อยากทราบว่ามีวิธีใดในการประคองตัวเราให้ไม่ล้มเลิกการปฏิบัติธรรม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย DuchessFidgette, 19 มกราคม 2014.

  1. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    รอความเห็นท่านผู้รู้มาเล่าเรื่องวิชาธรรมกายคะ
    เห็นเขาบอกว่ามีวิชากลับเพศ ให้หญิงเป็นชาย ให้ชายเป็นหญิงด้วย
     
  2. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849
    การปราบกิเลส เป็นหน้าที่ของปัญญา

    ซึ่งเป็นปัญญาในทางธรรม
    และ ปัญญาตัวนี้ มันเป็นผลงาน ของจิต ที่มีสมาธิ
    ที่เรียกว่า สัมมาสมาธิ
    และ สัมมาสมาธิ ตัวนี้ มันเป็นผลงาน ของสติที่ต่อเนื่อง
    ที่เรียกว่า สติวินะโย

    เราฝึกเจริญสติ ก็เพื่อ ให้เป็นสติวินะโย ให้มีสติเป็นผู้นำจิต

    แน่นอนว่า อาจจะเคยได้ยินว่า สติ ปราบกิเลสไม่ได้

    แต่ลองทำความเข้าใจว่า

    สติป็นต้นทาง ของการทำให้เกิดปัญญา ของการปราบกิเลส

    และ สติ สมาธิ ปัญญา ตัวนี้
    มันจะเป็น เหตุ ปัจจัย ส่งต่อกันเอง ไปเป็นลำดับ โดยอัตโนมัติ



    ฉะนั้น ในการฝึกฝน จึงมุ่งที่เพียรสร้าง สติ
    ส่วนที่เหลือ มันจะเป็นผลงาน ที่จะงอกเงยมาเอง


    สำหรับ สติวินะโย ผมเข้าใจว่า
    มีได้ตั้งแต่พระอนาคามีเป็นต้นไป
    อย่าง เรายังเป็นผู้ฝึก ก็ควรมุ่งสร้างความเพียรต่อไป


    ในส่วนของการ ทำสติ ตามรู้ หรือจะเรียกว่า ตามรู้อย่างเดียว
    มันพิศูจน์ได้ง่าย เพียงแต่ลองทำดู

    การตั้งใจ จงใจทำให้เกิดสติ ตัวนี้เป็นวิธีการฝึก เป็นอุบายให้ฝึก
    หากมีคำถามว่า มันใช่ สติหรือยัง ที่บอกว่า ทำสติตามรู้
    ตอบว่า ตัวนี้ยังไม่ใช่ มันเป็นเพียง การฝึก ต้องอาศัยการฝึกตัวนี้

    จึงจะได้คำตอบ ของ สติ ที่ถูกต้อง ที่เรียกว่า สัมมาสติ


    ในส่วนของคนป่วย
    หากป่วยอยู่ให้ระรึกรู้ว่าไม่เจ็บ
    อันนั้นไม่ถูกต้องครับ
    มีแต่ให้ฝึกรู้ตามความเป็นจริง
     
  3. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040


    ตรงที่คุณแย้งมา นั่นก็คือที่มา ที่ผมต้องใช้ว่า "สัมมาสติ"


    ผมไม่ได้ใช้คำว่า พวกฤษี นักพรต ฯลฯ สมัยยังไม่มีพระธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเหล่านั้นเจริญ "สัมมาสติ"นะ


    ถ้าไม่มีสติ จะควบคุมจิตให้จดจ่อในอารมณ์ที่เพ่งไม่ได้
    ถ้าไม่มีสติ จะควบคุมใจให้คิดนึกระลึกรู้ในอารมณ์ที่จิตจดจ่อไม่ได้
    แต่...อารมณ์ที่ท่านเหล่านั้นใช้ มีไม่น้อยที่ยังไม่ได้เป็น"สัมมาสติ"ต่างหากเล่า

    การที่ผมอ้างถึงเรื่องเหล่านี้ ...เพราะคำถามและการบอกเล่าของเจ้าของกระทู้ กำลังเล่าถึงการเจริญสติ การทรงฌาณ และสงสัยเรื่องการจะทำให้การเจริญสติเป็นสติวินะโยฯ ผมจึงต้องอ้างอิงเล่าความมาตั้งแต่สมัย
    ที่มีการใช้สติในการทำฌาณ ตั้งแต่ยังไม่มีพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า


    --------------------------------------------------------------

    อะไรเล่า เป็นที่มาของ "สัมมาสติ"





    การที่ผมยังไม่เฉลยหมด กล่าวถึงทั้งหมด
    เพราะต้องการเพียงให้ผู้สงสัย ย้อนกลับมาเห็นที่กาย ที่ใจของตน
    และทบทวนเทียบเคียงจากพระธรรมแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยตนเอง
    จะตอบปัญหาตั้งแต่ต้นได้ด้วยตนเอง

    ถ้ายังไม่ได้ทบทวน ค้นคว้า แล้วคุณraming เข้ามาถามเช่นนี้
    ก็จะตอบ


    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
    ทีฆนิกาย มหาวรรค


    สัมมาสติ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่
    มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้
    พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯลฯ พิจารณา
    เห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและ
    โทมนัสในโลกเสียได้ อันนี้เรียกว่า สัมมาสติ ฯ


    -----------------------------------------------------------------
    สรุปสั้นๆคือ สติปัฏฐานสี่ มีสติในกาย เวทนา จิต ธรรม


    ( มีต่อ.....)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 มกราคม 2014
  4. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040


    -----------------------------------


    คุณกล่าวเช่นนั้น ยังไม่ถูกต้องนัก


    จาก ที่คุณraming555กล่าวว่า " จะบอกว่าวิชชาธรรมกายไม่มีมิจฉาสมาธิไม่ได้นะ ถ้าไม่มีมิจฉาสมาธินิกายที่คลอง3จะเกิดขึ้นไม่ได้ "

    ผมขอย้อนถามคุณraming2555 ให้พิจารณาเปรียบเทียบจากข้อความของคุณเองว่า .... แก่นแท้ของมหาสติปัฏฐานสี่ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน นั้นมีอยู่ แต่คนไม่เรียน ไม่ปฏิบัติให้เห็นผลตามที่ท่านวางแนวทางไว้ จะกล่าวด้วยถ้อยคำที่ขาดการพิจารณาอย่างแยบคายได้อย่างไรว่า "สติปัฏฐานสี่ เป็นมิจฉาสติ"


    ( มีต่อ )(ผมต้องรับโทรศัพท์และคุยงานไปด้วย เลยต้องคั่นตอบเป็นระยะ ขออภัย )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 มกราคม 2014
  5. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    (ต่อจากข้างบน)





    -----------------------------------




    ...เรื่องรายละเอียดในการเจริญสติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย
    จะกล่าวตอนนี้ ในกระทู้นี้ ดูจะยังไม่เหมาะสมบางประการ
    รายละเอียดในการปฏิบัติตามทางที่ครูต้นคือหลวงปู่สดวางไว้
    ในส่วนรายละเอียด เป็นเรื่องที่ต้องอยู่ภายใต้การปฏิบัติอย่างใกล้ชิด
    ไม่ใช่เรื่องที่จะนำมาเขี่ยนเป็นคำพูดได้ทุกเรื่องรายละเอียด


    แต่ ...ขอให้หัวใจ เป้าหมายพิจารณาให้แตก ประเด็นใหญ่คือ

    จากพุทธดำรัสในพระไตรปิฏก เรื่องสัมมาสติอันเป็นสติปัฏฐานสี่นั่นเอง
    ตรงประโยคที่ว่า "มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้ "

    ตรงนี้แหละ จะทำให้ท่านที่มีปัญญา พิจารณา

    ไม่ว่าจะเป็นสายไหน ครูคนใด สำนักใด กลุ่มใดๆในสายนั้นๆ

    หากปฏิบัติและพิจารณาอย่างแยบคาย ไม่ขาดตรงประโยคนี้แล้ว การออกนอกทางที่เป็นสัมมาปฏิบัติ ก็มีโอกาสน้อยลงไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 มกราคม 2014
  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040

    นั่นเป็นแค่ของแถม หรือ อภิญญา ที่มีในทุกสายครับ
    ใครทำตามหลักสูตรที่พระพุทธเจ้าวางไว้ หรือมีวาสนาเก่าบำเพ็ญมา
    ท่านก็ทำได้เช่นกัน

    ส่วนรายละเอียดในการทำ นั้นมี แต่ไม่ใช่เป้าหมายของการเจริญวิชชาฯ

    สมัยนั้น คุณยายแม่ชีในสมัยหลวงพ่อสด ท่านชอบพิสูจน์ เลยลองทำ
    ตามที่มีการบันทึกเล่าต่อๆกันมานั่น

    จะจริงเท็จแค่ไหน เอาแค่ทำเบื้องต้นอย่างอนุบาลให้ได้ก่อนนะครับ
    คือ เห็นดวงปฐมมรรคได้ตลอด ไม่ว่าหลับตาลืมตา
    มีสติ มีสัมปชัญญะ กำจัดนิวรณ์ได้อย่างคล่อง
     
  7. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040
    ..ท่านเจ้าของกระทู้ ยังไม่ตอบผมเลยนะครับ

    ว่า...


    " การใส่เสื้อผ้าที่ชอบหลายๆชั้น แล้วต้องมาคอยปรับแอร์คอนดิชั่นเนอร์บ่อยๆ เป็นทุกข์หรือไม่"

    เป็นคำถามแรกๆที่ผมถามไว้ เพื่อนำเข้าสู่เรื่องสัมมาสติ
     
  8. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,243
    กระทู้เรื่องเด่น:
    998
    ค่าพลัง:
    +70,040



    [​IMG]
     
  9. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    โดยเนื้อหาผมมองว่ามันเป็นกุศโลบาย ชักนำให้เด็กชอบที่จะไปโรงเรียน
    เพื่อจะได้มีวิชชาความรู้ในทางโลก

    ส่วนในทางธรรม หากไม่เข้าถึงในกุศโลบาย ก็จะไม่รู้จักคุณค่าของศีล
    ก็จะกลายเป็นการยึดในศีลพรต การอยู่ในกรอบรั้วของศีล เช่นศีล5 ศีล8
    เพื่อให้รู้จักสติการยับยั้งต่อการละเมิด กรรมทุจริตทั้ง3 ในเบื้องต้น
    จนเข้าถึงศีลในกรอบของทวารทั้ง6 มีความสำรวมในอินทรีย์

    แม้การทำความสงบโดยสมาธิ สิ่งเหล่านี้เป็นกุศโลบายทั้งนั้น

    นิมิตเสมือนเอาขนมมาล่อเด็ก จุดประสงค์ของสมาธิก็เพื่อให้จิตมีความตั้งมั่น
    และน้อมไปสู่การพิจารณา ให้เห็นในไตรลักษณ์

    จึงอยู่ที่ว่าเด็กนั้น จะงอแง ยึดขนม มาเป็นของตนหรือป่าว เท่านั้นเอง

    พอโตขึ้นมา และหากรู้จักย้อนกลับไปพิจารณา คุณค่าของอุบายมนสิการนั้น มันมีอยู่จริง

    แม้โกหกคำโตของผู้ใหญ่ ที่ผ่านมาก่อน หลอกเด็กให้แสวงในวิชชา ไม่ให้ซุกซน มันมีอยู่จริง เช่นกัน ไม่ใช่เล่นๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2014
  10. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  11. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,342
    ค่าพลัง:
    +6,849

    ตัวอย่างเช่น



    [๒๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่อย่างไรเล่า
    ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์
    ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า เมื่อ
    หายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เรา
    หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้า
    สั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอด
    กองลมหายใจทั้งปวงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกอง
    ลมหายใจทั้งปวงหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจออก
    ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจเข้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายช่าง
    กลึงหรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ขยัน เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่า เราชักยาว
    เมื่อชักเชือกกลึงสั้น ก็รู้ชัดว่า เราชักสั้น แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน
    เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า
    เราหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น เมื่อหายใจ
    เข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลม
    ทั้งปวงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวงหายใจเข้า
    ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เรา
    จักระงับกายสังขารหายใจเข้า ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายใน
    กายภายในบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายทั้ง
    ภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง พิจารณาเห็น
    ธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อม
    ในกายบ้าง ย่อมอยู่ อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่ ก็เพียง
    สักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัย
    อยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า
    พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ



    อีกข้อหนึ่ง เช่น



    [๒๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเมื่อเดิน ก็รู้ชัดว่าเราเดิน
    เมื่อยืน ก็รู้ชัดว่าเรายืน เมื่อนั่ง ก็รู้ชัดว่าเรานั่ง เมื่อนอนก็รู้ชัดว่าเรานอน หรือ
    เธอตั้งกายไว้ด้วยอาการอย่างใดๆ ก็รู้ชัดอาการอย่างนั้นๆ
    ดังพรรณนามาฉะนี้
    ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง
    พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิด
    ขึ้นในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือ
    ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง ย่อมอยู่ อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่น
    อยู่ว่า กายมีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อัน
    ตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ


    111111111111111111111111111111111111111111111111


    หากทำตาม ข้างต้น ในพระไตรปิฎก
    ผลที่ได้ ที่เกิด จะเป็น สติที่ถูกต้อง (สัมมาสติ )

    อ่านต่อ ที่นี่
     
  12. torelax9

    torelax9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +527
    สุข จากกรรมฐานกองกสิณที่คุณ Dus ฝึก ผมไม่แน่ใจว่าจะเหมือน กรรมฐานกองอื่นไหม เพราะผมไม่ได้ฝึกกองกสิณ ซึ่งบุคคลที่ได้กองกสิณคุณ Duss ก็รู้ว่าเป็นใคร
    ผมฝึกสติอยู่กับลมหายใจ สิ่งที่ได้รับ มีความสุขกว่าแน่นอน สุขทุกชนิดทางโลกไม่ว่าจะเป็นการได้เที่ยวดูชมสถานที่สวยๆ การได้กินของอร่อย และที่สุดยอดความสุขทางโลกที่คนทางโลกติดมากที่สุดคือ สุขจากเพศรสจากการเสพกามราคะ ซึ่งผมก็เคยผ่านมาและเคยเสพติด หากเทียบความสุขช้อตต่อช้อต วิต่อวิ(วินาที) ความสุขทางโลกเหล่านี้ยังไม่ได้ครึ่ง ยังไม่ได้เสี้ยวของความสุขที่ได้รับจากการมีสติรู้ลมหายใจ ผมไม่มีอาการเหมือนคนมึนๆ นะ อย่างที่เล่ามา คุณ Duss ต้องลองเทียบเคียงเล่าสู่กันฟังกับคนฝึกกสิณดูครับ
     
  13. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    อาการเพ่งโดยสามัญลักษณะ เพื่อให้มี ให้เป็น

    พอออกจากสมาธิ จะมีอาการมึน ทึบ ไม่โล่ง ไม่โปร่ง ไม่บริสุทธิ์

    เป็นสภาวะลักษณะของมิจฉาสมาธิ

    ส่วนลักษณะของสมาธิในทางพุทธ อาการจะตรงกันข้าม
     
  14. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    แม้จะเข้ามาตอบช้าไปหน่อย
    แต่ก็คงไม่สายเกินไปครับ
    จึงขออธิบายในสัจธรรมว่า

    การที่เราปราถนาจะทำอะไร นั้น มันเริ่มต้นจาก เราต้องตั้งคำถามว่า เรากำลังจะอยากได้อะไรหรือทำสิ่งเหล่านั้นไปทำไม แน่นอน คำตอบเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ต้องให้เหตุผลที่ดีมากพอจึงทำให้เราคิดอย่างนั้นเลือกอย่างนั้นและทำเช่นนั้น

    การประคับประคองจิตตนเพื่อสิ่งนั้นจึงย่อมต้องรู้เหตุผลที่มาที่ไปผลที่จะได้รับ

    การปฏิบัติธรรม ก็เช่นกัน การที่เราจะรักษาหรือปฏิบัติไปอย่างนั้นตลอดไป เพราะเหตุใดเราจึงคิดอย่างนั้น คำตอบจึงมีอยู่ว่า เพราะสิ่งเหล่านั้นให้ผลที่ดีแก่ท่านอย่างไร ควรค่าแก่การปฏิบัติมากมายแก่ท่านนั่นเอง

    บางคนก็อาจจะมีปัญญาน้อย ก็อาศัยศรัทธาเป็นเครื่องนำทาง หรือปรัชญาที่ดีเป็นเครื่องนำทาง โลกนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่า จิตใจและความคิด เพราะนี่คือผู้นำแห่งจิตวิญญาณนั่นเอง เมื่อมีสิ่งนี้แล้ว ทุกอย่างย่อมสำเร็จได้ด้วยจิตของท่านครับ
     
  15. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +4,065
    อความดั้งเดิมโดยคุณ DuchessFidgette อ่านข้อความ
    ขอบคุณสมาชิกทุกท่านที่เข้ามาให้ความรู้คะ

    ดิฉันมีเรื่องอยากจะถามเกี่ยวกับการปฏิบัติเจริญสติด้วยคะว่า
    มีท่านใดในนี้ที่ทำได้จนตัวสตินี้เป็นกลายเป็นสติวินะโยแล้ว
    และสามารถทรงฌเาณได้ตลอดเวลา อยากทราบคะว่าสุขจาก
    การทรงฌาณตลอดนี้มันมากกว่าสุขจากกิเลสที่ดิฉันได้ไปพบเห็น
    อย่างไร? คือ ดิฉันเคยพยามทรงฌาณตลอด อย่างตอนที่พิมพ์นี้ก็
    ทรงอยู่ แต่สิ่งที่ได้มา มันเหมือนคน มึนๆ เวลาโดนผ่าตัดวาง
    ยาสลบ และตัวเรารู้สึกติดอยู่ในกล่องรู้ตัวแต่ออกไม่ได้ขยับไม่ได้
    และออกเหนื่อยๆด้วยคะ จะต้องแก้ไขยังไงอะคะ

    และถามสภาวะนี้ใช่สุขไหมสำหรับดิฉันมันคือไม่ใช่นะคะ
    และทำให้หายใจอึดอัดยังไงบอกไม่ถูก..

    :cool:..ข้อความข้างบนนี้ น่าสนใจมากครับ
    อาการ สะอาด สว่าง สงบ ของคุณขาดหายไป หากจะพูดว่าการทรงฌาน กับการทรงสติปัฏฐาน4..นั้นคือ อาการอย่างเดียวกันนั่นเอง นี่เป็นความเห็นส่วนตัวครับ

    ผมเคยมีปรากฏการณ์ ไปไหนมาไหน จิตไม่เคยวอกแวก แส่ส่าย เดิน กิน นั่ง นอน ไม่เคยคิด 2เรื่องในเวลาเดียวกัน-ไม่เคยเป็นเลย จนแปลกใจเขาเป็นหนึ่งเสมอ ..เขาเป็นหนึ่งเสมอ เขาเป็นเอง ผมไม่รู้ว่าเป็นอะไร
    มีอาการ สะอาด-สว่าง-สงบ มองใคร เห็นกริยาใคร เห็นไปถึงข้างในลึกๆของจิตใจ-นิสสัยเขาผู้นั้น จิตใจเรารายงานหมด ตั้งแต่ การเดิน-พูด-แต่งตัว-แสดงความเห็น ของใครก็ตามที่เข้ามาคุยหรือสนทนากับผม..และไม่เคยพลาดเกิน 5-10 เปอร์เซ็นต์
    จิตใจดีทุกวินาที เฉยสงบ สะอาด สว่าง ตื่นอยู่ตลอดเวลา ไม่มีทุกข์เลยไม่เคยแส่ส่ายคิดในเรื่องร้าย มีแต่จิตใจที่จะเผื่อแผ่หากเห็นอะไรไม่ถูกต้องตามกฏระเบียบ ใครขอให้ช่วยจะทำทันที ด้วยสติปัญญาพร้อมพรรค

    :cool:..อ่านดูแล้ว อย่าเพิ่งหมั่นไส้นะครับ และอย่าได้คิดว่าผมบรรลุธรรมอะไร..นั่นปรากฏการณ์เช่นนั้นผมยังจำได้ไม่ลืมเลือน ..ปัจจุบัน ด่าพ่อ ล่อแม่ง ได้ละเอียดกว่าเดิมหากจงใจจะด่าใคร อิอิ
    ตอบกะทู้คำถามคุณนะครับ..เดิน-ดำเนินชีวิตด้วยมรรคมีองค์8..ศิลดี จิตจะแจ่มใส สะอาดตาม-จริงใจ ซื่อสัตย์ กับจิตใจตนเองโดยมีศิลกำกับ ยิ่งทำยากยิ่งเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้ลึกซึ้งเกินพรรณา หากทำดีแล้ว เหตุใดจึงร้อนลุ่ม ไม่สดใส ให้รีบตรวจสอบ.."องค์ศิล"..ในตัวเราทันทีครับ สาธุ
    เราแสดงธรรมตามสามารถแล้ว การไตร่ตรองธรรม พิจราณาธรรม แทงตลอดธรรม ตัวใครตัวมันนะครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2014
  16. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +4,065
    คุณบอกมาก่อน คุณเป็นพวก แก๊งคต์ โสดาบัน ใบประกาศใช่ไหม สมัคมาใหม่เลยนี่ จงใจมาพบผมรึ อิอิ
    (เรียนท่าน เจ้าของเวป..มีการแสปม-ข้อความ-รูปภาพ-ทำให้เสียหาย ช่วยแจ้ง-ตักเตือน MD ด้วยครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2014
  17. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +4,065
    ..ถึงเจ้าของเวปครับ..มีการแสปม-เปลี่ยนข้อความที่โพสต์ ช่วยตรวจสอบด้วย ครับ
     
  18. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,837
    ค่าพลัง:
    +2,233
    หากตนเองไม่ได้มีทุกข์อยู่ ก็ลองมองชีวิตรอบๆ ตัวดูว่า
    คนต่างๆ ที่เราเห็น เค้าเกิดมาแล้วมีความทุกข์กันอยู่หรือไม่
    หากมี แล้วเค้าทุกข์กันด้วยเรื่องอะไร เช่น ต้องหาที่อยู่อาศัยบ้าง
    ต้องหางานบ้าง ต้องทำงานที่ไม่ชอบบ้าง ต้องเลี้ยงดูลูกเต้าบ้าง กันหรือไม่
    แม้สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ชอบธรรม แต่ก็ต้องดิ้นรนขวนขวายประคองชีวิตกันนั้นเอง

    และเมื่อลองพิจารณาทุกข์แล้ว ก็ลองย้อนกลับมาดูตัว
    ตอนนี้แม้ยังมีความสุขดีอยู่ ก็ลองพิจารณาดูว่า
    มันเที่ยงมั้ย มันเสื่อมเข้าสักวันได้มั้ย เรามีความสุข
    อยู่ได้แบบนี้เพราะอะไร หากสิ่งที่เราพึ่งพิงอาศัยที่เป็นเหตุนั้น
    เสื่อมหรือจากไปสักวันหนึ่ง เราจะเสื่อมจากความสุขนี้มั้ย

    เมื่อพิจาณาได้แบบนี้แล้ว .. ก็ลองนำคำสอนนักปราชญ์
    เช่นขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาพิจารณาต่อไปว่า
    แล้วอะไรที่ท่านกล่าวว่าเป็นสุขที่แท้จริงของชีวิต

    ขอฝากธรรมเล็กๆน้อยๆ ไว้ให้ท่าน โปรดพิจารณาด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2014
  19. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    ความทุกข์มีอยู่เสมอ ท่านมองเห็นไหม
    ความแก่มีอยู่ ความเจ็บป่วยเรื้อรังนั่นก็ทุกข์
    บางทีเราอาศัยทุกข์เข้าหาธรรมในตอนเริ่มแรก
    บางทีเราอาจจะอาศัย ความสุข ความสงบเย็น ว่าง ในการปฏิบัติธรรมต่อไป
    ความสุขลักษณะนี้แม้จะเป็นอวิชาขณะนี้ แต่เราก็สามารถอาศัยมันในเบื้องต้นเบื้องกลางได้เหมือนกัน

    มองความแก่ แห่งความทุกข์

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=MiRMD_v2K0g#t=43]Day 1 [ 3 years - lip sync everyday ] - YouTube[/ame]
     
  20. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301


    อะไรคือดวงปฐมมรรคคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...