สติรับรู้ และ การวางอุเบกขา ไม่ใช่ที่สุดของการหลุดพ้นได้จริง ดอก ชยุต

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย phudit999, 8 สิงหาคม 2013.

  1. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    ดูแต่หน้า ไม่รู้ใจ

    แม้แต่ ใจตนเอง แสดงแต่เรื่องแอบ ๆ
     
  2. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    ก่ คล้ายกับกลุ่มคน ในบางศาสนา

    ทุกตัวตนในนั้น มี ปิศาจ ประจำขันธ์ ดำรงอยู่

    คอยกลืนกินทุกสิ่ง ที่กายเนื้อ ปฎิบัติธรรม

    ดูเหมือนมี ธรรม แต่ภายใน เป็นปิศาจ

    ------------------------------------
    ใครที่เข้าใกล้ หรือสัมผัส กับกลุ่มคนเหล่านั้น

    ก่ จะติดเชื้อของ ปิศาจ เหล่า นั้น

    ก่ เหมือนกับ คำโบราณที่ห้าม คบคนให้ถูก

    การคบคนผิด จะทำให้เกิดโรคภัย มาถึงตัวเอง

    อาทิ โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ

    โรคเหล่านี้ มีสาเหตุ มาจากการคบคนผิด

    ---------------------------------

    สรุป คือ รู้หน้า แต่ไม่รู้ภายในแท้ของคน คืออะไร
    คบคนผิดคิดจนตัวตาย ก่ ไม่รู้สาเหตุ ของความผิดปกติ ของตนเอง
    ----------------------------------------------------------'

    เพราะผู้แพร่เชื้อ ยังไม่รู้ว่า ตนเองเป็นสาเหตุ ของการแพร่ระบาด
    ทำให้ผู้อื่นผิดปกติ

    ทุกสิ่งเป็นคลื่น

    คลื่นที่แรง ย่อมจะกลืน และแปรสภาพของ คลื่นที่มีกำลังอ่อน กว่า

    เมื่อไปสัมผัส ใกล้ ๆ นาน ๆ

    ก่ เหมือนกับคนบางคน เป็นพยาบาลรักษาคนไข้เป็นโรคผิดปกติ เวลา นานๆ
    สุดท้าย ตนเองเป็นโรคตามคนไข้

    ไม่ใช่เกิดจากกรรม
    แต่เป็นผลมาจากการสัมผัส
    กับคนที่ผิดปกติ ประเภทเดียวกันเวลานานๆ

    จึงมีผลให้ตนเองป่วยเป็นโรค คล้ายคนไข้ที่มารักษา

    คบคนผิด คิดจนตัวตาย ..... ก่ ต้องเป็นแบบนี้

    คนใน พลังจิต เมื่อก่อน ก่ ดี แต่พอนานๆ มาก ก่ จะไม่ดี
    เพราะอะไร ...... เพราะมีกำลัง อ่อน ....

    สามารถดูเป็นตัวอย่างได้ เช่น ax...... เมื่อก่อนก่ ดี

    แต่เดี๋ยวนี้ ไม่ดีแล้ว

    กายใน หนี ไปจากกายแล้ว และ ไม่ใช่ตัวตนแต่กำเนิด

    มาครอบครองขันธ์ ..... ที่มีหน้ามาอหังการได้ รู้สึกว่า

    ตัวตนไม่ตาย ...... ก่ เป็นเรื่องธรรมดา

    ดังนั้น จะทำอะไร ก่ ควรระมัดระวัง ตนให้ดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2013
  3. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    ผมเป็นรามสูรอะ รู้จักอ่ะป่าว อสูรรูปงาม น่ากลัวไหม โกรธขึ้นมาเดี๋ยวพ่อจับฟาดขาดสองท่อนเลย หรือว่าอยากจะลองขวานรามสูรดูบ้าง นี่พูดเล่นนะอย่าไปจริงจัง
    จิตน่ะมันหลอกตัวเอง ถ้าคิดว่าดีมันก็จะดี ถ้าคิดว่าไม่ดี มันจะดีไปได้ยังไง ผมว่าถ้าคุณไม่รู้จักปล่อยวาง ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะเกิดขึ้นกับคุณเองนั่นแหล่ะ อย่าปล่อยให้ความกลัวครอบงำจิต เพราะมันจะทำให้คุณหลง มันคงเจ็บปวดทรมาณมากสำหรับคนบางคนที่รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีอะไรจริงเลย แต่อยากให้คุณทำใจยอมรับมันซะเถอะ แล้วคุณจะอยู่กับมันอย่างมีความสุขได้หรืออย่างน้อยมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของการค้นหาความจริงสำหรับตัวของคุณเอง
     
  4. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    เมื่อ รู้สึกตนเองเป็นมนุษย์ ที่ ธรรมดา
    จึงจะเป็น มนุษย์ที่สามารถ พัฒนาต่อยอดได้

    และเมื่อรู้สึกว่าตนเอง เป็นมนุษย์ที่ไม่ธรรมดา
    คล้ายกับว่ามีพลัง พิเศษเหนือมนุษย์ ไม่มีหนทางจะพัฒนาได้

    ต่อไปนี้ ก่ จะรู้สึกถึงความเป็นธรรมดา มากขึ้น

    ขอให้สนุก กับการเลื่อนระดับ
     
  5. action_jai

    action_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2007
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +241
    ท่าน phudit
    ...ข้าพเจ้าขอขอบคุณในคำชี้แนะและเมตตาจิตของท่าน

    แต่จากประสบการณ์ทางจิตของข้าพเจ้านั้น มีทั้งแบบประคองสติ และวางสติ (นอกตำรา)
    ข้าพเจ้าพบว่า การประคองสติ เพื่อให้เกิดปัญญา นั้น...เมื่อเกิดปัญญา จึงนำปัญญาที่ได้ไปอบรมจิตอีกทีหนึ่ง...เพื่อให้จิตเข้าใจถึงต้นเหตุแห่งทุกข์ (อุปทานที่ยึดอยู่) แล้วเกิดความหน่ายในการสร้างเหตุแห่งทุกข์อันนั้น (ขณะที่จิตหน่ายนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นสภาวะนิโรธ เพราะจิตบริสุทธิ์จากทุกข์ไปชั่วขณะหนึ่ง) และภายหลังจากจิตออกจากสภาวะนิโรธนี้แล้ว ก็จะเกิดปัญญาอีกขั้นหนึ่ง จากประสบการณ์โดยตรงที่เกิดขึ้นกับจิต...
    ...กับการปฏิบัตินอกตำรา ไม่พยายามประคองสติ...เมื่อเกิดทุกข์ ไม่ทำอะไร ไม่คิด เพียงแค่เฝ้ามองมันเฉยๆ ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น กฏแห่งไตรลักษณ์ก็ประจักษ์ให้เห็น โดยไม่มีตัวตน เข้าไปเกี่ยวข้อง ...พบว่า แท้จริงแล้ว ทุกอย่างแค่สิ่งสมมติ แม้กระทั่งตัวเราเอง ...เมื่อเริ่มคิดว่ามีตัวเรา จึงเกิดทุกข์ขึ้นแก่เรา แล้วเราเองก็เป็นผู้ดิ้นรน ผลักไสทุกข์ จึงต้องทะกข์สองชั้นสามชั้น...หากเป็นเพียงแค่ผู้เฝ้ามอง เห็นสิ่งสมมติที่เกิดขึ้นตามสภาวะแท้จริงของมันอย่างตรงไปตรงมา ไม่ดัดแปลงธรรมชาติของมัน...จะพบความว่างที่ไม่มีชื่อเรียก และบรรยายเป็นฎ้อยคำไม่ได้จริงๆ ...

    ...ที่กล่าวมานี้ มิใช่สิ่งที่ข้าพเจ้าจะเห็นในทุกขณะ และข้าพเจ้าก็มิได้ต้องการที่จะคงมันไว้ไม่ให้เสื่อม...เพราะไม่มีอะไรอยู่นอกเหนือ ความเป็นอนัตตา... เมื่อใดที่เห็นก็เห็น เมื่อใดไม่เห็นก็ไม่เห็น....แต่สิ่งที่เห็นแล้วก็คือเห็นแล้ว...ไม่มีถูกไม่มีผิด มีแต่จะลึกซึ้งขึ้นไปทุกขณะแก่จิตนี้....
     
  6. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    เหมือนกระแสน้ำไหล มันมาแล้ว ก่ ปล่อยให้มันผ่านไป
    การพัฒนาตนเอง จะเกิดขึ้นอีก แต่จะไม่เหมือนเดิม ที่เคยผ่านมา

    ไม่ต้องมีสติ อะไรมากมาย แค่รับรู้ ตามธรรมชาติ
    รู้ทั้งนอกสภาวะ และ ในสภาวะที่รับรู้

    ในขอบเขตที่ นิ่ง

    คือ ไม่รุกล้ำ เพื่อที่จะรู้มากขึ้น
    และ ไม่หย่อน เพื่อปิดสภาวะ รับรู้

    และเมื่อรู้ ก่ ปล่อยไปอีก

    และเมื่อมีรู้ใหม่ ก่ รับรู้ แบบ นิ่งๆ อย่างนั้น ไม่รุกคืบ หรือหย่อน

    การรุกคืบ เพื่อรู้เพิ่ม คือ ขาดความพอดีทันที

    นี่ล่ะคือการประยุกต์ ธรรมปฏิบัติ

    เรียนจากธรรมชาติ

    เท่านั้น

    จึงจะดี

    หาก เอาสติ ไปนั่งพิจารณา ก่ จะได้พบแต่เรื่อง ปลอมๆ

    ไม่แจ่มใส
     
  7. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    การสร้างสติ ให้เกิดขึ้น นั่นล่ะ คือเครื่องอุปสรรค ของการเข้าถึงธรรมชาติ

    สติ คือเครืองถ่วง ของการพัฒนา ตนเอง

    หากใครได้พิสูจน์ การพัฒนาตนเอง โดยรับรู้สภาวะของธรรมชาติ

    ก่ จะรู้เองว่า เมื่อไหร่ที่กำหนดสติ ... สภาวะหรือความเจริญก้าวหน้า

    จะไม่มีเลย .....

    การฝึก คือ การฝึก

    มีสติเพียงแค่ ให้ดำรงในศีล ที่ ดี ก่ พอแล้ว

    แต่สำหรับการปฏิบัติ ธรรม ก่ ต้องละวางสติไป

    ..................... สติ ไม่เกี่ยว

    มีแต่ ใจ รับรู้สึก สัมผัส ที่เกิดจาก ทุกสิ่ง
     
  8. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    หลวงปู่ดุลย์ท่านสอนง่ายๆ การส่งจิตออกนอกเป็นสมุทัย(เป็นสาเหตุแห่งทุกข์) การหยุดส่งจิตออกนอกเป็นมรรค(เป็นแนวทางการระงับเหตุแห่งทุกข์)

    ส่วนนิโรธหลวงปู่ดุลย์ไม่ได้บอกให้ไปหากันเอาเอง แค่คิดว่าคนโน้นเป็นอย่างนี้คนนี้เป็นอย่างนั้นก็ล้วนแต่ส่งจิตออกนอกไปไกลโขแล้วครับ
     
  9. ิBat of light

    ิBat of light เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2012
    โพสต์:
    687
    ค่าพลัง:
    +842
    ...ไม่แน่ไปทุกคนทุกครั้งล่ะมังครับ
    เราขยับความคิดจิตเขยื้อน
    โยนเข้าใส่สมการไม่คลาดเคลื่อน
    จิตไม่เลื่อนมิขยับหรือลับไกล


    วิญญานกระต่ายป่า ข้างวัด / สุนทรทู่

    .
     
  10. action_jai

    action_jai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2007
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +241

    ที่บอกให้ไปหากันเอาเอง ไม่ใช่ไปหานิยามหรือวิธีการกันหรอกท่าน....
    แต่ให้ไปสัมผัสรสชาดกันเอาเองมากกว่า...
    สำหรับข้าพเจ้า นิโรธ เป็นความว่างขณะที่ทุกข์เคลื่อนออกจากจิตไปชั่วขณะ และรู้เห็นภายในว่ามันแค่ตัวฉาบทา ไม่ใช่เนื้อแท้....ถ้ายึดก็เป็นของเรา ถ้าไม่ยึด ก็ไม่ใช่ของเรา...
     
  11. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ขอนอบน้อมต่อผู้ประเสริฐทั้งหลาย ขออนุญาติตอบเรื่องกรอบตามความรู้ที่ได้สัมผัสมา
    กรอบคือคือความคิดเป็นต้นกำเนิดอวิชาที่ทำให้เกิดจิตสังขารขึ้นมาเช่นสติกู สมาธิกู มีมากกว่าควบคุมได้มากกว่า ทำให้เกิดมีตัวกูค้างคาขึ้นมาทำให้ไม่สามารถออกจากความคิดเดิมๆได้ ไม่เป็นธรรมชาติจึงไม่สามารถรับรู้และสัมผัสความรักจากธรรมชาติได้อย่างเต็มที่เพราะมีสติกูค้างคาอยู่ การออกจากกรอบคือการออกจากความคิดออกจากจิตตสังขารทั้งปวง เพื่อเข้าสู่สภาวะใจเพื่อการสัมผัสรู็ถึงสิ่งต่างๆที่ธรรมชาติ(สิ่งศักดิ์สิทธิ์)จัดสรรมาให้อย่างถูกต้องเพราะใจเท่านั้นที่รู้ถูกรู้ผิด ใจเท่านั้นที่มนุษย์ได้รับมอบมาจากคนที่คุณรู้ว่าใคร ใจถึงได้สามารถรักได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ส่วนความโกรธเกลียดนั่นมาจากความคิด(จิตปรุงแต่ง)หรือตัวตนที่คุณสร้างมาครอบคลุมสภาวะของใจ ใจอยู่ที่ไหนสัมผัสรู้ไว้อยู่ที่บริเวณหน้าอก เกิดอะไรขึ้นให้รู้และสัมผัสที่ใจไม่ใช่ไปหลงตามความคิดและจิตสังขาร
    เมื่อไม่รู้สิ่งใดก็ไม่ควรตัดสินอะไรด้วยความคิดเพราะมันคือจิตสังขารที่ทำให้คุณผิดพลาด และเมื่อรู็แล้วก็ไม่ควรตัดสินอะไรอีกเช่นกัน เริ่มด้วยการตัดสินคุณก็ผิดแล้ว มนุษย์เราเพื่อความไม่ผิดพลาดจึงทำได้แค่รู้และดูเท่านั้น ดูอะไรดูที่ใจเมื่อใจสะท้านหวั่นไหวนั่นคือไม่ปรกติ สัมผัสรู้และดูกันไป
    ขออภัยที่มารบกวนครับ
     
  12. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    จิตเดิมแท้จริงๆ นั้นประภัสสรอยู่แล้ว เพราะมีผู้ให้มา ใจนั้นยิ่งบริสุทธิ์กว่าก็มีผู้มอบให้มา
    เมื่อมนุษย์ได้รับมอบสิ่งเหล่านี้มากลับทำตัวเช่นไร ลืมสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้มาหรือเปล่าไปหลงไปฝึกอะไรกันมากมายไปปรุงแต่งอะไรกันนักหนา ทุกสรรพสิ่งมันดีที่สุดอยู่แล้วมีแต่พวกเรานี่ละที่ไม่ดีไปหลงกันเองไม่ใช่หรือครับ ไปทำสิ่งที่มันดีมันบริสุทธิ์ของมันอยู่แล้วให้มันเกินพอดีเพื่อจะบอกว่ากูรู้มากกว่ากูเก่งกว่า มันก็เกินพอดีเกินธรรมชาติ มันก็ผิดซิครับ เมื่อมีผู้มอบสิ่งที่มาค่ายิ่งให้กับเราได้เรียนรู้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่นั้นทำไมไม่นอบน้อม ทำไมยังพยายามทำอะไรที่มันผิดอีกทุกอย่างมันดีอยู่แล้ว แค่ทำตัวคุณให้มันดีก็พอแล้ว อะไรที่มันดีละก็ทำไปเดี๋ยวธรรมชาติก็จัดสรรมาให้เองเพราะคุณเป็นคนดีไง - -
     
  13. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    จิตเดิมแท้ประภัสสรอย่างไร ทุกสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นแค่จิตซึ่งมีอนุภาคเล็กมากๆประกอบรวมตัวกันขึ้นเป็นธาตุต่างๆจะเป็นดินน้ำลมไฟ รวมๆเรียกว่าธรรมชาติ ซึ่งธรรมชาติก็จะมีคนดูแลอีกทีละกัน เอาเป็นว่าสรรพสัตว์ทั้งปวงมาจากดินน้ำลมไฟ ก็ธรรมชาติมันดีอยู่แล้วเห็นๆ ว่างอยู่แล้วเห็นๆ ธรรมชาติมีสติไหมธรรมชาติมีอุเบกขาไหม แล้วที่ฝึกไปเพื่อบอกให้รู้ว่ากูมีมากกว่าอยู่ดีมันก็เลยเข้าถึงธรรมชาติไม่ได้ไงเพราะมันเกินพอดีมันก็เลยพัฒนาตัวเองกันไม่ได้ซะที วางซิครับถือมาัตั้งนานเหนื่อยกันมั้ยเอ่ย ผมก็ฝึกมาเยอะละครับสุดท้ายก็ทิ้งหมด มีความสุขอยู่กับธรรมชาติรับรู้สัมผัสต่างๆจากธรรมชาติ สุโค่ยๆๆๆๆๆๆๆ
     
  14. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    การกำหนด ตั้งสติ

    อะไรทั้งหลาย ที่เรียกว่า สติ

    คือ เครื่องกั้นกลาง ไม่ให้สามารถ สัมผัสรู้ในความจริงได้

    หยุดสติ (สติเป็นเรื่องปั้นแต่งขึ้นมา)

    สัมผัสรู้ในธรรมชาติ เท่านั้น

    สิ่งที่เรียกว่า ใจ จะปรากฎขึ้น

    คือ รู้สิ่งถูกต้อง รู้สิ่งไม่ถูกต้อง

    จะเกิดขึ้นเอง อย่างชัดเจน ยิ่ง ๆ ขึ้น

     
  15. nopphakao_s

    nopphakao_s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +253
    ถูกต้องที่สุดคุณPhudit999
     
  16. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ผมเคยฝึกสติมากจนเป็นเสมือนหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง ทุกสิ่งที่เข้ามากระทบสามารถรู้และควบคุมความพอใจไม่พอใจทั้งปวงที่เกิดขึนได้ทั้งหมด ฝึกจนสามารถควบคุมให้คิดและไม่ให้คิดได้ตลอดเวลาผมก็รอดจริงๆ รอดจากอบายทั้งปวง แต่ผมกลับไม่สามารถสัมผัสรู้ถึงธรรมชาติได้เลย ธรรมชาติที่ผมรักมากแต่การเดินทางกลับเดินผิดทำให้ปัจจุบันผมยังต้องรับผลกรรมของการฝึกสติที่เกินพอดีอยู่เลย จะมีอาการต่อต้านด้านในสมองเมื่อพยายามจะสัมผัสถึงธรรมชาติ สติที่เกินพอดีคืออย่่างไรผมขออนุญาติท่านภูดิสอธิบายในข้อนี้ เมื่อมีการรู้ลมเพื่อฝึกสติมาก จะเป็นการสร้างสัญญาสังขารที่เป็นคลื่นความคิดให้มีความพอใจในการกระทำซ้ำๆ นั่นคือมิติหรือสติกูได้มีตัวตนขึ้นมาจริงๆในร่างกายมนุษย์ แล้วก็ต้องมานั่งล้างตัวสติออกไปอีกมันจึงไม่มีประโยชน์อะไรมากมายแค่สัมผัสรู้ในสิ่งที่ธรรมชาติจัดสรรมาก็พอแล้ว
     
  17. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .....มันน่า จะมี สิ่งที่เรียกว่า "ปัญญา"(การเห็น ความจริง)เกิดตามมาไม่มากก็น้อย นะครับ แม้ไม่บริบูรณ์ก็ตาม...หลังจากสัมผัส "สุข"และ"อุเบกขา" ที่ยิ่งกว่า เวทนา อื่นอื่น...
     
  18. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    การเห็นความจริงคือการสัมผัสรู้จากธรรมชาติไม่ใช่จากการคิด แต่ก็รู้ว่ามันผิดไม่ควรทำอีกครับ
     
  19. snakejoke

    snakejoke เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    374
    ค่าพลัง:
    +699
    อืมงั้นมาแสดงธรรมต่อเนื่อง
    1.พระพุทธเจ้าท่านเคยสอนแบบนี้ไหมนะจะสอนบัวเหล่าที่สอนได้คือ1-3บัวเหล่าที่สี่คือบัวที่ท่านไม่สามารถสอนหรือไม่เลือกที่จะสอน แล้ว 10% คือบัวเหล่า1-3อีก90%คือบัวเหล่าที่4 ท่านลืมพวกคนเหล่านี้ไปแล้ว เมื่อบัวเหล่าที่สี่ไม่ถูกช้วยด้วย องค์4 ก้อจึงเกิดเหตุนานาประการในโลกนี้ จนถึงพระสงฆ์มีถึง1%ไหมจะรักษาศีลตามบัญญัติ ลองคิดเล่นๆศีล5จะมีสงฆ์ในโลกนี้รักษาได้กี่%ครับ
    2.อรหันต์คืออะไร ถ้าใครได้ยินคือ ละทุกอย่าง วางอุเบกขาได้หมด แล้วไปอยู่ที่ศิวิไลตลอดอนันตกาล อืม แค่คิดก้อน่าสงสารบัวเหล่าสี่ที่ถูกทอดทิ้ง ถูกคัดทิ้ง นำพาไปแค่นั้น ท่านคิดว่าสำเร็จนิพพานดีแล้วหรือที่สามารถปล่อยสรรพสัตว์ให้ทนทรมานไปนับอนันตกาลแล้วพวกท่านไปสุุุขดีอยู่ด้วยกลุ่มของท่านเอง
    3.หลักปฎิบัติที่ทุกคนทำได้หรือ นั่งสมาธิตั้งตัวตรง ภาวนาตามที่กำหนด นั่งขัดสมาธ ถามต่อ คนอ้วน คนพิการ คนป่วย ด้วยโรคต่างๆจะทำได้หรือไม่ นั่งสวดมนต์ตามแบบดั้งเดิม ทำได้ทุกคนหรือไม่ นี่ก้อคือการคัดขององค์4คัดแบบถ้าคิดก้อแปลกนะ จะดีถ้าทำง่าย ทำได้ทุกที่ ทำแล้วสบาย ทำและสามารถทำได้ทุกสถานะการและง่ายที่สุดคนจึงอยากจะทำ อาจมีคนแย้งว่าต้องมีอุปสรรคถึงจะสำเร็จ อืมถ้าคคิดแบบนั้น ช่างสงสารเหลือเกินกับสรรพสัตว์อีก90%ที่ไม่สามารถทำและปฎิบัติตามได้ สังคมจึงเป็นอย่างนี้ ลองไปเทียบกะ100ปีก่อนสิ แค่ศตวรรษเดียว มันเปลี่ยนไปมากมายแค่ไหน

    คนขาดความรัก ยึดเอาวัถุเป็นตัวนำขาดเมตตา ขาดการให้อภัยกัน แก่งแย่งชิงดี ฆ่าได้แม้กระทั้งผู้มีพระคณบุพการี บุตร พวกท่านเอย มีพระนิพนานท่านไหนจะมาช่วย ถ้ายังคิดจะไปคนเดียว น่าสังเวชใจกับพุทธศาสนาจิงๆมันจึงเสื่อมถอยเรื่อยมา มีแค่กลุ่มไม่กี่กลุ่มที่จะสามารถไปถึงแก่น แต่ถามว่าแก่นนั้นของแท้จริงหรือ


    จะมาต่ออีกทีว่าจะเป็นเยี่ยงไร พระศรีอาริยะพุทธเมตไตรทศจึงต้องมาช่วยสรรพสัตว์ในกาลเวลานี้
     
  20. (อโศก)

    (อโศก) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +445
    โอ้ บ๊ระเจ้า โจ๊กก็มา...กระทู้นี้เริ่มมันส์ รวมสุดยอดฝีมืออย่าคับคั่ง
     

แชร์หน้านี้

Loading...