อานิสงส์สวยเลือกได้

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย หัวมัน, 4 กันยายน 2013.

  1. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    สวยอย่างนี้...

    ญิง111.jpg ญิง2.jpg ญิง555.jpg ญิง444.jpg ญิ55.jpg




    หรือน่าเกลียดแบบนี้...

    ชาย1.jpg ชาย2.jpg ชาย3.jpg ชาย4.jpg


    พวกเขาทำบุญมาด้วยอะไร ?

    ทุกอาการของจิต และกิริยา ล้วนส่งผลปรุงแต่งหน้าตาของเราทั้งสิ้น
    อาการแห่งจิตแบบไหน ปรุงแต่งหน้าตาอย่างไร เชิญอ่านได้เลยจ๊ะ
    เก็บมาฝากกันให้อ่านเพลินๆ





    พุทธพจน์

    จิตมีความปลาบปลื้มในการให้ทานที่ไหนก็ตาม กับบุคคลใดก็ตาม ก็ควรให้ทานในที่นั้น กับบุคคลนั้น
    (อิสสัตถสูตร)

    ผลของการให้ทานด้วยศรัทธา คือ เป็นผู้มีรูปงามชวนพิศ น่าเลื่อมใส และผิวพรรณงามยิ่ง ในที่ที่ทานนั้นเผล็ดผล
    (สัปปุริสสูตร)

    มหาบุรุษมีพระเนตรดำสนิทและแจ่มใสดุจตาลูกโคเพิ่งคลอด นี่คือวิบากจากการเป็นผู้ไม่ถลึงตาดู ไม่ค้อนตาดู ไม่ชำเลืองตาดูใครๆด้วยอำนาจความโกรธ เป็นผู้ตรง มีใจตรงเป็นปกติ แลดูใครๆตรงๆด้วยดวงตาทอแววรักใคร่เมตตา ยิ่งไปกว่านั้น มหาบุรุษยังมีพระเศียรงามบริบูรณ์ดุจกรอบพระพักตร์เป็นเครื่องประดับ ก็ด้วยเพราะวิบากจากการเป็นผู้นำของมหาชนในกิจอันเป็นกุศล เป็นประธานของมหาชนด้วยกายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริตทั้งในการบำเพ็ญทาน ในการตั้งใจรักษาศีล ๕ และศีล ๘ กับทั้งในความเป็นผู้ปฏิบัติดีต่อมารดาและบิดา ในความเป็นผู้ปฏิบัติดีต่อสมณะ ในความปฏิบัติดีต่อพราหมณ์ ในความเคารพต่อผู้หลักผู้ใหญ่ในสกุล รวมทั้งเป็นผู้นำในกิจอันเป็นมหากุศลอื่นๆ
    (ลักขณสูตร)

    จะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม หากมักโกรธ อัดแน่นด้วยความแค้นเคือง ถูกเขาว่าเล็กน้อยก็ขัดใจ ผูกใจเจ็บ มีความอาฆาตมาดร้าย แสดงความกระฟัดกระเฟียดง่าย เช่นนี้ หากได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกจะมีผิวพรรณทราม
    (จูฬกัมมวิภังคสูตร)

    ระหว่างทำบาปด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ บาปที่ทำด้วยใจมีโทษหนักสุด เพราะความจงใจอันเป็นบาปนั้น มีใจเป็นแดนเกิด หาใช่มีกายและวาจาเป็นแดนเกิด นอกจากนั้น สมณะผู้มีฤทธิ์อาจเผาเมืองเป็นเถ้าถ่านด้วยอำนาจจิตดวงเดียวในพริบตา ไม่ต้องอาศัยมือบุรุษเป็นสิบเป็นร้อย ด้วยข้อเท็จจริงเพียงเท่านี้ ก็พึงกล่าวแล้วว่ากรรมทางใจมีโทษมากกว่ากรรมทางกายและกรรมทางวาจา
    (อุปาลิวาทสูตร)

    มุมมองอันควรได้จากพุทธพจน์

    ความมีรูปงามและความขี้เหร่เป็นพลังครอบงำที่ยิ่งใหญ่ ดึงเอาทั้งชีวิตของมนุษย์ให้หลงจมอยู่กับเงาตนเองในกระจก และหลงมองออกนอกตัวด้วยความติดใจวิพากษ์วิจารณ์รูปร่างหน้าตาคนอื่น แค่หัวเข่าดาราดังดูน่าเกลียดหน่อย ก็อาจเป็นเรื่องซุบซิบไม่รู้จบได้

    ทำไมต้องมามัววิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่ปั้นแต่งกันตอนเกิดไม่ได้? จะมองกันที่คุณค่าหรือแข่งกันที่ความสามารถหน่อยไม่ได้หรือ? ความจริงก็คือ ขี้ปากของคนช่างวิจารณ์เป็นเครื่องมือหนึ่ง ที่วิบากกรรมเอาไว้ทิ่มตำเจ้าของกรรม พวกเราถูกคนรอบข้างกระตุ้นเตือนให้ได้รู้สึกผิดหรือภูมิใจกับกรรมเก่าแต่หนหลัง ซึ่งต่างก็หลงลืมกันไปหมดแล้วว่าทำอะไรมา รู้แต่ว่ารูปโฉมโนมพรรณที่ปรากฏอยู่เดี๋ยวนี้ มีอำนาจดึงดูดเสียงติฉินนินทาลับหลัง หรือไม่ก็กระตุ้นเสียงชื่นชมต่อหน้า และไม่ใช่แค่วันสองวัน แต่มีชีวิตอยู่กี่วันก็โดนแค่นั้น

    รูปโฉมยังมีอิทธิพลทางใจอื่นๆ ลองสังเกตเถิด ชายที่มีรูปศีรษะใหญ่ได้รูปสวย จะน่าเชื่อถือว่าเป็นผู้นำได้ ซึ่งพุทธพจน์ก็เผยแล้วว่าเป็นเพราะเคยเป็นผู้นำบุญมามากนั่นเอง

    เรื่องของความงามเป็นสิ่งหนึ่งที่อ้างได้เต็มปากว่า ไม่ใช่เรื่องขององค์ประกอบทางกายอย่างเดียว คุณคงเคยได้ยินคำว่า "ความประพฤติงาม" หรือ "เป็นผู้มีปัญญาอันงาม" ซึ่งมาจากความรู้สึกสัมผัสความงามของใครสักคนได้ อาจจะเพียงผ่านการโต้ตอบอีเมลหรือพูดคุยโทรศัพท์ โดยไม่เคยพบหน้าค่าตาเลยสักครั้ง

    ทั้งหมดล้วนเป็นร่องรอยชี้ให้เห็นว่ามูลเหตุของความงาม หาใช่ผลงานของความบังเอิญไม่ ความบังเอิญไม่อาจออกแบบความงามหรือความน่าเกลียด ใจที่งาม และใจที่น่าเกลียดต่างหาก ที่อยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด

    ใจที่น่าเกลียดคืออย่างไร? คือใจที่เหนียวเหนอะด้วยความตระหนี่ ถอดเป็นคำไทยคือ "ขี้เหนียว" นอกจากนั้น ใจที่มืดดำด้วยความเห็นแก่ตัว ถอดเป็นคำไทยคือ "ใจดำ" ซึ่งต่างก็ตกแต่งจิตให้น่าเกลียดได้ไม่แพ้กัน

    สรุปแล้วความน่ารังเกียจของจิตนั่นแหละ คือต้นเหตุแห่งกายที่น่ารังเกียจ ความงดงามของจิตนั่นแหละ ต้นเหตุแห่งกายที่งดงาม หลักง่ายๆคือถ้าเกิดกิเลสแล้วตามใจกิเลสบ่อยๆ จะเป็นเหตุให้ใจทรามลง ส่งผลให้มีรูปทรามได้เดี๋ยวนั้น เช่น ใบหน้าหมองคล้ำ ราศีหม่นมืดลง แต่ถ้าเกิดกิเลสแล้วรู้จักระงับ ไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อ จะเป็นเหตุให้ใจสวยขึ้น ส่งผลให้รูปสวยได้เดี๋ยวนั้น เช่น ใบหน้ากระจ่าง ราศีสดใสขึ้น ถ้าสังเกตอยู่อย่างนี้ก็คงไม่กังขาว่า ถ้าชาติหน้ามี ใจสวยหรือใจทรามจะมีบทบาทตกแต่งรูปร่างหน้ามากน้อยเพียงใด

    กรรมในการให้ทาน

    จุดประสงค์ของการให้ทานในทางพุทธศาสนา ก็เพื่อมุ่งทำลายความตระหนี่ถี่เหนียวเป็นหลัก เมื่อความตระหนี่ถี่เหนียวหายไป ใจดีๆก็มาเอง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายาม แจกแจงความงามตามระดับการให้ได้ดังนี้

    ๑) ทรัพยทาน

    "ความตระหนี่" เป็นยางเหนียวที่ทำให้จิตเหนอะหนะ ทึบตัน หาความปลอดโปร่งมิได้ คล้ายฟองเหนียวตะปุ่มตะป่ำเกาะจิตอยู่ยุ่บยั่บ เป็นความอึดอัดแก่เจ้าตัวเองและคนอยู่ใกล้ กิริยาที่แสดงความงก หรือหวงแหนแม้ส่วนเกิน คนลำบากตากหน้ามาขอก็ไม่ให้ ไม่คิดเผื่อแผ่ ไม่เอาใครเลย ล้วนส่งคลื่นความรู้สึกน่าเกลียดออกมาทั้งสิ้น

    ตอนเกิดมาเป็นทารกแบเบาะ ธรรมชาติบังคับให้ทุกคนเรียกร้องเอาเข้าตัว แล้วก็หวงแหนสมบัติส่วนตน ฉะนั้น การให้ทานจึงเป็นเรื่องต้องฝึก จะให้เกิดเองไม่ได้ แล้วก็ไม่มีอุปกรณ์การฝึกใดหาง่ายกว่าข้าวของที่เป็นส่วนเกิน ส่วนที่ไม่ทำให้เราเดือดร้อน แต่อาจช่วยแบ่งเบาให้คนอื่นเดือดร้อนน้อยลงได้

    เมื่อค่อยๆฝึกให้ของ ให้ทรัพย์ส่วนเกิน แบ่งปันของดีให้คนอื่นใช้ ยางเหนียวก็เริ่มละลาย กลายเป็นความปลอดโปร่ง น่าอึดอัดน้อยลงจนรู้สึกได้ด้วยตนเอง กระทั่งเมื่อฝึกถึงขั้นที่ "ให้ทานด้วยความเลื่อมใสศรัทธา" ก็จะมีรัศมีสว่างสวยฉายออกมาจากใจ สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัส

    การให้ด้วยความศรัทธาคือเต็มใจให้ ใจจึงเป็นกุศลเต็มกำลัง จะเป็นความปลื้มใจที่ได้อนุเคราะห์ผู้อื่น หรือจะเพราะเลื่อมใสศรัทธาในผู้รับเช่นพระสงฆ์ผู้ทรงศีลก็ตาม กำลังศรัทธาที่เต็มเปี่ยมจะเป็นปัจจัยให้เกิดผลมากทั้งสิ้น เมื่อคิดให้ทานด้วยจิตที่ผ่องแผ้วสวยใสที่สุด ย่อมเป็นเหตุบันดาลรูปร่างหน้าตาที่สวยชวนพิศที่สุดเช่นกัน

    เกณฑ์ง่ายๆที่ตัดสินได้ว่าใจของคุณมีศรัทธาขณะให้ทาน คือ เมื่อนึกถึงบุญขณะต่างๆ ทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำ แล้วนึกอยากยิ้มสดชื่นออกมาจากข้างใน เป็นยิ้มอันบันดาลขึ้นจากความปลื้มเปรม ความอิ่มเอมที่บริสุทธิ์ ปราศจากเงื่อนไขแลกเปลี่ยน แต่ถ้าทำทานแล้วฝืนยิ้มไปแกนๆ ใจไม่เป็นสุขนั้นไม่นับว่าถึงความเลื่อมใสในทาน เพราะแสดงให้เห็นว่าใจยังแห้งแล้งอยู่

    หากให้ทานด้วยจิตใจคับแคบ เช่น แก่งแย่งชิงดีเอาหน้าเอาเด่น หรือให้ทานแบบกีดกัน ไม่ยอมร่วมให้ทานกับใคร ไม่ยอมถวายสังฆทานพร้อมกันกับคนแปลกหน้าที่เขามาพร้อมเรา ดึงดันจะแยกเป็นต่างหากให้พระต้องสวดสองที แบบนี้กรรมจะตกแต่งให้ชาติต่อไปหน้าตาออกรสเค็ม หรือเห็นแล้วไม่สบายใจเสียมากกว่าจะน่าเลื่อมใส ตามอาการทางจิตนั่นเอง

    วิธีง่ายๆเพื่อสร้างศรัทธาในการให้ คือ ให้เพราะอยากให้ ถวายเพราะอยากถวาย และอย่าเลือกหน้า อย่าสร้างเงื่อนไขว่าอย่าเป็นสัตว์ ต้องเป็นคน ต้องเป็นพระ ขอเพียงของที่ให้ทานเป็นสิ่งที่คุณได้มาโดยชอบธรรม ไม่เดือดร้อนใคร กับทั้งมีน้ำจิตคิดอยากให้ ใจก็เบิกบานเป็นปีติได้แล้ว ยิ่งสั่งสมบ่อยเท่าไร ใจในการให้ยิ่งสวยขึ้นเท่านั้น

    เมื่อคุณให้ทานครบวงจร ในที่สุดผลของทานจะนำคุณเลื่อนชั้นทางจิต และคุณจะมีสิทธิ์ให้ทานกับผู้ควรแก่การรับสูงชั้นขึ้นไปเรื่อยๆเอง ความเลื่อมใสศรัทธาจะเกิดขึ้นสูงสุด เมื่อทั้งผู้ให้และผู้รับมีความบริสุทธิ์หมดจด คือ ศีลสะอาด ความประพฤติสะอาด วัตถุที่ใช้ในการให้ทานสะอาด และความตั้งใจขณะถวายทานสะอาด

    กล่าวโดยย่นย่อที่สุด ยิ่งความตระหนี่น้อยลงเท่าไร คุณจะยิ่งเห็นใจตัวเองน่าเกลียดน้อยลงเท่านั้น และยิ่งความเลื่อมใสในทานปรากฏชัดขึ้นเพียงใด ใครๆจะยิ่งบอกว่าหน้าตาคุณมีรัศมีชวนชมชัดขึ้นเป็นเงาตามตัว โดยไม่ต้องรอพิสูจน์ชาติหน้า

    ๒) อภัยทาน

    "ความพยาบาท" เป็นไฟร้อนที่เผาผลาญใจตัวเอง เมื่อเผาใจตัวเองสำเร็จก็อาจเผาโลกต่อได้ ต่อเมื่อสามารถทำลายความตระหนี่ คนเราจึงมีแก่ใจทำลายความพยาบาทหรืออาการ "หวงความโกรธ" ได้เช่นกัน เพราะเป็นสภาพของจิตที่ "ทิ้งความอึดอัดใจ" เหมือนๆกัน

    ผู้ที่คิดอภัยได้เรื่อยๆ แม้จะยังไม่ถึงขั้นละความโกรธได้อย่างพระอรหันต์ อย่างน้อยก็จะไม่เป็นคนมักโกรธ ไม่แสดงกิริยาวาจากระฟัดกระเฟียดง่ายๆ เพียงเท่านี้ก็ประกันแล้วว่าชีวิตที่เหลือจะไม่ก่อเหตุให้ชาติหน้าต้องเป็นคนผิวพรรณทราม หน้าตาหาเรื่อง

    การจะอภัยให้เป็น ควรฝึกไปทำตามลำดับ คือ
    - มีแก่ใจอยากให้อภัย เพราะเห็นโทษของความผูกพยาบาทและโมโหง่ายดังกล่าวแล้ว
    - เมื่อโกรธจนอยากลงไม้ลงมือมาก ให้ห้ามมือห้ามไม้ แม้ใจจะต้องอึดอัดแค่ไหน
    - เมื่อโกรธจนอยากด่ามาก ให้ปิดปาก แม้ใจจะยังคิดถึงคำด่าไม่เลิก
    - เมื่อโกรธแบบร้อนในอกมาก ให้รู้สึกถึงความเร่าร้อน และเห็นว่าร้อนมากเดี๋ยวก็เย็นลงได้
    - เมื่อโกรธแบบอัดอั้นมาก ให้รู้สึกถึงความหนักที่ใจ และเห็นว่าหนักมากได้เดี๋ยวก็เบาลงเองได้
    - เมื่อโกรธแบบหงุดหงิดเล็กน้อย ให้รู้สึกถึงสภาพฟุ้งๆยุ่งๆ ถ้ารู้สึกได้แต่แรกจะเห็นมันจางลงทันที

    หากฝึกจนเห็นผลตามลำดับ กำจัดเหตุแห่งความน่าเกลียดได้ ภาวะน่ารักน่าใคร่ก็เกิดขึ้นเอง คุณไม่ต้องเชื่อเรื่องชาติหน้า เอาแค่เห็นกับตาในชาตินี้ ก็เปรียบเทียบกันได้ชัดๆอยู่แล้ว คนหน้าตาดีมาแต่เกิด ลองเป็นพวกโกรธง่ายหายช้าดูสักพัก หน้าจะดูหักๆง้ำๆ ผิวจะคล้ำเกรียม ตาจะขุ่นขวาง ส่วนคนหน้าตาจืดชืด ลองเป็นพวกโกรธยากหายเร็วเสมอๆ แค่ไม่กี่วันจะดูดีมีราศีจับตา เห็นแล้วเย็น เห็นแล้วสบายใจ หรือกระทั่งน่าเลื่อมใส นั่นเพราะจิตที่สงบเยือกเย็น ไม่เดือดร้อนกระวนกระวายง่ายๆ จะทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนบนใบหน้าผ่อนคลาย ดูดีที่สุดเท่าที่โครงหน้าจะอำนวย

    ทั้งนี้ต้องหมายเหตุไว้ด้วยว่า "ฝืนยิ้มแกล้งไม่โกรธ" กับ "ฝึกละความโกรธไปตามลำดับขั้น" จะให้ผลเป็นคนละเรื่อง ยิ่งแกล้งเท่าไร ใจยิ่งเก็บกดเหมือนอยากระเบิดเท่านั้น แต่ถ้าฝึกห้ามกายและดูใจเป็น ใจจะยิ่งเบา เป็นคนมีความสุขแบบไม่มีแรงกดดันแอบแฝงอยู่เลย

    ๓) ธรรมทาน

    เมื่อมีน้ำใจบริจาคของส่วนเกิน กับทั้งมีความเมตตากรุณาพอจะให้อภัย คุณจะมองเห็นว่าคนในโลกอีกมากนัก ที่ยังหลงตระหนี่ หลงอาฆาตพยาบาทกันให้ทุกข์ใจเปล่าๆ โดยไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ที่ตรงนั้นคุณจะรู้สึกเหมือนตนเองมีน้ำอยู่ในใจ สามารถช่วยดับไฟในอกคนอื่นได้

    ทุกอย่างต้องเริ่มด้วยของจริงในคุณเอง คือมีน้ำใจอยากดับไฟให้คนอื่น ไม่ใช่ตั้งต้นด้วยความอยากสั่งสอนแบบยกตนข่ม แต่เป็นการค่อยๆพูด ค่อยๆให้แนวทาง ด้วยใจเมตตาปรารถนาให้คนฟังได้คิด ได้ฉุกใจ

    คุณจะรู้สึกถึงความจริงใจได้จากผลลัพธ์กับตนเอง คือยิ่งพูดตัวเองจะยิ่งเย็น พูดได้เต็มปากเต็มคำ ไม่ต้องดัด ไม่เสแสร้งสร้างภาพนักปลอบ ตรงข้ามกับการอยากสอนแบบยกตนข่ม ยิ่งพูดอัตตาจะยิ่งหนัก ในหัวจะยิ่งฟุ้งแรงขึ้นทุกที อยากอวดเก่งกล้าสามารถขึ้นทุกวัน

    หากสามารถช่วยให้ใครฉุกคิด ให้เขาอยากสละความตระหนี่ อยากละวางความพยาบาท นั่นจัดเข้าข่ายเป็นธรรมทาน ถ้าธรรมทานนั้นประกอบด้วยกิริยาอันงามด้วยน้ำใสใจจริง ก็เรียกว่าแสดงธรรมได้งาม ถือเป็นกรรมตกแต่งจิตให้งามขั้นสูงสุด

    ผู้แสดงธรรมได้งาม มีผลให้เกิดขึ้นกับกายใจทันตาในชาตินี้ คือจะมีความงามเด่น กระแสใจเยือกเย็นผ่องใส ดึงใจคนเห็นให้ชื่นชมด้วยความพิศวง บางคนแม้หน้าตาไม่งาม แต่กระแสจากธรรมงามเกินตัว ก็ดึงดูดสายตาไม่ต่างจากคนสวยคนหล่อได้อย่างน่าทึ่ง

    กรรมในการรักษาศีล

    "ความเห็นแก่ตัว" เป็นสิ่งสกปรกเน่าเหม็น พิสูจน์ได้ด้วยความรู้สึก ยิ่งคนเห็นแก่ตัวมากขึ้นเท่าไร พอเข้าใกล้แล้วจะรู้สึกขยะแขยง อยากออกห่าง เพราะคล้ายจะ "เหม็น" อะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น

    ศีลจะมีส่วนช่วยปรุงแต่งหน้าตาให้ดูดีจริงๆต่อเมื่อสะอาดหมดจดในข้อหนึ่งๆ ความรู้สึกภายในของคุณเป็นอย่างไร คนก็จะมองเห็นคุณแล้วเกิดความรู้สึกเช่นนั้นตามไปด้วย เช่น
    ๑) อยากปกป้องชีวิตสัตว์ ทำให้หน้าตาใจดี เห็นแล้วสงบเย็นดูปลอดภัย
    ๒) ไม่เพ่งเล็งอยากได้ ทำให้หน้าตาน่าไว้ใจ เห็นแล้วน่าเชื่อถือ
    ๓) ซื่อสัตย์กับคู่ครอง ทำให้หน้าตาชวนอบอุ่นใจ เห็นแล้วนึกอยากเป็นคู่ด้วย
    ๔) ไม่คิดปั้นคำลวง ทำให้หน้าตาใสซื่อ เห็นแล้วนึกเอ็นดู
    ๕) ไม่เกลือกกลั้วสิ่งเสพติดมึนเมา ทำให้หน้าตาดูปกติ เห็นแล้วไม่ชวนระแวงแบบคนบ้า

    โลกเรามีเรื่องยั่วยุให้ผิดศีลได้ทุกวัน เราจึงมีโอกาสฝึกตั้งใจและรักษาศีลได้ทุกวันจนชำนาญเช่นกัน พอฝึกจนชำนาญแล้ว ความเห็นแก่ตัวน้อยลงแล้ว ความสกปรกเน่าเหม็นทางจิตจะหายไป กลายเป็นหอมสะอาดในที่สุด แม้หน้าตาเหมือนเดิม แต่จิตใจสะอาดขึ้น ก็ดูดีกว่าเดิมได้

    หากถือศีลได้สะอาดบริสุทธิ์ตลอดชีวิต กระทั่งแม้ใจก็ไม่กระดิกไปคิดอยากละเมิดศีลตามแรงยั่วยุ ชาติใหม่จะมีรูปร่างหน้าตาสมส่วนหมดจด มองจากมุมไหนก็ดูดีไปหมด แบบที่เรียกกันว่างามไร้ที่ตินั่นเอง

    กรรมด้านอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

    ดังกล่าวแล้วว่า ความมีรูปงามยืนพื้นอยู่บนความมีใจงาม กรรมใดๆก็ตามที่ปรุงแต่งใจให้งามได้ กรรมเหล่านั้นก็มีส่วนส่งเสริมให้รูปงามขึ้นเสมอ เช่น

    ๑) กรรมที่ทำด้วยศรัทธา

    ทำกรรมใดๆก็ตาม หากยืนอยู่บนศรัทธา ย่อมมีส่วนปรุงแต่งรูปให้งามน่าเลื่อมใสเหนือธรรมดาได้ ศรัทธาในที่นี้ หมายถึงความเลื่อมใสในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงของทุกศาสนาที่ให้การสนับสนุนมนุษยธรรมและมโนธรรม เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นความสว่าง เป็นมงคล เป็นกุศลธรรม ยิ่งเอาจิตไปผูกไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นเท่าไร จิตก็ยิ่งสว่างเป็นมหากุศลมากขึ้นเท่านั้น

    ตัวอย่างของกรรมที่ประกอบด้วยศรัทธา เช่น สวดมนต์หน้าพระปฏิมาด้วยใจเคารพเลื่อมใส หรือมีความปรารถนาจะสร้างถาวรวัตถุอันชวนสักการะบูชา หากออกมาจากใจจริงๆไม่ได้แกล้งฝืน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุให้แห่งรูปงามได้หมด

    ๒) กรรมจากการใช้สายตา

    การใช้สายตามีอยู่สองอาการใหญ่ๆ คือ มองดูให้เห็น กับ มองอย่างแฝงเจตนาเป็นกุศลหรืออกุศล

    ตัวอย่างของกรรมจากการใช้สายตาในทางกุศล เช่น มองผู้คนด้วยใจเป็นมิตร มองพระปฏิมาด้วยใจเคารพบูชา มองบุคคลผู้ทรงศีลด้วยใจนบนอบ กรรมเหล่านี้ล้วนตกแต่งให้นัยน์ตาในชาติปัจจุบันอ่อนโยน ทว่ามีประกายแรงชวนสบ กับทั้งจะตกแต่งให้นัยน์ตาในชาติถัดไปงามซึ้งเหมือนมีมนต์สะกดให้หลงใหล

    ตัวอย่างของกรรมจากการใช้สายตาในทางอกุศล เช่น มองผู้คนด้วยความอยากสะกดให้กลัว มองคนที่เกลียดด้วยความกร้าว มองคนต่ำกว่าด้วยสายตาหยามหมิ่น มองผู้ใหญ่หรือผู้ทรงศีลด้วยความกระด้างกระเดื่อง กรรมเหล่านี้จะตกแต่งให้ประกายตาในชาติปัจจุบันไม่น่าสบ สบแล้วระคายความรู้สึก และจะตกแต่งนัยน์ตาในชาติถัดไปให้ชวนเมิน หรือกระทั่งมีความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ตาส่อน ตาเข ขึ้นอยู่กับน้ำหนักกรรมทางตาที่ก่อไว้

    ๓) กรรมจากการใช้เสียง

    การใช้เสียงมีอยู่สองอาการใหญ่ๆ คือ เปล่งเสียงให้คนอื่นได้ยินเพื่อรับรู้ความหมาย กับ เปล่งเสียงให้ตนเองหรือผู้อื่นเกิดความรู้สึกทางใจเป็นกุศลหรืออกุศล

    ตัวอย่างของกรรมจากการเปล่งเสียงในทางกุศล เช่น เลือกพูดคำที่เป็นจริง เลือกพูดคำที่สมานสามัคคี เลือกพูดคำที่สุภาพรื่นหู เลือกพูดคำที่ชวนให้เกิดสติ สวดมนต์ด้วยเจตนาถวายแก้วเสียงเป็นพุทธบูชา ร้องเพลงสรรเสริญผู้ทรงคุณ บริจาคเสียงอ่านหนังสือดีๆเพื่อคนตาบอด อธิบายธรรมะด้วยเจตนาให้เป็นที่เข้าใจ ง่าย กรรมเหล่านี้จะตกแต่งสุ้มเสียงให้นุ่มใสขึ้นในปัจจุบัน และจะตกแต่งแก้วเสียงในชาติถัดไปให้เพราะพริ้งชวนฟังราวกับเครื่องดนตรีเด่น

    ตัวอย่างของกรรมจากการเปล่งเสียงในทางอกุศล เช่น จงใจพูดเท็จ จงใจยุยงให้เกิดความแตกแยก จงใจใช้วาจาหยาบคายระบายอารมณ์ ปล่อยใจพูดเลื่อนลอยเพ้อเจ้อ หรืออาศัยเสียงของตนประทุษร้ายผู้อื่นในทางใดทางหนึ่ง กรรมเหล่านี้จะตกแต่งสุ้มเสียงให้ระคายโสตในปัจจุบัน และจะตกแต่งแก้วเสียงในชาติถัดไปให้แหบแห้ง หรือแหลมแสบแก้วหู ฟังแล้วทรมาน

    ๔) กรรมทางความคิด

    กรรมทางกายและกรรมทางวาจานั้น จัดเป็นสิ่งเปิดเผย เมื่อปรากฏแล้วสามารถจับต้องได้ บันทึกได้ หรือเก็บไว้ในความทรงจำของคนอื่นได้ แตกต่างจากกรรมทางความคิด ที่เหมือนสิ่งลึกลับ จะรู้แน่ว่ามีหรือไม่มี ก็ต้องให้เจ้าของความคิดเป็นคนแฉเอง

    สำนวน ปากร้ายใจดี ปากหวานก้นเปรี้ยว หน้าซื่อใจคด หรือหน้าเนื้อใจเสือ เกิดขึ้นได้ก็เพราะมนุษย์เรามีกรรมทางความคิดซ่อนเร้นไว้ในหัวได้ จะให้เปิดเผยหรือปิดบังต่อไปก็ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของเจ้าตัว

    แต่กรรมทางใจเป็นไปตามความคิด คนเราคิดอย่างไร ก็คู่ควรกับภาวะอย่างนั้น กรรมทางความคิดอาจถูกปกปิดไปทั้งชาติ แต่จะถูกเปิดโปงล่อนจ้อนที่รูปร่างหน้าตาในชาติถัดไป

    หากคุณสงสัยว่าเหตุใดบางคนสวยจัดหรือหน้าตาหล่อเหลาบาดใจ แต่เตี้ยม่อต้อบ้าง แขนขาไม่น่าดูบ้าง ก็ขอให้ทราบว่านั่นเป็นตัวอย่างของกรรมทางกายกับวาจาภายนอกที่ดูดี แต่กรรมทางใจอันเป็นภายในนั้นขัดแย้งกัน

    เพื่อเข้าใจให้ชัด ต้องเข้าใจหลักการพื้นฐานอย่างนี้ คือ กรรมที่ปรุงแต่งรูปร่างหน้าตาคนทั่วไป มักเป็นกรรมที่ทำประจำจนคุ้นเป็นนิสัย ไม่ใช่กรรมชนิดนานๆทำที จึงสมควรกล่าวว่า กรรมที่ทำเป็นอาจิณนั่นเอง ที่เป็นหน้าเป็นตา ทั้งในความหมายของชื่อเสียงในปัจจุบัน และในความหมายของเนื้อตัวในอนาคต

    ในแง่ของกรรมตกแต่งรูปร่างหน้าตานั้น ศีลเป็นตัวกำหนดสำคัญว่าสัดส่วนหรือรูปทรงจะดูพอเหมาะพอเจาะไร้ที่ติ หรือเต็มไปด้วยที่ติตามจุดต่างๆ หากคุณมีศีลสัตย์บริสุทธิ์สะอาดอย่างแท้จริง ก็จะรู้สึกออกมาจากภายในว่าจิตใจของคุณมีความเที่ยงตรงไม่บิดเบี้ยว ความรู้สึกแบบนั้นแหละที่ตกแต่งรูปร่างหน้าตาออกมาได้สัดส่วนเหมาะเจาะ

    แต่หากรักษาศีลสำเร็จ แล้วเที่ยวไปกร่าง อวดเบ่งทับถมคนอื่น อ้างว่าตนดี ตนวิเศษ คนอื่นต่ำต้อยกว่า อันนี้ก็อาจปรุงแต่งให้ขาสั้น ด้วยเหตุเพราะใจถือเอาศีลเป็นเครื่องยกตนข่มท่าน เป็นต้น สรุปคือขอให้ดูว่าการทำบุญแต่ละอย่างของคุณ มีความคิดชนิดใดอยู่เบื้องหลัง กุศลหรืออกุศล เบียดเบียนหรือเกื้อกูล หลงตัวหรือเปลื้องตน ก็พอพยากรณ์รูปร่างหน้าตาในอนาคต ว่าจะหมดจดหรือขาดๆเกินๆ

    นอกจากนั้น ความคิดอันเป็นเรื่องลับ ก็เกี่ยวข้องกับของลับอยู่ด้วย เช่นเดียวกับที่บางคนชอบทำบุญสร้างภาพ แล้วก็เป็นภาพที่ดูดีในระยะยาว แต่ใจจริงคิดอยากเอาหน้าหรือแสวงประโยชน์แอบแฝง มองทะลุเข้าไปจะเห็นว่าเน่าใน ไม่ใช่สุกใสเหมือนเปลือกนอก อย่างนี้ก็เป็นไปได้ที่ชาติถัดมาจะหน้าตาดี แต่พอคู่ครองพบความจริงทั้งหมดในห้องส่วนตัว ก็อาจผิดหวังอย่างแรง เพราะหน้าตาที่เปิดเผย กับของลับที่ปิดบัง ไปด้วยกันแทบไม่ได้

    หญิงที่หน้าตากับเนื้อตัววิจิตรสมกันตลอดร่าง มักเป็นพวกที่สะอาดพร้อมทั้งกาย วาจา และใจ ทำทานแบบหาโทษไม่ได้ รักษาศีลแบบหาที่ติไม่ได้ แม้คิดอยากในทางที่ผิดก็เห็นความไม่เที่ยงของความคิด เห็นตามจริงว่าความคิดผิดๆมาเองไปเอง บังคับไม่ได้ ไม่ควรแล่นตาม และไม่หมกมุ่นทรมานใจไปกับมัน เช่นนี้เอง รูปกายภายนอกกับภายใต้ร่มผ้าจึงบาดตาบาดใจ กลมกลืนกันสนิท ไม่ล้ำเหลื่อมแปลกปลอมจากกัน

    ส่วนชายที่หน้าตากับเนื้อตัวสมชาย เป็นพวกที่อาจหาญ กล้าเป็นผู้นำในทางดี เอากำลังแรงเข้าโถมเพื่อให้งานบุญลุล่วงโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ที่สำคัญต้องมีศีลมีสัตย์ พูดคำไหนทำคำนั้น กล้าทำกล้ารับ ฮึกเหิมในการเปลี่ยนผิดให้เป็นถูก คิดตรงไปตรงมา ไม่พูดบิดเบือนความจริง จะเสริมให้รูปร่างหน้าตาดูดีสมชายได้กว่าคนอื่น

    ๕) กรรมหลักที่สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตน

    แม้คนรูปงามก็งามต่างกัน แต่ละคนมีความงามในแบบของตน ลองจำแนกความงามที่เห็นแล้วรู้สึกสะดุดตาสัก ๖ ประเภทเป็นตัวอย่างดู

    - งามแบบสง่า เกิดจากกรรมในการให้ทานสมณะผู้ละกามด้วยความเคารพลึกซึ้ง จะจัดถวายทานใดก็นิยมพิธีรีตองที่งดงามโดยมีเจตนาให้เกียรติผู้รับ ส่วนในแง่ศีลธรรมนั้น เวลาจะทำผิดอะไรก็เห็นแก่หน้าพ่อแม่และวงศ์ตระกูล ไม่ทำตามอำเภอใจเพียงเพราะเห็นแก่กิเลสตน และถ้าเคยถือศีล ๘ หรือออกบวช ก็เป็นพวกที่มีความสง่างามในการละกาม ละพยาบาท ละความเซื่องซึม ละความฟุ้งซ่าน และละความสงสัย มีความมั่นคงในการครองกายครองใจให้ปลอดโปร่งอย่างคงเส้นคงวา

    - งามแบบอ่อนหวาน เกิดจากกรรมในการพูดจาอ่อนโยน ใช้ถ้อยคำหวานหูโดยมีเจตนาให้คนฟังรู้สึกดี เวลาให้ทานจะทำด้วยความนุ่มนวล ด้วยความสุภาพ

    - งามแบบฉูดฉาดจัดจ้าน เกิดจากกรรมในการประกอบงานบุญงานกุศลด้วยจิตคิดออกหน้าออกตา ชอบทำให้คนเห็นเยอะๆ เป็นจุดเด่น เป็นความสนใจ ซึ่งแง่ดีคือเป็นแรงบันดาลใจให้คนเห็นอยากเอาตาม แต่แง่เสียคือเป็นที่หมั่นไส้ได้ และจิตของคนชอบเป็นจุดเด่นในงานบุญนั้น มักพ่วงเอาความโลภเข้าไปเจืออยู่ในบุญ พร้อมจะแปรจากบุญเป็นบาปได้ทันทีที่มีการแก่งแย่งชิงดีทางหน้าตากัน ฉะนั้น อย่าสงสัยหากคนสวยแบบฉูดฉาดมักมีคนอยากเป็นคู่แข่ง

    - งามแบบเร้าความรู้สึกทางเพศ เกิดจากกรรมในการประกอบงานบุญงานกุศลด้วยความหวังผลทางรูปร่างหน้าตา เช่น หญิงปรารถนาความสะสวย ชายอธิษฐานขอให้หล่อเหมือนพระเอก ขอให้ล่อตาล่อใจคนได้มากๆ ผลของการอธิษฐานจะไม่ปรากฏแค่ที่กาย แต่จะมีกระแสความเรียกร้องทางเพศจากจิตและความคิดส่วนลึกประกอบอยู่ด้วย งานบุญต่างๆมักมีหนุ่มสาวประเภทนี้ปะปนอยู่มาก แค่เข้ามามีบทบาทในงานบุญด้วยความตั้งใจจะเป็นคนเด่น ดึงดูดความสนใจใครต่อใครในเชิงปฏิพัทธ์ ก็นับว่าเข้าข่ายแล้ว

    - งามแบบแปลกประหลาด เกิดจากกรรมอันขัดแย้งกัน เช่น เข้าวัดทำบุญจริง แต่ก็แต่งตัวยวนยั่วไปด้วย หรืออยากให้ทานจริง แต่ของที่ให้มีความสกปรก หรือให้ทานแบบไม่อยากขัดใจญาติ หรือพูดแดกดันให้ผู้รับเสียกำลังใจ อีกทีคือยอมรักษาศีลไม่ประพฤติผิดทางกามกับใคร แต่ก็ชอบไปยั่วเย้าให้เขามาอยากมีเพศสัมพันธ์แบบผิดๆกับตน ความคิดซ่อนแฝงที่ขัดแย้งกันกับพฤติกรรมทำนองนี้แหละ ที่ทำให้สวยหล่อแบบแปลกๆ แบบที่สมัยนี้เรียกกันว่าสวยไม่เสร็จ หรือหล่อแบบน่ากังขา คือเหมือนยังปั้นไม่ครบ หรือครบแต่เว้าแหว่ง บางส่วนเหมือนหายๆไปไม่เต็มบริบูรณ์

    ความงามไม่ได้มีแค่ ๖ ประเภทเท่านี้ ที่ยกมาพอสังเขปก็เพื่อให้เข้าใจชัดว่า ต้นตอของกรรมทั้งหลายมาจากมโนกรรม หรือกรรมทางใจเป็นหลัก และกรรมเก่าก็ไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับกรรมใหม่ บางคนสวยหล่อสมบูรณ์แบบสะท้อนให้เห็นว่าของเก่าดีทุกอย่าง แต่กรรมใหม่คิดลามกสกปรก คิดคดทรยศได้ไม่เลือกหน้า อย่างนี้เมื่อการคุ้มครองจากกรรมเก่าหมดลง กรรมใหม่ก็ฉายให้ดูผ่านหน้าตาแย่ๆตั้งแต่เข้าวัยกลางคนนั่นเอง

    บทความของคุณดังตฤณ จากเฟสบุค
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2013
  2. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946
    ต้องขอประทานโทษท่านที่มาตอบกระทู้ก่อนหน้านั้น
    พอดียังโพสต์ข้อความไม่เสร็จ
    มือดันกระแทกคีัย์บอร์ด ทำให้ข้อความโผล่ไปสู่สาธารณะ
    รู้สึกเขิลนิดหน่อยก็เลยขออนุญาติลบกระทู้เก่านะจ๊ะ
     
  3. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    อ้อครับ งงๆว่าสงสัยคำแจมตอบอาจสวยไม่พอ เลยถูกท่านPotato Head โยนลง shredder ไปอิอิ !!..

    แต่ไม่ทิ้งท่าน Potato Head ไว้เหงาหรอก ตามมาลงใหม่เช่นกันครับ...(เย้ย...ดื้อจริง!!)..เผื่อคนที่ไม่นิยมอ่านเกิน๑๒บรรทัด..


    ..
    ใน มัลลิกาสูตร พระนางมัลลิกา ได้เข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า เหตุปัจจัยอะไรที่ทำให้มาตุคาม หรือ ผู้หญิงในโลกนี้ มีผิวพรรณทราม รูปร่างไม่ดี ไม่น่าดู และเหตุใด
    ที่ทำให้บางคนรูปร่าง หน้าตาดี ผิวพรรณงาม

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มักโกรธ ถูกว่าเล็กน้อยก็ขุ่นเคือง มากไปด้วยความโกรธ เมื่อกรรมนั้นให้ผล เมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมทำให้เขามีผิวพรรณทราม มีรูปร่างไม่น่าดู เพราะ
    ผลของกรรม คือ อกุศลรรม คือ ความมักโกรธให้ผล .. ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ไม่มักโกรธ ไม่ขุ่นเคืองง่าย ถูกว่า ก็ไม่โกรธ เมื่อกรรมนี้ให้ผล เมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ทำให้มีรูปร่าง หน้าตาดี มีผิวพรรณงาม เพราะ กุศลกรรม คือ ความไม่มักโกรธ ให้ผล..

    เหตุปัจจัยอีกประการหนึ่ง ที่ทำให้บุคคลบางคนในโลกนี้ มีหน้าตาดี มีรูปร่างดีผิวพรรณดี เพราะกุศลกรรมเช่นกัน คือ ความเป็นผู้รักษาศีล เมื่อ เป็นผู้ประกอบกุศลกรรม คือ การรักษาศีล เมื่อกรรมนี้ให้ผล ย่อมทำให้เป็นผู้มีรูปร่างดี หน้าตาดี ครับ
     
  4. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154


    เอ่อเฮ้อ..ไม่เป็นไรอภัยได้ครับ..เอ่อเฮ้อ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2013
  5. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946


    ขอบพระคุณค่ะท่าน ddman ที่เป็นห่วงเจ้าของกระทู้
    ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าท่านดีดี นอกจากจะมีปัญญาดี แล้วหน้าตาจะต้องงดงามอีกด้วย
     
  6. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    คือผมสงสัยตรงนี้อ่ะครับ หล่อมากหน้าตาดี นิสัยก็ดี แต่ไม่มีเนื้อคู่ ชอบทำบุญ ถือศีล 8 ทุกวันพระ ทำไมเขาไม่แฟนซักที หรืออาจเพราะไม่มีคู่เพราะบุญที่จะมาคู่ไม่ถึง

    ปล.ที่กล่าวมานี่คือผมเองแหละ หลงตัวนิดหน่อย หุหุ
     
  7. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    ...น้องไผ่สุดหล่อ อย่าได้สงสัยเลยว่าตนเองกำลังได้รับอานิสงค์แห่งบุญอันดีปกปักรักษามิให้ตกเป็นเหยื่อของเหล่าสตรีผู้ยังไม่มีบุญรองรับเท่าเทียมเพื่อจะเป็นแม้เพียงคนรักแบบpoppy loveในเวลานี้ของน้อง .. คนมีบุญมากที่จะสมกัน ย่อมมีอยู่ เพียงแต่อาจต้องรอเวลาสักหน่อย ..

    เวลานี้...ขอให้น้องยินดีในในความว่างเบาสบายจาำกภาระที่ต้องคอยรับหรือโทรหากับสาวๆบ้าง เพื่อการแลกเปลี่ยนวจีทุจริต หรือส่งsmsถึงกันเพื่อเพิ่มรายจ่ายอันตนต้องอาศัยจากการทำงานหนักของพ่อแม่..หรือต้องคอยตระเวณหาที่ที่จะไปเพื่อเอาใจเธอ หรือต้องดิ้นรนหาเสื้อผ้าแสนแพงสุดเท่ห์เพื่อมัดใจเธอ..หรือต้องปวดเจ็บในอกเมื่อเธอไม่รับสายหรือตอบsms ปฏิเสธการพบปะ..อันเป็นเหตุให้น้องต้องเข้ามาถามใครๆว่า...ทำไมหนอ..เพราะเหตุใดหนอ...ฯลฯในชุมชนแห่งนี้เพื่อที่ใครๆจะพากันปลอบใจไปต่างๆนานาแต่นั่นก็ไม่ช่วยบรรเทาความคับข้องใจของน้องไปได้.....บัดนี้น้องพึงทราบความมีบุญของตนเองที่ยังไม่ต้องเข้าถึงจุดอับเช่นว่านี้....

    แล้วพึงสดับข้อพระดำรัสตรัสสอนของพระพุทธองค์ผู้ทรงมีพระมหากรุณาอันยิ่งไม่มีใครเทียบได้ดังนี้...


    การแสวง ๒ อย่าง


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย การแสวงหามีสองอย่าง คือ การแสวงหาที่ไม่ประเสริฐอย่างหนึ่ง การแสวงหาที่ประเสริฐอย่างหนึ่ง.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย การแสวงหาที่ไม่ประเสริฐเป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย...คนบางคนในโลกนี้ โดยตนเองเป็นผู้มีชาติเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งมีชาติเป็นธรรมดาอยู่นั่น-
    *แหละ เป็นผู้มีชราเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งมีชราเป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ เป็นผู้มีพยาธิเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งมีพยาธิเป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ เป็นผู้มีมรณะเป็นธรรมดา ยังแสวงหาสิ่งมีมรณะเป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละ เป็นผู้มีโศกเป็นธรรมดา ยังแสวงหาสิ่งมีโศกเป็นธรรมดา
    อยู่นั่นแหละ เป็นผู้มีสังกิเลสเป็นธรรมดา ยังแสวงหาสิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดาอยู่นั่นแหละก็อะไรเรียกว่า สิ่งมีชาติเป็นธรรมดา บุตร ภรรยา ทาสหญิง ทาสชาย แพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง โค
    ม้า ลา ทอง เงิน เรียกว่า สิ่งมีชาติเป็นธรรมดา....ฯ



    ดูกรภิกษุทั้งหลาย การแสวงหาที่ประเสริฐเป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนบางคนในโลกนี้ โดยตนเองเป็นผู้มีชาติเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีชาติเป็นธรรมดา
    ย่อมแสวงหาพระนิพพาน ที่ไม่เกิด หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ โดยตนเองเป็นผู้มี-*ชราเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีชราเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหาพระนิพพาน ที่ไม่แก่ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ โดยตนเองเป็นผู้มีพยาธิเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมี
    พยาธิเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหาพระนิพพาน หาพยาธิมิได้ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ โดยตนเองเป็นผู้มีมรณะเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีมรณะเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหาพระ-*นิพพาน ที่ไม่ตาย หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามีได้ เกษมจากโยคะ โดยตนเองเป็นผู้มีโศกเป็นธรรมดา
    ทราบชัดโทษในสิ่งมีโศกเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหานิพพาน ที่หาโศกมิได้ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ โดยตนเองเป็นผู้มีสังกิเลสเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดา
    ย่อมแสวงหาพระนิพพาน ที่ไม่เศร้าหมอง หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แล คือการแสวงหาที่ประเสริฐ.


    แม้ความหล่อก็ไม่เที่ยง เพราะเกิดจากเหตุปัจจัย ความหล่อมีแล้วย่อมหมดไป ด้วยวิโรธิปัจจัยมากอย่าง เช่น หมดไปด้วยโรคาพาธบ้าง ด้วยอุปัทวะบ้าง ด้วยชราบ้าง กระทั่งด้วยมรณะบ้าง..จึงไม่ควรยึดมั่นในรูปใดๆ ไม่ว่าสวยหรือหล่อ นะน้องไผ่..
     
  8. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154


    ลองเลิกเล่น...ตุ๊กตาหมี..น่าจะดีขึ้นบ้าง.
     
  9. น้องจุ๊บ

    น้องจุ๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    603
    ค่าพลัง:
    +1,303
    ไม่หลงตัวเองหรอกค่ะ อิอิ ดีเกินไป สงสัยสาวๆบุญยังไม่ถึง ต้องรอนางแก้วกัลยา คนที่คู่ควรต่อไป
     
  10. Pukku

    Pukku เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2012
    โพสต์:
    327
    ค่าพลัง:
    +899

    อิอิ สงสัยเนื้อคู่ยังหาพิกัดไม่เจอ คุณกับเขาเลยยังไม่เจอกันอิอิ ใช้ชีวิตโสดให้สนุกแบบดิฉันดีกว่าค่ะอยากไปถือศีล ไปทำบุญ หรืออยากทำอะไรก็ทำได้สบายจะตาย การมีแฟนมันมีอะไรอีกเยอะจะทำอะไรต้องคิดถึงความรู้สึกอีกฝ่ายให้มากๆนะคะ เบื่อเซ็งนักเห็นรูปดอกบัวสีขาวๆไหมคะที่โปรไฟล์ดอกนี้ดิฉันพับเองส่วนดอกชมพูข้างๆก็สอนเพื่อนพับถวายเป็นพุทธบูชาในวันอัฐมีบูชา เนื้อคู่ คนรักเดี๋ยวถึงเวลาเขาก็มาเองค่ะ ทำดีไว้ค่ะเดี๋ยวถึงวันนั้นคุณก็จะเจอคนดีๆเองค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2013
  11. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ขอแย้งเรื่องมหาปุริศหน่อยนึงคะ ตาสีนิล นี้ นิลตามความหมายของบาลีอินเดีย คือ ตาสีฟ้า หรือ สีเขียว นะคะ (แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ชอบตาสีน้ำตาลเข้ม มากที่สุด) ซึ่งชาวโลก ณ ปัจจุบันนี้ที่ ศึกษาเรื่องพระพุทธองค์ก็รูกันเป็นอย่างสากลว่า พระองค์ท่านมีพระเนตรสี ฟ้า หรือ เขียวแม้แต่การ์ตูนชีวประวัติท่านก็ตาสีเขียวเช่นนั้น มีประเทศไทยที่เดียวที่บิดเบือน พระพุทธศาสนาเยอะมาก มาจนถึง การเชื่มโยงว่า สถานที่ต่างๆในพระไตรฯ นั้นเกิดในลาว ในล้านนา


    อยากให้ช่วยเอาบทความหัวข้อ เรื่อง "ทำบุญอย่างไรให้เกิดเป็นผู้ชายมาลง" ให้อ่านหน่อยคะ

    ขอบคุณคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2013
  12. okung3036

    okung3036 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +183
    ถ้าเนื้อคู่บารมีไม่เท่ากันย่อมไม่เจอกันง่ายครับ อย่างผมเองเมื่อก่อนถวิลหามาก หาแฟนจีบใครไม่ค่อยติด พอถึงเวลาจะมาเจอคนที่ใช่ มันก็ง่ายๆเลยไม่ต้องไปปรับตัวอะไรมากมาย และเขาก็เป็นคนชอบทำบุญเหมือนกับผมด้วยครับ
     
  13. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946





    "ขอแย้งเรื่องมหาปุริศหน่อยนึงคะ ตาสีนิล นี้ นิลตามความหมายของบาลีอินเดีย คือ ตาสีฟ้า หรือ สีเขียว นะคะ"

    น่าสนใจมากค่ะ พอจะมีที่มาที่ไปไหมคะ แต่เท่าที่สังเกตุฝรั่งคอเคเชี่ยนที่ฉลาดมากๆ จะมีตาสีเข้มจัดมาก บางคนจัดจนเกือบดำก็มี


    "อยากให้ช่วยเอาบทความหัวข้อ เรื่อง "ทำบุญอย่างไรให้เกิดเป็นผู้ชายมาลง" ให้อ่านหน่อยคะ"

    จัดให้ตามคำขอค่ะ พรุ่งนี้นะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2013
  14. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,946


    นั่นน่ะโชคร้ายแล้วล่ะ

    ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ เคยได้ยินปล่าว

    หุ หุ
     
  15. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    ขอหัวเราะมั่ง หุหุ จะคอยดูคนหัวเราะก่อน หุหุ

    เรื่องอะไรก็ตาม ที่เสี่ยงต่อการปรามาศพระรัตนตรัย เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงนะครับ พี่น้องครับ โทษสูงครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2013
  16. ชีวอน

    ชีวอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +763
    ประทานโทษ ท่าน DuchessFidgette ครับ ที่ท่านพูดว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่บิดเบือนพุทธศาสนา เยอะมาก และเรื่องราวในพระไตรปิฎก เกิดจากลาวและล้านนานั้น ถ้าท่านเข้าใจเช่นนั้นจะเป็นการปรามาส ชาวพุทธในไทยนะครับ เพราะเป็นเพียงความเห็นเดียวจากท่านเท่านั้น ผมเป็นคนไทยนับถือพุทธศาสนา และเชื่อว่าพระไตรปิฎกและสถานที่หลายอย่างมาจากอินเดีย ถ้าจะพูดความเป็นมาแล้วท่านคงน่าจะศึกษามาบ่างแล้ว และที่ว่าบิดเบือนนั้นยังไงครับ เพราะผมดูที่ประเทศอื่น แล้วมาดูแถวแถบประเทศไทยและไทย ผมคิดว่าน่าจะ บิดเบื่อนน้อยสุดแล้วนะครับ ท่านก้อคงรู้ว่า ทิเบต จีน ญีปุ่น เกาหลี เวียนนาม เขมร นั้นศาสนาบ้านเมืองเขาเป็นไง ส่วนว่านักวิชาการทางศาสนาบางพวกไม่ว่าจะพระหรือฆาราวาสนั้น จะว่าอย่างไรเรื่องประวัติหรือเรื่องราวในพระไตรปิฎกนั้นในจะมาไหน อยู่แถบเอเชียอาคเนย์ หรือไม่นั้น ก้อเป็นความเห็นส่วนบุคคลครับ ไม่เกี่ยวกับชาวพุทธในประเทศไทยเลย ส่วนตาของพระพุทธเจ้านั้นจะสีอะไร ผมไม่รู้ครับ และที่ท่านได้ยินมาก้อเป็นเพียงสมมุติฐานตามหลักวิชาการวิทยาศาสตร์ เท่านั้น จะจริงหรือไม่ก้อยังไม่รู้ ลักษณะกายของพระพุทธเจ้านั้นได้มหาบุรุษ32ประการ ตาอาจจะสีดำสนิดเลยก้อเป็นได้ เกิดมาก้อเดินได้7ก้าวนั้นเป็นความจริงเหรอ นั้นก้อเกินวิสัยของพวกเรากันแล้วครับ แต่ที่ผมคิดว่าแน่ๆคือประเทศไทยและแถบประเทศไทยนี้ จะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนา เป็นหลักแหล่งสุดท้ายก่อนจะหมดไปแน่นอนครับ ผิดถูกประการใดบอกกล่าวด้วย เพราะเป็นความคิดเห็นของผมฝ่ายเดียว ขอบคุณที่รับฟัง ขอบคุณครับ
     
  17. Deep Blue

    Deep Blue เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +887
    ความงดงาม แท้จริงไม่มีตัวตน ไม่ใช่ของที่ต้องทำขึ้นใหม่
    แต่เป็นสิ่งที่ได้จากการโละของเสียทิ้งไป

    ของเสียที่ว่า ก็คืออกุศล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2013
  18. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301

    คือ ดิฉันชอบตาสีดำสีน้ำตาลแบบพวกเราทั่วๆไปนี้แหละคะ แต่ขอแย้งเรื่อง ชาวคอร์เคเซี่ยนตาสีดำสนิท คือ จากประสบการณ์ที่อยู่ที่ยุโรปมา และไปเห็นคนชนชาติแปกๆมาหลายที่ แม้แต่คอร์เคเซี่ยน อินเดียดำๆนี้ ให้มายืนเทียบข้างคนไทย ตาเค้าก็ยังเป็นสีน้ำตาลที่มีโทนอ่อนกว่า ยิ่งแขกทางตะวันออกกลาง อย่างอิรักเนี้ย บางคนนี้ัก็แทบแยกจากคนอิตาลี่ไม่ออก ตุรกีบางคนนี้ ก็ คล้ายๆกัสพาร์ด อุลลิเอลว์ พระเอกฝรั่งเศส แต่อาจจะมีขนดกกว่าเล็กน้อย ดิฉันยังไม่เคยเห็นฝรั่ง หรือ แขกที่ตาสีเข้มเท่าคนไทยสักที ยิ่งพวกสแกนดิเนเวีย ที่เขาว่าฉลาดๆ ผิวผมจะซีดมาก หน้าไม่ค่อยคม จมูกเล็กตาลึก แต่โครงหน้าลึก, แม้แต่คนญี่ปุ่นอย่าง ทิต มิซซูโอะ และคนญี่ปุ่นทั่วๆไปเราจะสังเกตเห็นว่า ตาจะสีน้ำตาลอ่อน ออกแอมเบอร์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2013
  19. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301

    ดิฉันไม่อยากพูดปรามาศพระสงฆ์คะ แต่ พระสงฆ์ ที่หลายคนพูดชื่อปุ้บรู้ กลับมีแนวคิดแบบ คุณ เอก อิสโร ที่ กระทู้แกโดนย้ายไปอยู่หลุมดำ ดิฉันก็เลยไม่รู้ว่าจะเชื่อดีหรือไม่ ถ้าอยากทราบว่า ลองไปค้นกระทู้คุณเอกฯ ในหลุมดำดู
     
  20. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    คุณลองดูวิกี้พีเดีย แปลมหาปุริศ ฯ เป็นภาษา อังกฤษดู เค้าเขียนว่า พระเนตรพระองค์สีฟ้าเข้ม 29. deep blue และขนที่ตัว ดก หยักศก 13.Body hair graceful and curly แต่คนไทยพอลองคลิกเวอร์ชั่นไทย คนแปลบิดเบือน ให้เป็น เนตรสีดำ


    Physical characteristics of the Buddha - Wikipedia, the free encyclopedia


    นีละ หรือ นิล ไปถามคนอินเดียที่ไหนดูก็ได้ มันแปลว่าสีฟ้า ทำไมทีอย่างในชาดกที่บอก นางอะไรสักอย่างผิวสีดอกบัวนีลละ ทำไมในชาดกไม่แปลว่าผิวดำเหมือนสีกลีบบัวสีดำไปละ? ดันแปลขาวจนออกอมฟ้า หรือ ขาวอมเหลืองเขียวๆแบบดอกบัว, ในเมื่อพระเนตรสีนีลละยังไปแปลว่าดำเลย? เห็นไหมว่าคนแปลมี ไบแอส
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...