พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ผมสบายอยู่แล้วครับท่านกุ้งหนักตรง ผบ.หุหุ...แต่บางท่านเริ่มหนักใจแบบใจจาขาดแล้วเอ้ย........55555
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nongnooo [​IMG]
    ตามคำเรียกร้องครับผมไม่มีคำบรรยายว่าอะไรบ้างนะครับเพียงแต่ผมเรียงตามอายุครับ เช่นกันครับภาพนี้จะให้น้องๆเพื่อนๆได้ชมกันแค่พรุ่งนี้ 18.00นครับ
    ขอบคุณครับ
    nongnooo...

    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    คุณnongnoooครับ ถ้ามีอะไรแปลกๆ ต้องรีบเล่าสู่กันฟังนะครับ จะได้ป้องกันและปรึกษาพี่ใหญ่ทัน

    พักนี้เวลาผมอยู่ที่บ้าน มักจะเห็นเงาเป็นรูปคนเดินไปมาหลายครั้งมาก โดยเฉพาะเวลาที่ผมมีสมาธิจดจ่ออยู่กับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แต่เข้าใจว่าทั้งกายทิพย์และเทวดาที่รักษาองค์พระพิมพ์ท่านคงปรากฎให้ผมเห็นครับ

    ตอนนี้ชักกลัวเรื่องอักษรจีนซะแล้ว แต่คิดว่าคงจะไม่มีอะไรครับ

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ว่าจะลองไปที่เยาวราชดู จะลองไปตามที่มีซินแส ลองให้อ่านดูเผื่อรู้ว่าเป็นอะไรได้บ้าง

    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ กุ้งมังกอน [​IMG]
    ได้ข่าวแว่วๆว่า ขากับส่วนมากจะตัวเบาแฮะ แต่นี่ขากับทำไมตัวหนักกว่าเก่า
    สงสัยจะหนักของ 5555 ใช่ปะครับ คุณน้องนู๋ อิอิอิ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    55555 ใจจะขาดแล้วเอ้ยยยยยยย ใจจะขาดแล้วเอยยยยยยย 55555
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://webindex.buddyjob.com/search.php?keyword=%AC%D2%B98

    รายละเอียดเว็บไซต์ ฌาน8

    ฌาน - วิกิพีเดีย
    เมื่อกล่าวสั้นๆ ว่า " ฌาน 4" จะหมายถึง รูปฌาน 4 และเมื่อกล่าวสั้นๆ ว่า " ฌาน 8" จะหมายถึง รูปฌาน 4 กับ อรูปฌาน 4. สิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ในการเพ่งจนได้ฌาน

    ดาบส - วิกิพีเดีย
    แม้พระพุทธเจ้าก่อนที่จได้ตรัสรู้ก็เคยอยู่กับดาบสสองท่าน คือ อาฬารดาบส กับ อุทกดาบส จนได้บรรลุฌาน 8 ซึ่งเป็นฌานขั้นสูงสุดและหมดภูมิของอาจารย์ทั้งสอง

    พระอภิธรรมปิฎกในพระอภิธัมมัตถสังคหะ 9 ปริเฉทอย่างย่อมีว่าอย่างไร
    จิตมีฌาน1-ฌาน4 เรียกว่า รูปาวจรจิต ส่วนอรูปาวจรจิต คือ จิตที่มีอรูปฌาน คือ ฌาน5-ฌาน8 5) ทางเดินของจิตที่ไปเกิดตามภพภูมิต่าง ๆ

    เรื่องของกามราคะ
    สำหรับอนาคามี ถ้าเป็น สุขวิปัสสโก ไม่ถึงฌาน 4 ถ้าอนาคามี ฌาน 4 เท่ากับ ฌาน 8(รูปฌาน 4 และอรูปฌาน 4 ) จะเป็นพระปฏิสัมภิทัปปัตโต หรือปฏิสัมภิทาญาณ ฌาน 1

    พุทธานุสสติถึงสมาบัติ
    หากว่าเราจะทรงฌานด้านพุทธานุสสติกรรมฐานเข้าถึงฌาน 8 เราจะทำอย่างไร ทีนี้ถ้าหากว่าเราจะทำเป็นอรูปฌาน จะทำอย่างไรเราจะทำถึงฌาน 8 กันนี่

    การฝึกฝนจิตตามหลักสติปัฏฐาน 4 - palungjit.org
    ประจุไฟฟ้าบวก;โปรตรอน; การประทับฌานคือการกระตุ้นจิตด้วยพลังจิตซึ่งมีศักดิ์ของฌานสูงกว่า เนื่องเพราะฌานสมาบัติของพระศรีอารย์สูงกว่าฌาน 8

    ฌาณ4 คืออะไรครับ
    อันที่จริง ศาสนาพราหมณ์ก็ไปถึงฌาน 8 ได้ครับ ดูตัวอย่างได้จากการที่พระพุทธเจ้า เคยปฏิบัติธรรมในสำนักอุทกดาบสแล้วสำเร็จฌาน 8

    เมื่อเลย ฌานสมาบัติ 8 แล้วสภาวะเป็นอย่างไร? -> กระดาน ปริยัติธรรม
    ก็จะอาศัย อรูปฌาน 8 และ กำลังแห่งอนาคามี แต่เมื่อเลย ฌาน 8 ความคิด จะปรากฏเด่นชัด เป็นลักษณะ อันเดียวคืออันเดียว หมายถึง

    001372 - เรื่องสบาย ผลของสมาธิ
    ผลของอัปปะนาสมาธิ(ผลของ ฌาน 1 ถึง ฌาน 8)</L> ผู้ที่ได้สมาธิถึงอัปปะนาสมาธิ กล่าวได้ว่าเป็นผู้ที่แนบแน่นกับ ความสงบสุขที่ละเอียด

    พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
    [***] ฌาน 8 ดู [10] ฌาน 8. [293] มรรคมีองค์ 8 หรือ อัฏฐังคิกมรรค (เรียกเต็มว่า อริยอัฏฐังคิกมรรค แปลว่า
     
  5. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099



    55555 ใจจะขาดแล้วเอ้ยยยยยยย ใจจะขาดแล้วเอยยยยยยย 55555[/quote]


    ใจก็ปกติดีครับ ท่านพี่ทั้งสอง เนียนมาก สบายดีครับ

    เมื่อคืนผมนำพระที่เคยได้มาจัดทัพใหม่ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
    ซึ่งเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ที่นิยมเคารพศรัทธา
    ก็ประมาณ 5 องค์ลงตัว เพียงพอแล้วครับ

    สำหรับความสามารถที่ค่อนข้างเป็นปัจจัตตัง ที่รับรู้ถึงความพิเศษ
    ขององค์พระท่านนั้น มามีไปพร้อมๆ กับการพัฒนาจิตของเรานะครับ
    ไม่แน่ใจว่าจริงหรือเปล่า อาการเสียวซ่าน ทั้งตัว จนนั่งไม่ติดครับ

    ถ้าพี่ท่านสามารถรับรู้ได้ว่าพระองค์ใด รับกิจนิมนต์ของเรา หรือ ไม่รับกิจนิมนต์ของเรา ก็ดียิ่งครับ

    จักทำอะไรไม่ผิดพลาดครับ ผมว่าดีจริงๆ ครับ มีผู้รู้คอยพูดคุยด้วยครับ
    ก็ดูกันไปครับ อ่อในวันศุกร์นี้ผมฝากชำระหนี้พระสงฆ์กับหลวงพ่อแผนด้วยนะครับท่านพี่หนุ่ม จะโอนไปเที่ยวเดียวกันเลยครับ

    ไว้ถ้ามีโอกาสจะเรียนถามท่านพี่ใหญ่ ว่าเวลาท่านคุยกับพระท่าน
    ท่านคุยกันอย่างไร สอบถามกันอย่างไร สรรพนามตัวเองเรียกอย่างไร ทำไมไม่รู้ผมถึงคิดถึงเรื่องนี้ครับ ก็แปลกๆ ครับ

    สาธุครับ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://th.wikipedia.org/wiki/พระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้า

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    พระพุทธเจ้า ( Buddha) เป็นศาสดาของพระพุทธศาสนา พุทธศานาทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายานนับถือพระพุทธเจ้าว่าเป็นศาสดาของตนเหมือนกันแต่รายละเอียดปลีกย่อยต่างกัน ฝ่ายเถรวาทให้ความสำคัญกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันคือพระโคตมพุทธเจ้า และกล่าวถึงพระพุทธเจ้าในอดีตกับในอนาคตบ้างแต่ไม่ให้ความสำคัญเท่า ฝ่ายมหายานนับถือพระพุทธเจ้าของฝ่ายเถรวาททั้งหมดและมีการสร้างพระพุทธเจ้าเพิ่มเติมขึ้นมาจนบางองค์มีลักษณะคล้ายเทพเจ้าของศาสนาฮินดู
    ตามคัมภีร์ฝ่ายพุทธ ถือกันว่า พระพุทธเจ้า (พระโคตมพุทธเจ้า) พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ระหว่าง 80 ปีก่อนพุทธศักราช จนถึงเริ่มพุทธศักราชซึ่งเป็นวันปรินิพพาน ตรงกับ 543 ปีก่อนคริสต์กาลตามตำราไทยอ้างอิงปฏิทินสุริยคติไทยและปฏิทินจันทรคติไทย และ 483 ปีก่อนคริสตกาลตามปฏิทินสากล
    <TABLE class=toc id=toc summary=เนื้อหา><TBODY><TR><TD>เนื้อหา

    [ซ่อน]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <SCRIPT type=text/javascript>//<![CDATA[ if (window.showTocToggle) { var tocShowText = "แสดง"; var tocHideText = "ซ่อน"; showTocToggle(); } //]]></SCRIPT>
    [แก้] ความหมายของคำว่าพุทธะ

    ในพระพุทธศาสนา พุทธะ (ภาษาบาลี พุทฺธ แปลว่า "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน") หมายถึงบุคคลผู้ตรัสรู้อริยสัจ 4 แล้วอย่างถ่องแท้ ในชั้นอรรถกถา จำแนกพุทธะออกเป็น 3 จำพวกด้วยกันได้แก่
    1. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางทีเรียกเพียง "พระพุทธเจ้า" คือบุคคลที่ตรัสรู้ด้วยตนเองและสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม ตามคัมภีร์ฝ่ายพุทธนั้น พระพุทธเจ้าพระองค์ที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ (พระโคตมพุทธเจ้า) เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    2. พระปัจเจกพุทธะ คือบุคคลที่ตรัสรู้ด้วยตนเองแต่จำเพาะผู้เดียว มิได้สอนให้ผู้อื่นรู้ตาม
    3. อนุพุทธะ คือบุคคลที่ตรัสรู้เนื่องด้วยคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม
    ในอรรถกถาบางแห่งจำแนกเป็น 4 ดังนี้
    1. พระสัพพัญญูพุทธะ (พระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
    2. ปัจเจกพุทธะ
    3. จตุสัจจพุทธะ (สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ได้บรรลุอรหัตตผล)
    4. สุตพุทธะ (ผู้เป็นพหูสูตร)
    [แก้] คำที่ใช้กล่าวเรียกพระพุทธเจ้า

    มีหลายคำดังจะกล่าวต่อไปนี้
    • พระบรมโพธิสัตว์, พระโพธิสัตว์ หมายถึง ท่านผู้ที่กำลังบำเพ็ญ บารมี 10 คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฐาน เมตา อุเบกขา และ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    • อังคีรส หมายถึง ท่านผู้มีรัศมีแผ่ออกมาจากพระกาย
    • สิทธัตถะหมายถึง ท่านผู้ที่มีความเพียรพยายาม เมื่อต้องการสำเร็จ เป้าหมายที่ประสงค์จะทำ
    • พระมหาบุรุษ เป็นคำที่ใช้เรียก พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ อีกความหมายหนึ่งคือ บุรุษผู้ยิ่งใหญ่
    • ตถาคต เป็นคำที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงพระองค์เองมี ความหมาย 8 อย่างคือ
      1. พระผู้เสด็จมาแล้วอย่างนั้น
      2. พระผู้เสด็จไปแล้วอย่างนั้น
      3. พระผู้เสด็จมาถึงตถลักษณะ
      4. พระผู้ตรัสรู้ตถธรรมตามที่มันเป็น
      5. พระผู้ทรงเห็นอย่างนั้น
      6. พระผู้ตรัสอย่างนั้น
      7. พระผู้ทำอย่างนั้น
      8. พระผู้เป็นเจ้า
    • ตถาคตโพธิสัทธา หมายถึง การเชื่อถือปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคต
    • ธรรมกาย หมายถึงท่าน ผู้มีธรรมในกาย
    • ธรรมราชา หมายถึง ท่านผู้เป็นราชาแห่งธรรม
    • ธรรมสวามิศร, ธรรมสามิสร หมายถึง ท่านผู้เป็นใหญ่โดยเป็นเจ้าของธรรม
    • ธรรมสามี หมายถึง ท่านผู้เป็นเจ้าของธรรม
    • ธรรมิศราธิบดี หมายถึง ท่านผู้เป็นอธิปดีในธรรม เป็นคำกวีหมายถึงพระพุทธเจ้า
    • บรมศาสดา, พระบรมศาสดา หมายถึง ท่านผู้เป็น ศาสดาอันยอดยิ่ง พระผู้เป็นครูสูงสุด พระบรมครู
    • พระผู้มีพระภาคเจ้า
    • พระพุทธเจ้าหมายถึง ท่านผู้รู้ดี รู้ชอบ ด้วยตนเองก่อนแล้ว สอนประชุมชนให้ประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ
    • พระศาสดา หมายถึง ท่านผู้ทรงสอนชนทั้งปวง
    • พระสัมพุทธเจ้า, พระสัมมาสัมพุทธเจ้า]], พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า, สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมายถึง พระผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
    • ภควา หมายถึง ท่านผู้เป็นผู้มีโชค หรือ ท่านผู้จำแนกแจกธรรม
    • มหาสมณะ
    • โลกนาถ, พระโลกนาถ หมายถึง พระผู้เป็นที่พึ่งแห่งโลก
    • สยัมภู, พระสัมภู หมายถึง ท่านผู้ตรัสรู้ได้โดยตนเอง ไม่มีใครมาสั่งสอน
    • สัพพัญญู, พระสัพพัญญูสัมพุทธเจ้า หมายถึง ท่านผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
    • พระสุคต, พระสุคโต หมายถึง ท่านผู้เสด็จไปดีแล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระพุทธเจ้าตามความเชื่อของฝ่ายเถรวาท
    [​IMG]
    พระพุทธรูปปางประทับยืน พบที่ปากีสถาน ศิลปะคันธาระสมัยพุทธศตวรรษที่ 5-6

    ในพระไตรปิฏกกล่าวว่า ในอดีตจนถึงปัจจุบันมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว 25 พระองค์ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่ 25 และพระพุทธเจ้าองค์ถัดไปคือพระศรีอารยเมตไตรย ในทัสศนะเถรวาทถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ที่เหนือกว่าคนทั่วไปคือพระองค์พบทางดับทุกข์ได้ด้วยพระองค์เอง และเผยแพร่หนทางนั้นต่อสรรพสัตว์ ทรงเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ เมื่อทรงดับขันธปรินิพพาน คือดับไปโดยไม่เหลือเชื้อใดๆ ผู้จะเป็นพระพุทธเจ้าต้องทำความดี (บารมี) มาในชาติก่อน ๆ นับชาติไม่ถ้วน (ก่อนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า เรียกว่า พระโพธิสัตว์)

    [แก้] ประเภทของพระพุทธเจ้า

    ในพระไตรปิฎกจะแบ่งประเภทของพระพุทธเจ้าไว้ดังนี้
    การแบ่งประเภทของพระพุทธเจ้าตามวิธีการสร้างบารมี<SUP class=reference id=_ref-0>[1]</SUP>,
    1. ปัญญาพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ ใช้เวลาบำเพ็ญบารมี นับแต่ได้รับพยากรณ์ครั้งแรก ๔ อสงไขยกัป กับอีก ๑๐๐ ๐๐๐ กัป
    2. ศรัทธาพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ใช้เวลาบำเพ็ญบารมี นับแต่ได้รับพยากรณ์ครั้งแรก ๘ อสงไขยกัป กับอีก ๑๐๐ ๐๐๐ กัป
    3. วิริยะพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้วิริยะเป็นตัวนำ ใช้เวลาบำเพ็ญบารมี นับแต่ได้รับพยากรณ์ครั้งแรก ๑๖ อสงไขยกัป กับอีก ๑๐๐ ๐๐๐ กัป
    [แก้] พระพุทธเจ้าในอดีต

    ในหลักฐานฝ่ายเถรวาทกล่าวถึงพระพุทธเจ้าในอดีตไว้ 25 พระองค์ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระโคดมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ได้ทรงพบและ พระโคดมพุทธเจ้าทรงได้รับคำพยากรณ์ ว่าจะได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรานิยมนับรวมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน โดยเรียกว่า "พระพุทธเจ้า 25 พระองค์"
    หากแบ่งตามกัปป์ โดยการนับอสงไขยในที่นี้ จะนับอสงไขยแรกโดยเริ่มนับจากช่วงเวลาที่ อดีตชาติของพระโคตมสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มสร้างบารมี โดยการอธิษฐานในใจต่อหน้าพระพักตร์ของพระสัมมาพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก จะมีพระพุทธเจ้าในอดีตดังต่อไปนี้
    • กัปแรกในต้นอสงไขยที่ 17 เป็นสารมณฑกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 4 พระองค์<SUP class=reference id=_ref-1>[2]</SUP>
      1. พระตัณหังกรพุทธเจ้า
      2. พระเมธังกรพุทธเจ้า
      3. พระสรนังกรพุทธเจ้า
      4. พระทีปังกรพุทธเจ้า
    • กัปหนึ่งในอสงไขยที่ 18 เป็นสารกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์
      1. พระโกณฑัญญะพุทธเจ้า
    • กัปหนึ่งในอสงไขยที่ 19 เป็นสารมณฑกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 4 พระองค์
      1. พระสุมังคละสัมมาสัมพุทธเจ้า
      2. พระสุมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า
      3. พระเรวตะสัมมาสัมพุทธเจ้า
      4. พระโสภิตะสัมมาสัมพุทธเจ้า
    • กัปหนึ่งในอสงไขยที่ 20 เป็นสารวรกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้า 3 พระองค์
      1. สมเด็จพระอโนมทัสสีสัมพุทธเจ้า
      2. สมเด้จพระปทุมะสัมพุทธเจ้า
      3. สมเด็จพระนารทะสัมพุทธเจ้า
    • ช่วงเศษแสนมหากัป ของ อสงไขยปัจจุบัน[3]
      1. กัปหนึ่งมีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์. บางตำราว่าเป็นมัณฑกัป บางตำราก็ว่าเป็นสารกัป.
        1. พระปทุมมุตระพุทธเจ้า
      2. สูญกัป (กัปที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น) 30,000 กัป
      3. มัณฑกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์
        1. พระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้า
        2. พระสุชาตะสัมมาสัมพุทธเจ้า
      4. สูญกัป 60,000 กัป
      5. วรกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 3 พระองค์
        1. พระปียทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
        2. พระอัตถทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
        3. พระธรรมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
      6. สูญกัป 24 กัป
      7. สารกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์
        1. พระสิทธัตถะสัมมาสัมพุทธเจ้า
      8. สูญกัป 1 กัป
      9. มัณฑกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์
        1. พระติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า
        2. พระมหาปุสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า
      10. สารกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์
        1. พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
      11. สูญกัป 60 กัป
      12. มัณฑกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์
        1. พระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้า
        2. พระเวสสภูสัมมาสัมพุทธเจ้า
      13. สูญกัป 30 กัป
      14. กัปปัจจุบัน เป็น ภัทรกัป คือ มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์
        1. พระกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้า
        2. พระโกนาคมสัมมาสัมพุทธเจ้า
        3. พระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า
        4. พระศรีศากยมุนีโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)
        5. พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า
    [แก้] พระพุทธเจ้าตามความเชื่อของฝ่ายมหายาน

    นิกายมหายานยอมรับพระพุทธเจ้าตามคัมภีร์ฝ่ายเถรวาททั้งหมดและยังสร้างพระพุทธเจ้าอีกมากมาย ทั้งที่เป็นมนุษย์และมีสถานะเหมือนเทพเจ้าในศาสนาฮินดู นิกายมหายานเชื่อว่าเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วไม่ดับสูญแต่ไปประทับ ณ พุทธเกษตรซึ่งเป็นดินแดนที่งดงามกว่าสวรรค์ พระพุทธเจ้าตามคติมหายานแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
    1. อาทิพุทธะ ถือว่าเป็นพระพุทธเจ้าที่อุบัติมาพร้อมกับโลกและประทับอยู่กับโลกเป็นนิรันดร์ มีบทบาทคล้ายพระพรหมในศาสนาฮินดูที่เป็นผู้สร้างโลกและจักรวาล
    2. พระมานุสสพุทธะ เป็นพระพุทธเจ้าที่อวตารมาจากอาทิพุทธะมาเกิดในโลกมนุษย์และบำเพ็ญเพียรในฐานะพระโพธิสัตว์จนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อปรินิพพานแล้วจะไปอยู่กับอาทิพุทธะ คล้ายกับคติของศาสนาฮินดูที่เมื่อทำความดีถึงขั้นสูงสุดจะกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของมหาพรหม พระพุทธเจ้าองค์ปัจจจุบัน ทางมหายานเรียกว่าพระศากยมุนีพุทธเจ้า เป็นพระมานุสสพุทธะด้วยเช่นกัน
    3. พระธยานิพุทธะ เป็นพุทธะที่อวตารมาจากอาทิพุทธะเช่นกันแต่สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าด้วยอำนาจฌาน (ธยาน) ของอาทิพุทธะไม่ได้ผ่านการบำเพ็ญเพียรในโลกมนุษย์ พุทธะเหล่านี้ประทับบนสวรรค์ ในสภาวะกายทิพย์ มีเฉพาะพระโพธิสัตว์ที่มองเห็นได้
    4. พระพุทธเจ้าอื่นๆ เช่น พระสัทธรรมวิทยาตถาคต พระไภษัชยคุรุทั้ง 7 พระสหัสประภาราชาศานติสถิตยตตถาคต
    [แก้] อ้างอิง
    1. <LI id=_note-0> [1]
    2. [2]
    <!-- Pre-expand include size: 3411/2048000 bytesPost-expand include size: 3409/2048000 bytesTemplate argument size: 0/2048000 bytes#ifexist count: 0/500--><!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:673-0!1!0!!th!2 and timestamp 20071223064820 -->ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2".
    หมวดหมู่: พระพุทธเจ้า | อภิธานศัพท์พุทธศาสนา
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01way02190850&day=2007/08/19



    วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10753

    ปาฏิหาริย์อย่างนี้ (ที่เล่าลือ) ของท่านท้าวจตุคาม


    โดย บัญชา พงษ์พานิช plearnstan@gmail.com



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>"หาใช่ปาฏิหาริย์ที่ยั่งยืนที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ"

    ประเด็นเด่นที่เป็นที่กล่าวขานมากที่สุดจนส่งกระแสจตุคามรามเทพพุ่งปรู๊ดพ้นกรอบ คาดว่ามีผู้คนครอบครองจตุคามไปแล้วหลายสิบล้านองค์ ร่วมสิบล้านคน ด้วยเชื่อและหวังว่าท่านจะสำแดงฤทธิ์อิทธิปาฏิหาริย์ปัดเป่าสิ่งเลวร้ายให้คลาดแคล้ว แล้วดลบันดาลสิ่งสมหวังให้ โดยแทบทั้งล้านๆ นั้นล้วนยังเฝ้ารอฤทธิ์อยู่อย่างจดจ่อว่าท่านพ่อจะมาช่วย ด้วยได้ยินคำร่ำลือกันเหลือเกิน ไม่ว่าจะเรื่องพระอาทิตย์หรือจันทร์ที่ทรงกลด รถชนคว่ำคะมำแล้วไม่ตาย คนนั้นคนนี้มีโชคเหลือหลาย ไม่วันใดก็วันหนึ่งคงมาถึงคราวเรา

    สำหรับแวดวงวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ มองเรื่องปาฏิหาริย์ว่าเป็นเรื่องงมงายไร้สาระ หาจริงไม่ อาจเกิดจริงได้ก็มิใช่ด้วยอิทธิฤทธิ์ แต่ด้วยเรื่องของโอกาสตามหลักการทางสถิติคณิตศาสตร์เท่านั้น นอกนั้นถ้าพิสูจน์ซ้ำไม่ได้ล้วนไม่มีจริงเสียทั้งนั้น ดังเรื่องที่เคยลือว่าจตุคามรามเทพท่านประทับไปทั่ว ถ่ายรูปยังติดมาเป็นวงๆ ที่ถึงที่สุด พิสูจน์ซ้ำจนได้ว่าหาใช่องค์จตุคามไม่ แต่กลายเป็นฝอยฝุ่นละอองน้ำที่สะท้อนแสงแฟลชออกมาเป็นวงๆ ให้เห็นบนแผ่นภาพ

    ปาฏิหาริย์นี้มีมาแต่ดึกดำบรรพ์

    ท่านพุทธทาสแห่งสวนโมกขพลารามเคยพูดถึงเรื่องปาฏิหาริย์ไว้ว่า

    "สิ่งที่เรียกว่าปาฏิหาริย์นี้มีมาแต่ดึกดำบรรพ์ก่อนพระพุทธเจ้า แล้วก็ไม่เกี่ยวกับธรรมะ ไม่เกี่ยวกับศาสนาก็มี มันเป็นเรื่องของมันเองเรื่องหนึ่ง คือ เป็นเรื่องของเครื่องมือที่จะทำให้สำเร็จประโยชน์ตามที่ตัวต้องการได้ในลักษณะที่น่าอัศจรรย์ คือไม่ใช่ตามธรรมดา สิ่งที่เรียกว่าฤทธิ์หรือปาฏิหาริย์เป็นของมีก่อน จะก่อนพุทธศาสนาหรือก่อนสิ่งที่จะเรียกว่าศาสนาด้วยซ้ำไป ก็หมายถึงปาฏิหาริย์อย่างง่ายๆ อย่างเลวๆ

    ท่านพุทธทาสยังได้จำแนกโดยหลักในคัมภีร์ฝ่ายพุทธศาสนาว่าจัดไว้เป็น 3 อย่าง หรือ 3 ประเภท

    "มีอิทธิปาฏิหาริย์-ปาฏิหาริย์ที่กระทำโดยการใช้ฤทธิ์ ใช้อิทธิ อิทธิแปลว่าฤทธิ ฤทธิแปลว่าเครื่องให้สำเร็จ แต่เขาหมายถึงอิทธิที่มันเป็นเรื่องทั่วๆ ไป นับตั้งแต่ว่ามันบังคับเอาหรือว่าอะไรเอาโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง กระทั่งถึงมีฤทธิชนิดที่คนกลัว เช่นว่าใครแสดงฤทธิได้ เหาะได้ ดำดินได้ แปลงกายได้ ทำอะไรออกมาเป็นสิ่งที่น่ากลัวต่างๆ ได้เหล่านี้ ทั้งหมดนี้รวมกันเรียกว่าอิทธิปาฏิหาริย์หรือฤทธิปาฏิหาริย์ มีมาแต่โบรมโบราณ พวกยักษ์พวกมารพวกอะไรก็ทำได้ ชาวบ้านธรรมดาทำไม่ได้ ก็ต้องไปอบรม นี้ก็เป็นเรื่องทางจิตใจ ฝึกฝนให้ถูกตามวิธีที่มีอยู่ก็เกิดสิ่งที่เรียกว่าฤทธินั้นขึ้นมาได้

    ทีนี้ 2 เขาเรียกว่า อาเทสนาปาฏิหาริย์ เป็นเรื่องดักใจ ทายใจ อย่างนิ่มนวล อย่างไม่ต้องหวาดเสียวหรือว่าอะไรเหมือนกับฤทธิปาฏิหาริย์ ก็ทำให้อีกฝ่ายยอมแพ้ได้

    ทีนี้ 2 อันสุดท้าย เรียกว่าอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือการพูดจาชี้ชวนสั่งสอน การชี้แจงให้เข้าใจจนเขาทำตามความประสงค์หรือความต้องการได้ นี่ใช้เหตุผล ก็เป็นปาฏิหาริย์ที่ใช้อยู่ในการสั่งสอนหรือเผยแผ่ศาสนา ถือกันว่าพระพุทธเจ้าท่านใช้ปาฏิหาริย์อันนี้ อันที่ 3 นี้ คือ คำสั่งสอน ปาฏิหาริย์นั้นสามารถฝึกฝนและแสดงได้

    ท่านพุทธทาสสาธยายไว้อย่างน่าฟังว่าปาฏิหาริย์นั้นสามารถฝึกฝนและแสดงออกมาได้แต่พระพุทธเจ้าท่านรังเกียจ ว่า

    "สำหรับการแสดงฤทธิ์ได้ ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยอมแพ้นั้น พระพุทธเจ้าท่านรังเกียจว่าพวกอันธพาลก็ทำได้ ถ้าพระสาวกหรือพระพุทธเจ้าเองจะไปใช้ปาฏิหาริย์อย่างนั้นเข้า มันก็จะถูกเหมาว่าเป็นเรื่องเดียวกัน แล้วก็จะพาลดูหมิ่นเอาว่าใช้วิธีอย่างพวกอันธพาลใช้ พวกยักษ์พวกมาร ใช้พวกที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริตทั้งหลายเขาก็ใช้ในการรบราฆ่าฟัน ในการเอาเปรียบผู้อื่น นี้มันเกี่ยวกับการใช้อำนาจจิตอย่างแรง มันถึงจะมีฤทธิ์มีปาฏิหาริย์ขึ้นมาได้ คือให้มีการแสดงออกมาในลักษณะที่น่าหวาดเสียวน่ากลัว หรือไม่น่าเชื่อ ก็จะเป็นไปได้จนต้องยอมแพ้

    "โดยหลักใหญ่ๆ เราอาจจะมองดูได้ว่าเป็นเรื่องมายา ไม่ใช่เรื่องจริง สิ่งที่แสดงออกมานั้นเป็นการแสดงด้วยการบังคับทางจิตใจให้เห็นอย่างนั้น ให้รู้สึกอย่างนั้น ให้ได้กลิ่นอย่างนั้น ให้เจ็บปวดอย่างนั้น เมื่อมีอำนาจจิตสูงกว่า ก็บังคับฝ่ายหนึ่งให้รู้สึกอย่างนั้นตามผู้แสดงต้องการ ที่มันกลัวจนขาดใจตายไปก็ได้ ถ้าต่างฝ่ายต่างมีฤทธิ์เท่ากันก็เลยทำอะไรกันไม่ได้ ก็เลิกกันไป ส่วนที่นิรมิตขึ้นมาเป็นนั่นเป็นนี่ พอเสร็จเรื่องแล้วก็เป็นสิ่งที่มิได้เหลืออยู่ คือหายไปไม่มีร่องรอย เพียงแต่บังคับให้เกิดขึ้นในความรู้สึกแก่ฝ่ายข้าศึกชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ที่แท้ก็คือเป็นมายา

    สรุปความว่า เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ เป็นเรื่องที่แสดงออกมาด้วยกำลังของจิตเพื่อกระทำแก่บุคคลฝ่ายตรงข้าม ชั่วขณะ แต่มันมีแรงมากจนบุคคลฝ่ายที่ถูกกระทำนั้นไม่รู้ว่าเป็นเรื่องมายาหรือเป็นเรื่องเล่นตลก มันรู้สึกจริงจังในขณะหนึ่ง จึงได้ยอมแพ้หรือถึงกับตายไป เพราะการกระทำที่เข้าใจไม่ได้นี้ อย่าไปหลงเชื่อปาฏิหาริย์ชนิดนี้ให้มากเกินความจริงไป ในหมู่คนโบราณที่ไม่มีอะไรรบกวนจิต ก็มีจิตใจสูง เข้มแข็ง อบรมกันแต่ทางจิตก็มีกำลังจิตสูง แล้วประชาชนก็มีกำลังจิตใจอ่อน มันก็ทำได้ อิทธิปาฏิหาริย์ก็เป็นสิ่งที่ทำได้

    พระพุทธเจ้าก็เคยแสดงปาฏิหาริย์ ในชาดกอรรถกถาเรื่องยมกปาฏิหาริย์นี้ปรากฏกล่าวถึงการที่พระพุทธองค์ทรงห้ามมิให้ผู้ใดแสดงปาฏิหาริย์ แต่มีพวกเดียรถีย์ (ที่ครอบงำด้วยอวิชชา) มาท้าทายให้ทรงแสดงแข่ง จึงทรงแสดงที่ในอุทยานมะม่วงของพระเจ้าปเสนทิโกศล ในเมืองสาวัตถี ด้วยการเสวยมะม่วงแล้วทรงให้นำเมล็ดไปเพาะ เกิดเป็นต้นเติบโตออกดอกผลอย่างรวดเร็ว แล้วทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์ปรากฏพระพุทธเจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนแสดงปางต่างๆ เสด็จขึ้นประทับและวิสัชนาปัญหาต่างๆ จนพวกเดียรถีย์พากันพ่ายแพ้และกลับใจเข้ามานับถือพุทธศาสนาเป็นอันมาก

    ประติมากรรมพุทธประวัติตอนยมกปาฏิหาริย์เป็นปางหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากมาแต่ครั้งทวารวดี มีหลักฐานหลายแห่งทั้งเป็นภาพขนาดใหญ่พบที่นครปฐม ขณะนี้ชิ้นหนึ่งประดับอยู่ที่ฐานชุกชีพระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพฯ อีกชิ้นจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร อีกชิ้นยังอยู่ที่ผนังถ้ำจาม บริเวณเขางู ราชบุรี และยังปรากฏในพระพิมพ์อีกจำนวนมากทั้งในภาคใต้ตลอดจนเกือบทั่วทั้งเมืองไทย เชื่อว่าทำขึ้นเพื่อเตือนใจผู้คนในสมัยนั้นว่าอย่าได้เผลอใจไปหลงใหลหรือหวาดหวั่นในอิทธิปาฏิหาริย์ใดๆ ยิ่งกว่าในพระธรรมของพระพุทธเจ้า

    คนไทยยังไม่ฉลาดและเข้มแข็งพอต่อปาฏิหาริย์

    แต่ท่านทั้งสอง ทั้งพระพุทธเจ้า และท่านพุทธทาสคาดการณ์ผิดว่า ทุกวันนี้คนน่าจะไม่มีกำลังจิตกำลังใจพอจะฝึกฝนจนสำแดงฤทธิ์ได้ หรือแสดงได้ ประชาชนคนไทยก็คงฉลาดและเข้มแข็งพอที่จะไม่ถูกหลอกหรือบังคับเอาได้ ดังที่ท่านพุทธทาสบอกว่า

    "ครั้นมาถึงสมัยนี้ ผู้ที่จะบำเพ็ญฤทธิ์นั้นมันเป็นคนที่มีจิตใจเลว เห็นแก่วัตถุนิยมเนื้อหนัง มันก็ไม่มีกำลังใจพอที่จะเป็นสมาธิหรือแสดงฤทธิ์ได้ ทีนี้ประชาชนทั้งหลายก็ฉลาด มีจิตใจเข้มแข็ง มันก็บังคับไม่ได้ เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์มันก็เลยสลายตัวไปเอง ยังเหลืออยู่ก็แต่เป็นเรื่องของคนโง่ที่สุด คือโง่ไปกว่านั้น มันอยากจะเชื่อ มันก็สมมุติเชื่อเอาไปตามข่าวเล่าลือ มันกลายเป็นข่าวเล่าลือหรือเป็นมายาขึ้นไปอีก ทีนี้เชื่อผี เชื่อสาง เชื่อเทวดา แม้แต่พระพุทธรูปก็มีปาฏิหาริย์ กินเด็กได้ ทำให้คนมีบุตรได้ อะไรได้ มันก็เป็นเรื่องโง่กว่าธรรมดาซึ่งเขามีไว้ระดับหนึ่งสำหรับให้เชื่อปาฏิหาริย์ นี้ก็เป็นเครื่องชี้ให้เห็นชัดว่าเรื่องปาฏิหาริย์เป็นเรื่องของคนโง่ หรือคนโง่ที่สุด

    ผมนึกถึงเมื่อครั้งคุยกับท่าน พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดชเมื่อท่านอายุ 104 ปี ว่าในชีวิตท่านมุ่งหมายสิ่งใด ท่านตอบอย่างชัดคำว่า

    "จะอะไรนอกเหนือจากนิพพานตามพระพุทธเจ้า"

    นี่ขนาดคนที่เชื่อว่ามีวิชาอาคมแกร่งกล้ายิ่ง สุดท้ายท่านก็มุ่งหมายไปไกลกว่า

    ถึงเวลาที่เราทั้งหลายจะต้องกำหนดท่าทีใหม่ต่อปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์นั้นมี มิใช่เรื่องงมงาย แต่การหลงเชื่ออย่างหลับหูหลับตานั้นต่างหากที่งมงาย ให้ได้ดี ไปให้พ้นเสียจากปาฏิหาริย์ที่ล้วนแล้วแต่มายาชั่วขณะ หากจะมีหรือใช้ ก็เฉพาะแต่อนุสาสนีปาฏิหาริย์ที่พระพุทธเจ้าทรงใช้และสรรเสริญกันดีกว่า
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.naewna.com/news.asp?ID=55722

    กวนน้ำให้ใส

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD align=middle height=10>วัฒนธรรมของขลัง อีกครั้ง (กวนน้ำให้ใส) </TD></TR><TR><TD align=middle height=10>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    </TD></TR><TR><TD align=middle height=10>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG] เกิดเหตุสลด ระหว่างที่เจ้าอาวาสวัดพระนคร อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช เปิดให้ประชาชนเข้าจองวัตถุมงคล "จตุคามรามเทพ รุ่น สรงน้ำพระธาตุ 50 เงินไหลมา 2" โดยเกิดเหตุการณ์ชุลมุน ประชาชนแย่งกันจองจตุคาม ถึงกับเหยียบกันตาย 1 ศพ บาดเจ็บอีกนับร้อยคน

    [​IMG]ผู้ตาย เป็นสตรี วัย 50 ปี มีร่องรอยถูกเหยียบบนเสื้อผ้าและใบหน้า!

    [​IMG]เหตุการณ์นี้ สะท้อนชัดถึงความ "บ้าคลั่ง" ของฝูงชน ที่ต้องการจะได้วัตถุมงคล "จตุคาม" มาไว้ในครอบครองของตน

    [​IMG]บ่งชี้ว่า "วัตนธรรมของขลัง" กำลังฉีดพล่านอยู่ในสายเลือดคนกลุ่มหนึ่งอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง

    [​IMG]เหตุการณ์นี้ แม้ไม่ได้เกิดขึ้นในวัด แต่เกิดขึ้นโดยกิจกรรมของทางวัดจัดให้มีขึ้น

    [​IMG]ควรจะถึงเวลาเสียทีแล้ว ที่องค์กรพระพุทธศาสนาและพุทธบริษัททั้งหลาย จะหันมาเอาจริงเอาจังกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ "วัด" - "พุทธพาณิชย์" วัตถุมงคลทั้งหลาย ตั้งคำถามและตอบคำถาม สร้างความกระจ่างชัดกันเสียทีว่า อะไรและอย่างไร คือความเจริญของพระพุทธศาสนาที่แท้จริง

    [​IMG]การคลั่งวัฒนธรรมของขลัง วัตถุมงคล เป็นการเสริมสร้างหรือทำลายแก่นแท้ของพระพุทธศาสนากันแน่ ?

    [​IMG]การที่ทางวัดสร้างวัตถุมงคล เพื่อเปิดให้ประชาชนจับจองเป็นเจ้าของ เป็นกิจกรรมส่งเสริมความเจริญของพระพุทธศาสนาตรงไหน หรือว่าเป็นการหาผลประโยชน์แอบแฝง ที่กัดกินและทำลายพระพุทธศาสนาอย่างหยาบช้า ?

    [​IMG]พึงเข้าใจเสียก่อนว่า พระพุทธศาสนามีหลักคำสอนเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อย่างไร

    [​IMG]พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตโต) เทศนาว่า พุทธศาสนาไม่สนใจกับคำถามว่าอิทธิปาฏิหาริย์มีจริงหรือไม่ เทวดามีจริงหรือไม่ และไม่วุ่นวาย ไม่ยอมเสียเวลากับการพิสูจน์ความมีจริงเป็นจริงของสิ่งเหล่านี้เลย สิ่งที่พระพุทธศาสนาสนใจ ก็คือ มนุษย์ควรมีท่าทีและควรปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างไร พูดอีกอย่างหนึ่งว่า สำหรับพระพุทธศาสนา ปัญหาว่าผีสางเทวดา อำนาจลึกลับ อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ มีอยู่จริงหรือไม่ ไม่สำคัญเท่ากับปัญหาว่า ในกรณีที่มีอยู่จริง สิ่งเหล่านั้นมีฐานะอย่างไรต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ และอะไรคือความสัมพันธ์อันถูกต้องระหว่างมนุษย์กับสิ่งเหล่านั้น

    [​IMG]อาจมีบางท่านแย้งว่า ถ้าไม่พิสูจน์ให้รู้แน่เสียก่อนว่ามีจริงหรือไม่ จะไปรู้ฐานะและวิธีปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร เรื่องนี้ควรแย้งกลับไปเสียก่อนว่า เพราะมัวเชื่อถือและยึดมั่นอยุ่ว่าจะต้องพิสูจน์เสียก่อนนี่แหละ จึงได้เกิดข้อผิดพลาดในทางปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ขึ้นแล้วมากมาย โดยที่จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังพิสูจน์กันไม่เสร็จ

    [​IMG]ยิ่งค้นก็ยิ่งลับ ยิ่งลับยิ่งล่อให้ค้น ค้นตามที่ถูกล่อก็ยิ่งหลง แล้วก็หมกมุ่นวนเวียนอยู่กับสิ่งเหล่านั้นจนชักจะเลื่อนลอยออกไปจากโลกของมนุษย์

    [​IMG]การหลงใหลบูชาในวัตถุมงคลทั้งหลาย ตามหลักพระพุทธศาสนา สอนว่า นำพาให้มหาชนผู้ยังมีกิเลส ลุ่มหลงอยู่ในโลกแห่งความเลือนลาง วุ่นกับสิ่งที่ลับๆ ล่อๆ หรือผุบๆ โผล่ๆ ไม่อาจให้จะแจ้งชัดเจน และไม่ขึ้นต่อวิสัยของตน ทำให้ละเลยความเพียรพยายามที่จะทำการต่างๆ ตามเหตุผลสามัญของมนุษย์ เป็นผู้คอยหวังพึ่งปัจจัยหรืออำนาจดลบันดาลจากภายนอก ซึ่งเป็นการขัดต่อหลักพื้นฐานของพระพุทธศาสนา

    [​IMG]และแท้ที่จริงแล้ว กระบวนการความเป็นไปทั้งปวง ย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัย ความเป็นไปที่ประหลาดน่าเหลือเชื่อ ดูเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ หรืออัศจรรย์ใดๆ ก็ตาม ย่อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งสิ้น แต่ในกรณีที่เหตุปัจจัยในเรื่องนั้น สลับซับซ้อนและยังไม่ถูกรู้เท่าทัน เรื่องนั้นก็กลายเป็นเรื่องประหลาดอัศจรรย์ แต่ความประหลาดอัศจรรย์จะหมดไปทันทีเมื่อเหตุปัจจัยต่างๆ ในเรื่องนั้นถูกรู้เท่าทันหมดสิ้น

    [​IMG]ทุกสิ่งล้วนมีเหตุปัจจัยทำให้เกิด

    [​IMG]พระพุทธเจ้า สอนว่า ปาฏิหาริย์ มี 3 ประเภท คือ

    [​IMG]1.อิทธิปาฏิหาริย์ คือ การแสดงฤทธิ์ต่างๆ

    [​IMG]2.อาเทศนาปาฏิหาริย์ คือ การทายใจคนอื่นได้

    [​IMG]3.อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ คำสอนที่เป็นจริง สอนให้เห็นจริง และนำไปปฏิบัติได้ผลสมจริง

    [​IMG]พระพุทธองค์ทรงตรัสแสดงต่อไปด้วยว่า ในบรรดาปาฏิหาริย์ 3 อย่างนั้น ทรงรังเกียจ ไม่โปรด ไม่โปร่งพระทัยต่ออิทธิปาฏิหาริย์ และอาเทศนาปาฏิหาริย์ เพราะทรงเห็นโทษ

    [​IMG]ในทางปฏิบัติในชีวิตจริงของมนุษย์โดยทั่วไป จึงน่าจะตระหนักในคติธรรมที่ว่า

    [​IMG]"การเพียรพยายามทำความดี เป็นหน้าที่ของมนุษย์ การช่วยเหลือคนทำดี เป็นหน้าที่ของสวรรค์ เราทำหน้าที่ของมนุษย์ให้ดีที่สุดก็แล้วกัน"

    [​IMG]ศาสนาพุทธสอนให้ใช้ชีวิตอย่างมี "สติ-ปัญญา"

    [​IMG]เมื่อหลักพระพุทธศาสนาว่าอย่างนี้ ก็น่าสงสัยว่า เหตุใด พุทธบริษัทจำนวนมากในปัจจุบัน ถึงได้ฝักใฝ่กันอยู่แต่เรื่องราวอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ วัตถุมงคล โดยเฉพาะ "วัด" และ "พระ" ถึงกับเป็นเจ้าภาพสร้างวัตถุมงคลเชิงพุทธพาณิชย์ อย่างแพร่หลาย

    [​IMG]ทำดูราวกับเป็นเรื่องของการปฏิบัติธรรมตามหลักศาสนาพุทธ !

    [​IMG]ถึงเวลาแล้ว ที่องค์กรพระพุทธศาสนาทั้งหลาย ควรจะหันมาใส่ใจกับเรื่องเนื้อหา "แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา" สะสางเรื่องที่เป็นภัยจากผลประโยชน์ทางธุรกิจ โดยเฉพาะองค์กรพุทธบางส่วนที่มัวแต่ไปข่มขู่เรื่องให้บรรจุถ้อยคำว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญอยู่นั้น ควรหันมาตรึกตรองด้วยสติปัญญาสักนิดว่า มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาหรือไม่ ประการใด

    <CENTER>สารส้ม </CENTER></TD></TR><TR><TD height=10>
    </TD></TR><TR><TD align=right>วันที่ 11/4/2007</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คงจะปฎิเสธกันไม่ได้ว่า ในปัจจุบันนี้ คนชาวพุทธไม่ได้เข้าไปศึกษาพระไตรปิฎกหรือพระธรรมซึ่งเป็นคำสั่งสอนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันมากนัก แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า การที่จะทำให้คนชาวพุทธเข้าไปศึกษาพระไตรปิฎกหรือพระธรรม คงต้องใช้เรื่องของพระพิมพ์,วัตถุมงคลและเรื่องของฤทธิ์มาก่อน จึงทำให้เริ่มมีความศรัทธาในพระศาสนา แต่เมื่อได้หรือรู้หรือมีพระพิมพ์,วัตถุมงคลและเรื่องของฤทธิ์แล้ว จะทำให้น้อมนำไปในการศึกษาพระไตรปิฎกและพระธรรมกันมากขึ้น

    หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร เวลาที่หลวงปู่ท่านสอนลูกศิษย์ ท่านก็จะสอนเรื่องของฤทธิ์ เมื่อได้ฤทธิ์แล้ว ท่านสอนให้ละ ให้วางฤทธิ์นั้นครับ

    มีบางท่านมักพูดว่า เมื่อฝึกสมาธิ(ได้พระภายใน)แล้ว พระพิมพ์หรือวัตถุมงคลต่างๆก็ไม่จำเป็น เมื่อพูดอย่างนั้น ก็ต้องไม่แขวนพระพิมพ์หรือวัตถุมงคลเลย เพราะว่ามีพระอยู่ภายในแล้ว ตามหลักของศีลข้อที่ 4 และสัจจะของผู้ที่บอกว่าตนเองมีศีล นั่งสมาธิได้ดี เวลาที่พูดอะไรต้องรับผิดชอบ เรื่องของคำพูดเกี่ยวกับศีลข้อที่ 4 นี่เพียงแค่ศีล 5 เท่านั้นเอง ก่อนพูดผู้ที่พูดเป็นเจ้านายของคำพูด แต่ หลังพูดไปคำพูดเป็นเจ้านายของผู้ที่พูด

    ส่วนผมเอง คงต้องบอกว่าผม ต้องพึ่งพาในทั้งสองเรื่อง ทั้งเรื่องพระภายนอก และพระภายใน ถึงแม้ว่าพระภายในผมยังฝึกฝนไปไม่เก่งเหมือนคนที่บอกว่าเก่งๆก็ตาม

    ผมเคยบอกว่า คงจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก แต่ก็อดไม่ได้ ผมเป็นโมฆะบุรุธสำหรับบุคคลสองคน แต่ผมเป็นสัตตบุรุธสำหรับพระสงฆ์อีกไม่น้อยกว่า 3 รูป(ที่ผมและท่านอื่นๆอีกหลายๆคนรู้จัก) และคนอีกหลายๆคนมาก

    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แต่ถ้าพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่าน หากเห็นว่าผมเป็นโมฆะบุรุธสำหรับท่าน ก็แจ้งความประสงค์กับผมมาได้เลยนะครับ

    .
     
  12. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137

    ใจก็ปกติดีครับ ท่านพี่ทั้งสอง เนียนมาก สบายดีครับ

    เมื่อคืนผมนำพระที่เคยได้มาจัดทัพใหม่ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
    ซึ่งเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ที่นิยมเคารพศรัทธา
    ก็ประมาณ 5 องค์ลงตัว เพียงพอแล้วครับ

    สำหรับความสามารถที่ค่อนข้างเป็นปัจจัตตัง ที่รับรู้ถึงความพิเศษ
    ขององค์พระท่านนั้น มามีไปพร้อมๆ กับการพัฒนาจิตของเรานะครับ
    ไม่แน่ใจว่าจริงหรือเปล่า อาการเสียวซ่าน ทั้งตัว จนนั่งไม่ติดครับ

    ถ้าพี่ท่านสามารถรับรู้ได้ว่าพระองค์ใด รับกิจนิมนต์ของเรา หรือ ไม่รับกิจนิมนต์ของเรา ก็ดียิ่งครับ

    จักทำอะไรไม่ผิดพลาดครับ ผมว่าดีจริงๆ ครับ มีผู้รู้คอยพูดคุยด้วยครับ
    ก็ดูกันไปครับ อ่อในวันศุกร์นี้ผมฝากชำระหนี้พระสงฆ์กับหลวงพ่อแผนด้วยนะครับท่านพี่หนุ่ม จะโอนไปเที่ยวเดียวกันเลยครับ

    ไว้ถ้ามีโอกาสจะเรียนถามท่านพี่ใหญ่ ว่าเวลาท่านคุยกับพระท่าน
    ท่านคุยกันอย่างไร สอบถามกันอย่างไร สรรพนามตัวเองเรียกอย่างไร ทำไมไม่รู้ผมถึงคิดถึงเรื่องนี้ครับ ก็แปลกๆ ครับ

    สาธุครับ[/quote]

    สภาวะธรรมที่ได้รับจากสมาธิ หรือกรรมฐานเป็นเรื่องแต่ละบุคคลหนึ่ง บอกเล่าไปแล้วผู้ฟังอาจจะจดจำว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วไปสร้างเป็นอุปทานขึ้น

    ทางที่ดี และเหมาะสมคือปฏิบัติเองจนได้ผลระยะหนึ่ง คือภาพนั้นจะเกิดขึ้นมาโดยที่เราไม่ได้ไปกำหนดขึ้น เป็นภาพที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต อาการปิติทั้ง ๕ จะเกิดตามมาเอง และเมื่อมีโอกาสคุยกับผู้ที่ได้กรรมฐานก็จะทราบเองว่าเป็นภาพเดียวกัน..
     
  13. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    จริงอย่างท่านพี่ว่าครับ
    สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ไม่แน่นอน ไม่เที่ยง ไม่เสมอ
    และไม่ได้เคยคิดว่า ทุกครั้งจะเกิดขึ้นครับ จะค่อยๆ ทำไปเรื่อยครับ

    ไม่ไปร้อนรนกับสิ่งเหล่านั้น ที่มา แต่รับรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมา
    แต่ครั้งแรกเนี้ย ทำเอาตื่นเต้นเลย ใจก็แกว่งๆ ครับ

    เมื่อรู้ว่ามา ก็รู้ว่ามาครับ ก็วางให้นิ่งครับ
    ตอนเจอจริงๆ จะทำให้ได้ครับ สาธุครับ

    ขอขอบพระคุณครับ
    สาธุครับ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nongnooo [​IMG]
    น้องใจ....เป็นไงบ้างครับ...ใจจาขาดรึยังครับ5555555(eek)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ใจจะขาดแล้วเอ้ยยยยยยยยยย ใจจะขาดแล้วเอยยยยยยยยยยยย
    ใช่หรือเปล่าน้องchaipat

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nongnooo [​IMG]
    ไม่มีอะไรมั้งครับ...ว่าไปแล้วตอนนี้มันมีเหตุการณ์อื่นอยู่ด้วยก็เลยต้องแยกกันครับ กลิ่นหรือพลังงานที่เวลาเดินผ่านแล้วผงะก็เรื่องนึงครับ เห็นอะไรก็อีกเรื่องครับ ตัวอักษรโบราณนี่ก็ม่ายรู้ครับมองในแง่ดีก็น่าจะเป็นมงคลครับ ส่วนได้ยินมาว่าน้องใจ...มีความสามารถสัมผัสพลังพระพิมพ์ได้ยินดีด้วยครับแสดงว่าจิตละเอียดไปอีกขั้น แต่ขั้นต่อไปที่พี่กำลังเจอน่ากลัวกว่าครับ บางพระพิมพ์ท่านสื่อเราได้ครับว่าอย่านิมนต์ท่าน หรือช่วยนิมนต์ท่านด้วย พี่เจอเมื่อวานเป็นครั้งที่2แล้วครับบรื่อๆๆๆ
    nongnooo...
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nongnooo [​IMG]
    ผมลืมตอบไป ผมจัดพระพิมพ์ 8องค์บางองค์ประกบหน้าหลังในกรอบเดียวดูแล้วเหมือนห้อยแค่5องค์ครับ ด้วยวาระปัจจุบันคงไม่เปลี่ยนหรือเพิ่มจากนี้ห้อยเหมือนกันทั้งอาทิตย์ครับ ถ้าจะมีอะไรมาเปลี่ยน 1ใน8ได้น่าจะเป็นสมเด็จอัศนีของท่าน ปา-ทานน่ะครับ ใช่มั้ยท่าน ปา-ทานครับ
    nongnooo...
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ใจก็ปกติดีครับ ท่านพี่ทั้งสอง เนียนมาก สบายดีครับ

    เมื่อคืนผมนำพระที่เคยได้มาจัดทัพใหม่ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
    ซึ่งเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ที่นิยมเคารพศรัทธา
    ก็ประมาณ 5 องค์ลงตัว เพียงพอแล้วครับ

    สำหรับความสามารถที่ค่อนข้างเป็นปัจจัตตัง ที่รับรู้ถึงความพิเศษ
    ขององค์พระท่านนั้น มามีไปพร้อมๆ กับการพัฒนาจิตของเรานะครับ
    ไม่แน่ใจว่าจริงหรือเปล่า อาการเสียวซ่าน ทั้งตัว จนนั่งไม่ติดครับ

    ถ้าพี่ท่านสามารถรับรู้ได้ว่าพระองค์ใด รับกิจนิมนต์ของเรา หรือ ไม่รับกิจนิมนต์ของเรา ก็ดียิ่งครับ

    จักทำอะไรไม่ผิดพลาดครับ ผมว่าดีจริงๆ ครับ มีผู้รู้คอยพูดคุยด้วยครับ
    ก็ดูกันไปครับ อ่อในวันศุกร์นี้ผมฝากชำระหนี้พระสงฆ์กับหลวงพ่อแผนด้วยนะครับท่านพี่หนุ่ม จะโอนไปเที่ยวเดียวกันเลยครับ

    ไว้ถ้ามีโอกาสจะเรียนถามท่านพี่ใหญ่ ว่าเวลาท่านคุยกับพระท่าน
    ท่านคุยกันอย่างไร สอบถามกันอย่างไร สรรพนามตัวเองเรียกอย่างไร ทำไมไม่รู้ผมถึงคิดถึงเรื่องนี้ครับ ก็แปลกๆ ครับ

    สาธุครับ[/quote]

    รักเดียวใจเดียวย่อมดีที่สุด
    แต่ถ้ายังทำไม่ได้ ก็เวียนใส่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเลี่ยมทอง

    แต่ไม่ใช่ว่า พอพี่ใหญ่บอกว่าดี ก็เปลี่ยน เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก และพระพิมพ์องค์ที่ตนเองจับแล้วรู้สึก ก็บอกว่าดีกว่าพระพิมพ์องค์ที่ตนเองจับแล้วไม่รู้สึก

    ทุกวันนี้พี่เองห้อยอยู่ 4 เส้น ก็จะสลับไปสลับมา คงจะเพิ่มที่เป็นชุดล็อกเก็ตล้วนๆอีก 1 เส้น
    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 18 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 14 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, :::เพชร:::+, ใจสติปัญญา+, ล่าวิญญาณ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สมาชิกทั่วไป เยอะจริงๆครับ

    .
     
  16. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    โอ้อะไรนี่ครับท่านปา....
    พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

    <!-- currently active users --><TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 21 คน ( เป็นสมาชิก 5 คน และ บุคคลทั่วไป 16 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>nongnooo, :::เพชร:::, ใจสติปัญญา, ล่าวิญญาณ, ตั้งจิต </TD></TR></TBODY></TABLE>

    21คน
     
  17. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    ขอแก้ไขคำผิดครับ คุณหนุ่ม โมฆะบุรุ เป็น โมฆะบุรุ
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    คงจะปฎิเสธกันไม่ได้ว่า ในปัจจุบันนี้ คนชาวพุทธไม่ได้เข้าไปศึกษาพระไตรปิฎกหรือพระธรรมซึ่งเป็นคำสั่งสอนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันมากนัก แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า การที่จะทำให้คนชาวพุทธเข้าไปศึกษาพระไตรปิฎกหรือพระธรรม คงต้องใช้เรื่องของพระพิมพ์,วัตถุมงคลและเรื่องของฤทธิ์มาก่อน จึงทำให้เริ่มมีความศรัทธาในพระศาสนา แต่เมื่อได้หรือรู้หรือมีพระพิมพ์,วัตถุมงคลและเรื่องของฤทธิ์แล้ว จะทำให้น้อมนำไปในการศึกษาพระไตรปิฎกและพระธรรมกันมากขึ้น

    หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร เวลาที่หลวงปู่ท่านสอนลูกศิษย์ ท่านก็จะสอนเรื่องของฤทธิ์ เมื่อได้ฤทธิ์แล้ว ท่านสอนให้ละ ให้วางฤทธิ์นั้นครับ

    มีบางท่านมักพูดว่า เมื่อฝึกสมาธิ(ได้พระภายใน)แล้ว พระพิมพ์หรือวัตถุมงคลต่างๆก็ไม่จำเป็น เมื่อพูดอย่างนั้น ก็ต้องไม่แขวนพระพิมพ์หรือวัตถุมงคลเลย เพราะว่ามีพระอยู่ภายในแล้ว ตามหลักของศีลข้อที่ 4 และสัจจะของผู้ที่บอกว่าตนเองมีศีล นั่งสมาธิได้ดี เวลาที่พูดอะไรต้องรับผิดชอบ เรื่องของคำพูดเกี่ยวกับศีลข้อที่ 4 นี่เพียงแค่ศีล 5 เท่านั้นเอง ก่อนพูดผู้ที่พูดเป็นเจ้านายของคำพูด แต่ หลังพูดไปคำพูดเป็นเจ้านายของผู้ที่พูด

    ส่วนผมเอง คงต้องบอกว่าผม ต้องพึ่งพาในทั้งสองเรื่อง ทั้งเรื่องพระภายนอก และพระภายใน ถึงแม้ว่าพระภายในผมยังฝึกฝนไปไม่เก่งเหมือนคนที่บอกว่าเก่งๆก็ตาม

    ผมเคยบอกว่า คงจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก แต่ก็อดไม่ได้ ผมเป็นโมฆะบุรุธสำหรับบุคคลสองคน แต่ผมเป็นสัตตบุรุธสำหรับพระสงฆ์อีกไม่น้อยกว่า 3 รูป(ที่ผมและท่านอื่นๆอีกหลายๆคนรู้จัก) และคนอีกหลายๆคนมาก

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=tborder id=post849642 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">06-12-2007, 02:20 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#12309 </TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://www.geocities.com/skychicus/pariyat_musawat.html

    วิธีดูว่าเข้าข่ายมุสาวาทหรือไม่


    การแสดงเท็จ หรือลักษณะมุสาวาท มี 7 วิธี

    1. ปด - การโกหกชัด ๆ เช่น ไม่รู้ว่ารู้ ไม่เห็นว่าเห็น ไม่มีว่ามี เป็นต้น

    2. ทนสาบาน - ทนสาบานเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าตนไม่ได้เป็นเช่นนั้น จะเป็นวิธีแช่งตัวเอง หรือด้วยวิธีนั่งนิ่ง เมื่อถูกถาม ก็จัดเป็นทนสาบาน

    3. ทำเล่ห์กะเท่ห์ ได้แก่ การอวดอ้างความศักดิ์สิทธิ์เกินความจริง เช่น อวดวิเศษเรื่องใบหวย โดยไม่รู้จริงเห็นจริง เป็นต้น

    4. มายา แสดงอาการหลอกคนอื่น เช่น ไม่เจ็บ ทำเป็นเจ็บ เจ็บน้อย ทำเป็นเจ็บมาก เป็นต้น

    5. ทำเลศ คือ ใจอยากจะพูดเท็จ แต่พูดเล่นสำนวน พูดคลุมเครือให้ผู้ฟังคิดผิดไปเอง เช่น เห็นขโมยวิ่งผ่านหน้าไป ไม่อยากบอกให้ผู้ตามจับทราบว่าตนเห็น จึงย้ายที่ยืนหรือที่นั่งไป เมื่อถูกถามก็พูดเล่นสำนวนว่าอยู่นี่ไม่เห็น อย่างนี้เรียกว่าทำเลศ

    6. เสริมความ เรื่องเล็ก แต่พูดให้คนฟังเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ เช่น เห็นไฟก้นบุหรี่ไหม้หญ้าแห้ง ก็ตะโกนเสียงดังว่า ไฟ ๆ เพื่อให้คนแตกตื่นตกใจ เป็นต้น โฆษณาสินค้า พรรณาสรรพคุณจนเกินความจริงก็จัดเข้าข้อนี้

    7. อำความ - เรื่องใหญ่ แต่พูดให้เป็นเรื่องเล็ก หรือปิดบังอำพรางไว้ ไม่พูด ไม่รายงานต่อผู้มีหน้าที่รับทราบ

    การแสดงเท็จหรือโกหก แสดงได้ 2 ทาง คือ ทางวาจา กับทางกาย
    1. ทางวาจา คือพูดคำเท็จออกมา

    2. ทางกาย เช่น การเขียนจดหมายโกหก รายงานเท็จ ทำหลักฐานปลอม ตีพิมพ์ข่าวเท็จ เผยแผ่ ทำเครื่องหมายให้คนอื่นหลงเชื่อ ตลอดจนการใช้ใบให้คนอื่นเข้าใจผิด เช่น สั่นศีรษะ หรือโบกมือปฏิเสธในเรื่องควรรับ หรือพยักหน้ารับในเรื่องควรปฏิเสธ

    อนุโลมมุสา
    - พูดเรื่องไม่จริง ซึ่งไม่มีเจตนาจะกล่าวเท็จ แต่เจตนาจะให้เขาเจ็บใจหรือแตกร้าวกัน

    - พูดเสียดแทง กระทบกระแทก แดกดัน

    - พูดประชด ยกให้เกิน ความเป็นจริง

    - พูดด่า กดให้ต่ำกว่าความเป็นจริง

    - พูดสับปลับ ด้วยความคะนองวาจา แต่ไม่ได้ตั้งใจให้เข้าใจผิด

    - พูดคำหยาบคาย คำต่ำทราม
    ไม่จัดเป็นมุสาวาท

    ปฏิสสวะ ได้แก่ การรับคำของคนอื่น ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ แต่ภายหลังกลับใจไม่ทำตามที่รับคำนั้น โดยที่ตนยังพอทำตามคำนั้นได้อยู่ มี 3 อย่าง

    1. ผิดสัญญา สัญญาว่าจะทำด้วยความสุจริตใจ แต่กลับไม่ทำภายหลัง

    2. เสียสัตย์ ให้สัตย์ปฏิญาณไว้แล้ว แต่ไม่ปฏิบัติตาม

    3. คืนคำ รับปากว่าจะไป แต่กลับใจภายหลังไม่ไป

    ไม่เป็นมุสาวาท ศีลไม่ขาด แต่ทำให้ศีลด่างพร้อยได้

    ที่มา : คลังปริยัติของนายแพทย์เกิด ธนชาติ และหนังสือศาสนาพุทธเล่มอื่นๆ ใน http://www.geocities.com/skychicus/pariyat_musawat.html


    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14207
    กุหลาบสีชา ผู้ตั้ง ลานธรรมจักร &raquo; บทความธรรมะ &raquo; วิธีดูว่าเข้าข่ายมุสาวาทหรือไม่ ?
    <!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    แต่ถ้าพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่าน หากเห็นว่าผมเป็นโมฆะบุรุธสำหรับท่าน ก็แจ้งความประสงค์กับผมมาได้เลยนะครับ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>quote=:::เพชร:::;885146]ขอแก้ไขคำผิดครับ คุณหนุ่ม โมฆะบุรุ เป็น โมฆะบุรุ[/quote]

    ขอบคุณครับคุณเพชร
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมเองยังไม่มีฌาณหรือมีญาณใดๆ ตรวจพลังอิทธิคุณขององค์พระพิมพ์ก็ไม่เป็น ขอแจ้งให้ทราบครับ

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...