จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    I would just like to say"Hello"to everyone.
    I hope everyone is happy now.
    I'm still alive.

    he llo _
     
  2. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976

    Hello ครูพี่ภู ไชโยๆๆดีใจที่ครูพี่ภูได้เข้ามาเขียน กระทู้นี้ขาดธรรมะของครูพี่ภู มันดูเงียบเหงานะ แต่ก็อย่างว่านั้นแหละทุกๆคนก็ต้องมีหน้าที่ไปตาม"วาระ"ของแต่ละคนที่ท่านจัดสรรค์ไว้แล้ว เพียงแต่เราเป็นผู้ก้าวเดินตามไปแล้วก็ประคับประคองให้ไปได้ถึงจุดมุ่งหมายว่าแต่ละคนมีจุดมุ่งหมายอย่างไรนั้นก็เป็นการขีดเส้นไว้ให้เราเดินไปตาม เพราะเราจะหนีไม่พ้น เพราะคนเราเกิดมาก็ต้องทําหน้าที่เพื่อรักษาธาตุขันธ์ของเราเอาไว้ เพราะธาตุขันธ์นี่ก็คือภาระอันใหญ่หลวงที่เราจะต้องแบกไปจนถึงจุดหมายปลายทาง จึงขอกล่าวคําว่า"Welcome Back"ทุกๆคนจะได้อ่านธรรมะของครูพี่ภูโดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณพี่มาลินี ท่านคิดถึงครูพี่ภูมากๆเลยค่ะ สาธุค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  3. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ความสุขไม่ได้อยู่ที่ไหน แต่อยู่ทีตรงนี้และเดี๋ยวนี้แล้ว.

    ...เพียงแต่เปลี่ยนมุมมอง วางใจให้ถูก เราก็จะพบความสุขได้เสมอ...

    ...ความสุขไม่ได้เกิดจากทรัพย์สินสมบัติ เกียรติยศ และอำนาจ แต่อยู่ที่.

    ที่ว่าเรามีสติรู้ทันอารมณ์ของตน และม่ปัญญารู้เท่าตามธรรมดาโลก หรือไม่ หากมอง

    ...เป็น...ไม่เพียงพบความสุขรอบตัวเท่านั้น หากยังสามารถสัมผัสความสุขที่มีอยู่กับ

    ตัวเราแล้วด้วย...เมื่อใดก็ตามที่เราตระหนักว่าความสุขนั้นตามติดเราไปตลอด ไม่ว่า

    อยู่ที่ไหน อยู่ในสถานการณ์ใด...ไม่มีอะไรมากระทบ เราให้สามารถพบความสุขได้เสมอ.

    ...พระธรรมคำสอนของพระไพศาล วิสาโล น้อมกราบนมัสการท่านพระอาจารญ์เจ้าค่ะ

    ...และกราบขอบพระคุณท่านพระอาจารย์จรินที่ท่านส่งธรรมะดีๆมาให้เป็นธรรมทานค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  4. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ขอน้อมรำลึกถึงพระคุณครูบาอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง



    [​IMG]

    26 กรกฎาคม พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937)

    วันมรณภาพของ พระครูวิหารกิจจานุการ (ปาน โสนนฺโท)

    หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค (พระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่ง พระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโครูปที่ 3 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบางนมโคระหว่างปี พ.ศ. 2478 จนถึงปี พ.ศ. 2481 ท่านเป็นครูบาอาจารย์ของ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ที่พวกเราเคารพรักยิ่ง...ดังนั้นพวกเรามักจะเรียกขานชื่อท่านอย่างสนิทปาก ว่า " หลวงปู่ปาน "

    วันนี้ ลูกขอน้อมบูชาความดีของพระเดชพระคุณหลวงปู่ปาน
    วัดบางนมโค ในโอกาสครบรอบวันมรณภาพ 75 ปี
    มาเผยแผ่ให้ลูกหลาน อนุชนรุ่นหลังได้รำลึกนึกถึง
    พระคุณครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อเราทุกคน



    ...หลวงพ่อปาน โสนันโท มรณภาพวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๔๘๑ เวลา ๑๘.๐๐ น.ตรงกับวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ รวมสิริอายุ ๖๓ ปี ๔๓ พรรษา ท่านได้กำหนดวันและเวลามรณภาพของท่านไว้ล่วงหน้าถึง ๓ ปี ก่อนมรณภาพท่านให้โอวาทเป็นครั้งสุดท้าย ให้ศิษย์ทุกคนอย่าทิ้งกรรมฐาน ฆราวาสอย่าทิ้งคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า จะเอาตัวรอดได้

    ...ขอคัดย่อข้อความส่วนท้ายจากเทปที่หลวงพ่อฤาษีฯ ท่าน บันทึกไว้ในประวัติหลวงพ่อปาน มาให้ได้อ่านกัน {ปัจฉัมโอวาทของหลวงพ่อปาน}
    ท่านบอกว่าลูกทุกคน เมื่อพ่อตายไปแล้ว จงอย่าทิ้งกรรมฐานที่พ่อให้ไว้ เป็นกรรมฐานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าถือว่าเป็นของพ่อ ต้องถือว่าเป็นของพระพุทธเจ้า...ฆราวาสทุกคนอย่าทิ้งคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านะ แล้วจะเอาตัวรอดได้ แต่ถ้าใครไม่ปฏิบัติจะเอาตัวไม่รอด แล้วจะมาโทษพ่อไม่ได้ เพราะสมบัติส่วนใหญ่พ่อให้ไว้หมดแล้ว คือมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ นิพพานสมบัติ พ่อให้หมดแล้ว ลูกทุกคนจงพยายามรักษาไว้ให้ดี” …แล้วท่านก็อธิบายกรรมฐานตามสมควร…ฯลฯ นี่เรื่องของหลวงพ่อปานขอเล่าย่อๆ นะ เอาแค่ตาย เพราะท่านตายดี และไอ้ความตายนี่บรรดาท่านผู้ฟังทุกท่านจงจำไว้ว่า คนเราจะเกิดมาอยู่ในฐานะเช่นใดก็ตาม มันต้องตาย

    {ไม่กลัวความตาย}...ไอ้ความตายนี่อย่าไปกลัวมันเลย ไม่ควรกลัวตาย คนเราเดินเข้าไปหาความตายทุกวัน ถ้าขืนไปกลัวความตาย มันก็หลอกตัวเอง คนไหนยังหลอกตัวเอง คนนั้นยังเอาดีไม่ได้
    ต้องพยายามรู้ตัวไว้เสมอ ว่าเราเกิดมาเพื่อตาย นี่เป็นอันดับแรก แล้วก่อนที่จะตาย เราต้องรับผลของกรรม กรรมมีอยู่ ๒ อย่างคือ กรรมดีอย่างหนึ่ง กรรมชั่วอย่างหนึ่ง
    {ผลของกรรม}...กรรมชั่วที่เราทำไว้ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี มันให้ผลเป็นทุกข์ จำไว้นะ การป่วยไข้ไม่สบายก็ตาม ความขัดข้องในทรัพย์สมบัติก็ตาม ความเดือดร้อนใดๆ ก็ตาม ที่มันประสบกับเราในชาตินี้ นั่นคือผลของความชั่วในชาติที่เป็นอดีต หรือความชั่วที่เราสร้างในชาตินี้ มันให้ผลเป็นความเร่าร้อน
    ...ถ้าผลอันใดเกิดจากความสุขกายสบายใจ ความรื่นเริงหรรษา นั่นมันเป็นผลของความดีที่เราทำไว้แต่ชาติก่อนให้ผล หรือว่าความดีในชาตินี้ให้ผล
    {มีบางคนตัดพ้อ} บางรายบอกว่าบุญก็ทำ ผ้าป่าก็ทอด กฐินก็ทอด บาตรก็ใส่ ทำไมยังป่วยไข้ไม่สบาย มีความเจ็บไข้เรื่อย มีเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามาเป็นทุกข์ทำให้เกิดความเดือดร้อน ถึงกับเบื่อหน่ายในการทำบุญทำกุศล โทษพระพุทธศาสนาว่าไม่ช่วย อันนี้ฉันได้ฟังบ่อยๆ
    ...คนประเภทนี้ไม่ไหวหรอก ชาตินี้เป็นทุกข์ แล้วชาติหน้าก็ยังเป็นทุกข์ ทุกคนควรจะรู้ตัวว่า การเกิดมานี้เราไม่ได้เกิดมาดีกันนี่ ถ้าเราเป็นคนดีเราจะมาเกิดทำไม เราก็ไปนิพพานแล้ว ไอ้ที่เรายังเกิดอยู่ เพราะเรายังมีเลวอยู่มาก ควรจะรีบชำระสะสางความเลวให้สิ้นไป ควรจะเป็นคนรู้ตัวดีกว่า อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัว ไอ้คนรู้ตัวกับคนเห็นแก่ตัวมันต่างกัน

    {ต้องคิดไว้อยู่เสมอ} เมื่อเรารู้ตัวว่า

    ๑.เราเกิดแล้วเราจะต้องเจ็บไข้ไม่สบาย นี่เป็นเรื่องธรรมดา
    ๒.เราจะต้องแก่
    ๓.เราจะต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่เราไม่ปรารถนาและที่เราไม่ต้องการ
    ๔.เราจะต้องตาย คิดให้รู้ไว้ เมื่อรู้แล้วอย่างนี้ ถ้าอะไรมันมากระทบ เราก็รู้ตัวแล้วว่ามันจะต้องมี
    เหมือนกับคนเดินไปข้างหน้า รู้ว่าข้างหน้ามีแม่น้ำขวาง เมื่อไปถึงพบแม่น้ำเข้าจริงๆ ก็ไม่มีการตกใจ เพราะรู้ว่ามีแม่น้ำ จะได้หาพาหนะเตรียมการเพื่อข้ามน้ำ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ชีวิตของเราก็เหมือนกัน
    ...ถ้าบุคคลทั้งหลาย รู้ว่าสภาวะความเป็นจริงว่า เกิดมาแล้วมันมีแต่ความทุกข์ ทุกข์เพราะอาหาร ทุกข์เพราะการบริหารการงาน ทุกข์เพราะการกระทบกระทั่ง ทุกข์เพราะการป่วยไข้ ทุกข์เพราะความแก่ ทุกข์เพราะความตาย ทุกข์เพราะความพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น นี่มันเป็นตัวทุกข์ รู้แล้วว่ามันจะต้องทุกข์ เราก็ทำให้มันไม่ทุกข์เสีย ถ้ามันกระทบอะไรเข้า เราก็รู้สึกว่าอันนี้มันธรรมดา เรารู้อยู่แล้ว แล้วเราก็คิดต่อไปด้วยว่า ทุกข์อันนี้เราจะให้มีแต่ชาตินี้ชาติเดียว ชาติต่อไปไม่ให้มันมีอีก หมายความว่า เราจะไม่เกิดมาเพื่อให้ทุกข์อีก ถ้ายังเกิดตราบใด เราก็ยังต้องมีความทุกข์อยู่เพียงนั้น

    {ไม่เกิดต้องทำอย่างไร}...ทีนี้คนที่จะไม่เกิดต้องทำอย่างไร มันทำไม่ยาก ทำง่ายๆ คือ
    ๑.รักษาศีลให้บริสุทธิ์ คนรักษาศีลน่ะเป็นคนดี ไอ้คนไม่มีศีลน่ะเป็นคนระยำ จำไว้ให้ดี ถ้าเราอยากจะเป็นคนดี เราต้องเป็นคนมีศีล ถ้าเรายังปฏิบัติศีลไม่ได้ ให้รู้ตัวว่าเราระยำเต็มทีแล้ว เลวเต็มทีแล้ว ให้รู้ตัวไว้ อย่าเป็นคนเข้าข้างตัว จงเป็นคนรู้ตัวดีกว่าคนเข้าข้างตัว
    ๒.รักษาสมาธิให้ตั้งมั่น ซึ่งเป็นของที่ไม่ต้องลงทุน
    ๓.ปลงสังขาร ไว้ว่า โลกทุกโลกเป็นแดนของความทุกข์ สังขารทุกสังขารเป็นดินแดนของความทุกข์ เราจะเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี ก็ไม่พ้นทุกข์
    ถ้าเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม ก็ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาน เราไม่ต้องการโลกทั้ง ๓ ประการ และไม่ต้องการอะไรทั้งหมด ขึ้นชื่อว่ามนุษยโลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ไม่ใช่สิ่งที่เราปรารถนา สิ่งที่เราปรารถนาจริงๆ ก็คือ พระนิพพาน ภาวนาไว้ว่า สิทตะมหานิพพานัง หรือ นิพพานัง เฉยๆ ก็ได้ นึกไว้ว่า นิพพานๆ เราต้องการพระนิพพาน

    {เราต้องการนิพพาน}...โลกนี้ทั้งหมดเราไม่ต้องการอะไร ความรัก ความเกลียด ความโกรธ ความเร่าร้อน เราถือเป็นของธรรมดา อะไรจะมากระทบกระทั่ง นั่นถือเป็นเรื่องธรรมดา เราจะเปลื้องสมบัติสภาวการณ์ต่างๆ ของโลกให้สิ้นไป เราอยู่กับโลก เราจะอาศัยโลกและสมบัติของโลกชั่วคราว เมื่ออัตตภาพมีอยู่ เมื่อความสิ้นไปแห่งอัตตภาพมีเมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละเราจะไปพระนิพพาน

    {ไม่อยากเกิดอีก} แล้วก็สร้างความไม่พอใจ แต่ว่าไม่เคียดแค้น คือถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เห็นโลกก็ดี เห็นวัตถุก็ดี เห็นคนก็ดี เห็นสัตว์ก็ดี คิดว่าสภาพทั้งหลายเหล่านี้ เป็นดินแดนที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ทั้งนั้น เป็นดินแดนของความเกิด เราจะไม่ปรารถนาต่อไป
    เมื่อมีก็ใช้ ไม่มีก็แล้วไป เมื่อมันทรงอยู่ได้ก็จะทรง เมื่อมันจะตายก็ตามที อัตตภาพนี้ตายเสียได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะเราไม่มีความปรารถนา เรารังเกียจมัน เพราะร่างกาย ทุกข์ก็ไม่ปรากฏ ความเร่าร้อนก็ไม่ปรากฏ ฉะนั้น…ขึ้นชื่อว่าความเกิดทั้งสิ้นเราไม่ปรารถนากันอีก.
    .
    ..เอาละ..สำหรับเทปนี้ก็ขอยุติเพียงเท่านี้ ถือว่าเป็นการสิ้นสุดเรื่องของหลวงพ่อปานเพียงย่อๆ เล่ามา ๔ เทปเป็นเวลา ๘ ชั่วโมง
    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูลผล จงมีแด่ท่านผู้ฟังทุกท่าน และขอให้ทุกท่านจงประสบผลดี ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงแล้ว ขอบรรดาพุทธบริษัทซึ่งเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติตาม จงถึงธรรมที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงแล้วโดยทั่วทุกคน

    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแก่ท่านทุกกาลทุกสมัยตลอดชีวิตเทอญ.
    (ตอนนี้หันไปดูนาฬิกา ปรากฏว่าเป็นเวลาตี ๔ พอดี คือ เวลา ๔.๐๐ น. ของวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๒ เอาล่ะชื่อว่าเป็นอันสวัสดี เรื่องราวทั้งหลายของหลวงพ่อปานก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้)


    ลูกขอน้อมเศียรเกล้า ก้มกราบบูชาพระเดชพระคุณ หลวงปู่ปาน ที่เคารพ เหนือเศียรเกล้า ....กราบ กราบ กราบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  5. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    พระพยอมเทศน์ เวอร์ชั่นมันส์ ๆ...

    -วันก่อนอาตมามาเทศน์ในคุก.....

    ...เนี่ย...เราเราไม่ติดคนเดียวนะ...เราเอาพ่อเอาแม่มาติดด้วย พ่อแม่ต้องลำบาก...

    ตรากตรำ หาเงินมาซื้อข้าวปลาอาหาร...ข้าวของเครื่องใช้และค่ารถค่าเดินทางที่จะมา

    เยี่ยมเราทุกอาทิตย์...และเรายังทำร้ายจิตใจท่านให้ทุกข์ทรมารตลอดเวลาจนกว่าเรา

    เราจะพ้นโทษ...นักโทษคนหนึ่งมันสำนึกบาป ร้องให้โฮอย่างไม่อายใคร...

    ...แล้วกล่าว่าท่านทำไมเพิ่งมาเทศน์ตอนนี้...ทำไมเทศน์ก่อนผมจะทำชั่ว...

    ...ไอ้พวกนี้...เวลามันทำชั่วทำอะไรไม่ดี มันโยนให้พระหมด....

    ...อาตมาเทศน์มาตั้งนานแล้ว...โยมไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ไม่มาฟังเอง...

    ...กราบนมัสการท่านพระอาจารย์พยอมเจ้าค่ะ และขออนุญาตินำธรรมะของท่าน

    มาเป็นธรรมทานนะเจ้าคะสาธุค่ะ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  6. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444

    อ่ะฮ้า... ท่านพี่ กลับมาแล้ว ถ้างั้น เราขอตัวไปชาร์ตแบตก่อนนะ พักนี้ใช้พลังจิตไปเยอะ...
    It's my turn...^^​


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  7. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    สวัสดีค่ะคุณภู ไม่น่าเชื่อเลย แต่ก็ต้องเชื่อ เมื่อคืนหลับๆตื่นๆ มี...

    ...ครูแนทมาเรียกบอกว่าดีใจจังพี่ภูมาแล้ว เมื่อตอนเช้าคุยกับคุณเพ็ญ๒ จะ

    -เล่าให้เขาฟังอยู่แล้วว่าเมื่อคืนครูแนทบอกแล้ว แต่เล่าไม่ทันคุณเพ็ญ...เพราะคุณเพ็ญก็ดีใจไม่น้อยไปกว่าแม่นี

    ...เลยเอามาบอกทุกคนตรงนี้ ยินดี และดีใจค่ะคุณภูกลับมาแล้วสบายดีนะคะ แต่เราจะไม่ได้อ่าน...

    ...ธรรมะธรรมทานจากคุณเพ็ญสักพักหนึ่ง เพราะคุณเพ็ญจะไปเยี่ยมบ้าน ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ

    -แต่ดีใจจังที่คุณภูกลับมาแล้ว ท่านพ่อท่านจัดไว้แล้วจริงๆ ช่วงที่คุณภูติดธุระ...

    ...ก็มีคุณปาราเมศ ครูแนท และน้องลูกวา และหลายๆท่านนำเอาธรรมะมาเป็นธรรมทานร่วมกัน

    ...จึงขออนุโมทนากับทุกๆท่านค่ะ ขอให้ทุกๆท่านมีดวงตาเห็นธรรมยิ่งขึ้นไปนะคะสาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2013
  8. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444


    [​IMG]

    โมทนาสาธุ ในธรรมทานค่ะคุณเพ็ญ
    ...นี่ขนาดวันเดินทาง กลับเมืองไทย ยังอุตส่าห์แวะ มาทักทายด้วยธรรมะ
    นะคะเนี่ย !!
    ... เดินทางปลอดภัย เที่ยวเผื่อด้วยนะคะ คุณเพ็ญ (Golden Sky)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,773
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    ยินดีที่เธอใด้กลับมา
    โยอันน่า-ยินดีที่เธอใด้กลับมา [ame=http://www.youtube.com/watch?v=xIrL0U_VwZs]โยอันน่า-ยินดีที่เธอใด้กลับมา - YouTube[/ame]
     
  11. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ( ปกิณกธรรม)

    ...นั่นแหละเรียกว่าปัญญา...

    -การคิดค้นหาเหตุเรียกว่า...ปัญญา การทำความสงบเรียกว่า...สมถะ-

    ...ถ้าหากว่าเราคิดค้นเรื่องนั้นไม่ตก...แสดงว่าสมถะน้อยหรือไม่มี...

    ...ปัญญาก็ไม่เฉียบแหลม...คือ ตัดไม่ขาด เวลาเกิดอารมณ์หรืออุปสรรคใดขึ้นมา

    -ให้หยิบยกเอาอารมณ์นั้นขึ้นมาเพ่งพิจารณาอยู่ในจุดเดียว...อย่าให้มันฟุ้งซ่าน...

    ...มันก็เป็นสมถะอยู่ในตัว...เกิดความรู้ชัดขึ้นแก้ไขอุปสรรคนั้นได้ทันที...

    ...นั่นเรียกว่าผู้มีปัญญา...

    ...พระธรรมคำสั่งสอนของพระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี (พระนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาจารย์.)

    ...กราบน้อมรับพระธรรมคำสังสอน และน้อมกราบหลวงปู่เทสก์ด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2013
  12. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    555..แม่ต้อยจ้า..ตอนนี้จิตบุญแต่ละท่านที่จะเป็นกำลังสำคัญในอนาคต...ท่านพ่อกำลังให้(กาย)เคลียร์กรรม...สะสางกรรมกันแบบชนิดที่ว่า...วัดกำลังใจกันสุดๆ จริงๆ..น้องอ่วม...กับน้าอรทัย...มาเยี่ยมหนูบ๊อย บ่อย ช่วงนี้..555..
     
  13. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
     
  14. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    มาแล้ว..มาแล้ว..คุณพี่หมีภู :z10 กลับมาแล้วววว...หายไปเสียนาน..ทานข้าวมารึยัง..ขอทำหน้าที่เสริฟอาหารแทนน้องหว้าสักกะหน่อยน่ะจ๊ะ..ชอบอะไรก็เลือกเอาตามซำบายเด้อ..



    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 กรกฎาคม 2013
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เล่าสู่กันฟังแบบพี่น้อง

    เกือบจะหนึ่งเดือนแล้วที่ออกไปเผชิญกับทางโลก หลังจากอยู่ถ้ำตนเองมานานสมควร พระก็เลยจัดสรรให้โดยการออกไปเผชิญกับโลกภายนอกดูบ้าง หลังจากห่างเหินทางโลกมานาน เพราะที่ผ่านมาจะอยู่กับจิตตนเองซะมากกว่า นับตั้งแต่มีปัญหาหรือเห็นทุกข์กับทางโลก ซึ่งเป็นระยะเวลาเกือบ 3 ปีแล้ว ที่ข้าพเจ้าเริ่มเบนเข็มทิศชีวิตตนเอง โดยการเริ่มค้นหาความจริงแห่งชีวิต นั่นก็คือการหันหน้าเข้าหาธรรมะ เพราะเมื่อก่อนเป็นคนเชื่อมั่นตนเองมาก คือไม่ยอมจะเชื่อฟังผู้ใดง่ายๆ เพราะถือว่าตนเองก็มีความรู้หรือมีปัญญาเป็นของตน

    และแล้วหารู้ไม่เราไปยึดตัวตนเข้าเต็มเปา โดยที่ไม่รู้ตัวเองมาก่อนเลย
    แต่ถ้าคนเราหลงตนเองเมื่อไหร่ เราก็เสร็จกิเลสตัณหาฯเมื่อนั้น เพราะเราจะไม่มีทางรู้ซึ้งคำว่า การออกมาจากตัวตนของตนนั้นมันเป็นเช่นไร นี่คือการหลงอันดับแรกสุด เมื่อเราหลงตนเองแล้ว ต่อไปก็จะไปหลงคนอื่นหรือสิ่งอื่นๆต่อไป โดยไม่รู้จะจบสิ้น

    เมื่อก่อนรู้จักคำว่าพระพุทธศาสนานะ รู้จักคำว่าพระพุทธเจ้านะ รู้จักคำว่าพระธรรมนะ รู้จักคำว่าพระสงฆ์หรือสาวกของพระพุทธเจ้านะ รู้จักเป็นอย่างดีคำว่าพระรัตนตรัยหรือแก้วสามประการนี้ โดยเฉพาะธรรมะของพระพุทธเจ้า ซึ่งพวกเราก็เคยเรียนกันมาบ้างแล้ว จำได้บ้าง ลืมบ้าง แต่การเรียนรู้ธรรมะตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน นั่นเป็นการเรียนธรรมะด้วยสมอง แต่ตอนนี้เรียนธรรมะด้วยจิต และตรงนี้แหล่ะ ที่ข้าพเจ้าอยากจะบอกกับผู้คนทั่วๆไปว่า มันผิดกันลิบลับราวฟ้ากับเหวทีเดียว
    และมันก็มีเหตุปัจจัยต่างกันไปของแต่ละบุคคล นั่นหมายถึงเรื่องกฎแห่งกรรมที่เข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรงด้วย แต่กฎแห่งกรรมจะถูกเบี่ยงเบนได้ นั่นหมายถึงเราจะต้องทำเหตุปัจจุบันให้ดีหรือถูกต้องเสียก่อน หรือนำจิตไปตั้งอยู่แต่ฝ่ายบุญหรือกุศลเท่านั้น
    ส่วนกรรมที่ไม่ดีก็จะดีได้ในอนาคตนั่นเอง เพราะกรรมในปัจจุบันที่เราเผชิญซึ่งมีดีและไม่ดี ซึ่งก็เป็นผลมาจากกรรมในอดีตของตนเองทั้งนั้น
    โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติใหม่ อย่าพยายามนำจิตไปเกาะหรือนึกถึงแต่กรรมที่ไม่ดีของตนที่ผ่านมา เพราะจิตจะเดินไปข้างหน้าไม่ดีนัก เพราะอย่าลืมนะว่า การที่เราจะเข้าถึงความจริงแห่งธรรมหรือความเป็นจริงได้นั้นก็เพราะว่าจิตตนเองเท่านั้น แต่ปัญหาหรือจุดอ่อนของจิตก็คือ จิตเรียนรู้ได้ทีละหนึ่งอย่างเท่านั้น คนเราทุกวันนี้มันถึงได้มั่วหรือวุ่นวายก็เพราะว่าเราเอาสติกับจิตแยกกัน ในเมื่อสติก็เรา จิตก็เรา แล้วทำไมไม่คุยกัน แต่ดันไปคุย ไปถามคนอื่น อันนี้จะยุ่งกันภายหลัง จิตปุถุชนหรือจิตที่มิได้เข้ามาปฎิบัติธรรมอย่างจริงจังแล้วก็จะไม่มีทางรู้ซึ้งคำธรรมะหรือความจริงแท้เหล่านี้ได้ เพราะคนที่เข้าถึงธรรมะจริงๆนั้นก็คือ จิตที่มีสมาธิหรือจิตนิ่งเป็นพื้นฐาน
    เพราะธรรมะเป็นเรื่องของจิตโดยตรง เพราะฉะนั้น ผู้ที่อยากจะเข้าถึงธรรมะกันจริงๆแล้วเราจะต้องเข้าถึงจิตหรือกระแสจิตของตนให้ได้เสียก่อน แต่ถ้าเข้าไม่ถึงดีแล้วย่อมเป็นธรรมะที่ออกมาแต่อาจจะไม่บริสุทธิ์เท่าที่ควร เพราะว่าจิตยังเจือปนกิเลสอยู่บ้างนั่นเอง ด้วยเหตุผลนี้ พระพุทธองค์ถึงได้มีพระกรรมฐานให้พวกเรา โดยเฉพาะผู้มาใหม่หรือผู้ปฎิบัติใหม่ เพราะจุดประสงค์ของกรรมฐานที่แท้จริงแล้วก็คือ เป็นอุบายทำจิตของคนเราให้เป็นสมาธิหรือจิตนิ่งเท่านั้นเอง เมื่อจิตคนเราเป็นสมาธิหรือนิ่งสงบดีแล้ว จิตย่อมเกิดปัญญาตามมาภายหลังเอง และตรงนี้นี่เองที่พระพุทธองค์ทรงให้เราค้นหาตัวปัญญาในทางธรรมของตน มิใช่ตัวปัญญาในทางโลก เพราะฉะนั้น การเรียนธรรมก็อย่าไปท่องจำกัน เพราะจำได้ ปากก็พูดธรรมะได้ แต่จะละปล่อยวางหรือปฎิบัติตามทันทีทันใดไม่ได้
    หรือทำใจยอมรับหรือเข้าใจธรรม หรือเข้าใจทุกข์ที่เรากำลังเผชิญ หรือยอมรับกฎแห่งกรรมหรือกฎธรรมดาของตนไม่ได้ เพราะจิตยังไปหลงยึดกับบางสิ่งบางอย่างนั่นเอง จิตเป็นนาม ยากแท้ที่คนส่วนใหญ่จะเข้าใจ ทั้งๆที่จิตก็เป็นของตนเอง อยู่กับร่างกายของตนเอง แต่พวกเรากลับไม่สนใจจิตของตนเอง ยามทุกข์มาเยือนก็มักจะตั้งหลักกันไม่ทัน แล้วอาจจะทำอะไรแบบโง่ๆลงไปที่คนส่วนใหญ่มักไม่ทำกันก็เป็นได้

    สรุปแล้วก็คือ บวชจิตกันดีกว่า โดยการแยกจิตออกจากขันธ์๕ และพยายามอยู่ห่างๆกับทางโลกให้มากกว่าที่เคยเป็นมาฯ

    แค่นี้ก่อนดึกมากแล้ว เพราะพรุ่งนี้จะต้องตื่นตีสาม เริ่มทำงานตั้งแต่ตีสี่
    (สงสัยข้าพเจ้าจะเคยเป็นผู้จัดการกรรมของคุณสำรวยมาก่อน ตอนนี้ถึงได้มาทำงานแบบนี้ พูดเล่นนะคุณสำรวย อย่าคิดมาก)
    เดี๋ยวจะมาเล่าประสบการณ์จริงๆทางโลกให้พวกเราฟัง คอยสังเกตให้ดีว่า แล้วจะวางกำลังใจอย่างไรนธรรมก็คือจิตของตนเอง

    แท้ที่จริงแล้ว แก่นธรรมก็คือ จิตของตนเอง


    แต่ค้นหาและเข้าให้ถึงจิตตนให้ได้ แล้วจะรู้ว่าน่าสนุก น่าติดตามมากกว่าภายนอกจิตขนาดไหน
    ถึงว่าพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ไม่ยอมส่งจิตออกนอก และก็ไม่ยอมส่งจิตเข้าในมากเกินไปด้วย
    เพราะอาหารจิตหรือที่พักของจิต นั่นก็คือ สมาธิหรือฌาน หรือนิโรธสมาบัติเฉพาะพระอริยเจ้านั่นเอง

    ภูทยานฌาน2

    (ขอบใจและขอบคุณที่ยังระลึกถึงกัน)
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เล่าสู่กันฟัง ภาคสอง

    ผู้ปฎิบัติะรรมต้องมีวินัยก็คือ สนใจดูแต่จิตตนเองเท่านั้น
    ส่วน ผู้ปฎิบัติธรรมมัวแต่ไปสนใจผู้อื่น คอยสังเกตดูให้ดีว่า จิตไปไม่ไกลหรือไม่ค่อยเจริญในธรรมเท่าที่ควร
    นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหรือปัจจัยหนึ่งเหมือนกัน

    สำหรับผู้ปฎิบัติธรรมมานานมากแล้วก็คอยดูผลของการปฎิบัติของเราเองว่ามันเป็นเช่นไร
    โดยเฉพาะละโลภ โกรธ หลง มันเบาบางลงไปไหม หรือละปล่อยวางสิ่งต่างๆได้มากขึ้นกว่าเมื่อก่อนหรือไม่
    หรือเข้าใจหรือยอมรับสิ่งต่างๆที่เกิดเฉพาะหน้าหรือไม่
    ก็พยายาม ตรวจสอบดู ขอให้สนใจดูจิตตนเองให้มากๆก็แล้ว อย่าไปสนใจกับเรื่องทางโลกมาก็แล้วกัน
    เพราะนั่นเรากำลังอยู่หรือสนใจเรื่องทางโลกมากกว่านั่นเอง พยายามอยู่กับธรรมหรือความจริงให้มากๆเข้าไว้
    วันนี้ จะมาเล่าเรื่อง ความโกรธของคนเรา ไม่ว่าจะชนชาติไหนๆ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็จะหนีไม่พ้นกิเลส
    โดยเฉพาะความโกรธ ที่มักเกิดขึ้นกับทุกคนและก็บ่อยมากด้วย
    แต่คนส่วนใหญ่มักจะลืมความโกรธของตนเอง เวลาสติมาหรือหายโกรธแล้วก็มักจะลืมหรือไม่กลับมาคิดอีกเลย
    หรือจะอายตนเองก็ไม่ทราบได้ และพวกเราเคยนับความโกรธของตนเองไหม ไม่เคยหรอก ผู้เขียนเองกไม่เคย
    และไม่มีใครมานั่งจำเรื่องไร้สาระ นั่นว่าเข้าไปนั่น
    ความโกรธนี่ก็ใช่ธรรมะนะ เพราะทุกอย่างจะเป็นธรรมะหมด เพราะตอนนี้ผู้เขียนเข้าใจแบบนี้แล้ว
    ความโกรธของเราเองก็ยังไม่อยากได้ นับประสาอะไรกับความโกรธของผู้อื่นใช่ไหม อย่ามองข้ามกันนะ
    ระงับมันให้ได้ก่อนทุกอย่างจะสาย หรือจะบานปลาย เพราะความโกรธของคนเรานั้นมันยิ่งกว่าไฟ

    เข้าเรื่องเล่าสู่กันฟังฯ
    วันก่อนไปทำงานพบเห็นฝรั่งทะเลาะกัน ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องอะไร สองคนนั้นอายุเท่าๆกันก็คือ เวลาทะเลาะกันใหม่ๆยกเก้าอี้ทุ่มกับพื้น
    แต่ไม่ได้ชกต่อยกัน ผมก็ดูความโกรธของคนอื่นไปสักพักนึง
    ในขณะดูความโกรธของคนอื่นอยู่นั้น จิตมันบอกขึ้นมาเลยว่า อีกไม่นานหร๊อก เมื่อความโกรธจางลงหรือหายไป อีกไม่เกินสิบนาทีเห็นจะได้
    คราวนี้เดินมาใหม่ มาจับมือกันแล้วเที่ยวไปบอกใครต่อใครว่า เราสองคนดีกันแล้ว ไม่ต้องกังวล เห็นไหมพสติมาปัญญาก็เกิด
    นี่ แหล่ะจิตคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ปฎิบัติธรรมแบบชาวพุทธ เห็นทีจะยาก ขนาดชาวพุทธเองก็ยังทำกันยาก เพราะสาเหตุหลักๆก็คือ
    การเข้าไปไม่ถึงจิตตนเอง ธรรมะหรือความจริงก็เลยเข้าไม่ถึงไปด้วย
    อย่าหาว่าเอาเรื่องคนอื่นมานินทาเลยนะ เพราะไม่ได้ตั้งใจทำแบบนั้น
    แต่จะยกเพื่อเป็นอุทาหรณ์หรือเป็นธรรมาทานให้กับพวกเราเท่านั้น

    โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติธรรมด้วยแล้ว ก็ยิ่งละให้ได้ แต่ความโกรธจะลดน้อยลงไปจนกระทั่่งจิตไม่เอาความโกรธโน้นแหล่ะ จึงจะพ้น
    อย่าลืมนะครับว่า ทุกอย่างสำเร็จที่ใจ อย่าลืมนะครับว่า จิตจะละปล่อยวางกับทุกสิ่งทุกอย่างด้วยปัญญา
    ธรรมชาติแห่งจิตนั้น อยากรู้ อยากเห็นเป็นปกติกันอยู่แล้ว
    ยิ่งคนดวงตกจะทำอะไรไม่ขึ้น เพราะพลังจิตหรือกำลังใจหรือพลังบุญบารมีมีน้อยเหลือเกิน ทำอะไร ขยับอะไรก็จะเป็นทุกข์ลูกเดียว
    คนดวงตกมักจะมีคนแนะนำให้ไปบวชเนกขัมมะบ้าง เพราะเขาให้เราไปสร้างบุญ การสร้างบุญตามที่ทุกคนเข้าใจกันก็คือ
    การ ทำสมาธิหรือทำจิตให้นิ่งสงบนั่นเอง คนเหล่านี้น่าสงสารมาก เพราะเป็นทุกข์มาก เกิดจากจิตไม่นิ่งหรือไม่มีสมาธิ จิตก็เลยปราศจากตัวปัญญา
    เพราะจิตจะปล่อยวางหรือไม่เอาความ ทุกข์ได้ด้วยปัญญา โดยเฉพาะทุกข์ทางใจ แต่ทุกข์ทางกายนั้นก็ยังคงเป็นปกติเช่นเดิม
    เพียงแต่ผู้ที่เข้าใจทุกข์นั้นก็คือ เพียงแค่แยกจิตออกมาจากขันธ์๕ หรือร่างกายของเราเองให้ได้เท่านั้นเอง

    สำหรับผู้ปฎิบัติกำลังเผชิญกับความทุกข์อยู่นั้น ถ้อได้แต่อย่าถอยหรือไปยอมแพ้มัน เพราะผู้เขียนเองไม่ท้อ
    ไม่ต้องใช้ความอดทนหรือธรรมะเข้าข่มใดๆทั้งสิ้น เพราะเมื่อเราปฎิบัติไปถึงขีดของมันแล้ว
    จิตจะปล่อยวางเอง แต่ผมจะไม่พูดเรื่องปัญญาสูงๆหรือคำว่าญาณใด ณ ที่นี้
    เพราะ จะปฎิบัติตามพระพุทธเจ้าท่านให้ปฎิบัติตามมรรคมีองค์แปด หรือศีล สมาธิ ปัญญาเท่านั้น เพราะถ้าผู้ปฎิบัติได้ทั้งสามอย่างดังที่กล่าวมาแล้วนั้น
    คำว่า ปัญญาญาณหรือญาณนั้น ไม่ต้องมานั่งอธิบายกันให้เสียเวลา ถ้าท่านปฎิบัติตามพระพุทธเจ้าสอนไว้แค่เรื่องศีล สมาธิ ปัญญาเท่านั้น
    นอกนั้นพวกท่านก็จะพอเข้าใจ เพราะถือว่าจิตมีปัญญาแล้ว และต่อไปก็จะต้องเจริญคำว่าปัญญาให้เป็นปัญญาญาณ หรือวิปัสสนาญาณให้ครบถ้วน
    เมื่อครบแล้ว หรือญาณเกิดที่ดวงจิตผู้ใดแล้ว แต่จะผ่านตัวผุดรู้เสียก่อน ขั้นตอนหรือตัวทดสอบจิตเยอะเหมือนกัน ถึงว่าคนทั่วๆไป
    พระท่านจะไม่อนุญาตให้ญาติโยมนั่งสมาธิเกินคครึ่งชั่วโมง เพราะเกรงว่าจิตจะเข้าฌานลึกเกิน เอาแค่อุปจารสมาธิก็พอ
    ขืน เข้าฌานลึกไปเดี๋ยวจะพบเห็นสิ่งต่างๆมากมาย เกรงว่าจะหลง เพราะผู้ปฎิบัติยังทำใจเป็นกลางยาก เพราะเกี่ยวกับปัญญาของจิตโดยตรงนั่นเอง
    พระท่านก็เลยให้เอาแค่จิตนิ่งๆก็เพียงพอแล้ว

    ผู้เขียนอนุญาตพูดว่าเข้าใจธรรมะระดับหนึ่งเท่านั้นเอง เพราะผู้ปฎิบัติด้วยกันจะรู็วาระจิตกัน หรือรู้จิตของตนอยู่ระดับไหน
    มิได้ให้นำไปเปรียบเทียบของผู้อื่น แต่ให้เปรียบเทียบกับตนเอง ว่าเมื่อก่อนและตอนนี้
    ระดับจิตของตนมันสูงขึ้นหรือว่าเท่าเดิม ผู้ปฎิบัติก็จะทราบได้เอง
    แต่ตอนนี้จิตรู้จักคำว่า เข้าใจธรรม เข้าใจกฏแห่งกรรมหรือเข้าใจกฎธรรมดา หรือจิตยอมรับและเข้าใจทุกอย่างแล้ว เมื่อผู้ปฎิบัติมาถึง ณ จุดตรงนี้
    จิตจะบางเบา ใสเป็นพิเศษ หยุดการเคลื่อนไหว หลุดความอยากใดๆของตนได้แล้ว มองงเห็นเคลื่อนไหวทุกอย่างเป็นธรรมดาหรือเป็นสมมุติทั้งหมด
    โดยเฉพาะขันธ์๕ หรือเมื่อก่อนว่าร่างกายนี้เป็นของเราและเข้าใจมาอย่างนี้ตลอดเวลา แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่
     
  17. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    "เมื่อความสุขเกิดขึ้นมาแล้ว ความสุขนั้นก็ตั้งอยู่
    เมื่อความสุขตั้งอยู่แล้ว ความสุขก็แปรไป
    เมื่อความสุขแปรไปแล้ว ความสุขมันก็สลายไปหมด
    ก็ไม่มีอะไร มันเป็นของมันอยู่อย่างนี้ ทุกกาลเวลา
    ทั้งของภายใน คือ นามรูปนี้ก็เป็นอยู่อย่างนี้
    ทั้งของภายนอก คือต้นไม้ ภูเขา เถาวัลย์เหล่านี้
    มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนี้ นี่เรียกว่า สัจจธรรม

    ถ้าใครเห็นธรรมชาติก็เห็นธรรมะ
    ถ้าใครเห็นธรรมะก็เห็นธรรมชาติ
    ถ้าผู้ใดเห็นธรรมชาติ เห็นธรรมะ
    ผู้นั้นก็เป็นผู้รู้จักธรรมะนั่นเอง ไม่ใช่อยู่ไกล

    ฉะนั้น ถ้าเรามีสติ ความระลึกได้
    มีสัมปชัญญะความรู้ตัวอยู่ทุกอิริยาบถ การยืน เดิน นั่ง นอน
    ผู้รู้ทั้งหลายก็พร้อมที่จะเกิดขึ้นมา
    ให้รู้ ให้เห็นธรรมะ ตามเป็นจริง ทุกกาลเวลา"

    หลวงปู่ชา สุภัทโท


    Cr..FB ปัจจัตตัง...
     
  18. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    (คำสอนของพระมหาเถระ)

    อาตมาก็ขอแนะนำธรรมะนี่มาเป็นเวลานานแล้ว อาตมาก็แนะนำสั่งสอนญาติโยม

    ทำสติปชัญญะความรู้ตัวว่าจะออกจากสมาธิ ให้ทำความรู้สึกเสียก่อน ใช้มือขวานี้ ลาก

    ลาก ลากให้ติดขาขวานี่ แล้วมองดูว่า มือขวานี้ขยับเขยื้อน ทำใจรู้ ถ้าหากว่า ใจนี่รู้ เว้น

    แต่ตายังไม่เห็น ก็ทำอย่างนี้แหละ ทีนี้ทั้งรู้และทั้งเห็น ใช้ได้แล้วให้ดีขึ้นมากทั้งรู้และทั้ง

    เห็นทีนี้พยายาม...พยายามรู้ เอามือไปควั่ากับหัวเข่า ทำวางใจให้เฉย ทำความรู้อยู่กับ

    มือขวาที่เกาะเข่าขวา...มือซ้ายก็เหมือนพระสดุ้งมาร ทำเป็นองค์พระสดุ้งมาร ทำความ

    รู้สึกเห็นอยู่ทุกขณะ...มือเห็นก็ทำความรู้อยู่ นี่ แล้วใช้มือซ้ายออกไปอีก เช่นเดียวกัน

    ทำความรู้เห็นว่าจิต ...กายแล้วพยายามพับมือนี้ขึ้นจากหัวเข่าแล้ว ระลึกถึงสิ่งที่อยู่กับ

    เรา เช่นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ทำความรู้สึกอยู่อย่างนั้นให้เห็นชัดขึ้นๆ อยู่อย่างนั้นเป็นประ

    จำจนจิตนิ่ง มีสติเห็นทำอย่างนี้เป็นประจำ ถ้าไม่เห็นก็ทำความรู้สึกอยู่บ่อยๆ บ่อยเข้า ๆ

    แล้วการทำสมาธิก็จะเกิดความสงบขึ้นเรื่อยๆ ขอให้ทุกท่านทำด้วยความตั้งใจแล้วท่านจะ

    พบกับความสงบ ทำความรู้อยู่อย่างนี้ค้นหาสิ่งของที่มีอยู่ที่ตัวเรานี่แหละ...

    ...ธรรมะของหลวงปู่สังวาลย์ เขมโก ท่านเป็นแขนซ้ายของหลวงตามหาบัวเจ้าค่ะ...

    ...น้อมกรามหลวงปู่สังวาลย์ และหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะ...
     
  19. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    Khun Phu........................................................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • weee.jpg
      weee.jpg
      ขนาดไฟล์:
      18.3 KB
      เปิดดู:
      31
    • weeeee1.jpg
      weeeee1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      15.4 KB
      เปิดดู:
      43
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ธรรมะเป็นเรื่องของจิต
    เพราะแก่นธรรมที่แท้จริงก็คือ จิต
    เพราะธรรมะหรือว่าความจริงที่ปรากฎนั้นก็มาจากจิต หรือเบื้องลึกของจิตนั่นเอง
    สรุปความว่า ข้างในจิตนั้นก็คือความจริงทุกประการ
    แต่จิตผู้ใดจะเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องตอบว่า จิตผู้นั้นละเอียดมากแค่ไหน
    แต่ถ้าจิตผู้ใดละเอียดมากก็จะบริสุทธิืมากตามไปด้วย
    ความละเอียดแห่งจิตนั้นจะแปรผันโดยตรงกับการละกิเลสของผู้นั้น
    แต่ถ้าละกิเลสได้มาก จิตก็ยิ่งละเอียดหรือบริสุทธิ์ตามไปด้วย

    การปฎิบัติธรรมไม่ต้องไปสนใจผู้อื่น ให้สนใจดูแต่จิตตนเองเป็นหลัก
    เมื่อเราสนใจจิตตนเองมาก เราก็จะเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป หรือสามารถเข้าถึงความสะอาดบริสุทธิ์แห่งจิตมากเท่านั้น

    สำหรับจิตเป็นบุญ เป็นกุศลนั้นก็คือ จิตที่เป็นสมาธิหรือนิ่งสงบ หรือบางครั้งเรียกว่า การสำรวมจิต
    การสำรวมจิตก็คือ การทำจิตให้เป็นเอกัคคตารมณ์ หรือทำจิตให้เป็นหนึ่งเดียว
    การทำเอกัคคตารมณ์นั้นก็คือ การนำสติมารวมกับจิตให้เป็นหนึ่งนั่นเอง

    วันๆหนึ่งผู้ปฎิบัติไม่ต้องอะไรมากก็ให้ปฎิบัติตามพระพุทธองค์ ก็แค่เจริญมรรคให้ครบถ้วน
    ศีลครบหรือยัง วันๆนึงจิตเราเป็นสมาธิหรือจิตนิ่งสงบบ้างไหม แต่ถ้าเป็นสมาธิหรือนิ่งดีแล้ว
    นั่นก็แสดงว่า เมื่อจิตเป็นสมาธิ จิตก็จะเกิดปัญญาขึ้นมาเอง
    พยายามไล่ตามให้ครบดังนี้ สำหรับผู้ปฎิบัติใหม่
    แต่ถ้าผู็ปฎิบัติเก่าก็ให้เจริญปัญญาให้เข้มข้นต่อไป แต่เราจะต้องสร้างกำลังใจของตน
    หรือชาร์ตพลังจิตให้เต็มทุกวัน ข้อดีก็คือ จิตใจของเราก็จะมีภูมิต้านทานสูงตามไปด้วย
    และเพื่อความไม่ประมาทด้วย เป็นการเตรียมพร้อมเรื่องจิต ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
    กรรมหนักบ้าง เบาบ้างก็จะรับได้หมด พยายามเจริญมรรคให้ครบ ถ้าเจริญมรรคไม่ครบ
    คำว่า ญาณ(ยาน) หมดสิทธิ์ คือไม่ต้องพูดถึง ลืมไปได้เลย

    สำหรับผู้ที่รักษาศีลเพียงอย่างเดียว อันนี้หวังแค่เทวดาคงไม่ว่ากัน เอากำลังใจตนเข้าว่า
    อย่าลืมนะว่า บุญใหญ่นั้นจะต้องเจริญกรรมฐาน หรือเจริญสมาธิแล้วปัญญาก็จะตามมาเอง
    จิตไม่เป็นสมาธิก็คือจิตนิ่งสงบนั่นเอง จิตสงบเมื่อไหร่ ความทุกข์ของผู้นั้นก็จะค่อยๆเบาบาง
    หรือลดน้อยถอยลงจนเกือบหาไม่พบ นี่ไงพบแล้ว คำว่า เขตบุญ เขตกุศล คือการทำจิตนิ่งสงบนี่เอง
    นอกจากจิตจะสงบและเป็นบุญเป็นกุศลแล้ว แถมปัญญาก็มี คอยสังเกตดูว่าตัวปัญญานั้นคืออะไรกันแน่
    ตัวปัญญาก็คือ เวลาเราร้องอ๋อ หร้อถึงบางอ้อนั่นเอง รู้เองแบบไม่ได้ตั้งใจ
    ตัวปัญญาในที่นี้มิได้หมายถึง สุตมยปัญญาหรือจิตมยปัญญา
    แต่จะหมายถึง ภาวนามยปัญญา ก็หมายความว่า ปัญญานี้เกิดเพราะจิตสงบเป็นสมาธิ
    แต่มิได้เกิดจากความคิดปรุงแต่ง หรือคิดแบบคนทางโลก
    และปัญญาที่ว่านี้เอง ซึ่งเกิดจากการเจริญสติภาวนา เจริญสติก็เพื่อทำให้จิตสงบหรือเรียกว่า สมถกรรมฐาน
    เมื่อผู้ปฎิบัติท่านใดผ่านกองสมถกรรมฐานไปแล้ว ขั้นตอนต่อไป
    ก็จะเข้าสู่โหมดวิปัสสนากรรมฐานต่อไป และขั้นตอนนี้แหล่ะ ว่าผู้ปฎิบัติจะพบธรรม(ความจริง)หรือว่าหลงก็ตรงนี้แหล่ะ
    ตัวแปรหลักก็คือ สติปัญญาของผู้นั้น
    แต่ถ้ามีสติหรือปัญญามาก คำว่าหลงก็ยาก พบธรรมหรือความเป็นจริงก็ง่าย
    ยิ่งเราทำจิตให้ละเอียดมากยิ่งขึ้นไปนั้น เรื่องสติสำคัญที่สุด ปัญญาอย่าเพิ่งไปพูดถึง
    ตราบใดสติเรายังมีไม่พอหรือขาดความต่อเนื่อง
    สติน้อยพาหลง หลงสิ่งต่างๆที่เกิดมาก็ยังไม่เคยพบเห็น หรือหลงนิมิตหรืออภิญญา ก็คือของเดิมของเก่าตั้งแต่อดีตชาติของผู้นั้น

    อย่าลืมนะ การเจริญสติภาวนา หรือการดูจิตนั้น เขาให้ทำแค่สามอย่างเท่านั้น
    นั่นก็คือ หนึ่ง ตามดูจิต ตามรู้จิต และด้วยใจเป็นกลาง
    โดยเฉพาะข้อสุดท้าย ก็ลองถามใจตนเองกันดูนะว่า เวลาปฎิบัติเราทำใจเป็นกลางไหม๊
    แต่จะเป็นกลางน้อยมาก ส่วนใหญ่จะไม่เป็นกลาง อันนี้ก็อย่าไปเสียอกเสียใจหรือน้อยใจ
    เพราะเป็นเรื่องปกติ ให็ถือเป็นเรื่องธรรมดาไปซะ เพราะผู้ปฎิบัติใหม่ก็เป็นแบบนี้ทุกรายไป
    ที่ไม่หลงส่วนใหญ่จะเป็นพระอริยเจ้า เพราะทั้งสติ ทั้งปัญญาท่านมีมากแล้ว เพราะฝึกจิตมาดี
    มีสติเข้มข้นจนกลายเป็นมหาสติ มหาสมาธิ มหาปัญญาไปแล้ว ท่านประพฤติปฎิบัติจนเป็นวสี
    หรือเป็นกิจวัตรไปแล้ว และตรงนี้แหล่ะก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลความละเอียดแห่งจิตไม่เท่ากัน
    ก็เพราะว่า ระดับสติปัญญา โดยเฉพาะเกิดต่อเนื่องไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่ว่าใครมีความขยันหมั่นเพียร
    การปฎิบัติมีแค่ความศรัทธาจึงไม่พอ จะต้องมีความเพียรให้มาก ดูตัวอย่างได้จากครูบาอาจารย์หรือเหล่าพระอริยสงฆ์

    อย่าเพิ่งทนงตนว่าเป็นอริยบุคคลแล้ว ตราบใดจิตยังไม่เข้าวิมุตติ หรือนิพพาน อะไรๆก็เป็นได้
    เพราะพวกเราที่หลงมาเกิดกันนี้ กำลังอยู่บนแห่งความไม่เที่ยง สำหรับตรงนี้แล้วจะต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้

    ขอจบการบรรยายธรรมแต่เพียงเท่านี้ เพราะเริ่มยาวแล้ว
    ถึงกายจะเหนื่อยแค่ไหนก็เป็นเรื่อง เวทนาทางกาย แต่ทางใจไม่มี
    ยิ่งพูดธรรม เพราะจิตอยู่กับธรรมแล้ว ไม่มีคำว่าเหนื่อย
    สู้ตายฮ่ะ

    ขอเป็นกำลังสำหรับผู้ปฎิบัติธรรมแนวจิตเกาะ ที่กำลังเผชิญอยู่กับกรรม โดยเฉพาะกรรมไม่ดีหรือไม่ถูกใจ
    พยายามต่อไป อย่ายอมแพ้ คิดเสียว่า นี่คือบททดสอบของผู้ปฎิบัติ
    เพราะถ้าปฎิบัติอย่างโดยไม่มีอะไรมาทดสอบจิต แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ผลเกิดแล้ว
    มรรคเกิดแล้ว แต่ผลเกิดหรือยัง เมื่อผ่านมรรคผลไปแล้ว เดี๋ยวคำว่า นิพพานก็จะตามมาเอง
    โมทนาสาธุกับผู้ไม่ยอมแพ้กิเลสแห่งตน หรือผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ หรือผู้ถือบวชจิตเป็นหลัก

    สำหรับผู้ที่เข้าใจธรรมก็ย่อมเข้าใจกฎแห่งกรรม เขาให้เข้าและทำใจยอมรับกับมันเสีย
    กรรมจะได้เบาบางลงไปหรือเรากำลังชดใช้กรรมกันไป จะได้หมดๆไปซะ
    แต่เมื่อใดถ้าเรายิ่งฝืน ยิ่งบ่นเท่าไหร่ เหมือนๆเรารับกรรมฟรี ฟรือเหมือนไม่ได้ชดใช้กรรม
    ลองสังเกตเรื่องกรรมให้ดี
    แต่จะให้จิตเข้าใจหรือยอมรับกับทุกเรื่องนั้น จิตจะต้องมีปัญญาเท่านั้นนะ
    แต่ถ้าใครเข้าถึงจิตตนเองได้ เมื่อนั้นเราก็เข้าถึงธรรมได้เช่นกัน
    ไม่ยากนะ ว่าจะจบๆ ก็ขอต่ออีกนิดนึง
    ธรรมะก็คิอธรรมชาติ ก่อนปฎิบัติทุกครั้งขอให้เน้นใจสบายก่อน
    ขอฝากเท่านี้ก่อนฯ
    ข้าพเจ้าขอพระพุทธคุณ พระธรรมคุณและพระสังฆคุณ ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
    โดยเฉพาะผู้ที่ปราถนาพระนิพพานปัจจุบันก็ขอให้มีกำลังใจปฎิบัติกันได้ทั่วหน้าด้วยเทอญ
    สาธุๆๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...