คุณรู้หรือยัง???? จริงหรือเปล่าน่ะ!!!!

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย จริง?หรือ?, 23 กรกฎาคม 2013.

  1. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    ถ้าทานคนเดียวคงไม่ได้ครับ คุณมณีจำปา แต่หากแบ่งผมด้วยไม่เป็นไรครับ อิอิอิ
     
  2. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    แฉอีกสายลับมะกัน-อังกฤษถอดรหัสสอดแนมข้อมูลออนไลน์ทุกอย่างได้
    วันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2556 เวลา 10:49 น.

    [​IMG]
    รายงานเปิดโปงครั้งใหม่ระบุว่า หน่วยสืบราชการลับของสหรัฐและอังกฤษสามารถถอดรหัสลับเจาะเข้าระบบข้อมูลออนไลน์ ซึ่งได้แก่อีเมล การทำธุรกรรมทางการเงินและการสนทนาทางโทรศัพท์ได้
    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 5 ก.ย.ว่า ข้อมูลล่าสุดจากนายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตลูกจ้างบริษัทคู่สัญญาของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ (เอ็นเอสเอ) ที่ส่งให้กับหนังสือพิมพ์ “เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส” “โปรพับลิกา”และ “เดอะ การ์เดียน” ระบุว่า หน่วยสืบราชการลับของอังกฤษและสหรัฐสามารถถอดรหัสข้อมูลเพื่อเจาะเข้าระบบออนไลน์ทุกอย่างได้ แม้กระทั่งรหัสลับที่ตั้งขึ้นเพื่อความเป็นส่วนตัว

    รายงานระบุว่า เอ็นเอสเอร่วมมือกับสำนักงานข่าวกรองของอังกฤษ (จีซีเอชคิว) เจาะเข้าระบบออนไลน์โดยการใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ คำสั่งศาล และความร่วมมือทางเทคโนโลยีของบริษัทเอกชนต่างๆ โดยหากรายงานดังกล่าวเป็นเรื่องจริงหน่วยสืบราชการลับทั้งสองได้ทำลายระบบความปลอดภัยของการเก็บรักษาข้อมูล และความเป็นส่วนตัวบนโลกอินเตอร์เน็ต ตั้งแต่อีเมลจนถึงการใช้โทรศัพท์ลงอย่างสิ้นเชิง

    รายงานยังระบุอีกว่า หน่วยสืบราชการลับสหรัฐมักขอร้องให้ไทม์สและเดอะ โปรพับลิกา ไม่ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับการเจาะเข้าระบบข้อมูลต่างๆ เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบถึงเป้าหมายในต่างแดนที่อาจเปลี่ยนรหัสลับของระบบ จนทำให้ยากต่อการถอดรหัสอีกครั้ง แต่บรรดาสื่อมวลชนต่างลงความเห็นกันว่าจะเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญที่ประชาชนควรรับทราบ

    ทั้งนี้ เอ็นเอสเอใช้ความพยายามอย่างมากในการถอดรหัสเข้าระบบ การปกป้องข้อมูลโดยการนำข้อมูลมาเข้ารหัสพิเศษซึ่งทำให้ข้อมูลที่ส่งนั้นมีความปลอดภัยสูง ในระหว่างการส่งไปยังปลายทาง (เอสเอสแอล) ซึ่งเว็บทั่วโลกจำนวนมากใช้ระบบนี้ เพื่อปกป้องความลับของตน นอกจากนี้ รายงานของนายสโนว์เดนยังเผยอีกว่า จีซีเอชคิวสามารถถอดรหัสลับเจาะเข้าระบบของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างกูเกิ้ล ยาฮู ไมโครซอฟ และเฟซบุ๊ค ได้อีกด้วย



    http://www.dailynews.co.th/world/231152
     
  3. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    นาซาปล่อยยานสำรวจชั้นบรรยากาศดวงจันทร์
    วันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2556 เวลา 16:35 น.
    [​IMG]
    องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) เตรียมปล่อยยานสำรวจสภาพแวดล้อมฝุ่นและชั้นบรรยากาศดวงจันทร์ (แลดดี) ซึ่งไร้มนุษย์บังคับ ขึ้นสำรวจชั้นบรรยากาศดวงจันทร์


    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 ก.ย.ว่า นาซาเตรียมปล่อยยานสำรวจสภาพแวดล้อมฝุ่นและชั้นบรรยากาศดวงจันทร์ (แลดดี) ซึ่งจะเดินทางจากพื้นโลกไปด้วยจรวดขับดัน “มินอทัวร์ หมายเลข5” เวลา 23.27น. ตามเวลาท้องถิ่น (เช้าวันเสาร์10.27 น.ตามเวลาไทย) ทั้งนี้ ยานแลดดีมีภารกิจสำรวจชั้นบรรยากาศดวงจันทร์เป็นเวลา 100 วัน

    ก่อนหน้านี้ นาซาเคยปล่อยดาวเทียมขึ้นไปสำรวจดวงจันทร์ จน พบน้ำแข็งอยู่บนพื้นผิว ซึ่งอาจบ่งชี้ว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดวงจันทร์ ภารกิจของยานแลดดีครั้งนี้ คือการโคจรรอบดวงจันทร์เพื่อสำรวจชั้นบรรยากาศที่มีลักษณะเหมือนชั้น “แอสโมสเฟียร์” ของโลก ยานดังกล่าวจะโคจรห่างจากพื้นผิวดวงจันทร์ในระยะเดือนแรก 250 กิโลเมตร และจะลดระดับลงมาโคจรห่างจากพื้นผิวเพียง20-60 กิโลเมตร

    ยานแลดดี ได้ติดตั้งระบบเลเซอร์ที่สามารถยิงจากโลกขึ้นสู่ดวงจันทร์ เครื่องมือวัดเชิงแสง ที่ใช้ในการตรวจวัดคุณสมบัติเฉพาะของแสงบนชั้นบรรยากาศของดวงจันทร์ (สเปกโตรมิเตอร์) เครื่องมือวิเคราะห์แก๊ส เครื่องมือวิเคราะห์ฝุ่นผงจากบรรยากาศและเครื่องมือค้นหาโมเลกุลของน้ำ โดยนาซาแถลงว่า เครื่องมือเหล่านี้จะสามารถช่วยนักวิทยาศาสตร์ไขความลับของการกำเนิดดวงจันทร์ และปรากฏการณ์ต่างๆบนดวงจันทร์ได้

    นาซาปล่อยยานสำรวจชั้นบรรยากาศดวงจันทร์ | เดลินิวส์
     
  4. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    วันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 03:16 น. ข่าวสดออนไลน์
    [​IMG]

    "ค่ายวิทย์จรวดประดิษฐ์" ประตูสู่เทคโนโลยีป้องกันประเทศ

    รายงานพิเศษ


    ในแต่ละปี ประเทศไทยใช้งบประมาณมหาศาลในการเสริมศักยภาพของกองทัพด้วยการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากต่างชาติ

    อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความมั่นคงของชาติในระยะยาว คือ การลดการพึ่งพาต่างชาติโดยนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการผลิตอาวุธสำหรับป้องกันตนเองต่อไป

    ซึ่ง "จรวด" นั้น นอกจากจะเป็นเครื่องมือสำคัญชิ้นหนึ่งในการป้องกันประเทศแล้ว ยังแสดงถึงแสนยานุภาพทางการทหารอีกด้วย

    ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมเยาวชนที่สนใจด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจรวด สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ สทป. จึงจัดกิจกรรม "ค่ายวิทยาศาสตร์จรวดประดิษฐ์ ครั้งที่ 2" ขึ้น ตั้งแต่วันที่ 27-30 สิงหาคม 2556 ณ บ้านวิทยาศาสตร์ สิรินธร จังหวัดลพบุรี

    โดยมีเป้าหมายเป็นการเฟ้นหาเยาวชนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5-6 ที่มีความสามารถทางการเรียนและการถ่ายทอดความรู้จำนวน 100 คน จากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ มาร่วมเรียนรู้เกี่ยวกับการประยุกต์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประดิษฐ์จรวดเบื้องต้นตลอด 4 วัน 3 คืน

    นอกจากจะได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้สนับ สนุนอย่าง ศวอ. ทอ. สวทช. ภาควิชาฟิสิกส์ และเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แล้ว กิจกรรมครั้งนี้ยังได้รับความสนใจจากเยาวชนเป็นจำนวนมาก

    ด้าน พล.ท.ดร.ฐิตินันท์ ผู้อำนวยการ สทป. กล่าวถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของโครงการนี้ว่า ไม่ได้เป็นการสร้างอาวุธเพื่อไปทำร้ายใคร

    แต่ต้องการเสริมสร้างความมั่นคงให้กับประเทศด้วยแนวคิดการสร้างอาวุธของเราเอง


    โดยต้องเริ่มพัฒนาตั้งแต่ระดับเยาวชนซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคต



    นอกจากการให้ความรู้ทางทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการสร้างจรวดแก่เยาวชนแล้ว

    สิ่งหนึ่งที่เป็นไฮไลต์ของกิจกรรมครั้งนี้ก็คือ การเปิดโอกาสให้เยาวชนได้ประดิษฐ์จรวดและทดลองยิงเพื่อประชันความสูงด้วยตนเอ

    ในส่วนของกิจกรรม 2 วันแรกจะเป็นการให้ความรู้ด้านฟิสิกส์และเคมี

    เช่น กฎการเคลื่อนที่ของนิวตันและการประยุกต์ใช้กับจรวด หรือปฏิกิริยาเคมีเชิงความร้อนของสสาร เป็นต้น

    ก่อนแบ่งกลุ่มเยาวชนออกเป็น 20 กลุ่ม

    แต่ละกลุ่มจะมีสมาชิก 5 คน ในวันที่สาม เพื่อปฏิบัติการออกแบบจรวดเพื่อใช้ยิงประชันความสูงต่อไป

    และในวันสุดท้ายของกิจกรรมจะเป็นการยิงจรวดขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อประชันความสูงกัน

    ซึ่งองค์ประกอบของจรวดและวิธีการทำงานนั้น นายไพศาล อภิณหพัฒน์ นักวิจัยประจำ สปท. กล่าวถึงส่วนประกอบของจรวดว่ามีอยู่ด้วยกัน 3 ส่วน คือ

    1.ส่วนหัว ซึ่งทำจากพลาสติกชนิดโพลียูรีเทน มีคุณสมบัติเบาและสามารถดัดเป็นรูปทรงได้ง่าย

    2.ส่วนลำตัวจรวด ซึ่งทำด้วยท่อพีวีซีและแกนกระดาษ

    และส่วนสุดท้ายคือ ครีบหาง ใช้สำหรับควบคุมทิศทางของจรวด




    ต่อคำถามที่ว่าจรวดจะสามารถพุ่งทะยานขึ้นบนฟ้าได้อย่างไร

    ไพศาลเปิดเผยว่า เกิดจากการจุดระเบิดโดยใช้ ′ดินขับ′ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงแข็ง บรรจุไว้บริเวณส่วนท้ายของจรวด

    เมื่อจรวดอยู่ที่แท่นยิงจะ ′จุดระเบิด′ ด้วยสายไฟ ต่อไป

    แต่ในส่วนของขั้นตอนการบรรจุจะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญ เป็นผู้ทำ

    เนื่องจากเป็นวัตถุไวไฟ อาจก่อให้เกิดอันตรายได้

    อย่างไรก็ตาม จากการสังเกตจะพบว่าความยาวรูปร่างหน้าตาของจรวดแต่ละลำคล้ายคลึงกัน

    แต่มีบางลำที่มีความยาวต่างจากลำอื่น

    ไพศาลอธิบายไขข้อข้องใจว่า ตามทฤษฎีกำหนดให้ความยาวเป็น 10 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางของท่อที่ใช้ผลิตเป็นลำจรวด

    ซึ่งในครั้งนี้ใช้ท่อที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3/4 นิ้ว

    แต่ในทางปฏิบัติสามารถเพิ่มความยาวของท่อตามความเหมาะสม

    โดยระหว่างการแข่งขันยิงจรวด พบว่าในจรวดของแต่ละกลุ่มจะมีปัญหาแตกต่างกันไป

    ไม่ว่าจะเป็นการที่บางลำพุ่งได้สูง-ต่ำไม่เท่ากัน หรือบางลำมีทิศทางแกว่งไปมา

    โดยไพศาลได้ประมวลข้อดี-ข้อด้อยของกิจกรรมและสรุปให้ฟังว่า โดยภาพรวมทุกกลุ่มทำได้ดีแล้ว แต่สำหรับปัจจัยที่จะทำให้จรวดแต่ละลำพุ่งได้สูงและมีทิศทางที่สวยงามนั้นขึ้นอยู่กับทั้งปัจจัยภายในตัวจรวดเอง

    ได้แก่ แกนของจรวดซึ่งถ่วงดุลได้ไม่ดี ความยาว ครีบหาง รวมถึงน้ำหนักของตัวจรวด

    นอกจากนั้น ปัจจัยภายนอกที่มีส่วนสำคัญ คือ ทิศทางลม

    อีกหนึ่งในคำถามคาใจใครหลายคนที่เข้าร่วมกิจกรรม คือ

    เราวัดความสูงของจรวดแต่ละลำได้อย่างไร?



    ทางผู้จัดงานคลายข้อสงสัย โดยพาสื่อมวลชนขึ้นไปสังเกตการที่ฐานวัดความสูง อยู่บนภูเขาสูงจากจุดปล่อยจรวด 42 เมตร

    โดยเจ้าหน้าที่ใช้กล้อง 2 ชุดเพื่อบันทึก คือ กล้องตัวหนึ่งที่เชื่อมต่อกับระบบคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ติดตามการเคลื่อนที่ของจรวด และกล้องอีกตัวหนึ่งทำหน้าที่วัดความสูงของจรวด โดยจะนำค่าของทั้ง 2 กล้องมาประมวลผล คำนวณค่าความสูงที่แม่นยำต่อไป

    สำหรับ ′ความสูง′ ที่เป็นสถิติสูงสุดในการแข่งขันจรวดประดิษฐ์ครั้งนี้สูงถึง 373.1 เมตร

    กลุ่มผู้ชนะเลิศการแข่งขันคือทีม "Black Hole" ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก คือ

    นายบัณฑิต หงสวัธน์ จากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย

    นายต้นเพชร พงษ์วัฒนา จากโรงเรียนลาซาล กรุงเทพฯ

    น.ส.ภัทรกาญจน์ ประพันธ์ จากโรงเรียนสตรีนนทบุรี

    น.ส.ณิธกุล บุญจูง จากโรงเรียนขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ

    และ น.ส.วาสนา บุญหมื่น โรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ จ.เชียงใหม่



    ทุกคนในทีมต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นอกเหนือจากความรู้ด้านวิทยาศาสตร์แล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ได้รับจากค่ายนี้คือ ความทรงจำที่ดีและมิตรภาพจากเพื่อนใหม่ๆ

    ด้านน.ส.ภัทรกาญจน์วิเคราะห์ว่า

    ความรู้เกี่ยวกับฟิสิกส์และเคมีจากการเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่น่าจะทำให้จรวดของพวกเขาพุ่งได้สูงกว่าทีมอื่น

    โดยเฉพาะการออกแบบควบคุมทิศทาง ซึ่งพวกเขาทำได้ค่อนข้างดี

    ส่วนนายบัณฑิต เพื่อนร่วมทีมกล่าวว่า นอกจากความรู้ทางฟิสิกส์และเคมีที่สามารถนำไปต่อยอดพัฒนาการเรียนทางด้านวิศวกรรมแล้วนั้น

    อีกสิ่งหนึ่งที่มีคุณค่า คือ การได้รับมิตรภาพและการรู้จักเพื่อนใหม่!

    นอกจากทีมที่ชนะเลิศการแข่งขันแล้ว ในส่วนของเยาวชนคนอื่นที่เข้าร่วมกิจกรรม เช่น นายภาสคณิน อริยพรพิรุณ นักเรียนจากชั้น ม.6 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ตัวแทนกลุ่ม "Here goes! The space time" บอกเล่าถึงความประทับใจในการเข้าร่วมทดลองประดิษฐ์จรวด ว่าเป็นคนสนใจเรื่องจรวดและอาวุธยุทโธปกรณ์อยู่แล้ว ยิ่งได้เข้ามาเรียนรู้วิธีการทำจรวดจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญยิ่งทำให้ได้รับความรู้มากมาย

    เช่นเดียวกับ นางสาวซูฟียะห์ ลือแบลูโดง นักเรียนจากจังหวัดยะลา ตัวแทนจากกลุ่ม "15 สู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น" ระบุว่า

    แม้ที่โรงเรียนจะมีสอนเรื่องการประดิษฐ์จรวดขวดน้ำ แต่เมื่อมาเรียนรู้การประดิษฐ์จรวดที่ใช้เชื้อเพลิงแข็งก็ยิ่งได้รับทั้งความรู้ใหม่ๆ และความสนุก รวมทั้งเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น

    ตลอดการร่วมกิจกรรมตลอด 4 วัน 3 คืน สิ่งที่ทุกคนเรียนรู้จากการเข้าร่วมก็คือ

    นอกจากการเรียนภาคทฤษฎีการออกแบบจรวดและมีโอกาสได้ประดิษฐ์ของจริงแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมการทำงานเป็นกลุ่ม

    รวมถึงยังเปรียบเสมือนประตูเปิดไปสู่การเป็นนักวิทยา ศาสตร์ด้านการป้องกันประเทศในอนาคตด้วย!
     
  5. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    พบ"บัวบก"ช่วยออทิสติก

    ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว เภสัชกรชำนาญการ ร.พ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า สมุนไพรไทยมีศักยภาพและมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคต่างๆ รวมทั้งยังสามารถนำมาพัฒนาเป็นเครื่องสำอางได้ เช่น ใบบัวบก จัดเป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์มาก ซึ่งปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขึ้นทะเบียนใบบัวบกว่า มีสรรพคุณในการแก้ไข้ แก้ร้อนใน แต่จริงๆ ในคุณสมบัติของใบบัวบกมีสารที่มีประโยชน์อีกมาก โดยเฉพาะความสามารถในการนำมาพัฒนาเป็นเครื่องสำอาง เนื่องจากมีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้น เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวดีมาก ซึ่งควรมีการพัฒนาเป็นเครื่องสำอาง เพราะนอกจากมีประสิทธิภาพแล้ว ยังเพิ่มมูลค่าให้ประเทศได้

    "นอกจากนี้จากการสืบค้นงานวิจัยที่ผ่านมาเกี่ยวกับบัวบกพบว่ามีฤทธิ์บำรุงสมอง เพิ่มความสามารถในการจำ และการเรียนรู้ โดยมีการทดลองในกลุ่มเด็กออทิสติกจำนวน 60 คน แบ่งเป็นครึ่งหนึ่งทานแคปซูลใบบัวบก และอีกครึ่งหนึ่งทานตัวหลอก ซึ่งเป็นแป้ง พบว่าเด็กกลุ่มดังกล่าวมีความสามารถในการเรียนรู้เพิ่มขึ้น จากที่โดยปกติเด็กกลุ่มนี้จะสมาธิสั้น ก็จะมีความจดจ่อมากขึ้นอย่างมี นัยยะ ซึ่งตรงนี้ควรมีการศึกษาเพิ่มเติม เพราะหากมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นยาสมุนไพรช่วยเด็กกลุ่มนี้ได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดีมากทีเดียว" ภญ.ผกากรองกล่าว

    [​IMG]
     
  6. ิBat of light

    ิBat of light เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2012
    โพสต์:
    687
    ค่าพลัง:
    +842
    นับเป็นข่าวที่น่ายินดีจริงๆ ครับ เรารอมานานแล้วนะเนี่ย
    คิดไว้หลายปีแล้วมั้ง นะ กว่าจะได้รับรู้ ว่ามันได้เกิดขึ้นจริงแล้ว

    อ่านไปขนลุกไป ไม่รู้ขนของใครต่อใครบ้าง น่าจะหลายท่านเลยล่ะ
    ขอบคุณอีกหลายๆ ครั้ง สำหรับข่าวนี้ด้วยครับ
    รู้สึกว่าหลายท่านจะยินดีมาก สำหรับความก้าวหน้าครั้งสำคัญนี้ 555 ดีใจจัง

    ไม่รู้อีกกี่ปี จะได้เห็นจรวดทำฝนเทียมลูกใหญ่ๆ กันน้า
    บรรจุไว้บนรถบรรทุก คันนึงได้ตั้งหลายสิบลูก ยิงที่ไหนก็ได้
    ยิงกันเป็นแถวๆ ทยอยขึ้นสู่ฟ้า ลูกแล้วลูกเล่า
    เมื่อถึงระดับความสูงที่ต้องการ ก็ปล่อยสารในไส้ที่กำหนดไว้ออกมา

    เมื่อเสร็จแล้ว ตอนตกลงมา ก็มีร่มพร้อมระบบบังคับทิศทาง
    ให้ตกในตำแหน่งที่ต้องการ ก็คือที่รถบรรทุกสำหรับเติมสาร
    เตรียมยิงต่อเนื่องได้อีก หรือรถเก็บกลับฐาน 5555

    คิดแล้วอยากเห็นเร็วๆ จัง ขาใหญ่หลวงคงเป็นปลื้มแน่เลยเนอะ
    ไม่แน่ อาจยิ้มไม่หุบ จนเหงือกแห้งเลยก็เป็นได้ ๕๕๕๕๕




    นักรบแสง แห่งหมู่บ้านในนิทาน

    .
     
  7. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    ค้นพบวัคซีนใหม่ปราบโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
    วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน 2556 เวลา 14:37 น.
    [​IMG]
    วารสารทางการแพทย์ “แลนแซท”ตีพิมพ์รายงาน วัคซีนรักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบชนิดล่าสุด ที่ใช้รักษาผู้ติดเชื้อทางตอนเหนือและตอนกลางของทวีปแอฟริกา ซึ่งเป็นพื้นที่แพร่ระบาด อย่างได้ผลเกินคาด สามารถลดการเสียชีวิตของผู้ป่วยได้ถึงร้อยละ 94


    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 11 ก.ย.ว่า นักวิจัยที่เฝ้าระวังการการแพร่ระบาดของโรคเยื่อหุ้มสมอง ชนิด เอ ในประเทศชาด ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณแอฟริกากลาง ระบุว่า ประเทศชาดแบ่งเป็น 3 เขตใหญ่ และมีประชากรราว 1.8 ล้านคน ได้รับวัคซีน “เมนแอฟริแวค” ในปี 2554 ซึ่งใช้สำหรับรักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผลปรากฏว่า มีประชากรจำนวนราว 2.5 ราย จาก 100,000 ราย ป่วยด้วยโรคเยื่อหุ้มสมองชนิดอื่น แต่ไม่พบผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคเยื่อหุ้มสมองชนิด เอ เลย เมื่อเทียบกับพื้นที่ที่ไม่ได้รับวัคซีนซึ่งมีประชากรป่วยด้วยโรคดังกล่าวจำนวน 43 รายจากประชากร 100,000 ราย ดังนั้น วัคซีนชนิดนี้สามารถทำให้สถิติของโรคลดลงได้ถึงร้อยละ 94

    ทีมวิจัยทางการแพทย์กล่าวว่า วัคซีนช่วยลดการติดต่อของโรคในผู้ที่ได้รับยาได้ถึงร้อยละ 98 นอกจากนี้ วัคซีนดังกล่าวยังได้รับการรับรองจากองค์กรอนามัยโลก(ฮู)แล้วอีกด้วย ทำให้อีกไม่นานประเทศต่างๆสามารถสั่งซื้อยาชนิดนี้ไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง

    วัคซีนเมนแอฟริแวค ผลิตโดยบริษัทเอกชน ซึ่งจะถูกใช้ในพื้นที่ทวีปแอฟริกาตอนเหนือและตอนกลาง ในประชากรอายุระหว่าง1-29 ปี และจนถึงขณะนี้มีผู้ได้รับวัคซีนแล้วมากกว่า 100 ล้านคน

    ค้นพบวัคซีนใหม่ปราบโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ | เดลินิวส์
     
  8. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    มีดเจาะรักษานิ้วล๊อก มอ.คว้าสุดยอดโหวตผลงานวิจัยน่าลงทุน
    วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน 2556 เวลา 14:52 น.
    [​IMG]
    สวทช.ดึงนักลงทุนพบนักวิจัยในงานนาสด้า อินเวสเตอร์เดย์ 2013 เผยผลงานนวัตกรรมมีดเจาะรักษานิ้วล๊อก มอ.คว้าแชมป์โหวตผลงานวิจัยที่น่าลงทุนประจำปีนี้

    วันนี้( 12 กย.56) ที่ ศูนย์ประชุมบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิร์ด สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดงาน NSTDA Investors’ Day 2013 ภายใต้แนวคิด เสริมสร้างคุณภาพชีวิตด้วยธุรกิจเทคโนโลยี โดยมีนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกกรัฐมนตรีปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ การลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีกับยุทธศาสตร์การพัฒนาและพลิกฟื้นประเทศ
    ทั้งนี้ ภายในงานได้มีการนำเสนอผลงานวิจัย ที่มีศักยภาพในการลงทุนสูงกว่า 50 ผลงาน อาทิ ระบบหุ่นยนต์เพื่อการฟื้นฟูการเคลื่อนไหวของข้อมือ แขนท่อนล่างและข้อศอก เครื่องตรวจอะฟลาทอกซินแบบรวดเร็วขนาดพกพา ระบบตรวจนับเซลล์อัติโนมัติด้วยภาพจาก ซีมอส เซนเซอร์ ระบบตรวจจับการเคลื่อนที่และจอดรถอัติโนมัติ และเ A-knife มีดเจาะรักษานิ้วล๊อก ผลงานของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งได้รับการโหวตในงานดังกล่าวให้เป็นผลงานที่น่าลงทุนที่สุด และมีการนำเสนอดีที่สุด นอกจากนี้ ในงานยังมีการจับคู่เจรจาธุรกิจแบบหนึ่งต่อหนึ่งระหว่างนักวิจัยและนักลงทุน เพื่อนำไปต่อยอดเชิงพาณิชย์
    ด้าน ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการ สวทช. ได้กล่าวถึง 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจในอนาคต ว่า เป็นเทคโนโลยีที่พบเห็นได้ในการใช้ชีวิตประจำวันตั้งแต่ตื่นนอน จนถึงการใช้งานในภาคอุตสาหกรรมหรือการแพทย์ที่ซับซ้อน เช่น Mobile Diagnostic Tool (อุปกรณ์ตรวจวินิจฉัยร่างกายแบบพกพา) ซึ่งอุปกณณ์ดังกล่าวจะทำงานเชื่อมต่อกับ สมารท์โฟนสามารถบันทึกข้อมูล รวมถึงส่งต่อไปยังโรงพยาบาลได้ทันที 3D Bioprinting (เครื่องพิมพ์ชีวภาพ 3 มิติ) ที่อนาคตสามารถที่จะนำไปสู่การสร้างเนื้อเยือและอวัยวะที่ไม่ซับซ้อนไม่มาก ช่วยลดเวลาในการทดลองทางการแพทย์ต่าง ๆ
    นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี EV Battery แบตเตอรี่อนาคตสำหรับรถยนตร์ไฟฟ้า ส่วนเรื่องของ Social computing กำลังเป็นที่นิยมจะทำใหผู้ให้บริการมีข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมาก และนำไปสู่บริการใหม่ที่ใช้วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างเข้าถึงและรวดเร็ว และ Self healing Materials หรือเทคโนโลยีวัสดุซ่อมแซมตัวเองได้ ซึ่งปัจจุบันมีการนำมาใช้กับวัสดุก่อสร้างซึ่งเมื่อเกิดการชำรุดและวัสดุพอลิเมอร์ภาในสามารถแตกตัวออกมาซ่อมพื้นผิวให้เหมือนเดิมได้

    มีดเจาะรักษานิ้วล๊อก มอ.คว้าสุดยอดโหวตผลงานวิจัยน่าลงทุน | เดลินิวส์
     
  9. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    ไม่น่าเชื่อเลย นามบัตรก็มีภัย

    กันไว้ดีกว่าแก้นะ..


    หญิงคนหนึ่ง ไปเติมแก็สที่ปั้มแก็ส มีชายมาเสนอบริการทาสี โดยยื่นนามบัตรให้

    หญิงคนนั้นก็รับมาอ่าน แล้วถือเข้ามาในรถด้วย

    สักครู่เมื่อขับรถออกมาจาก ปั๊มแก็ส ก็สังเกตว่าชายคนนั้นขับรถตามมา

    และเธอก็ รู้สึกว่า หายใจไม่ค่อยออก เธอรีบเปิดหน้าต่าง และตระหนักว่ากลิ่นนั้น

    มาจากมือของเธอเอง ซึ่งเป็นมือข้างที่เธอรับนามบัตรมาจากชายคนนั้น


    เธอตัดสินใจขับรถและกดแตรไปตลอดทางเพื่อขอความช่วยเหลือ

    ชายคนนั้นจึงขับรถหนีไป



    ยาที่ป้ายบนนามบัตร คือ ยา BURUNDANGA เพื่อให้เราหมดสติ ควบคุมตนเองไม่ได้

    แล้วไอ้ตัวร้ายก็จะขโมยของและ/หรือข่มขืนเรา

    โดยยานี้มีประสิทธิภาพแรงกว่ายาที่ใช้ข่มขืนสาวๆ ถึง 4 เท่า

    ดังนั้น อย่ารับกระดาษ นามบัตร แผ่นพับ จากคนแปลกหน้า หรือแม้แต่คนที่แจกโฆษณา


    จาก forward mail

    ข้อมูลจาก บล๊อกโอเคเนชั่น

    """""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
    ความจริง เรื่องสาร "BURUNDANGA" บนนามบัตร โดนแล้วหมดสติจริงหรือ ?

    [​IMG]

    ข้อสงสัย
    .....จริงหรือที่มีข้อมูลว่า มีผู้ไม่หวังดี (ปล้นหรือข่มขืนผู้หญิง) ใช้สาร BURUNDANGA แต้มติดไว้ที่นามบัตร โดยเมื่อรับนามบัตรนี้แล้ว กลิ่นสาร BURUNDANGA ก็จะติดมือเราทำให้ควบคุมตนเองไม่ได้ และอาจถึงหมดสติ

    ความจริง

    .....ข้อมูลนี้มาจาก hoax-slayer.com โดยการรับรองข้อมูลจาก Texas State University, U.S.A. ความว่า

    .....Burundanga เป็นชื่อยาจริง และเป็นยาที่ผู้ร้ายมักนำไปช่วยในการก่ออาชญากรรม โดยเฉพาะในโคลัมเบีย รายงานจำนวนมากบอกว่า ผู้ใช้ยาสามารถควบคุมเหยื่อได้ และมีการกล่าวว่า เหยื่อเคราะห์ร้ายบางรายตื่นขึ้นหลายชั่วโมงหรือเป็นวันหลังโดนยา Burundanga

    .....Burundanga เป็นสารสกัดได้จากพืชดอกในจีนัส Brugmansia ซึ่งถิ่นต้นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ ชื่ออื่นของยา burundanga คือ scopolamine ที่ใช้ในยาแผนปัจจุบันเพื่อลดอาการคลื่นเหียน อาเจียน และอาการอื่น

    .....นอกจากข้อมูลดังกล่าวแล้ว drugs.com ระบุว่า การได้รับยาเกินขนาดจะทำให้เกิดอาการ ง่วง มึนงง หงุดหงิด เป็นไข้ ชัก และลมบ้าหมู จิตหลอน หมดสติ และตาย

    .....Burundanga เป็นสารที่ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี และไม่มีรส

    .....ทราบแล้ว ก็หวังว่า หลาย ๆ คนที่ได้รับเมลที่ส่ง ๆ ต่อกันไปมา คงไม่ตื่นตระหนกกันจนเกินไปนะครับ เพราะอย่างไร กว่าโจรจะให้เราอัดยาเข้าเกินขนาด เราก็คงจะพอจะช่วยตัวเองได้บ้าง ยกเว้นเป็นสเปรย์ฉีด ซึ่งยังไม่มีข้อมูลระบุว่ามีการใช้สเปรย์ Burundanga หรือไม่ แต่อยู่ในความไม่ประมาทน่าจะดีที่สุดครับ

    ขอบคุณ บล๊อกโอเคเนชั่น...........................................................................................
     
  10. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    ประเมินข้อเท็จจริงจากข้อมูลที่ได้

    – เมื่อสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเบอร์อุนแดนก้า (Burundanga) พบว่า มีเมลส่งต่อ (forward mail) เกี่ยวกับเบอร์อุนแดนก้าเป็นภาษาอังกฤษ

    ซึ่งเริ่มส่งให้กันเมื่อเดือนพฤษภาคม 2551 ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบแล้วคาดว่าอีเมล ‘ภัยจากนามบัตร’ จากหนังสือพิมพ์มติชน เป็นข้อความที่แปลออกมา

    – นักวิจารณ์ชาวอเมริกันได้วิเคราะห์เมลส่งต่อฉบับนี้ไว้ว่ามีจุดที่น่าสงสัย 2 ประการ ได้แก่

    1. ผู้ส่งเมลเล่าว่ามีอาการหลังจากที่สัมผัสกับนามบัตร แต่ระยะเวลาการเริ่มออกฤทธิ์จากการสัมผัสสารสโคโปลามีนสารต้องมีระยะเวลาที่นานกว่านี้ (ใช้เวลาเป็นชั่วโมง)

    2. ผู้ส่งเมลเล่าว่าได้กลิ่นจากมือ ซึ่งมาจากการจับนามบัตร แต่จากเอกสารอ้างอิงมาทางวิทยาศาสตร์ระบุว่าสารสโคโปลามีนไม่มีกลิ่น

    นอกจากนี้ไม่เคยมีแหล่งข่าวที่ยืนยันว่ามีการก่อคดีเช่นนี้จริงในสหรัฐอเมริกา

    จึงขอสรุปว่าข้อมูลอีเมลส่งต่อเรื่อง ‘ภัยจากนามบัตร’ ฉบับนี้ ไม่เป็นความจริง


    ข้อมูลทางวิชาการของเบอร์อุนแดนก้า (Burundanga)

    เบอร์อุนแดนก้า เป็นอีกชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกยาสโคโปลามีน (scopolamine)

    Scopolamine (Hyoscine)

    [​IMG]


    ในอเมริกาใต้มีเรื่องเล่าลือซึ่งเกี่ยวข้องกับเบอร์อุนแดนก้าว่าเป็นสารที่กินเพื่อให้เกิดภาวะเหมือนจิตที่เข้าฌานหรือทรงเจ้าในพิธีของหมอผี

    มีรายงานการใช้ยานี้เพื่อก่ออาชญากรรมครั้งแรกในประเทศโคลัมเบียในช่วงทศวรรษ1980

    และตามที่รายงานไว้ในบทความที่ตีพิมพ์ใน Wall Street Journal ปี 1995 (รายละเอียดตามแนบ) ว่ามีการใช้เบอร์อุนแดนก้าช่วยในการก่ออาชญากรรมระบาดมากในช่วงทศวรรษ1990

    บทความกล่าวว่าการใช้ก่ออาชญากรรมที่พบคือจะให้เหยื่อดื่มเครื่องดื่มที่มีเบอร์อุนแดนก้าผสมอยู่ ต่อมาเหยื่อจะตื่นขึ้นมาในสถานที่ห่างออกไป มีอาการมึนงงมาก และจำเรื่องราวไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

    ข้าวของเงินทองหายไป แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเข้าใจว่าลดลงเหมือนกับการเกิดอาชญากรรมอื่นๆ แล้วก็ตาม

    แต่สหรัฐอเมริกาก็ยังคงเตือนนักท่องเที่ยวให้ระวังอาชญากรในโคลัมเบียที่จะใช้ยามอมนักท่องเที่ยวเพื่อให้ไร้ความสามารถชั่วคราว


    สโคโปลามีนมีที่ใช้ในทางการแพทย์หลายรูปแบบได้แก่ ยาฉีด ยาเม็ดรับประทาน และแผ่นแปะ


    ข้อบ่งใช้ จะแตกต่างกันขึ้นกับรูปแบบของยาที่ให้

    - ยาฉีด [/COLOR]เป็นยาที่ให้ก่อนการผ่าตัดเพื่อให้สูญเสียความจำ สงบระงับ และลดการหลั่งน้ำลายและลดสารหลั่งจากทางเดินหายใจ

    - ยารับประทาน ใช้รักษาโรคพาคินสัน โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable bowel syndrome, IBS) ป้องกันอาการเมารถเมาเรือ

    - แผ่นยาแปะ ป้องกันอาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกี่ยวกับการใช้ยาสลบหรือยาแก้ปวดกลุ่มโอปิเอต ป้องกันอาการเมารถเมาเรือ

    แผ่นยาแปะที่มีขายในต่างประเทศ

    [​IMG]

    กลไกการออกฤทธิ์ ยับยั้งการทำงานของ acetylcholine ที่ พาราซิมพาเธติกบริเวณ กล้ามเนื้อเรียบ ต่อมคัดหลั่งและระบบประสาทกลาง

    ขนาดยา ยาเม็ด 10 มก. รับประทาน 1-2 เม็ด วันละ 3 เวลา ยาฉีด 20 มก/มล ให้ไม่เกิน 1.5 มก/กก/วัน

    แบบแผ่นแปะมีสโคโปลามีน 1.5 มก. และจะปล่อยตัวยาประมาณ 1 มก.ในเวลา 3 วัน

    ระยะเวลาเริ่มออกฤทธิ์

    รับประทาน และฉีดเข้ากล้าม 0.5-1 ชั่วโมง

    ฉีดเข้าเส้น 10 นาที

    แผ่นยาแปะ 4 ชั่วโมง

    ระยะเวลาการออกฤทธิ์ รับประทาน และฉีดเข้ากล้าม 4-6 ชั่วโมง

    ฉีดเข้าเส้น 2 ชั่วโมง

    แผ่นยาแปะ 3 วัน

    อาการไม่พึงประสงค์ต่อระบบประสาทกลาง สับสน ง่วงซึม ปวดศีรษะ สูญเสียความทรงจำ กล้ามเนื้อแขนขาทำงานไม่ประสานกัน เหนื่อยล้า

    การจัดประเภทตามกฎหมาย จัดเป็นยาอันตราย ตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510

    กลุ่มวิจัย พัฒนา และระบาดวิทยา กองควบคุมวัตถุเสพติด 20 มกราคม 2552
     
  11. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448

    แล้วปัจจุบันนี้ คนร้ายในบ้านเรา ใช้ยาอะไรนะ
    ที่ทำให้หลายๆคนมึนงง เสียทรัพย์สินไปหลายราย
    แม๊..อยากได้มาใช้มั่งจังเลย 555+ แต่ไม่ใช้ทางมิจฉาชีพน๊าาา

    คือว่า มีเรื่องจากคนรู้จักใกล้ตัว พี่ที่เคยทำงานด้วยกันประสบเหตุ
    เสียทรัพย์ไปประมาณสามหมื่น
    เล่าให้ฟังว่า ขณะกำลังขายผักในตลาดสดกับแม่
    มีผู้หญิงคนหนึ่ง ซื้อผัก แล้วยื่นถุงผักมาฝากไว้ก่อน
    หลังจากนั้นพักนึง สังเกตเห็นกระเป๋าที่คาดเอว ซิปด้านในเปิด
    ซึ่งปกติ แม่ระวังเรื่องเงินอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ ไม่รู้สึกตัว
    ว่าได้เปิดออกตั้งแต่เมื่อไหร่ ทบทวนว่า ขณะรับถุงผักจากหญิงคนนั้น
    สัมผัสน้ำเย็นๆ แล้วก็จำเหตุการณ์ต่อไม่ได้
    รุ่นพี่ก็ไม่ทันสังเกตุแม่ มารู้เมื่อเงินหายแล้ว
    ที่พิมพ์เล่านี้ อาจไม่สมบูรณ์ครบถ้วนตามเรื่องเล่านัก
    คือ รุ่นพี่ ยืนยันว่าแม่ไม่ได้เผลอ หรือไปเบียดกับลูกค้า
    มั่นใจว่า ถูกป้ายยาน่ะ

    เราก็สงสัยมานาน ทำไม ถึงมีใช้กันได้หาใช้กันง่ายนักนะเนี่ยย
     
  12. น้ำใสไหลเย็น

    น้ำใสไหลเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +4,452
    ข่าวเรื่องโดนป้ายยา แล้วปลอดสร้อยทองแหวนเพชรให้เค้าไป เห็นมีมาเป็นระยะๆ ไม่รู้เท็จจริงแค่ไหน ไม่กล้าฟันธงค่ะ

    ตามที่อ่านในข้อมูลการออกฤทธิ์ของยา หากสารระเหยรุนแรงขนาดนั้น คนที่เอามาป้ายใส่เรา เค้าน่าจะโดนก่อนเราอีกเนอะ ? หรือถ้าใครมีข้อมูล ช่วยกรุณาแชร์ได้ ค่ะ
     
  13. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ว่ากันว่า....แถ่นแท๊นน

    มันคือวิชาอีกสูตรความลึกลับของแขนงวิชชาไสยศาสตร์ สายต่ำ โดยใช้ภูตผีพรายคอยบังคับการครอบงำสติสัมปชัญญะให้เคลิบเคลิ้มแบบชั่วครู่ชั่วยาม แล้วจะเริ่มเสื่อมลง...แต่ลึกๆแล้วยังมีกระแสของวิญญาณฝังตัวอยู่ในร่างกายที่ทำให้เจ็บป่วยแบบที่แพทย์หาสาเหตุไม่ได้

    ต้องอาบล้างด้วยน้ำมนต์หรือเข้าพิธีมงคลต่างๆจะคลายตัวออกไป
    ใครที่มีพระเครื่องที่มีพลังงานสูงๆก็จะช่วยป้องกันได้ในระดับหนึ่ง

    และทางเวปเราก็เคยมีการนำคาถาป้องกันการโดนป้ายน้ำมันปลดทรัพย์มาลงไว้นี่อยู่เหมือนกัน...ถ้าจำไม่ผิด
    =====

    อันนี้แอบไปได้ยินเขาว่ามาน๊ะ...ใครไม่เชื่อก็อย่าว่ากันเด้อจ้า
     
  14. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,860
    [​IMG]

    แหม....ลุงรอให้ผู้ใด๋มาป้ายยา...ซะทีเด้อ

    จะได้รู้กานว่า ใผ๋เปงใผ๋
    รอเปิบของแซ๊ปมานาน....แร้ว.....
    [​IMG]
     
  15. naturelife

    naturelife เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +266
    มีประสบการณ์จริง ที่เกิดขึ้นกับสามีของดิฉันมาเล่าให้ฟังค่ะ...เผื่อท่านใดเดินทางไปแถวนั้นจะได้ระมัดระวังตัวมากขึ้นนะคะ

    เกิดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว ตอนจะกลับประเทศเค้า(แคนาดา)เดินทางคนเดียวดิฉันไม่ได้ไปด้วย สามีเป็นชาวต่างชาติก้อตัวโตพอสมควร นน.เกือบ80กก. ไม่รู้ว่าโดนป้ายยา หรือดื่มเข้าไป หรือว่าอย่างงัย เพราะเค้าจำไม่ค่อยได้
    ได้ไปพักที่โรงแรมแถวๆแยกสุขุมวิท-รัชดา(ไม่บอกชื่อโรงแรมดีกว่าเนาะ)ตอนเย็นไปทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่ไกลจากโรงแรมที่พักเท่าไหร่ นัดกับเพื่อนฝรั่งอีกคนมากินด้วยกัน แต่พักคนละที่ ก้อกินอาหารปกติ ดื่มเบียร์นิดหน่อยเนื่องจากต้องเดินทางไฟรท์เช้า 6:30น.แต่เบียร์ขวดสุดท้าย(ขวดที่2) เพื่อนกลับไปแล้วดื่มต่อคนเดียว จากนั้นเบียร์หมดเช็คบิล เดินกลับไปที่โรงแรม ระหว่างทางแวะ7-11เพื่อซื้อหมากฝรั่งกับขนมขบเคี้ยว จากนั้นเริ่มจำไม่ค่อยได้ ว่าได้คุยกับใครอะไรอย่างงัย รู้ตัวอีกทีอยู่ในห้องของตัวเองที่โรงแรมคือเช้าแล้ว นอนแบบหมดสภาพ ไม่ได้ถอดรองเท้าอีกต่างหาก เงินสดหายหมด แต่สร้อยคอกับแหวนยังอยู่
    จึงไปถามพนักงานที่หน้าฟร้อน ได้ความว่า กลับมาแบบไม่ได้สติโดยที่มีตำรวจหิ้วปีกมาส่ง???
    งานนี้เลยงงมาก ทำไมเป็นตำรวจมาส่ง แล้วรู้ได้อย่างงัยว่าพักอยู่โรงแรมไหน ทำไมไม่เอาสร้อยกะแหวนไป อาจเป็นไปได้ว่า เวลามีน้อย อยู่ในย่านชุมชน(อันนี้เดาเอาค่ะ)

    เลยคิดกันเองว่าน่าจะเบลอๆ ไม่ถึงกับหมดสติ พอพูดคุยได้มั้ง หลังจากนั้นก้อหลับไม่ได้สติ
    สรุปแล้วไม่รู้อะไรเลย ว่าเกิดอะไรขึ้น แค่เอามาเล่าให้ฟังว่ามีจริงๆค่ะ ฝรั่งตัวโตยังร่วงได้ โปรดระวังด้วยนะคะ
     
  16. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    นวัตกรรมอากาศยาน 2 หาง ฝีมือนักวิจัยไทย
    วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน 2556 เวลา 00:00 น.
    [​IMG]
    นวัตกรรมอากาศยาน 2 หาง ฝีมือนักวิจัยไทย มาสนับสนุนการปฏิบัติการกองทัพเรือ
    เห็นไกล ๆ นึกว่ามอเตอร์ไซค์บินได้ หรือว่ายูเอฟโอมาเยือน


    แต่ไม่ใช่...เพราะนี่ก็คือนวัตกรรมอากาศยานไร้คนขับยุคใหม่ ฝีมือนายทหารนักวิจัยไทย ที่บอกว่าอากาศยานไร้คนขับหรือเรียกสั้น ๆ ว่ายูเอวี ที่พัฒนาออกมาในรูปแบบที่มีใบพัดหาง 2 ด้านแบบนี้ เพิ่งมีลำแรกในโลก…

    โดยเป็นผลงานการวิจัยร่วมระหว่างสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหาร กองทัพเรือ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ บริษัทเสรีสรรพกิจ จำกัด และบริษัทกษมาเฮลิคอปเตอร์ จำกัด

    “พลเรือเอกยุทธนา ฟักผลงาม” รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้ริเริ่มโครงการดังกล่าว บอกถึงที่มาของนวัตกรรมการบินชิ้นนี้ว่า มาจากความต้องการของกองทัพเรือที่ต้องการอากาศยานไร้นักบินเพื่อมาสนับสนุนการปฏิบัติการทางเรือ โดยเฉพาะการพิสูจน์ทราบเป้าหมายในรัศมี 50 กิโลเมตร จากกำลังฝ่ายเราและใช้ในการปรับแก้การยิงปืนใหญ่ และนำไปสู่การศึกษาความเป็นไปได้ที่จะวิจัยพัฒนาสร้างอากาศยานไร้นักบินขึ้นด้วยความสามารถในประเทศแทนการจัดซื้อจากต่างประเทศ

    โครงการเริ่มขึ้นเมื่อปี 2554 โดยมีสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน)หรือ สทป. เป็นผู้สนับสนุนทุนวิจัย มีทีมวิจัยจากกองทัพเรือรับหน้าที่พัฒนาระบบควบคุมกล้องตรวจการณ์ ระบบสั่งการภาคพื้น และระบบแสดงภาพ

    ส่วนบริษัทกษมาเฮลิคอปเตอร์ จำกัด เป็นผู้ออกแบบสร้างตัวอากาศยานรูปแบบใหม่นี้ร่วมกับนักวิจัยของ สทป.

    สำหรับระบบควบคุมการบินอัตโนมัติ ได้รับความร่วมมือจากกองทัพอากาศในการพัฒนาระบบ และบริษัทเสรีสรรพกิจ จำกัด เป็นผู้ร่วมลงทุนในการวิจัยและเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดหาอุปกรณ์

    ทั้งโครงการใช้งบประมาณเกือบ 50 ล้านบาท ในการพัฒนาองค์ความรู้ รวมถึงต้นแบบอากาศยานไร้คนขับ แบบขึ้น-ลงทางดิ่ง จำนวน 2 ลำพร้อมระบบในการควบคุม 1 ชุด

    ซึ่งความสำเร็จในวันนี้... ได้มีการส่งมอบให้กับกองทัพเรือเป็นผู้ทดสอบใช้งานเป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อรวบรวมประเมินผลการใช้งานจริงสำหรับการพัฒนาปรับปรุงต่อไป

    สำหรับจุด เด่นของอากาศ ยานลำนี้ ทีมวิจัยบอกว่า อยู่ที่ใบพัดหางแบบ 2 ด้าน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงกรณีใบพัดขัดข้อง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการตกของเฮลิคอปเตอร์ หากใบพัดด้านใดด้านหนึ่งเสียหาย ยังสามารถประคองตัวและบินกลับไปยังฐานที่ตั้งได้ ซึ่งจะมีระบบควบคุมอัตโนมัติสั่งการให้บินกลับเองแม้ในกรณีการสื่อสารขัดข้อง

    นอกจากนี้รูปทรงดังกล่าว ยังประหยัดพื้นที่ในการขึ้น-ลง ตามแนวดิ่ง โดยเฉพาะที่

    แคบ ๆ อย่างดาดฟ้าของเรือ ที่มีพื้นที่ว่างประมาณ 2 ตารางเมตร ใช้ระบบน้ำมันเชื้อเพลิงเบนซิน 95

    เวอร์ชั่นแรกนี้ สามารถบินได้นาน 1 ชั่วโมง ด้วยความเร็วประมาณ 60-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บินได้สูงสุด 600 เมตร น้ำหนักตัวเครื่องเปล่าประมาณ 23 กิโลกรัม

    หากรวมเชื้อเพลิงและอุปกรณ์บันทึกภาพรวมถึงกล้องอินฟราเรดต่าง ๆ แล้วจะหนักประมาณ 35 กิโลกรัม ปฏิบัติการได้ทั้งกลางวันและกลางคืน

    หลังจากนี้ไป พลเรือเอกยุทธนา บอกว่า จะเข้าสู่การพัฒนาในเฟสสอง ซึ่งเป็นการรวบรวมระบบต่าง ๆ ที่วิจัยมาไว้เข้าด้วยกัน

    ภายใน 1 ปี จะต้องเป็นระบบที่สมบูรณ์แบบ และมีเป้าหมายคือบินได้นานถึง 2.5 ชั่วโมง รวมถึงสามารถควบคุมการบินทั้งหมดได้ผ่านระบบคอมพิวเตอร์

    และผลงานวิจัยครั้งนี้ไม่ใช่แค่มีประโยชน์กับการใช้งานด้านการทหารเท่านั้น แต่ยังรองรับความต้องการใช้งานในด้านอื่น ๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพทางอากาศ การตรวจพื้นที่ทางการเกษตรรวมถึงสำรวจสายส่งไฟฟ้า หรือท่อก๊าซต่าง ๆ ซึ่งประหยัดกว่าการใช้เรือตรวจการณ์ออกไปดู

    งบวิจัยเกือบ 50 ล้านบาท อาจจะดูเหมือนมาก...แต่หากเทียบกับประโยชน์และองค์ความรู้ที่ได้ ซึ่งจะช่วยให้คนไทยสามารถพัฒนาใช้เองได้ในอนาคตแล้ว ต้องนับว่าคุ้มค่า

    ...เพราะว่า ถ้าหากต้องซื้อต่างประเทศทั้งระบบ แค่ 1 ลำ ก็เกือบ 100 ล้านบาททีเดียว.

    นาตยา คชินทร
    nattayap.k@gmail.com
     
  17. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    วอยเอเจอร์ 1 เดินทางทะลุสุริยะจักรวาลแล้ว
    วันศุกร์ที่ 13 กันยายน 2556 เวลา 00:00 น.

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    คณะนักวิทยาศาสตร์หรัฐประกาศ ยานสำรวจ "วอยเอเจอร์ 1" ที่ออกเดินทางจากโลกเมื่อ 36 ปีก่อน ล่าสุดเดินทางทะลุขอบนอกสุดของระบบสุริยะจักรวาล เข้าสู่ภพอื่นอย่างเป็นทางการแล้ว ถือเป็นยานอวกาศจากโลกลำแรก ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ที่เดินทางห่างไกลได้ขนาดนี้


    สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 12 ก.ย. ว่า นายมาร์ค สวิสดัค นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ สหรัฐอเมริกา เผยเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ยานสำรวจอวกาศ "วอยเอเจอร์ 1" ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) สหรัฐอเมริกา ที่ออกเดินทางจากโลกเมื่อกว่า 36 ปีก่อน ล่าสุดเดินทางทะลุขอบนอกสุดของระบบสุริยะอย่างเป็นทางการแล้ว และขณะนี้กำลังเดินทางอย่างไร้จุดหมายในกลุ่มดาวกาแล็กซี่อื่น ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ที่สามารถเคลื่อนออกนอกระบบสุริยะ เพื่อสำรวจกาแล็กซี่อื่นที่ใหญ่กว่า

    ยังเป็นที่ถกเถียงอย่างเผ็ดร้อน เกี่ยวกับจุดตำแหน่งที่แน่ชัดของยาน วอยเอเจอร์ 1 ในรอบปีที่ผ่านมา เนื่องจากบรรดานักวิทยาศาสตร์ไม่ทราบแน่ชัดว่า จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อยานลำนี้เดินทางทะลุจักรวาลเข้าสู่ภพอื่น และอุปกรณ์ที่ติดตั้งบนยานเพื่อติดตามตรวจสอบความเปลี่ยนแปลง เสียหายใช้การไม่ได้นานแล้ว

    ยานวอยเอเจอร์ 1 ออกเดินทางจากฐานปล่อยจรวดแหลมคานาเวอรัล รัฐฟลอริดา เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2520 หรือเมื่อ 36 ปีกับอีก 7 วันที่แล้ว

    อย่างไรก็ตาม ตอนนี้คณะนักวิทยาศาสตร์ของนาซา ต่างยอมรับว่า ยานวอยเอเจอร์ 1 อยู่นอกฟองป้องกัน หรือที่เรียกกันว่า ขอบเขตสิ้นสุดของลมสุริยะ (เฮลิโอสเฟียร์) อย่างเป็นทางการแล้ว ตั้งแต่เดือน ส.ค. ที่ผ่านมา โดยเขตที่ว่านี้อยู่ห่างจากดาวเคราะห์ทุกดวง ของระบบสุริยะจักรวาลอย่างน้อย 13,000 ล้านกิโลเมตร

    ยานวอยเอเจอร์ 1 และยานคู่แฝด วอยเอเจอร์ 2 ที่ออกเดินทางจากโลกเมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2520 เดิมทีมีภารกิจสำรวจดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์ ยานทั้งสองค้นพบรายละเอียดใหม่ๆ เกี่ยวกับวงแหวนของดาวเสร์ และยังค้นพบภูเขาไฟ บนดวงจันทร์บริวารของดาวพฤหัสบดีด้วย ยานวอยเอเจอร์ 2 เดินทางต่อไปยัง ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน ก่อนที่องค์การนาซาจะตัดสินใจขายภารกิจของยานทั้ง 2 ลำ เป็นการสำรวจขอบเขตนอกอิทธิพลของดวงอาทิตย์.


    วอยเอเจอร์ 1 เดินทางทะลุสุริยะจักรวาลแล้ว | เดลินิวส์
     
  18. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    ซ้อมแผนแผ่นดินไหว-อพยพนักเรียนหนีตาย
    วันศุกร์ที่ 13 กันยายน 2556 เวลา 14:11 น.
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    เทศบาลนครเชียงราย ซ้อมแผนป้องกัน-บรรเทาสาธารณภัย มีการจำลองเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว


    เมื่อวันที่ 13 ก.ย. ที่อาคารเรียน 4 โรงเรียนเทศบาล 1 ศรีเกิด เขตเทศบาลนครเชียงราย นายทนง ดอนชัย รองนายกเทศมนตรีเทศบาลนครเชียงราย เป็นประธานเปิดโครงการอบรมพัฒนาประสิทธิภาพพนักงานดับเพลิง และซ้อมแผนป้องกัน-บรรเทาสาธารณภัย มีการจำลองเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศเพื่อน ขนาดแรงสั่นสะเทือน 6.9 ริกเตอร์ ส่งผลกระเทือนถึงเขตเทศบาลนครเชียงราย โดยเฉพาะที่โรงเรียนเทศบาล 1 มีอาคารเรียน 4 ที่สูง 4 ชั้น เกิดแตกร้าว เกิดไฟลุกไหม้ มีนักเรียนตึกอยู่บนอาคารเรียนทั้งหมด 15 คน และบาดเจ็บสาหัส 3 คน ต้องขอความช่วยเหลือรถดับเพลิงและหน่วยกู้ภัย จัดกำลังมาอพยพนักเรียนออกจากที่เกิดเหตุ พร้อมช่วยเหลือคนที่ติดอยู่บนอาคารเรียนอย่างเร่งด่วน

    นายทนง กล่าวว่า การฝึกซ้อมแผนป้องกันและระงับอัคคีภัย เกิดแผ่นดินไหว ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากคณะครู นักเรียน พยาบาลวิชาชีพ อปพร. และทีมกู้ภัยนครเชียงราย ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่ได้สมมุติขึ้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใกล้เคียงกับความจริงที่สุด มีการอพยพนักเรียนหนีตายจากที่สูง การลำเลียงคนเจ็บส่งโรงพยาบาล ทุกคนที่ได้เข้าร่วมงานในครั้งนี้ ได้รับความรู้ ความเข้าใจถึงวิธีการดับเพลิง การช่วยเหลือคนเจ็บ การอพยพผู้คน จะได้นำสิ่งใหม่ๆที่ได้รับจากการฝึกซ้อมในครั้งนี้ ไปถ่ายทอดให้ประชาชน สถานศึกษาอื่นๆ ได้เข้าใจ ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจริงจากการฝึกซ้อมในครั้งนี้แต่อย่างไร และบรรลุตามเป้าประสงค์ที่ได้วางไว้.


    ซ้อมแผนแผ่นดินไหว-อพยพนักเรียนหนีตาย | เดลินิวส์
     
  19. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    มะกันแจกรางวัล'อิ๊กโนเบล' ให้งานวิจัยพฤติกรรม'แมงกุดจี่'

    [​IMG]
    มะกันแจกรางวัล "อิ๊กโนเบล" ล้อเลียนโนเบล มอบให้งานวิจัยพฤติกรรม "แมงกุดจี่" รวมถึงงานทดลองกลืนหนูผีลงท้องโดยไม่เคี้ยว และผลวิจัยคนเมาคิดว่าตัวเองมีเสน่ห์ ได้เงินรางวัลคนละ 4 ดอลลาร์ หรือ 128 บาท...
    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 12 ก.ย.ว่า วารสารอันนัล ออฟ อิมพร็อบอะเบิล รีเสิร์ช (AIR) สื่อสหรัฐฯ ซึ่งเผยแพร่งานวิจัยวิทยาศาสตร์นอกกระแส จัดพิธีประกาศรางวัล "อิ๊กโนเบล" ล้อเลียนรางวัลโนเบล ครั้งที่ 23 ประจำปี 2556 ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในเมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ของสหรัฐฯ โดยรางวัลสาขาชีววิทยาและดาราศาสตร์ เป็นของกลุ่มนักชีววิทยาและนักดาราศาสตร์จากสวีเดน ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ อังกฤษ และเยอรมนี ได้แก่ มารี แด็คเก, เอมิลี แบร์ด, มาร์คัส เบิร์น, คลาร์ก ชอลท์ซ และ เอริก วอร์เรน ซึ่งร่วมกันทดลองสังเกตพฤติกรรมด้วงมูลสัตว์ หรือ "แมงกุดจี่" ในแต่ละประเทศ พบว่าด้วงมูลสัตว์ใช้แสงสว่างจากกลุ่มดวงดาวในการนำทางเพื่อออกหาอาหาร

    ขณะที่รางวัลสาขาธรณีวิทยาเป็นของ ไบรอัน เคนดัลล์ และ ปีเตอร์ สตัลล์ นักศึกษาปริญญาตรีจากสหรัฐฯ และแคนาดา ผู้ทดลองลวกหนูผีและกลืนลงท้องโดยไม่เคี้ยว เพื่อสำรวจจากอุจจาระผู้กลืนหนูผีว่า กระดูกส่วนใดย่อยสลายได้ในกระเพาะอาหาร และส่วนใดที่ไม่ย่อย เพื่อนำไปใช้อ้างอิงการวินิจฉัยกระดูกที่ค้นพบตามโบราณสถาน

    ส่วนรางวัลสาขาจิตวิทยาเป็นของนักวิจัยจากฝรั่งเศส ได้แก่ โลรองต์ เบ็ตต์กู, อูลมัน แซร์อูนี, บัพติสต์ ซูปรา, เมห์ดี อูราบาห์ และ แบรด บุชแมน จากสหรัฐฯ พบว่า ผู้มึนเมาสุราจะคิดว่าตนเองมีเสน่ห์ดึงดูดใจผู้อื่นเพิ่มขึ้น โดยปีนี้เป็นปีแรกที่ผู้ชนะรางวัลแต่ละสาขาได้รับเงินสด 10 ล้านล้านดอลลาร์ซิมบับเว ซึ่งมีค่าเทียบเท่ากับเงิน 4 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 128 บาท.


    ที่มา : ข่าวไทยรัฐออนไลน์
    วันที่ 13 Sep 2013
     
  20. hiflyer

    hiflyer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    3,321
    ค่าพลัง:
    +15,681
    อืม ...

    [​IMG]

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...