ไดอารี่ ชีวิต , ผี , วิญญาณ , พุทธศาสนา By Specialized

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย Specialized, 25 ธันวาคม 2006.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ปารดา

    ปารดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +866
    โมทนาสาธุค่ะ เห็นภาพหลวงตาและพระผู้ปฏิบัติดียังงี้แล้วอดน้ำตาคลอไม่ได้ สมัยนี้จะหาพระดีๆสักองค์ ยากยิ่งกว่างมเข็มฯอีกมั่ง
     
  2. Desire

    Desire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +396
    ขอบคุณคุณบอย

    ขอบคุณครับ ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการร่วมทำบุญสร้างพระที่วัดของหลวงพ่อสมบูรณ์ คุณบอยให้เบอร์โทรฯหลวงพ่อมาซะด้วย ไม่รู้ผมจะกล้าโทรฯไปหรือเปล่า ไม่รู้จะคุยอะไรดีน่ะครับ แต่คงจะโอนเงินเข้าบัญชีของทางวัดที่คุณบอยบอกมาล่ะครับ
    ถ้าผมจะเดินทางไปด้วยตนเอง คุณบอยแนะนำให้เดินทางไปในช่วงไหนดีครับ ที่จะได้พบและทำบุญกับหลวงพ่อเลย??
     
  3. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,358
    อนุโมทนาด้วยนะครับ หมั่นแผ่บุญ ปรับภพภูมิบ่อยๆ ชีวิตจะดีขึ้นครับ หุหุ
     
  4. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,358
    หลวงพ่อท่านอยู่วัดตลอดครับ เพราะท่านลงมือลุยก่อสร้างเองตลอด ท่านบอกว่าวัดเราไม่ใช้สถาปนิก แต่เป็นสถาปนึก หุหุ ถ้าไม่กล้าโทรหาหลวงพ่อไว้ผมไปวัดผมจะต่อสายให้ท่าน Desire คุยก็ได้นะครับ ถ้าจะเอาแบบนั้นรบกวนลง เบอร์ไว้นะครับ ไว้ผมจะติดต่อกลับไป หุหุ
     
  5. Desire

    Desire เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +396
    แหะ แหะ

    คุณบอยว่ามาอย่างนี้ผมชักนึกละอายใจ จะทำบุญแล้วยังหน้าบางอีก กลัวโน่นนี่ไม่เข้าเรื่อง เอาเป็นว่าผมจะโทรฯไปเองละกันครับ ถ้ามีโอกาสได้เดินทางขึ้นไปที่โน่น คงได้จังหวะคุยกับหลวงพ่อ และคุยกับคุณบอยซักสองสามคำ แล้วแต่บุญพาวาสนาส่ง

    เออ คุณบอย ผมเขียนไปขอพระผงจักรพรรดิ์จากคุณโด่งมาด้วยนะ ให้มาหลายองค์เลย ผมเลยให้คนอื่นๆ ที่ตั้งใจจะแผ่เมตตาไปด้วย พร้อมฝอยการใช้ฯ พูดจาสนับสนุนให้เค้าทำ แต่ตัวผมอ่ะนะ บอกตามตรง กลัวทำตามตำราที่เขียนแล้วเห็นผีอ่ะ แค่คิดก้อกลัวแล้ว คุณบอยมีอะไรแนะนำมั๊ยครับ อย่างเช่น ถ้ากลัวก็อธิษฐานบอกเค้าได้มั๊ยว่า ไม่ต้องมาขอบคุณหรอกนะ ไม่ต้องเลย จะได้ผลมั๊ย
     
  6. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,358
    หุหุ ถ้าบุญพาวาสนาส่งคงพบกันสักวันครับ

    ผมคิดว่าถ้าท่านได้มาศึกษาเรื่องราวต่างๆในสายบุญของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ จริงๆจังๆแล้ว คำว่ากลัวผีจะหายไปจากมโนจิตของท่านเลยครับ เพราะว่าการที่พวกสัมภเวสีปรากฎตัวให้เราเห็นแต่ละครั้งนั้น เพราะว่าเขาต้องการบุญนั้นเอง เพราะว่าผีนั้นก็คือพลังงาน การที่จะปรากฎตัวออกมาครั้งหนึ่งนั้น วิญญาณบางดวงอาจจะต้องรวมกำลังเป็นหลายวันเพื่อที่จะปรากฎตัว ดังนั้นให้เราคิดว่าการที่เขาปรากฎตัวให้เราเห็นเพราะต้องการสิ่งเดียวนั่นคือ "บุญ" นั่นเองครับ สายนี้ได้เปรียบตรงที่สามารถดึงกำลังบุญของผู้มีพลัง ในที่นี่คือพระโพธิสัตว์ได้โดยตรงผมไม่อธิบายมากล่ะครับ ต้องตามอ่านจากเวปถ้ำเมืองนะดูนะครับ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ลูกศิษย์สายหลวงพ่อฤาษีหลายๆคน ตอนนี้ก็มารวมตัวกันที่ถ้ำเมืองนะกันแล้ว รวมทั้งผมด้วยแต่เราก็ไม่ทิ้งครูบาอาจารย์ แต่เราต้องการคนที่จะชี้ทางเราไปถึงจุดหมายนั่นเอง

    ลองอ่านคำอธิบายแบบคร่าวๆนี่จากเวปวัดถ้ำเมืองนะดูนะครับ

    หลักการและความรู้เรื่องพลังงาน ภพภูมิ และการเชื่อมต่อ ทั้ง 3 โลกธาตุ (วิชาเปิดโลก)
    เรื่องพลังงานนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนต้องอาศัยความเข้าใจ เป็นข้อหลักได้ดังนี้

    1. จักรวาลกว้างใหญ่และมิได้มีเพียง 1 เดียว มีพลังงานมากมายกระจัดกระจายอยู่ บ้างก็เป็นพลังงานบ้างก็เป็นธาตุ บ้างก็เป็นพลังงานกึ่งธาตุ ผู้รู้หลักการน้อมนำจะนำพลังงานส่วนหนึ่งเหล่านั้นมาใช้ได้

    2. มนุษย์ก็มีพลังงานทั้งหยาบทั้งละเอียด ทั้งวัดได้ ทั้งวัดไม่ได้และมนุษย์ก็ยังพิเศษกว่าที่มีตัวเจตนา พลังเหตุเจตนา มีกำลังในการโน้มนำ ชี้นำถ่ายทอดพลังงานได้

    3. การโน้มนำ ชี้นำ ถ่ายทอดพลังงาน จะแรงและมหาศาลมากขึ้น หากมีผู้ที่มีกำลังมากว่า มีบุญญาบารมี มีการอธิษฐานและการสั่งสมมาเพื่อการนี้ มาเป็นผู้ต่อกระแส เพิ่มกระแส ชักนำกระแสแห่งการการโน้มนำ ชี้นำ ถ่ายทอดพลังงาน

    4. ธาตุหยาบต้องอาศัยธาตุละเอียดด้วยเพราะมีความคล่องตัวที่แตกต่างกัน ดังนั้น ภพภูมิ ทั้งมนุษย์และอมนุษย์หากต่อกระแสกันได้ และเกื้อกูลกัน จะทำให้เกิดกำลังและความคล่องตัวที่สูงยิ่ง

    5. มนุษย์อาศัยธาตุทั้งสี่เป็นกำลัง อาศัยเจตนาเป็นปัจจัย ในการสร้างสรรค์และทำลาย แต่เรื่องบางเรื่องเช่นเรื่องพลังงานละเอียดอมนุษย์ฝ่ายสุขคติภูมิย่อมมีกำลัง และภูมิความเข้าใจภูมิรู้มากกว่า ดังนั้นหากทั้งสองเกื้อกูลกัน สรรพกำลังจะบริบูรณ์

    6. อธิษฐานด้วยการเดินวิชาพระจักรพรรดิ สามารถเชื่อมต่อภพภูมิ ทั้ง 3 แดนโลกธาตุได้ด้วยพลังงานเมตตาเป็นตัวต้น ครูบาอาจารย์ท่านจึงเรียกกันว่า วิชาเปิดโลก ที่นานๆที่จะเกิดขึ้นในวาระหนึ่งเท่านั้น

    7. การเดินวิชาตามตำรานั้นองค์ประกอบความครบ เว้นแต่ผู้เข้าใจพลังงานอย่างถ่องแท้ ก็ตัดบางสิ่งบางอย่างออกได้แต่ตัดหลักสำคัญไปไม่ได้

    8. องค์ประกอบ คือ

    8.1 พระผงจักรพรรดิเป็นสื่อกลาง เสมือนจานรับสัญญาญดาวเทียม

    8.2 หลวงปู่ดู่ บารมีรวมหลวงปู่เป็นต้นพลังงานพลังบุญที่จะรวมพลังงาน รวมกองบุญกองอื่น เป็นบารมีของมหาโพธิสัตว์เสมือนแหล่งสัญญาณที่จะส่งภาพ โดยมีพระพุทฑเจ้าทุกองค์เป็นประธาน

    8.3 ตัวเราธาตุทั้ง 4 ขันธ์ทั้ง 5 กอง เปรียบเสมือน เครื่องรับสัญญาณโทรทัศน์

    8.4 จิตอธิษฐานที่มีกำลัง และได้รับการปรับคลื่นพลังงานให้ตรงกันกับ แหล่งพลังงานต้นด้วยพระคาถามหาจักรพรรดิ เสมือน เสาอากาศหากมีแต่เครื่องรับโทรทัศน์แต่ขาดเสาสัญญาณก็ไม่สามารถรับสัญญาณโทรทัศน์ได้ยิ่งกาลปัจจุบันคลื่นรบกวน คือมารกิเลสทั้งหลาย มีอยู่ทั่วทุกขณะทุกเวลา

    8.5 ความเข้าใจในหลักการโน้มนำ ชี้เส้นทางพลังงานอย่างกุศลและนอบน้อมในสิ่งที่มีคุณ-มีประโยชน์ เป็นหัวใจสำคัญยิ่ง เสมือนกระไฟฟ้าเลี้ยงเครื่องรับประการนี้ก็ขาดเสียมิได้

    9. ทุกวิชาหลวงปู่มีหลักที่ละไม่ได้คือ
    9.1. คาถาจักรพรรดิ์ ( สร้างพลังงาน ติดต่อพลังงาน)
    9.2. คำอธิษฐาน(กำหนดเส้นทางพลังงาน)
    9. 3. บทสัพเพ (ส่งพลังงาน)
    9.4. จิตสบายที่สุดไร้ทุกข์ไร้กังวล (ความเป็นทิพย์ ที่มีกำลังสูง)

    10. โปรดหาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องภพภูมิ ในหนังสือ ไตรภูมิพระร่วง ทั้งของฉบับเดิมและของที่อธิบายโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำความรู้ดังกล่าวจะทำให้เข้าใจในเรื่องภพภูมิได้พอสมควร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2007
  7. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,358
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2007
  8. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,358
    ๔. อ ยา ก ไ ด้ บุ ญ มา

    พระสงฆ์ถือว่าเป็นเนื้อนาบุญของโลก ผู้ที่ถวายทานท่าน จึงได้ชื่อว่าปลูกบุญนิธิไว้ในศาสนา แต่จะได้ผลมากน้อยนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างได้แก่

    พระ - ซึ่งเป็นตัวเนื้อนาบุญ หากเป็นพระดีก็เปรียบดังที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุ

    วัตถุ - หรือวัตถุทานนี้ หากได้มาโดยความบริสุทธิ์ไม่ได้ไปลักชิงของใครเขามาก็ย่อมเป็นวัตถุทานที่บริสุทธิ์เหมาะแก่การบริโภคใช้สอย

    เจตนา - ความตั้งใจและความศรัทธามากน้อยเพียงใด บุญก็ย่อมมากน้อยไปตามเพียงนั้น

    องค์ประกอบทั้ง ๓ นี้ เป็นสื่อผูกพันเพื่อให้เกิดบุญสมความปรารถนา มีศรัทธาญาติโยมบางท่านเกิดความไม่แน่ใจในตัวพระสงฆ์ จึงได้มาเรียนถามหลวงปู่เพื่อให้หายข้องใจ ซึ่งหลวงปู่ก็ได้เมตตาตอบดังนี้

    "อธิษฐานก่อนถวายทาน ทำจิตใจของเราให้ไปถวายกับพระพุทธเจ้าเลย จะได้บุญสูงพระที่รับเป็นเพียงผู้อุปโลกน์ ถ้าท่านไม่ดีจริง ท่านก็ไปนรก"

    พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตั้งศาสนา มีพระหฤทัยที่บริสุทธิ์ผุดผ่องด้วยธรรมปัญญา พระสงฆ์เปรียบเสมือนเสนาบดีของพระพุทธองค์ การถวายทานจึงได้ชื่อว่าได้ดำเนินรอยตามพระยุคลบาทของพระศาสดาผู้เป็นใหญ่แห่งสามโลกพระองค์นั้น
    _______________________________

    ๕. ผี ล อ ง ดี

    ครั้งหนึ่งหลวงปู่ดู่เดินทางไปเรียนวิชาทำธง ที่วัดตะเขง จังหวัดสระบุรี เพราะหลวงปู่แด่เป็นผู้สั่งให้ไปเรียน เมื่อไปถึงหลวงปู่ที่วัดท่านบอกว่า

    หลวงปู่ "ผมแก่แล้วตาไม่ค่อยดี นิมนต์กลับไปเรียนกับอาจารย์แด่ท่านเถิด เออ คุณผ่านมาตรงช่องเขามีใครเขาหยอกคุณหรือเปล่า"
    หลวงปู่ดู่ "มีครับแต่ไม่เป็นไร"
    หลวงปู่ "ขากลับไปเถอะ ไม่มีอะไร"

    หลวงปู่ดู่เล่าให้ฟังว่า
    "เดินไประหว่างช่องเขา มีคนปาก้อนหินลงมาก้อนเบ้อเร่อ ถูกข้าคงตาย แต่ข้าไม่กลัว มีคนเขาเดินผ่านมาทางนี้ ผีพวกนี้มักปาแกล้งลงมา ขากลับก็ไม่มีอะไรจริงๆ ตกลงไม่ได้เรียนต้องกลับมาหาอาจารย์แด่"
    _______________________________

    ๖. โ ม ท นา บุ

    ผู้ที่มาทำบุญที่วัดบางครั้งมาคนเดียว มาหลายคน หรือมากับครอบครัว บางท่านมีศรัทธามากทำบุญอย่างสม่ำเสมอ แต่เกิดอุปสรรคจากสามีหรือภรรยา หรือพ่อแม่ไม่เห็นดีด้วย บางคนถึงกับออกปากว่า "พระมีเฉพาะที่วัดสะแกหรือไง เจ้าอาวาสยังหนุ่มใช่ไหม" ร้อยสรรพันเรื่องที่หยิบยกขึ้นมา ผู้ที่ต้องการบุญจึงเกิดความไม่สบายใจ เพราะต้องการให้เขาเหล่านั้นได้รับกุศลไปด้วย จึงมาเรียนถามความเห็นของหลวงปู่ ซึ่งท่านตอบว่า

    "คนที่เข้าใจก็เห็นด้วย คนที่ไม่เข้าใจก็ไม่เห็นด้วย เอาอย่างนี้ พอทำบุญหลายๆ ครั้งรวมเป็นครั้งเดียวไปบอกให้เขาโมทนาซะ ว่าฉันไปทำบุญมา ขอให้โมทนาด้วย"
    ผู้ถามถามต่ออีกว่า ถ้าต้องการให้ผู้ที่ไม่สนใจมาทางเดียวกัน ควรจะทำอย่างไร หลวงปู่ตอบว่า<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>


    "พอเวลาทำบุญก็ให้บุญกับเขา เรียกกายทิพย์เขามารับบุญ เขาเรียกว่าให้บุญใน หรือให้ทางใน นานไปเขาก็เปลี่ยนไปเอง หรือเราจะให้กับคนที่เขาโกรธเรา อาฆาตพยาบาทตัวเราก็ได้"

    หลวงปู่ยังได้โยงไปถึงการให้บุญกับผู้อื่นอีก

    "บุญเป็นของดี เราให้ใครก็ได้ ไม่ว่าเจ้านาย ลูกน้อง หรือคนที่เราจะไปติดต่อขอความช่วยเหลือ ได้ทั้งนั้น

    บุญคือความสบายใจ การสร้างบุญโดยการให้ด้วยจิตใจที่เมตตา คือเป็นคนกล่อมเกลาจิตใจไปในตัว และเป็นการปฏิบัติธรรมอีกอย่างหนึ่งด้วย"
    _______________________________

    ๗. ไ ม่ ต้ อ ง ล อ

    บ่อยครั้งที่มีผู้ต้องการปฏิบัติไปกราบนมัสการและแจ้งความประสงค์ขอปฏิบัติ ซึ่งเป็นเรื่องที่หลวงปู่ยินดีมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งมีผู้มาขอปฏิบัติกับท่านโดยพูดว่า "ผมอยากมาลองปฏิบัติดู เขาว่าทำแล้วดี" หลวงปู่ท่านรีบตอบว่า "ไม่ต้องลอง ทำเลย ขืนลองก็ไม่เจอของดีสักที ธรรมะไม่ใช่ของลอง เป็นของให้ทำจึงจะเห็นผล"

    ผู้เขียน "หลวงปู่มีวิธีการหรือหลักการอย่างไรในการเผยแพร่กับหมู่คณะที่มาปฏิบัติ"

    หลวงปู่ "เราไม่ใช่อาจารย์ เราแอบทำเพราะเราไม่สามารถประกาศได้มากกว่านี้ เพียงแต่ข้าตั้งจิตอธิษฐานว่าคนใดก็ตามที่เคยทำบุญร่วมกันมา ขอให้ได้มาพบกันแล้วมาปฏิบัติธรรมเพื่อให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ได้ชาตินี้ ก็ให้ได้ชาติต่อๆ ไป บางคนเขามาแล้วก็เลยไปยังไม่ทันได้ชิม บางคนชิมแล้วยังไม่ทานก็ไป แสดงว่าเขาไม่ได้ทำบุญร่วมกับเรามาก็แค่นั้น"

    ผู้เขียน "บางครั้งพระที่ดี คนในท้องถิ่นมักจะไม่ได้ของดีอย่างเช่น หลวงปู่ปาน"

    หลวงปู่ "แล้วแต่บุญของเขา อย่างพระของข้า ข้าก็แจกๆ กันไป คนไกลเขาก็ได้กัน คนใกล้ไม่ค่อยได้"

    ผู้เขียน "อย่างนี้เขาเรียกว่า ใกล้เกลือกินด่างใช่ไหมครับ"

    หลวงปู่ "ใกล้เกลือตีนด่าง เพราะมันเหยียบเลย ข้าโดนมาโชกแล้ว แต่ข้าไม่สนใจ ดีชั่วอยู่ที่ตัวเรา ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น เรื่องของบุญใครทำใครได้ ทำให้กันไม่ได้ เหมือนกับใครหิวข้าวก็ต้องกินเอง ใครกินใครอิ่ม บางคนต้องจ้างให้มาวัด แต่ก็มาไม่ถึงวัด เพราะแวะกินเหล้าข้างทาง บางทีให้ปฏิบัติแต่จะหวังรางวัลที่หนึ่ง หรือถูกหวย นั่นเละแล้ว ไม่ได้เรื่องแล้ว"

    หลวงปู่ให้ข้อคิดเกี่ยวกับการปฏิบัติที่แท้จริง ไม่ใช่ปฏิบัติเพียงหลอกๆ จึงจะเจอของจริงได้ เมื่อใดก็ตามที่เราเห็นความสำคัญของการปฏิบัติเหมือนกับการกินข้าว เหมือนกับลมหายใจ แสดงว่าเรามีที่พึ่งสำหรับตนเองแน่นอน
    _______________________________

    ๘. พ ระ ดี ที่ น่า เ คา ร

    ปกติเวลาเราไปไหว้พระสุปฏิปันโนหรือพระที่ทรงคุณธรรม บางครั้งมักจะมีการขอให้ท่านช่วยอธิษฐานจิตวัตถุมงคลที่นำไป ผู้เขียนและคณะบางครั้ง เวลาที่ท่านมีสุขภาพดี อารมณ์แจ่มใส จึงขอให้ท่านทำให้ มีครั้งหนึ่ง ผู้คนไปกันมาก ของที่จะให้ท่านอธิษฐานมีหลายอย่างรวมกันไป เมื่อท่านอธิษฐานเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่พูดขึ้นว่า "เจอดีหลายๆ องค์ พระนะ แต่องค์นี้เป็นพระดีมาก" ท่านชี้ไปที่ล็อกเกตพระสงฆ์องค์หนึ่ง เมื่อผู้เขียนหยิบมาดู จึงกราบเรียนท่านว่า "ก็เป็นล็อกเกตรูปหลวงปู่ไงละครับ ที่ทางวัดเขาทำให้บูชา" หลวงปู่ท่านจึงรีบตอบว่า "เอ้า ข้าไม่รู้ ทำไว้ซะเล็ก เลยมองไม่เห็นว่าเป็นองค์ไหน" มีลูกศิษย์อีกคนจึงถามท่านว่า "ทำไมหลวงปู่จึงรู้ละครับ" ท่านจึงตอบว่า "ข้าก็ไม่รู้ เพียงแต่ว่ามีความรู้สึกพิเศษ แกถามอาจารย์เขาดูดีกว่า" หลวงปู่ท่านเลี่ยงมาให้ผู้เขียนตอบแทน แต่ผู้เขียนได้แต่ยิ้มไม่ตอบอะไร จนเมื่อลาหลวงปู่กลับจึงตอบให้ฟังว่า "หลวงปู่ท่านคงมีเมตตาที่เห็นพวกเราทุกคนเคารพท่านแล้วไม่สงสัยท่านจึงบอกอย่างนี้ก็ได้ อีกอย่างหนึ่งคงมีแสงสว่างจากพลังจิตใจในคุณพระที่ท่านอธิษฐานไว้ ไปปรากฎที่หลวงปู่ก็ได้ อะไรก็ดีทั้งนั้นแหละ

    เรื่องของพระดีที่มีคุณธรรมนี้ หลวงปู่ท่านเคยบอกผู้เขียนว่า
    "เวลาที่ไปไหว้พระองค์ไหนก็ตาม ถ้าผู้ที่ทำเห็นแล้วจะรู้ได้ เพราะท่านจะมีที่อยู่ของท่านเฉพาะ ถ้าองค์ไหนเราเห็นท่านอยู่ในที่ของท่านแล้ว องค์นั้นแหละพระดี ข้อสำคัญต้องทำให้เห็น หรือเวลาแกไปเจอภาพพระองค์ไหนก็ตาม เอามือแตะภาพท่านทำใจเฉยๆ ถ้าขึ้น (ปีติ) มาถึงหัวแสดงว่าพระองค์นั้นดี"

    ผู้เขียนเคยนำรูปของสมเด็จพระสังฆราช (อยู่) วัดสระเกศ ไปให้ท่านอธิษฐานจิต พอหลวงปู่ท่านแตะรูปท่านบอกว่า "องค์นี้เป็นพระดี มีบารมีสูงมาก พอกับหลวงพ่อโต วัดระฆัง จะมากกว่าเสียด้วย ถ้าแกไม่เชื่อลองจับดูก็ได้"

    ผู้เขียนรีบตอบท่านว่าไม่ละครับ เพราะผู้เขียนรู้ตัวเองดีว่า คุณธรรมของเรายังน้อยนิด บารมีของเรายังไม่เท่ากับหนึ่งในล้านส่วนของเศษละอองธุลีพระบาทของพระโสดาบันเลย แต่อย่างไรก็ตามผู้เขียนรู้สึกซาบซึ้งในองค์หลวงปู่มาก ที่ท่านมีเมตตาสั่งสอนเพื่อให้ความรู้และความกระจ่างกับลูกศิษย์

     
  9. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,358
    ๙. พ ระ ห รื อพะ

    พระภิกษุที่บวชในพระพุทธศาสนาบางรูปบางองค์มีปฏิปทาดี บางองค์ก็ไม่สนใจในพระธรรมวินัยทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานา อันที่จริงศาสนาไม่ได้เสื่อมแต่ผู้อยู่ในศาสนาเสื่อม พระพุทธเจ้าจึงกำหนดอายุของศาสนาทรงตรัสว่า

    "บุคคลภายนอกศาสนาไม่สามารถทำลายศาสนาตถาคตได้แต่ผู้ที่ทำลายได้ คือ พุทธบริษัททั้ง ๔ ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกอุบาสิกา"

    เกี่ยวกับเรื่องนี้หลวงปู่เคยกล่าวไว้ว่า

    "พระ คือคนที่บวชแล้วได้ดี ถ้าอีกจำพวกก็คือ พะบวชเพื่อหากินกับศาสนา เหมือนกับสวะหรืออะไรก็ได้ที่ไปพะกับของสิ่งนั้นแต่ถ้าไปเจออีกพวกคือ แพะ พวกนี้ร้าย จ้องแต่จะชนกับพระ กับฆราวาสนี่แหละคือพระสามประเภท"

    ทั้งนี้ ทำให้ผู้เขียนนึกถึงพระดำรัสของพระพุทธเจ้าที่สอนสิ่งที่ภิกษุหรือสมมติสงฆ์ควรศึกษามี ๓ อย่างคือศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อจะได้เป็นพระหรือผู้ประเสริฐเช่นเดียวกับคำพูดของหลวงพ่อ


    ____________________________
    ๑๐. ตา ย แ ล้ ว ไม่ เ น่า

    ผู้เขียนเคยไปที่วัดป่าเลไลยจังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อไปนมัสการศพของหลวงพ่อถิร ปรากฎว่าร่างกายไม่เน่าเปื่อยมีเล็บและเกศางอกออกมา เป็นที่อัศจรรย์ใจและเกิดความสงสัยเมื่อมีโอกาสได้กราบเรียนหลวงปู่ท่านอธิบายว่า

    "ผู้ที่ตายแล้วไม่เน่ามี ๓ ประเภท"
    ๑.ผู้ที่กินว่าน
    ๒.ผู้ที่มีคาถาอาคมเสกข้าวกินประจำ
    ๓.พระอรหันต์อธิษฐานทิ้งร่างไว้ให้คนสักการะกราบไหว้ตัวอย่างเช่น หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดันจังหวัดสุพรรณบุรี

    ผู้เขียนเกิดความไม่แน่ใจเพราะเราไม่สามารถตัดสินได้ว่าองค์ไหนเป็นพระอรหันต์ หลวงปู่บอกว่า"เราต้องดูปฏิปทาหรือราศีพวกที่กินว่านหรือมีคาถานั้นจะไม่มีราศี ผิวพรรณไม่สดใส"ผู้เขียนจึงได้ปรารภกับหลวงปู่โดยกล่าวอ้างถึงในสมัยก่อนหลวงปู่มีผิวพรรณที่ค่อนข้างดำแต่ในปัจจุบันหลวงปู่มีราศีสดใสสวยงาม แม้แต่หลวงปู่บุดดาเมื่อก่อนเขาว่าท่านผิวดำเหมือนกัน หลวงปู่ตอบว่า"ไม่ต้องสงสัย กระดูกท่านยังฟอกเป็นพระธาตุได้ผิวพรรณทำไมจะฟอกไม่ได้"

    เคยมีผู้มีบุญท่านหนึ่งมากราบนมัสการหลวงปู่เมื่อท่านผู้นั้นกลับไปแล้ว
    หลวงปู่ได้ถามว่า"แกว่าข้ากับเขาราศีใครดีกว่ากัน"
    ผู้เขียนรีบเรียนว่า "ว่ากันตามตรงหลวงปู่ราศีดีกว่าครับ"
    หลวงปู่ยิ้ม ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

    <O:p</O:p"นั่นคือราศีทางโลกสู้ราศีทางธรรมไม่ได้"
    ____________________________

    ๑๑. รั บ ใ ห้ ถู กต้ อ ง

    วัตถุมงคลของหลวงปู่มีให้บูชาที่วัดผู้เขียนเคยมีคำถามเรื่องนี้กับหลวงปู่"หลวงปู่ครับ ถ้าสมมุติว่าผมมีพระแพงๆ เช่น พระรอดแล้วผมจะนำไปให้เขาบูชา แต่เงินที่ได้ผมจะนำมาทำบุญจะบาปไหมครับ"หลวงปู่ท่านตอบว่า"ถ้าบาปข้าต้องบาปแน่เพราะข้าขายพระเต็มศาลา"ผู้เขียนแย้งว่า"แต่หลวงปู่ไม่ได้ใช้เงินเอง"หลวงปู่ท่านจึงสรุปว่า"อย่างไรข้าก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ขาย แต่จุดประสงค์ข้าทำเพื่อวัดวาไม่ใช่ทำเพื่อข้า"

    ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงอยู่ที่เจตนา ซึ่งหลวงปู่ท่านเน้นว่าเจตนาคือตัวบุญ

    เมื่อก่อนที่หลวงปู่ยังแข็งแรงผู้ที่บูชาพระแล้วก็มักจะนำมาให้หลวงปู่ประสิทธิจนกระทั่งเมื่อท่านป่วยไม่ค่อยแข็งแรง ผู้บูชามักเกรงใจ ไม่ให้ท่านเป็นผู้ประสิทธิแม้กระนั้น หลวงปู่ยังอดไม่ได้ด้วยความเมตตาเพราะท่านบอกว่าเพื่อกำลังใจและความศรัทธา เนื่องจากทุกคนต้องสละทรัพย์ที่หามาได้ด้วยความเหนื่อยยาก มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะที่ท่านประสิทธิให้กับผู้บูชารายหนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่านเมื่อเสร็จแล้วท่านพูดว่า"แกรับพระยังไม่ถูก"ผู้รับเกิดความสงสัยหลวงปู่ท่านจึงอธิบายต่อ"ทำจิตให้น้อมรับสิ่งที่ดีที่ให้ โดยเรียกพระเข้าตัวเวลาที่รับแกไม่ได้ทำจิตแบบนี้ แกมุ่งจิตออกมาให้ข้าแทนที่จะได้เลยไม่ได้"เคยมีลูกศิษย์หลวงปู่ที่เป็นพระเมื่อเวลาที่ท่านประสิทธิให้ ต้องการลองกำลังของหลวงปู่ จนหลวงปู่ต้องพูดขึ้นว่า"ลองพอหรือยัง"ลูกศิษย์ผู้นั้นจึงได้คิดว่าหลวงปู่สามารถรู้ได้บางครั้งเมื่อรับพระแล้วหลวงปู่ท่านจะกล่าวชมสำหรับคนที่รับถูกต้องว่า"เจอดีแล้วทำได้แบบนี้แกขนลุกใช่ไหม"ผู้รับจึงถามว่า"หลวงปู่รู้ได้อย่างไรครับ"หลวงปู่ท่านตอบว่า"แกขนลุก แต่อาการของแกมาเกิดที่ข้าข้าจึงรู้"สำหรับเรื่องการรู้นี้ หลวงปู่ท่านรู้เป็นเรื่องปกติวิสัยผู้เขียนเองหรือหลายคนก็เคยประสบกับเรื่องเหล่านี้มาแล้วด้วยกันทั้งนั้น
    ____________________________

    ๑๒. ไ ม่ เ ค ย โ กห ก ใ ค

    หลังจากที่ผู้เขียนสอบสัมภาษณ์ปริญญาโทเรียบร้อยแล้วได้กลับมานมัสการหลวงปู่พร้อมกับรายงานผลเนื่องจากก่อนจะไปสอบผู้เขียนได้ขอบารมีหลวงปู่ให้ช่วยเหลือ ท่านพยักหน้ารับซึ่งในวันนั้นหลวงปู่มีอารมณ์แจ่มใสมาก ท่านพูดว่า"ข้าอธิษฐานบารมีพระ แผ่บุญกุศลไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาของแกนั่นแหละเอาบุญให้เขา เพื่อขอความช่วยเหลือจากเขา สามคนข้ารู้ชื่อ แต่อีกคนไม่รู้เลยขอให้สามคนถาม อีกคนคอยนั่งฟัง"ซึ่งก็เป็นจริงดังที่หลวงปู่พูดไว้

    ผู้เขียนได้สนทนากับท่านจนถึงเรื่องคาถามหาจักรพรรดิ

    ผู้เขียน"หลวงปู่เป็นผู้แต่งคาถาบูชาพระ (คาถามหาจักรพรรดิ)ใช่ไหมครับ"

    หลวงปู่"สำเภาเขาสร้างพระพุทธรูป อยากได้คาถาบูชาพระก็เลยมานึกเอาเองมันจะผิดอยู่หน่อยตรงคำบูชาที่มี นะโมพุทธายะ แล้วก็ ยะธาพุทโมนะหรือแกว่าไง"

    ผู้เขียน"ปกติการตั้งองค์พระ (การอธิษฐานให้เป็นพระ) โบราณเขาใช้กันว่านะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ ดังนั้นการที่หลวงปู่กล่าวเช่นนี้ต้องการให้บูชาคาถาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าปางมหาจักรพรรดิใช่ไหมครับ"

    หลวงปู่พยักหน้ารับพร้อมทั้งกล่าวว่า<O:p</O:p

    "คาถาบทนี้เป็นของดี หมั่นท่องไว้ทุกวันปกติเขาไม่ให้กันหรอก เพราะเขากลัวลูกศิษย์จะดีกว่าอาจารย์แต่ข้าไม่เคยกลัวและไม่ปิดบัง ท่องให้ดีนะอีกหน่อยจะรวย เพราะมีการกล่าวถึงพระสีวลีผู้เลิศทางลาภไว้ด้วย อาบน้ำอาบท่า อาบไปเสกไปก็ได้ กินข้าวก็ได้ ดีทั้งนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามาบอกพวกแก ข้าทดลองมาแล้วทั้งนั้น เมื่อดีแล้วจึงมาบอกดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ศรัทธาและการหมั่นฝึกฝนปฏิบัติ คนเราอยู่ดีๆจะให้รวยได้อย่างไร ต้องปฏิบัติให้ดีเสียก่อนดูอย่างข้าเมื่อก่อนต้องไปยืมเงินเขามาซื้อธูปเทียนใบชามาเลี้ยงแขกเดี๋ยวนี้ของกินของใช้มีให้เกลื่อนกลาดไป เรามาพบไม้งามเมื่อขวานบิ่น แกว่าจริงไหมของดีของอร่อยกินก็ไม่ได้ฟันไม่มี"

    หลวงปู่หัวเราะแล้วเสริมอีกว่า

    "คนเราต้องทำให้ดี เมื่อดีแล้วจึงรวย แล้วจะได้ไม่ซวยพระจะดีต้องหมดอยาก ถ้ายังอยากอยู่ก็ไม่ใช่พระดี"<O:p</O:p

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2007
  10. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,358
    ๑๓. ถ วา ย ก ระ ท

    ปกติ คืนวันเพ็ญเดือนสิบสองจะมีการลอยกระทงตามแม่น้ำต่างๆ แต่ในคณะศิษย์ของหลวงปู่ดู่นั้น จะนำกระทงมาถวายท่าน ซึ่งเป็รพิธีกรรมอย่างหนึ่ง ผู้เขียนและหมู่คณะได้มีโอกาสนำกระทงไปถวายกับท่าน ซึ่งในคณะนี้ส่วนใหญ่เป็นนักปฏิบัติ เคยมีผู้สงสัยกราบเรียนหลวงปู่ว่า
    "เห็นมีผู้นำกระทงมาถวายกับหลวงปู่มากมาย ทำไมหลวงปู่ไม่ลอยในน้ำหรือ"
    หลวงปู่ตอบว่า "ลอยด้วยน้ำจิตน้ำใจของเราไงละ"

    หลวงปู่จะให้สมาทานศีลก่อนแล้วถวาย เมื่อกล่าวคำถวายเสร็จแล้ว พวกเราจะประเคนแก่ท่าน หลังจากนั้น ท่านจะใหพวกเราทุกคนภาวนาไตรสรณคมน์สักครู่ แล้วท่านจะนำจิตนำกระทงไปถวายพระพุทธเจ้าที่วิมานแก้ว เมื่อพระพุทธเจ้ารับแล้ว หลวงปู่จึงให้พร ผู้ที่มีจิตใจเป็นทิพย์หลายๆ คนจะสามารถเห็นได้ว่า ได้ไปจริงๆ บุญที่ได้ จึงมีทั้งบุญภายนอกคือ อามิสบูชา และบุญภายในคือ ปฏิบัติบูชา

    ตามประเพณีเดิมของการลอยกระทง มีทั้งคติทางพราหมณ์และพุทธ ทางพราหมณ์ถือว่าเป็นการขอขมาพระแม่คงคา ส่วนทางพุทธมีหลายเจตนาเช่น การบูชาพระจุฬามณี การบูชารอยพระพุทธบาทที่พระพุทธองค์แสดงไว้แก่พญานาคที่แม่น้ำ ส่วนเค้ามูลดั้งเดิม มีมาจากการที่มานพทั้ง ๕ ซึ่งเกิดจากไข่กา เมื่อรังถูกพายุพัดไข่กระจัดกระจายไป ได้มีการนำไปเลี้ยงโดย ไก่ นาค เต่า วัว และราชสีห์ เมื่อมานพทั้ง ๕ บำเพ็ญเพียรแล้วได้มาพบกันจึงรู้ความจริงว่า แม่ของตนเองซึ่งเสียใจเมื่อมาไม่พบลูกทั้ง ๕ นั้น ขณะนี้ไปอยู่พรหมโลกชื่อว่า พกา มานพทั้ง ๕ จึงคิดเป็นรอยตีนกาเพื่อบูชาท้าวพกาพรหมซึ่งเป็นแม่ และมานพทั้ง ๕ คือ พระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ต่อมาคือ นะ โม พุท ธา ยะ นั่นเอง ดังนั้น ท้าวพกาพรหมจึงถือว่าเป็นโยมของพระพุทธเจ้าก็ได้ หลวงปู่จึงสร้างพระปางโปรดท้าวพกาพรหมไว้ให้พวกเราทั้งหลายบูชา หลวงปู่ยังได้บอกอีกว่า

    "พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ ขึ้นไปโปรดท้าวพกาพรหมจนละทิฏฐิได้เป็นพระโสดาบัน แต่ขณะนี้เป็นพระอนาคามีแล้ว จะเข้าถึงนิพพานในยุคพระศรีอาริยเมตไตรย"
    ___________________________

    ๑๔. อ ย่า ท้ อ ถ อ

    ญาติโยมผู้หนึ่งเกิดความลังเลสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมที่ควรจะได้ผลมาก เพราะเธอมีความขยันหมั่นเพียร จึงมานมัสการกราบเรียนหลวงปู่ว่า

    "หลวงปู่คะ การที่ลูกนั่งไม่ดีนี่แสดงว่าชาติก่อนทำมาไม่ได้ใช่ไหมคะ"

    หลวงปู่ตอบว่า "แกรู้เหรอเรื่องแต่ก่อน ไม่ต้องไปสนใจ เพราะเรารู้ไม่ได้ เอาชาตินี้ให้มันดี ไม่ต้องคิดถึงชาติก่อน อย่าท้อถอย ทำไปเดี๋ยวก็ดีเอง"

    หลวงปู่ตอบตรงตามพุทธพจน์ที่ว่า อย่าสนใจอดีตเพราะเป็นสิ่งที่ล่วงมาแล้ว ให้สนใจในปัจจุบัน

    หลวงปู่แหวนเคยตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
    "อดีตเป็นธรรมเมา อนาคตเป็นธรรมเมา เฮาบ่มีอดีต เฮาบ่มีอนาคต เฮามีแต่ปัจจุบันเท่านั้น"

    คำพูดของท่านสมกับเป็นพระอริยสงฆ์ที่เราเคารพกราบไหว้ เพราะเป็นสัจจธรรมที่เป็นความจริงเสมอมา

    ___________________________

    ๑๕. อ ยา ก จะ ไ ป นิ พ พา น

    ผู้ที่มากราบนมัสการหลวงปู่หลายๆ คน มาถึงก็แจ้งความประสงค์กับหลวงปู่ ปรารถนาไม่เกิด อยากไปนิพพานในชาตินี้ จะได้พ้นทุกข์ บางคนก็ตั้งเจตนาจริง บางคนก็พูดไปอย่างนั้น หลวงปู่เคยให้ข้อคิดสำหรับคนที่ไม่ตั้งใจจริงเหมือนคำพูดที่ปรารถนา ว่า

    "อยากจะไปนิพพาน แต่ศีล ๕ ยังรักษาไม่ได้ จะไปได้อย่างไร"

    "วันนี้มีผู้หญิงอยู่คนมากราบข้า บอกว่าจะไปนิพพาน ข้าไม่พูดแต่มองดู ปากยังทาแดงแจ๋ เล็บตีนเล็บมือยังแดงแจ๋ หัวตะพานจะไปถึงหรือเปล่า"

    ดังนั้น หลวงปู่จึงสอนพวกเราทั้งหลาย เมื่อตั้งใจสิ่งใดแล้ว ต้องทำหรือปฏิบัติจึงจะสมปรารถนา หลวงปู่ทวดกล่าวว่า "การปฏิบัติจะตัดภพชาติให้สั้นลงทีละครึ่ง เช่น ถ้าเราจะเกิดอีก ๑๐๐ ชาติ ก็เหลือ ๕๐ ถ้าจะเกิด ๒๐ ชาติ ก็เหลือ ๑๐"

    ผู้เขียนเคยอ่านหนังสือหลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน ท่านเคยเปรียบเทียบดังนี้ "ทำทานเหมือนการไปด้วยถ่อ รักษาศีลไปด้วยรถยนต์ ภาวนาก็ขี่เรือบินไป อาจถึงนิพพานได้ในชาตินี้"

    คนโบราณจึงกล่าวไว้ว่า "ใกล้ก็ไม่ใกล้ ไกลก็ไม่ไกล มองเห็นไวไว เป็นทิวลิบลิบ" ซึ่งเทียบได้กับพระนิพพานคือปลายจมูกนี่เอง หลวงปู่กล่าวว่า "จะว่ายากก็ไม่ใช่ จะว่าง่ายก็ไม่เชิง ผู้ปฏิบัติพึงรู้เองเห็นเอง เพราะเป็นปัจจัตตัง"

    ___________________________
    ๑๖.ผู้ ห ญิ ง ไ ป ไ ด้ ห รื อ ไ ม่

    มีนักปฏิบัติท่านหนึ่งนำข้อข้องใจมากราบเรียนหลวงปู่ดังนี้

    นักปฏิบัติ "ลูกปฏิบัติไปถึงวิมานแก้วไปเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ ชาตินี้ลูกไปนิพพานได้ไหมเจ้าคะ"

    หลวงปู่ยิ้ม "หลับตาไปได้ แล้วลืมตาไปได้หรือเปล่า"

    นักปฏิบัติ "ยังเจ้าค่ะ"

    หลวงปู่ "ต้องทำให้ได้ทั้งหลับตาและลืมตา หลับก็เห็นพระ ลืมก็เห็นพระ อย่างนี้ไปได้แน่นอน"

    หลวงปู่ท่านบอกผู้เขียนว่า "ทุกอิริยาบท ถ้าเราเห็นพระได้ จิตของเราจะไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เคลื่อนจากความดี พระมีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่งไหว้ตรงไหนก็เจอ" ทำให้ผู้เขียนนึกถึงคำพูดของ หลวงปู่อินทร์ จันทูปโม ที่ว่า "ที่กล่าวว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต เป็นสิ่งจริงแท้ เพราะพออาตมาได้ธรรม มองไปทางไหนก็เจอแต่พระ บนอากาศก็มี บนบกก็มีไหว้ได้ทั้งนั้น เกิดความซาบซึ้งในธรรมจนน้ำตาไหล ถ้าใครไม่รู้มาเห็นเข้าคงนึกว่า อาตมาบ้าแน่นอน"
     
  11. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,358
    ๑๗.ผู้ มี ส ติ ช อ

    นักปฏิบัติธรรมทุกคนที่หวังพ้นทุกข์ มักมีอุปสรรคจากการปฏิบัติไม่มากก็น้อย สิ่งที่ต้องนำมาใช้อยู่เสมอคือ ธรรมที่มีอุปการะมาก ได้แก่ สติ และสัมปชัญะ แต่มักเรียกสั้นๆ ว่า สติ มีผู้ปฏิบัติท่านหนึ่งได้กราบเรียนหลวงปู่ว่า

    ผู้ปฏิบัติ "หลวงปู่ครับ ทำอย่างไรจึงจะมีสติอยู่ตลอดเวลาครับ"

    หลวงปู่ "ผู้มีสติอยู่ตลอดเวลา เห็นมีแต่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้น มีสติแม้กระทั่งเวลาหลับ ปุถุชนอย่างเราจะทำได้อย่างไร ยากต้องค่อยๆ ทำไป"

    คำพูดของหลวงปู่คือ หมั่นเจริญสติจนในที่สุดจะได้มหาสติเหมือนกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย___________________________

    ๑๘. ค วา ม เ ป็ น ห่ ว ง ข อ ง ห ล ว ง ปู่ ที่ มี ต่ อ ป ระ เ ท ศ ชา ติ

    เมื่อคราวที่เกิดการปะทะกันระหว่างไทยกับลาว ซึ่งถือว่าเป็นบ้านพี่เมืองน้อง ในปี พ.ศ.๒๕๓๑ ที่หมู่บ้านร่มเกล้า อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เหตุการณ์ก็รุนแรงและเริ่มส่อเค้าการก่อตัวของสงคราม ผู้เขียนได้ติดตามข่าวสารทั้งทางหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ รู้สึกเป็นห่วงพวกทหารหาญมาก คิดอยู่ในใจว่า จะกราบเรียนเรื่องนี้กับหลวงปู่ดีหรือไม่ เพราะอย่างน้อยท่านจะได้ช่วยอธิษฐานแผ่เมตตา แต่ก็คิดไม่ตก เนื่องจากเห็นว่าเป็นเรื่องทางโลก

    วันหนึ่ง ผู้เขียนตกลงใจว่า อย่างไรก็ตาม จะกราบเรียนหลวงปู่ให้ได้ จึงตัดสินใจไปนมัสการท่าน แต่ผู้เขียนยังนั่งเงียบอยู่

    หลวงปู่ "เอ้า มีเรื่องอะไรที่จะคุยด้วย"

    ผู้เขียนสั่นหน้า "ไม่มีอะไรหรอกครับ"

    หลวงปู่ "ทำไมไม่มี ก็เรื่องลาวกับไทยไง รบกันไปถึงไหนแล้ว"

    ผู้เขียนเห็นเป็นโอกาสอันดี จึงรีบเรียนชี้แจงให้ท่านทราบถึงสถานการณ์ รวมทั้งการได้เปรียบในเชิงกลยุทธ์

    หลวงปู่ "เมืองไทยไม่เป็นไรหรอก ขอบารมีพระ บารมีเทวดา ช่วยคุ้มครองเดี๋ยวก็เลิกกัน การสู้รบมันต้องสูญเสียทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ"

    ในวันนั้นมีคนนำพระประธานขนาดใหญ่ไปถวายหลวงปู่ ท่านบอกว่า "องค์ใหญ่ไม่รู้จะตั้งตรงไหน ข้าให้เขาไปถวายสมภาร สมภารบอกให้มาถวายข้า" ขณะที่พวกเรากำลังดื่มน้ำชาอยู่ หลวงปู่ท่านมองมาที่พระแล้วก็ตั้งจิตอธิษฐานโดยไม่หลับตาเป็นเวลาประมาณ ๑๕ นาที ที่น่าอัศจรรย์คือ ตาท่านไม่กระพริบเลย ผู้เขียนเลยนั่งอธิษฐานตามท่าน พอครบเวลา ท่านกล่าวว่า

    "นั่งดูซิ สว่างหรือเปล่า ข้าอธิษฐานเอาหลวงพ่อองค์นี้ไปช่วยประเทศชาติคลุมหมดทั้งประเทศ ขอให้หลวงพ่อช่วย แล้วก็ฝากเทวดาให้ช่วยเหลือด้วย อันที่จริงข้าก็ให้ทุกๆ วันไม่เคยขาด ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็เลิกกัน"

    หลังจากนั้นประมาณ ๑ อาทิตย์ มีการเซ็นสัญญาสงบศึกระหว่างไทยกับลาว ทำให้ผู้เขียนรู้สึกซาบซึ้งในความรักและห่วงใยของหลวงปู่ที่มีต่อประเทศชาติและทหารหาญของประเทศเป็นอย่างยิ่ง
     
  12. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,358
    [​IMG]

    ๑๙.รู ป ธ ร ร ม นา ม ธ ร ร ม ช่วงที่

    ปัจจุบันมีการภาวนาทำสมาธิกันทั่วไป ไม่ว่าข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน นิสิตนักศึกษา ซึ่งหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเคยกล่าวไว้ว่า
    "หลังกึ่งพุทธกาล สำนักวิปัสนากรรมฐานจะเกิดขึ้นเหมือนดอกเห็ด ผู้ที่จะเข้าไปศึกษาต้องมีวิจารณญาณว่า การสอนเป็นเพื่อการพัฒนาจิตหรือไม่" ดังที่หลวงปู่เคยกล่าวไว้ว่า "ทำแล้วโลภ โกรธ หลง ลดลงหรือไม่"

    เมื่อมีการตั้งสำนักเกิดขึ้นย่อมมีการกำหนดระเบียบปฏิบัติข้อวัตรต่างๆ ไว้ในแต่ละแห่ง หรือที่เราเรียกกันว่า "รูปแบบ" เช่น การนุ่งขาว ห่มขาว การกินมังสวิรัติ เป็นต้น หลวงปู่ท่านบอกว่า "ถ้าเป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าวางไว้ดีทั้งนั้น" ท่านไม่ให้กล่าวร้ายป้ายสีเพราะท่านพูดว่า "คนดีไม่ตีใคร" บางครั้งมีผู้มาขอความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้จากหลวงปู่ดังนี้

    ผู้ถาม "ถ้าจะมาปฏิบัติกับหลวงปู่ต้องเตรียมอะไรมาด้วยครับ"

    หลวงปู่ "เตรียมใจ เตรียมจิต มาให้ดี"

    ผู้ถาม "ไม่ต้องนุ่งขาว ห่มขาวใช่ไหมครับ"

    หลวงปู่ "แต่งอะไรมาก็ได้ไม่จำเป็น"

    ผู้ถาม "แม้แต่ดอกไม้ ธูปเทียน"

    หลวงปู่ "มีก็เอามา ไม่มีก็ไม่ต้อง เรากล่าวว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ชีวิตัง เม ปูเชมิ นี่เราก็เอาชีวิตบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว"

    ผู้ถาม "การกินมังสวิรัติ จำเป็นไหมครับ"

    หลวงปู่ "เรื่องการไม่กินเนื้อสัตว์ มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว คือ พระเทวทัตเคยขอพระพุทธเจ้า แต่ท่านไม่อนุญาต ดีชั่วอยู่ที่จิต ท่านกลัวลำบากญาติโยม"

    ต่อช่วงที่ ๒.....
    _____________________________

    รู ป ธ ร ร ม น า ม ธ ร ร ม ช่วงที่

    ในการทำวัตรสวดมนต์ของพระจะมีการพิจารณาอาหารบิณฑบาต เสนาสนะ และจีวรรวมอยู่ด้วย ที่เรียกว่า บทปฏิสังขาโย เพื่อไม่ให้พระคิดอยากได้ในสิ่งเหล่านี้ ทั้งนี้เป็นเพียงเพื่อการประทังชีพในการบำเพ็ญคุณธรรมต่อไป ดังคำพูดของหลวงปู่ที่ว่า "อยู่ในโลกก็ต้องกิน"

    หลวงปู่ "อาจารย์แด่ ท่านเคยบอกข้าตอนที่ไปนวดให้ท่านว่า เป็นพระต้องระวังนะคุณ ถ้าไม่ไหว้พระสวดมนต์ ตายไปต้องไปเกิดเป็นควายแก่ให้เขาใช้งาน ท่านเคยบอกด้วยนะว่า ควายแก่"

    ผู้ถาม "การบิดเบือนพระพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้า เขาว่าเป็นการทำลายศาสนา เหมือนกับตัดคอพระพุทธรูปทีละองค์"

    หลวงปู่ "พระเทวทัตมีฤทธิ์ขนาดเหาะได้ ยังไปนรกเลย แล้วคนที่ยังเหาะไม่ได้ จะไปไหน"

    ผู้ถาม "ลูกอธิษฐานไว้ว่าต้องถือศีลแปด แต่กลัวจะหิว เพราะไม่ได้กินข้าวเย็นครับ"

    หลวงปู่ "เปลี่ยนจากข้อ ๓ เป็น อพรัมมะจริยา ก็ได้ นี่เป็นศีล ๕ แบบอุกฤษฏ์ ถือเป็นเพศพรหมจรรย์"

    ผู้ถาม "เดี๋ยวนี้คนใจบาป ตัดเศียรพระพุทธรูปไปขายต่างประเทศ"

    หลวงปู่ "อีกหน่อยศาสนาพุทธจะไปปรากฎในต่างแดน ตอนนี้ไปในส่วนของรูปธรรม ต่อไปจะปรากฎในส่วนของนามธรรม จะมีการปฏิบัติกันมากขึ้นกว่านี้"

    ผู้ถาม "ทางรัสเซีย เขาว่ากันว่า ปฏิบัติเกินไปจากอเมริกาหลายสิบปี แต่เขาใช้ในด้านวินาศกรรมเพราะเรดาร์จับไม่ได้ ไม่บาปหรือครับ"

    หลวงปู่ "ให้เขาทำไปเถิด อีกหน่อยเขาพลิกจิตได้ ก็ดีเอง"

    ผู้ถาม "ทำไมต้องห้อยพระ ไม่ต้องใช้ได้ไหมครับ"

    หลวงปู่ "กำลังใจของคนไม่เท่ากัน เรามีเวลาเผลอเพราะไม่ใช่พระอรหันต์ ถ้าจิตเป็นพระไม่ต้องใช้ก็ได้ หรือถ้าทำเป็นแล้วก็ไม่ต้อง"

    ผู้ถาม "บารมีพระช่วยได้จริงหรือไม่"

    หลวงปู่ "ถ้ากรรมไม่หนักพระช่วยได้ ถ้าหนักพระช่วยไม่ได้ ตอนตายถ้านึกถึงพระก็ยังไปสวรรค์"

    ผู้ถาม "ทำอย่างไรจึงนึกถึงพระหรือความดีก่อนตาย"

    หลวงปู่ "ต้องทำอยู่เรื่อยๆ เหมือนกับทำไมต้องกินข้าวทุกวัน ถ้าไม่ทำบุญหรือทำ แต่บางทีนึกออกได้ยาก เช่นมีคนแถววัดสะแก ทำบาปกับปลาเอาไว้มาก ก่อนตายพอน้องเข้าไปบอกทางว่า พุทโธ แกกลับบอกว่าแกงส้มปลาเทโพอยู่ในครัว พอพี่เข้าไปบอกว่า อะระหัง แกกลับบอกว่า มีแต่กระชัง (ใส่ปลา) ทั้งนั้น"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1252.jpg
      1252.jpg
      ขนาดไฟล์:
      59.4 KB
      เปิดดู:
      578
  13. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,358
    ๒๐.ใ ช้ ใ ห้ เ ป็

    พระสุทิน อายุวัฒโก (หลวงพี่จ่า)เมื่อครั้งท่านยังเป็นฆราวาสได้มากราบนมัสการหลวงปู่ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๙ โดยมีส.ท.อุดม เผ่าทหาร เป็นผู้ชักชวน ซึ่งสมัยก่อนมาวัดสะแกโดยทางเรือหลังจากกราบนมัสการหลวงปู่แล้ว ส.ท.อุดม พูดนำว่า"วันนี้ผมพาลูกพี่มาหาหลวงปู่ เขาจะมาขอพระหลวงปู่ ลูกพี่เขาอยากได้"ความจริงแล้วส.ท.อุดม อุปโลกน์ขึ้นเอง หลวงปู่ตอบว่า"ข้าไม่มีพระอะไรจะให้ ถ้าอยากได้ก็ต้องฝึกวิธีใช้ให้เป็นเสียก่อนเหมือนอย่างข้าให้ควายแกไป แกไม่มีเชือกสะพายจูงไปมันจะเอาไปลำบาก"

    จากนั้น ท่านให้พระ ๑ องค์เป็นรูปหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด แล้วจึงให้เข้าไปปฏิบัติซึ่งเป็นกุศโลบายของหลวงปู่ ที่ต้องการให้ปฏิบัติ และรู้ถึงอานุภาพของพระเครื่องเพราะท่านเคยบอกเสมอว่า"ของดีต้องใช้ให้เป็นจึงจะรู้ว่าเป็นของดี" เพราะในปัจจุบันอย่างที่เรารู้กันว่าเจ้าของคุ้มครองพระโดยเอาไปฝากไว้ในธนาคาร ไม่ได้นำมาใช้ทำให้ผู้เขียนนึกถึงคำพูดของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ที่กล่าวว่า"ทำบุญให้เป็น ใช้บุญให้เป็น" โดยเฉพาะการภาวนานั้นถือเป็นการทำกุศลสูงสุดในพระพุทธศาสนาหลวงปู่เคยบอกกับผู้เขียนถึงพระที่ท่านอธิษฐานจิตว่า"ข้าว่าของของข้าไม่เป็นรองใครในแผ่นดินอยู่ที่คนนำไปใช้ว่าถึงหรือเปล่า ถ้าถึงจริงๆ แล้วก็ไปนิพพานได้"คำกล่าวของหลวงปู่นี้มีความหมายอย่างยิ่ง คือ เปลี่ยนจิตจากศรัทธาจนเป็นอจลศรัทธานั่นเอง

    ___________________________

    ๒๑.พ ร ะ ชำ รุ

    คนส่วนใหญ่มักจะไม่นิยมนำพระที่แตกหรือหักมาไว้ในบ้านโดยเฉพาะพระที่ทำด้วยปูนมักแตกหักได้ง่ายผู้เขียนเรียนถามหลวงปู่ถึงเหตุผล

    หลวงปู่"สมัยก่อนข้าเป็นฆราวาส ก็ห้อยพระหักเพราะเสียดายของเมื่อก่อนเขาใช้ลวดถัก เดี๋ยวนี้ก็ยังเห็นเขาใช้กันไม่เห็นเป็นไร"

    ผู้เขียน"แล้วความจริงเป็นอะไรหรือไม่เพราะเคยฟังมาว่าแม้แต่พระสมเด็จวัดระฆังที่แตกหัก ยังนำชิ้นส่วนมาแกะเป็นองค์เล็กๆใช้กันได้"

    หลวงปู่" พระที่ทำด้วยปูนหรือโลหะ ข้าอธิษฐานว่าเมื่อใดก็ตามที่ของที่ทำละลายเป็นน้ำเมื่อนั้นจึงขอให้หมดอานุภาพแล้วเมื่อไรจะละลายเป็นน้ำละแก"

    ดังนั้นถ้าพระของหลวงปู่หัก ไม่ต้องตกใจหรือเสียกำลังใจ เพราะคำตอบมีอยู่อย่างชัดเจนหลวงปู่เพียงแต่บอกว่า"ใครทำพระข้าหักจะเสียใจไปตลอดชีวิต"ทั้งนี้เพื่อให้ทุกท่านมีความระมัดระวังเนื่องจากของที่หักแล้วมักเกิดตำหนิมองดูไม่สวยงามเท่าของที่สภาพสมบูรณ์

    ผู้เขียน"การซ่อมแซมพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆ ที่คอหักหรือชำรุดนั้นมีอานิสงส์มากหรือน้อยกว่าการสร้างใหม่"

    หลวงปู่"ตามพระไตรปิฎกกล่าวว่าซ่อมมีอานิสงส์มากกว่าการสร้างใหม่"
    ___________________________

    ๒๒.กำ ลั ง ใ

    ตามลักษณะของการดูโหงวเฮ้งของคนจีนที่ว่าผู้ใดที่มีหูยาวมักจะเป็นคนที่มีอายุยืนซึ่งผู้เขียนลองสังเกตดูก็มักจะเป็นอย่างนี้จริงๆ หลวงปู่ท่านก็มีใบหูใหญ่และยาวแม้แต่พระพุทธรูปก็มีพระกรรณยาว

    สุภาพสตรีท่านหนึ่งมากราบหลวงปู่และได้เรียนถามถึงความจริงในข้อนี้ เนื่องจากเธอมีลักษณะใบหูที่เล็กซึ่งหมอดูหลายคนทำนายไว้ว่าอายุจะสั้นทำให้เกิดความไม่สบายใจ

    หลวงปู่"หูลิงก็เล็กทำไมอายุมันยังยืนเป็นไหนๆ"

    เมื่อเธอฟังแล้วเกิดความสบายใจนับว่าหลวงปู่มีเมตตาและวิธีการพูดที่ฟังแล้วไม่เกิดทุกข์

    ผู้เขียนเคยเรียนถามเรื่องศีลข้อ๔ มุสาวาทา ว่าในลักษณะใดที่จัดว่าผิดศีล

    หลวงปู่"บางเรื่องถ้าบอกตรงๆ ผู้ฟังจะไม่ได้รับผล ต้องใช้วิธีเลี่ยงเอา (กุศโลบาย) อยู่ที่เจตนาของผู้พูดว่ามุ่งหวังผลกับผู้ฟังอย่างไรเหมือนกับพระสารีบุตรตอบโจรเคราแดง เมื่อโจรถามว่า การที่ผมเป็นเพชฌฆาตฆ่าคนมามากผมจะไปนรกไหม พระสารีบุตรท่านเป็นพระอรหันต์ สามารถรู้เห็นได้ด้วยญาณ ถ้าบอกตรงๆว่าแกต้องไปนรก ก็จะเสียกำลังใจ ท่านเลยตอบว่า ใครเป็นคนสั่งโจรเคราแดงจึงเกิดกำลังใจ เพราะคิดว่าตัวเองไม่บาปเมื่อพระสารีบุตรเทศน์ให้ฟังหลังฉันข้าว ปรากฎว่าโจรเคราแดงสำเร็จเป็นพระโสดาบันมันมีแง่คิดอยู่นิดเดียวว่าจะพูดอย่างไร"


     
  14. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,358
    ๒๓. ทำ พ า ส ป อ ร์ ต ไ ป ส ว ร ร ค์

    ครั้งหนึ่งมีลูกศิษย์หลวงปู่ได้มาเล่าให้ท่านฟังว่า ได้เคยไปร่วมพิธีกรรมจัดสำเภาทัวร์สวรรค์ ซึ่งอ้างถึงพุทธบริษัท มีพระพุทธเจ้าเป็นผู้จัดการบริษัท ญาติโยมเป็นหนึ่งในบริษัททั้งสี่ ให้มาทำพิธีเสริมสิริมงคล หลวงปู่ท่านก็ไม่ว่าอะไร จนมาถึงการทำพาสปอร์ตเพื่อไปสวรรค์ หลวงปู่ท่านจึงพูดขึ้นว่า

    "ของข้าไม่ต้องทำหรอก พาสปอร์ต ขอให้แกว่า
    พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ไม่ต้องไปทำหรอกทั้งพาสปอร์ต ทั้งวีซ่า ข้ารับรอง"

    คำพูดของหลวงปู่ท่านเน้นถึงการปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง เพื่อตนเอง และได้ด้วยตนเอง เพราะถ้ามีวิธีการเช่นนี้จริงแล้ว พระพุทธองค์ก็คงไม่ต้องเปลืองคำสอนถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ พระผู้มีเมตตา กรุณาคุณอันยิ่งใหญ่แห่งสามโลก คงใช้วิธีการแบบนี้มานานแล้ว พวกเราคงได้ไปสวรรค์ นิพพานกันได้สมตามความปรารถนา
    ____________________________
    ๒๔. ยุ ค พ ร ะ ศ รี อ า ร ย์

    ผู้ที่ทำบุญ ทำทานมักจะมีการตั้งความหวังไว้ในใจ มีคำอธิษฐานเกี่ยวกับการทำบุญตักบาตรไว้ดังนี้ "ข้าวของข้าพเจ้าขาวบริสุทธิ์เหมือนดอกบัวตั้งไว้เหนือหัว ตั้งจิตจำนงค์ตรงไปพระนิพพาน ขอให้พบเมืองแก้วขอให้แคล้วบ่วงมาร ขอให้ได้พระนิพพานในยุคพระศรีอารย์ด้วยเทอญ"

    เมื่อมีโยมนำคำอธิษฐานนี้มาเล่าให้หลวงปู่ฟัง ท่านพูดยิ้มๆ ว่า

    "จะไปยุคพระศรีอารย์ เดี๋ยวจะอานเสียก่อน"

    คำพูดของหลวงปู่ท่านมีความหมายว่า ให้ทำบุยด้วยใจบริสุทธิ์ อย่าหวังมากเกินควร พยายามทำให้ดีที่สุด เพราะเรื่องของพระศรีอารย์ มีผู้ปรารถนาจะไปกันมาก เนื่องจากเป็นยุคที่สุขสบายไม่เดือดร้อน หลวงปู่เคยบอกว่า "ใครไปได้ไปเลย ไม่ต้องรอ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่การปฏิบัติ ไม่ได้อยู่ที่การร้องขอ"

    เหมือนกับญาติโยมท่านหนึ่ง ซึ่งมีความเข้าใจผิดในเรื่องนี้ ได้ไปนมัสการหลวงปู่ดุลย์ อตุโล แล้วเรียนท่านว่า "ดิฉันฟังเทศน์มหาชาติทั้ง ๑๓ กัณฑ์ ดิฉันไปได้แล้ว" เนื่องจากมีคำโบราณกล่าวไว้ว่า ใครฟังเทศน์มหาชาติซึ่งเป็นเรื่องราวของการบริจาคทานของพระเวสสันดร ซึ่งเป็นพระชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ ถ้าเพียงแต่ฟังแล้วไม่นำมาปฏิบัติตามพระจริยาวัตรของพระเวสสันดรแล้วคงไปไม่ได้แน่ จึงเป็นสิ่งที่คนโบราณท่านมีกุศโลบาย ที่จะให้ผู้ฟังเกิดความซาบซึ้งแล้วนำไปปฏิบัติตาม เพื่อให้สมหวังในสิ่งที่ตั้งไว้

    ____________________________

    ๒๕. ม ห า จั ก ร พ ร ร ดิ

    หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังถึงการปลุกเสก หรืออธิษฐานวัตถุมงคลของท่านว่า "นอกจากการมีพลังจิตแล้ว ที่ท่านใช้อยู่เสมอคือ บทสวดมนต์ตามเจ็ดตำนาน" ซึ่งท่านบอกว่า ดีกว่าคาถาอาคมมากมาย เพราะเป็นเรื่องราวของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทั้งนั้น ไม่จัดเป็นเดรัจฉานวิชา บทที่ท่านทำทุกครั้งคือ บทพระพุทธเจ้าทรมานพญาชมพูบดี หรือที่เรียกว่า "ชมพูปติสูตร" ซึ่งแสดงถึงอำนาจหรือบารมีของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นครูของมนุษย์และเทวดาทั้งปวง แสดงถึง ธรรมที่ชนะอธรรม ท่านเรียกบทนี้ว่า "มหาจักรพรรดิ" พญาชมพูบดีเป็นจักรพรรดิที่มีอิทธิฤทธิ์มาก แต่พ่ายแพ้บุญฤทธิ์ ในที่สุดอุปสมบทได้สำเร็จอรหันตตผล หลวงปู่ท่านกล่าวว่า "ข้าเป็นคนโลภมาก ทำอะไรก็อยากทำให้มากที่สุด ดีที่สุด เดี๋ยวนี้ใช้แค่บทนี้ทั้งนั้น ใครนั่งคุมเวลาข้าเสก เขาก็รู้เองแหละว่า ทำจริงหรือไม่จริง" ท่านเคยมีลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นพระ ต่อมาท่านไม่มาหาหลวงปู่อีก เนื่องจากหลวงปู่ท่านพูดว่า

    "ยังไม่นิพพาน เพราะต้องโปรดคน"


    แต่พระองค์นี้ตีความไปว่า หลวงปู่ยังติดอยู่กับลาภยศ ชื่อเสียง ซึ่งความจริง ท่านมีเมตตา และบอกปรารถนาของท่านให้ทราบว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ผู้เขียนคัดลอกเกี่ยวกับบทชมพูปติสูตร หรือบทมหาจักรพรรดิมาลงไว้ เนื่องจากในปัจจุบันขาดผู้สนใจ เห็นเป็นเรื่องเหลวไหล
    แม้แต่พระบางองค์ท่านยังกล่าวว่าเกินความจริง โดยท่านลืมนึกถึงคำว่า "อจินไตย"คือสิ่งที่ไม่ควรคิด เพราะไม่สามารถนำเหตุผลทางโลกหรือทางทฤษฎีมาทำให้เกิดความกระจ่างได้ เป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติพึงรู้ได้เอง ถ้าคิดมากในที่สุดอาจจะเป็นบ้าได้ สิ่งเหล่านี้ได้แก่

    ๑. พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้า เช่น ทำไมท่านถึงตรัสรู้ได้? ท่านมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์จริงหรือ?
    ฯลฯ
    ๒. วิสัยของกรรม เช่น ทำไมคนนั้นคนนี้รวย จน สมบูรณ์ กำพร้า
    ?
    ๓. วิสัยของพระอรหันต์ เช่น ท่านหมดโลภ โกรธ หลง หรือ
    ?
    ๔. วิสัยของโลก เช่น โลกเกิดมาได้อย่างไร
    ?
    ๕. วิสัยของผู้ปฏิบัติธรรม เช่น ลักษณะที่สงบเป็นอย่างไร? สงบจริงหรือไม่
    ?

    ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ลองคิดดู พระเจ้าแผ่นดินที่เกิดมาภายใต้เศวตฉัตร ถ้าพระองค์ไม่มีบุญญาธิการแล้ว ท่านจะเป็นได้อย่างไร เพราะคนไทยมีเป็นหลายสิบล้านคน นั่นแสดงถึงวาสนาบารมีของแต่ละบุคคลไม่เท่าเทียมกัน มีเหตุปัจจัยจากสิ่งที่ท่านได้สร้างสมอบรมมาแตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีมากขนาดไหน จึงสามารถโปรดคนได้มากมายทั้งสามแดนโลกธาตุ
     
  15. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,358
    [​IMG]

    ๒๖. ป ร ะ ส บ ก า รณ์ ธุ ด ง ค์

    ธุดงควัตรของพระภิกษุสงฆ์ มีถึง ๑๓ ข้อเช่น การถือบิณฑบาตเป็นวัตร การครองผ้า ๓ ผืน การฉันเอกาสนิกังคะ (มื้อเดียว) ฯลฯส่วนการเดินธุดงค์เพื่อหาความวิเวก หลวงปู่ท่านเรียกว่า"เดินรุกขมูล"จุดประสงค์ของพระพุทธองค์เพื่อให้ภิกษุมีการขัดเกลากิเลสและทำปัญญาให้เกิดขึ้นจากหลักสูตรที่บัญญัติขึ้น เช่น การฉันมื้อเดียวเพื่อให้ไม่ยุ่งยากในการหาอาหารบริโภค และอาหารที่ฉันน้อยลงสามารถมีเวลาในการปฏิบัติมากขึ้นผู้เขียนเคยเรียนถามหลวงปู่ถึงการออกรุกขมูลว่าได้อะไรบ้าง

    หลวงปู่"ดีได้หลายอย่าง"

    เมื่อผู้เขียนเรียนถามถึงประสบการณ์ของการเดินรุกขมูลของหลวงปู่ท่านจึงเล่าที่สำคัญให้ฟัง ๒ เรื่อง ดังนี้

    หลวงปู่"กำลังเดินอยู่มีฝูงวัววิ่งเข้ามาเกือบร้อยตัวพระที่ไปด้วยจะวิ่งหนี บางองค์จะปีนต้นไม้ ข้าบอกว่า อย่าทำ! เดี๋ยวเสียเรื่องอยู่เฉยๆ พอวัววิ่งมาถึง แทนที่จะมาชนวัวกลับกลายเป็นวิ่งเวียนขวาทำการทักษิณาวรรตแล้วจึงหนีไป อีกครั้งคือ เดินไปแถวเมืองกาญจน์ติดเขตเมืองสุพรรณบุรี พวกนี้ชอบลองพระ พอปักกลดเสร็จ กลางคืนกำลังสวดมนต์ข้ารู้สึกไม่ค่อยดี ได้ยินเสียงว่า เห็ดขึ้นกลางนา ยิงไม่บาป เพราะเขาถือว่ากลดที่ปักเป็นเห็ด เขาลองยิงแต่ไม่ออก เสียงแช้ะ แช้ะ พอตอนเช้าเขามาขอของดีและขอขมาข้า ข้าเลยถอนกลดเดินต่อบอกเขาว่าไม่มีอะไรจะให้"

    หลวงปู่เล่าจบท่านยังแถมท้ายอีกว่า"อุปัชฌาย์ข้า (หลวงพ่อกลั่นวัดพระญาติ) บอกอานิสงส์ของการภาวนา สว่างเท่าหัวไม้ขีดไฟมากกว่าการตักบาตรจนขันลงหินทะลุ ด้วยความโง่เลยเที่ยวหาขันที่ทะลุ แต่ไม่เจอไปเจอเอาขันแตกใบหนึ่ง"

    พระพุทธองค์มีหลักสูตรของพระคือธุดงควัตร หลวงปู่จึงถือปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า และในการเดินธุดงค์นั้นตามพระวินัยกล่าวว่า ควรจะปฏิบัติหลังจากบวชได้ ๕ พรรษาแล้ว เพราะถือว่าเป็นผู้ใหญ่ (พระเถระ) หลวงปู่ได้ให้ข้อคิดว่า
    "ผู้ที่ออกเดินรุกขมูล ถ้าไม่มีความรู้หรือวิชาพอสมควรเมื่อเจอปัญหาหรืออุปสรรคจะเป็นอันตรายได้"


    อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา
    บัณฑิตย่อมฝึกตน
    พุทธพจน์
    __________________________________

    ๒๗. เ กิ น พ อดี

    ทางสายกลางหรือมัชฌิมาปฏิปทา คือความพอดีถ้ามากเกินหรือน้อยเกินไป จะมีผลต่อจิตใจผู้เขียนเคยเรียนถามหลวงปู่เกี่ยวกับคนที่เสียจริตกรรมอะไรที่ทำให้ต้องเป็นเช่นนั้น หลวงปู่ท่านตอบแบบปัจจุบันกรรมคือกรรมในชาตินี้ว่า

    "ผู้ที่เสียใจสุดขีด หรือดีใจสุดขีดจะทำให้เป็นบ้าได้"

    นอกจากนี้หลวงปู่ยังกล่าวถึงอารมณ์ของคนไม่ปกติ ท่านบอกว่าเป็นโรคลมบาทจิตบาดทะยักเกิดขึ้นกับร่างกาย บาทจิตเกิดขึ้นกับจิตใจ มีผลถึงประสาท ดังนั้นการรักษาอารมณ์ของคนจึงมีความจำเป็น บุคคลบางประเภทเดี๋ยวดี เดี๋ยวร้ายไม่แน่นอนหากที่เรียกว่า"ลมขึ้น ลมลง"เนื่องจากไม่ได้มีการฝึกจิตหรือฝึกสติให้มั่นคง การชำระแต่เพียงร่างกายถ้าไม่ได้ชำระจิตใจเสียบ้างในที่สุดจะเกิดการหมักหมมของอารมณ์เช่นเดียวกับผลไม้ที่เกิดการหมักหมมกลายเป็นเหล้าทำให้เกิดความมัวเมาหาทิศทางไม่เจอ จิตใจเต็มไปด้วยอธรรม มีการแก่งแย่งชิงดี ริษยาอาฆาตไปต่างๆ นานา เมื่อสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ จิตก็เกิดการล้มละลายได้ลำพังความรู้ทางโลกอย่างเดียวนั้นไม่สามารถนำมาปฏิรูปจิตได้มีครั้งหนึ่งหลวงปู่ท่านนั่งอ่านวิชาการทางโลก เมื่อเจ้าของหนังสือได้เรียนถามว่า"หลวงปู่อ่านเรื่องอะไร"

    หลวงปู่"ข้าอ่านไปยังงั้นแหละ ข้าถามหลวงปู่ทวดว่าอ่านแล้วจะได้อะไร ท่านตอบข้าว่า อ่านยังไงก็ไม่พ้นทุกข์ ที่ท่านทำอยู่นั้นคือทางพ้นทุกข์นั่นคือการปฏิบัตินั่นเอง"

    พระพุทธองค์ทรงหยิบใบไม้ขึ้นมาหนึ่งกำมือแล้วตรัสถามพระภิกษุว่า

    "ปริมาณใบไม้ในมือกับในป่าอันไหนมากกว่ากัน"

    พระภิกษุทูลตอบว่า"ในป่ามีมากกว่ากันจนประมาณไม่ได้"

    พระพุทธองค์"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความรู้ที่ตถาคตนำมาสอนพวกเธอก็เช่นเดียวกัน เพราะความรู้มีมากมาย แต่ที่ทำให้พ้นทุกข์คือสิ่งที่นำมาสอนพวกเธอเท่านั้น"

    สาธุ โข ปณฺฑิโต นาม น เตววอติปณฺฑิโต
    อันว่าบัณฑิตนั้นดีแน่แต่ว่าบัณฑิตเลยเถิดไปก็ไม่ดี
    พุทธพจน์
    __________________________________

    ๒๘. บ อ ก ไ ม่ ได้

    การที่หลวงปู่ท่านรับแขกโดยไม่ท้อถอยร่างกายเลยขาดกำลังเนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอ มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะที่ท่านให้พรหลังจากฉันอาหารเสร็จแล้ว ท่านนิ่งไปเกือบครึ่งชั่วโมงผู้คนในที่นั้นตกใจมาก รีบโทรศัพท์หาหมอเพราะเข้าใจว่าท่านช็อคหมดสติแต่ในที่สุดท่านก็หายเป็นปกติ คืนวันนั้นผู้เขียนไปเยี่ยมท่านถามถึงอาการว่าท่านหมดสติจริงหรือหลวงปู่ท่านตอบว่า

    "ไม่เห็นเป็นอะไรเขาตกใจกันไปเอง แกน่าจะรู้ว่าข้าทำอะไร ขืนบอกไปเดี๋ยวตกนรก"ผู้เขียนจึงพยักหน้าและเข้าใจว่า ท่านต้องเข้าสมาธิจิตขั้นสูงสุดเพื่อปรับธาตุขันธ์ให้เป็นปกติ เพราะร่างกายอ่อนเพลียมาก การทำเช่นนี้เพื่อให้จิตได้พักผ่อนเต็มที่และส่งผลไปถึงร่างกายผู้เขียนจึงพยายามตั้งคำถามว่า

    "แสดงว่า หลวงปู่เข้า........."ยังไม่ทันพูดจบดี ท่านรีบตัดบทว่า
    "ไม่ต้องพูด พอแล้ว หมดเรื่อง"
    __________________________________

    ๒๙. อำ น า จ บุ

    วันหนึ่งขณะที่หลวงปู่กำลังสนทนากับผู้เขียนมีญาติโยมบ้านอยู่ที่อำเภอนครหลวงเข้ามากราบนมัสการพร้อมกับขอร้องหลวงปู่ให้ช่วยเหลือลูกสาวซึ่งถูกผีเข้าเป็นเวลาถึง๓ ปี ผีที่เข้าบอกว่า โดนยิงตายที่หลังวัดข้างบ้านเจอผู้หญิงเกิดชอบใจต้องการได้ไว้เป็นภรรยา บางเวลาผีก็เข้า บางเวลาผีก็ออก ทำให้เกิดความกลัดกลุ้มมากถึงกับบางครั้งแกแทบจะยิงผี ซึ่งผีบอกว่า ยิงก็โดนลูกสาวแกเองหลวงปู่ฟังเสร็จจึงพยักหน้ามาที่ผู้เขียนแล้วบอกว่า

    หลวงปู่"แกช่วยเขาทีเอาบุญ"

    โยม"ต้องเอาตัวคนไข้มาหรือไม่ครับ"

    หลวงปู่"ไม่ต้อง"หลังจากนั้นหลวงปู่ตั้งจิตแล้วพูดว่า"เรียกตัวผีมารับบุญหวงปู่ทวด มารับบุญข้าให้โมทนาซะ จะได้ไปดีเป็นผีก็ไปเอาเมียผี ไม่ใช่มาเอาเมียคน รับบุญไปจะได้มีเมียนางฟ้าเยอะแยะดูด้วยว่าผีรับหรือยัง...รับแล้วใช่ไหม....ไปเกิดซะเอาละหมดเรื่องแล้ว"

    ผู้เขียนจึงบอกโยมคนนั้นว่า"ตอนที่เขาไปเกิดแล้วนี่เป็นเหตุ ลุงกลับบ้านลองไปดูถ้าลูกสาวไม่เป็นไรแสดงว่าหาย"โยมคนนั้นจึงกลับไปพร้อมกับความสงสัยจนกระทั่งผ่านไปเกือบเดือนแกได้กลับมาที่วัดอีกครั้ง พร้อมรายงานว่า"หายดีแล้วครับตั้งแต่วันนั้นไม่มีอาการเกิดขึ้นอีกเลยเพราะหลวงปู่เมตตาช่วยเหลือไว้"

    remark ; นี่ครับ สุดยอด ไล่ผีในแบบพระโพธิสัตว์ คือการแผ่บุญไปช่วยเหลือให้เขาปรับภพภูมิได้บุญด้วย เหมือนที่พวกเราทำกันอยู่ตอนนี้น่ะครับอ่านเรื่องนี้แล้วทุกท่านคงยิ่งชัดเจนเรื่องการแผ่บุญปรับภพภูมิ
    เป็นเรื่องง่ายๆ สำหรับหลวงปู่เลยลุงคนนั้นตอนแรกแกคงงงน่ะครับเพราะคุ้นเคยกับการใช้คุณไสยไปบังคับวิญญาณแบบพวกหมอผี แล้วแกก็คงคิดว่า เอแค่นี้เสร็จแล้วหรือ บารมีหลวงปู่เรื่องแค่นี้ ผงมากครับ
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC022962.jpg
      DSC022962.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22.5 KB
      เปิดดู:
      675
  16. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,358
    ๓๐. ก ร ร ม เ ก่

    โดยปกติหลวงปู่จะไม่มีการล้มหมอนนอนเสื่อมีครั้งแพทย์เห็นอาการท่านหนักมาก ท่านบอกไม่เป็นไรแต่ท่านได้สงเคราะห์ให้หมอรักษาโดยการให้น้ำเกลือหลวงปู่ท่านมองสายน้ำเกลือ

    หลวงปู่"นึกถึงกรรมที่เคยผูกควายไว้กับต้นไม้ ไม่ให้ไปไหนตอนนี้เลยมาโดนเข้ากับตัวเองโดนผูกเอาไว้เหมือนกัน"

    พระพุทธองค์ตรัสว่า"ขึ้นชื่อว่าความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า"เพราะการทำกรรมมีผู้บันทึกไว้ทั้งสิ้นไม่ว่าดีหรือชั่ว จิตคือคอมพิวเตอร์ที่บันทึกได้อย่างแม่นยำ ด้วยตัวของตัวเองและจิตตัวนี้จะแสดงผลของกรรมให้เห็นในขณะดับจิตหลวงปู่ท่านเล่าถึงกรรมที่จิตไปข้องนั้น เม้แต่น้อยนิดยังส่งผลได้โดยท่านกล่าวถึงอาจารย์องค์หนึ่งว่า

    หลวงปู่"เป็นพระปฏิบัติกรรมฐาน ท่านเคยบอกลูกศิษย์ลูกหาท่านว่า ถ้าท่านตายวันไหนจะมีเสียงปี่พาทย์ราดตะโพนมารับ พอท่านตายจริงๆ กลับเงียบทำให้ลูกศิษย์เศร้าใจและเป็นห่วงท่านไปไม่ได้ เพราะไปนึกถึงอ้อยที่โยมเอามาถวายท่านปลูกเอาไว้ กำลังจะได้ผล ท่านเพียงแต่คิดว่าจะนำไปถวายให้พระฉันถ้าตายไปเลยตอนนี้ก็จะไปเกิดเป็นเล็นติดอยู่กับต้นอ้อย พอวันที่ ๗พวกทายกเห็นต้นอ้อยงามดี เลยตัดนำไปถวายพระที่มางาน จึงเป็นโอกาสดี ท่านเลยโมทนาจิตไม่ติดเกาะอยู่เท่านั้นเอง ทายกทายิกาได้ยินเสียงปี่พาทย์รับขึ้นมาลูกศิษย์ลูกหาพลอยดีใจเพราะคำพูดอาจารย์กล่าวไว้ศักดิ์สิทธิ์"

    ตรงกับพุทธภาษิตบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า

    จิตฺเต สงฺกิลิฏเฐ ทุคฺคติปาฏฺกงฺขา
    เมื่อจิตเศร้าหมองแล้วทุคติเป็นอันต้องหวัง
    จิตฺเตอสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา
    เมื่อจิตไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นอันหวังได้

    ______________________________

    ๓๑. อ า ห า เ ร ป ฏิ กู ล สั ญ ญ า

    พระสงฆ์ทุกองค์มีวินัยกำหนดให้พิจารณาอาหารก่อนทำการฉันมองให้เห็นเป็นสิ่งปฏิกูล เพราะได้มาจากธาตุดินเมื่อบริโภคแล้วจะได้ไม่ยึดติดในกลิ่นรส คิดว่าฉันเพื่อประทังความหิวและให้สังขารร่างกายได้ปฏิบัติต่อไป ให้ได้คุณธรรม หลวงพ่อมหาวีระท่านกล่าวไว้ว่า"ถ้าภิกษุฉันอาหารโดยไม่พิจารณาก่อน กินถ่านแดงเสียดีกว่า เพราะกินแล้วตายเลยไม่ต้องไปทนทุกข์ทรมานในนรก"ซึ่งคำพูดของท่านได้มาจากพระไตรปิฎก

    วันหนึ่งผู้เขียนจึงได้เรียนถามหลวงปู่ว่า

    ผู้เขียน"ท่านพิจารณาอย่างไรก่อนฉัน"
    หลวงปู่"กินก็ตาย ไม่กินก็ตาย"
    ______________________________

    ๓๒. สู บ บุ หรี่

    ในเรื่องของการกินหมาก สูบบุหรี่มีพระสงฆ์อีกหลายๆ องค์ ถูกโจมตีจากผู้ปฏิบัติที่ยังติดรูปแบบ เพราะอ้างว่าแม้แต่กิเลสที่หยาบๆ ยังละไม่ได้ กิเลสส่วนละเอียดจะละได้อย่างไรผู้เขียนเคยสัมผัสกับพระที่ทรงคุณธรรมหลายองค์ อาทิ พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโนท่านยังคงฉันหมาก เมื่อมีผู้เรียนถาม ท่านตอบมีใจความโดยย่อว่า

    "บุหรี่หรือหมาก ไม่ใช่เป็นเครื่องกั้น มัคคาวรณ์ (มรรคผลนิพพาน) และสัคคาวรณ์ (สวรรค์)"

    เรื่องนี้เป็นการยากที่เราปุถุชนจะไปตัดสินได้แน่ชัดเพราะกิริยาที่ท่านสูบบุหรี่กับการที่ท่านสูบบุหรี่เพราะติดบุหรี่อย่างเครื่องเสพติดนั้นไม่เหมือนกันถ้าจิตใจของท่านเป็นทาสบุหรี่ สูบด้วยความกระหายงมงายด้วยเป็นสิ่งเสพติดอย่างนั้นก็ผิด

    พระบางองค์ท่านเห็นชาวบ้านมีทุกข์แต่ไม่รู้จะเข้าวัดอย่างไร ไม่รู้จะหาอะไรมาถวายพระเอาบุหรี่มาถวายท่านก็เมตตาสูบให้ อย่างหลวงปู่แหวนท่านเอาบุหรี่มวนเองของชาวบ้านที่เขาเอามาถวายทำให้ผู้ถวายรู้สึกว่าตนยังพอมีของเล็กๆ น้อยๆ มาถวาย ให้เกิดความชื่นใจ ปีติอิ่มเอิบ นึกอยากมาวัดอีก มาฟังคำสอนจากท่าน

    ถ้าท่านปฏิบัติอย่างนั้นการสูบบุหรี่ก็เป็นกิริยาเพื่อโปรดสัตว์เพื่อสงเคราะห์สัตว์โลกให้มีหลักยึดในใจก็ไม่ผิด

    ผู้เขียนมาคิดเองว่าคนกินเหล้ากับคนไม่กินเหล้านิสันดีกับนิสัยไม่ดี แตกต่างกันหรือไม่ผู้ที่นุ่งขาวห่มขาวถือศีลจะมีนิสัยดีจริงหรือ คนสูบบุหรี่กับคนไม่สูบบุหรี่มีสิ่งไหนตัดสินว่า ใจดีหรือใจไม่ดีคนตัดผมสั้นกับคนไว้ผมยาวใครดีกว่ากัน

    วันหนึ่งมีพยาบาลไปกราบนมัสการหลวงปู่ พยาบาลคนนั้นนั่งอยู่ใกล้หลวงปู่พอสมควรคิดในใจว่านี่หรือพระที่มีผู้คนนับถือกันทั้งแผ่นดิน ยังพ่นควันบุหรี่โขมงและแล้วเธอก็ต้องตกใจอย่างมาก เมื่อได้ยินหลวงปู่กล่าวว่า

    หลวงปู่"เรื่องของข้า ข้าจะสูบหรือไม่สูบไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน"

    ผู้เขียนมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งชอบสูบบุหรี่มาก

    หลวงปู่"แก (หมายถึงผู้เขียน) สูบแต่ไม่ติดแต่เพื่อนแกสูบติด"

    ดังนั้น ท่านจึงเน้นที่ใจเป็นสำคัญหลวงปู่ท่านเคยปรารภเรื่องสูบบุหรี่ให้ผู้เขียนฟังว่า

    หลวงปู่"สูบแล้ว นึกถึงสมัยเคยเลี้ยงควายตอนเด็กได้บุหรี่เป็นเพื่อนเลยไม่อยากทิ้ง ข้าจะสูบจนตายนั่นแหละ"
    <O:p</O:p
     
  17. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,358
    ๓๓. ต า ย ก่ อ น ตา ย ช่วงที่

    เมื่อครั้งที่เกิดอุบัติเหตุจากเครื่องบินตกที่อ.ธัญบุรี เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๒๗ มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้หลายคนในจำนวนนั้นมีพระสงฆ์ ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนภาคอีสานได้ถึงแก่มรณภาพพร้อมกันหลายรูป มีพระอาจารย์จวน, พระอาจารย์วัน, พระอาจารย์สิงห์ทอง เป็นต้น มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากมายว่าท่านเหล่านี้ล้วนทรงคุณธรรมสัมมาปฏิบัติ ทำไมจึงต้องมามรณภาพแบบนี้ผู้เขียนเรียนถามหลวงปู่ ท่านตอบว่า

    "ท่านเหล่านั้น ตายก่อนตาย ท่านจึงไม่กลัวตายท่านตายแล้วก่อนเครื่องบินจะตกลงกับพื้น"

    ผู้เขียนเกิดความสงสัยในคำพูดของหลวงปู่คิดจะถามต่อเพราะเข้าใจว่าท่านถอดจิตไป แต่หลวงปู่ท่านตอบว่า

    "ท่านเป็นพระอรหันต์ กิเลสท่านหมดแล้วตายตอนไหนก็เป็นเรื่องของสังขารร่างกายจิตท่านไม่ตาย"

    ผู้เขียนยกมือสาธุคำพูดของหลวงปู่ความสงสัยในใจหายไป นึกถึงพระโมคคัลลาน์ พระอรหันต์ผู้ทรงคุณวิเศษยังต้องถูกโจรทุบตาย กรรมทางร่างกายเกิดขึ้นกับท่าน เพราะด้วยใช้กรรมจากอดีตเนื่องจากเคยทารุณบิดามารดาในกาลก่อน

    มีพระภิกษุท่านหนึ่งได้ออกข่าวครึกโครมในทำนองว่าการตายของพระเหล่านั้น เป็นการตายโหง ยังไปไม่ได้ถึงกับท่านต้องแผ่เมตตาให้บุญ จึงพ้นจากภูมิที่ท่านได้เป็นอยู่แต่ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าหลวงปู่ต้องพูดไม่ผิดจึงบอกกับผู้ที่มาถามถึงทรรศนะของผู้เขียน โดยบอกว่าให้รอเมื่อเผาท่านเหล่านี้เสียก่อนแล้ว จึงค่อยมาพูดกันเพราะยิ่งพูดยิ่งวิจารณ์มากจะเกิดบาปเปล่าๆ

    หลังจากมีพิธีพระราชทานเพลิงศพพระอาจารย์เหล่านั้นอัฐิของท่านได้กลายเป็นพระธาตุซึ่งแสดงถึงคุณธรรมความบริสุทธิ์เป็นจริงตามที่หลวงปู่กล่าวไว้..

    _____________________________

    ต า ย ก่ อ น ต า ยช่วงที่ ๒

    ในเรื่องของความตาย หลวงปู่เคยพูดเสมอว่า"ท่านสู้แค่ตาย"และเมื่อท่านถึงคราวละสังขาร ท่านก็แสดงถึงสัจธรรมคำพูดท่าน คือท่านหัวใจวายในขณะที่ท่านกำลังจะออกมาโปรดญาติโยมตามปกติญาติโยมบางท่านเกิดความข้องใจว่า ทำไมหลวงปู่จึงไม่นั่งสมาธิละสังขารผู้เขียนจึงระลึกถึงคำพูดของท่านอาจารย์ดูลย์ อตุโลในคราวที่ปีนเขาขึ้นไปเยี่ยมพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ที่ถ้ำขามด้วยความยากลำบากท่านบอกกับอาจารย์ฝั้นว่า"ท่านไม่มีวิบากของสังขารถ้าเห็นว่าไปไม่ไหวก็ทิ้งไปเลย"แสดงถึงจิดของท่านที่เตรียมหร้อมทุกอิริยาบท หลวงปู่ดู่เช่นกันท่านไม่เคยแสดงอาการเจ็บป่วยแบบล้มหมอนนอนเสื่อให้ลูกศิษย์ได้ปฐมพยาบาลอย่างมากที่สุดคือ ท่านอนุญาตให้นายแพทย์ทำการให้น้ำเกลือหรือฉีดยาเพื่อการสงเคราะห์เท่านั้น บางครั้งแพทย์ลงความเห็นว่าท่านควรจะไปรักษาที่โรงพยาบาล ท่านก็ไม่ยอมไป หลวงปู่เพียงแต่บอกว่า"ไม่เป็นไร"ถ้าลูกศิษย์แสดงความกังวลออกมาท่านจะพูดออกมาว่า"ยังไม่ตายหรอก ถ้าตายเมื่อไรจะบอก"แสดงถึงความกล้าหาญไม่กลัวในความตายของหลวงปู่ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม

    ลูกศิษย์ที่รับใช้หลวงปู่เล่าให้ผู้เขียนฟังว่ามีอยู่วันหนึ่งดูอาการของหลวงปู่ไม่ดีอย่างมาก คิดในใจว่าจะไปโทรศัพท์เรียกนายแพทย์หลวงปู่รีบบอกว่า"ไม่ต้องโทรไปบอกข้าไม่เป็นไร"ด้วยความที่เธอเป็นห่วง จึงโทรตามนายแพทย์มาเมื่อนายแพทย์มาถึงและตรวจอาการก็ไม่พบอะไร เมื่อนายแพทย์กลับไปแล้วอาการท่านก็เป็นแบบเดิม และในสันนี้ ก็เป็นวันสุดท้ายของหลวงปู่ที่จะละสังขารจริงๆมีญาติโยมจะนำสังฆทานมาถวายท่านในตอนเย็น หลวงปู่สั่งให้ไปถวายพระองค์อื่นเงินให้ใส่ในตู้ทำบุญนับแต่นี้ไปท่านจะเลิกรับสังฆทาน

    พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโนวัดป่าบ้านตาด เคยเขียนประวัติพระอาจารย์มั่น ตอนหนึ่งกล่าวถึงพุทธนิมิตของพระอรหันต์ ซึ่งแสดงถึงการนิพพาน มีอยู่หลายอิริยาบททั้ง ยืน เดิน นั่งนอน แล้วแต่เวลาที่จะไป บางองค์เดินอยู่แล้วถึงนิพพานนับว่าเป็นภาพที่ประทับใจสำหรับพระอาจารย์มั่นมากหลวงปู่ดู่ท่านกำลังเดินออกจากกุฏิแต่มรณภาพ ก่อนที่จะออกมาเมตตาแสดงถึงความไม่สะทกสะท้านดังเช่น หลวงปู่ดูลย์บอกไว้ทุกประการ....<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2007
  18. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,358
    [​IMG]
    ๓๔. ผู้ มี ป ก ติอ่ อ น น้ อ ม

    เมื่อครั้งหลวงปู่บุดดา ถาวโรวัดกลางชูศรีเจริญสุข จ.สิงห์บุรี มาเยี่ยมหลวงปู่ที่วัดปกติหลวงปู่บุดดาท่านจะมีแป้งกระป๋องติดตัวอยู่เสมอเพื่อประทานให้ญาติโยมที่ไปกราบนมัสการ เพราะมีความศรัทธาว่าเป็นของมงคลเมื่อหลวงปู่ดู่กราบหลวงปู่บุดดาเรียบร้อยแล้วท่านได้ประทานแป้งใส่มือหลวงปู่ดู่หลวงปู่รับไว้และนำมาทาบนศรีษะหลวงปู่บุดดาและหลวงปู่ดู่ได้สนทนาธรรมกันชั่วระยะหนึ่งหลวงปู่บุดดาจึงลากลับ

    หลวงปู่บุดดาท่านนี้เป็นอาจารย์ของหลวงพ่ออินทร์วัดไทรงามเหนือ จ.กำแพงเพชร ซึ่งเป็นอาจารย์ของผู้เขียนหลวงพ่ออินทร์ได้เคยบอกกับผู้เขียนว่า"หลวงปู่บุดดาเป็นธรรมทั้งองค์ เป็นทองทั้งแท่ง พระธรรม ๘๔,๐๐๐อยู่ในดวงใจของท่าน ท่านรู้ทั้งนั้น หลวงพ่อเคยธุดงค์ไปกับท่านพร้อมกับหลวงพ่อสงฆ์วัดอาวุธฯ"

    มีญาติโยมที่นั่งอยู่ด้วยได้เรียนถามหลวงปู่ดู่ว่า ทำไมจึงนำแป้งไปทาบนศรีษะ ท่านตอบว่า

    "ของพระอรหันต์ให้ แกจะให้ไปทาที่ไหนละ จึงจะสมควรเดี๋ยวจะกลายเป็นความไม่เคารพนอกจากบนหัวของเรา"

    สังฆัง สรณัง คัจฉามิพระอริยสงฆ์เป็นสรณะที่พึ่งของข้าพเจ้า คนโบราณจึงถือว่าพระรัตนตรัยอยู่เหนือเศียรเหนือเกล้าด้วยเหตุฉะนี้
    _____________________________

    ๓๕. น า น า ท ร ร ศน ะ เ กี่ ย ว กั บ พ ร ะ เ ค รื่ อ ง บู ช

    ผู้ที่มีพระเครื่องบูชามักคิดไม่ตกว่าควรวางไว้ที่ใดจึงควรแก่การสักการะ คำถามเหล่านี้มีเป็นประจำผู้เขียนจึงรวบรวมไว้โดยสังเขป ดังนี้

    ผู้ถาม"พระหลวงปู่ตั้งไว้ที่เดียวกับพระพุทธเจ้าได้ไหม"

    หลวงปู่"ข้าทำพระ สุดท้ายก็อธิษฐานเป็นพระพุทธเจ้ารูปข้าหรือรูปพระสงฆ์ทั่วไปยังไม่ใช่ของจริง เป็นของหลอกมีแต่พระพุทธเจ้าจึงมีจริง"

    ผู้ถาม"อย่างนั้นตั้งไว้อาสนะเดียวกันได้สิครับ"

    หลวงปู่"ได้ ถ้าแกไม่กลัวโลกเขาติเตียนผู้รู้จะตำหนิเอาได้"

    ผู้ถาม"ถ้าผมไม่มีโต๊ะหมู่บูชามีเพียงโต๊ะตัวเดียวจะทำอย่างไร"

    หลวงปู่"เอาผ้าขาว กระดาษขาว วางรองไว้ที่ฐานพระพุทธรูปก็ถือว่าคนละอาสนะแล้ว"

    ผู้ถาม"ถ้ามีคนเอารักยม กุมาร หรือรูปนางกวักเหล่านี้มาหลวงปู่เสกไหมครับ"

    หลวงปู่"เสกได้ ทำเป็นพระเสียก็หมดเรื่อง รักยมก็บวชให้เป็นเณรเณรเป็นอรหันต์มีเยอะแยะ นางกวักก็เป็นภิกษุณี"

    ผู้ถาม"พระแก้วมรกตมีพระธาตุจริงไหม"

    หลวงปู่"พระแก้วเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันพระนาคเสนเป็นพระอรหันต์ที่สร้างขึ้นมา ท่านอธิษฐานให้พระสารีริกธาตุสถิตอยู่ ๗แห่ง"

    ผู้ถาม"ตัวแทนพระพุทธเจ้าทุกองค์ต้องสร้างด้วยมรกตสีเขียวใช่ไหมครับ"

    หลวงปู่"ไม่เหมือนกัน ถ้าถึงยุคพระศรีอริยเมตไตรยพระทำด้วยทับทิม (แก้วมณี)เพราะเป็นของคู่บารมีท่าน"

    ผู้ถาม"การที่พระภิกษุสร้างรอยเท้าให้บูชานั้นมีวัตถุประสงค์อย่างไร"

    หลวงปู่"การทำเช่นนั้น มิใช่การทำรอยเท้าของท่านเองหากแต่อธิษฐานเป็นรอยเท้าพระพุทธเจ้า"


    _____________________________

    ๓๖. ท า ง ที่ พ้ นโ ล

    หลวงปู่เคยเล่าให้ผู้เขียนฟังถึงประสบการณ์จากลูกศิษย์คนหนึ่งกล่าวคือ ในตอนแรกลูกศิษย์ของท่านคนนี้นับถือศาสนาคริสต์ก็ไม่ยอมปฏิบัติจนกระทั่งวันหนึ่งได้มีโอกาสเข้าไปนั่งปฏิบัติในกุฏิของท่านและเห็นหลวงปู่ทวดในนิมิต ด้วยเหตุผลทางศาสนาจึงทำให้ไม่ยอมกราบหลวงปู่ทวดแต่ในที่สุดก็ต้องกราบหลวงปู่ทวดจนได้

    ต่อมาลูกศิษย์คนนี้มานมัสการท่านพร้อมทั้งรายงานผลการปฏิบัติ และได้เรียนถามท่านว่า"หลวงลุงครับ รู้จักหลวงพ่อธรรมโชติไหม"ท่านก็ฉุกคิดได้ถึงการอธิษฐานของท่านเมื่อหลายสิบปีก่อน

    หลวงปู่"ข้าเคยอธิษฐานขอคาถาจากรพอาจารย์ธรรมโชติเพราะเห็นคนเขาลักของของวัด บางทีข้านอนอยู่ยังลักไปต่อหน้าต่อตา เขาเล่ากันว่าที่วัดของท่าน ใครลักของไปต้องเอามาคืนหมดพระอาจารย์ธรรมโชติองค์นี้เป็นผู้ที่มีอาคมขลังในสมัยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒และท่านเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมอยู่ในค่ายบางระจันเพื่อต่อสู้กับอริราชศัตรูคือพม่า"

    ลูกศิษย์"อาจารย์ธรรมโชติท่านสั่งให้ผมมาเรียนหลวงลุงว่าคาถาที่ขอนั้นยังเป็นโลก ติดอยู่ในโลกไปไม่ได้แต่วิธีการของหลวงลุงเป็นการทำตัวให้พ้นโลกที่ท่านทำนั้นสูงอยู่แล้ว"

    หลวงปู่จึงพูดกับผู้เขียนว่า
    "ที่จริงข้าลืมไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะขอมานมนานกาเลแต่ท่านยังอุตส่าห์บอกถึงข้าจนได้"

    _____________________________

    ๓๗. ป รั บ ป รุ งตั ว เ อ ง

    [FONT=Tahoma]ผู้เขียนได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับหลวงปู่ดู่[/FONT][FONT=Tahoma]เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๒๙ วันนั้นได้คุยกับหลวงปู่ว่า[/FONT]
    [FONT=Verdana]"[/FONT][FONT=Tahoma]สำหรับคนที่อยู่ทางโลก[/FONT][FONT=Tahoma]ยังต้องเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์กับทางโลกอยู่[/FONT][FONT=Tahoma]การปฏิบัติตัวของเรามีทั้งสิ่งที่เป็นบุญ และสิ่งที่เป็นบาป[/FONT][FONT=Tahoma]ช่วงใดที่เราปฏิบัติตัวเองในทางธรรมดี เมื่อมีการหลงกระทำผิดแล้วทำให้เกิดบาป[/FONT][FONT=Tahoma]สิ่งนี้จะมาคอยตัดกำลังใจของเราอยู่บ่อยๆ"[/FONT]

    [FONT=Tahoma]ผู้เขียนจึงเรียนถามหลวงปู่ว่า[/FONT][FONT=Verdana]"[/FONT][FONT=Tahoma]เรามีวิธีการปรับปรุงตัวเองอย่างไร"[/FONT][FONT=Tahoma]หลวงปู่ท่านเมตตาสอนว่า[/FONT][FONT=Verdana]"[/FONT][FONT=Tahoma]ในวันหนึ่งๆ นั้น[/FONT][FONT=Tahoma]การทำดี-ทำไม่ดี ของเรามีอะไรบ้าง ตั้งแต่เช้าจรดเย็น แล้วนำมาเปรียบเทียบกัน[/FONT][FONT=Tahoma]หมั่นทำตัวให้ดีขึ้น"[/FONT][FONT=Tahoma]ผู้เขียนประนมมือน้อมรับคำสอนของหลวงปู่ที่ท่านพยายามให้ลูกศิษย์ของท่านพยายามปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ[/FONT]

    [FONT=Tahoma]หลวงปู่กล่าวเสริมอีกว่า[/FONT][FONT=Verdana]"[/FONT][FONT=Tahoma]ข้าทำของข้าอย่างนี้ล่ะ[/FONT][FONT=Tahoma]หายอยากแล้ว"[/FONT]

    [FONT=Tahoma]หลวงปู่ดู่จะปรารภธรรมให้ลูกศิษย์ของท่านหมั่นตั้งใจปฏิบัติธรรม[/FONT][FONT=Tahoma]ปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น ถ้าหลับตานั่งสมาธิแล้วมีความสว่างเกิดขึ้น[/FONT][FONT=Tahoma]ท่านบอกว่านั่นแหละ บุญเริ่มเกิดขึ้นแล้ว ให้น้อมจิตศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม[/FONT][FONT=Tahoma]พระสงฆ์ มากขึ้นๆ ความสว่างก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ[/FONT]

    [FONT=Tahoma]หลวงปู่เคยสอนว่า[/FONT][FONT=Verdana]"[/FONT][FONT=Tahoma]ถ้าแกทำสว่างแล้ว จะไปไหนมาไหนก็ได้ ถ้าแกยังมืดอยู่[/FONT][FONT=Tahoma]จะไปไหนมาไหนสะดวกหรือ[/FONT][FONT=Verdana]? [/FONT][FONT=Tahoma]พยายามทำให้มันสว่างก่อน"[/FONT]

    [FONT=Tahoma]สักครู่ท่านจึงกล่าวขึ้นมาว่า[/FONT]
    [COLOR=red][FONT=Verdana]"[/FONT][/COLOR][COLOR=red][FONT=Tahoma]คนเราก่อนเกิด ตอนอยู่ในท้องแม่ก็มืด[/FONT][/COLOR][COLOR=red][FONT=Tahoma]หลังจากคลอดออกมายังจะปล่อยให้มืดอีกหรือ"[/FONT][/COLOR]

    [FONT=Tahoma]สาธุ ..... กราบแทบเท้าหลวงปู่ดู่[/FONT][FONT=Tahoma]พรหมปัญโญ[/FONT]
    [U][COLOR=yellowgreen][FONT=Tahoma]พ ร[/FONT][/COLOR][COLOR=yellowgreen][FONT=Tahoma]ะ ผู้ จุ ด ป ร ะ ที ป ใ น ด ว ง ใ จ[/FONT][/COLOR][/U]
    [FONT=Tahoma]กุศลใดที่ลูกพึงได้รับจากการเผยแผ่ธรรมทานของหลวงปู่นี้[/FONT]
    [FONT=Tahoma]ขอกุศลนี้จงเป็นของเพื่อนทุกคน[/FONT][FONT=Tahoma]และแผ่ออกไปอย่างมิมีประมาณด้วยเทอญ[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.6 KB
      เปิดดู:
      1,816
  19. ruice7

    ruice7 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +41
    ดีใจจังที่ได้เข้ามาอ่านกระทู้ของคุงspeciallize ได้รู้อะไรตั้งหลายอย่างเลยนะ เราชอบอ่านเรื่องผีมาก แต่ก็มะเคยเจอจริง และก็ไม่อยากเจอด้วย ขอบคุณมากจะติดตามต่อไปนะคะ
     
  20. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,155
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,358
    สำหรับญาติธรรมทุกท่านที่ติดตามอ่านกระทู้ผม สำหรับผู้ที่ติดตามอ่านแล้วสงสัยว่า หลวงปู่ดู่ท่านคือใคร ? บทสวดจักรพรรดิและพระผงจักรพรรดินั้นเป็นอย่างไร จะหาได้จากที่ไหน วันนี้ผมนำมาแจกให้ทุกท่านที่อ่านกระทู้ผมครับ สำหรับผู้ที่อยากได้ สามารถขอได้จากกระทู้ผมเลย หรือไปที่เวป http://www.watthummuangna.com/ วัดถ้ำเมืองนะครับ

    แจก Free ! พระผงจักรพรรดิสูตรหลวงปู่ดู่ - หลวงตาม้า วัดพุทธพรหมปัญโญ
    ซึ่งพระนี้ใช้กำเวลานั่งสมาธิ หรือ นำไปใช้แผ่บุญได้ ซึ่งวิธีการใช้ต่างๆผมจะอัพลงในเวปนี้ให้อ่านกันนะครับ

    สำหรับพระผงจักรพรรดิที่ผมจะแจกในกระทู้นี้ ผมจะแจกทั้งหมด 50 ชุดครับ ชุดละ 3 องค์ พร้อมบทสวดจักรพรรดิครับ สำหรับพิมพ์ที่จะแจกก็มี ...


    [​IMG]
    พิมพ์หลวงปู่ทวด - หลวงปู่ดู่ ทั้งสององค์นี้จะมอบให้คู่กันครับ

    [​IMG][​IMG]

    ส่วนอีกองค์ที่จะได้ ก็เป็นพิมพ์พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือ พิมพ์พระพุทธเจ้าปางจักรพรรดิองค์ใดองค์หนึ่งครับครับ ซึ่งทั้งสองพิมพ์นี้เป็นพระที่ผมสร้างเอง บางองค์ก็มีพระธรรมธาตุขึ้นเหมือนกันครับ ผมสร้างเพื่อบรรจุกรุโดยเฉพาะครับ มวลสารที่ใช้สร้าง สูตรที่ใช้สร้างก็ได้รับสูตรจากหลวงตาม้า มวลสารที่สร้างก็คือผงจักรพรรดิ และปูนขาว และผงมวลสารวิเศษกว่า 4,000 ชนิดที่ได้รับมาพร้อมบล็อคจากพี่หมวด Attawat RX ครับ ขอโมทนาทั้งหมดทั้งมวลครับ

    สำหรับผู้ที่สนใจ ให้ส่งซองกันกระแทก สอดใส่ซองเปล่าขนาด A4 พร้อมเงินค่าส่งลงทะเบียนมาที่

    อนุพงศ์ อินต๊ะวงศ์ 407/8 ถ.อิสรภาพ ต.เวียง อ.เมือง จ.เชียงราย 57000

    วิธีการรับในกระทู้ก็ให้ท่าน ใส่เลขลำดับที่จองเช่น

    No.1 Specialized ขอรับพระผงจักรพรรดิสูตรหลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า 1 ชุด

    ทำตามลำดับเพียงเท่านี้ท่านก็จะได้รับพระผงจักรพรรดิไว้บูชากันครับ



     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      14 KB
      เปิดดู:
      746
    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.8 KB
      เปิดดู:
      699
    • 3.jpg
      3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.4 KB
      เปิดดู:
      714
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...