ของเขมร กับ บารมีพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย VAKILLOS, 16 มกราคม 2014.

  1. VAKILLOS

    VAKILLOS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +340
    อยากทราบ ว่า ของเขมร ที่ว่าเเก้ยาก หรือเเก้ไม่ได้นอกจากผู้ทำเอง ถ้าหากใช้ บารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละครับจะสามารถเเก้ได้มั๊ยขอรับ
     
  2. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พุทโธ ธัมโม สังโฆ อัปมาโณ เป็นมหาพลังไร้ประมาณ

    คุณคิดว่าหมอผีเขมร กับ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครเก่งกว่ากันล่ะครับ
     
  3. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,611
    ค่าพลัง:
    +2,882
    ล่าสุดที่แก้คุณไสยมาก็ขอบารมีพระพุทธเจ้า ทำน้ำมนต์ให้ดื่ม
     
  4. chang938

    chang938 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    468
    ค่าพลัง:
    +451
    เล่าให้อ่านบ้างซิครับ เผื่อต้องทำบ้าง
     
  5. VAKILLOS

    VAKILLOS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +340
    คืออันที่ กระผมถามนี่ มิได้เจตตนาจะ เห็น บารมีองค์สมเด็จพระจอมไตร ด้อยกว่า ของเขมรที่ต่ำช้าเเต่อย่างใด เเต่ด้วยเห็นว่า ทำไม พระอาจารย์หลายๆท่าน จึงเเก้มันไม่ได้นั่นเเหละขอรับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2014
  6. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,611
    ค่าพลัง:
    +2,882
    ถ้าจะทำน้ำมนต์เองวิธีง่ายๆ ให้นำน้ำตั้งหน้าหึ้งพระแล้วสวดชินบัญชร อธิษฐานขอให้ท่านช่วยก็ได้ แต่ต้องไม่เกินกรรมของตน ไม่ใช่กรรมหนัก จะช่วยให้เบาลงได้ แต่ถ้าเป็นกรรมหนัก ต้องแก้กรณีเป็นรายๆไป หาต้นตอแล้วแก้ที่จุดนั้น นำมาดื่มแล้วถวายพระพุทธรูปสักองค์เพื่อหนุนดวง

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านไม่ล่วงกรรมให้ ของแบบนี้ต้องมีกรรมต่อกันถึงจะติด อยู่ดีๆจะไปบอกให้เค้ายกหนี้ให้แล้วเงินเจ้าหนี้ก็ไม่ได้คืนสิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2014
  7. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ของดี คาถาดีแต่ผู้ใช้บุญบารมีไม่ถึง สมาธิก็ไม่ดี ศีลธรรมไม่มี
    ทำไงมันก็แก้ไม่ได้ ถ้าคนมีบารมี ไม่ใส่พระ ไม่สวดมนตร์
    ของแรงแค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้
     
  8. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    แบบนี้ยังถือว่าประมาทเกินไปครับ ถ้าวันใดกำลังสมาธิไม่ทรงตัวและดวงตกด้วยล่ะก็โดนแน่ๆ
     
  9. ooi2211

    ooi2211 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2011
    โพสต์:
    239
    ค่าพลัง:
    +2,987

    "คนดีไม่ตีใคร" - หลวงปู่ดู่.


    วิเคราะห์ธรรมที่ท่านยกมาให้ดีก่อนนำมาติเตียนคนอื่นนะครับ พระองค์ไม่ให้ภิกษุใช้เดรัจฉานวิชชา"เลี้ยงชีพ"
    น้ำพระพุทธมนต์ซึ่งไม่ใช่ไสยศาสตร์และมีไว้เพื่อสงเคราะห์ผู้เดือดร้อนจากไสยศาสตร์นี่ไม่เกี่ยวกับการเลี้ยงชีพนะครับ
    และกรณีกระทู้นี้ไม่ใช่ภิกษุ เขาทำน้ำมนต์ใช้เอง แยกประเด็นให้ดี



    น้ำมนต์เป็นไสยศาสตร์ ?!?

    ถาม : การที่มีคนกล่าวว่าการประพรมน้ำพระพุทธมนต์เป็นเรื่องของไสยศาสตร์ เป็นความเชื่อที่ไม่มีเหตุผล ถือเป็นการปรามาสคุณของพระพุทธเจ้าหรือไม่ ? ถ้าตกนรกจะลงไปอเวจีมหานรกหรือไม่ ?

    ตอบ : ไม่ต้องห่วง..! จริง ๆ แล้วที่โบราณใช้คำว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” นั่นชัดเลย เพราะว่าบางสิ่งบางอย่างโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีคุณอนันต์แล้วก็โทษมหันต์ แตะผิดข้างก็เหมือนกับมีด ไปแตะด้านคมเข้าก็มีหวังมือขาด..!

    จริง ๆ แล้วถ้าหากว่าของเราไม่เชื่อแล้วเงียบ ๆ ไว้ก็ยังปลอดภัยกว่า เพราะเราก็รู้อยู่ว่า ที่เขาพูดเขาหมายเอาว่าต้องการตัวธรรมะที่บริสุทธิ์ไปเลย แล้วจำไว้ว่า ธรรมะบริสุทธิ์นั้นเหมือนกระดูกทั้งแท่ง แทะกันไม่เข้าหรอก ต้องใส่เนื้อใส่น้ำบ้าง ตัวคนพูดเองก็ไม่ได้ต้องการอย่างนั้นหรอก

    เพราะฉะนั้น..ท่านทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็คือดีแต่ติคนอื่น ปราศจากการเตือนตัวเอง กล่าวโทษโจทย์ตัวเองไม่เป็น รู้จักแต่ว่าคนอื่นเขา รังแต่จะสร้างโทษให้แก่ตนเองมากขึ้น ถ้าสิ่งเหล่านั้นไม่ดีจริง พระพุทธเจ้าท่านคงไม่สั่งให้พระอานนท์ทำ ในรัตนสูตร บทนั้นท่านให้เอาไว้ทำน้ำมนต์ โดยเฉพาะที่ขึ้น “ยานีธะภูตานิ สมาคะตานิฯ” เพราะว่าตอนนั้นเมืองไพสาลีเกิดโรคระบาดขึ้น จึงทูลเชิญพระพุทธเจ้าไปแก้ไข พระพุทธเจ้าให้พระอานนท์ไปทำน้ำมนต์ไปพรม พวกอมนุษย์ต่าง ๆ หนีกันชนิดที่กำแพงเมืองพังไปแถบ

    ถ้าไม่มีผลจริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านไม่สั่งให้ทำหรอก ทีนี้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นศึกษาไม่ครบยังไม่พอ ใจคอยังคับแคบอีกต่างหาก เจออะไรที่ไม่ตรงกับกิเลสตัวเองก็ว่าไว้ก่อน นี่ใช้คำพูดหนักไปไหม ?


    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
     
  10. VAKILLOS

    VAKILLOS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +340
    กระผมสรุปของ คุณ ooi2211 ได้ว่า หาก คุณพระทำไสยศาสตร์ ด้วยจิตกิเลส นั้นย่อมไม่ดีเเเน่ เเต่หากคุนพระท่านทำด้วย จิตเมตตา ต่องการช่วยเหลือ สาธุชน ย่อมดีเเน่
     
  11. ooi2211

    ooi2211 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2011
    โพสต์:
    239
    ค่าพลัง:
    +2,987
    ทำนองนั้นครับ ขออนุญาตขยาย

    ๑. น้ำพระพุทธมนต์ไม่ใช่ไสยศาสตร์แต่เป็นพุทธศาสตร์
    ทำขึ้นด้วยการอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์
    พุทธศาสตร์และไสยศาสตร์นั้นอยู่ตรงข้ามเหมือนแสงสว่างกับความมืด

    ๒. ทำเพื่อการสงเคราะห์เมื่อถึงวาระที่ต้องทำ เช่น มีผู้ถูกคุณผี-คุณคนเป็นเหตุให้เดือดร้อนกายใจ
    ไม่ใช่ทำ"เลี้ยงชีพ" เป็นอาชีพ ประกาศตั้งสำนักขึ้นเพื่อการนั้น หวังลาภสักการะ หวังให้คนมาเคารพนับถือ
    ไม่ได้ทำกิจของสงฆ์คือทำตนให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน


    หากไม่ทำน้ำมนต์เพื่อแก้ไสยศาสตร์มนต์ดำแล้วให้นอนรอความตายไปวัน ๆ เห็นจะใจดำเกินไปครับ
     
  12. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,611
    ค่าพลัง:
    +2,882
    แต่จะใจร้าย ปล่อยทึ้งไปเฉยๆงั้นเหรอคุณ โลโป

    ทำเช่นนั้นคงไม่มีแม้แต่เมตตา กรุณา คุณสมบัติพิ้นฐานของผู้ปฏิบัติธรรม

    อนึ่ง ปากท้องชาวบ้านยังไม่อิ่มมีหรือใครจะมาสนใจในพระธรรมคำสอน พระไตรปิฏกประเสริฐเพียงใดฉะไหนยังมิมีใครอยากเปิดอ่าน

    ในเมื่อมิใช่กิจของสงฆ์ จึงต้องมีผู้อื่นรับหน้าที่แทน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2014
  13. shaman loseless

    shaman loseless เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +185
    ๗. ภิกษุเว้นขาดจาก"การเลี้ยงชีพ" โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา อ่านให้ดีๆครับ หากทำเพื่อช่วยคนจริงๆก็ไม่มีปัญหาอะไร ยกเว้นทำเพื่อหาผลประโยขน์เข้าตน
     
  14. mozard002

    mozard002 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +433
    ขอถามครับว่าติรัจฉานวิชานี่ครอบคลุมถึงไหน คณิตศาสตร์ถือว่าเป็นติรัจฉานวิชาหรือไม่ ความรู้ด้านยารักษาโรคนี่ถือว่าเป็นติรัจฉานวิชาหรือไม่ ความรู้ด้านเคมีถือว่าเป็นติรัจฉานวิชาหรือไม่ครับ แล้วอะไรที่ไม่เป็นติรัจฉานวิชาครับ
     
  15. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,611
    ค่าพลัง:
    +2,882
    คุณ โลโป อ่านใหม่ 30 รอบนะ

    ในเมื่อมิใช่กิจของสงฆ์ จึงต้องมีผู้อื่นรับหน้าที่แทน
     
  16. sirigul

    sirigul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +2,515
    สมัยพุทธกาล เกิดโรคห่า ผู้คนตายเกลื่อน พระพุทธเจ้าจึงอธิฐานทำน้ำมนต์ ปัดเป่าโรคร้าย และพุทธคุณเกิดฝนตกลงมาอย่างหนัก ชะล้างเชื้อโรดไปด้วย ผู้คนจึงอยู่เย็นเป็นสุขกันมา พระสงฆ์ผู้ทำน้ำมนต์ก็ต้องเป็นผู้มีศีล จิตเมตตา สมาธิแก่กล้าและอราธนาพระบารมีของพระพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริสงฆ์เจ้าน้ำมนต์นั้นจึงจะมีผลนะ ส่วนตัวข้าพเจ้าเอง จะนำน้ำที่ถวายพระพุทธมาทำน้ำมนต์ ก่อนจะเปลื่ยนน้ำบูชาท่านก็แทใส่ขัน แล้วอธิฐาน ทั้งดื่มทั้งอาบเลย เราปลุกเสกไม่เก่งหรอก แต่อันเชิญบารมีท่านคุ้มครอง อาบเสร็จเบาตัวดี
     
  17. zeus_hades

    zeus_hades เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +119
    ขอเล่าเพิ่มเติมสักนิดนะครับ (deejai)

    พระปริตรบทว่าด้วยรัตนสูตรที่พระสงฆ์สวดทำน้ำมนต์ครั้งนี้ คือมนต์บทสำคัญที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพระอานนท์ พระพุทธอนุชาเพื่อสยบโรคห่าในครั้งพุทธกาล

    *** พระพุทธองค์เสด็จถึงชานพระนครพร้อมด้วยพระสาวกแล้ว ทรงประทับยืนเจริญสมาธิและเพ่งทอดพระเนตรไปที่ท้องฟ้า

    ทรงกระทำสัตยาธิษฐาน พระไตรปิฎกระบุเหตุการณ์ตอนนี้ว่า

    "ทันใดนั้นมหาเมฆก็ตั้งขึ้นดังแผ่นศิลาสีครามยาวเหยียดตลอดทิศปัจจิม แผ่ปกคลุมนครไพศาลีฟ้าส่งเสียงคำราม คำรณดังเปรี้ยงปร้าง..
    แล้วฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมาท่วมบ่าชะล้างซากศพทั่วทุกแห่งกวาดลงแม่น้ำสู่ทะเล ความร้อนแห่งอากศก็หายไปด้วยพุทธานุภาพ

    พระตถาคตเจ้ารับสั่งเรียกพระอานนท์ แล้วตรัสสั่งว่า

    "อานนท์ เธอจงเรียนมนต์รัตนสูตรนี้ แล้วจาริกไปในกำแพงเมืองเพื่อความสวัสดีจากภัยอันใหญ่ของราษฎรเถิด"

    ราตรีนั้นพระอานนท์เรียนมนต์รัตนสูตรทรงจำไว้เป็นอันดีแล้วประคองบาตร น้ำมนต์ของพระผู้มีพระภาคเจ้านำพระสงฆ์จาริกไปตามแนวกำแพงเมืองเป็นขบวนใหญ่

    กษัตริย์ลิจฉวีและขุนนางผู้ใหญ่ตามพระอานนท์ซึ่งท่องมนต์รัตนสูตรและประพรม น้ำมนต์ไปทั่วพระนคร โรคห่า ความฝืดเคืองและปีศาจทั้งหลายก็หายไปด้วยพระพุทธมนต์

    เหตุนี้รัตนสูตรจึงเป็นมนต์ครั้งแรกและบทแรกที่พระพุทธองค์ทรงสอนด้วย พระองค์เองสำหรับสยบโรคห่า ความฝืดเคืองและภูตผีทั้งปวง ซึ่งถือเป็นปริตรบทสำคัญที่สุด ***

    :VO :VO :VO
     
  18. zeus_hades

    zeus_hades เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +119
    ขอต่ออีกสักนิด (deejai)

    ในสมัย ร.๒ ราว พ.ศ.๒๓๖๓ เกิดโรคห่ากินเมือง คนกรุงเทพตายเป็นไบไม้ร่วงกว่า ๓ หมื่นคน ตอนนั้นกรุงเทพฯ มีคนไม่ถึง ๑๕๐,๐๐๐ คน

    ศพเผาไม่ทัน ทิ้งกลาดเกลื่อนเต็มวัด ทับกันเป็นกอง มีศพลอยตามแม่น้ำลำคลอง จนพระต้องหนีจากวัด คนหนีจากบ้าน เพราะไม่มีหมอหรือยาที่จะรักษา


    ในหลวงหมดทางช่วยราษฎร จึงทรงปรึกษาพระสังฆราชแล้วโปรดให้ตั้งการพิธีอาพาธพินาศหรืออาเพศพินาศ ณ พระที่นั่งดุสิต ในวันขึ้น ๗ ค่ำเดือน ๑๐ ปีนั้น

    โปรดให้อัญเชิญพระแก้วออกจากพระอุโบสถเป็นครั้งแรกนับแต่มาประดิษฐานที่วัด พระแก้ว ประดิษฐานในราชยานภายในบุษบก ประกอบเครื่องอิสริยยศเต็มอัตรา


    โปรดให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุในขบวน มีพระสงฆ์ ๕๐๐ รูปนำโดยสมเด็จพระสังฆราช (มี) ประทับพระเสลี่ยง ในหลวงทรงศีล ๘ ขบวนแห่ออกจากพระบรมมหาราชวัง
    พระสงฆ์ทั้งนั้นสวดพระปริตรสำคัญบทหนึ่งชื่อรัตนสูตร เลียบรอบพระนครและประพรมน้ำพระพุทธมนต์เสร็จแล้วกลับพระราชวัง ฝนห่าใหญ่ตกลงมาทั่วพระนคร โรคห่าก็หายไปเป็นที่อัศจรรย์

    ในหลวงโปรดให้เร่งเผาศพ ทำบุญทำทานครั้งใหญ่และอภัยโทษครั้งใหญ่เป็นอภัยทานด้วย
    :VO :VO :VO
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2014
  19. ooi2211

    ooi2211 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2011
    โพสต์:
    239
    ค่าพลัง:
    +2,987
    ผมว่าผมตอบไปครบแล้วนะ จริง ๆ ไม่อยากทะเลาะกับใคร และที่กลับมาตอบคุณครั้งนี้ก็คิดว่าไม่ใช่การทะเลาะ
    ในเมื่อคุณยังดันทุรังและใจแคบอยู่อย่างนี้ก็ต้องบอกอีกครั้งว่า
    พุทธวัจนะที่คุณยกมานั้นไม่มีสิ่งใดผิด ผมอนุโมทนาด้วย แต่ที่ผิดคือการตีความของคุณเอง
    อย่าเป็นท่านผู้ทรงธรรม ผู้ทรงตำราที่เอาแต่อ่าน ลองหาพระอาจารย์ที่รู้จริง ที่เป็นนักปฏิบัติ แล้วไปปรึกษาท่านดูนะครับ

    คุณตีความผิดตั้งแต่ประโยคแรกเลยครับ "เลี้ยงชีพ" กลับไปตีความใหม่ดี ๆ ครับ ให้ครูภาษาไทยช่วยก็ได้
    เรื่องที่บอกให้สอนธรรมะเขาก็สอนปกติ แต่เขาป่วยมันยังไม่ถึงวาระตาย จะให้เทศน์อย่างเดียวหรือ
    กายไม่สบายก็พลอยใจวุ่นวายไปด้วย จะเข้าถึงธรรมได้อย่างไร

    กระทู้นี้เขาทำน้ำมนต์เอง เขาไม่ใช่พระ มันเหมือนคุณป่วย แล้วคุณกินยานั่นแหละ
    ส่วนธรรมที่คุณยกมาพระองค์ห้ามไม่ให้ทำจนเป็นอาชีพ เป็นสำนักรับจ้างทำ หวังลาภยศสรรเสริญ
    แต่ถ้าเพื่อช่วยเมื่อคราวจำเป็นนั้นไม่ผิด เหมือนพระองค์ให้พระอานนท์ทำ

    ต้องถามว่าถ้าตัวคุณเองหรือญาติพี่น้องโดนกระทำมาคุณยังจะคิดแบบนี้หรือเปล่า

    การที่คุณเอาแต่แก่นที่เหมือนเป็นกระดูกล้วน ๆ คุณจะเดินได้ไหม มันต้องมีเนื้อ มีเอ็น มีหนัง ฯลฯ ก่อขึ้นมาเป็นตัวคุณ
    พอไปถึงจุดหมายค่อยทิ้ง ไม่ใช่ยังไปไม่ถึงไหนแล้วบอกว่า กูไม่เอา ๆ แบบนี้เรียกว่ายึดติดในความไม่ยึดติดครับ

    "ที่เขาพูดเขาหมายเอาว่าต้องการตัวธรรมะที่บริสุทธิ์ไปเลย แล้วจำไว้ว่า
    ธรรมะบริสุทธิ์นั้นเหมือนกระดูกทั้งแท่ง แทะกันไม่เข้าหรอก
    ต้องใส่เนื้อใส่น้ำบ้าง
    ตัวคนพูดเองก็ไม่ได้ต้องการอย่างนั้นหรอก
    "






    ลองอ่านข้อความด้านล่างนี้อย่างช้า ๆ ด้วยใจเปิดกว้างดูนะครับ


    พระอาจารย์เล็ก เทศน์ปีใหม่ วันศุกร์ที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๒ ตอนกราบขอขมาพระรัตนตรัย

    ...จัดเป็นบุญใหญ่ เป็นบุญในอปจายนมัย การแสดงความนอบน้อมต่อผู้ที่สมควร ถ้าหากว่าเราจะนับกันตามสิ่งที่ได้แสดงออก ก็เป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ อปจายนมัย คือความอ่อนน้อมถ่อมตน ทำให้เราพบเห็น มีความเย็นตาเย็นใจเกิดขึ้น เกิดความรักความเมตตาต่อผู้ที่แสดงออก เป็นการสร้างความดีให้เกิดขึ้นในใจของผู้อื่น ดังนั้นถึงได้เกิดบุญอย่างนี้ขึ้น บางทีเราสงสัยว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ มีอปจายนมัย คือ ความอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ด้วย ก็เป็นด้วยหลักการทั้งหลายที่ว่ามา


    คราวนี้ในส่วนการกล่าวขอขมาต่อพระรัตนตรัย เป็นการที่ได้ปลดเปลื้องกรรมใหญ่ที่ได้สร้างเอาไว้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กรรมส่วนนี้จะคอยขวางให้การเข้าถึงธรรมของพวกเราช้าลง เพราะว่ากติกาข้อแรกของการเป็นพระอริยเจ้า คือ ต้องเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยกาย วาจา และใจ ถ้าหากว่าเคยล้วงล้ำก้ำเกินเอาไว้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะคอยขวางอยู่ตลอด โอกาสเข้าถึงมรรคผลจะล่าช้าไป เนิ่นช้าไป เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำในวันนี้ จัดว่าเป็นบุญใหญ่มาก คือ นอกจากจะเป็น ๑ ใน ๑๐ ของบุญกิริยาวัตถุที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนไว้แล้ว ยังเป็นอนุสสติ คือการระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วย ขณะเดียวกันยังเป็นการตัดกรรมที่เราเคยสร้าง


    ถือว่าปีใหม่นี้ เราได้สร้างบุญเป็นการเฉลิมฉลองปีใหม่ ขึ้นชื่อว่าบุญก็คือความดี ความงาม ความสุข ความฉลาด ที่จะส่งผลดลให้สิ่งต่าง ๆ เป็นไปในอนาคตข้างหน้าของเรา สมเด็จพระสังฆราชญาโณทยมหาเถระ วัดสระเกศ ท่านได้ตรัสเอาไว้ว่า "ตราบใดเรายังเวียนตายเวียนเกิดอยู่ ตราบนั้นบุญยังเป็นความสำคัญ เพราะบุญย่อมส่งวิบาก คือผลที่จะได้รับแต่ในด้านดีอย่างเดียวเท่านั้น"
    จะเห็นว่านักปราชญ์ที่สรรเสริญในเรื่องของบุญเรื่องของความดี แม้ว่าในส่วนบุญของเราทำมันเป็นสามิสสุข ก็คือ ความสุขที่ต้องประกอบด้วยอามิส อย่างเช่น เครื่องบูชา ทรัพย์สิน สิ่งของ เป็นต้น แต่ว่าถ้าเราจะไปกล่าวถึง นิรามิสสุข ก็คือ ความสุขที่ปราศจากการอิงอามิส ได้แก่ ความสุขใจที่เกิดจากการประพฤติ การปฏิบัติ อันนั้นก็เป็นคุณที่สูงเกินไป นิรามิสสุข คือความสุขที่ปราศจากอามิส ต้องประกอบไปด้วยพื้นฐานจากสามิสสุข พูดง่าย ๆ ก็คือว่า ถ้าไม่มีฐานก็ไม่มียอด


    ปัจจุบันนี้มีผู้รู้จำนวนมาก เขากล่าวว่าครูบาอาจารย์แต่ละท่านสอนให้ยึดติด เช่น ยึดติดในตัวบุคคล ยึดติดในวัตถุมงคล เป็นต้น อาตมาก็อยากทราบเหมือนกันว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้น รู้หรือเปล่า ว่าครูบาอาจารย์สมัยก่อน หรือว่าครูบาอาจารย์ที่อาศัยคำสอนที่เขาว่ายึดติดนั้น มีกุศโลบายอย่างไร ท่านบอกว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าสอนเพื่อความหลุดพ้น อาตมาก็อยากรู้ว่าถ้าเด็กมันยังไม่เรียนป.๑ แล้วก็มีผู้รู้มาบอกว่า เรียนปริญญาเอกไปเลย สูงสุดในพระพุทธศาสนา สูงสุดในประเทศของเรา ไม่มีอันไหนดีกว่านี้อีกแล้ว
    เด็กกะโปโลที่ ก.ไก่ ยังเขียนไม่ได้ มันจะเรียนได้ไหม?
    หรือไม่ก็ชี้ไปบนยอดเจดีย์นู่น ทองคำประดับเพชรด้วย ดีที่สุด แพงที่สุด เด่นที่สุด สร้างด้วยฉัตรยอดทอง ฐานเจดีย์ไม่ต้องหรอก ฉัตรคงจะลอยอยู่ได้...


    ถึงได้กล่าวว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเนื่องถึงกัน ท่านที่รู้จริงจะไม่ปฏิเสธสมมติ แล้วขณะเดียวกันก็ไม่ได้สรรเสริญวิมุตติโดยจุดเดียว อย่าลืมว่าแม้จะเป็นสิ่งสมมติ พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นสัจจะ คือ ความเป็นจริง ท่านใช้คำว่า สมมติสัจจะ ขณะเดียวกัน บางสิ่งจริงแท้ที่เป็นสภาวะธรรม ท่านก็เรียกว่า ปรมัตถสัจจะ ในเมื่อมีทั้งส่วนของสมมติและส่วนของปรมัตถ์ คนที่ก้าวล่วงสมมติอย่างแท้จริงจะเห็นคุณค่า จะไม่เหยียบย่ำทำลายสิ่งสมมตินั้น

    ตามประวัติหลวงปู่มั่น ที่หลวงตามหาบัวท่านเขียนเอาไว้ ท่านบอกว่าวันที่หลวงปู่มั่นบรรลุธรรม ท่านนั่งกราบกระท่อมที่ท่านทำสมาธิอยู่ กราบแล้วกราบอีก น้ำตาไหลน้ำตาร่วงด้วยความปิติ
    เพราะเห็นจริง ๆ ว่าทุกอย่างเป็นธรรมะหมด กระท่อมหลังนั้น เกิดขึ้น เปลี่ยนไป และกำลังสลายตัวไปเรื่อย ๆ จะพังอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ต้นไม้สัตว์ป่า ก้อนหินทุกก้อนก็เหมือนกัน ตัวของท่านเองกระทั่งจีวร อัฐบริขารต่าง ๆ ก็สภาพเดียวกัน เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนในท่ามกลาง และท้ายสุดก็สลายไป กลายเป็นว่าสมมติทั้งหมดกลายเป็นวิมุติ สิ่งสมมติกลายเป็นปรมัตถ์ มันขึ้นอยู่กับสภาวะจิตของเราว่าเข้าถึงระดับไหน

    เราจึงต้องอาศัยสมมติเหมือนกับเป็นน้ำที่รองรับเรือ เพื่อที่จะก้าวข้ามวัฏฏสงสารอันกว้างใหญ่ โดยการละชั่ว ทำดี เว้นบาป สร้างบุญไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าบุญมันเต็มจริง ๆ มันจะปล่อยวางของมันเอง ถึงเวลานั้นรู้ว่าอันไหนดีก็ทำ รู้ว่าอันไหนชั่วก็ละ ไม่ติดแล้วทั้งดีทั้งชั่ว ก็แปลว่าเราสามารถที่จะก้าวพ้นไปได้ เพราะไม่มีอะไรยึดเกาะ แต่ถ้าหากว่าเราเองยังมีการแบ่งว่าอันนี้เป็นสมมติ อันนี้เป็นวิมุตติ อันนี้เป็นสมมติสัจจะ อันนี้เป็นปรมัตถสัจจะ แสดงว่าสภาพจิตของเรามันยังก้าวไม่ถึง ความเป็นจริงแท้ ยังมีการแบ่งแยกว่ายังมีเรา ยังมีเขา ก็แปลว่ายังมีตัวตนที่เป็นอัตตาอยู่ เข้าไม่ถึงความเป็นอนัตตาอย่างแท้จริง

    ดังนั้นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราสามารถใช้ในการทบทวนตัวเองของเราได้ ดูย้อนหลังการปฏิบัติของเราได้ ว่าที่เราทำมาตั้งแต่จนบัดนี้ จริง ๆ แล้วตอนนี้เราได้อะไรบ้าง อย่าลืมว่า อิทธิบาท ๔ ตัวสุดท้ายสำคัญที่สุด เรามีฉันทะพอใจที่จะทำ ต้องมีแน่นอนไม่งั้นเราไม่หันมาสนใจปฏิบัติหรอก วิริยะเราพากเพียรทำไปแล้ว ท้อถอยบ้างแต่ก็ยังไม่ทิ้ง จิตตะเป้าหมายของเราแน่นอน แต่คลอนแคลนไปตามกระแสของรักโลภโกรธ หลง แต่อย่างไร ๆ เข็มทิศมันเล็งเป้า มันก็เหลือแต่วิมังสา คือตัวไตร่ตรองทบทวน ปัจจุบันนี้แม้แต่บริษัทห้างร้านของเอกชนก็ใช้หลักธรรมข้อนี้อยู่เสมอ ก็คือการสรุปและประเมินผล คือตัววิมังสานี่เอง


    เราต้องทบทวนตัวเองอยู่เสมอว่าเราทำอะไร เพื่ออะไร สิ่งที่เราทำนั้นตอนนี้เราทำได้เท่าไหร่แล้ว ปัจจุบันนี้ยืนอยู่ตรงจุดไหน ทิศทางที่มุ่งไป ยังตรงกับเป้าหมายเดิมหรือไม่ ถ้าเราสามารถทบทวนตรงนี้ไว้เสมอ เราก็แก้ไขจุดบกพร่องที่จะมีจะเกิดขึ้นกับตัวเราเองได้ แต่ถ้าหากว่าเราขาดตัวทบทวนตัวนี้
    ความก้าวหน้าในการปฏิบัติจะมีน้อยเกินไป

    ก็เลยถือโอกาสปีใหม่นี้ ที่พวกเราได้มาทำสามีจิกรรม อปจายนมัย ประกอบด้วยบุญใหญ่ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ สรรเสริญไว้ กล่าวให้พวกเราได้ตระหนักว่า สิ่งที่เราทั้งหลายได้ทำนั้นเป็นความดี แต่เป็นความดีระดับไหน เป็นความดีแค่ระดับสมมติสัจจะ หรือเป็นความดีในระดับปรมัตถสัจจะ ขึ้นอยู่กับกำลังของแต่ละคนซึ่งไม่เท่ากัน จะมองเห็นในระดับไหน จะสามารถตะเกียกตะกายก้าวสู่ขึ้นไปในระดับที่สูงหรือไม่นั้น เป็นภาระของแต่ละคน ที่จะได้ทำต่อไปในโอกาสหน้า


    ท้ายสุดนี้ อาตมาภาพ ขอตั้งสัตยาธิษฐานอ้างคุณพระศรีรัตนตรัย คือพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะเป็นประธาน มีบารมีหลวงปู่ปานวัดบางนมโค และหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นที่สุด ตลอดจนกุศล ผลบุญที่ญาติโยมได้ตั้งใจบำเพ็ญมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ เข้ารวมกันเป็นพลวปัจจัย ดลบันดาลให้ทุกท่าน มีความเป็นอยู่คล่องตัว มีความปรารถนาที่สมหวังกันทุกประการ เป็นผู้มีความเจริญก้าวหน้าทั้งทางโลกและทางธรรม ปรารถนาสิ่งใดที่ไม่เกินวิสัยแล้วไซร้ ขอให้ความปรารถนาทั้งหลาย เหล่านั้น จงสำเร็จ จงสำเร็จ จงสำเร็จ ทุกประการด้วยเทอญ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2014
  20. Piagk3

    Piagk3 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +1,222
    คุณ โป โล นำพระสูตร หรือ พุทธพจน์ ของพระพุทธเจ้ามากล่าวถูกต้องแล้ว เพราะทุกวันนี้ พระ และฆราวาสไม่ได้ศึกษา พุทธวจนจึงเข้าใจผิด ตีความผิดเข้าข้างตนเอง เลยกระทำผิดวินัย
     

แชร์หน้านี้

Loading...