ปัญญาที่สูงกว่าความรู้ที่เข้าใจ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ต้นที่สาม, 3 กันยายน 2013.

  1. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    กิเลสไปอยู่ไหน? จึงจะปล่อยให้ปัญญาเกิดแก่เราตามธรรมชาติได้?

    ขออนุญาตครับ

    ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ไปตอบปัญหาธรรมในเว็บไซด์อยู่ทำไมเสียเวลาเปล่า
    เขาไม่ได้ปฏิบัติเหมือนเรา แล้วเขาจะเข้าใจได้อย่างไร

    เมื่อมีคนอ่าน ก็ต้องมีคนเข้าใจอยู่บ้าง

    อีกอย่างคือ ผมขี้เกียจจะยกธรรมหัวข้อใด หัวข้อหนึ่งขึ้นมาพิจารณา
    ผมก็เลยหาเอา จากท่านที่เข้ามาตอบ เข้ามาเขียนในเว็บนี่ล่ะ

    ขอตอบรวมๆตามสไตล์ของผมก็แล้วกันนะครับ

    เนื่องจาก ชาวพุทธผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่ ไม่สามารรถหาครู หาอาจารย์ ที่ท่านมีปัญญาสูงส่ง
    จนสามารถอบรมสั่งสอน ด้่วยวิธีปฏิบัติที่ให้ผลรวดเร็วที่สุดได้

    ดังจะเห็นว่า แม้ครูบาอาจารย์พระเถระผู้ใหญ่ฝ่ายธรรมยุติ
    กว่าจะสำเร็จธรรมชั้นสูงที่สุด ส่วนมากก็ผ่านพ้นไป 14 - 18 พรรษา

    แล้วฆราวาสญาติธรรม อย่างเราๆ ก็ยิ่งจะเนินนานออกไปมากกว่านั้นเป็นไหนๆ

    แม้จะมีบางสำนักที่ปฏิบัติแบบ เริ่มที่ผล แล้ว ย้อนกลับมาหาเหตุ
    จนป่านนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจว่า การผ่านภูมิรู้ ภูมิธรรมต่างๆนั้น ผ่านจริงๆ หรือผ่านหลอกๆ
    หรือผ่านแบบสายพุทธภูมิ คือ ผ่านจริงหรือไม่ก็ไม่รู้
    เพราะสายนี้ ดูยาก อ่านยาก พิสูจน์ยาก หาคนรับรองยาก
    ได้แต่รู้ ได้แต่เข้าใจในกลุ่มของตัวเอง ซึ่งอาจจะใช่ หรือ ไม่ใช่ก็ได้

    ดังนั้น ที่ผมเขียน จึงเป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติที่ยังเดินปัญญายังไม่เป็น

    และ ผู้ปฏิบัติที่กำลังฝึก การรู้ตัวทุกอิริยาบถ เท่านั้น

    แต่ถึงแม้ที่ผมฝึกจะใกล้เคียงกับของฝ่ายธรรมยุติ
    แต่เรื่อง การฝึกด้านปัญญา ด้านอภิญญาญานนั้น ผมฝึกมาเองตามธรรมชาติ ตั้งแต่อยู่ชั้นประถม
    พอมาปฏิบัติสมาธิภาวนา ก็เลยเชื่อมต่อ ประสานกันเอง

    เพราะวิธีจากเหตุไปหาผลนั้น มีครูบาอาจารย์สายธรรมยุติ ทั้งนำพาปฏิบัติ ทั้งอบรมสั่งสอน
    ทั้งมีสถานีวิทยุเสียงธรรม กระจายไปอยู่ทั่วประเทศ
    และทั้งยังมี ทีวี ๒๔ ชั่วโมง อินเตอร์เน็ท ๒๔ ชั่วโมงเสริมเข้าไปอีก
    ครูบาอาจารย์ก็กระจายไปอยู่ทั่วประเทศ พร้อมให้คำปรึกษาหารือ สนับสนุน

    ส่วนท่านที่บอกว่า


    "ปัญญาเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแห่งจิตไม่ต้องไปหวังไม่ต้องไปอยากได้ไม่ต้องไปไขว่คว้า
    ขอแค่มีความเพียรกับศีลและสมาธิ แล้วปัญญาก็จะเกิดเองตามธรรมชาติครับ


    อันนี้ ผิดเต็มเปาครับ เพราะครูบาอาจารย์ อย่างองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หรือแม้แต่องค์หลวงตามหาบัว ญานสัมปันโน ตลอดจนครูบาอาจารย์สายธรรมยุติองค์อื่นๆ ท่านต่างก็บอกว่า

    "ปัญญามันเกิดขึ้นเองไม่ได้ ต้องโน้มนำ ต้องเริ่มต้น ยกมันขึ้นมาพิจารณา"
    "การพิจารณา ก็ไม่ต้องไปนับ ว่าพิจารณากี่รอบๆ ต้องพิจารณาจนกว่าจะเข้าใจ"

    ก็จะเห็นไปในแนวทางเดียวกันว่า เมื่อ

    ก็ กิเลส มันเก่งกล้าสามารถ ขยันขันแข็งซะขนาดนี้

    แล้วมันจะปล่อยให้ ปัญญาเกิดขึ้นแก่เรา ง่ายๆได้อย่างไร
    แล้วมันจะปล่อยให้ ปัญญาเกิดขึ้นแก่เราตามธรรมชาติ ง่ายๆได้อย่างไร


    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ
    ลุงมหา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2013
  2. ปลายธาตุ

    ปลายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2012
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +225
    พวกที่เราๆรู้จักกันมานี่ ไม่มีใครรู้จริงหรอกครับ ถ้าอยากเจอพวกของจริงสอนใด้จริง ทำใด้จริงก็ยังมีอยู่ แต่ขอบอกนะครับว่าสายพุทธเจ้าที่อยากไปกันเนี่ยดีแต่อ่อนสุดๆ
    พวกนี้ไม่เน้นทำบุญวัตถุบ้าบอ มีบ้างแต่น้อย เน้นการนั่งทางจิตมากๆ
    ไม่มีตังแต่มีเวลาก็ไปทำใด้ฝึกใด้
    แต่จะมีใครมีบารมีไปพบคนสอนใด้
    สนใจอยากตกนรกหรือพ้นนรกกันก็ตามนี้ไปเลย
    มนัส โกมลฑา
    สายวิชาพุทธเจ้าเก่าแก่ตั้งแต่ตั้งโลกใหม่ๆเลยนะเนี่ย
    ขอให้โชคดีละกัน....
     
  3. ต้นที่สาม

    ต้นที่สาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2011
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +1,074
    คนที่ไม่เคยฝึกปฏิบัติสมาธิ หรือระดับสมาธิเข้มแข็ง
    ผ่านการแยกร่างกายหยาบกายจิต
    จนมีความเชื่อมั่นในการเวียนว่ายตายเกิดของจิตอย่างแนบแน่นนั้น
    (การเปิดตาในได้ จะเกิดความเชื่อมั่นในสิ่งนี้อย่างแนบแน่น)
    ก็จะมีความไม่เชื่อมั่นเพราะมันเป็นความรู้
    ในเส้นทางเดินอื่นๆนั้น ผมไม่ทราบมากนัก แต่สิ่งที่ได้จากการอ่าน
    ซึ่งความรู้คือเรื่องที่มีการเล่าต่อๆกันมา
    การแสวงจากความรู้ แบบนี้ เป็นเปลือกที่เล่าอ่านกันมา
    เมื่อนำเข้าไม่ถูกต้องก็กลายเป็นสัญญาปลอมๆ
    และก็จะเข้าใจคนทั้งโลกว่าเป็นอย่างที่ตนเองเป็น

    การที่ผมเชื่อในพุทธพจน์ก่อนจะเริ่มต้นแห่งการฝึกฝนว่า
    บุญที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ทุกผู้ทุกนามนั้น
    แม้นตั้งใจปฏิบัติอย่างมุ่งมั่นนั้น สามารถบรรลุ
    ได้ภายใน 7 วัน 7เดือนหรือ 7 ปี
    ตามแต่บุญและกรรมของแต่ละคน

    ถ้าเริ่มต้นด้วยจิตอคติ ไม่เชื่อไม่ศรัทธาในแนวทางคำสอน
    ของพระพุทธองค์ อันเป็นแนวทางเดินของพุทธสาวกทุกคนต้องเดิน
    นอกเหนือจากนั้นท่านก็ต้องแสวงหาเอกในสายปัจเจก หรือ สายโพธิสัตว์
    ป่าวประโยชน์ที่จะเดินในสายทางของพุทธสาวก
    ของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้
    แล้วจึงค่อยน้อมจิตในวิจารย์คนอื่นครับ
    ผมชักชวนมาทิ้งอคติในจิต มาเริ่มต้นด้วยศรัทธา
    และหันมาปฏิบัติอย่างจริงจังเถอะครับ
    "ช้อนที่อยู่กับน้ำแกง มาตลอดนั้นไม่มีทางรับรู้รสแกง"ครับ
    มีศรัทธา มีความเพียร มีปัญญา เพื่อก้าวไปสู้เส้นทางเดิน
    แม้นยังไม่บรรลุ แต่อย่างน้อยก็น่าจะจบลงที่ยังอยู่บนเส้นทาง
    ที่ถูกต้องที่จะก้าวเดินไปครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2013
  4. ต้นที่สาม

    ต้นที่สาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2011
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +1,074
    ทางสายตรง ที่วัดป่าหมู่ใหม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2014
  5. ิBat of light

    ิBat of light เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2012
    โพสต์:
    687
    ค่าพลัง:
    +842
    .


    Code:
    
    เนื่องจาก ชาวพุทธผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่ ไม่สามารรถหาครู หาอาจารย์ ที่ท่านมีปัญญาสูงส่ง 
    จนสามารถอบรมสั่งสอน ด้่วยวิธีปฏิบัติที่ให้ผลรวดเร็วที่สุดได้ 
    
    
    เอ..สมัยนี้แค่อ่านหนังสือแล้วฝึกตามเอาเอง ไม่มีใครเค้าทำได้ดีแล้วหรือครับ
    พูดเหมือนอวดดี หรือยโสโอหังไปซักนิด ขออภัยท่านที่หมั่นไส้ก่อนละกัน 55


    Code:
    
    แต่เรื่อง การฝึกด้านปัญญา ด้านอภิญญาญานนั้น ผมฝึกมาเองตามธรรมชาติ ตั้งแต่อยู่ชั้นประถม
    พอมาปฏิบัติสมาธิภาวนา ก็เลยเชื่อมต่อ ประสานกันเอง
    
    
    
    นี่เอง เหตุผลที่ทำให้เหมือนคุยภาษาเดียวกันล่ะมั้ง นะ
    เพราะฝึกฝนและค้นหา แบบออโต้ ไม่ต้องมีใครบอก ถึงเวลาก็มาเอง

    Code:
    
    "ปัญญาเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแห่งจิตไม่ต้องไปหวังไม่ต้องไปอยากได้ไม่ต้องไปไขว่คว้า
    ขอแค่มีความเพียรกับศีลและสมาธิ แล้วปัญญาก็จะเกิดเองตามธรรมชาติครับ
    
    อันนี้ ผิดเต็มเปาครับ เพราะครูบาอาจารย์ อย่างองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต 
    หรือแม้แต่องค์หลวงตามหาบัว ญานสัมปันโน ตลอดจนครูบาอาจารย์สายธรรมยุติองค์อื่นๆ 
    ท่านต่างก็บอกว่า
    
    "ปัญญามันเกิดขึ้นเองไม่ได้ ต้องโน้มนำ ต้องเริ่มต้น ยกมันขึ้นมาพิจารณา"
    "การพิจารณา ก็ไม่ต้องไปนับ ว่าพิจารณากี่รอบๆ ต้องพิจารณาจนกว่าจะเข้าใจ"
    
    
    เอ..แต่ผมว่าบางทีมันก็มีมาเองได้เหมือนกันนะครับ
    แต่ดีกว่าแน่ๆ ถ้าเราเป็นฝ่ายโน้มนำ คล้ายๆ หล่อเลือกได้ล่ะมั้ง นะ 555
    จะว่าไปแล้ว เราว่าประเด็นนี้สำคัญมาก ในการพิจารณาธรรม
    การจะผ่านหรือไม่ผ่าน ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสิืนกันได้ง่ายๆ เลยครับ

    ของเราโชคดี ที่ปกติ (สมัยโน้น) การจะผ่าน มักจะมีสัญญานบอกครัีบ
    เราเรียกว่า ปิ๊ง คือมันเหมือนปิ๊งๆ น่ะครับ แล้วก็เข้าใจ หัวก็โล่ง ปลอดโปร่งใจ
    แลกเปลี่ยนกันนะครัีบ เราก็ต้องฝึกเอาเองเหมือนกัน
    สงสัยชาติก่อนทำครูบาอาจารย์เบื่อหน่าย หรือปวดหัวอย่างแรง
    ชาตินี้เลยไม่ค่อยมีใครสอน ปล่อยให้มันรู้เอาเองแล้วกัน เก่งนัก 555

    Code:
    
    ก็ กิเลส มันเก่งกล้าสามารถ ขยันขันแข็งซะขนาดนี้
    
    แล้วมันจะปล่อยให้ ปัญญาเกิดขึ้นแก่เรา ง่ายๆได้อย่างไร
    แล้วมันจะปล่อยให้ ปัญญาเกิดขึ้นแก่เราตามธรรมชาติ ง่ายๆได้อย่างไร
    
    
    ส่วนอันนี้เราไม่มีปัญหาแฮะ หรือว่าเราเป็นพวกไม่รู้ความกันนะ
    ไม่เคยสนใจเลย ไอ้โน่นไอ้นี่ไอ้นั่น ใครทำยังไง เราไม่รู้่ไม่ชี้ตลอดเลย
    ตูจะเอาแบบเนี้ย ก็เข้าใจได้แบบเนี้ย ไม่เหมือนกัน แล้วไง
    ไม่รู้ไม่สน จะถูกจะผิด อ่านแผนที่ที่ลูกพี่สร้างไว้ แล้วเดินตามไปเรื่อยๆ

    จนมาโผล่ตรงเนี้ย ไม่รู้ว่ามาได้ถึงไหนเหมือนกัน 5555

    วิญญานกระต่ายป่า ข้างวัด / นักรบแสง

    .
     
  6. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ขอโมทนาบุญ เชิดชูครูบาอาจารย์

    ขออนุญาตครับ

    เห็นท่าน จขกท แล้วอดชื่นชมไม่ได้
    ไม่เหมือนท่าน อXXX ที่จบวิศวะเหมือนท่าน
    แถมยังอวดอ้างว่า เคยบวช เคยรับใช้ใกล้ชิดครูบาอาจารย์ ตั้ง ๕ พรรษา
    กลับไม่เห็นมีภูมิธรรมอะไรเลย แค่พิจารณา สัมมาทิฐิ ก็ยังไม่ผ่าน
    ผมก็เฝ้าติดตามดูว่า จะมีอะไรพัฒนาบ้างไหม

    ก็เห็นเพื่อนๆสมาชิก เริ่มพากันบ่นว่าเป็นประเภทหนอนตำราเท่านั้น

    อีกท่านที่ผมเฝ้ามอง ก็ท่าน อุXXXXX ที่เพิ่งโดนโทษแบนไป
    เห็นหลายๆท่านไป โต้ตอบ ตอแยด้วย ผมร่ำๆว่าจะเตือน แต่ก็อดทนรอดูต่อไป

    ที่จะฝากท่าน จขกท ก็คือ กล้า เมื่อไร
    ก็ขอให้เขียนบอกรายละเอียด ขั้นตอน การปฏิบัติ ของท่านออกมา
    จะปล่อยออกมาหมด หรือจะทะยอยปล่อย ก็ตามสะดวก

    เพื่อประโยชน์ของคนรุ่นหลัง

    ขอโมทนา ขออนุโมทนา

    ลุงมหา
     
  7. Spammer

    Spammer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    976
    ค่าพลัง:
    +3,498
    ผมเองก็มีความคิดใฝ่ทางธรรมมาตั้งแต่เด็ก
    แต่ไม่ใคร่จะเป็นคนที่ใกล้วัดใกล้วานักเพราะ
    ติดเพื่อนติดฝูง พอโตก็มีความรับผิดชอบเข้า
    มาพ่อแม่ก็แก่แล้วอยากให้มีครอบครัวอย่าง
    คนอื่นเขาพ่อแม่จะได้นอนตาหลับ แต่ในใจ
    ก็ยังคิดถึงเรื่องนั้นอยู่เสมอมา โดยเฉพาะ
    เมื่อเวลามีทุกข์ หรือเห็นคนอื่นแสดงความ
    ทุกข์ออกมา ก็อยากจะหลุดพ้นบ่วงแห่งทุกข์
    เวทนาเหล่านี่ ไปในหนทางที่สงบ อย่างน้อย
    ก็ใจสงบ ด้วยความที่ผมขาดทักษะด้านนี้ จึง
    หาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้จนถึงทุกวันนี้
    ครึ่งชีวิตแล้ว ความสุขที่แท้จริงก็ยังไม่เคยได้
    รู้จักนัก วันก่อนซึ่งเป็นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์
    ผมทำให้ว่างแม้จริงๆแล้วไม่ว่างเพราะต้องหอบ
    งานมาทำที่บ้านเสมอๆ แต่วันนี้ผมขอเวลาให้
    กับตนเอง เมื่อความสงบเข้ามาเยือนเป็นครั้ง
    แรกในรอบหลายปี คิดกับตัวเองว่า...

    "เธอว่ามั้ย อันดวงจันทร์นั้นแม้อาจจะดูช่างห่างไกล
    จากตัวเธอเสียเหลือเกิน แต่รู้มั๊ย มันอยู่ใกล้แค่ใจเธอ"

    เพียงคิดชั่วอึดใจนั้น ทำให้ผมเกิดความปิติสุขอยู่ภายใน
    ทุกครั้งที่ผมว้าวุ่นหรือเครียดโกรธต่อตนเองหรือผู้อื่น พอ
    ผมฉุกคิดถึงประโยคเหล่านั้น มันเปรียบเหมือนกุญแจไข
    สู่กลางใจทั้งเราและผู้อื่นได้ ทำให้เรารู้ว่า ทั้งเขาและเรา
    ก็มิได้มีอะไรที่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย โอ้วมนุษย์ตัว
    น้อยนิดเอ๋ย เจ้าอย่าย่างเดินเชื่องช้าและสั้นนัก เวลาของ
    เจ้าก็ดูน้อย ใยเจ้าจึงยังย่างเดินอยู่มิฉุดคิด เพราะหนทาง
    ที่เจ้าเลือกเดินนั้น ดุจดังวงกตสุดคณา ทั้งที่ทางออกนั้น
    ก็มีอยู่ อยู่ใกล้จนเจ้าอาจมองไม่เห็นเอง จงอย่าใช้ตามอง
    เพราะจักมีแต่มายาล่อลวงเจ้า คนโง่เขลาเท่านั้นที่ถูกลวง

    (หากไร้สาระต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ)
     
  8. ต้นที่สาม

    ต้นที่สาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2011
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +1,074
    "ฝึกดูกาย ฝึกกาย ฝึกคุมกาย ฝึกกายปรกติ
    ฝึกดูใจ ฝึกใจ ฝึกคุมใจ ฝึกใจปกติ
    ฝึกดูจิต ฝึกจิต ฝึกคุมจิต ฝึกจิตปกติ
    จิตดูกาย จิตฝึกกาย จิตคุมกาย จิตกายปกติ
    กายดูจิต กายฝึกจิต กายคุมจิต กายจิตปกติ
    ฝึกละกาย ฝึกละจิต ฝึกละกายจิต ฝึกละปกติ
    ละกาย ละจิต สูญญตา"

    เส้นทางเรียบง่าย หวังว่าจะมีคนเข้าใจ
    ทิ้งอคติ เดินตามเส้นทางสายพุทธสาวก
    สายตรง เชื่อมั่น ศรัทธา ในปัญญาของพระพุทธองค์
    ก้าวเดินอย่างมั่นคง ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2013
  9. Spammer

    Spammer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    976
    ค่าพลัง:
    +3,498
    โดนใจมากเลยครับ คลิปข้างบน ขอบคุณครับ :)
     
  10. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    วันนี้มีเพื่อนคนหนึ่งส่งหนังสือเล่มนี้มาให้ บอกว่าดีมากๆ ให้ลองอ่านดูให้จบ เลยรีบเอามาลงให้ลองโหลดไปอ่านกัน (ตัวเองยังอ่านไม่จบนะ)

    เรื่องปัญญาญาณ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ขออนุโมทนาอย่างยิ่ง
    สำหรับผม ดูเหมือนหนังสือเล่มที่Falkman
    ได้กรุณาแชร์มาให้เป็นวิทยาทานเล่มนี้
    สามารถมาตอบโจทย์ให้แก่ชีวิตผมในความอยากรู้
    สิ่งที่เกี่ยวกับชีวิตด้านที่ถูกปิดบังอยู่(ด้านที่สุกสว่าง)
    ว่ามีอยู่จริง แต่อยู่ลึกลงไปในระดับที่ความคิด
    ล้วนๆเข้าไปไม่ถึง

    แม้คำตอบในคัมภีร์พุทธธรรมได้แยกแยะระดับของปัญญา
    ไว้มากมาย ด้วยภาษาธรรม โดยที่ผู้มีศรัทธาในพระรัตนตรัย
    สามารถดำเนินตาม ก็สามารถถึงปลาย
    สุดของการใช้ชีวิตที่คุ้มค่าในทุกมิติได้ก็จริง

    แต่สำหรับผู้แสวงหาที่เน้นคำตอบว่าจะต้องเป็นเหตุเป็นผลเชิง
    วิทยาศาสตร์ จึงจะโดนใจจอมเหตุผล หนังสือเล่มนี้จะสนอง
    ความต้องการนักแสวงหาประเภทนี้ได้อย่างไม่เสียดายเวลาอ่านทีเดียว

    ขออนุโมทนากับผู้ประพันธ์และผู้แชร์คุณFalkman ด้วยมนสิการ อีกครั้งครับ
     
  12. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    อนุโมทนาสาธุ _/\_

    เพื่อนส่งมาให้ ส่วนตัวเองยังไม่ได้อ่านจบเลย (อ่านไปไม่กี่หน้า) ฟังแบบนี้แล้ว เดี๋ยววันนี้จะกลับไปอ่านบ้าง เห็นเพื่อนบอกว่าดีมาก ลองอ่านดู ก็เลยนึกถึงเพื่อนๆ ในนี้ เอามาแชร์ให้อ่านกันจ้า


    ปล.แนบประวัติคนเขียนมาด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. ต้นที่สาม

    ต้นที่สาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2011
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +1,074
    ผมเจอข้อมูลคำสอนของครูบาศรีวิชัยนักบุญแห่งล้านนา
    สอดคล้องที่พระอาจารย์ของผมที่พม่า ก็สอนและแนะนำเหมือนกันครับ ในเรื่องข้อห้ามหรือละเว้นในการทานในช่วงการฝึกปฏิบัติตน


    ครูบาศรีวิชัยเป็นผู้มีศีลาจารวัตรที่งดงามและเคร่งครัด โดยที่ท่านงดการ
    เสพ หมาก เมี่ยง บุหรี่ โดยสิ้นเชิ
    ท่านงดฉันเนื้อสัตว์ตั้งแต่เมื่ออายุได้ ๒๖ ปี และฉันอาหารเพียงมื้อเดียว
    ซึ่งมักเป็นผักต้มใส่เกลือกับพริกไทเล็กน้อย
    บางทีก็ไม่ฉันข้าวทั้ง ๕ เดือน คงฉันเฉพาะลูกไม้หัวมันเท่านั้น
    นอกจากนี้ท่านยังงดฉันผักตามวันทั้ง ๗ คือ
    วันอาทิตย์ ไม่ฉันฟักแฟง,
    วันจันทร์ ไม่ฉันแตงโมและแตงกวา,
    วันอังคาร ไม่ฉันมะเขือ,
    วันพุธ ไม่ฉันใบแมงลัก,
    วันพฤหัสบดี ไม่ฉันกล้วย,
    วันศุกร์ ไม่ฉันเทา (อ่าน"เตา"-สาหร่ายน้ำจืดคล้ายเส้นผมสีเขียวชนิดหนึ่ง),
    วันเสาร์ ไม่ฉันบอน

    นอกจากนี้ผักที่ท่านจะไม่ฉันเลยคือ
    ผักบุ้ง ผักปลอด ผักเปลว ผักหมากขี้กา ผักจิก และผักเฮือด-ผักฮี้(ใบไม้เลียบอ่อน)
    โดยท่านให้เหตุผลว่า
    ถ้าพระภิกษุสามเณรรูปใดงดได้ การบำเพ็ญกัมมัฏฐานจะเจริญก้าวหน้า ผิวพรรณจะเปล่งปลั่ง ธาตุทั้ง ๔ จะเป็นปกติ
    ถ้าชาวบ้านงดเว้นแล้วจะทำให้การถือคาถาอาคมดีนัก


    น่าจะมีประโยชน์สำหรับ ท่านที่ฝึกกัมมฏฐาน ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2013
  14. Kunanop

    Kunanop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2011
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +218
    เพราะเส้นทางธรรมของฆราวาสจริงๆนั้น ง่ายกว่าของพระเยอะ
    ต้องขอโทษด้วยครับ คือไม่ค่อยเข้าใจประโยคนี้เท่าไรนะครับ
     
  15. ระเบียง

    ระเบียง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +10
    หนังสือปัญญาญาณ ผู้เขียนได้ธรรมะจากการปฎิบัติในแนวทางแบบหลวงพ่อเทียน อ่านแล้วดีมากเลยครับ ทำให้เห็นว่าธรรมชาติของจิตเป็นเรื่องที่ใครๆก็สามารถเข้าถึงได้ถ้าปฏิบัติถูกวิธี
     
  16. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ถึงว่า "กลองดี ไม่มีคนตีมันก็ไม่เคยดัง"

    "แม้กลองไม่ดี ถ้าคนไปตีมันก็ดัง แต่ดังไม่ไพเราะ"

    อ้าว!!แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหนังสือเนี่ย!!!
     
  17. ระเบียง

    ระเบียง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +10
    จากข้อความตอนหนึ่งในหนังสือปัญญาณ ที่คุณ Falkman เอามาโพสต์ไว้นะครับ

    ความลับของชีวิต



    ความลับพื้นฐานที่สุดของชีวิตก็คือ การไม่รู้จักปัญญาอีกชนิดหนึ่งที่ถูกซ่อนอยู่นอกเหนือความคิด สามารถกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า อวิชชาก็คือการไม่รู้ว่าไม่รู้อะไร นี่เป็นความลับที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของทุกคนบนโลก ทุกชาติ ทุกศาสนา ทุกภาษา ทุกเพศและทุกวัย ความลับนี้ไม่เกี่ยวกับความโง่หรือฉลาดทางการคิด ไม่เกี่ยวกับประสบการณ์หรือด้อยประสบการณ์ แต่มันเป็นผลจากวิวัฒนาการตามธรรมชาติ ในการที่สมองจะสร้างโลกจำลองของระบบความคิดที่ซับซ้อนขึ้นมาได้ จิตใจต้องสูญเสียความสามารถอันเรียบง่ายดั้งเดิมไป นั่นคือความสามารถในการรู้อย่างตรงไปตรงมาของจิต คือการรู้ที่ไม่ผ่านโลกจำลองทางความคิด เป็นการรู้ที่เป็นอิสระจากการตีความของปัจเจกบุคคลและการให้คุณค่าทางสังคม ปัญญาพื้นฐานของจิตนั้นเป็นการรู้ ไม่ใช่ความรู้ การรู้เป็นกระบวนการที่เป็นอิสระจากการสั่งสมข้อมูลและความรู้ต่างๆซึ่งอาจจะถูกหรือผิด หรือเอนเองไปตามทัศนคติ การตีความและการให้คุณค่าทางสังคม

    การรู้จึงเป็นปัญญาอีกชนิดหนึ่งที่ไม่ต้องพึ่งพาถ้อยคำ ไม่ต้องพึ่งพาภาพในใจ จิตหรือจิตสำนึกสามารถรู้ทุกกริยาอาการภายในจิตโดยวิธีพื้นฐานเดียวกับการรู้สึกร้อนโดยไม่ต้องพึ่งพาถ้อยคำ การรู้โดยตรงของจิตยังช่วยให้เราเห็นกระบวนการพื้นฐานของความคิดอีกด้วย เช่นจิตกำลังรู้ลมหายใจ มีสติสมาธิตั้งมั่นในการรู้ลมหายใจ เมื่อความคิดเกิดขึ้น จิตที่เป็นอิสระจะรับรู้ทั้งถ้อยคำและความหมาย จิตจึงไม่หลงไปตามความหมายโดยถ่ายเดียว

    ปรมัตถธรรมจึงไม่ใช่การรู้สิ่งใหม่อันมหัศจรรย์ ไม่ใช่การบรรลุธรรมที่ไม่มีในตน ไม่ใช่สภาวะวิเศษที่ไม่มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่เป็นการรู้ลึกเข้าไปถึงกระบวนการพื้นฐานทางจิตใจ ไม่ใช่การรู้ลึกด้วยการคิดวิเคราะห์ทางเหตุผล แต่เป็นการรู้ลึกด้วยการสังเกตหรือด้วยการรู้ที่เป็นความสามารถพื้นฐานที่สุดของจิตอันได้แก่วิญญาณขันธ์

    เราต้องเข้าใจก่อนว่า จิตสำนึกไม่ใช่ความคิด ไม่ใช่อารมณ์ ไม่ใช่ประสาทสัมผัส และไม่ใช่ผัสสะที่ปรากฏหรือรับรู้ได้ภายใต้ความตั้งใจ แต่จิตสำนึกคือพื้นที่ว่างที่สิ่งทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นปรากฏขึ้น ความคิดเป็นสิ่งที่มาปรากฏในการรับรู้ของจิตสำนึก อารมณ์คือสิ่งที่มาปรากฏในการรับรู้ของจิตสำนึก สัมผัสทั้งหลายคือสิ่งที่มาปรากฏในการรับรู้ของจิตสำนึกเช่นกัน จิตสำนึกจึงเป็นพื้นที่โดยสมมุติของจิตเท่านั้น ความจริงแล้วจิตสำนึกทำงานเชื่อมโยงกับจิตใต้สำนึกหรือจิตทั้งหมดอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามจิตสำนึกจะมีความว่องไวในการสังเกตได้ก็ต่อเมื่อจิตสำนึกเป็นอิสระและไม่ถูกครอบงำด้วยกระบวนการอัตโนมัติของสิ่งที่ถูกรู้ทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง'ความคิด'

    จิตสำนึกจะว่องไวขึ้นเมื่อเราหัดสังเกตสิ่งที่ถูกรู้โดยไม่เข้าไปแทรกแซง ไม่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการอัตโนมัติ ตั้งแต่เล็กจนโต จิตสำนึกของปัจเจกบุคคลไม่เคยเป็นอิสระจากสิ่งที่ถูกรู้ เมื่อความคิดปรากฏ จิตสำนึกไม่เคยเป็นอิสระจากความคิด เมื่ออารมณ์ปรากฏ จิตสำนึกไม่เคยเป็นอิสระจากอารมณ์ เมื่อใดก็ตามที่จิตสำนึกมองเห็นพันธนาการ เห็นความขัดแย้งและการต่อสู้ดิ้นรนของสิ่งที่ปรากฏหรือสิ่งที่ถูกรู้ เมื่อนั้นจิตสำนึกจึงจะรู้จักปัญญาญาณอันเป็นความสามารถพื้นฐานของจิตที่เป็นอิสระจากสิ่งที่ถูกรู้ หรือที่เรียกว่าปราศจากอุปาทาน
     
  18. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ใจความส่วนหนึ่งในหน้า 30

    พระพุทธเจ้าทรงค้นพบความจริงข้อนี้ ทรงค้นพบข้อจำกัดของความคิดในขณะเดียวกันก็ทรงค้นพบ
    ปัญญาอีกชนิดหนึ่งที่จะนาไปสู่การทางานของจิตใจที่สมบูรณ์ จึงได้สอนการปฏิบัติธรรมเพื่อให้มนุษย์ได้รู้จัก
    ปรมัตถ์สภาวะอันเป็นพื้นฐานของปัญญาญาณที่สมบูรณ์ของมนุษย์ การทำสมาธิก็ดี การเจริญสติก็ดี การทำ
    วิปัสสนากรรมฐานก็ดี ล้วนเป็นการปูพื้นฐานให้มนุษย์ได้รู้จักปรมัตถ์สภาวะ อันเป็นปัญญาที่อยู่นอกเหนือ
    แบบจำลองทางความคิด แต่มนุษย์ผู้ฟังธรรมผ่านแบบจำลองทางความคิดของตัวเอง ย่อมสามารถรับรู้และเข้าใจ
    ได้เพียงธรรมที่เป็นบัญญัติธรรมเท่านั้น ไม่สามารถรู้จักแก่นแท้ของธรรมที่อยู่นอกเหนือถ้อยคำ
    เมื่อนานวันเข้าธรรมจึงกลายเป็นเรื่องไกลตัว เพราะรับและถ่ายทอดกันได้แต่บัญญัติธรรม ขาดการถ่ายทอดเนื้อหาด้านปรมัตถธรรมที่เป็นปัญญาพื้นฐานและเป็นการทำงานที่แท้จริงของจิตใจ
     
  19. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    บุญ วาสนา บารมี ทางธรรม ทางโลก(ฆราวาส)

    ขออนุญาตครับ

    เส้นทางธรรมของฆราวาส นั้น ไม่มีความจำเป็นใดๆ ต้องเดินเส้นทางเดียวกับพระสงฆ์

    เพราะจากประสบการของผมเองนั้น

    ฆราวาส สามารถถือศีลขั้นละเอียด เฉพาะ ในช่วงชีวิตที่เร่งความเพียรเต็มที่เท่านั้น

    เมื่อ รู้ธรรม เห็นธรรม เข้าใจธรรม แล้ว
    เมื่อ ถึง จุดสูงสุดที่ต้องการแล้ว
    ก็สามารถกลับมารักษาศีลเหมือนคนทั่วๆไปได้

    แม้ว่า อภิญญาญาณ จะหายไป
    แต่ ภูมิรู้ ภูมิธรรม ยังมีเหมือนเดิม
    และยังเอาภูมิรู็้้้ ภูมิธรรมอันนั้น มาใช้ในหน้าที่การงาน ในชีวิตประจำวันอย่างแคล่ว คล่องชำนาญอีกด้วย

    เมื่อกำลัง สติ กำลังสมาธิเต็มที่แล้ว
    ก็สามารถพิจารณาด้านปัญญาได้เลย
    เพราะฆราวาสนั้น มีแนวคิดกว้างขวางกว่าพระ เช่น การพิจารณา

    เรื่อง ครอบครัว
    เรื่อง หน้าที่การงาน
    เรื่อง หนัง เรื่องละคร
    เรื่อง ดนตรี เรื่องกีฬา
    และ อื่นๆิีมากมาย

    ซึ่งเรื่องเหล่านี้ พระไม่สามารถ มา พิจารณา ได้

    เพราะพระ ต้องไปพิจารณา อศุภกรรมฐาน เพื่อไม่ให้พลั้งเผลอผิดศีล เหมือน เณรคำ

    เพราะพระ ต้องไปพิจารณา เวทนา เพื่อให้เกิดความอดทน
    จะได้รักษาความเป็นพระให้เ้ยาวนาน ตลอดอายุขัย

    แต่ฆราวาส ไม่ต้อง เกิดเวทนาเมื่อไร ก็นอนภาวนาแทน

    ผมมักแนะนำให้คนรู้จักทั้งหลาย รู้จักพิจารณา
    อาชีพ หน้าที่การงาน วิธีการหาเงิน ของผู้อื่น จากรอบๆตัวเรา จากชุมชนของเรา

    ให้มากที่สุด ให้กว้างที่สุด ให้ลึกที่สุด ให้ละเอียดที่สุด

    แล้วก็ให้เริ่มวางแผน วางแนวทาง ว่า เราจะไปสู่อาชีพ นั้นๆ ได้อย่างไร

    เช่น มีคนอยากทำธุระกิจ สนามซ้อมกอล์ฟ แต่ไม่มีทุน
    คุณก็ต้องไปเฝ้ามอง ไปศึกษา เรื่อง สนามซ้อมกอล์ฟ
    ให้มากที่สุด ให้กว้างที่สุด ให้ลึกที่สุด ให้ละเอียดที่สุด

    แล้วก็แยกองค์ประกอบออกมาว่า
    ธุระกิจสนามซ้อมกอล์ฟนั้น ประกอบด้วยอะไรบ้าง แล้วก็เริ่มทำเป็นขั้นเป็นตอน

    สนามซ้อมกอล์ฟ ต้องใช้ ที่ดิน ก็หา เจ้าของที่ดินมาร่วมทุน
    สนามซ้อมกอล์ฟ ต้องใช้ อาคาร สิ่งปลุกสร้าง ก็หา เจ้าของ บริษัท ก่อสร้าง มาร่วมทุน
    สนามซ้อมกอล์ฟ ต้องใช้ การจัดการแลนด์สเคปปลูกหล้า ดูแลสนามหญ้า ก็หา ผู้รับเหมาจัดสวน มาร่วมทุน
    สนามซ้อมกอล์ฟ ต้องใช้ อุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์แสงสว่าง ก็หาร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้ามาร่วมทุน
    สนามซ้อมกอล์ฟ ต้องใช้ อุปรณ์ ในการซ้อมกอล์ฟ ก็หาผู้ค้าอุปกรณ์กอล์ฟมารวมทุน

    และอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เมื่อรวบรวม พิจารณาปรับปรุง ลด เพิ่ม จนลงตัว
    ก็สามารถ เริ่มดำเนินการได้

    น่าเสียดาย ที่การศึกษาของบ้านเราส่วนมาก รู้จักแต่สอนคนให้ไปเป็นลูกจ้างเขาเท่านั้น

    เมื่อ คิดน้อย พิจารณาน้อย ปัญญาก็เลยน้อยตามไปด้วย

    ถ้าทำได้ตามนี้ ไม่มีวันตกงานแน่นอน

    สรุปคือ ธรรมของฆราวาสนั้น กำลังสติ กำลังสมาธิ เต็ม เมื่อไร
    ก็กระโดด ไปพิจารณาด้านปัญญา ทั้งทางธรรม ทั้งทางฆราวาส ได้เลย
    อยากได้ ภูมิรู้ ภูมิธรรมระดับไหน ก็ปรับให้เหมาะสมเอาเองว่า
    ท่านอยากได้ บุญบารมีทางธรรม (ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ หลุดพ้น) เท่าไร
    ท่านอยากได้ บุญบารมี ทางฆราวาส (ศรัทธา ทาน ศีล ครอบครัว หน้าที่การงาน สังคม ประเทศชาติ)เท่าไร

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ
    ลุงมหา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2013
  20. ระเบียง

    ระเบียง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +10
    ถูกต้องเลยครับ คุณ Neoworld กลองไม่ดีตีไปมันก็ไม่ไพเราะ เช่นเดียวกันกับหนังสือเล่มนี้จะดีหรือไม่ ผมทิ้งเอาไว้เป็นการพิจารณาของเหล่านักอ่านในกระทู้นี้แล้วกันนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...