู้ที่สอนให้เจริญวิปัสสนา เน้นการทำสมาธิการเดินจงกรม นั่งสมาธิ .... ซึ่งข้อมูลนี้ได้มาจากผู้ที่กำลังศึกษาอยู่กับหลวงพ่อตอนนี้ ^ ^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2014
  19. Amatayan

    Amatayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,578
    ค่าพลัง:
    +6,188
    เกิดมามีบุญที่ได้ทำมาแล้วด้วยดี จึงได้เกิดในประเทศที่สมควร ไม่อัตคัดขัดสน เป็นที่อยู่ของบัณฑิต ผู้ปกครองประเทศก็ยังปกครองแผ่นดินโดยธรรม แล้วอัตภาพของเราก็ไม่พิการ บกพร่อง ก็ถือว่าเราได้สมบัติที่ดีแล้ว..และการศึกษาจะเป็นตัววัดตัวเราเองว่า ตื้น หรือ ลึก โดยที่เราจะรู้เอง..ธรรมะของพระพุทธเจ้าละเอียด ลึกซึ้งมากเหลือเกินครับ....
     
  20. rattanamatee

    rattanamatee สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +20
    คุณแสนสวาทนี่น่าสงสารเนอะ พูดจาเหมือนกับสามารถเปลี่ยนจริตคนได้จริงๆๆ การเปลี่ยนจริตมิใช่เรื่องง่ายหรอกนะ มีวิธีเดียวที่เปลี่ยนจริตได้คือ อยู่กับปัจจุบัน หรือการเท่าทันจิต เรียนกสิน เหมือนหินทับหญ้า ไม่นานความฟุ้งช่านก็เกิดอีก กะจะคำนวนจริตอย่างเดียวคงไม่ได้การหรอกนะครับที่คุณแสนสวาทก็พูดถูกบางส่วนชึ้งมันกว้างเกินไปไม่เน้น วิปัสสนาธุระให้แตกฉานเลยทีเดียว พูดเหมือนจำตำรามากันเลย ถึงบอกว่าไม่ต้องเรียนชื้อหนังสือมาอ่านยังลึกชึ้งเสียกว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...