หลงทาง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 3 พฤษภาคม 2013.

  1. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    แวะเวียนโฉบเฉี่ยว เที่ยวไปดูกระทู้ชาวบ้าน เรื่องพระนิพพาน อ่านแล้วก็ให้รู้สึกหวาดเสียว เพราะเที่ยวยกเอาพระสูตรมาอ้างบ้าง เอาคำครูบาอาจารย์มาเผยแพร่แล้วตีความกันไปเองตามประสาผู้ยังหมกอยู่ในกองกิเลศ กองตัณหา ไม่พากันปฏิบัติให้มาก แต่พากันเอาความคิดที่คิดว่าฉลาดแล้ว ไปคิดวิเคราะห์...

    ผมจำเรื่องเต่าคุยกับปลา ที่หลวงพ่อพระธุดงค์ท่านเล่าให้ฟัง...
    จนทุกวันนี้ก็ยังเห็นปลาทั้งหลายถกเถียงกันถึงเรื่องบนบก ที่เต่าเล่าให้ฟังอยู่นั่นเอง...

    ทำให้ย้อนนึกถึงตัวเองในสมัยก่อน ก็เคยนั่งถกเถียงกันเกี่ยวกับนิพพาน จิต สติ สมาธิ ฌาณ สมมุติ วิมุต ปฏิจสมุปบาท ฯลฯ เอาคำสอนของหลวงพ่อ หลวงปู่ มาวิเคราะห์วิจัย ตามกำลังกิเลศ ตัณหา ที่มีอยู่ท่วมหัวใจ...นึกดูแล้วก็น่าขบขัน ปนสมเพช ตัวเองอย่างยิ่ง

    นี่ถ้าไม่ได้ครูบาอาจารย์กำกับ เคี่ยวเข็ญ แล้ว วันนี้ก็คงยังไม่รู้อะไร แล้วยังจะอวดรู้ต่อไป ยังจะถกเถียงกันต่อไป ยังอ้าง พระไตรปิฎกบ้าง อ้างคำครูบาอาจารย์เอาบ้าง แล้ววิเคราะห์เหมารวมลงไปให้ตรงกับความเห็นของกิเลศ ตัณหา ของตัวเองอยู่ดี...

    ยิ่งสมัยนี้แล้ว ศัพท์ใหม่ๆถูกบัญญัติขึ้นมาเยอะ จนต้องไปสืบหาความหมายว่า ผู้บัญญัติต้องการสื่อถึงอะไร ทั้งที่อ่านดูแล้วผู้บัญญัติศัพท์เหล่านี้ก็ไม่ได้บรรลุธรรมอะไรเลย แต่บัญญัติศัพท์ขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเสียมากกว่า...

    พอเมื่อมาศึกษาที่ หลวงปู่ดุลย์ หลวงปู่เทสฯ ท่านสอนไว้นั้น ท่านก็ไม่ได้บัญญัติศัพท์ใดใหม่นอกเหนือไปจากบาลีที่มีอยู่ แต่ก็อธิบายให้เข้าใจได้ เข้าได้ถึงใจ สำหรับผู้ปฏิบัติ เป็นธรรมอันแน่นอน กระจ่างแจ้ง ต่อผู้ปฏิบัติธรรม แต่ย่อมจะสลัวๆมัวๆสำหรับปุถุชนโดยทั่วไปที่ไม่นิยมปฏิบัติ แต่อ่านเอาแล้วใช้สติปัญญาทางโลกคิดวิเคราะห์เอาเอง...
    ให้คิดไปจนโลกแตก ก็คิดไม่ออก ...

    จะบอกว่าทิ้งตำราเสียก่อน แล้วลงมือปฏิบัติอย่างจริงใจ ทำจนชำนิชำนาญเสียแล้ว จึงค่อยกลับมาอ่านเอาอีกครั้งก็ไม่สาย...
    มีหลวงพ่อหลายรูปที่ท่านอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แต่ว่าสามารถบรรลุธรรมได้ ตัวอย่างที่ผมเห็น ก็มีหลวงพ่อเทียน วัดสนามใน...
    แต่ว่าไปก็เท่านั้นเอง เพราะการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องยาวนานนั้นมันเป็นของยาก ยากเสียกว่าการอ่านเอา นึกคิดวิเคราะห์เอา หรือไปจำคำสอนครูบาอาจารย์มาพูดเอา แบบนี้มันง่ายกว่า แต่ว่ามันหาสาระไม่ได้ ไม่มีธรรมะ แม้พูดภาษาธรรมก็ไม่เป็นธรรม กลายเป็นธรรมลวงโลกไปเสีย....

    ทุกวันนี้จึงมีแต่นักท่องตำราแล้วเอามาว่าแข่งกัน...บอกให้ทิ้งตำรามันไม่ยอมเลย กอดเอาไว้แน่น แล้วเอามาพูดระดมใส่กัน...มันจะได้ประโยชน์อะไรก็หาไม่...
    อยากจะบอกความจริงให้ฟัง ไม่รู้ว่าจะเชื่อกันไหมว่า...
    "ถ้าไม่ทิ้งตำรา ก็จะไม่ถึงวิชชา"
     
  2. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    แม่นคุณพี่ระมิงค์
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,053
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    เต่าคุยกับปลา

    ****************************************
    สาธุในธรรมทานค่ะ
     
  4. dm007

    dm007 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +99
    วันนี้ รอท่าน raming หลงทางมาที่ กระทู้นี้ จะได้อ่านเรื่องดีๆกัน
     
  5. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    โชคดี ที่ไม่เก่ง...​


    ผมเชื่อแล้วว่า ไม่เก่ง น่ะดีกว่า...
    พวกที่เขาเก่งๆนั้น เขาฝึกเดี๋ยวเดียว สำเร็จ โน่น นี่ นั่น...ไปกันโน่นแล้ว...จะเลยนิพพานกันเสียอีกแน่ะ...

    ผมเชื่อของผมเป็นการส่วนตัวว่า...ผ่านกึ่งพุทธกาลมาแล้วนั้น จิตใจคนย่อมหมกมุ่นและหมักหมมไปด้วยกิเลส ตัณหา ตัวเดิมนี่แหละ แต่ว่ามันมากกว่า ซับซ้อนกว่า มีทั้ง ไลน์ ทั้งเฟส ทั้งทวิสเตอร์ ไอโฟน ไอแพด ไอมีเสมหะ...มากมายไปหมด...แต่ว่ามันไม่พ้นตัณหา 3 ไปได้ เพียงแต่ว่ามีหลากหลายกว่า ซับซ้อนลึกซึ้งกว่าในครั้งพุทธกาลมากนัก..

    ดังนั้นถ้าจะฝึกกันแบบสบายๆ แล้วสำเร็จได้ง่ายๆ สำหรับตัวผมเองที่ไม่เก่งนั้น ผมไม่เชื่อความสามารถตัวผมเอง...
    ผมว่าหลวงปู่มั่นท่านเก่งนะครับ...เก่งมาก บุญบารมีท่านก็มีมาก...ท่านยังฝึกหนักขนาดนั้น แล้วฝึกตลอดชีวิต...แล้วน้ำหน้าอย่างผมนี่ ถ้าจะฝึกกะย๊องกะแย๊ง...มันจะไปสำเร็จอะไรได้เล่า...
    แล้วแม้ว่าผมจะไปฝึกหนักบ้าง...ก็อาจไม่สำเร็จอะไรเลยก็เป็นได้...ดังนั้น แม้ว่าจะรู้ธรรมเห็นธรรมใดเกิดขึ้น ผมเองก็ระลึกอยู่เสมอว่า เรามันยังไม่เอาไหนหรอก รู้เห็นแค่เท่านี้ มันยังหน้าอายนัก ที่จะเที่ยวไปพูด ไปกล่าว ไปอวดรู้ อวดฉลาดกับเขา...มันยังไม่ใช่...
    ถ้าจะว่าผมจะบรรลุธรรมในชั้นอริยะเจ้านี่ยิ่งแล้วไปใหญ่ แม้มีลักษณะอาการอย่างว่าขึ้นมา ผมก็ไม่หลงไปคิดว่าตัวเองบรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าหรอก...

    แม้ศิษย์รุ่นพี่ว่าผมบรรลุธรรมชั้นนั้น ชั้นนี้แล้ว ผมก็ไม่ขัดนะ แต่ว่าไม่เชื่อ เพราะผมเชื่อว่าการพยากรณ์นั้น มีแต่เพียงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้นที่จะแน่นอน...

    ดังนี้แล้วผมว่าไม่เก่งแหละ ดีแล้ว...มันจะหลง ก็ไม่ค่อยกล้าหลง เพราะรู้สึกว่ามันยังไม่เอาไหนเลย ไม่มีดีจะไปหลงกับเขาด้วยสิ...ก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาฝึกไป...ได้บ้างก็ดี ไม่ได้บ้างก็ดี...

    พอเวลาที่ฌาณ สมาบัติ อภิญญา ทั้งหลายที่ฝึกมาแทบเป็นแทบตาย มันเสื่อม...
    มันเหมือนคนเข็นครกขึ้นภูเขา...ดันมันไปถึงยอดแล้ว...นึกว่ารอดตัวแล้ว...ครกดันกลิ้งกลับมาทับ แล้วก็กลิ้งล่วงลงไป ไถลไปไกลว่าตีนเขาอีกเยอะ...บาดเจ็บสาหัสเพราะโดนครกทับเข้าไปอีก...ยังนึกว่านี่เรามันแย่กว่าคนที่เขาไม่ได้มาฝึกเสียอีก...คนธรรมดาอยู่ตีนเขา...แต่นี่เราเลยตีนเขาไป แถมยังบาดเจ็บเอาอีก...

    แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะว่าเรามันไม่เก่ง...พอถึงเวลาเสื่อม ก็ได้คิดว่า นี่เอง มันไม่เที่ยง ถึงแม้ว่า สมาธิก็ดี ฌาณสมาบัติก็ดี ที่ทำให้เกิดขึ้นได้ยากนี้ ก็ยังเสื่อมได้ ที่เราหลงยึดมั่น ถือมั่นว่าจะเอาให้ได้ ฝึกให้ได้ นี่มันตัณหาทั้งนั้น...ตัณหาฝึกไปกับเราด้วย...ตัวใหญ่ขึ้นเสียด้วย...

    ถ้าฌาณ สมาบัติ อภิญญานี้ ดีจริง ต้องไม่เสื่อม เราฝึกได้มาหลายชาติแล้ว มาเกิดใหม่ทุกทีต้องมาฝึกใหม่ทุกทีไปสิ...
    ว่าแต่ ฌาณ ก็ดี สมาบัติ อภิญญา ทั้งหลายนี้ แม้ว่าจะฝึกด้วยตัณหาก็ตาม แต่ก็ต้องฝึกเอาไว้ รู้ไว้ว่าเป็นเครื่องมือในการก้าวข้ามไป ต้องยึดไว้ แต่ก็อย่าให้มั่น ต้องถือเอาไว้บ้าง แต่ก็อย่าให้มั่น...
    พอมันเสื่อมเข้าจริงๆก็ได้เห็นความจริงว่า นี่ไง...ไม่เที่ยง...เป็นทุกข์...ทนได้ยาก...สุดท้ายก็ต้องสลายหายไป...นี่เรื่องจริง...

    พอว่าเรามันไม่เก่งนี่ มันก็เลยดีที่ว่า ไม่กลัวเสียหน้า ไม่เสียใจ ไม่เสียดาย เพราะคนไม่เก่งนี่นะ มันก็เลยต้องมีเรื่องที่ไม่เอาไหนบ้าง..แต่มันก็ดีเหมือนกัน ได้กลับมาทบทวนใหม่ตั้งกะต้น...ทำมันใหม่ ตั้งหลักกันตั้งกะตีนเขาเลยนะ...เอากันตั้งกะ พุทโธ แล้วนับ 1...ไล่ไปเรื่อย...เหมือนเรียนซ้ำชั้น เรียนซ้ำหลายๆรอบก็ดีเหมือนกันนะ...วิชาแน่นดี...คิดมันซะอย่างงั้น...

    เฮียผมแกชอบอ่านคำสอนครูบาอาจารย์ แล้วเอามานั่งคิด วิเคราะห์ เล่าให้ฟัง...แล้วก็ฝันเพ้อไปว่า นี่ถ้าเราเกิดในครั้งพุทธกาล ได้ฟังเทศน์พระผู้มีพระภาคเจ้าจบเดียว เราคงสำเร็จอรหัตผล เข้านิพพานไปแล้วสินะเนี่ย...

    นี่ทำให้ผมนึกถึงพระอานนท์ ท่านเป็นอัครสาวกที่เป็นเลิศด้านความทรงจำ คือจำได้หมดว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าได้เคยเทศน์เรื่องอะไรไว้ ที่ไหน ใครเป็นคนฟังบ้าง ข้อความทุกอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง...พระอานนท์ท่านอุปฐากพระพุทธเจ้ามากว่า 40 ปี...ท่านบรรลุโสดาบัน...จนกระทั่งพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธุ์เข้าสู่ปรินิพพาน ท่านก็ยังเป็นพระโสดาบัน...ดังนั้นก็อย่าไปคิดหมายเลยว่า การได้ฟังธรรมจากพระผู้มีพระภาคเจ้า จบเดียวแล้วจะบรรลุอรหัตผลได้น่ะ...ตัวอย่างเช่นพระอานนท์นั้นมีอยู่ให้เห็น...

    ผมคุยกับเฮียผมนี่ว่า เราอาจจะโชคดีแล้ว ที่ไม่ได้เกิดในครั้งพุทธกาล เพราะถ้าได้ฟังธรรมจากพระผู้มีพระภาคเจ้า เพียงจบเดียว ไอ้เราสองคนอาจจะได้ลงอเวจีมหานรกซะเดี๋ยวนั้นก็เป็นได้...แล้วนี่ถ้าจะบอกว่าจะรอไปฟังเทศน์จากพระศรีอาริย์ เพียงจบเดียว จะได้บรรลุอรหัตผลนั้น ผมก็ไม่ค่อยเชื่อน้ำยาตัวเองเลยนะ...สู้เอาเวลานี้ เกิดมาเป็นคน มีอาการครบ 32 ได้พบพระพุทธศาสนา ยังมีครูบาอาจารย์ที่เป็นตัวอย่างอยู่ เรามาฝึกฝนกันให้สุดกำลังกันดีกว่า...จะไปรอยุคพระศรีอาริย์ เมื่อไรก็ไม่รู้ แล้วในเวลานั้น เราจะไปเกิดอยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้ เอาว่าแน่ๆ ตอนนี้อยู่ในยุคพระสมณโคดมแล้ว อย่ารีๆรอๆเลยนะ....

    จะว่าไปยุคพระศรีอาริย์นี่ยังไม่มาถึง...แต่ยุค ภาษีอาน เนี่ย มีมาหลายปีแล้วนะ...ใครไปอยู่เขต ภาษีเจริญ ด้วยนี่ ..โอ้..เลยนิ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2013
  6. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ผมเคยเจอศิษย์รุ่นพี่ สองคน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง...สองท่านนี้ปรารถนาพุทธภูมิ...บารมีก็น่าจะใกล้เต็ม ด้วยอธิษฐานมาในยุคสมัยเดียวกับหลวงพ่อฤษี ท่านว่าเกิดอีก 7 ชาติก็เต็มแล้ว...

    ผมสังเกตจริยาท่านทั้งสองนี้ว่า ท่านเหล่านี้ไม่พูดถึงเรื่อง นางแก้ว หรือการอยากได้คู่ครองมากๆ มาร่วมเพศด้วยเลย...
    ท่านไม่คุยอวดเรื่องว่าไปทำบุญที่ไหนมา มากมายเพียงใด...ที่ผมเห็นมาแม้แต่เหรียญที่ท่านเหล่านี้หยอดกระปุกเอาไว้ ท่านก็เอามาทำบุญกับหลวงพ่อฤษี ด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกุศล...
    ท่านทั้งสองนี้จะทรงฌาณตลอดเวลา...และจะเคารพองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นที่สุด แม้ไม่ได้ประกาศออกทางวาจา แต่กริยาที่แสดงออกทั้งหมด ทำไปด้วยความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม และพระอริยะสงฆ์ ทั้งสิ้น...

    ท่านเหล่านี้จะคล่องในกรรมฐาน 40 วิปัสนาฌาณ 9 สติปัฏฐาน 4 ท่านทำกันหมด ทำกันจนคล่อง แต่ว่าไม่ยอมสอน...ถ้าถามเรื่องเหล่านี้ ท่านเหล่านี้จะบอกให้ไปศึกษาเอาจากหลวงพ่อฤษี...

    ท่านเหล่านี้นี่ชอบยิ้ม..ใครด่าก็ยิ้ม ใครชมก็ยิ้ม ใครจะทำดีทำชั่วอย่างไร ท่านก็ยิ้ม...ไม่ว่าอะไรใคร...แต่ก็ไม่สอนอะไรใคร...ทำตัวเหมือนคนปกติธรรมดาทุกอย่าง...ไม่เอาอิทธิฤทธิ์ ไม่เอาปาฏิหารย์ใดๆ ทั้งที่ผมเข้าใจเอาเองว่าพวกนี้มีสิ่งเหล่านี้ครบแล้ว สามารถแสดงได้ แต่ว่าไม่ทำ... ท่านพวกนี้ทำตัวกันธรรมดามาก จนพวกเราเดินชนตายไปหลายคนแล้วก็ยังไม่ค่อยจะรู้ว่านี่พระโพธิสัตว์ อุปบารมีแล้วนะ...

    บางครั้งผมก็เห็นว่าเป็นจุดอ่อนในการเผยแพร่พระศาสนาเหมือนกัน...คือผู้รู้ไม่พูด...แต่ผู้พูดกลับไม่รู้...
    พวกไม่รู้นี่ชอบพูดกันจังนะ...พูดเองก็แล้ว อ้างเอาคำพูดครูบาอาจารย์มาพูดก็แล้ว...จนกระทั่งฝึกฝนไปจนรู้แจ้ง...เห็นจริง...เมื่อนั้นแล้วถึงได้รู้ว่าที่พูดมานั้นผิดหมด...เมื่อรู้แล้วแจ้งแล้วกลับไม่รู้จะพูดอะไร พูดไปทำไม ในที่สุดก็เงียบๆ ยิ้มนิดๆ อยู่เป็นปกติของตัวเอง...

    ไอ้ผมนี่ชอบจะเถียงนะ...ก็รู้แจ้งแล้ว ทำไมท่านไม่สอนล่ะ...
    ท่านว่า คำสอนก็มีหมดแล้ว ต้องลงมือทำเองสิ ทำให้มันจริง มันถึงจะรู้ แล้วแจ้ง ไม่ใช่รู้จำ รู้จัก มันต้องรู้แจ้ง รู้จริง ต้องทำ ต้องฝึก...
    พูดอย่างงี้ใครก็พูดได้นิ...ฝึกไป ฝึกไป...แล้วเมื่อไรมันจะรู้แจ้งล่ะ...
    ท่านก็ว่า ฝึกไปสิ...ฝึกไปก่อน...ไม่ฝึกแล้วจะเอาแต่นั่งคิดนึกสงสัย มันก็ไม่รู้อยู่วันยังค่ำแหละ...

    ความจริงก็จริงของท่านว่านะ ถามไปก็เท่านั้น เถียงไปก็เท่านั้น ไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่ฝึก...ท่านว่า ให้เอาสติตามดูจิต...พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า..."ผู้ใดเพียรตามดูจิต ผู้นั้นจะพ้นทุกข์"

    ฝึกไปจนได้รู้ได้เห็นแล้ว...ท่านก็ว่า เออ...ดีแล้วนะ...ฝึกต่อไป...
    ถึงได้เข้าใจว่าทำไมท่านจึงไม่สอน...เพราะสอนไปอย่างที่เราอยากรู้ บอกให้ตายเรามันก็ไม่รู้ ถ้าไม่ฝึกเอง ทำเอง...ทำไปจนกระทั่งรู้แล้ว ก็รู้แล้วนี่ จะไปถามอะไรอีกล่ะ อย่างมากก็เอามาเทียบเคียงกันว่า ฑิฐินี้ตรงกับที่ผู้รู้ท่านกล่าวไว้หรือไม่เท่านั้นเอง...ท้ายที่สุดเลยไม่ได้พูดกัน...เพราะไม่มีอะไรจะต้องพูดอีก...ผู้มาใหม่เข้ามาฟังมันก็เลยงง เหมือนแต่ก่อนที่ผมงง...หลายๆคนงงแล้วก็ไม่ฝึกไม่ทำต่อ มันก็เลยไปไม่ถึงไหน...จุดอ่อนของการเผยแพร่ก็เลยอยู่ตรงนี้...ผู้รู้แล้วมักไม่พูด ไม่เล่า ไม่สอน...
     
  7. จิตนิพพาน

    จิตนิพพาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +414
    ช่วยดันกระทู้ดีๆ มีสาระ ขึ้นหน้าหลักหน่อยนะครับ 5555
     
  8. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    เวรกรรม...เวรกรรม...เวรกรรม....
    เจ้ากรรมนายเวร...​


    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
    กรรมแหละที่ชักนำสัตว์ให้ก้าวไป
    ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม
    ทำกรรมใดไว้ ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น

    ถ้าเป็นชาวพุทธ เราทุกคนเชื่ออย่างข้างต้นนี้ทั้งนั้นแหละครับ

    ........................................................
    ที่ผ่านๆมาเราทุกคนก็สงสัยเรื่องเหล่านี้กันมาก่อนทั้งนั้นแหละครับ

    - ทำไมทำกรรมดีแล้ว จึงไม่ได้ดี
    - คนทำชั่ว กลับได้ดี รวยเอารวยเอา
    - กรรมเก่าทำอะไรไว้จะไปรู้ได้ยังไง...แล้วทำไมกรรมดีทำไว้ไม่มาสนอง
    - ทำยังไงให้ผลบุญที่ทำไว้ มาสนองซะที หรือต้องรอให้ตายก่อนจึงได้รับบุญ
    ยิ่งทำความดีมากเท่าไร เหมือนจะยิ่งได้รับทุกข์ยากลำบากมากขึ้นเท่านั้น คือยิ่งทำดียิ่งลำบาก
    .........................


    พวกเราทั้งหลายก็คงอยากรู้ว่า...


    - เจ้ากรรมนายเวรที่เคยทำไว้ จะขออโหสิกรรมกันอย่างไร
    - เมื่อได้รับการอโหสิกรรมจากเจ้ากรรมนายเวรแล้วจะไม่ต้องชดใช้กรรมนั้นอีกใช่ไหม
    - ถ้าเจ้ากรรมนายเวรไม่อโหสิกรรมจะทำยังไง
    - แล้วพวกเจ้ากรรมนายเวรนี่ไม่ไปผุดไปเกิดไปลงนรกขึ้นสวรรค์บ้างเหรอ จะมาตามจองเวรจองกรรมเราอยู่ได้ ยมฑูตไปอยู่ไหนไม่ไปจับตัวไปลงนรกซะทีล่ะ
    - แล้วคนที่ทำกรรมกับเจ้ากรรมนายเวรรายนี้ไว้มีตั้งหลายรายทำไมไม่ไปตามจัดการคนอื่นก่อนมาเฝ้าจ้องแต่เราคนเดียวทำไม...หรือว่าแยกร่างได้จะได้ตามไปหาทุกรายที่เคยทำกรรมกับเจ้าเอาไว้....
    ....................................


    แล้วเคยคิดบ้างไหมว่า...
    - เราเองไม่ได้เคยคิดว่าจะเข่นฆ่าทำร้ายทำลายใครเลย ถ้าเจ้ากรรมนายเวรพวกนี้ที่เราเคยเข่นฆ่าไว้ ไม่สมควรตายเราก็คงไม่ฆ่าให้ตายหรอกนะ ควรจะคิดเสียบ้างว่าตัวเองเคยทำอะไรไว้ และมันสมควรต้องตาย ไม่ใช่จะมาคอยแต่เห็นว่าเราเป็นฝ่ายผิดอยู่ฝ่ายเดียว...
    - จะแก้มือ หรือเอาคืนจากเจ้ากรรมนายเวรพวกนี้ได้อย่างไรนะ จะปล่อยให้มันทำเราฝ่ายเดียวอย่างนี้ได้ยังไง
    - อุทิศส่วนกุศลทุกอย่างไปให้แล้ว เจ้ากรรมนายเวรก็ไม่ยอมปล่อย คอยกลั่นแกล้งอยู่เรื่อย จะมีอะไรไหมที่เจ้ากรรมนายเวรพวกนี้กลัว
    - อยากจะขู่พวกเจ้ากรรมนายเวรนี้ ให้สำนึกบ้าง ว่าก่อนที่จะโดนเราทำร้าย ให้ย้อนไปดูอีกชาติก่อนหน้านั้น แกก็ทำร้ายเรามาก่อนไม่ใช่เหรอ มันก็เป็นวัฏฏะจักรอยู่อย่างนี้แหละ จะมาจองเวรกันอีก ทำเราชาตินี้ได้ ชาติหน้าเราก็ต้องมาเอาคืนแกอีกนั่นแหละ...เอาไหมล่ะ
    - จะหลอกเจ้ากรรมนายเวรพวกนี้ได้อย่างไร?
    - จะปฏิวัติเจ้ากรรมนายเวร เอาพวกนี้มาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร?
    .........

    เครดิตรูปจากลุงหมาน...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    วันเวลาที่ฝึกฝนมา สิ่งที่ผมอยากรู้คือ วิบากกรรม...มันเริ่มตั้งแต่การถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ เราถูกอะไรสักอย่างกำหนดไว้แล้ว ใครคนนั้นคือใคร...
    พระเจ้า...เขาเป็นใคร ทำไมถึงมีสิทธิมาสร้างเราให้เป็นแบบโน้น แบบนี่ ทำให้บางคนเป็นคนพิการซ้ำซ้อน บางคนถูกซ้อม ถูกข่มขืน ทรมาน จนตาย...ถ้าเป็นพระแม่องค์ธรรม หรืออนุตรธรรมมารดา เป็นคนสร้าง ท่านก็มีจิตใจโหดร้ายเกินไป...ถ้าเป็นพระพรหมลิขิต ลิขิตเสร็จแล้วหลับต่อ...ผมขอสัญญาว่า ถ้าผมเจอว่าใครเป็นคนสร้างผมขึ้นมาให้ต้องมีชีวิตแบบนี้ ตายไปเจอเข้า ผมจะกระโดดถีบสองเท้า แล้วเตะให้ขาด 3 ท่อน จะได้ไม่มายุ่งไม่มาสร้าง สิ่งมีชีวิตใดๆ แล้วเที่ยวทำให้ทุกชีวิตต้องประสบความทุกข์ ความคับแค้นใจ ความสูญเสียเช่นนี้อีก...


    เมื่อเข้าไปค้นคว้าลึกลงไป ก็เห็นว่าเป็นกรรมนี่เองที่กำหนดเอาไว้แล้ว และไม่ใช่กำหนดแต่เราเพียงผู้เดียว แต่กำหนดไว้แล้วทุกผู้ทุกนาม ไปเกิด ณ ที่ใด เวลาใด ต้องพบปะกับผู้ใด เกี่ยวพันซับซ้อนก้าวก่ายกันไปเหมือนก้อนด้ายที่พันกันยุ่งเหยิง...

    20กว่าปีที่ค่อยๆพิจารณาไล่ดูไปอย่างเงียบๆคนเดียว เพื่อเฝ้าดูความเป็นไป และหาทางหนีทีไล่ ไม่ให้ต้องติดกับดักตามกฎของกรรม...แหละหนทางเดียวที่จะพ้นไปจากเจ้ากรรมนายเวรเหล่านี้คือ การเข้าสู่นิพพาน...ซึ่งคือการดับไม่มีเชื้อ...หนทางอื่นแม้หลีกเลี่ยงได้ก็เป็นเพียงชั่วคราว...หากแต่นิพพานที่ผมตั้งใจไว้นั้น คงเป็นนิพพานที่ไม่ได้มีการแข่งขันกันเรื่องรัศมีกายใครจะสวยกว่ากัน หรือว่าวิมานใครจะใหญ่กว่ากัน นิพพานแบบนั้น ผมขอไม่ไปด้วย...เป้าหมายที่ผมทำความเพียรจะไปให้ถึง เป็นนิพพานที่ปราศจากกิเลสอย่างสิ้นเชิง ความอยากได้อยากมีอยากเป็น ของตัณหาไม่มีอีก ความทุกข์ ความไม่เที่ยง ไม่มีอีกต่อไป เป็นการสิ้นไปอย่างไม่เหลือเชื้ออีก...หนทางในการทำความเพียร คือ มรรค 8 สติปัฎฐาน 4 ที่ผมพิสูจน์แล้วว่าเป็นธรรมที่มีอยู่จริง และให้ผลได้จริง....

    แต่ระหว่างทางที่จะก้าวเดินไปนั้น เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย และวิบากกรรมต่างๆที่จะคอยขัดขวาง เขาจะทำอย่างไรกับเราบ้าง...แล้วเราล่ะจะทำอย่างไรได้บ้าง...
     
  10. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    เคยค่ะ

    แล้วก็เคยอธิษฐานจิต ยาวเหยียด ไปยัง เจ้ากรรมนายเวร
    ทั้งนั้นว่า
    เพราะว่า ข้าน้อย หลงตัวเองนิดหน่อย
    จึงคิดว่า อยู่ดีๆ เราจะไปฆ่าเจ้ากรรมนายเวร ทำไม มันก็ต้องมีเหตุ
    เช่นว่า
    เป็นกรรม ของคุณเองนะ ถ้าคุณเจ้ากรรมนายเวร ดีเพียบพร้อม ไม่เคยทำร้ายใครมาก่อน
    จะถูกวิบากกรรมซ้ำซ้อน มาให้เราทำร้าย ได้ อย่างไร
    หรือ คุณเจ้ากรรมยนายเวร อาจจะ กระจอก ระลึกชาติไปได้ไม่กี่ชาติ คือชาติที่ถูกเราทำร้ายมา เท่านั้นเอง
    แต่ชาติที่คุณเจ้ากรรมนายเวร ทำร้าย ดิชั้นล่ะ ทำร้ายสรรพสัตว์ มากมายเหลือคณานับล่ะ เคยสำนึกบ้างไหม (คุณมีหัวใจรึป่าว)

    และสำหรับ ตอนนี้ ข้าน้อยสารภาพว่า จำไรในชาติก่อนๆ ไม่ได้เลย
    ดังนั้น จึงขออโหสิกรรมให้เจ้ากรรมนายเวร และ คนที่ข้าพเจ้าไปเป็นเจ้ากรรมนายเวรเขา (คือลูกหนี้กรรมเราเองด้วย) ทั้งสิ้น ทั้งปวงเช่นกัน

    และ ขอให้เจ้ากรรมนายเวร ได้ฉุกคิดเล็กน้อยว่า การตาม ลูกหนี้กรรมเช่นข้าน้อย(ซึ่งนัยหนึ่งก่อนขะโน้นอาจเป็นเจ้ากรรมนายเวร ของลูกหนี้ดังกล่าวเช่นกัน)
    เป็นเรื่องที่
    เสียเวลา ในการทำเรื่องดีๆให้ตนเองอย่างยิ่ง
    เสียอารมณ์ มาตามที่ที่ไม่เราไม่รักไม่ชอบใจอย่างยิ่ง
    เพราะการมาดลให้เราเจ็บป่วยล้มตายนั้น ถึงไม่มี เจ้ากรรมนายเวร ข้าน้อยก็เกิดเองตายเอง เป็นปัตจัตตังอยู่แล้ว
    จะมาดลใจให้เราหลงผิด เรายังไม่บรรลุธรรมก็สามารถหน้ามืดตามัวได้เองอยู่แล้ว

    ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ จึงขอให้ใครก็ตามที่จองเวรข้าน้อยอยู่คิดพิจารณาให้จงดี
    อย่าได้เป็นห่วงกังวล ในข้าน้อยเลย ขอให้ท่านอยู่ดีมีสุขเถิด


    พอคิดอธิษฐานในใจ เช่นนี้แล้ว ข้าน้อยก็สบายใจ (สบายใจไปเอง)
    พอใครมาคิดร้ายทำลายขวัญ ทำให้เรารำคาญ ข้าน้อย ก็ปลงว่า เราซวยเอง
    หรือถ้าเราเผลอไปทำชาวบ้านเดือดร้อน เราก็คิดว่า โถ ก็กรรมเค้าเอง ที่บังคับเรา ทำให้ซวยไปเอง เป็นต้น
     
  11. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    มาช่วยดันกระทู้ครับ

    เล่าต่อได้เลยครับ สาระจากมันสมองประสบการณ์ชีวิต สาระธรรมเราอยากศึกษา

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2013
  12. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    40 ปีที่ฝึกฝนมา ค้นคว้า เกี่ยวกับเรื่องของกรรม...ของกรรมฐาน...ให้เห็นกฎของกรรม ที่ว่าซับซ้อนนั้น ซับซ้อนอย่างไร...เอาชีวิตเข้าแลก...เอาทุกข์ทรมานและความวิบัติฉิบหายทั้งชีวิต แลกกันมา กว่าจะพอเห็นช่องเห็นทางอยู่รำไร...กว่าจะสิ้นสงสัยในบางประการ มันยากแสนเข็ญ ... อยากจะบอกว่า เรื่องการยอมตายนี่มันยังน้อยไปสำหรับผู้หวังความเจริญภาวนา...ครั้นจะพิมพ์เล่าออกมา ปัญญาที่จะแปลและสื่อสารออกมาเป็นภาษาให้ได้นั้น ยังมีน้อยอยู่ ต้องค่อยๆเรียบเรียง บางครั้งภาษาก็ไม่ประติดประต่อ...ไม่ได้ก็อปมาจากไหน แต่ธรรมแท้ๆนั้น ต้องออกมาจากใจ และเมื่อธรรมถึงธรรมแล้วจะเหมือนกัน ไม่ว่าชนชาติเชื้อชาติภาษาใดๆ จะเห็นเหมือนกัน แต่บรรยายออกมาด้วยสำนวนภาษาอาจจะต่างกัน...ดังนั้นเวลาจะเล่าออกมาก็จะช้า...

    บางเรื่องเมื่อเข้าไปรู้แล้ว ก็ยังเข้าไปตรวจสอบซ้ำๆ กับเรื่องกฎของกรรม ซึ่งบ่อยครั้งก็ไม่เหมือนอย่างที่ตำราเล่ากันมา...ต่อเมื่อไปกราบเรียนครูบาอาจารย์ท่านจึงยืนยันว่าใช่ เป็นเช่นนั้นเอง บางครั้งการยืนยันของท่านก็เป็นการแสดงให้ดู ไม่ได้พูดออกมาเป็นวาจา...เนื่องเพราะการกล่าวออกมาเป็นวาจา กลับจะเกิดโทษกับท่านเองก็มี ถ้าโง่ไปถามเพื่อให้ท่านยืนยันเข้าก็จะโดนด่าตะเพิดว่า รู้ก็รู้อยู่แล้ว จะพูดทำไม...

    ดังนั้นเรื่องแบบนี้แปลงเป็นภาษาค่อนข้างจะยาก...จึงบางครั้งจะช้าหน่อย...ปล่อยกระทู้ตกไปบ้างก็เอาเหอะนะ...เราไปของเราแบบเนิบๆก็แล้วกัน...
     
  13. suwipha satraphai

    suwipha satraphai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +461
    หลงทางมาหลายปีแล้ว กว่าจะเริ่มต้นเรียนรู้ รออ่านสาระธรรมะค่ะ
     
  14. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    ติงเองก็หลงทางมากี่อสงไขยแล้วก็ไม่ทราบค่ะ
    แม้ปัจจุบันก็ยังหลง...
    เฝ้าแวะเวียนมาอ่านพระทู้ของท่านพี่ระมิงค์ด้วยความเคารพ

    ...
    ปราชญ์ท่านว่ารู้ใดไหนเล่าเท่ารู้ตน
    หลงใดไหนเล่าเท่าหลงตน
    ...

     
  15. tumdidi

    tumdidi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +419
    เดินหลงทางบ้างถูกทางบ้าง ค่อยๆเดินไปไม่ย่อท้อสักวันคงถึงปลายทาง
     
  16. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    เค้าหลงทาง ต้วมเตี้ยม ตามหลังครูติงอยู่ไกลลิบเลยค่ะ
     
  17. suwipha satraphai

    suwipha satraphai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +461
    เฝ้าแวะเวียนมารออ่าน ท่านพี่หายไปไหนนะ ปูเสื่อรอกันอยู่ค่ะ
     
  18. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    ว้าว! ไม่โดดเดี่ยวเดียวดายแล้ว ^^
    pegaojung...เราจับมือกันไว้นะคะ
    ค่อยๆเดิน รอบคอบ ระมัดระวังค่ะ
     
  19. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    รอ ฉันรอเธออยู่ แต่ไม่รู้เธออยู่หนใด เธอจะมา เธอจะมาเมื่อไหร่ เธอจะมา เธอจะมาเมื่อไหร่ นัดฉันไว้ ทำไมไม่มา
    ฉันเป็นห่วง ฉันเป็นห่วงตัวเธอ อย่าให้ฉันเก้อ ชะเง้อคอยหา นัดไว้ทำไม่มา นัดไว้ทำไม่มา โอ้เธอจ๋า อย่าช้าเร็วไว
    รีบหน่อย รีบหน่อย รีบหน่อย
    เร่งหน่อย เร่งหน่อย เร่งหน่อย
     
  20. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    รับทราบครับผม...

    ไปๆมาๆเนี่ย ผมก็รู้สึกว่า คนเราที่ฝึกฝนกันมา ต่างๆกันนั้น จะมีความถนัดไปกันคนละอย่าง ที่จะมีความชำนาญทุกอย่าง นอกจากพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ยังไม่เห็นองค์อื่นที่ทำได้ครบ...

    เรื่องที่ผมต้องเกิดมาแล้วฝึกฝนกันทันทีตั้งแต่เริ่มจำความได้นั้น มาพิจารณาดูแล้ว ไม่ใช่ว่าจะดีนะ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องน่าจะภูมิใจเลย จริงๆแล้วจะเป็นเรื่องหน้าโง่เสียมากกว่า ที่ว่าอย่างนี้เพราะว่า คนที่เขาฝึกทีหลัง ใช้เวลาน้อยกว่า ก็ทำความสำเร็จให้เกิดได้ นี่สิ ฉลาด...

    ที่ฝึกตั้งแต่เล็กนี่มันหลงทางตลอด มันจะดีได้อย่างไร แสดงว่ามันโง่มากเท่านั้นเอง...
    ไปเที่ยวส่องดู ก็เห็นว่า เจ้ากรรมนายเวรนี่เอง ผลักดันให้เราต้องมาเป็นคนหน้าโง่แบบนี้
    บวกกับคำอธิษฐานว่าจะขอมาฝึกฝนบำเพ็ญบารมี ทีนี้ถ้ามันเก่ง ถ้ามันพร้อม และมันสบาย มันจะสร้างบารมีได้อย่างไร มันก็เลยต้อง ลำบาก+โง่ = พยายาม+อดทน

    พี่ชายผมเคยเล่าให้ฟังว่า พวกที่อธิษฐานบารมีเป็นวิริยาธิกะ พวกนี้โง่...จึงต้องใช้เวลานาน สำเร็จช้า...
    พวกปัญญาธิกะนี่สิ ฉลาด ก็เพราะฉลาดถึงได้ใช้เวลาในการบรรลุธรรมน้อยกว่า...
    ผมมาคิดดูก็ว่า น่าจะจริงเหมือนกันนะ...

    แล้วตั้งแต่พอจะจำความได้นี่ ผมก็โดนทั้งเจ้ากรรมนายเวรเล่นงาน...มีทั้งที่อธิษฐานเองไว้ในอดีตเพื่อจะบำเพ็ญบารมีอย่างเข้มข้น ก็เข้ากำกับ...มีที่ก่อนจะลงมาเกิด ฝากฝังพรรคพวกไว้ว่า เฮ้ย...ช่วยกันกระหนาบหน่อยนะ ไม่งั้นมันจะหลงระเริง..พรรคพวกนี่ก็มีความซื่อตรงมาก บางทีก็มากไป ไม่เข้าใจว่า การมีกายเนื้อนี่มันกระทบกระทั่งก็เลือดตกยางออกนะ...

    พอจะตั้งหลักได้นี่ผมก็ไปค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องกฎของกรรม เรื่องเจ้ากรรมนายเวร ยิ่งลงลึกเท่าไร ก็ยิ่งไม่กล้าเล่าให้ใครฟังมากเข้าไปอีก เนื่องจากกำลังใจของแต่ละคนไม่เท่ากัน ซี้ซั๊วเล่าไป กำลังใจจะตกกันไปเปล่าๆ... รวมถึงตัวคนเล่าก็จะพลอยซวยไปด้วย เพราะเล่าไปให้กับคนที่ยังไปไม่ถึงเวลาจะรู้...

    ยกตัวอย่างเช่น เรื่องการทำแท้ง...สังเกตไหมว่ามีคนออกมาทำมาหากินกับเรื่องนี้มาก ปั้นเป็นรูปเด็ก มีหาบเงิน หาบทอง มีพิธีกรรมประหลาดๆ เพื่อให้คนที่เคยทำแท้งไปเสียเงินกันมากๆ...แต่ว่าเจ้าพิธีท่านไม่ได้ทิพยจักขุญาณหรอก ท่านว่าของท่านไป ได้ตังค์เข้ากระเป๋า หากินกับคนที่เขาทุกข์ร้อนใจ....

    เคยได้ยินคนไปทำกี๊ฟ เพราะว่าอยากมีลูกมาก แต่ว่ามีไม่ได้ไหม...เสียเงินกันเป็นแสนๆ หลายแสนบาท...ทำไมวิญญาณเหล่านี้ไม่ไปเกิดในท้องของคนเหล่านั้น คนที่มีหลักฐานฐานะ มีความพร้อม...ทำไมต้องมาเกิดในท้องของคนที่ยังไม่พร้อมจะมีลูก แล้วต้องให้มาถูกทำให้ตายตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลก...มีจำนวนไม่น้อยที่เป็นกรรมของวิญญาณนั้นๆที่ต้องชดใช้จากโทษของปาณาติบาทที่ตนเคยทำไว้ แต่เรื่องพวกนี้ไม่มีใครบอก เพราะบอกแล้วหมดช่องทางทำมาหากิน...

    พวกนี้ต้องตายตั้งแต่ในท้องอยู่หลายครั้ง จนเมื่อเกิดมาเป็นทารก ก็ตาย คือตายตั้งแต่เป็นทารก อยู่อีกหลายครั้ง จนมาเกิด โตมาเป็นเด็ก มีอันต้องตายอีกหลายครั้งด้วยกัน กว่าจะเกิดมาโตเป็นผู้ใหญ่ มีโรคมาก ตายก่อนวัยอันสมควรไปเป็นสัมภเวสี

    ที่เล่ามาตั้งแต่โดนทำแท้งจนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่มีโรคมากและตายก่อนวัยอันสมควรเนี่ยแค่เศษของกรรมจากโทษปาณาติบาต...เห็นแบบนี้แล้วอย่าไปละเมิดศีลข้อ 1 เลยดีกว่านะ..

    ถามว่าคนทำแท้งบาปไหม...ก็บาป...แต่เด็กที่ถูกทำแท้ง ถ้าไม่มีกฎของกรรมมาบีบเอาไว้ เขาไปเกิดในท้องคนที่พร้อมกว่า ไม่ต้องไปเสียค่าทำกี๊ฟ ชีวิตจะสุขสบายด้วยซ้ำไป แต่เพราะกรรมของเด็กเองก็มีส่วนอยู่ด้วย....

    ส่วนวิธีแก้ไข ผมชอบหลอกคนพวกนี้ครับ ผมชอบหลอกให้ไปเข้ากรรมฐาน แล้วพยายามฝึกให้ได้ทิพยจักขุญาณ จะได้ไปคุยกับวิญญาณเหล่านี้ เพื่อร่วมกันแก้ไขไปด้วยกัน...
    พอได้ทิพยจักขุญาณแล้วคุยง่ายแล้วครับ แถมเวลาเกิดเรื่องอื่นๆตามมาที่ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวรก็รู้ได้ด้วยตนเอง จะได้ไม่เผลอไปโทษแต่เจ้ากรรมนายเวรไปเสียทุกเรื่อง...แล้วก็ไม่ต้องไปเสียเงินค่าไถ่บาป ซื้อบุญ ต่างๆจากนักพิธีกรรมทั้งหลายด้วยครับ...

    นี่เล่าไปจะงานงอกหรือเปล่าเนี่ย...ไปขัดขวางช่องทางทำมาหากินของหลายๆท่าน เดี๋ยวระเบิดจะลงกระทู้...เป็นเล่นไปนะ เงินบริจาคเพื่อพิธีกรรมเหล่านี้แต่ละครั้งนี่หลายๆล้านบาททีเดียวนะครับ...อะไรจะเงินดีไปกว่าหากินกับศรัทธาคนล่ะ..ว่าไหม?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...