นี่เขาคิดอะไรกันแน่สั่งให้ครูไปอบรมธรรมะแต่(จัดโดยธรรมกาย)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย data44, 26 กรกฎาคม 2013.

  1. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,152
    ค่าพลัง:
    +1,487
    ผมว่าอธิบายไปแล้วนะอันนี้...แต่ถ้าสรุปย่อเอาแค่ที่เห็นชัดๆๆๆนะ

    อัตตา ก็คืออะไรที่เที่ยงที่มีอยู่ด้วยตัวมันเองไม่อิงอาศัยสิ่งใด
    อย่าปรัชญาฮินดู เขาว่ามี อตามัน เป็นมูลกรรณะของสรรพสิ่งคือเป็นต้นกำเนินของสรรพสิ่งเป็นของที่ทำลายไม่ได้ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากสิ่งอื่นใด

    ทีนี้พุทธศาสนา ค้านเพราะพุทธศาสนาว่าไม่มี ไอ้สิ่งที่เป็นของที่ทำลายไม่ได้ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากสิ่งอื่นใด

    เรายึดหลักเหตุปัจจัย คือมันจะมีตัวตนขึ้นมาได้ต้องมีเหตุ ถ้าเหตุเปลี่ยนไปมันก็ต้องเปลี่ยนตามคือดับไป
    อย่างรถ มาจากเพลา มาจากล้อ มาจากโครงรถ แบตตอรี่ เทือกนี้ถ้ารถคุณไม่มีล้อมันเป็นรถได้ไหม ?แล้วความเป็นรถของคุณอยุ่ที่ไหนที่ล้อ ที่โครง แบ็ตตอรี่ รึเปล่า

    ทีนี้อนัตตา คือปฏิเสธการมีตัวตนของสิ่งต่างๆๆ ประเด็นแรกคือการมีตัวตนที่แท้จริงของสิ่งต่างๆๆ อย่างรถ เพราะรถต้องมีเหตุมีปัจจัยจึ่งจะมีขึ้นมา ถูกไหม มันไม่ได้มีตัวตนที่แท้จริงขึ้นมาได้ด้วยตัวสมันเอง

    เลยปฏิเสธว่ามีอัตตาที่เที่ยงไม่มีการแบ่งแยก มีตัวตนขึ้นมาโดยไม่มีเหตุปัจจัย
    คือมีจุดยื่นว่า สิ่งต่างต้องมีเหตุปัจจัย

    ที่นี้ขอให้ดูความทุกข์ ความทุกข์มีเหตุปัจจัยไหม? มีถูกไหม ซึ่งดีแล้วถ้าไม่เช่นนั้น ก็จะเป็นอัตตา คือ เที่ยง มีตัวตนขึ้นมาโดยไม่มีเหตุปัจจัย
    จึ่งแบ่งแยกทำลายไม่ได้

    ที่นี้นิพพานคือความดับของทุกข์อันนี้เป็นนิยามที่ง่ายสุดนะ คือทุกข์ในใจคุณนี่หายไปสนิทไม่กลับมาอีก เพราะอวิชชา ตัญหา อุปทานถูกถอนออกไป เมื่อทุกข์หายไปนั้นแหละคือนิพพาน อุปมาเหมือนไฟ ไฟคือความทุกข์ ความดับของไฟเพราะหมดเชื้อคือนิพพาน แล้วคุณว่าไอ้ความดับนี้มีตัวตนได้ไหม คุณเห็นความเป็นตัวตนอะไรอีกหรือหลังจากเปลวไฟดับไป

    ถ้าไม่ก็เป็นอนัตตา
     
  2. Artorius

    Artorius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +313
    แล้วคุณว่าไอ้ความดับนี้มีตัวตนได้ไหม คุณเห็นความเป็นตัวตนอะไรอีกหรือหลังจากเปลวไฟดับไป
    ถ้าไม่ก็เป็นอนัตตา


    ผมกำลังทำความเข้าใจอยู่ คุณหมายถึง ไฟคือทุกข์ที่ดับไปเพราะไม่มีเชื้อ ฉะนั้นไฟดับจึงชื่อว่าทุกข์เป็นอนัตตา อันนี้ถูกต้องเราเข้าใจตรงกัน
    ทีนี้ คุณถามว่าไอ้ความดับนี้มีตัวตนได้ไหม เมื่อไม่มีก็เป็นอนัตตา คุณกำลังจะบอกว่าไฟดับไม่มีอะไรเหลือภาวะการดับของไฟ(นิพพาน)จึงเป็นอนัตตา อันนี้ผมว่าไม่ใช่ ไฟดับคือทุกข์ดับหมายถึงทุกข์เป็นอนัตตาอันนี้ถูกแน่นอน แต่ไม่ใช่เอามาบอกว่านิพพานเป็นอนัตตา เพราะนิพพานคือภาวะการดับของไฟ ถ้าภาวะนั้นถ้าเป็นอนัตตาหมายความว่าความดับไปของทุกข์ย่อมไม่เที่ยง ยึดถือไม่ได้ ไม่มีตัวตน
    ทีนี้เราเข้าใจตรงกันที่นิพพานไม่ใช่อัตตาแน่นอน
    ทีนี้ปัญหาคือคุณก็บอกเองว่า ไม่มีการมาไม่มีการไป ไม่มีเกิด และไม่มีการจุติ แต่เป็นสิ่งๆหนึ่งที่สามารถปฏิบัติเข้ามาได้โดยรอบ
    คือผมกำลังบอกว่า นิพพานไม่ใช่ทั้งอัตตาและอนัตตา นิพพานคือนิพพาน เป็นสิ่งๆหนึ่งที่สามารเข้ามาได้โดยรอบ ไม่มีกว้างเล็กยาวใหญ่ งามไม่งาม ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่สามารถหยั่งลงได้ในที่นี้ ไม่มีการมาไม่มีการไป ไม่มีเกิด ไม่มีจุติ
    อันนี้คือคุณพอเข้าใจหรือไม่ หรือว่าผมเข้าใจคุณถูกต้องหรือไม่
     
  3. กฮ

    กฮ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    430
    ค่าพลัง:
    +415
    พระวินัยเป็นหลักในการปฏิบัติ จะไปข้ออื่นแล้วถามว่าเราฉลาดในพระวินัยแล้วหรือยัง

    คุณไปยึดตำรามาโยงแบบไร้หลักอยู่นะ ตอบมาให้ได้ว่า รูปคืออะไร นามคืออะไร พิจารณาหลายๆ รอบ หากยังไม่แจ้งแก่ใจ นั่นคือเราสำคัญผิด

    รูปกับรูป ทั้งสองก็รูปเหมือนกันแต่ทำไมถึงต่างกัน นามกับนาม ทั้งสองก็นามเหมือนกันแต่ทำไมถึงต่างกัน ลองคิดดูครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2013
  4. ชีวอน

    ชีวอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +763
    เท่าที่ผมรู้จักกับวัดพระธรรมกายมา ทั่งก่อนและหลัง แตกต่างกันครับ ส่วนมากที่วิจารณ์เพราะตามสื่อหรือกระแส่วิจารณ์ตามๆกันไปทั้งนั้น ไม่ได้เข้าไปสัมผัส หรือเข้าไปแล้วจับผิดมีอคติกับตัวและไม่ยอมรับ ก่อนเข้าไปแล้วทั้งนั้น ผมเข้าไปไม่เสียอะไรเลยได้กลับออกมามากด้วย ส่วนมากมีแต่พวกโจมตี ใส่ร้ายจะๆเลยก้อมี ผมลองเข้าไปบวชจับผิดดู ก้อกลับมาละอายใจตัวเองว่าโชคดีแล้ว ที่ไม่ได้ว่าร้ายอะไรโดยที่ไม่รู้ไปมากกว่านี้ ท่านไม่เคยสอนให้ว่าร้ายใครหรือสำนักอะไรเลย แต่บอกแค่ว่า ศีลตัวเองมีครบแล้วหรือยัง ไปว่าพระ227ข้อไม่ใช่ว่าสำนักข้าแน่กว่าสำนักอื่นไม่ใช่ และผมตอนอยู่ในผ้าเหลือง ก้อเป็นพระดีครับคิดว่าดีมากด้วย ไปอบรมธรรมมะไม่ดีหรือครับ หรือต้องจัดไปสัมมนากินเลี้ยงกันถึงจะดี มีจานดาวธรรมให้ไม่ดีหรือครับสอนลูกหลานท่านนั้นแหละ หรือจะให้ไปดูฟุตบอล ไปแทงฟุตบอล ที่ดูได้ตามจานต่างๆ ที่ท่านใหญ่ๆในกรมหรือกระทรวง นับถือก้อเพราะอะไรละครับ ผมขอยกตัวอย่างคำกล่าวหลวงพ่อสดที่ว่า อันตัวเรานั้นชั่วก้อรู้ดีก้อเห็น มันก้อจริงครับอะไรๆ เราก้อรู้เองอยู่แล้วว่าชั่วหรือดี แต่ต้องไปดูให้รู้ก่อนนะครับ ไม่ใช่วิจารณ์ต่ามๆกันไป ขอประทานอภัยสำหรับผู้ที่ไม่ชอบ เพราะผมแค่อยากให้ท่านคิดตามเหตุผล และไม่ได้ชวนให้ชอบด้วย แล้วแต่ท่าน ไม่ใช่ทุกคนที่จะโง่ถูกชักจูงกันได้ง่ายๆนะครับ ท่านมีพระรัตนตรัยในใจแล้วหรือยัง หรือตอนนี้ยังนับถืออย่างอื่นที่ไม่ใช่พระ หรือปนเปกันไปกับพระ ผมรู้แต่ว่าตอนนี้ผมนับถือพระรัตนตรัยอย่างเดียวเท่านั้น ปล ผมผู้น้อยขออภัยถ้าผิดพลาดประการใด บอกกล่าวได้ครับ ขอบคุณที่รับฟังขอบคุณครับ
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,268
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +70,450
    หลวงพ่อฤาษีเคารพหลวงปู่สดมากแต่ไม่เกี่ยวกับที่คลิบเสียงที่พูดถึงนักบวชที่ปกครองวัดปทุมธานี ดังนั้น ตัววิชชาธรรมกายและตัววิชามโนฯไม่น่ามีปัญหาอะไร ถ้ามุ่งมรรคผลนิพพานเหมือนกัน

    อย่าลืมว่า วิชชาธรรมกายไม่ได้เกิดที่วัดปทุมธานี (เดิมชื่อวัดวรณีฯ แล้วมามาเปลี่ยนเป็นชื่อวัดธรรมกาย เลยโดนกันหมดทั้งสาย ทั้งผู้ปฏิบัติดีเข้ามรรคเข้าผลไปแล้ว เกิดบาปกรรมไปหลายคน)

    ส่วนคนที่บอกว่าไปเห็นนิพพานแบบนั้น ว่านิมิตหลอก ก็ต้องถามตัวเองดูว่าเคยสัมผัสนิมิตอย่างเชี่ยวชาญแค่ไหน อะไรคือนิมิต อะไรคือของจริง มีปัญญาแยกออกได้ไหม
    ด้วยภูมิธรรมปฏิบัติ ไม่ใช่อ่านตำราหรือพระไตรปิฎกที่เป็นตัวหนังสือแปลตามความเข้าใจตนเองก็เพียงพอ

    อย่าลืมนะว่าแม้แต่ต้นสายพุทโธคือหลวงปู่มั่นและหลวงตามหาบัวท่านก็มีเรื่องเล่าตอนพระพุทธองค์กับสาวกมาโปรดตอนบรรลุธรรมเหมือนกัน ไม่ใช่ว่านิพพานแล้วสูญหมดไม่มีอะไรเหลือหรอ สลายขันธ์ห้าแล้วเหลืออะไร พระอรหันต์แต่ละแบบก็รู้ตรงกันที่กิเลสหมด ทำลายวัฏฏะในจิตใจได้

    แต่การเห็นยังไม่เท่ากัน มีมาอย่างนี้่ตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว ต้องมีพระพุทธองค์ทรงรับรอง จึงหมดสงสัยกันอย่างหมดจด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 กรกฎาคม 2013
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,268
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,110
    ค่าพลัง:
    +70,450
    ส่วนการเผยแผ่ และนโยบายการเผยแผ่ความเชื่อของแต่ละที่ แต่ละสำนัก แต่ละนิกาย
    แต่ละกลุ่ม ไม่ว่าศาสนาใด ล้วนประยุกต์ใช้กับค่วามรู้ทางโลก เช่่ยวิชาการตลาด การปกครอง รัฐศาสตร์ จิตวิทยา ฯลฯ แล้วแต่ศาสนิกหรือสมาชิกความเช่ื่อไหนจะเรียนมาทางไหน

    สมัยผมเป็นนักศึกษาเมื่้อเกือบสามสิบปีก่อน ชมรมพุทธส่วนกลางของมหาวิทยาลัย
    ก็ถูกขนหนังสือครูบาอาจารย์อื่นออกหมด เหลือแต่ของสำนัก................ ซึ่งอาจเป็นความคิดของนักศึกษาที่ปิดกั้นตนจากครูบาอาจารย์อื่น หรือ เป็นคำสั่งสอนมาจากใครไม่ทราบ ในเรื่องนโยบาย การกระจายความเชื่อ

    ส่วนตัวผม แม้อยู่ไกลแสนไกลจากกทม.ก็ดั้นด้นมาเรียนที่วัดปากน้ำ ฯ สายตรงของหลวงปู่สด ที่มีศิษย์ใกล้ชิดที่รับถ่ายทอดความรู้จากหลวงปู่สด สอนให้ และไปที่วัดหลวงพ่อสดฯที่ดำเนินสะดวก ราชบุรี อันนี้ของจริงที่พิสู่จน์ได้และไม่ปิดกั้นเปิดกว้าง ไม่มีบังคับ ปิดบังอะไร

    ในอีกมิติหนึ่ง ...........เพียงต้องการบอกว่า พระ ครูบาอาจารย์สายอื่น หลวงปู่ท่านยังพามาให้รู้จัก เพราะธรรมท่านถึงกัน ทั้งๆที่หลวงปู่ครูบาอาจารย์เหล่านั้นท่านเป็นพระป่า

    ผมมีทัศนะจะแลกเปลี่ยนเพียงเท่านี้ก่อนครับ


    ขอบคุณที่ให้โอกาส
     
  7. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,152
    ค่าพลัง:
    +1,487
    เดี๋ยวก่อน ขอนิยามนิดคราวที่แล้วที่ผมพูดว่านิพพานเป็นอนัตตาเสมอสิ่งอื่นก็เพื่อจะชี้ ว่ามันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนให้เข้าไปยึดมั่นถือมั่นเหมือนสิ่งอื่นๆๆนั้นเอง ถ้ายังยึกนิพพานอยู่ในความเป็นนิพพานก็ยังไม่ใช่นิพพานสักแต่ว่าเป็นผลของอุปทานอยู่คือนิพพานมีตัวตนขึ้นมาให้เรายึดให้เราไปถึงนิพพานนั้น นั้นเอง นี่คือความหมายว่าเป็นอนัตตา ถ้าพูดว่า นิพพานเป็นอนัตตาในลักษณธที่ยึดมั่นถือมั่นในทางความคิดเป็นทิฏฐิ นั้นก็จัดว่าเป็นผลของอุปทานอยู่ซึ่งก็ยังตกอยู่ในข่ายของ อัตตวาทุปาทาน ยึดมั่นว่ามีเรา มีตัวตน เพราะมีทิฏฐิเราเกิดขึ้นมาแล้ว ถ้าไม่มีความยึดถือในอัตตวาทุปาทาน จะมีทิฏฐฺปาทาน ได้ยังไง ดั้งนั้นนิพพานไม่ใช่นิพพานแบบเป็นอนัตตาที่สักแต่ว่าเป็นทิฏฐฺปาทาน แฝงมาคือเอาหลักอนัตตานั้นแหละไปฝูกมัดตัวเองเป็นทิฏฐิข้า แล้วก้ต้องรับ อัตตทัณฑ์(เอากูมาตีกัน)ไปตามระเบียบ เพราะจิตตกอยู่ในอำนาจของอัตตวาทุปาทาน จะว่าอย่างนี้ก็ได้ไม่ว่ากัน เพราะอนัตตา ก็คือ การบอกว่ามันไม่ใช่มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนสวภาวะอะไรอย่างแท้จริงในตัวมันเองให้เข้าไปยึดมั่นถือมั่นเลย

    จริงคำว่านิพพานคือนิพพานไม่ใช่อัตตาไม่ใช่อนัตตานั้นคือการหลงภาษา เพราะ ไม่ใช่อัตตา บาลีใช้ คำว่า อนัตตา(ไม่ใช่ ไม่มี ไม่เป็นได้ทั้งนั้น) เลยสงสัยว่าคนที่พูดแบบนี้ คือบอกว่านิพพานไม่ใช่อัตตาก็คือยอมรับว่าเป็นอนัตตา แล้วดันมีพูดต่ออีกว่า ไม่ใช่อนัตตาคือ สับสนเข้าใจความหมายของสิ่งที่ตัวเองพูดหรือเปล่า เพราะพอพูดว่า นิพพานไม่ใช่อัตตาก็คือยอมรับว่าเป็นอนัตตา มันก็หมดสิทธิ์ที่จะพูดว่านิพพานไม่ใช่อนัตตา เพราะเท่ากับพูดว่านิพพานเป็นอัตตาที่ตัวเองปฏิเสธไปอีก ขัดแย้งกันเอง

    พิศดาร อีกนิด

    ทีนี้ ความดับในนี้ที่นี้ ไม่ได้หมายถึงสิ่งนั้นแตกทำลายไปหายไปนะครับ เพียงแต่หมายความว่ามันไม่แสดงตัวออกมาอีก
    เพราะไม่มีเหตุปัจจัยที่พอ ให้มันแสดงตัวออกมาอีกในลักษณะนั้นมันอาจจะแสดงตัวในลักษณะอื่นก็ได้ตามเหตุปัจจัยที่เข้ามาประชุม ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่ อุปมาคลื่นวิทยุ ถ้าเราไม่มีเครื่องรับ ถามว่า คลื่นวิทยุมีไหม? ถ้าเราเข้าใจแบบมันหายขาดไปเลย นี้ถิอว่าเห็นผิดถูกไหมเพราะคลื่นวิทยุมีอยู่แต่มันไม่ได้แสดงตัวออกมาเพราะไม่มีเครื่องรับ เช่นเดียวกันเราจะบอกว่าเอ้ามันมีอยู่แน่นอนได้ไหม? ก็ไม่ได้อีกเพราะมันไม่ได้ ปรากฏ ออกมาอีก

    ที่นี้ความดับไม่ใช่การทำลายล้างสิ่งหนึ่ง เมื่อขันธ์5ดับไป เพราะสิ้นแรงทะยานอยากในภพชาติ อย่าง ไฟก็ไปสู่ที่มาขอไฟ น้ำก็ไปสู่ที่มาของน้ำ วิญญาณก็ไปสู่ที่มาของวิญญาณ(อาลยวิญญาณ) เป็นต้น
    ที่นี้ ถ้าสิ่งหนึ่งดับไป สิ่งหนึ่งก็เกิดขึ้นแทนที่ ความทุกข์หายไปความสุข(ที่แท้)ก็เกิดขึ้น กิเลสหายไปปัญญาก็เกิดขึ้น ความมืดหายไปความสว่างก็มีขึ้น เป็นต้น ความดับของสิ่งหนึ่งย่อมแสดงให้เห็นการปรากฏของสิ่งหนึ่งเสมอ และสิ่งที่ดับไปก็ไม่ได้แยกขาดจากสิ่งที่เกิดขึ้นมา เพราะมันเป็นปัจจัยการ หรือปัจจัยแก่กันและกัน น้ำหายไปกลายเป็นน้ำแข็ง น้ำก็ไม่ได้แยกขาดจากน้ำแข็งเพราะน้ำแข็งก็สืบต่อมาจากน้ำนั้นเอง น้ำแข็งหายไปเป็นก๊าซ(ในรูปก้อนเมฆ) เมฆไม่ได้แยกขาดจากน้ำแข็งและ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมเมฆก็ปรากฏธรรมชาติของน้ำ(หรือน้ำแข็ง)ออกมาอีก คือฝน คือลูกเห็บ หิมะ


    ความดับ ที่ว่าเป็นอนัตตา จะเห็นได้ดั้งนี้ ขออธิบายย้อนไปที่ไตรลักษณ์ก่อน ก่อนอื่นขอหยิบอนิจจัง และ ทุกขังขึ้นมาพูด อนิจจังหมายความว่า เปลี่ยนแปลง ทุกขัง ก็หมายความว่า ไม่มีสิ่งใดคงสภาพหรือสภาวะของมันอย่างนั้นได้ ถูกไหมครับ ถ้ามันคงสภาวะของมันของมันได้ มันก็คงไม่เรียกว่าเปลี่ยนแปลงไป ปัญหาที่เราทุกข์ไม่ได้อยู่ที่ว่า สิ่งต่างๆๆเปลี่ยนแปลง แต่อยู่ที่ว่าเราไม่เข้าใจความจริงว่า มันเปลี่ยนแปลงมันคงสภาวะของมันอย่างนั้นตลอดไปไม่ได้ เราจึ่งทุกข์ เราทุกข์เพราะเราเชื่อว่าสิ่งต่างๆๆ นั้นยั่งยืน อย่าง ตัวตนของเรา ที่นี้ อนิจจัง ทุกขังเป็นข่าวดี ถ้าเราเรียนรู้ที่จะมองให้ลึกซึ้ง เพราะขณะนี้เรารู้ว่าความทุกข์ ชรา มรณะ กำลังคร่าวกุมเราอยู่ แต่มันจะไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะ อนิจจัง และ ทุกขังนี้นั้นเอง

    เมื่อสิ่งนั้นๆๆ มีธรรมชาติเป็น อนิจจัง และ ทุกขัง มันจึ่งบ่งชี้ให้เราเห็นความจริงหรือธรรมชาติที่แท้จริงที่ว่า มันไม่ได้มีตัวตนอยู่อย่างแท้จริงเลย ถ้ามันมีอยู่อย่างแท้จริงล่ะก็ การแปรเปลี่ยนมันย่อมเป็นไปไม่ได้ มันย่อมดับไป แต่ความดับในที่นี้ไม่ได้หมายความว่ามันแตกสลายหายไปโดยเด็จขาดแต่หมายความว่ามันแปรเปลี่ยนไปเป็นสิ่งอื่นได้ อย่างความทุกข์ ก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นปัญญาได้ กิเลสแปรเปลี่ยนเป็นโพธิ เหมือนดอกบัวเกิดจากโคลนตมดอกบับไม่ใช่โคลนตมแต่ก็ไม่ได้แยกขาดจากโคลนตม ถ้าตัวตนของโคลนตมเป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างแท้จริงในตัวมันแล้วมันก็จะคงสภาวะเช่นนั้นตลอดไป แล้วดอกบัวจะเกิดขึ้นได้อย่างไร การแปรเปลี่ยนโคลนตมให้เป็นบัวจะเป็นไปได้อย่างไร?

    อนัตตาเป็นข่าวดี มันแสดงให้เราว่าสิ่งต่างๆๆเป็นเช่นนั้นเพราะมันเป็นเพียงผลมาจากกระแสของเหตุปัจจัย สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติของการไม่แบ่งแยก เมื่อเรามองดูตัวเรา ตัวเรามีสิ่งไม่ใช่ตัวเราตัวเราจึ่งเป็นไปได้ เช่นน้ำ อากาศ แร่ธาตุ แสงแดด พลังงาน เป็นต้น ในทางกลับกันภายใต้ความเปลี่ยนแปลงเราก็อาจจะแปรเปลี่ยนไปเป็น ภูเขา แม่น้ำ เมฆ สัตว์ อะไรทำนองนี้ได้ เพราะเราไม่มีตัวที่แท้จริงเป็นอนัตตา นี้คือความหมายของสรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นญาณทัศนะที่ลึกซึ้งที่สุด พระพุทธเจ้าสอนให้เรามีสติอย่างรู้ตัวทั่วพร้อมในสมาธิอย่างลึกซึ้งก็เพื่อให้มองให้เห็นสิ่งนี้อย่างลุ่มลึกแยบคาย นี้คือธรรมานุปัสสนา

    นิพพานคือ ความดับของกิเลส และความคิดเห็นปรุงแต่งเชิงแบ่งแยกทั้งหลาย เมื่อกิเลสดับไปสันติที่แท้จริงในชีวิตก็บังเกิดขึ้น เมื่ออวิชชาหายไปปัญญาญาณก็เข้ามาแทนที่ ปกติเนื่องจากเรามองไม่เห็นธรรมชาติของความจริงที่ว่าไม่มีสิ่งใดเลยที่มีสภาวะมีตัวตนอย่างแท้จริงในตัวมันเองได้อย่างแท้จริงโดยไม่อิงอาศัยกับสิ่งอื่น และทุกสรรพสิ่งแท้จริงแล้วก็มีความเชื่อมโยงถึงกันไม่ได้แยกขาดกันอย่างแท้จริง เราจึ่งใช้คมดาบของความคิดตัดสัจจะออกเป็นท่อนๆๆ เป็นเสี่ยง แล้วเราก็ใช้ความคิดปรุงแต่งของเรามาติดป้ายยี่ห้อเพื่ออธิบายว่าสิ่งต่างๆๆนั้นเป็ฯเช่นนั้นเช่นนี้ เช่น นายก.ตาย นายก.เกิด นายก.มา นายก.ไป นายก.ดี นายก.เลวเป็นต้น

    ถ้าเราบอกว่านิพพานเป็นสิ่งที่มีอยู่ เป็นสภาวะอะไรสักอย่าง นั้นเท่ากับเราสร้างตัวตนสวภาวะขึ้น เมื่อนั้นนิพพานก็จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยปรุงแต่ง และ มันก็จะไม่เที่ยง คงสภาวะเดิมไม่ได้(ทุกขัง) ก็จะขัดกับตัวธรรมชาติของมันเอง

    ที่นี้ขอให้มาดูประโยคนี้ก็จะเห็นชัดว่า "นิพพานคือนิพพาน เป็นสิ่งๆหนึ่งที่สามารเข้ามาได้โดยรอบ ไม่มีกว้างเล็กยาวใหญ่ งามไม่งาม ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่สามารถหยั่งลงได้ในที่นี้ ไม่มีการมาไม่มีการไป ไม่มีเกิด ไม่มีจุติ"

    คือยังมองว่านิพพานเป็นสิ่งอะไรบางอย่าง หรือก็คือยังติดอยู่ที่ สวภาวะ คือมองว่านิพพานเป็นสภาวะอะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งดำรงอยู่มีลักษณะแบบหนึ่ง อันนี้แหละคืออัตตา คือเป็นการเข้าใจนิพพานในลักษณะอัตตาอย่างไม่รู้ตัว แม้จะพูดว่านิพพานไม่ใช่อัตตาก็ตามแต่พูดด้วยความไม่เข้าใจ เพราะอัตตามันหมายถึงสิ่งๆๆหนึ่งที่มีสวภาวะดำรงอยู่ได้ในตัวมันเอง อย่างประโยคนี้"นิพพานคือภาวะการดับของไฟ" ถ้าไม่ระวังจะเป็นการเข้าใจว่า มีภาวะใหม่เกิดขึ้นมาเป็นสิ่งๆๆหนึ่งที่เรียกว่าความดับ ซึ่งก็คือก็คือการยอมรับอัตตานั้นเอง

    ที่สิ่งนั้นสิ่งนี้ มีลักษณะ อนิจจัง ทุกขัง ที่มันเป็นเช่นนี้ก็เพราะมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยนั้นเอง เมื่อเหตุปัจจัยเปลี่ยนไปตัวผลที่เกิดขึ้นมาก็เปลี่ยนแต่ เราถือว่าเป็นสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นมาสิ่งเก่าดับไป แต่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งเก่าที่ดับไปไม่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยร่วมกันอยู่

    มาดูที่นิยามของนิพพานอีกครั้งว่า คือ ความดับความคิดเห็นปรุงแต่งเชิงแบ่งแยกทั้งหลาย นี้แหละคือที่มาของ
    ที่ว่า ไม่เกิดไม่ตาย ไม่ไปไม่มา อะไรทำนอง การพิจารณาที่มักจะทำกันก็คือ อาศัยเรื่อง สุญญตา หรือ คือความว่างนั้นเอง ซึ่งต้องเข้าใจด้วยหลักอิทัปปัจจยตานะครับ ไม่งั้นเราจะงง ทีนี้

    สุญญตากับอนัตตาเป็นหลักเดียวกันนะครับ แต่มองกันคนล่ะมุม(จริงมันอีกหลายตัวรวมเป็นเก้าตา) สุญญตานี้ลุ่มลึกกว่า คือเน้นปฏิเสธความเป็นคู่ๆๆ ว่าเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่ง

    ในทางพุทธปรัชญาเราย่อมแบ่งธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็น อสังขตธรรม และ สังขตธรรม ในส่วนของอสังขตธรรมเราใช้ในความหมายว่า เป็นปรากฏการณ์ซึ่งไม่ปรุงแต่งด้วยเหตุปัจจัยใดๆๆ สิ่งนี้คือนิพพาน ส่วนสังขตธรรมเป็นความหมายที่สือออกมาว่า เป็นปรากฏการณ์ซึ่งอยู่ภายใต้การปรุงแต่งด้วยเหตุปัจจัยใดๆๆ แบ่งเป็น ส่วนที่เป็นรูปธรรม เช่น คอมพิวเตอร์ที่อยู่ตรงหน้า กระดาน บ้าน ส่วนต่อไปคือจิตธรรม เช่น ความโกรธ ความโศกเศร้า และสุดท้ายคือจิตวิประยุกตสังสการธรรม หรือ ปรากฏกาณ์ที่อยู่ภายใต้การปรุงแต่งด้วยเหตุปัจจัยใดๆๆแต่ไม่เป็นทั้งรูปธรรมและจิตธรรม เช่น การไป การมา การเกิด การตาย

    ที่นี้เราจะพูดถึงเราจะพูดถึง จิตวิประยุกตสังสการธรรม เช่น การเกิด การตายเมื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งปรากกตัวตนออกมาให้เห็นเราก็ว่าสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้ตาย เมื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ปรากฏตัวตนออกมาเราก็ว่าสิ่งนี้ตาย เราเราก็ยึดติดในความหมายนี้อย่างที่มองไม่เห็นความจริงว่าเกิดและตายนั้นอิงอาศัยกันอยู่ เกิดไม่ใช่สวภาวะที่มีตัวตนขึ้นมาได้โดยตัวมันเอง เช่นเดียวกับตายไม่ใช่สวภาวะที่มีตัวตนขึ้นมาได้โดยตัวมันเอง มันต้องอิงอาศัยกัน

    เรากลัวความตายเพราะเรากลัวว่าเราจะสูญสลายหายไปไม่มีอยู่อีก คือเรามองไม่เห็นว่า หลังความตายย่อมมีการเกิดใหม่อีก แล้วอะไรล่ะที่ตาย ใบไม้ที่ล่วงโรย เสื่อมสลายไป ใบไม้หายไปหรือเปล่าหรือตอนนี้ใบไม้ได้แปรเปลี่ยนไปแล้วเป็นดิน แร่ธาตุ น้ำ เมื่อนายก.ตาย ลูก หลาน เหลน โหลน กระแสการสืบต่อของนายก..(นายก.ยังปรากกอยู่ในตัวลูก หลาน เหลน โหลนเหมือนที่บรรพชนของก.ปรากกอยู่ในก.) นายก.ยังอยู่ในใจของคนที่รักเขา นั้นก็เป็น กระแสการสืบต่อของนายก.(นายก.ยังปรากกอยู่) ร่างนายก.ที่ผุผังเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นฝน เป็นต้นไม้ เป็นสรรพสัตว์ เป็นภูเขา เหมือนที่ นายก. ก็คือกระแสการสืบต่อของดิน น้ำ ฝน ภูเขา สรรพสัตว์ อะไรทำนองนี้แล้วอะไรล่ะตายอะไรล่ะเกิด เมื่อหยิบใบไม้ที่ร่วงโรย ในฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้หาได้ตายหรือหายไปจากต้นไม้ไม่ แน่นอนว่ามันจะกลับมาอีกครั้งในฤดูใบไม้ผลิ และ พอฤดูใบไม้ร่วงมันก็จะร่วงลงกลับเป็นดินเป็นปุ๋ยเป็นน้ำเป็นแร่ธาตุและอื่นให้ต้นไม้อีกครั้ง ก่อนจะกลับมาเป็นใบไม้บนต้นอีกครั้งในฤดูใบไม้ผลิ มันแค่เล่นซ่อนหามันหาได้หายไปอย่างสิ้นเชิงไม่

    ใน Siddhartha กวี แฮร์มันน์ เฮสเซอ พูดถึงตัวละครเอกของเขาคือ สิทธารถะ ว่าเมื่อชายคนนี้หยิบเอาก้อนหินขึ้นจากพื้นดิน เขากล่าวว่า"สิ่งนี้คือก้อนหินก้อนหนึ่ง แต่ในอีกสักช่วงข้างหน้า มันก็อาจจะกลายเป็นดิน เป็นพืช เป็นสัตว์ เป็นมนุษย์ การกล่าวว่าหินนี้เป็นเพียงก้อนหิน ย่อมไร้ค่า ไร้ความหมายยิ่ง เป็นเพียงมายาภาพ แน่เหลือเกินสหาย ภายใต้วัฏจักรของการเปลี่ยนแปลงนี้ ก้อนหินย่อมสามารถกลายมาเป็นมนุษย์ เป็นจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ที่ทรงคุณค่า และ ความหมายในกาลข้างหน้า สำหรับฉันมันจึ่งไม่ใช่เพียงก้อนหิน แต่เป็นพระเจ้า เป็นสรรพสัตวื เป็นมนุษย์ เป็นพระพุทธเจ้าด้วย ดังนั้นฉันจึ่งเคารพมัน แต่มิใช่ในฐานะที่มันสามารถกลายมาเป็นสิ่งต่างๆๆได้นะ แต่ในฐานะที่มันเป็นสิ่งต่างๆมาแล้วตั้งแต่ต้น "

    The garden of the Prophet กวี คาลิล ยิบราน เล่าว่า เมื่อสาวกของศาสดาสะดุดก้อนหินก้อนหนึ่งล้มลง เขาโยนมันทิ้งไปด้วยความโมโห และ พูดว่า" โอ้...เจ้าสิ่งตายซากบนทางของเรา" ศาสดายิ้มและกล่าวว่า "สหาย เหตุใดเธอจึ่งพูดเช่นนี้ เธอเองก็อยู่ในสวนนี้มานานแล้ว เธอเองไม่รู้หรือว่าในที่นี้ไม่มีสิ่งอะไรเลยที่ตายซาก ปราศจากชีวิต ทุกๆๆสิ่งเรืองรองส่วางจ้าอยู่ในสัจจะแห่งทิวาวาร และ ทรงศักดิ์แห่งราตรีกาล ระหว่างเธอ และ หินก้อนนี้จะต่างกันก็ตรงที่จังหวะเต้นของหัวใจไม่ใช่หรือ? ในขณะที่ท่วงทำนองของเธอเพียงแค่ดังกว่าเล็กน้อยเท่านั้น"
    วิทยาศาสตร์ก็เห็นตรงกัน และก็มี หลักอนุรักษ์พลังงานและสสาร
    นี้แหละคือความมหัศจรรย์ของอิทัปปัจจยตา ของ ปฏิจจสมุปบาท ของพระพุทธองค์ ดั้งนั้นธรรมชาติของความเกิดและความตาย นั้นมันไม่ได้แยกขาดจากกันเลยประดุจสองหน้าของเหรียญเดียวกัน เป็นเราเองต่างหากที่เข้าใจผิดและยึดติดอยู่กับมุมใดมุมหนึ่ง ดั้งนั้นเกิดตายจึ่งสักแต่ว่าเป็นสมมติ ในอีกด้านหนึ่งเราก็ไม่เกิดไม่ตาย

    (นี้แลคือนิพพานที่เป็นอีกแง่มุมของสังสารวัฏ)

    อีกตัวอย่างคือไปกับมา ก็เหมือนกันเราปรากฏบนโลกนี้เป็นนายก.เราเข้าใจว่าเรามา ที่นี้นายก.ตายลงเราเข้าใจว่าเราตาย หรือเราไป แต่หลังการไปก็ย่อมมีการมา ถูกไหมครับ เมื่อนายก.ตายลง ส่วนที่เป็นดิน ก็ไปสู่ดินไปเป็นสิ่งใหม่อีก ส่วนที่เป็นน้ำก็ไปสู่น้ำ ไปเป็นสิ่งใหม่อีก เป็นต้นแต่สิ่งใหม่นี้ก็ไม่ได้แยกขาดไปจากเรา นี้ชัดเจนครับ มันก็เหมือนที่เรามา เราก็ไม่ได้อยู่ๆๆมา ส่วนที่เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นวิญญาณ อะไรทำนองนี้ ก็มาจากที่ที่มันมา เป็นการสืบต่อ ไปกับมาจึ่งไม่ได้มีตัวตนเป็นสวภาวะในตัวมันเองอย่างแยกขาดเป็นอิสระจากกัน ดั้งนั้นในอีกด้านหนึ่งจึ่งมีธรรมชาติที่ไม่มาไม่ไปนั้นเอง


    ดูเวลาก็ได้ครับ อนาคต อดีต ถามว่าเมื่ออนาคตเลื่อนไหลมามันกลายเป็นปัจจุบันแต่ในขณะนั้นมันก็ไปเราเรียกมันว่าอดีต การมาและการไปของเวลาที่มาบรรจบกันที่ปัจจุบันขณะ นั้นแยกขาดจากกันหรือไม่ หรือในขณะที่เราสัมผัสปัจจุบันขณะเราก็สัมผัสอดีตไปด้วย เป็นความเข้าใจผิดของเราเองที่มองว่าอดีตอนาคตเป็นสวภาวะที่แยกขาดจากกัน

    เราบอกว่าเมือง ง.อยู่ ทางทิศตะวันออกของเมืองก. แต่สำหรับเมือง ข. เมือง ง กลับอยู่ทางทิศตะวันตก เมืองง.จึ่งเป็นได้ทั้งเมืองที่อยู่ทิศตะวันออก หรือ ทิศตะวันตก ขึ้นกับว่าเรามองมันจากเมืองไหน ความเป็นตะวันออก หรือ ตะวันตก ของเมืองง.ไม่ได้แยกขาดจากกัน เพราะ ทิศตะวันออก หรือ ทิศตะวันตก ก็เป็นปัจจัยการแก่กัน ในทำนองเดียวกันทิศเหนือทิศใต้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อคุณไปจากที่นี่ตรงนี้คุณก็อยู่ทุกที่พร้อมๆๆกัน คุณอยู่ทั้งทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ เหมือนที่เมื่อคุณสัมผัสเวลาที่ปัจจุบันขณะนั้นแหละ คุณก็สัมผัสอดีตและอนาคตไปพร้อมกัน
    และแม้แต่อวกาศและเวลาเอง ก็ไม่ได้แยกขาดจากกัน ทฤษฏีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอสน์ไตน์ แสดงตรงนี้ออกมา ดั้งนั้นเมื่อคุณสัมผัสอวกาศคุณก็สัมผัสเวลาไปด้วย เมื่อปัจจุบันขณะของคุณเป็นสันติสุขอดีตและอนาคตของคุณก็เป็นสันติสุขเมื่อที่นี่ตรงนี้ของคุณเป็นสันติสุขที่อื่นของคุณก็เป็นสันติสุขด้วย


    ที่นี้มาดูความว่างนิดหนึ่งปกติเราใช้ในความหมายเดียวกับความดับใช่ไหม? แต่ความดันในที่นี้หมายถึงความดับของความคิดปรุงแต่งว่ามีหรือไม่มีแบบแยกขาด อุปมา แก้วใบหนึ่ง มีน้ำอยู่เต็มแก้วเราบอกว่าแก้วไม่มีอะไรหรือเปล่า เราบอกว่าไม่ เพราะมันมีน้ำ และพอเทน้ำออกเราก็บอกว่าที่นี้ในแก้วไม่มีอะไรอีก ที่นี้เราคิดไปว่า เมื่อเราเทน้ำออกความไม่มีนี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ แต่ประเด็นคือเราพูดได้ไหมคำๆๆนี้ ก็ถ้าเรามองดูเราจะเห็นว่าถ้าแก้วไม่ได้มีที่ว่าง มันก็จะใส่น้ำไม่ได้ ดั้งนั้นเราจะบอกได้อย่างไงว่าความไม่มีเป็นสิ่งที่พึ่งมีขึ้นมา แต่แน่นอนว่าในขณะที่แก้วมีน้ำเราก็ยังบอกไม่ได้เหมือนกันว่าตอนนี้แก้วนั้นว่างเปล่า
    และถ้าเราพิจารณาแก้วที่ไม่มีน้ำเราจะเห็นว่าตอนนี้ก็มีอากาศอยู่ในนั้น

    คุณสามารถพิจารณาได้อีกหลายตัวอย่าง(ตามสัญญษของคุณไปก่อน) อย่างน้อยก็ก่อนที่จะเรียนรู้ที่จะประยุกต์ใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อภาวนาอย่างแยบคาย จนรู้จริง รู้แจ้ง ไม่ใช่แค่รู้จด รู้จำ

    สรุป ความดับก็เป็นเช่นนี้ เช่นความว่างนี้ เพราะทั้งมีไม่มีไม่ได้แยกขาดจากกัน การที่มองว่ามีและไม่มีแยกขาดจากกันเท่ากับว่า มองให้มีเป็นสวภาวะหนึ่งที่มีอยู่ด้วยตัวมันเองเป็นสิ่งๆๆหนึ่ง และการมองให้ไม่มีเป็นสวภาวะหนึ่งที่มีอยู่ด้วยตัวมันเองเป็นสิ่งๆๆหนึ่ง นี้แหละคืออัตตา ซึ่งอนัตตาปฏิเสธ มาดูอีกครั้งเราพูดถึงรูปธรรม นามธรรม จิตวิประยุกตสังสการธรรม ประเด็นก็คือ เราปฏิเสธว่าธรรมทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้เป็นอัตตา คือปฏิเสธว่าจะสิ่งใดๆๆก็ตามในนี้ล้วนไม่ได้มีขึ้นมีอยู่ได้ด้วยตัวมันเองเป็นสวภาวะหนึ่งๆๆ มันต้อมมีเหตุมีปัจจัย คือพูดว่ามันมีลักษณะเป็นอนัตตา โลกเป็นปฏิจจสมุปบาท หรือ ปฏิจจสมุปบาท(อาการที่อาศัยกันเกิดเป็นปัจจัยแก่กันและกันหรือวึ่งกันและกันนั้นเอง ความสัมพันธ์สองทิศทาง)เป็นตัวชักใยเบื้องหลังสมมติ ความดับของกระแสปฏิจจสมุปบาทนั้นเสียได้ ก็คือพระนิพพาน ฉะนั้นทั้งโลกและพระนิพพานจึงเป็นสุญญตาเป็นอนัตตาคือไม่ใช่เป็นสวภาวะ และเมื่อสวภาวะไม่มีเสียแล้ว อภาวะก็พลอยไม่มีไปด้วย เพราะมีสภาวะจึงมีอภาวะ เป็นของคู่กันเป็นปฏิจจสมุปบาท เมื่อสวภาวะ อวภาวะก็ดับด้วย เมื่ออภาวะดับ สวภาวะก็ดับด้วย เพราะมันเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกัน (เพราะสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้จึ่งไม่มี เพราะความดับไปของสิ่งนี้สิ่งนี้จึ่งดับไปด้วย) ผู้ใดเห็นว่าโลกและพระนิพพานเป็นสภาวะ ผู้นั้นเป็นสัสสตทิฏฐิ ผู้ใดเห็นว่าโลกและพระนิพพานเป็นอภาวะ ผู้เป็นอุจเฉททิฏฐิ ผู้ใดเห็นว่าโดยสมมติ ว่าสัทธรรมทั้งปวงเป็นปฏิจจสมุปบาทและโดยปรมัตถ์ ว่า สัทธรรมทั้งปวงเป็นสุญญตา(ของว่าง)หรืออนัตตา ผู้นั้นได้ชื่อว่าผู้มีสัมมาทิฏฐิ มันเป็นแบบนี้แล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2013
  8. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,152
    ค่าพลัง:
    +1,487
    ผมว่าผมพูดไปหลายรอบแล้วนะ ว่าแต่คุณเคยอ่านที่ผมพูดหรือเปล่าครับ กระโดดอะไรก็ไม่รู้ของคุณอีก ขอผ่านถ้าไม่คุยให้เป็นภาษาคนนะครับ
    ไม่คุยกับคุณอีกนะครับ เพราะผมงงกะคุณมากว่าจะสื่ออะไร ? ผมไม่ลองคิดหรอกครับ...เพราะผมมึนกับสิ่งที่คุณสื่ออะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2013
  9. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,152
    ค่าพลัง:
    +1,487
    ที่นี้ผมต่อนิดหนึ่งนะ คือถ้าจิตยังยึดมั่นถือมั่นก็จะหยั่งลงไม่ถึงนิพพานถูกไหมครับอันนี้เราเห็นตรงกัน

    และอันนี้น่าจะเห็นตรงกันแน่นอนคือ ทิฏฐิที่ว่านิพพานใช่อนัตตา นิพพานไม่ใช่อนัตตาเป็นอัตตา นิพพานไม่ใช่ทั้งอัตตาและอนัตตา(แต่เป็นอะไรก็ไม่รู้อะ เพราะถ้าว่าเที่ยง เป็นสุข แต่ไม่เป็นอนัตตา นี่มันนิยามอัตตาชัดๆๆ จริงๆๆก็งงอยู๋ )
    แต่เอาเป็นว่า จะความหมายไหนก็ตาม ถ้ายึดมั่นว่าคือสัทธรรมแท้คือความหมายคือคำตอบที่แท้ก็จัดว่าเป็นกามุปาทาน ทิฏฐฺปาทาน สีสัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน

    อยู่ดี ท่านติช นัท ฮันห์ ถึงเขียนในCultivating the Mind of Love ถ้าเธออยากที่จะเห็นนิพพาน ก่อนอื่นเธอต้องดับความคิดยึดติดในธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นอัตตา อนัตตา อะไรทั้งหลายเหล่านี้ ลงเสียก่อนธรรมะสักแต่ว่าเป็นบัญญัติขึ้นมาเป็นอุบายให้เห็นความจริง ซึ่งจริงท่านก็พูดเรื่องกามุปาทาน ทิฏฐฺปาทาน เป็นสีสัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน เหล่านี้นั้นแหละ

    เพราะกามุปาทาน ยึดมั่นเพราะเป็นของรัก ความคิดนี้ของกู กูรัก มึงจะพูดต่างไม่ได้ ทิฏฐฺปาทาน ยึดมั่นเพราะเห็นผิด เพราะ พระพุทธเจ้าสอนว่าอุปทานเป็นเหตุของทุกข์ สอนใม่ให้ยึดมั่น นี้ยึดมั่นว่า นี้คือความจริงของกู กูจะยึดมันว่าจริงจะพูดต่างไม่ได้ สีสัพพตุปาทาน ปฏิบัติผิดจึ่งยึดมั่น คือพระพุทธเจ้าสอนให้ปฏิบัติเพื่อสละลดความยึดมั่นแต่กลายเป็นว่าเอาคำสอนเอาการปฏิบัติไปเพิ่มพูนความยึดมั่นเสีย อัตตวาทุปาทาน ยึดมั่นว่ามีเรา มีตัวตน จะเห็นว่าถ้าไม่มีตัวนี้ลึกๆๆในจิต ทิฏฐฺปาทาน สีสัพพตุปาทาน กามุปาทาน มันเป็นไปไม่ได้

    สรุปบางคนที่เถียงกันจะเป็นจะตาย ว่านิพพานใช่อนัตตา นิพพานไม่ใช่อนัตตาเป็นอัตตา นิพพานไม่ใช่ทั้งอัตตาและอนัตตา ก็ต่างก็เป็นผลมาจากจิตยังคงมีอุปทานเหล่านี้ทั้งนั้น และก็พวกที่กลัวว่านิพพานจะเป็นการทำลายล้างแตกทำลายเทือกนี้จริงๆๆคือกลัวตัวตนของตัวเองหายไป คือยังมีอัตตวาทุปาทานนั้นเอง(แน่นอนว่านิพพานไม่ใช่สูญแบบทำลายล้างหายสาปสูญไปเป็นอุจเฉททิฏฐิ ) ตรงนี้แหละที่บางลัทธิสอนว่านิพพานเป็นอัตตา เป็นบ้านเมืองเพราะถ้า ลึกๆๆคนเรามันยังมีอัตตวาทุปาทาน พอสอนแบบนี้คือเป็นอัตตา บรรลุอัตตาก็ไปอยู่เมืองมีพระพุทธเจ้าเป็นเจ้าเมืองเราสาวกเป็นประชาชน ไม่ก็ไปรวมกับอัตตาใหญ่เข้าสภาวะเป็นตัวตนอมตะเป็นพระเจ้า คมมันก็ชอบอยากไป เพราะมันมีอัตตวาทุปาทาน เวลาพระอย่างเณรคำว่า ตอนพระพุทธองค์กับสาวกมาโปรดตอนบรรลุธรรม ก็เชื่อเพราะมีอัตตวาทุปาทานนั้นเอง พระพุทธเจ้าเข้าปรินิพพานพระองค์ยังอยู่หรือไม่อยู่ ถ้าเข้าใจเรื่องคือเมื่อสิ่งนี้มีสิ่งนี้ย่อมมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้นเมื่อสิ่งนี้ ไม่มีสิ่งนี้ย่อมไม่มีเพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป ก็จะรู้เอง บางทีพระองค์ยังอยู่ก็เพราะมีเราผู้สืบต่อคำสอนและลมหายใจของพระองค์ก็ได้
    ก็เสียเงินเสียทองกันไป เพราะอัตตวาทุปาทานย่อมสัมพันธ์กับทิฏฐฺปาทาน สีสัพพตุปาทาน กามุปาทาน มันก็เลยอยากจะทำบุญสะสมบุญเพิ่มพูนบุญ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์พอสอนให้ไม่ยึดบุญบาปก็ตกใจ รับไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจว่าบุญทำไปเพื่ออะไรเช่นการให้วัตถุทานก็ทำไปเพื่อลดอุปทาน ในวัตถุสิ่งของว่าเป็นของเราก็คือลดความยึดมั่นถือมั่นในเรานั้นเองและไม่รู้ว่าบุญที่ประเสริฐที่สุดคือบุญที่ทำไปเพื่อลดความยึดมั่นลง กลายเป็น การทำบุญทำทานแทนที่จะเป็นอุบายชั้นเลิศ กลายมาเป็นยาพิษให้ความยึดติดมีมากขึ้นไปอีก แบบว่ากูบุญเยอะทำเยอะไปสวรรค์แน่ๆๆ ประเสรฐิเหนือใครอีก

    คนเรานี้ก็ติดสมมติ พูดนิพพาน ก็เข้าใจอย่าสมมติคือมีเราที่จะเข้านิพพานไปนิพพาน ทั้งๆๆที่สักแต่ว่าเป็นอุบายะเพราะผู้ที่รู้แจ้งความจริงในด้านที่เป็นปรมัตถ์ ก็หมดความยึดถือเรื่องตัวตน บุคคล สัตวะ ชีวะ ก็จะเข้าใจว่าเราที่จะเข้านิพพานนั้นยังไม่มี(อยู่จริงๆๆแท้ๆๆ)แล้วใครล่ะที่เข้านิพพาน ทั้งๆๆที่นิพพานก็สักแต่ว่าเป็นเพียงคำที่สื่อความจริงบางอย่างที่เราจะต้องประจักษ์แจ้งแก่ใจให้ได้ และเป็นเรื่องสันทิฏฐิธรรม คือรู้หันได้ที่นี่เดี๋ยวนี้ทันที่ที่เห็นประจักษ์กับตัว ก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งถกเถียงกับใครตามความยึดถือ จนฝังตัวเป็นทิฏฐินิสัย อย่างผู้มีทิฏฐฺปาทาน สีสัพพตุปาทาน ทำนองนี้อีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2013
  10. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระนิพพานนั้นคือพระนิพพาน

    พระนิพพานนั้นคือพระนิพพาน นี่ตอบแล้วนะนี่นะ ท่านแสดงไว้ในธรรมว่า มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ มรรค ๔ นั้นได้แก่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อรหัตผล นี่เรียกว่า มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ คือพ้นจาก ๘ ภูมินี้ไปแล้วเป็นนิพพาน ๑ นิพพานมีหนึ่งเท่านั้นไม่เคยมีสอง ไม่มีสองกับอัตตา ไม่มีสามกับอนัตตา นิพพานคือนิพพาน อัตตา อนัตตา นั้นเป็นทางเดินเพื่อพระนิพพานล้วน ๆ เป็นพระนิพพานไปไม่ได้

    ผู้ที่จะพิจารณาให้ถึงพระนิพพาน ต้องเดินเหยียบย่างไปในไตรลักษณ์ คือพิจารณาไปกับเรื่อง ทุกขัง เรื่อง อนิจจัง อนัตตา และอัตตา ซึ่งเป็นกองแห่งกิเลสสุมเต็มอยู่ในนั้น ให้ถอนอัตตานุทิฏฐิ คือความเห็นว่าเป็นตนเป็นตัวเหล่านี้ออกเสียได้ จิตจึงจะหลุดพ้นเป็นพระนิพพาน เพราะฉะนั้นพระนิพพานจึงเป็นพระนิพพานเท่านั้น เป็นอัตตาเป็นอนัตตาไม่ได้ เพราะอัตตากับอนัตตานั้นเป็นทางเดินเพื่อพระนิพพาน

    เช่นเดียวกับเราเดินก้าวขึ้นสู่บันได ขั้นหนึ่งสองขั้นขึ้นไป จนกระทั่งถึงที่สุดของบันได ก้าวเข้าสู่บ้านของเรา เมื่อเข้าสู่บ้านแล้วบันไดก็เป็นบันได บ้านก็เป็นบ้าน จะให้บ้านกับบันไดมาเป็นอันเดียวกันไม่ได้ นี่คำว่าไตรลักษณ์ก็ดี อัตตาก็ดี นี่คือบันไดก้าวเข้าสู่มรรคผลนิพพาน เมื่อพ้นจากนี้ ปล่อยนี้หมดแล้ว จิตก็ก้าวเข้าสู่พระนิพพาน เหมือนกับว่าเราก้าวเข้าสู่บ้านของเรา หมดปัญหากับบันได บันไดจึงจะกลายเป็นบ้านไปไม่ได้ บ้านจะมากลายเป็นบันไดไปไม่ได้ บ้านต้องเป็นบ้าน บันไดต้องเป็นบันได

    นี่ไตรลักษณ์คือ อัตตาก็ดี อนัตตาก็ดี เป็นบันไดทางก้าวเดินเพื่อมรรคผลนิพพาน จะเป็นนิพพานไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นนิพพานจึงเป็นนิพพาน นิพพานมีอันเดียวเท่านั้น ไม่มีสองกับอัตตาที่โปะเข้าไปเป็นส่วนเพิ่มส่วนเติมเข้าไป เหมือนกับดินเหนียวติดพระนิพพานเป็นไปไม่ได้ อนัตตาก็เป็นทางเดินจะเป็นพระนิพพานไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นนิพพานคือนิพพานเท่านั้น เรียกว่า มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นทางก้าวเดินเพื่อพระนิพพาน ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบตามนี้ ผิดถูกประการใดเราพูดตามหลักความจริง

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
     
  11. กฮ

    กฮ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    430
    ค่าพลัง:
    +415
    คำที่คุณใช้มานั้นคุณไม่อาจเข้าใจได้ เพราะมันคือคำที่เข้าใจได้จากการปฏิบัติ คุณกำลังหลงคิดว่าคุณเข้าใจอยู่ สัญญาไม่ใช่ปัญญานะ หาครูบาอาจารย์ให้ท่านช่วยชี้แจงเถอะก่อนที่จะหลงไปมากกว่านี้ แค่ธรรมข้อพื้นฐานศีลห้า คุณรู้แล้วรึยังว่าจะทำอย่างไรถึงจะไม่ผิด ว่าตั้งแต่ข้อปาณาติบาตเลย

    ศัพท์แสงพวก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จนไปถึง อัตตา อนัตตา คุณรู้หรือยังว่าหมายถึงอะไร ลองเทียบกับตนเองมาสิ ว่ามันหมายถึงอะไรของตนเอง

    ผมกำลังพูดเพื่อเตือนคุณ ให้พิจารณาตน ให้พิจารณาธรรมที่เกิดขึ้นกับตน ทิ้งอภิธรรมและศัพท์พวกนั้นไปเสีย มันเป็นสิ่งภายนอก ธรรมที่แท้จริงนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน
     
  12. dorfinfolker

    dorfinfolker Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +67
    อะไรดี อะไรไม่ดี ก็แล้วแต่บุญบารมี ว่าจะมีดวงตามองเห็นได้เมื่อไร บังคับให้ใครคิดยังไงไม่ได้หรอกท่าน ช่างเขาเสียดีกว่า
     
  13. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,152
    ค่าพลัง:
    +1,487

    ผมแปลกใจมากที่คุณดันมารู้ดีกว่า ตัวผมเองอีก .....อย่างผมเคยปฏิบัติหรือเปล่าคุณมารู้แทนผมอีกว่าไม่เคยปฏิบัติ ผมมีครูหรือเปล่าคุณมารู้แทนผมอีกว่าผมไม่มีต้องไปหาครู ที่ผมพูดเป็นความเข้าใจในระดับสัญญายังไม่ได้รู้จริงจากการปฏิบัตินั้นรู้ดีกว่าตัวผมเองอีก......ผมหลงเอ้ารู้แทนอีก และก็มีต่อเรื่อยไป........อะไรของคุณก็ไม่รู้

    แปลกใจจริงๆๆ ....คุณรู้จักผมจริงๆๆหรอ ผมว่าไม่มั้ง เพราะคุณไม่เคยคิดที่จะมองผมอย่างที่ผมเป็นเลยนี่ คุณมองผมผ่านกรอบคิด ภาพลักษณ์อะไรบางอย่างของคุณที่มีต่อผม ว่าผมเป็นอย่างนั้นอย่างงี้ แล้วคุณจะรู้จักผมได้ยังไงครับ ถ้าคุณไม่รู้จักมองผ่านมุมแคบๆๆของคุณเข้ามายังหน้าต่างของผมบ้างมาเห็นสวนที่อบยู่ภายในนั้น....ลองมองดูบ้างสิ คุณจะไม่ลองมองดูใครสักคนโดที่ไม่ต้องมามีป้ายมีคำอธิบายว่าเขาเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ในสายตาคุณบ้างเลยหรอครับ

    เป็นเดือดเป็นร้อนแทนผมจริง ขอบคุณและกันครับ แสดงว่าผมคงมีความสำคัญกับคุณมากกว่าที่ผมคิดนะ
    เพราะดูคุณจะใส่ใจ ผมมาก
    เผลอๆๆมากกว่า

    ตัวคุณเองอีกนะเนี่ย 555
    ว่าแต่คุณรู้ตัวคุณเองหรือยังครับ... ระวังจะเข้าตำรา เรื่องคนอื่นเราเห็นใหญ่เท่าภูเขา เรื่องของเรากลับมองไม่เห็นเล็กยิ่งกว่าเส้นขนนะครับ.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2013
  14. Artorius

    Artorius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +313
    อันนี้ต้องขอบอกก่อนเลยนะครับ ว่าเข้าใจในสิ่งที่คุณโฮนี่โจนส์จะสื่อเป็นอย่างดี และต้องขอขอบคุณที่พยายามเขียนมาเย๊อะมาก สรุปแล้วพระนิพพานคือความดับไปของเชื้อหรือการตัดสายปฏิจจสมุปบาท แต่ถ้ายังยึดว่าพระนิพพานคือความดับไปของทุกข์หรือสิ่งๆหนึ่งกลายเป็นสภาวะใหม่ยึดมั่นขึ้นมาว่าดับแล้ว นั่นก็ไม่ใช่นิพพาน นิพพานหมายถึงสิ่งทั้งปวงมีเหตุปัจจัยเกื้อหนุนเกื้อกูลกันให้เกิดขึ้นมา ถ้าสิ่งหนึ่งไม่เกิดขึ้นสิ่งหนึ่งก็จะไม่เกิดขึ้น ธรรมทั้งหลาย ทั้งปวงล้วนไม่ควรยึดมั่นถือมั่น รวมถึงพระนิพพาน แต่คำพูดเราบนโลก ศัพท์เฉพาะของเรา ความคิดสมองของเราล้วนเป็นสิ่งสมมติและมีจำกัด สิ่งสมมติจึงไม่สามารถนำมาพิสูจน์ความจริงได้ ทีนี้จะเถียงกันว่าเป็นอัตตาหรืออนัตตานั้น คือการยึดมั่นทั้งหมดคือไม่เชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งก็ต้องอย่างใดอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ใช่นิพพานเพราะเป็นอัตตาทั้งนั้น มิน่าละเมื่อถามว่านิพพานคืออะไร พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่สามารถหยั่งลงไปได้ แต่สามารถปฏิบัติเข้ามาได้โดยรอบ ใน “สิ่ง” นั้นแหละนามรูป ดับสนิทไม่มีเหลือ; นามรูป ดับสนิท ใน “สิ่ง” นี้ เพราะการดับสนิทของวิญญาณ; ดังนี้แล. ซึ่งหมายถึงความดับไปแห่งนามรูปและวิญญาณ คือสิ่งสมมติและบัญญัติทั้งหลาย ไม่ยึดมั่นถือมั่น นั่นคือนิพพานที่แท้จริง แต่เมื่อนำนิพพานมาสร้างเป็นดินแดนหรือเป็นสภาวะเป็นบัญญัติใดบัญญัติหนึ่งขึ้นมานั่นก็ไม่ใช่นิพพาน
    แต่มีอยู่ประเด็นหนึ่ง ที่ว่าอัตตาหมายถึงการยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตัวคงรูปอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยเหตุและปัจจัย ทีนี้มาปฏิเสธคำว่าอัตตาคืออนัตตา เมื่อพูดว่าไม่ใช่ทั้งอัตตาและไม่ใช่ทั้งอนัตตาจึงงง เหมือนกับขัดแย้งกันในตัวเองอยู่ แต่จริงๆแล้ว อย่างคำว่าเนวสัญญานาสัญญายตน ก็คือ มีสัญญาก็ไม่ใช่ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ สรุปแล้วคล้ายๆกัน เพราะฉะนั้นนิพพานคือพระนิพพานในเมื่อเราไม่ปฏิบัติเพื่อรู้แจ้งก็ไม่มีทางรู้ เพราะความคิดของเราเกิดมาจากสมมติบัญญัติทั้งสิ้น ซึ่งจริงๆนิพพานอาจจะเป็นอนัตตา หรืออาจบอกว่า จะว่าอัตตาก็ไม่ใช่อนัตตาก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ทั้งอัตตาและอนัตตาก็ไม่ใช่ สรุปแล้วคือเราต้องตัดสายปฏิจสมุปบาทโดยคลายความยึดถือยึดมั่นทั้งปวงและธรรมทั้งหลายทั้งปวง
     
  15. Artorius

    Artorius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +313
    เอาละทีนี้มาถึงโพสต์ของอุรุเวลาล่ะ ถ้าคุณโฮนี่โจนส์ไม่เหนื่อยซะก่อน อาจจะพูดกันยาก เพราะคนนี้ต้องขอบอกก่อนว่าเป็น พุทธวจนตัวพ่อ! เลยทีเดียว จะไม่เน้นความคิดเห็นตัวส่วนตัว ไม่มีผ่อนคลายอะไรทั้งสิ้นจะเปิดระเบียบคุยกันอย่างเดียวเลย
     
  16. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,152
    ค่าพลัง:
    +1,487
    ขอพูดถึงตรงนี้นิดหนึ่ง คือทัศนะที่ว่า ไม่ใช่มีและ ไม่ใช่ไม่มี ก็มาจาก ทั้งมี และ ไม่มี (เป็นปัจจัยการแก่กันและกัน) นั้นเอง

    ความดับในทัศนะ ที่พูดถึงจำเป็นต้องไปพ้นจาก ไม่ใช่มีและ ไม่ใช่ไม่มี และ ทั้งมี และ ไม่มี อันใดอันหนึ่ง มันเป็นปัจจัยการกัน

    ขอใช้ว่าดับทัศนะทั้งปวงดีกว่า คือไปพ้นความคิดที่จะมาแบ่งแยก ไอ้ทัศนะลูกผสมนี่ ลัทธิสัญชัยปริพาชก สอนแบบนี้ ไอ้ตัวทัศนะลูกผสม ทั้ง"ไม่ใช่มีและ ไม่ใช่ไม่มี" กับ "ทั้งมี และ ไม่มี" นี่ื ก็คือการสร้างสภาวะขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า ความจริงเป็นแบบนั้นแบบนี้มีสภาวะแบบนี้ มันก็คืออัตตานั้นเอง อัตตา คือการสร้างสภาวะหนึ่งที่มีอยู่โดยตัวมันเอง เช่น สภาวะมี ไม่มี โดยเป็นอิสระในตัวมันเองไม่อิงอาศัยสิ่งใด (ซึ่งจริงๆๆก็อันเดียวกันนะไอ้ทัศนะลูกผสมนี้ อย่าง มีสภาวะหนึ่งที่เรียกว่า"ไม่ใช่มีและ ไม่ใช่ไม่มี" มีสภาวะหนึ่งที่เรียกว่า "ทั้งมี และ ไม่มี" หรือ ไม่มีสภาวะหนึ่งที่เรียกว่า"ไม่ใช่มีและ ไม่ใช่ไม่มี"(หรือก็คือทั้งมี และ ไม่มี) ไม่มีสภาวะหนึ่งที่เรียกว่า "ทั้งมี และ ไม่มี" "(หรือก็คือไม่ใช่มีและ ไม่ใช่ไม่มี)

    จะเห็นว่ามันก็คือการยึกติดในทัศนะมีและไม่นั้นเอง (และมีและไม่มีจริงๆๆก็เชื่องโยงถึงกันคือสิ่งเดียวกันเหมือนสงหน้าของเหรียญเดียว)

    แต่ประเด็นคือเราจะเลี่ยงความสุดโต่ง ของการยึดติดทางทัศนะ นี้แลคือความหมายของทางสายกลาง แต่ถ้าเราสังเกตนิดหนึ่งเราจะพบว่า มันก็ไม่วายที่พอใช้ภาษาอธิบาย มันก็ตกลงสู่ประเด็นของความเป็นคู่ๆๆอยู่ดี

    ตรงนี้เห็นตรงกันแล้ว เพราะคุณเห็นประเด็นนี้แล้ว "การยึดมั่นทั้งหมดคือไม่เชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งก็ต้องอย่างใดอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ใช่นิพพานเพราะเป็นอัตตาทั้งนั้น "

    เพราะภาษาของเราแสดงออกถึง ความเป็นคู่ๆๆที่โต่งไปด้านใดด้านหนึ่งเสมอ เพราะ ภาษาก็เกิดจากความคิด ซึ่งความคิดจำเป็นต้องใช้การแบ่งแยกสิ่งต่างๆๆออกมาเพื่อสื่อถึงสิ่งนั้น เราคิดถึงสิ่งต่างๆๆในเชิงเปรียบเทียบ อย่างพอพูดถึงผู้หญิง เราทำความเข้าใจผู้หญิงไม่ได้ถ้าไม่มีความคิดในใจก่อนว่า ผู้ชายเป็นยังไง ถ้าเราไม่รู้ว่าผู้ชายเป็นยังไง เราก็นิยามความแตกต่างว่าไม่ใช่ผู้ชายซึ่งก็คือผู้หญิงเป็นยังไงไม่ได้
    ในทางกลับกันความดีความชั่ว สูงต่ำ สั้นยาว มืดสว่าง เราไม่ได้บอกว่าไม่มีความต่างหรือมีความแตกต่างอยู่จริง แต่ประเด็นคือเรามองสิ่งต่างๆๆอย่างไม่ลึกซึ่งพอ เราจึี่งไม่เห็นว่าสิ่งที่ต่างแท้จริงแล้วมันก็เชื่องโยงถึงกันหรือไม่ได้ต่างกันเลย เช่นกัน พอเราเอาการแบ่งแยกอันนี้มาใช้ในใจเรา เราจึ่งเผลอไปยึดติดกับภาพลักษณ์ของความต่างนั้นของสิ่งต่างๆๆ และมองสิ่งต่างๆๆด้วยภาพลักษณ์อันนั้นอย่างแยกขาดตายตัวจากคู่ตรงข้ามของมัน

    เราจึงไม่เห็นความเป็นทั้งหมด ความเชื่อมโยงของมันในท่ามกลางความต่างนี้ แล้วเราก็ยึดความต่างนี้เป็นจริงเป็นจังจนเกินไป จนเป็นปัญหาคือเกิดความขัดแย้งขึ้นมา เช่น การแยกเกิดต่างจากตายเด็จขาด เราเลยกลัวตาย หรือ กลัวการเกิด(อีก) เกิดและตายจึ่งเป็นสิ่งที่ผูกมัดทัศนะเรา ต่อความจริงสร้างปัญหาให้กับเรา อย่างผมเป็นไม่อยากเกิดชาติหน้าอีก ถ้าเกิดผมเกิดอีก ผมก็มีความสุขไปไม่ได้ หรือ ผมไม่อยากตาย วันหนึ่งความตายก้าวเข้ามาผมก็มีความสุขไปไม่ได้ แต่ถ้าผมเห็นอีกแง่หนึ่งของเกิดและตาย(มีเกิดมีตาย) ว่าเกิดตายเป็นหนึ่งเดียวกัน(ดั้งนั้นจึ่งไม่มีเกิดไม่มีตาย) ผมก็เป็นอิสระจากเกิดตาย มันก็สร้างปัญหาอะไรให้ผมไม่ได้ ผมก็สามารถปล่อยวางลงได้อย่างแท้จริงจากความยึดติดของผม ในเกิด หรือ ตาย ความขัดแย้ง ปัญหา ความทุกข์โศกของผมก็สิ้นสุดลง

    อันที่จริงถ้ามองให้ลึกซึ่งอีกนิดอนัตตา กับ อัตตา ก็ไม่ได้แยกขาดจากกันจริงๆๆ เพราะมีทัศนะว่าอัตตาจึ่งมีอนัตตา ผมมองเห็นอนัตตาในสรรพธรรมทั้งปวงไม่ได้ ถ้าไม่ได้มองเห็นอัตตาในสรรพธรรมทั้งปวง อนัตตาจึ่งเป็นเพียงบัญญัติขึ้นมาเพื่อชี้ให้ผมเห็นอีกด้านของ อัตตา ที่ผมยึดติดให้ผมเป็นอิสระจากมัน และที่บอกว่านิพพานเป็นอนัตตา ก็เพราะต้องการทำลายความยึดติดของผมที่มองว่า นิพพานเป็นอัตตา อันที่จริงโดยปกติเราก็มักมองสิ่งต่างๆๆว่าเป็นอัตตาอยู่แล้ว อย่างนิพพานปกติเรามองว่านิพพานมี การมองว่านิพพานมีก็คือการมองว่านิพพานเป็นอัตตานั้นเอง คือมีตัวตนอยู่จริง ซึ่งถ้ามองว่านิพพานมีตัวตนอยู่จริง ก็ต้องเกิดการยึดถือนิพพานขึ้นมาทันที เป็นสิ่งๆๆหนึ่งอะไรสักอย่าง ทีนี้พอสอนว่า นิพพานเป็นอนัตตา ก็เพื่อทำลายความยึดติดว่า นิพพานมีตัวตนอยู่จริง ทำลายการยึดถือสภาวว่ามีตัวตนอยู่จริงของสิ่งที่เรียกว่านิพพาน การพูดว่า นิพพานเป็นอนัตตาในพระไตรปิฏก ก็คืออุบายเพื่อทำลายความยึดถือนิพพานนั้นเอง เพราะถ้าจิตยังยึดถือพระนิพพานก็ไม่ได้ชื่อว่าหยั่งลงสู่พระนิพพาน พอสอนแบบนี้ก็จะช่วยให้คนปลดความยึดถือ สภาวว่ามีตัวตนอยู่จริงของสิ่งที่เรียกว่านิพพาน เสียได้ พอหมดความยึดถือนั้นก็คือนิพพาน เพราะความยึดถือก็คือเหตุปัจจัยให้เกิดความทุกข์(ต้องไม่ลืมว่ามีอุปทานก็มีอวิชชา มีตัญหา ) เมื่อดับความยึดถือเสียได้ก็หมดทุกข์ นี่ก็คือนิพพาน คำสอนอะไรของพระพุทธเจ้าก็เถอะมีจุดประสงค์เพื่อคลายความยึดถือของจิตทั้งนั้นเพราะอุปทานนี้แหละคือสาเหตุของทุกข์ อย่างมีคนถามว่าให้พระพุทธเจ้าสอน คำสอนสรุปๆๆได้ไหม? ท่านบอก "ได้ใดๆๆในโลกนี้ล้วนอย่าไปยึดมั่นถือมั่น(สรรพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ)นั้นแหละคือคำสอนของทั้งหมด"
    ดังนั้นที่ตอนแรกผมพูดเรื่องนิพพานเป็นอนัตตา ก็เพราะผมสังเกตว่าหลายๆๆคนมักมองนิพพานทำนองนี้ ที่ผมพูดเรื่องไฟแล้วถามว่าความดับของไฟมีตัวตนได้ไหม ถ้าไม่ก็เป็นอนัตตา ก็เพราะผมสังเกตเห็นว่าคุณมองแบบนี้เหมือนคนอื่นเพราะเราเป็นชาวพุทธเราจะมองนิพพานแบบนี้นี่ปกติ ทีนี้ ผมพูดก็เพราะต้องการบอกเป็นนัยๆๆ ว่าคุณครับนิพพานเป็นสิ่งๆๆหนึ่งให้เรายึดถือได้หรือครับ ผมก็เลยถามว่า คุณว่าความดับของไฟมีตัวตนได้ไหม ที่นี้คนอื่นเห็นว่าพุดแบบนี้ก็เลยมองว่าผมพูดว่านิพพานเป็นสูญสลายทำลายล้าง คือเข้าใจไปอีกด้านหนึ่งอีก ก็เลยพุดเรื่อง เหตุปัจจัยในคราวที่แล้ว พูดเรื่องความดับไม่ใช่สูญสลายทำลายล้าง อย่างสิ้นเชิงของสิ่งต่างๆๆ ที่นี้ผมจะชี้ว่า ถ้าเราตีประเด็นแตกก็จะเข้าใจเรื่องนิพพานเป็นอัตตาอนัตตา


    ทีนี้เราจะพูดได้ไหมว่านิพพานเป็นอัตตา ก็ขอให้มองตรงนี้ ว่าเราพูดถึงนิพพานว่าเป็นตัวตนขึ้นมาก็เพื่อปลดความยึดถือว่า สภาวะที่ความทุกข์ดับไปไม่มีอยู่จริงนั้นเอง ดั้งนั้นหลายสูตรที่พระพุทธเจ้าพูดถึงนิพพานราวกับว่าเป็นสิ่งๆๆหนึ่งที่มีจริงที่คนเพทธเรามักเจอแล้วก็ยึดถือกัน ก็คือการพูดในบริบทของอัตตานั้นเอง เพื่อ ดับความยึดถือว่าสภาวะที่ความทุกข์ดับไปไม่มีอยู่จริงเพราะ ถ้าดับความยึดถือเสียได้ก็หมดทุกข์ นี่ก็คือนิพพาน ดั้งนั้นแม้อนัตตาเองก็ไปยึดไม่ได้ จริงๆๆการยึดอนัตตาก็เท่ากับทำให้อนัตตาเป็นสิ่งๆๆหนึ่งที่มีตัวตนขึ้นมาคือเป็นธรรมที่ชื่อว่าอนัตตา นี่ก็กลายเป็นยึดอัตตาในอีกรูปแบบทันที
    ธรรมชาติของคนเรา ปกติเรามักยึดถือในเรื่องการมีตัวตนอยู่จริงของสิ่งนั้นๆๆมากกว่า ไม่วายกระทั้งนิพพาน พอพระพุทธเจ้าสอนเรื่องความดับทุกข์ หรือนิพพาน ก็ไม่วายจะยึดถือมองว่านิพพานที่ว่านี้เป็นสิ่งๆๆหนึ่ง ความดับที่ว่านี้เป็นสิ่งๆๆหนึ่งหรือก็คือไปยึดติดในความเป็นอัตตาของนิพพาน ก็เลยมีการเขียนว่านิพพานเป็นอนัตตา ถ้าดูพระสูตร พระวินัย เราจะเห็นว่าท่านพูดว่าธรรมทั้งหลายทั้งปวง ทั้งที่เป็นนิพพาน(วิสังขาร)ไม่ใช่นิพพาน(สังขาร)เป็นอนัตตา ก็เพราะปลดความยึดถือนั้นเอง ถ้าเรามาดูความจริงเราจะพบว่า เรามักยึดสิ่งต่างว่ามันเที่ยง มันไม่เปลี่ยนแปลง มันคงสภาวะเดิมไว้ได้ หรือ นิจจัง สุขขัง เพราะไม่เห็นเรื่องปัจจัยการนั้นเอง ทีนี้พอพระพุทธเจ้าสอนเรื่องนี้ ท่านก็ชี้ว่าเพราะสิ่งต่างเกิดจากเหคตุปัจจัย พอเหตุปัจจัยเปลี่ยนมันก็เปลี่ยนไป ก็เท่ากับว่า สอนให้เห็นความเป็นอนิจจัง ทุกขังในสิ่งต่างๆๆ คือปลดความยึดถือในนิจจัง สุขขัง ในสิ่งต่างๆๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านปกิเสธความเป็น นิจจัง สุขขัง ในสิ่งต่างๆๆ คือปฏิเสธว่าสิ่งต่างๆๆไม่มี ลักษณะของนิจจัง สุขขัง ท่านชี้ว่ามี แต่ที่ว่ามีก็คือความดับของเหตุปัจจัยของสิ่งต่างๆๆนั้นเอง ที่เป็น นิจจัง สุขขังที่แท้จริง ซึ่งความดับก็เป็นอีกด้านหนึ่งของสิ่งต่างๆๆเท่ากับความีนั้นแหละ เพราะเมื่อเหตุปัจจัยดับคือไม่มีก็เลยไม่มีเหตุปัจจัยที่เปลี่ยน ก็เลยเป็น นิจจัง สุขขัง นี้แหละคือนิพพาน ทีนี้พอบอกว่า สิ่งต่างๆๆเป็น อนิจจัง ทุกขัง ก็เลยต่อว่าดั้งนั้นมันไม่มีตัวตนอยู่จริงให้ยึดเลย ดังนั้นอย่ายึดสิ่งที่เกิดจากเหตุปัจจัยนั้นไม่มีตัวตนอยู่จริงให้ยึด นี้ก็คือบอกว่าสังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา ที่นี้พอบอกแบบนี้คนก็ไม่วายมอง ความดับ เป็นสภาวะหนึ่ง หรือติดอยู่ในห่วงของความมีอยู่จริงของความดับนี้ในฐานะสิ่งๆๆหนึ่ง(เป็นอัตตา)ให้ยึดอีก ดั้งนั้นทำยังไงจึ่งจะปลดความยึดถือในวิสังขารได้ เพราะถ้าไม่หมดความยึดถือก็ไม่ได้ชื่อว่าเห็นสิ่งนั้นจริง ก็สอนเสียว่าแม้วิสังขารก็เป็นอนัตตาคือแม้ความดับก็เป็นอนัตตา ดังนั้นที่ว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาก็เพราะไม่ต้องการให้คนมายึดถือธรรมทั้งหลายทั้งวิสังขาร สังขาร นั้นเอง ในหลายๆๆสูตรพระพุทธเจ้าชี้ประเด็นนี้ เช่น อุปมาคำสอนพระองค์คือแพ ขึ้นฝั่งแล้วก็วางแพเสีย เป็นต้น

    นี้คือประเด็น ทีนี้ ไม่ได้กำลังบอกว่า นิพพานเป็นทั้งอัตตา และอนัตตา หรือมีอยู่ ในลักษณะสภาวะผสม ระหว่างทั้งมี และ ไม่มีตัวตน เพราะการพูดเช่นนี้ก็ตกอยู่ในข่ายของการยึดว่ามีและไม่มี อีกเช่นกัน ไอ้การพูดว่า นิพพานเป็นทั้งอัตตา และอนัตตา ก็จะตรงข้ามกับ การพูดว่า นิพพานไม่เป็นทั้งอัตตา และอนัตตา ก็คือการพูดว่า มีอยู่ ในลักษณะสภาวะผสม ระหว่างไม่ใช่มีและ ไม่ใช่ไม่มีตัวตน ดั้งนั้นจึ่งเป็นเพียงการสุดโต่งไปข้างหนึ่งทั้งคู่และสร้างอำนาจยึดถือไม่ว่าในแง่มุมใด เหมือนกับที่พูดว่า นิพพานมีตัวตน กับ นิพพานไม่มีตัวตนนั้นเอง จึ่งยังไม่ใช่นิพพานที่แท้จริง เพราะยัวคงรังแต่สร้างอำนาจความยึดถือ ถ้ายังยึดทัศนะเหล่านี้ก็ยังไม่ใช่นิพพาน เหมือนเราสอนนิพพานเป็นอนัตตาเพื่อปลดความยึดถือเรื่องนิพพานเป็นอนัตตานั้นเอง ประเด็นคือต้องไปพ้นจากความยึดถือทางความคิดใดๆๆนั้นแหละคือนิพพาน ความดับของความคิดทัศนะใดๆๆเกี่ยวกับความจริง

    ประเด็นคือพระพุทธเจ้าสอนให้เรามองสิ่งต่างๆๆ ให้ลึกซึ่งเพื่อเป็นอิสระจาก ความขัดแย้ง ความกลัว เหล่านี้ นี้แหละคือปรมัตถ์ หมายความว่าพระองค์ไม่ได้ปฏิเสธสมมติทั้งหลายของโลกว่าไม่จริง แต่พระองค์สอนให้มองความจริงที่อยู่เบื้องหลังของสมมติเหล่านั้นคือมองสมมติเหล่านั้นให้ลุ่มลึกแยบคายขึ้น ซึ่งก็คือปรมัตถ์ เพื่อให้เราเป็นอิสระจากการมองสิ่งต่างๆๆ อย่างคับแคบแต่ให้มองอย่างลุ่มลึกแยบคาย ......คือให้เห็นความเป็นทั้งหมด นี่คือความมหัศจรรย์

    ที่นี้พอเราเห็นตรงนี้ตรงกัน เราก็จะเห็นปัญหาของการมองความจริงอย่างของคนเราทั่วไป คือคนเรานั้นพอรู้สึกว่าอะไรเป็นความจริง ก็จะบัญญัติสิ่งนั้นขึ้นมาด้วยภาษาและยึดติดกับสิ่งนั้นโดยมองไม่เห็นอีกด้านหนึ่ง ตรงนี้ก็เกิดจากการเรียนรู้ผ่านการอ่าน การฟัง ประสบการณ์ต่างๆๆ อะไรทำนองนี้ ของเรานีั้นแหละที่หล่อหลอมขึ้น และความจริงของเราาจึ่งเป็นความยึดถือของเรานั้นเอง และความจริงตรงนี้ก็เลยเป็นกำแพงที่ปิดกั้นเราจากความจริงด้านอื่นที่เราไม่อาจจะแลเห็น เช่นถ้าผมเชื่อเรื่องพระพุทธเจ้ายังดำรงอยู่หลังปรินิพพาน พอใครมาบอกผมว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ดำรงอยู่หลังปรินิพพาน ผมก็ไม่มีวันเชื่ออย่างเด็จขาด ในทางกลับกันถ้าผมเชื่อว่าพระพุทธเจ้าไม่ดำรงอยู่หลังปรินิพพาน พอใครมาบอกผมว่าเขาพบพระพุทธเจ้ากำลังเทศน์สอนเขาอยู่ ผมก็ไม่เชื่ออย่างเด็จขาด ที่นี้ก็เกิดคนสองฝ่ายขึ้นและเกิดความขัดแย้งขึ้น เพราะ ความจริงทั้งหลายก็คืออำนาจความยึดถือของสิ่งที่ผมรู้เท่าที่ผมพอใจนั้นเอง

    สิ่งเหล่านี้จึงบังผมจากความจริงอื่น(อันที่จริงแล้วความจริงที่ต่างกันก็คือหนึ่งเดียวกันอยู่ดี) นั้นแหละปัญหา เพราะความคิดว่ามี และ ไม่มีก็เป็นตัวบังผมจากความจริงในด้านอื่นๆๆของมันนั้นเอง พระพุทธเจ้าอุปมา พ่อค้าคนหนึ่ง แกไปค้าขายต่างประเทศ แล้วโจรขึ้นบ้านแกแล้ววางเพลิงเสีย พอกลับมาแกคิดว่าลูกแกตายเพราะโจรฆ่า ทีนี้ ลูกแกหนีไปได้ในวันนั้น แต่พ่อค้าไม่รู้กลับมาเห็นศพถูกไฟไหม้แกว่าศพนั้นคือลูกแก แต่ความจริงคือโจรคนหนึ่งในกลุ่มโจรที่ถูกลูกแกฆ่า แกก็เลยเผาศพนั้นแล้วเอาอัฐิผูกเอวไว้ วั้นหนึ่งลูกแกกลับมาเคาะประตูเรียกพ่อๆๆ เศรษฐีไม่เชื่อ แกว่าลูกแกตายไปแล้ว ไม่เปิดประตูบ้านลูกชายจึ่งจากไปและพ่อก็เสียลูกชายไปตลอดกาล

    นี้ก็เหมือนเรื่องนี้ คือพระองค์ชี้ให้เราเห็นเรื่องความจริงว่าใครที่เห็นความจริงอย่างไรก็ยึดความจริงอย่างนั้นแล้วปฏิเสธอีกด้านเสีย ดังนั้นเองเราจึ่งพลาดจากความจริงอย่างแท้จริง เพราะความยึดติดในมุมต่างของเรานี่เอง ชาวพุทธเรายึดติดคำสอนในพระพุทธศาสนาเราจึ่งว่าคำสอนนี้คือจริงที่สุดศาศนาอื่นจริงกว่าไม่ได้ต้องไม่จริง ยิ่งเรารู้สึกว่ามันขัดแย้งเรายิ่งว่ามันไม่จริง ในทางกลับกัน ชาวคริสต์ ชาวฮินดู อะไรก็ตามก็ไม่ต่างกัน ดั้งนั้นเราก็เลยมองไม่เห็น ความจริงอย่างเป็นทั้งหมดแต่มองเห็นในมุมแคบๆๆที่เราแยกส่วนมาเป็นความจริงของชาวพุทธ ชาวคริสต์ ชาวฮินดู

    อย่างพระพุทธเจ้ายังดำรงอยู่หลังปรินิพพานหรือไม่ ถ้าเราเชื่อว่าท่านอยู่ นั้นก็คือเราติดในข่ายของความมี ถ้าเราเชื่อว่าท่านไม่อยู่อีกแล้ว เราก็ติดตาข่ายของความไม่มี พระพุทธเจ้าย่อมประกอบด้วยสิ่งที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าถ้าเรามองอย่างลึกซึ้ง เมื่อเราแยกเหตุปัจจัยออกเราก็จะไม่พบพระพุทธเจ้าเลย เราจะบอกได้อย่างไรว่าพระองค์ยังคงมีอยู่หลังปรินิพพาน ในทางกลับกันเนื่องจากพระพุทธเจ้าย่อมประกอบด้วยสิ่งที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าเมื่อเหตุปัจจัยพร้อมสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ปรากฏ เราจะบอกได้อย่างไรว่า ไม่มีพระพุทธเจ้าอยู่หลังปรินิพพาน เมื่อเราได้สัมผัสกับชั่วขณะแห่งความตื่น เราก็อาจจะเห็น พระพุทธเจ้ามาในรูปก้อนเมฆ ดอกไม้ ชายชรา ขอทาน คนบ้า สัตว์ ก็ได้ และ เมื่อเห็นสิ่งนี้เราก็หมดสงสัยในเรื่องนี้แล้วเป็นอิสระจากการยึดติดในมุมที่คับแคบ พระวักกลิ ยึดติดในพระพุทธเจ้าที่เป็นบุคคล ดังนั้นท่านจึ่งมองไม่เห็นว่าพระพุทธเจ้าที่เป็นบุคคลย่อมประกอบด้วยสิ่งที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ท่านจึ่งไม่เห็นพระพุทธเจ้าในต้นไม้ ในพระสารีบุตร ในขอทาน ในพุทธมารดา ในแม่น้ำ ดวงดาว ในตัวท่านเอง ด้วยเหตุนี้จึ่งชื่อว่าท่านยังไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง พระพุทธเจ้าสอนให้พระวักกลิมองอย่างลึกซึ้ง สอนให้มองเห็นธรรมจึ่งเห็นเรา และ ในสูตรอื่นก็ชี้ว่าธรรมที่ว่านี้ก็คือปฏิจจสมุปบาท หรือ ปัจจัยการ หรือ อิทัปปัจจยตา นั้นเอง คือมองเห็นความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้งในสิ่งต่างๆๆ ในหนึ่งก็มีทั้งหมดอยู่ในนั้น และในทั้งหมดก็มีหนึ่ง นั้นเองจึ่งชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงคือการมองให้เห็นอย่างเป็นอิสระจากการยึดติดในกรอบมโนทัศน์ ในภาพลักษณ์ของสิ่งต่างๆๆ ของเรานั้นแหละคือเห็นพระพุทธเจ้า


    ดั้งนั้นเราต้องไปให้พ้นจากการมองมุมแคบๆๆพวกนี้ แล้วเป็นอิสระจากความยึดติดทางทัศนะนี่คือตถตา คือเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง โดยปราศจากถ้อยคำทางความคิดไปติดฉลาดว่านั้นเป็นอย่างนั้นนี่เป็นอย่างนี้ คือสัมผัสสิ่งต่างอย่างที่เป็น โดยปราศจากกรอบหรือถ้อยคำ นี่คือประเด็นที่พระองค์สอนให้เราปฏิบัติวิปัสสนา และ นี้แหละคือเหตุผลว่าทำไม พระองค์ไม่นิยามนิพพานลงไปให้ชัดแต่พยายามเลี่ยงจากของที่เป็นคู่ๆๆ อย่างมาไป ในนอก เป็นต้น
    ขอยกในนอกขึ้นมาพูด ถ้าเรามองว่านิพพานเป็นสิ่งที่อยู่นอกตัว(หรือนอกเหนือจากสังสารวัฏ) ดังนั้นเราจึ่งมองว่านิพพานเป็นสิ่งที่เราต้องการที่จะเข้าถึง เราจึ่งมองไม่เห็นอีกด้านของความจริงว่า นิพพานนั้นอยู่ในตัวเรา เราไม่จำเป็นต้องแสวงหานิพพานที่ไหนอีก เพราะธรรมชาติของเราที่เป็นสังสารวัฏอีกด้านหนึ่งก็เป็นนิพพานด้วย จึ่งไม่จำเป็นต้องดิ้นรนอะไรเลยเพื่อบรรลุนิพพาน เพราะเราเป็นสิ่งนี้อยู่แล้ว เพราะมโนทัศน์ในนอกไม่ได้แยกขาดจากกันอย่างแท้จริงเลย นี่ไม่ได้หมายความว่าเราจะบอกว่าเราเป็นนิพพานอยู่แล้ วเราก็จะอ้างว่าเราไม่จำเป็นต้องปฏิบัติเพื่อเข้าถึงนิพพานที่อยู่ข้างนอกตัวเรา นะครับ เพราะนั้นหมายความว่า เราได้ตกลงสู่กับดับของความคิดเรื่องใน หรือใน-นอก แบบแยกอิสระจากกันเช่นกัน แต่ปกติเรามักจะคิดว่า นิพพานเป็นสิ่งที่อยู่ภายนอกตัวเราใช่ไหม?ครับ เหมือนความเป็นอริยบุคคล พระพุทธเจ้า อะไรทำนองนี้ นี้แหละที่ทำให้เราต้องวิ่งวุ่่นดิ้นรนไปนั้นนี่ด้วยความทะยานอยากของเรา และเป็นจุดเริ่มต้นของความทุกข์ แต่เมื่อเราปลดความคิดที่เรายึดติดตรงนี้ลงเสียได้ เมื่อเราปลดความคิดว่าสิ่งต่างๆๆอะไรที่เราดิ้นรนแสวงหามันให้ได้มาเ ป็นสิ่งที่อยู่นอกตัวเราไม่ได้เชื่อมโยงเกี่ยวข้องโยงใยเป็นหนึ่งเดียวกับเราอยู่แล้ว เราก็เป็นอิสระจากความทะยานอยากได้อย่างแท้จริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2013
  17. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    เขาคิดดีไงครับ โครงการนี้เขาให้ผู้ไปอบรมบริจาคอะไรหรือเปล่าหละ
     
  18. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,300
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,126

    ผมขอเห็นแย้งนิดนึงครับ

    ถ้าเป็นคำสอนเรื่องเล็กน้อย อย่างเช่น การจัดระเบียบแถว มารยาทเข้าคิวรับของ/รับประทานอาหาร ฯลฯ นั้นผมเห็นด้วยครับ ที่สำนักนี้เค้าเก่ง ผมขอยกมือหนับหนุนครับที่จะส่งบุคคลากรทุกหน่วยงานของประเทศไทย ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

    แต่ถ้าจะไปเพื่ออบรมธรรมะของพระพุทธเจ้าจากผู้ที่ขึ้นชื่อว่า เป็นผู้บิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วอย่างนั้นมันสมควรแล้วหรือ ?

    ผมเคยอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับพระธุดงค์สองรูป รูปนึงเป็นพระเขมร ได้อธิบายธรรมให้พระไทยรูปนึงฟัง แต่พอตกดึกแล้ว พระเขมรรูปนั้นได้ดั้นด้นมาจากที่พักที่อยู่ห่างไกลกันต้องฝ่าป่าดงฝ่าหนาม มาบอกกับพระไทยรูปนั้นให้ฟังใหม่ว่า คำที่บอกกล่าวไว้ตอนกลางวันนั้นมันผิด จนพระไทยบอกว่าก็ไม่เห็นจะต้องรีบมาตอนกลางคืนดึกดื่นขนาดนี้เลย รอให้ถึงตอนเช้าก่อนก็ได้ พระเขมรท่านตอบกลับมาว่า ไม่ได้หรอก ไปสอนผิดอย่างนั้น เดี๋ยวถ้าตายไปก่อนเดี๋ยวจะตกนรก...เอวัง
     
  19. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    โครงการนี้ ไม่ได้ให้ครูบริจาคอะไรค่ะ
    (แต่มีกิจกรรมตักบาตร โดยทางวัดมีของตักบาตร นำมาขาย มีการถวายเครื่องไทยธรรม เช่นเภสัช ผ้าไตร ... ที่ทางวัดนำมาขาย เพื่ออำนวยความสะดวก มีถวายปัจจัยบูชากัณฑ์เทศน์ มีทอดผ้าป่า มี...)

    แต่อบรมเสร็จแล้ว ครูมีงานต้องทำ
    เช่น
    โครงการกิจกรรมเด็กดี V-star
    โครงการสอบตอบปัญหาธรรมะ"ทางก้าวหน้า"
    กฐินสัมฤทธิ์เด็กดี V-star
    ค่ายพัฒนาศักยภาพผู้นำเยาวชนต้นแบบศีลธรรม
    โครงการบรรพชาและอุปสมบทหมู่
    ฯลฯ
    ซึ่งเป็นโครงการของวัดพระธรรมกายทั้งสิ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2013
  20. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    ข้อความด้านล่างนี้ ไปอ่านมานะคะ
    ท่านผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ


    "กลายเป็นกระแสวิพากษ์อย่างหนักในวงการครู จากโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติธรรมของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ที่มีการเกณฑ์ครูเข้าไปปฏิบัติธรรมซึ่งจัดขึ้นโดยลัทธิธรรมที่เต็มไปด้วยข้อครหาอย่าง ลัทธิธรรมกาย!

    จากชื่อและวัตถุประสงค์ของโครงการที่สวยหรู ให้คุณธรรมนำวิชากลับกลายเป็นโครงการที่ถูกครหาในวงการครูว่า เป็นโครงการล้างสมอง สร้างสาวก ทั้งยังกีดกันเสรีภาพทางความเชื่อของศาสนาที่มีอยู่หลากหลายในสังคม

    โดยโครงการลักษณะดังกล่าวมีครูเข้าร่วมไปแล้วหลายต่อหลายรุ่น สร้างความเดือดร้อนให้ครูทั้งในด้านของศรัทธาส่วนตัว และหน้าที่การงานที่ส่วนสำคัญคือการถูกล้างสมองในกระบวนการอบรมอาจส่งผลต่อการเรียนการสอนซึ่งจะถูกส่งต่อไปถึงเด็กนักเรียนทั่วประเทศ

    ล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้มีการออกเอกสารจากสพฐ.ให้ครูทั้งประเทศกว่า 700,000 คน เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการ รวม 11 รุ่น โดยให้ปิดโรงเรียน 3 วัน แม้สพฐ.จะออกมาปฏิเสธการส่งครูเข้าลัทธิธรรมกาย แต่หลายสิ่งหลายอย่างกลับบ่งชี้และเชื่อมโยงสพฐ.กับธรรมกายเข้าด้วยกัน

    มาถึงตอนนี้แผนการเบื้องลึกเบื้องหลังของลัทธิที่เต็มไปด้วยความไม่ชอบมาพากลนี้คืออะไรกันแน่?

    ไม่ได้จัดในธรรมกาย...แต่จัดโดยธรรมกาย

    จากการให้ข่าวล่าสุดของ ดร.อรทัย มูลคำ ที่ปรึกษา สพฐ. ในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการที่ออกมาปฏิเสธว่า โครงการดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องกับธรรมกาย โดยให้สัมภาษณ์ว่า

    “ที่ผ่านมา สพฐ.ได้จัดอบรมไปแล้วหลายรุ่น ซึ่งทุกรุ่นจะต้องไปปฏิบัติธรรมในวัด หรือศูนย์ปฏิบัติที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งทุกคนต้องถือศีล 8 และทำกิจกรรมตามตารางที่กำหนด ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้เป็นการบังคับต้องไปปฏิบัติธรรมในวัดพระธรรมกายแต่อย่างใด ซึ่งจากเสียงตอบรับของผู้เคยเข้าร่วมบอกชัดว่าโครงการดังกล่าวนี้ดี

    “ผู้บริหารและครูนำแนวทางที่ได้จากการอบรมไปปรับแนวทางการบริหารจัดการเรียนการสอน เพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพโรงเรียน ไปส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมแก่นักเรียน รู้เท่าทันและเตรียมพร้อมสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ได้ตามนโยบาย สพฐ.เพราะฉะนั้น จึงไม่อยากให้คิดหรือพูดว่า สพฐ.บังคับให้ครูต้องมาร่วม แต่เป็นการขอความร่วมมือจากทุกคนมากกว่า โดยเฉพาะโรงเรียนในฝันและโรงเรียนดีศรีตำบล จะเป็นกำลังสำคัญในการดูแลโรงเรียนอื่นๆ ต่อไป”

    และแม้ว่าเอกสารทั้งหมดเกี่ยวกับโครงการก็ไม่ปรากฏชื่อของธรรมกาย แต่ทว่าในเอกสารกำหนดการของโครงการกลับพบชื่อของ พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ และ พระครูธรรมธรอารักษ์ ญาณารกฺโข 2 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดธรรมกายและ พระเดชพระคุณพระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว) รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เป็นวิทยากรในโครงการ กิจกรรมช่วงหนึ่งยังมีชื่อของกลุ่ม v - star ซึ่งเป็นชื่อโครงการบ่มเพาะเยาวชนของวัดธรรมกาย นอกจากนี้เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการก็เป็นศิษย์คนหนึ่งของลัทธิธรรมกายด้วย

    ทั้งนี้ ความเชื่อมโยงที่เกิดขึ้นทั้งหมด ต้องย้อนกลับไปถึงจุดแรกเริ่มของโครงการร่วมระหว่างธรรมกายกับสพฐ.นั้นเริ่มมีมาตั้งแต่ 3 ปีก่อน(2553) ในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ แต่ได้มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มเอ็นจีโอร่วมด้วยนักวิชาการ 43 คน มีหนังสือคัดค้านที่นำโดย สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ทำให้การลงนามข้อตกลงความร่วมมือ(MOU) ระหว่างสพฐ. กับสมาคมพุทธศาสตร์สากลในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นส่วนหนึ่งของ ลัทธิธรรมกาย เป็นอันต้องตกลงไป

    พูดให้ชัดคือ ธรรมกายเคยมีความพยายามที่เข้ามาแทรกแซงระบบการศึกษามาก่อนแล้ว มาถึงตอนนี้ จากบุคลากรในชุดเดิม และรูปแบบของโครงการเดิม กับรัฐบาลชุดใหม่ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป โครงการเก่าที่ถูกค้านตกไปกลับมาใหม่ในชื่อโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติธรรมเรียนดีศรีตำบล กับโรงเรียนในฝัน

    ล้างสมองครองโลก

    หลังจากโครงการอบรมจริยธรรมครูถูกยกเลิกเมื่อสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เมื่อเข้าสู่รัฐบาลยิ่งลักษณ์โครงการดังกล่าวก็กลับมาอีก ทางฝ่ายที่เห็นค้านกับโครงการก็เคลื่อนไหวเช่นเดิม โดยมีการรวบรวมเอกสารหลักฐานหลายอย่างไว้ เพื่อส่งให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แม้แต่สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เพื่อหาช่องทางคัดค้าน

    แต่ทว่านัด (นามสมมติ) 1 ในแอดมินเพจ คัดค้านโครงการเหลือบ “โรงเรียนดีศรีตำบล” นอมินีธรรมกาย ครอบงำการศึกษาไทย เผยถึงการทำงานที่เป็นไปได้ยากเนื่องจากการดำเนินงานของโครงการครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน เพราะนโยบายนั้นถูกสั่งตรงมาจากนายกรัฐมนตรี กลายเป็นนโยบายของรัฐซึ่งต่างจากครั้งก่อนที่จะมีจดหมายเชื่อมโยงระหว่างรัฐกับวัดธรรมกาย นอกจากนี้เมื่อส.ว.ลงไปตรวจสอบกลับพบว่า มีการให้พระจากวัดอื่นมาทำโครงการด้วย ไม่ใช่แค่วัดธรรมกายอย่างเดียว จึงไม่สามารถจัดการอะไรได้

    “ถ้ามันมาจากธรรมกายประสานกับสพฐ. มันจะมีจดหมายเชื่อมโยง แต่ตอนนี้มันไปไกลกว่านั้น ใช้วิธีการให้นายกรัฐมนตรีสั่งการเป็นเส้นตรงมาเลยกลายเป็นนโยบายรัฐ มันไม่ใช่โครงการร่วมที่เราสามารถเข้าไปแทรกแซงได้”

    เมื่อเทียบกับโครงการที่ถูกคัดค้านตกไป โครงการนี้ถือว่ามีการรับลูกส่งต่อกันตั้งแต่ระดับรัฐมนตรี เขาบอกเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้มาจากความเชื่อมโยงหลายๆ จุด ทั้งฝ่ายการเมือง ข้าราชการในสายการศึกษา กับลัทธิธรรมกาย ที่ทำให้ไม่มีใครสามารถเข้าไปตรวจสอบได้

    “ถ้าเกิดมันแตกนอกสายไม่เป็นไร...แต่นี่มันเป็นสายเดียวของธรรมกายหมดเลย มันเลยไม่มีข้อมูลรั่วออกมาเลยแม้แต่น้อย”

    จากการติดตามความเคลื่อนไหวในประเด็นเกี่ยวเนื่องกับลัทธิธรรมกายมาอย่างต่อเนื่อง เขาถึงกับออกปากว่าลัทธิธรรมกายมีแผนที่จะครองโลก! แม้จะฟังดูเกินจริง แต่แผนการที่ถูกวางไว้ในขั้นแรกของลัทธินี้ก็คือการล้างสมองเด็กๆ และเยาวชน โดยแผนดังกล่าวนั้นเคยถูกเปิดโปงมาแล้วในช่วง 3 ปีก่อนที่ธรรมกายเข้าไปแฝงตัวอยู่ในชมรมพุทธตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ยังมีโครงการ V - Star หรือโครงการฟื้นฟูศีลธรรมโลก หรือแม้แต่โครงการธรรมทายาท

    เขาเห็นว่า โครงการเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นโครงการล้างสมอง สร้างสาวก บิดเบือนคำสอนของพุทธศาสนาทั้งสิ้น จนถึงตอนนี้การเข้าถึงโรงเรียนในระดับประถม เขามองว่าเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งที่ธรรมกายต้องการจะเข้ามา และเหล่าครูตามโรงเรียนก็ถือเป็นกลไกหนึ่งที่ถูกแทรกแซงได้

    จนถึงตอนนี้มีการอบรมไปทั้งหมด 11 รุ่น เขาเผยว่า ครูที่ไปเข้าร่วมนั้นต้องพบกับข้อบังคับหลายอย่าง ตั้งแต่เสื้อผ้าที่ต้องซื้อกับทางวัด อาหารการกินที่ห้ามกินข้าวเย็นซึ่งทำให้ครูบางคนที่มีอาการป่วยต้องทานยาในมื้อเย็นไม่สามารถทานยาได้ ส่งผลให้ล้มป่วยหลังกลับจากโครงการก็มี นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมให้แบบเฉพาะอย่างการตักบาตรแบบธรรมกายที่ไม่เหมือนที่อื่น และยังมีการพูดถึงการชำระล้างพระไตรปิฎก

    “หลังจากตื่นมานั่งสมาธิทำบุญ เปิดวิดีโอล้างสมองช่วงเช้า เสร็จมีเจ้าหน้าที่มาพูดช่วงหนึ่ง เปิดวิดีโอล้างสมองช่วงสาย เสร็จปุบ ล้างสมองช่วงบ่าย พูดแป๊บหนึ่งล้างสมองช่วงเย็น จากนั้นก็นั่งสมาธิ มันเป็นแบบนี้ทุกวัน”

    เนื้อหาที่ฉายในการอบรมเขาเผยว่า สามารถดูได้จากChange The World ซึ่งเป็นสื่อของธรรมกาย การอบรมดังกล่าวใช้เวลา 3 - 4 วัน และหากไม่ผ่านจะต้องกลับมาซ่อมด้วยการอบรมใหม่อีกครั้ง

    นอกจากนี้ ยังมีโครงการอุปสมบทครูแก้วภาคฤดูร้อน และโครงการบรรพชาสามเณรม.ปลายภาคฤดูร้อน โดยให้ครูและนักเรียนเข้าบวชกับธรรมกายเป็นเวลา 15 - 30 วันอีกด้วย โดยผู้ที่ผ่านการบวชจะถือเป็นเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการของลัทธิธรรมกาย

    ทั้งนี้ แม้จะมีเสียงตอบจาก สพฐ.ว่า การเข้าร่วมโครงการดังกล่าวเป็นไปด้วยความสมัครใจ ไม่มีการบังคับ ทว่าในทางปฏิบัติแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะจากที่ผ่านมาเขาเผยว่า หากโรงเรียนไหนมีครูที่ไม่เข้าร่วมกิจกรรมจะส่งผลให้โรงเรียนนั้นไม่ผ่านหลักเกณฑ์และจะทำให้ไม่ได้รับเงินสนับสนุน

    “ครูใหญ่ก็ต้องอยากได้เงินเป็นธรรมดา พอเป็นแบบนี้ก็เลยมีมาตรการบีบให้ครูเข้าร่วมกิจกรรม หากไม่เข้าก็อาจจะถูกตั้งกรรมการสอบ ที่ผ่านมาก็เคยมีถึงขั้นไล่ออกจากที่ครูบางคนไม่พอใจกับการร่วมโครงการ อาจจะออกมาพูดบางอย่าง พอโดนไล่ออกไปคนหนึ่ง ครูหลายคนเลยไม่กล้าออกมาพูดเรื่องนี้”

    ภาพรวมของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับโครงการที่ชะงักไป เขามองว่าเป็นผลมาจากการตรวจวัดคุณภาพของโครงการ แต่คงหยุดพักเพียงชั่วคราวเท่านั้น

    “ผมคิดว่าโครงการคงกลับมาเดินหน้าต่อ ตราบใดที่คนกลุ่มนี้ยังทำงานอยู่ เพราะมันมีความเชื่อมโยงทั้งกำลัง ฐานเสียง และการเงิน แม้แต่ตัวส.ว.ที่เราเข้าไปขอให้ตรวจ เขายังบอกเองว่า มันเป็นเรื่องใหญ่มากจนเขารู้สึกว่า ต้องทำเรื่องอื่นก่อน ไม่งั้นเจอเรื่องนี้แล้วจะน็อกไปก่อนได้”

    เสรีภาพทางศาสนา

    โครงการที่มีหลักการส่งเสริมคุณธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่การบังคับให้ครูต้องเข้าร่วมโดยที่ไม่สมัครใจนั้น ครูหยุย - วัลลภ ตังคณานุรักษ์ เลขาธิการมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก และอดีต ส.ว. เห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ทั้งยังขัดต่อรัฐธรรมนูญที่รับรองสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา

    ในฐานะที่เขาเป็นบุคลากรที่ทำงานในแวดวงของการศึกษามาอย่างช้านาน ทำให้เห็นว่าโครงการนี้ถูกผลักดันมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เขาตั้งข้อสังเกตว่า ในสพฐ.นั้นมีผู้ใหญ่ระดับสูงที่มีความรู้จักมักคุ้นกับธรรมกายอยู่เยอะ

    “ยุคนี้โครงการเดิมมันมาโผล่อีก มันก็อยู่ในกลุ่มเครือข่ายสพฐ.เดิมที่นำเอาโครงการนี้มาปัดฝุ่นผลักดันกันใหม่” เขาเอ่ยพร้อมอธิบาย “การให้ครูไปอบรมจริยธรรมเป็นความคิดที่ฟังแล้วดูดี แต่ในคำสั่งบังคับให้ไปฝึกกับธรรมกาย...อันนี้เจ๊งเลย มันขัดรัฐธรรมนูญที่บอกว่า เรามีสิทธิเสรีภาพที่จะนับถือศาสนาใดก็ได้”

    เขาเห็นว่า พุทธศาสนาในประเทศไทยนั้นก็มีหลายแนว ปัญหาตรงนี้ทำให้ครูหลายคนเดือดร้อนด้วยเพราะศรัทธาที่ไม่เหมือนกัน เขายกตัวอย่าง ครูแถวอีสานจะศรัทธาสายวัดป่า อาทิเช่น หลวงปู่ชา สุภัทโท หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ครูทางใต้จะนับถือแนวพุทธทาส

    “แล้วยิ่งพวกเคร่งมากเขานับถือแนวสันติอโศก ไปบังคับครูให้ไปแนวธรรมกาย มันผิดอย่างแรง เขาร้องเรียนกันเยอะจนบอกมาที่ผม ตอนนี้มันสะดุดแล้ว คนรู้ทันก็เลยหยุด ตอนนี้มีคำสั่งใหม่ให้ทำอะไรก็ได้ ไปวัดไหนก็ได้ที่ใกล้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็จบไป”

    อย่างไรก็ตาม เขายังมองว่า หน่วยงานราชการไม่สามารถพูดลอยๆ ได้ ควรมีจดหมายจากกระทรวงศึกษาธิการแจ้ง นอกจากนี้เขายังเสนอว่า หากโครงการดังกล่าวจะดำเนินการต่อก็ควรให้ครูในโรงเรียนจับกลุ่มกันตามแต่ศรัทธาเพื่อไปตามวัดที่ตัวเองอยากไปปฏิบัติธรรม

    “ในหนึ่งโรงเรียนครูก็อาจจะชอบไม่เหมือนกันก็ได้ 10 คนอาจจะไปหลวงพ่อคูณ 10 อาจจะไปสันติอโศก อีก 10 คนจะไปธรรมกายก็ได้แล้วแต่ศรัทธา ที่สำคัญคือเรื่องของศาสนาห้ามบังคับกัน”

    …..

    ท้ายที่สุดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติธรรมจะจบลงอย่างไร? ครูทั่วประเทศจะต้องจำทนกับภาวการณ์ของเงื่อนไขที่ไม่สามารถขัดขืนต่อไปหรือจะมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น?

    เครือข่ายลัทธิธรรมกายที่เต็มไปด้วยข้อครหาจากสังคม หากวันใดลทธินี้สามารถแทรกตัวเองเข้ามาสู่ระบบการศึกษาที่เป็นเสมือนฐานรากอันสำคัญของประเทศได้สำเร็จ ถึงวันนี้เราคงหัวเราะไม่ออก กับความคิดที่ว่า ลัทธินี้พยายามจะครองโลก"

    ที่มา :เมื่อครูไทยถูกล้างสมองโดยธรรมกาย แล้วลูกเล็กๆ ของเราจะเป็นอย่างไร - Pantip
     

แชร์หน้านี้

Loading...