ภัยพิบัติธรรมชาติไม่ใช่เรื่องใหม่ มีมานานแล้วและก็เป็นแค่เรื่องธรรมดา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย nai_Prathom, 13 กันยายน 2013.

  1. nai_Prathom

    nai_Prathom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +694
    อารยธรรมในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่มีพัฒนาการเจริญรุ่งเรืองขึ้น มีเหตุปัจจัยที่ทำให้อารยธรรมล่มสลาย ไม่ว่าจะสงคราม การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ และความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศหรือภัยธรรมชาติ ดังเช่น อารยธรรม"โมเช(Moche)" ในเปรู ช่วงเวลาประมาณ 560-650AD(AD = Anno Domini = ปีคริสตศักราช) ชาวโมเชต้องเผชิญกับสภาพฝนตกหนักต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนานถึง30ปี อย่างที่เรียกกันว่า Mega Elnino หลังจากต่อมาก็เกิดสภาวะแห้งแล้งอย่างหนักต่อเนื่องยาวนานอีก30ปี นักวิชาการทราบจากการตรวจชั้นน้ำแข็งบนยอดเขาแอนดิส ซึ่งจะมีความสัมพันธ์ในทางตรงกันข้ามกับพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลซึ่งชาวโมเชอาศัยอยู่ ถ้าสภาพอากาศบนเขาแห้งแล้งนั่นแสดงว่าในพื้นที่ชายฝั่งทะเลเกิดฝนตกหนัก

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=IjJQ6ivm0bY&noredirect=1]The Lost Civilisation Of Peru (Documentary) - YouTube[/ame]

    อารยธรรมโมเช ไม่ได้สาปสูญไปโดยสิ้นเชิง หลังจากนั้นชาวโมเชก็ยังมีการสร้างบ้านเมืองขึ้นมาใหม่ มนุษย์ก็ยังมีความสามารถในการปรับตัวในการใช้ชีวิตกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่เปลี่ยนไป

    ช่วงกว่าสองปีที่ผ่านมา มีกลุ่มบุคคลได้พยายามสร้างกระแสถึงเรื่องภัยธรรมชาติที่จะทำลายชีวิตผู้คนอย่างไม่เคยมีมาก่อน(เพื่อหาผลประโยชน์เข้าตัวเอง) ผมได้ยกเรื่องนี้มาเป็นตัวอย่าง เมื่อได้อ่านได้ชมสารคดีแล้ว ก็ควรคิดอย่างมีสติให้มากๆครับ ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ ก็ไม่ควรเชื่ออะไรอย่างงมงาย

    ทุกอย่างมีเหตุปัจจัยที่แน่นอนที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์ในอนาคต เพียงเราใช้ชีวิตตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรม มีสติปัญญารู้จักไตร่ตรอง ก็คงไม่ต้องถึงกับไปวิตกว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เคยเห็นตัวอย่างบางคนกลัวแต่ภัยธรรมชาติจนไม่เป็นอันทำมาหากิน วันๆคิดวางแผนว่าจะหนีไปอยู่ที่ไหน จะไปซื้อบ้านที่จังหวัดใดดี กลัวตายในวันหน้าจนลืมชีวิตในปัจจุบันไปเสีย

    ภัยธรรมชาตินั้นเป็นของแน่นอน จะเกิดเมื่อไหร่ก็ยากที่จะทราบได้ สำหรับผมแล้วเชื่อง่ายๆว่า ถ้าบุญเรามี เราก็คงเอาตัวรอดผ่านพ้นไปได้

    ผมแนะนำให้ลองย้อนกลับไปหาดูคลิปในยูทิวป์ ที่ท่านผู้รู้ทำนายภัยธรรมชาติของโลกเมื่อสองปีก่อน ดูแล้วจะขำก๊ากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2013
  2. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,670
    ช่วงที่หลายๆ ประเทศเกิดภัยพิบัติ โดยเฉพาะช่วงที่ปทท.เกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ ประสบความเดือดร้อนกันทั่วหน้า (ช่วงนั้นยอมรับว่าประสาทรับทานนิดหน่อยเหมือนกัน)

    ได้อ่านบทความของพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล (บทความที่ตีพิมพ์ในหนังสือ อ่านก่อนถึงวันสิ้นโลก) เป็นกำลังใจและเตือนสติได้ดีทีเดียว ท่านพูดถึงสิ่งที่น่ากลัวกว่าภัยพิบัติ ขอยกตย.บางตอน....

    "ใจของเรานั้นหากปล่อยให้วิบัติ สามารถทำอันตรายแก่เราได้ยิ่งกว่าที่โจรผู้ร้ายจะทำได้ ในทางตรงข้ามหากดูแลรักษาใจให้ดี ใจก็จะกลายเป็นมิตรที่ประเสริฐที่สุดของเราได้ ไม่ว่าจะเจออันตรายร้ายแรงเพียงใด ก็ไม่หวั่นไหว หาสุขพบได้ท่ามกลางเหตุร้ายที่เกิดขึ้น หรือสามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้

    ไม่มีใครหรืออะไรสามารถให้สิ่งประเสริฐแก่เราได้มากเท่ากับใจที่วางไว้ถูก ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า “มารดาก็ทำให้ไม่ได้ บิดาก็ทำให้ไม่ได้ ญาติพี่น้องก็ทำให้ไม่ได้ แต่จิตที่ฝึกฝนไว้ชอบย่อมทำสิ่งนั้นให้ได้ และทำให้ได้อย่างประเสริฐด้วย ถ้าเราตั้งจิตไว้ถูก มีธรรมรักษาใจ ก็จะได้พบสิ่งที่ประเสริฐสูงสุดที่แม้แต่พ่อแม่ก็ไม่สามารถให้ได้ ”

    ดังนั้นหากกลัวภัยพิบัติ ก็ต้องเร่งฝึกฝนจิตใจเพื่อป้องกันไม่ให้ใจวิบัติ หมั่นใส่ใจดูแลเพื่อให้ใจกลายเป็นสมบัติอันประเสริฐสุดของเรา ถ้าหากวางใจได้อย่างนี้ ภัยพิบัติจะกลับกลายเป็นคุณต่อเรา มิใช่เป็นโทษสถานเดียวอย่างที่ใครต่อใครกำลังหวาดกลัวอยู่ในเวลานี้"

    แล้วในที่สุดก็ผ่านช่วงนั้นมาได้ ไดเเห็นสัจจธรรมเรื่องความไม่แน่ ไม่นอนขึ้นมาอีกโขเลย

    อ่นเพิ่มเติมที่��觷����ҡ��ǡ�����¾Ժѵ� l �������� ������
     
  3. nai_Prathom

    nai_Prathom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +694
    อนุโมทนาสาธุ กับบทความดีๆครับ
     
  4. nai_Prathom

    nai_Prathom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +694
    ขออนุญาตนำเนื้อหาบางส่วนที่ท่านพระไพศาล สิสาโล ได้เขียนไว้ในหนัง "อ่านก่อนถึงวันสิ้นโลก" มาลงไว้ในที่นี้ครับ ขอบคุณMahamettayaiครับ

    เราควรดูแลรักษาใจอย่างไรเพื่อไม่ให้ใจวิบัติ ขอกล่าวอย่างย่อ ๆ ดังนี้

    ๑.มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ความตื่นตระหนก ความกลัว ความโกรธ หรือความโลภ ครอบงำใจ เวลาได้ยินข่าวคราวหรือเสียงร่ำลือเกี่ยวกับภัยพิบัติ รวมทั้งคำพยากรณ์ต่าง ๆให้ตั้งสติให้ดี อย่าเพิ่งตื่นตระหนก หรือทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม สืบสาวหาความจริงก่อนว่า ความจริงเป็นอย่างไร หาไม่เราจะตกเป็นเหยื่อของข่าวลือ หรือทำให้ข่าวลือแพร่กระจาย พร้อมกันนั้นก็หมั่นเจริญสติอยู่เป็นประจำ ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันเพื่อจะได้มีสติ รักษาใจไม่ให้หวั่นไหวไปตามสิ่งที่มากระทบ

    ๒.อยู่กับปัจจุบัน อย่ามัวห่วงกังวลกับอนาคตหรือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง การเตรียมตัวป้องกันเหตุร้ายเป็นสิ่งที่ดี แสดงถึงการตั้งอยู่ในความไม่ประมาท แต่หากหมกมุ่นกับภัยพิบัติที่ยังไม่เกิด จนไม่รู้จักปล่อยวางเลย เราจะเป็นทุกข์โดยใช่เหตุ หรือกลายเป็นคนตีตนไปก่อนไข้ เมื่อเตรียมการเต็มที่แล้ว ก็ควรหันมาใส่ใจกับการอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด รวมทั้งมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันด้วย อย่ากังวลกับอนาคตภัยจนกินไม่ได้นอนไม่หลับหรือเคร่งเครียด เพราะการกระทำเช่นนั้น นอกจากเป็นการนำความทุกข์มาทับถมตนหรือซ้ำเติมตนเองแล้ว ยังเป็นการละทิ้งความสุขที่มีอยู่โดยชอบธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ไม่สรรเสริญ

    ๓.พร้อมยอมรับความจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้น อะไรก็ตามเมื่อเกิดขึ้นแล้ว แม้เป็นสิ่งไม่พึงประสงค์ ป่วยการที่เราจะตีโพยตีพาย โวยวาย หรือปฏิเสธผลักไส เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแล้ว ยังทำให้เราเป็นทุกข์เพิ่มขึ้น สิ่งที่ควรทำคือยอมรับความจริง แล้วใคร่ครวญว่าควรจะทำอะไรต่อไป เช่น จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร เราจะทำใจพร้อมยอมรับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นได้ก็ด้วยการหมั่นฝึกใจให้พร้อมยอมรับสิ่งที่ไม่ถูกใจในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ เช่น รถติด ฝนตก เงินหาย ถูกตำหนิ ฯลฯ หากทำใจยอมรับสิ่งเหล่านี้ด้วยใจที่เป็นกลางได้ ก็จะช่วยให้เราสามารถเผชิญกับภัยพิบัติได้ด้วยใจสงบไม่ตื่นตระหนกหรือเสียขวัญ

    ๔.เจริญมรณสติอยู่เสมอ นั่นคือตระหนักถึงความจริงว่า ความตายเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคน และสามารถเกิดขึ้นกับเราได้ตลอดเวลา ความตายจึงอยู่ใกล้ตัวเรายิ่งกว่าภัยพิบัติใด ๆ ทั้งสิ้น และถึงแม้ไม่มีภัยพิบัติเกิดขึ้นเลย เราก็หนีความตายไม่พ้น แต่ความตายจะเกิดขึ้นเมื่อใดไม่รู้ อาจเกิดขึ้นกับเราวันนี้คืนนี้ก็ได้ ดังนั้นจึงควรถามตัวเองว่า หากวันนี้ต้องตาย เราพร้อมหรือไม่ที่จะจากโลกนี้ไป เราทำความดีสร้างบุญกุศลมาพอหรือยัง กิจธุระที่สำคัญทำเสร็จสิ้นหรือยัง และพร้อมปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ รวมทั้ง ทรัพย์สมบัติ ลูกหลาน พ่อแม่ คนรัก ตลอดจนร่างกายนี้หรือยัง หากไม่พร้อมก็ควรเร่งทำ อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ขณะเดียวกันก็ปฏิบัติกับทุกคนด้วยความใส่ใจโดยตระหนักว่าเขาอาจอยู่กับเราวันนี้เป็นวันสุดท้ายก็ได้ อย่าละเลยโอกาสที่จะทำดีกับทุกคนที่เราเกี่ยวข้องด้วย

    ๕.มีน้ำใจต่อผู้อื่นเสมอ ยิ่งนึกถึงตัวเองมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นทุกข์ง่ายมากเท่านั้น ตรงกันข้ามการนึกถึงผู้อื่นที่ทุกข์มากกว่าเรา จะช่วยให้เราทุกข์น้อยลง เห็นความทุกข์ของเราเป็นเรื่องเล็กกว่าเดิม สามารถทนกับความทุกข์ที่เกิดขึ้นได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...