จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    ท่านพ่อภู่ ใจอ่อน ยอมผ่อนโซ่...
    แต่ให้โผล่ ออกมา แค่หน้าถ้ำ...
    กลัวลูกสาว เอาวิชชา ท่านไปยำ...
    ท่านเลยย้ำ หนักหนา อย่าลองดี..

    อยากเป็นนัก แต่งกลอน กวีเอก..
    โดนมะเหงก หัวช้ำ ไปหลายที่...
    พ่อภู่บอก "ฟัง.. ตั้งสติ.. ให้ดีดี"..
    เขียนกลอนนี้ ไม่ได้ง่าย ดังใจคิด...

    สัมผัสนอก สัมผัสใน ต้องให้ครบ...
    อย่าหลบๆ ซ่อนๆ กลอนมันติด...
    เขียนออกไป ให้ดูดี มีข้อคิด..
    หยิบข้อธรรม มาพินิจ พิจารณา...

    เอาละซี ครานี้ พี่จุ๋มบอด..
    กว่าจะรอด หนึ่งบท รันทดหนา..
    บางบทอ่าน แล้วฝืน กลืนน้ำตา...
    โดนพ่อด่า ต้องเขียนใหม่ ให้คล้องกัน...

    เขียนข้อธรรม คำกลอน สอนให้คิด...
    สติกับดวงจิต สถิตย์มั่น..
    จิตว่อกแว่ก ย่นย่อ ก็จบกัน...
    อ่านไม่มัน ไร้ข้อคิด จิตมืดมัว..

    ออกมานาน แล้วหนอ ขอเข้าถ้ำ...
    กลัวโดนซ้ำ ลูกมะกรูด ปูดที่หัว...
    พ่อภู่บอก ตอกย้ำ "ระวังตัว"...
    เอาขวดเหล้า โขกหัว กลัวจุงเบยยย.......rabbit_run_awayrabbit_run_away

    หมายเหตุ เหล้าพ่อภู เอ๊ย!!... พ่อภู่ มีแต่ขวด
    น้ำข้างใน โดนดวด ไปหมดแย้วว... ฮาาาาา.....
     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    [​IMG]

    ขอนำเสนอภาพอิ่มบุญๆ
    กลุ่มจิตบุญ..จิตเกาะพระ ในต่างแดน

    [Great Britain]
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    You have NEVER seen something like this! - YouTube

    WOW!
    มีอะไรบ้าง ที่คนเราทำไม่ได้
    แม้นกระทั่งสัตว์ก็ยังเลียนแบบคนเราได้เลย​
     
  5. Maneetree

    Maneetree เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +122
    [​IMG]

    เกิดแต่ชาติปางก่อนอาวรณ์หวล
    ใจนึกครวญส่วนลึกข้างในนั้น
    เป็นอุ่นไอในความมิจีรัง
    ปลุกประดังขังทรวงถ่วงอารมณ์
    ...
    มนุษย์เอ๋ย ความอันชอบ จงปลอบจิต
    เถิดพินิจตรองตามความประสงค์
    มุ่งใฝ่รู้พร้อมธรรมจักดำรงค์
    ให้อยู่คง พิรมย์ดัง ที่ตั้งใจ
    ...
    เหนือกาลแห่งเวลาจักพาเห็น
    เจ้ารู้เย็น สงบนิ่ง จึงทิ้งได้
    ละความโลภโกรธหลงปลงออกไป
    ผืนแผ่นดิน รองรับไว้ มิร้อนเลย
    ...
    สาธุ

    มณต.อุลตร้า
    ๒๐ มกรคม ๒๕๕๗
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2014
  6. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]


    *** หลวงพ่อเล่าเรื่องเมืองนิพพาน ตอนที่ 3 / 3 (จบ) ***


    สมเด็จท่านตรัสเรื่องพระศาสนาว่า...
    "การขึ้นคราวนี้กว่าจะลงของพระพุทธศาสนา คนที่จะบรรลุมรรคผล คราวนี้นับโกฏิเหมือนกัน และจะไปโทรมเอา พ.ศ. ๔๕๐๐ ช่วงนี้จะขึ้นเรื่อยๆต่อไปไม่ช้าคำว่าพระนิพพานจะพูดกันติดปาก ชินเป็นของธรรมดา จะเห็นเป็นเรื่องปกติ"

    ถ้าเราจะถอยหลังไปจากนี้ ๒๐ ปี จะเห็นว่าจิตใจของคนเวลานี้ต่างกันเยอะ พูดถึงด้านความดีนะ เวลานี้ฟังแล้วทุกคนอยากไปนิพพาน สังเกตที่จดหมายมาบอกอยากจะไปนิพพานทั้งนั้น

    และจากนี้ไปอีกไม่ถึง ๒๐ ปี จะมีพระอริยเจ้านับแสนไม่ใช่ฉันสอนเป็นผู้เดียวหรอกนะ คือว่าเขาสอนกันโดยทั่วๆไป แต่ว่ากลุ่มเราจะมาก หมายถึงว่าอาจจะไม่มีตัวมาแต่มีหนังสือมีเทป กาลเวลามันเข้ามาถึง เวลานี้คนที่เข้าถึงมุมง่ายแล้ว กำลังใจมันตีขึ้นมา ถามว่าตอนก่อนทำไมไม่ให้สอนแบบนี้ ท่านบอกว่า คนมันหาว่าง่ายเกินไป มันเลยไม่เอาเลย จะต้องยากๆ แต่พวกของแกไม่มีใครเหลือ ท่านชี้จุดเลย ก็เลยดีใจ แล้วท่านก็บอกว่า

    "ต่อไปภาระมันจะหนัก ต้องวางพื้นฐานไว้"
    ก็ถามว่า "พื้นฐานจากพระองค์อื่นไม่มีหรือ"
    ท่านก็บอกว่า "พระองค์อื่นเขาก็มีความสามารถ ไม่ใช่ไม่มี แต่สงสัยว่าคนที่เรียนกรรมฐาน ๔๐ กับมหาสติปัฏฐานจนครบกันนี่มีกี่องค์ หมายถึงว่าทำได้ฌาน ๔ หมด"
    บอก "ไม่เคยถามชาวบ้านเขาเลย" ท่านบอก "ไม่มีหรอก ปัจจุบันนี้ ไม่มีใครเขาจบ มันเหลืออยู่แกคนเดียว ท่านปานก็ตายเสียแล้ว"

    ท่านบอกว่า "ผู้ที่จะทรงกรรมฐาน ๔๐ นี่ ต้องเป็นฝ่ายพุทธภูมิถึงขั้นปรมัตถบารมี ถ้ายังไม่เต็มปรมัตถบารมีนี่ยังไม่ได้กรรมฐาน ๔๐ ครบ พระโพธิสัตว์ต้องเรียนวิชาครู"

    ท่านก็ถามว่า "คุณทำไมไม่หมั่นขึ้นมา"
    ก็บอกว่า "เหนื่อยเต็มที ร่างกายเพลียมากก็ต้องชำระตัว เกรงว่าจะประมาท"
    ท่านถามว่า "คนอย่างแกยังมีคำว่าประมาทหรือ....?"
    เลยบอกท่านว่า "มี"
    ท่านถามว่า "ทำไมว่ามี....?"
    ก็เลยบอกว่า "ยังไม่รู้ตัวว่าดี"
    ท่านบอกว่า "เออ ใช้ได้"

    คือว่าถ้ารู้ตัวว่าดีเมื่อไรก็เลวเมื่อนั้น รู้ตัวว่าเราวิเศษแล้วเราประเสริฐแล้ว เราสำเร็จแล้ว ทุกข์มันก็เกิด แต่ว่าอารมณ์จิตถึงระดับนี้แล้ว มันก็คิดงั้นไม่ได้แล้วนะ เรื่องตัวนี้ชำระกันอยู่ตลอดวันเป็นปกติ คำว่าชำระก็หมายความว่า พิจารณาว่าร่างกายไม่มีความหมาย โลกนี้ไม่มีความหมาย คำว่าไม่มีความหมายมันติดอารมณ์

    สมเด็จท่านตรัสต่อไปว่า...
    "งานสาธารณประโยชน์ มันเป็น ปรมัตถบารมี อย่างสูงสุด อันนี้จะทำให้เร็วที่สุด ทำให้เร่งรัดพวกเราให้เร็วที่สุด ท่านบอกว่าให้คุณบอกลูกหลานไว้ จะได้รู้ว่าเป็นจุดที่มีกำลังแรงให้เข้าถึงได้เร็วที่สุด เป็นการบั่นทอนไอ้กฎของกรรมต่างๆ ที่มันคอยกั้นขวางเรา งานนี้มันเป็นเมตตากฎของกรรมมันก็ดันไม่อยู่"

    ต่อไปเรื่อง "สมเด็จองค์ปฐม" ซึ่งทรงพระนามว่า พระพุทธสิกขี พระพุทธเจ้านี่มีชื่อซ้ำกันนะ อย่าง เรวัติ ก็มีชื่อซ้ำกัน พระพุทธสิกขีนี่องค์ปฐมจริงๆ
    วันนั้นพบท่านเข้า พบจริงๆสมัยที่ พล.อ.ท.อาทร โรจนวิภาค อยู่ที่นครราชสีมา วันนั้นไปนั่งกรรมฐานกันเห็นพระพุทธเจ้าท่านเยอะ ยืนสองแถวพนมมือ เราคิดว่าพระพุทธเจ้าไหว้ใครไม่มี ใช่ไหม...ก็เลยถามหลวงพ่อปานว่า มีเรื่องอะไรกัน ท่านบอกว่า
    "ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จ"

    องค์ปฐม หมายถึงองค์แรกสุด ไม่มีครูสำหรับท่านเลย ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างหนัก ต้องเข้มแข็ง เดี๋ยวท่านเดินมากลางพระพุทธเจ้า ยืนสองข้างพนมมือตลอดสวยสว่าง จิตเราเลยสว่างเห็นอะไรชัดหมด"

    -------------------------
    จากหนังสือ "หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓"
    โดย พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]


    วิวัฒนาการของดาวฤกษ์
    ดาวฤกษ์ เกิดจาก การยุบรวมตัวของเนบิวลากลายเป็น ดาวฤกษ์ก่อนเกิด(protostar) และกลายเป็นดาวฤกษ์ในที่สุด
    ดาวฤกษ์ที่มีมวลน้อย แสงสว่างไม่มาก ใช้เชื้อเพลิงในอัตราที่น้อย จึงมีชีวิตยาว และจบชีวิตด้วยการไม่ระเบิด
    ดาวฤกษ์ที่มีขนาดใหญ่มีมวลมาก แสงสว่างมาก ใช้เชื้อเพลิงในอัตราที่สูงมาก จึงมีชีวิตที่สั้น และจบชีวิตด้วยการระเบิดอย่างรุนแรงที่เรียกว่า
    ซุปเปอร์โนวา(supernova)
    จุดจบของดาวฤกษ์ที่มีมวลมากกว่า 9 เท่าของดวงอาทิตย์ คือ การระเบิดที่เรียกว่า ซุปเปอร์โนวา ทำให้ดาวยุบตัวลงกลายเป็นดาวนิวตรอนหรือหลุมดำ การระเบิกครั้งนี้มีอุณหภูมิสูงพอที่จะสังเคราะห์ธาตุหนัก เช่น ดีบุก ตะกั่ว ยูเรเนียม ทองคำ เป็นต้น หลังการระเบิดธาตุเหล่านี้จะกลายเป็นส่วนประกอบของเนบิวลารุ่นใหม่และระบบสุรินะ ดังนั้นจึงพบธาตุหนักดังกล่าวในดวงอาทิตย์และในดาวบริวารของดวงอาทิตย์ ดังนั้นทั้งเนบิวลา ดาวฤกษ์ การระเบิดของดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ โลกของเราและสิ่งมีชีวิตบนโลก จึงมีความสัมพันธ์กัน

    [​IMG]
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    กำเนิดและวิวัฒนาการของดวงอาทิตย์

    ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์สีเหลืองที่มีมวลน้อยถึงปานกลาง เกิดจากการยุบตัวของเนบิวลาใหม่ ผลที่ตามมา คือ อุณหภูมิภายในเนบิวลาสูงขึ้น เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นเป็นแสนเคลวิน
    เนบิวลาจะกลายเป็นดวงอาทิตย์ก่อนเกิด(protosun) จนอุณหภูมิสูงขึ้นประมาณ 15 ล้านเคลวินจะทำให้เกิดปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ที่แก่นและเป็นแหล่งพลังงานของดวงอาทิตย์ก่อนเกิดซึ่งขณะนี้กลายเป็นดวงอาทิตย์เกิดใหม่ และ เมื่อประมาณ 5,000 ล้านปีมาแล้ว ระบบสุริยะที่มีดวงอาทิตย์และบริวารจึงมีธาตุต่างๆ ทุกชนิดเป็นองค์ประกอบ ดวงอาทิตย์จะมีวิวัฒนาการเหมือนดาวฤกษ์ทีมีมวลน้อยทั่วไป เมื่อดวงอาทิตย์ขยายตัวจนกลายเป็นดาวยักษ์แดง และยุบตัวจนเป็นดาวแคระขาว ดวงอาทิตย์จะส่องแสงไปอีกนานนับล้านปี จนกลายเป็น ดาวแคระดำ ที่เป็นก้อนมวลสารที่ไร้ชีวิต ช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์เปลี่ยนจากปัจจุบันไปจนกลายเป็นดาวแคระดำจะใช้เวลาอีกประมาณ 5,000 ล้านปีต่อไป



    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]

    ส่วนสามภาพข้างบนนั้นคือ ดาวยักษ์แดง และดาวแคระขาว
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    มีคำถามว่า...

    เอาเรื่องดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์มาให้พวกเราดูหรือชม ทำไม
    ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเรื่อง จิต เรื่องการปฎิบัติธรรมเลย

    คำตอบ...
    ๑. เกรงว่าจะลืม ทบทวนกันใหม่
    ๒. เรื่องจิต เรื่องการปฎิบัติธรรม ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาตินี้เท่านั้น
    แต่ถ้าเปรียบจิต ดวงจิต ดวงวิญญาณของคนเรานั้น จึงเปรียบได้แค่ ฝุ่นละอองเล็กหนึ่งในจักรวาลเท่านั้นเอง

    ถ้าคนเราเข้าใจจิตของตนเอง จึงเท่ากับเข้าใจจิตของผู้อื่นด้วย
    เพราะฉะนั้น การจะเข้าไปถึงจิตตนนั้นได้ ซึ่งก็มีอยู่หนทางเดียวนั่นก็คือ
    เจริญสติ การเจริญสติคือการสร้างสติหรือการฝึกสตินั่นเอง
    การฝึกสติก็เพื่อฝึกจิตของตนนั่นเอง แต่ฝึกจิตโดยตรงไม่ได้
    ไม่อย่างนั้นพระพุทธองค์ก็ทรงไม่มีกรรมฐานให้ผู้ปฎิบัติทำตามกัน

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่กำลังเจริญสติก็เท่ากับเจริญจิตตนเอง
    หรือกล่าวอีกนัยยะนึงก็คือ ฝึกสติก็คือฝึกจิตตนนั่นเอง
    พอฝึกสติฝึกจิตไปพร้อมกันแล้ว สมาธิจิตและจิตปัญญาก็จักตามมาทีหลัง
    พอเรามีสติหรือความระลึกรู้สึกตัวมากๆขึ้น สติธรรมดาก็จะกลายเป็นสติเข้ม
    คือสติระดับสัมปัญญะ นั่นเอง
    สติมาปัญญาเกิด ทุกคนท่องจำกันมาแบบนี้ ใช่ไหม
    ถูกต้องแล้ว แต่ถ้าใครเผลอหรือสติเตลิดเท่ากับตะเพิดปัญญาของตนหนีเท่านั้นเอง
    เพราะจิตไม่มีอะไรจะรู้เข้าใจเลย หมายถึงเรื่องปล่อยวาง
    เพราะเป็นหน้าที่ของจิตโดยตรง และจิตจะปล่อยวางได้นั้น จะต้องเป็นจิตระดับ จิตปัญญาเท่านั้น
    ปัญญาที่ได้เกิดจากการภาวนา หรือเรียกว่า ภาวนามยปัญญา
    จึงมิใช่ปัญญาทางโลก ถ้างั้นคนที่เรียนหนังสือเก่ง สอบได้ที่หนึ่งทุกปี
    ก็เป็นพระอรหันต์ง่ายดิ แต่ทำไม แค่มรรคผลก็ยังทำยาก
    แต่ถ้าพวกเรารู้ทริคในการปฎิบัติ โดยเฉพาะจักต้องทำจิตตนนิ่งเป็นให้ได้ก่อน
    แต่ถ้าไม่รู้จักก็ไม่ต้องไปพูดถึงการเข้าใจธรรมเป็นอย่างดี
    เพราะจิตต้องละเอียดพอที่จะเข้าใจธรรมนั้นๆได้
    ส่วนจะเข้าใจมากน้อยขนาดไหนนั้น ต้องตอบว่าขึ้นอยู่กับสติปัญญษของผู้นั้น

    เพราะฉะนั้น มีผู้คนสงสัย โดยเฉพาะผู้ไม่ยอมลงมือปฎิบัติ จะเป็นเพราะเหตุผลใดก็ตาม
    ว่า...ทำไม เราถึงไม่อยากอ่านหรือฟังธรรมะเหมือนคนอื่นๆ
    หรือไม่ชอบอ่านหรือฟังคนพูดธรรมะสักเท่าไหร่
    หรือมีสมาธิสั้น พอเห็นคนพูด คนอ่านธรรมะให้ฟัง ก็ไม่อยากเพราะไม่ชอบ
    สรุปง่ายๆก็คือ จิตยังหยาบอยู่คือจิตไม่นิ่งหรือนิ่งไม่พอ หรือไม่เป็นสมาธิ
    อย่าลืมนะ พระธรรมคหรือคำสอนของพระพุทธองค์ที่พระองค์ทรงตรัสรู้มานั้น
    ในขณะที่จิตทรงฌาน๔ ในขณะที่กำลังทบทวนหรือระดับฌานอยู่นั้น
    จิตอยู่ในเขตแดนละเอียดมากแค่ไหน เพราะฉะนั้นผู้ี่จิตยังหยาบหรือไม่นิ่ง
    ไม่มีทางจะเข้าใจพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ หรือธรรมะของครูบาจารย์
    ถามว่า ทำไม เป็นเช่นนั้น ทั้งๆที่เป็นภาษาเดียวคือ ภาษาไทยแท้ๆ
    ดูเหมือนจะเข้าใจ แต่จริงๆแล้ว ไม่ค่อยจะเข้าใจจริงๆหรอก
    ตรงนี้จะต้องยอมรับกัน เพราะถ้าคนที่เข้าใจธรรมได้คือคนที่เข้าถึงจิตใจของตนก่อน
    เพราะฉะนั้น คนที่เข้าถึงจิตใจตน คือคนที่สามารถเข้าถึงความสงบสุขภายในตนคือจิตตน
    ย่อมจะเข้าใจหรือเข้าถึงพระธรรมคำสอนฯนั้นได้ แต่จะเข้าใจหรือเข้าถึงมากน้อยแค่ไหน
    ตอบตรงๆว่า ก็ขึ้นอยู่ที่สติปัญญาของผู้นั้นเอง
    เช่น รู้แค่ไหน เราก็พูดแค่นั้น จริงไหม แต่ถ้ารู้ไม่จริง ก็แปลว่า โม้ เท่านั้นเอง

    เพราะฉะนั้น ผู้ปฎิบัติอยากได้มรรคผลนิพพานไวๆ อย่ามัวไปหลงท่องจำ หรือแบกตำราไปไหนๆ
    มีประโยชน์นะ ไม่ใช่ไม่มี
    แต่จะหวังหลุดพ้น หรือปล่อยวางจากกิเลสตนได้ จะต้องปฎิบัติให้มากๆ
    ปฎิบัติมากๆหมายถึง นำจิตมาเดินมรรค คือเอาสติไปรวมกับจิตให้มากๆ
    ถ้าสติไม่ไปรวมกับจิตมากๆ หรือไม่ดูจิตตนเองมากๆละก้อ
    คำสมาธิ สมาธิจิตและจิตปัญญาย่อมไม่เกิดกับผู้นั้นเป็นแน่
    พูดไปพูดมาชักยาว นี่ขนาดไม่ได้ตั้งใจพูดนะ ยังพร่ำซะยาวเลย
    งั้นก็ขอโอกาสจบเลยดีกว่า เวลาทางโลกจะหายไปหมดแล้ว ตอนนี้
    เหลือแต่วลาทางธรรม ขอให้ทุกท่านมีจิตรอดพ้นกิเลสตนและผู้อื่น
    มีสติปัญญามากๆ คือมีศีลสมาธิปัญญาเป็นของตน
    ขอให้จิตตั้งมั่นเฉพาะแต่ฝ่ายบุญกุศลเท่านั้น ขอให้มีธรรมนำทางชีวิต
    โดยเฉพาะเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป ทุกรูปทุกนามด้วยเทอญ สาธุ

    สรุปแล้ว
    ทุกเท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกเท่านั้นที่ดับไป
    นอกนั้น ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรดับ
    เพราะฉะนั้น พวกเราอย่าไปโง่ไปหลงตามสิ่งกระทบจิต
    (พระท่านให้เราฝึกสติเพื่อจิตตนจะได้มีปัญญาในการละปล่อยวาง)
    (เมื่อจิตเรามีทั้งสติปัญญารวมกันแล้วย่อมแยกแยะความผิดถูกได้ชัดเจน)
    (เมื่อจิตเรามีปัญญามากพอแล้วย่อมมองเห็นทุกธรรมแค่เกิดและดับเท่านั้นเอง)
    (เมื่อจิตผู้ใดสามารถมองเห็นความเกิดดับบ่อยคือเป็นธรรมดา เราก็จะพบจะเข้าใจคำว่า อนัตตาไปเอง)

    คราวนี้แหล่ะ ในขณะที่เรามีสติปัญญา
    จิตเราย่อมจะรู้เท่าทัน จะมองเห็นกิเลสซึ่งเป็นนามละเอียดเหมือนกับจิต ที่นอนเนืองหรือตกตะกอนภายในจิตมานับอสงไขย
    เมื่อเราเข้าถึงจิตเท่ากับเข้าถึงธรรม เพราะจิตใครจิตมัน ธรรมใครธรรมมัน
    การเข้าใจจิต การเข้าใจหรือเข้าใจธรรมนั้น ก็เป็นเรื่องของสติปัญญาของผู้นั้น
    ต่อไปนี้ จิตจะเริ่มมองเห็นกองทุกข์ที่แท้ก็คือ ร่างกายของเรานี่เอง
    เมื่อเห็นกองทุกข์แล้วย่อมจะเห็นเหตุแห่งทุกข์ เห็นนิโรธ เห็นมรรค ไปตามลำดับญาณ(วิปัสสนาญาณ๙)
    หรือเรียกว่า เห็นอริสัจจ์ คือความจริงแท้แน่นอนของชีวิตตนเอง
    ว่ากรูเกิดมาทำไวฟ่ะ การเกิดคือความหลง เมื่อทุกคนหลงมาเกิดคือมีร่างกาย
    ร่างกายนี้แลคือ กองทุกข์คือกองกิเลสตัวใหญ่เลย
    แต่ถ้าจิตเห็นอริสัจจ์ เห็นธรรมดาคือเห็นไปตามกฎไตรลักษณ์ของพระพุทธองค์
    จิตเราจึงศิโรราบกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเรา คือการยอมรับกฎแห่งกรรมโดยปริยาย
    เพราะฉะนั้น คำว่า ป ล่ อ ย ว า ง จึงไม่เกิดกับปุถุชนง่ายนัก
    ยกเว้นผู้ที่ฝึกจิตมาดี คือจะมีทั้งสติสมาธิปัญญาครบถ้วนเมื่อไหร่กันโน้นแหล่ะ
    พวกเราจึงจะเห็นพระธรรม เห็นพระรัตนตรัย เป็นของสำคัญยิ่งกว่าชีวิตตนซะอีก
    พอถ้าจิตผู้ใดเป็นเช่นนี้ ขอให้ดูตัวอย่างอาทิเช่น พระอรหันต์ทั้งหลาย จักไม่สนใจอย่างเลย
    นอกจาก พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า
    เพราะฉะนั้น การเกิดจึงหยุดชงัก หยุดเกิดเหมือนเราหยุดภพชาติเท่ากับหยุดกิเลสและหยุดทุกข์ของตนนั่นเอง

    โดยเฉพาะสังขารขันธ์ คือความคิดปรุงแต่ง(อารมณ์จิต)ของตน
    หัดทำใจ หัดสำรวมจิตตนให้มาก เหมือนดั่งพระอริยเจ้าทั้งหลาย
    เพราะท่านเหล่านั้นปราศจากความทุกข์ ทุกข์เราก็ยังไม่เอาเลย
    แล้วจะไปรับเอาความทุกข์ของผู้อื่นอีกหรือ....

    เพราะฉะนั้น พวกเราอย่าหลงไปแก้ไขเรื่องที่อยู่นอกจิตตนเอง
    เพราะไม่มีใครจะไปแก้ไขได้หรอก นอกจาก แก้ไขภายในคือจิตตน เท่านั้น
    โมทนาสาธุ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 มกราคม 2014
  10. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]
     
  11. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=uTQy2akD0Wg]New Heart New World : โจน จันใด (Full Version) - YouTube[/ame]​

    เพราะถ้าคุณไม่กล้าเผชิญหน้ากับมัน...คุณก็จะต้องหนีสิ่งนั้นไปตลอดชีวิต​
     
  12. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=cq2LW2CCAqU]New Heart New World : ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ (Full Version) - YouTube[/ame]

    "พระพุทธศาสนา" อยู่เหนือวิทยาศาสตร์ที่ยากจะอธิบายได้...อย่าเพิ่งเชื่อ...จนกว่าจะลงมือทำ...พิสูจน์ด้วยตัวของคุณเอง...อย่าให้ใครมาหลอกได้น่ะ...
     
  13. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=0gra7X6u7OQ]New Heart New World : นพ.บัญชา พงษ์พานิช - YouTube[/ame]

    ไม่มีอะไรที่จะอยู่เหนือธรรมของพระพุทธเจ้าอีกแล้ว...สาธุ๊...

    ลูกขอก้มกราบแทบฝ่าพระบาทท่านพ่อพระจอมไตรโลกนาทเจ้า...ลูกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของท่านพ่ออย่างหาที่สุดประมาณมิได้เจ้าค่ะ...สาธุ สาธุ สาธุ
     
  14. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]

    จะไปแก้อดีตย่อมไม่ได้
    เพราะมันผ่านไปแล้ว
    ไม่สามารถจะกลับคืนมาได้
    นอกจาก แก้ไขตนเองในปัจจุบันนี้เท่านั้น
    คือหยุดทำในสิ่งไม่ดีเหล่านั้นอีกต่อไป

    อนาคตก็เช่นกัน เราจะหวังอะไรก็ตาม
    อย่ายึดมั่นถือมั่น
    ถ้ามันไม่เป็นไปตามที่เราตั้งใจไว้
    เราก็ต้องย่อมรับกฎพระไตรลักษณ์ว่า
    เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันไม่เที่ยง
    ต้องยอมรับความจริงนี้ให้ได้

    ปัจจุบันขณะนี้เท่านั้นคือ ขณะนี้
    หากกายอยู่ไหน?
    ใจเราก็อยู่กับกายปัจจุบันนั้นเรื่องนั้น
    เราก็จะไม่ทุกข์เลย

    เช่นขณะที่เรากำลังอ่านหรือฟังอยู่ในเรื่องนี้
    ขณะนี้ จิตมิได้คิดอดีต อนาคต
    จับดูจิตนั้น ที่อยู่กับปัจจุบัน
    มันสงบ ไม่ทุกข์เลยใช่ไหม?
    เป็นปกติ นี่แหละ คือมรรค หรือทางพ้นทุกข์
    จงพยายามรักษาความรู้สึกนี้ไว้ตลอดเวลา

    ให้จิตอยู่กับปัจจุบันตลอดเวลา
    ทุกข์ จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้

    หากมันวิ่งไป ในอดีต หรืออนาคต
    พอรู้สึกตัวก็ดึงมันกลับมาอยู่กับปัจจุบันอีก
    ทำเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา เท่าที่จะทำได้
    จนเกิดความชำนาญเป็นปกติธรรมชาติ
    ในปัจจุบันตลอดสาย
    ทุกข์จะไม่สามารถเกิดขึ้นในจิตได้เลย

    ดังนั้น พระพุทธองค์จึงให้ภาวนา

    ภาวนาคือการมีสติรู้สึกตัวในสัมปชัญญะ
    คือกายและจิตใจตั้งแต่หัวถึงเท้า รู้กายทั่วพร้อม
    ตลอดเวลาว่าปัจจุบันนั้น เป็นอย่างไร?

    กายอยู่ไหน?ให้ใจอยู่นั้น มันกำลังทำอะไร?
    นั่งรู้ ยืนรู้ เดินรู้ กินรู้ นอนรู้
    ทำอะไรๆ ก็รู้ปัจจุบันนั้นตลอดเวลา
    นี่คือ ม ร ร ค จริงๆ

    ให้เฝ้าดู เฝ้ารู้ เฝ้าเห็น
    การกระทำของกายจิต
    ที่ตามรู้ปัจจุบันตลอดสาย

    มันก็จะสงบ แล้วรวมกันมากๆ เข้า
    ก็เกิดเป็นสมาธิโดยไม่รู้ตัว
    มีอารมณ์เดียว คือปัจจุบันนั่นเอง

    อารมณ์เดียวนี้ ไม่ส่งอดีต อนาคต
    ซึ่งเราอาจจะเรียกชื่อว่า เ อ กั ค ต า ร ม ณ์ ก็ได้


    เมื่อจิตเห็นความแตกต่าง
    ระหว่างจิตที่สงบและจิตวุ่นด้วยตัวจิตเองแล้ว
    ปั ญ ญ า จะเกิดขึ้นทันที


    ขอบคุณที่มา FB : Achara Klinsuwan
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2014
  15. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]
     
  16. therd2499

    therd2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +3,209
    วันนี้มีสหายธรรมข้อความมาเตือนทางข้อความในเฟสเรื่องใช้รูปแทนสมเด็จพ่อว่าไม่เหมาะ

    เราก็น้อมรับคำเตือน มานะอัตตาไม่มีในจิตตอนเขาเตือน เราก็พิจรณาว่า

    เราไปกดไลด์ เพจสาวๆโป๊ สาวๆFHM เขาคงไม่รู้หรอกว่าที่เรากดไว้พิจรณา+ปลง

    เอาไว้ดูว่าเรายังมีราคะหรือไม่ แต่ก็เข้าใจเขานะ เราก็น้อมรับ เขาบอกผมว่าลองปฎิบัติดูแล้ว

    จะรู้ ก็ไม่ได้คุยอวดเรื่องการปฎิบัติของเราให้ฟังซ้ำยังขอบคุณเขาที่เตือน ผมก็เลยเปลี่ยนเป็นรูป

    เดิมแต่ภาพพื้นหลังยังเป็นรูปท่านพ่ออยู่

    น้อมจิตกราบขอขมาท่านพ่อด้วยเศียรเกล้าในสิ่งที่ลูกทำไปโดยไม่มีเจตนาขอท่านพ่ออดโทษ

    ให้แก่ผมด้วยครับ
     
  17. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976

    สาธุค่ะ ขออนุโมทนา กับคุณ therd2499 นั้นแหละถูกต้องแล้ว เรารู้ตัวเราดี ว่าเรามีเจตนาอย่างไร? และคิดอย่างไร? คนอื่นเขาจะคิดอย่างไร ก็เป็นเรื่องของเขา เพราะเขาเห็นแค่ภายนอก และบางที่เราจะไปตัดสินใจ ให้คนอื่นว่าเขาเป็นอย่างนั้น เขาเป็นอย่างนี้ไม่ได้หรอก เพราะคนเรายังไม่รู้จักกัน ก็จะไม่รู้นิสัยกันดีพอ เพราะเราจะรู้จักนิสัยคนๆนั้น เราต้องได้พูดคุยกันเสียก่อน...

    จึงจะรู้ว่าคนนั้นเขามีนิสัยอย่างไร? เพราะคําพูดก็บอกถึงนิสัยของคนได้ ที่เขาบอกว่าถ้ายังไม่ได้รู้จักและได้พูดจากัน ก็อย่าพึงไปตัดสินว่าคนๆนั้นว่าเขาเป็นคนเช่นไร? จึงขอให้ทุกๆท่านได้พิจารณาถึงหลักความจริง เพราะการดูคนแค่ภายนอก ก็ไม่สามารถจะไปตัดสินเขาได้ว่าเขาเป็นคนดี หรือไม่ดี..สาธุ
     
  18. philosophi

    philosophi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +1,896
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    อุปสมานุสสติกรรมฐาน
    มีผลมาก และเป็นปัจจัยให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
    โดย หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

    อานิสงส์ที่ใช้อารมณ์ใคร่ครวญถึง พระนิพพานนี้มีผลมาก เป็นปัจจัย ให้ละอารมณ์ที่คลุกเคล้า ด้วยอำนาจกิเลสและตัณหา เห็นโทษในวัฏฏะ เป็นปัจจัย ให้แสวงหาทางปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ อันเป็นปฏิปทาไปสู่พระนิพพาน เป็นกรรมฐานที่นักปฏิบัติได้ผลเป็นกำไร เพราะเป็นปัจจัยให้เข้าถึง ความเป็นพระอริยเจ้าได้อย่างสบาย ขอท่านนักปฏิบัติจงสนใจกรรมฐานกองนี้ให้มาก ๆ และแสวงหาแนวปฏิบัติที่เข้าตรงต่อพระนิพพาน มาปฏิบัติ ท่านมีโอกาสจะเข้าสู่พระนิพพาน ได้อย่างไม่ยากนัก เพราะระลึกนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์นี้ เป็นองค์หนึ่งในองค์สามของพระโสดาบัน ชื่อว่าท่านก้าวเข้าไปเป็นพระโสดาบัน หนึ่งในสามขององค์พระโสดาบันแล้ว เหลืออีกสองต้องควรแสวงหาให้ ครบถ้วน


    BuddhaSattha
     
  20. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    (พระธรรมคำสั่งสอนขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

    "เรื่องภาวนาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยภาวนา

    ...สาวกทั้งหลายเป็นสรณะของพวกเราด้วยภาวนา มันลงในจุดนี้ๆ

    -เพราะฉนั้นพุทธศาสนาของเรา รากฐานแห่งพุทธศาสนาคือจิตภาวนา

    ...ธรรมะทั้งหลายจะเกิดขึ้นจากจุดนี้ จนกว่าสว่างจ้าไปหมดก็ออกจากจุดนี้

    ที่ไม่เคยภาวนาหรือภาวนาก็เอาเสื่อเอาหมอนมัดติดหลังติดคอมันไม่ได้เรื่อง

    นะอย่างนั้น มองไปที่ไหนเห็นแต่เสื่อแต่หมอนมัดติดหลังติดคอไป คนทั้งคนไม่เห็น

    เห็นแต่เสื่อแต่หมอน อันนี้เห็นแตความขี้เกียจขี้คร้าน...ความไม่เอาไหน ความเผอ

    เรอต่างๆ ไม่มีธรรม สติธรรมเป็นต้นฝังอยู่ในจิตพอเป็นเครื่องกระจายออกแห่งความ

    รู้ทั้งหลายบ้างเลย มันก็ไม่รู้นะ...

    ...สติเป็นของสำคัญมาก ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน สติต้องฝึกให้ดี จากนั้น

    ไปก็เป็นสติปัญญาเป็นไปตามอัตโนมัติ ถึงขั้นมหาสติมหาปัญญา ทะลุถึงจิตหลุดพ้

    พ้นไปตั้งแต่สติล้มลุกคลุกคลาน สตินี้จำเป็นตลอด แม้แต่กิจนอกการในอะไร

    สติมีอยู่ สัมปชัญญะมีอยู่ ก็ไม่ค่อยผิดพลาด ถึงผิดก็มีน้อย ถ้าแบบเอาตามอารมณ์

    นี้ก็มีแต่เรื่องของกิเลส ผิดพลาดเสียแทบทั้งนั้นแหละ จึงต้องใช้ความพิจารณาทุกคน

    ทุกคน ที่พูดนี้ ต่างคนต่างมาศึกษาด้วยกันให้นำคติธรรมนี้ไปพิจารณาตัวเอง...

    ...พระธรรมคำสั่งสอนขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

    "เรื่อง รากฐานแห่งพุทธศาสนาคือจิตภาวนา" ท่านเทศน์เมื่อวันที่๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๐

    ...กราบน้อมรับคำสั่งสอนขององค์หลวงตามหาบัว และน้อมกราบองค์ท่านด้วยเศียรเก้ลา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...