ใครเป็นอย่างผมบ้าง...เรื่องสมาธิ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ozzman, 25 กันยายน 2013.

  1. ozzman

    ozzman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +246
    ผมต้องการคำตอบจากท่านผู้รู้...ช่วงนี้อารมณ์เสียได้ง่าย ส่วนหนึ่งมาจากเรื่องงานที่น่าเบื่อหน่าย

    ช่วงแรก ผมฝึกให้คิดในแง่ดีๆ มันได้แค่ในช่วงแรกๆของวัน ต้องมีเรื่องให้หงุดหงิด
    ผมเลยตัดสินใจ ไปสถาณที่ปฎิบัติธรรมแห่งหนึ่ง ยอมรับว่าหลักการดีมาก ผมชอบมาก แต่ผมรู้ตัวว่ามันฟุ้งซ่านมาก ผมเลยนั่งสมาธิ+เดินจงกลม+แผ่เมตตา

    ผมอาจใจร้อน และเพิ่งฝึก อยากรู้ว่าถ้าฝึกทุกวันมันจะช่วยได้ไหม

    มันเหมือนกับผมหยิ่งฝึก หรือยิ่งคิดดี มันก็ต้องมีเรื่องมาให้หัวเสีย
    ผมจะผ่านช่วงนี้ไปได้อย่างไร ถ้าผมจะฝึกสมาธิต่อมันจะดีขึ้นไหม...ใครเป็นแบบผมบ้าง ผมไม่อยากเป็นคนมีอารมณ์ไม่ดีแบบนี้ครับ
     
  2. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ............รู้เท่าทัน มันได้ ก็ดีแล้วครับ..คุณหัวเสีย หัวฟัดหัวเหวี่ยง คุณรู้ได้...บางคนไม่รู้..และไม่อยากรู้ ด้วยซ้า..อยากห้าว ห้าว ด้วยซ้าไป..ผมว่า คุณ มา ดีแล้ว ละครับ ที่ รู้เท่าทัน..
     
  3. Youkai

    Youkai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2013
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +1,683
    เมื่อก่อนเคยเป็นเหมือนกัน เป็นคนหงุดหงิดง่าย ขี้โมโห เรื่องเล็กก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ตอนหลังได้ไปฝึกสมาธิ อาการที่กล่าวมาข้างต้นก็ค่อยหายไป บางครั้งก็มีเรื่องให้ชวนโมโห ก็พยายามตามสติรู้เท่าทันอารมณ์เวลามีเรื่องหงุดหงิดก็รู้ โกรธก็รู้ แล้วเราจะระงับอารมณ์เหล่านั้นทัน ใหม่ ๆก็ยากหลุดบ่อย ค่อย ๆ ทำไปเรื่อย ๆ ก็จะค่อย ๆ ทำได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อก่อนถ้าหงุดหงิด ฟุ้งซ่านมาก ๆ ก็ใช้วิธีเดินจงกลมก่อน พอจิตรวมรู้สึกสงบมากขึ้นแล้วก็ค่อยไปนั่งสมาธิค่ะ วิธีนี้ได้ผลกับดิฉันมากเพราะรู้สึกสงบใจได้มากขึ้นค่ะ
     
  4. ice9nice

    ice9nice สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2009
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +18
    อารมณ์แบบไหนขึ้นมา ก็กำหนดรู้ตามนั้นแหละครับ
     
  5. ชาน

    ชาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +272
    ตามนั้น ผมก็เคยเป็นถ้าผ่านไปได้เด๋วมันก็ดีเอง แต่มันจะมาตลอดนานๆครั้งเหมือนมาทดสอบอารมณ์เรา รู้เท่าทันนั้นแสดงว่าเราดีละ พรหมวิหาร 4 ช่วยได้
    เมตตา ความรัก
    กรุณา ความสงสาร
    มุทิตา มีจิตอ่อนโยน ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี
    อุเบกขา การรู้จักวางเฉย
     
  6. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ความคิดคือสังขารขันธ์ ไม่ว่าจะคิดหรือคิดร้าย ก็เป็นตัวสังขารเช่นกัน
    การที่มุ่งให้คิดในแง่ดีก็คือการมุ่งสร้างตัวสังขารขันธ์ส่นดี โดยสภาพของตัวสังขารก็เป็นอนิจจัง ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เมื่อมันเปลี่ยนๆก็เป็นไปได้หลายแง่หลายมุม ซึ่งก็มีผลให้ฟุ้งซ่านซึ่งเป็นตัวสังขารขันธ์ส่วนไม่ดีด้วย ตรงนี้หมายความว่ายิ่งคุณมั่นคิด มุ่งคิดมากเท่าไหร่ ไม่ว่าคิดนั้นจะดีหรือไม่ดีก็ตาม โอกาสที่คุณจะฟุ้งซ่านก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
    ให้คิดอยู่กับอารมณ์กรรมฐานที่คุณปฏิบัติซิครับ ความฟุ้งซ่านก็จะลดน้อยถอยลงครับ

    เจริญในธรรมครับ
     
  7. kakarukthai

    kakarukthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2011
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +220
    มารไม่มีบารมีไม่เกิด มารเตลิดก็เกิดสติ
     
  8. พิชญากร

    พิชญากร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    909
    ค่าพลัง:
    +5,260
    ...การศึกษาธรรม..คือการเข้าใจ และยอมรับในธรรมชาติ ความรัก ความโกรธ ความหลง ความโลภ

    ...เราศึกษาเพื่อเรียนรู้จะอยู่ และเข้าใจในธรรม เมื่อกิเลสมันเกิดขึ้นก็ต้องรู้เท่าทันและระงับมันให้ได้

    ...ท่านต้องศึกษาและเข้าใจ โลกธรรม 8 ด้วยค่ะ ทุกอย่างไม่จีรัง มีรัก ก็มีเกลียด มียศก็อาจจะไม่มีได้ในภายหลัง

    ...เมื่อเราเข้าใจถ่องแท้ว่า ทุกสิ่งไม่จีรัง แล้วเราจะยึดติดกับอะไร? ยึดติดกับความโกรธ เพื่ออะไร? ไม่มีสิ่งใดดีเลิศไปทุกอย่าง แม้แต่ตัวเรา แล้วเราหวังให้คนอื่นดีเพื่ออะไร?

    ...การปฏิบัติธรรม ต้องปฏิบัติแบบโลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย

    ...การปฏิบัติธรรมนั้นไม่เหมือนสิ่งอื่น ยิ่งต้องการ ยิ่งอยากได้ ก็ยิ่งไม่มีผล ไม่ได้ผล ต้องปฏิบัติแบบทางสายกลาง

    ...ท่านปฏิบัติแบบหวังผลเกินไป ตึงเกินไป สุดท้ายเมื่อไม่ได้ผลก็จะพาลโทษโน้นนี้นั้น

    ...ค่อยๆทำ ค่อยๆปฏิบัติ ค่อยๆศึกษาไป ท่านอยากนั่งสมาธิอยากศึกษาธรรม นั้นคือ สิ่งที่ดีแล้ว ความเพียร ความอดทนเท่านั้นที่จะทำให้ท่านได้ผลดังหวัง

    ...ขอโมทนาในความตั้งใจค่ะ
     
  9. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    .....มันเหมือนกับผมยิ่งฝึก หรือยิ่งคิดดี มันก็ต้องมีเรื่องมาให้หัวเสีย
    ผมจะผ่านช่วงนี้ไปได้อย่างไร ถ้าผมจะฝึกสมาธิต่อมันจะดีขึ้นไหม...ใครเป็นแบบผมบ้าง ผมไม่อยากเป็นคนมีอารมณ์ไม่ดีแบบนี้ครับ.....


    ลองฝึกปล่อยวางความคิดความรู้สึกของเราบ้าง อาจจะดีขึ้นนะครับ
    ปล่อยวาง ก็เหมือนกับการ พิจารณา กฏไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    อนิจจัง ตีความว่า สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลา ไม่เว้นแม้แต่ความคิดของเรา ความรู้สึกทุกข์-ความรู้สึกสุขของเรามันก็เปลี่ยนไปไม่เคยคงไว้ได้ตลอดเวลา มันคือความไม่เที่ยงนั่นเอง

    ทุกขัง ด้วยเหตุแห่งความไม่เที่ยงนี่เองทำให้ใจเราเกิดความรู้สึกไม่มั่นคง มันสั่นคลอนจิตใจ ทำให้เกิดความกลัวไปต่างๆนาๆ แล้วก็เกิดความกังวลเป็นทุกข์ภายในใจเรา ตัวเราเองก็พยายามจะสร้างตัวตนอันหนึ่งขึ้นมาว่าตัวกูต้องเป็นคนเข้มแข็งให้ได้ทั้งที่ข้างในใจเรามันสั่นคลอนปั่นป่วนอยู่ สุดท้ายได้ตัวตนนี้มาก็กลายเป็นการหลอกตัวเองไปวันๆ

    อนัตตา ความไม่เป็นตัวเป็นตนของเราเอง หมายถึงว่า ถ้าเราเห็นความทุกข์เห็นธรรมชาติของความทุกข์ต่างๆที่เกิดกับตัวเรา เข้าใจการเชื่อมโยงของจิตใจเรากับความทุกข์จริงๆแล้ว เราก็จะวางมันลงได้ เลิกยึดติดกับความเป็นตัวตน(ผู้เข้มแข็ง)ของเรา วางความเป็นตัวตนของเราได้ นี่คือความไม่เป็นตัวเป็นตนนั่นเอง หลวงปู่ฤๅษีลิงดำท่านให้เรามองง่ายๆว่า หากสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีเกิด มีตั้งอยู่ มีดับไป สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอนัตตาทั้งสิ้น
    เช่นความสุขมีเกิดมีตั้งอยู่แล้วมีดับไป(เพราะเกิดทุกข์ขึ้น สุขจึงหายไปหมด) สุขก็เป็นอนัตตาเช่นกัน ความทุกข์ก็เป็นอนัตตา ความรักความชอบความเกลียดก็ล้วนเป็นอนัตตาทั้งสิ้น อารมณ์ดี อารมณ์ไม่ดี ก็ล้วนเป็นอนัตตาเช่นกัน ความตายเป็นของเที่ยงไม่ใช่อนัตตา

    แต่การดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ การกระทำสิ่งดีๆมีศีลมีธรรมยังเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิตไปในท่ามกลางผู้คนในปัจจุบันนี้ เพราะบนโลกใบนี้ยังมีพลังงานของกฏแห่งกรรมดูแลอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 กันยายน 2013
  10. ABT

    ABT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +1,524
    เป็นธรรมดาของการฝึกสมาธิ จิตที่ค่อยร่วมตัวกัน จะมีความรู้สึกต่อ โทสะ ราคะ ได้เร็วและแรง สติครับ ต้องมีสติ รู้ว่ามีโทสะ รู้ก่อนกั้นก่อน รู้หลังหมดเร็ว เริ่มใหม่ รู้เท่าทัน ก็พอดี โทสะจะเริ่มคลายลง และจะให้ดีให้พิจารณาถึงเหตุแห่งความโกรธ เช่น เสียงดังมีความรู้สึกว่าโกรธ เพราะอะไร ลองหาสาเหตุเมื่อได้แล้วก็จะรู้ว่ามันดังทำให้เราไม่พอใจจึงโกรธ เพราะอะไรจึงโกรธ อะไรที่ทำให้โกรธ (พิจารณาเป็นเหตุ ๆ ไปนะครับ)แล้วจะคลายลงเยอะ อนุโมทนา
     
  11. นักขัต

    นักขัต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +777
    เหมือนจะเคยได้ยินมาเหมือนกันครับ แต่อาจไม่แม่นยำนัก
    ตอนที่ไปปฏิบัติธรรมมาท่านก็บอกว่าช่วงแรกจะโมโหง่าย ร้อน
    เพราะจิตมุ่งสมาธิ พอมีอะไรมากระทบหน่อยก็จะหลุด
    ประมาณนี้นะครับ แต่ถ้านานไปก็จะควบคุมได้ :)
     
  12. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    ฝึกจิตจนได้อารมณ์ที่สงบดีแล้ว ออกจากสมาธิก็เอาอารมณ์นั้นแหละ
    มาใช้ในชีวิตประจำวัน อารมณ์อื่นก็ไม่มาแทรก แล้วจะเอาอะไรอีกล่ะ
     
  13. ิBat of light

    ิBat of light เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2012
    โพสต์:
    687
    ค่าพลัง:
    +842
    .
    เอามั่งดิ ขอเสนอทางเลือกบ้างนะครับ
    จากผู้ที่คิดเอาเอง ว่าเชี่ยวชาญ ระดับมือโปรแทรคเตอร์

    ข้อแรก ง่ายสุด และยากสุด อยู่ในตัวมันเอง แปลกมะ
    คือเทคนิค ช่างหัวมัน ของท่านพุทธทาส
    อะไรกระทบใจ ให้หงุดหงิด ก็ช่างหัวมัน เดี๋ยวมันก็ไปแล้ว
    ทั้งง่ายและยาก ยิ่งคิดก็ยิ่งแปลก ไปหาอ่านเอาเรื่องให้ได้นะครับ
    เราใช้เป็นประจำ รับประกันคุณภาพได้ครับ

    ข้อสอง เทคนิค เอาน้ำดีไล่น้ำเสีย คือเปลี่ยนองศาหัวใจซักนิดนึง
    ไปคิดเรื่องอื่น ทันทีที่รู้ตัว เรื่องหนุกหนาน เรื่องเศร้าเคล้าน้ำตา
    เรื่องเฮฮากะเพื่อนๆ สาวๆ ที่ปิ๊ง หรือเรื่องวันก่อนเกือบเห็น กกน.ของใคร 555
    ถ้าท่านรู้ตัวว่า อารมณ์เสีย แสดงว่ามีพาวบ้างแล้ว
    เทคนิคสองข้อแรกนี้ น่าจะใช้ได้โดยง่ายครับ

    ข้อสาม เทคนิืค พรหมวิหารสี่ ก็แจ๋วนะครับ ถ้าใช้เป็น
    เป็นตัวเลือกที่ดีมาก สำหรับการจัดการกับอารมณ์เสีย
    ที่ถูกสร้างมาจากคนอื่นๆ เป็นการแก้ไขจากรากฐานเชียวล่ะครับ

    ข้อสี่ อันนี้เป็นแท๊คติกครับ คือคิดว่าไอ้นั่นมันบ้า มันโง่ มันปัญญาอ่อน
    ถ้ามันรู้ หรือฉลาดเท่าเรา มันคงไม่ทำกะเราอย่างนี้ อย่างนั้น อย่างโน้น
    คิดให้สมจริง ให้เกิดสมเพชเวทนาขึ้นมาในใจ ให้ล้นจนแผ่ออกมานอกใจ
    คือถ้าทำซิมูเลชั่นในจิต ให้ชัดเจนแจ่มแจ้งได้
    เดี๋ยวรมณ์เสีย ก็จะหายไปโดยเร็วครับ
    มันบื้อ มันบ้า มันปัญญาอ่อน ก็จะไม่อยากไปสนใจมันอีกต่อไป แจ๋วมะ

    ยังมีเทคนิคหรือแท๊คติกอีกหลายอย่าง แต่ขี้เกียจนึกแล้ว
    ส่วนข้อเสนอดีๆ เป็นผู้เป็นคน ท่านอื่นก็บอกให้แยะแล้ว
    หวังว่าคงจะนำไป คิดนึก ทดสอบ ทำแบบจำลอง สรุป บลาๆๆๆ
    ทำในใจให้มากไว้ ให้เป็นผู้มีปรกติฝึกฝนจิต (เราฝังไว้ในใจนาาาานแล้ว)

    อ้อ...อีกอันนึง ต้องอานาปานสติ เป็นประจำครับ
    ของแท้ ต้องของสวนโมกข์ครับ ชุดที่มีสิบม้วน ไปหาโหลดมาเร็วๆ
    ใส่มือถือไว้ เปิดฟังบ่อยๆ โดยเฉพาะตอนอึ สมาธิจะมีแยะครับ
    ท่านเคยบอกไว้ จริงๆ นะ มีหลักฐานยืนยันด้วยนะเออ กระทู้นี้ครับ


    กระต่ายป่า ข้างสระนาฬิเก
    [/COLOR]
    .
     
  14. pee-

    pee- สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +19
    ลองฝึก สมาธิ ที่เกิด จากสติที่ต่อเนื่องกัน โดยตั้งอยู่บนฐานกาย แนะนำ แนว หลวงพ่อเทียน ครับ.
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    อาการอย่างนี้เห็นอารมย์ตัวเองได้.รู้ว่าอะไรเป็นอะไร.ในทางปฏิบัติถือว่าดีนะครับ
    การปฏิบัติเราปฏิบัติเพื่อให้รู้ ให้เห็น ให้เข้าใจ และก็หาวิธีเพื่อ ละ เพื่อวางครับ
    .บางครั้งเราอาจคิดไปได้ว่า.ทำไมยิ่งฝึกยิ่งอารมย์เสียง่าย.

    นั้นเพราะเราเริ่มเข้าไปเห็นอารมย์ที่เป็นส่วนนามธรรม ที่มันฝั่งในใจเรานั่นเองครับ
    .ถ้าไม่ปฏิบัติจะไม่เห็นตรงจุดนี้
    เวลามีเรื่องอะไรมากระทบนิดหน่อยก็เลยดูเหมือนพาลให้เราหงุดหงิดง่าย..

    เป็นเพราะว่าเราพอมีกำลังสติทางธรรมที่ได้จากช่วงการตามลมหายใจในส่วน
    ของการนั่งสมาธิ และการเดินจงกลมนั่นหละครับ..กำลังตัวนี้ไปจับอารมย์ตรงนี้ได้ทัน
    และกำลังสติทางธรรมตัวนี้คือตัวที่จะไปคอยควบคุมความคิด ควบคุมพฤติกรรมของจิต
    .เป็นเหตุให้เราระลึกถึงการป้อนความคิดดีๆเข้าไปเพราะเราได้อานิสงค์
    จากการแผ่เมตตาทำบุญอุทิศส่วนกุศลหลังจากนั่งสมาธิเข้ามาเสริม
    ตรงจุดนี้เพื่อที่จะให้เราเลิกคิด
    (หรือให้เรื่องนี้วางนั้นเอง)

    ซึ่งถือว่าเป็นการเดินมาถูกทางแล้ว

    เราอาจจะกำหนดให้เรื่องที่คิดดับ หรือว่าไปอยู่กับคำภาวนา หรือว่าเคลื่อนไหวอริยบทแทน
    เรื่องที่กำลังคิดก็จะหายไปได้.หลักสำคัญคือขอให้อยู่ที่ฐานกาย.
    แต่เรื่องพวกนี้ก็จะกลับขึ้นมาอีกได้เนื่องจากจิตเค้าจะคิดได้ที่ละเรื่อง
    แต่ยังไม่ถึงขั้นละได้.และสาเหตุที่เรารู้สึกหงุดหงิดนั้นเพราะกำลังสติเราเร็ว
    และไปจับอารมย์ตรงนี้ได้ทันที
    แต่ปัญญาทางธรรมเรายังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้จิตเห็นหรือ
    ยอมรับในเรื่องที่ทำให้เราหงุดหงิดวางลงได้ครับ
    (พูดง่ายๆว่าเหตุผลยังไม่พอที่จะทำให้จิตเห็นว่าเรื่องนี้ไร้แก่นสาร ไม่มีสาระ เป็นเหตุแห่งทุกข์)

    ..วิธีแก้ก็ไม่ยาก.คือ ฝึกเจริญสติให้ต่อเนื่องในชีวิตประจำวันนอกจากช่วงเวลาทำงาน
    ก็ทำงานให้เต็มที่.ในช่วงนี้หากสติจับเรื่องอะไรได้
    (เช่นการที่เรารู้ว่ารับเรื่องอะไรมาแล้วหงุดหงิด)
    ให้เราป้อนความคิดดีๆไปก่อน.เช่น เรื่องนี้ไม่ดีนะ.เป็นอกุศลนะ.ไม่ใช่ทางนะ
    .คือเอาอารมย์นี่หละครับมาเป็นอาจารย์สอนตัวเรา
    ให้ดูว่าเหตุเกิดจากภายนอกหรือภายใน.
    ถ้าเกิดจากภายนอกใช้สติพากายไปแก้ปัญหา
    หากเกิดจากภายในก็ทำตามที่แนะนำ..
    โดยเทียบเคียงอ้างอิงในเรื่องกฏไตรลักษณ์ก็ได้.หรือในสังโยชน์ก็ได้เช่น
    อย่าไปโกรธเลยโกรธแล้วก็หายหรือว่าเราโกรธเค้าก็ไม่รู้สึกอะไร.
    หรือเราโกรธเค้าแสดงว่าเรายังตัดปฏิฆะไม่ได้เป็นกุศโลบายสอนจิต.
    .เพื่อน้อมจิตให้คิดให้ดีๆก่อนเพื่อเป็นแนวทางเดิน
    ให้จิตสำหรับสร้างปัญญาทางธรรมในอนาคตต่อไป.

    .ช่วงนี้ยกตัวอย่างถ้าเราทำอย่างนี้ได้ .ต่อไปเรื่องเดียวกัน เช่นมีคนพูดลักษณะนี้แล้วทำให้เราโกรธทันที.
    ในอารมย์โกรธเดียวกันนี้เราจะเฉยๆขึ้นไม่มีความคิดที่ไปปรุงแต่งต่อว่าโน้นว่านี้.
    .แต่ว่าความรู้สึกของอารมย์จะยังอยู่ในขณะที่ความรู้สึกของอารมย์เรายังค้างอยู่นั้น
    .เราจะเฉยๆต่อไปซักพักและจิตจะเข้าสู่ความเป็นกลางได้
    (ไม่ได้คิดปรุงแต่งเพิ่มเติมไปเรื่องโน้นไปเรื่องนี้).
    และจะเกิดปัญญาทางธรรมขึ้นมาพิจารณาตัดเรื่องนั้นและวางเรื่องนั้นได้อัตโนมัติ.
    เราจะรู้สึกสบายใจขึ้นและไม่สนใจเรื่องทำนองนี้ในตอนนั้นเผลอๆลืมไปเลย.

    ทำอย่างนี้ให้จิตเห็นบ่อยๆๆๆๆๆ.ซักพักจิตจะเกิดความเบื่อหน่ายกับเรื่องทำนองนี้.
    พอเรื่องทำนองนี้..คำพูดเดียวกันสถานการณ์เดียวกันเกิดขึ้นอีก
    จะมีปัญญาทางธรรมที่เข้าไปตัดเรื่องนี้อัตโนมัติ
    .ส่งผลทำให้เราไม่รู้สึกหงุดหงิดในเรื่องเดียวกันนี้ได้เองในอนาคตครับ..

    ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่เป็น โลภ โกรธ หลง ที่เกิดจากสัมผัสทาง ตา หู จมูก ปาก กาย ใจ
    ก็ใช้หลักการณ์และทำนองเดียวกันครับ.
    ..แต่ว่าเราต้องเก็บมันทุกเรื่องด้วยการเสริมเครื่องมือในการตามจับอารมย์
    อย่างที่คุณเห็นและเริ่มมีในตอนนี้แล้วคือการเจริญสติในชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้น.
    และหลักการพร่ำสอนจิตเพื่อเป็นแนวทางการเดินปัญญาให้จิต.

    รวมทั้งเสริมกำลังสมาธิแบบเป็นพิธีการให้มีความสมำเสมออย่างน้อย
    ในระดับนั่งแล้วเอาแค่เกิดความสงบ..เพื่อที่จะมาหนุนและส่งเสริมกัน
    สำหรับการที่จะสร้างปัญญาทางธรรมอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น
    และต่อไปเรื่องและกิริยาเดียวกันนี้จะไม่มีผลต่ออารมย์ของคุณได้เอง
    ในอนาคตข้างหน้าครับ.....

    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง
     
  16. อิ๊ด

    อิ๊ด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +551
    เหมือนคุณกดทับอะไรบางอย่างไว้ ถ้าพูดแนวพุทธก็เหมือนหินทับหญ้า
     
  17. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ใครๆก็เป็นทุกข์เพราะความคิดกันทุกคนนั่นแหล่ะจ้าความคิดของตนเองความคิดของคนอื่นโดยเฉพาะความคิดของตนเองนี่แหล่ะคือตัวทุกข์ชัดๆเลยจ้า
     
  18. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    หรืออาจมีบ้างบางคนที่ทุกข์เพราะความจำได้อาจไม่ได้คิดแต่จำได้เลยเอามาคิดทั้งที่ไม่อยากจะเอามาคิดแบบนี้ก็มีนะจ๊ะ
     
  19. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    เข้าใจธรรมชาติ ยอมรับความเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ฝืนธรรมชาติ
    หยุดแล้วจึงพบ ดับแล้วจึงเกิด
     

แชร์หน้านี้

Loading...