จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]



    *ธรรมโอวาท ของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา*
    ~~ หลวงปู่ดู่ปรารภเรื่อง การบวชจิต ~~​



    ...หลวงปู่ปรารภว่า...

    "จะเป็นชายหรือหญิงก็ดี ถ้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติมีศีล รักในการปฏิบัติจิตมุ่งหวังเอาการพ้นทุกข์เป็นที่สุด
    ย่อมมีโอกาสเป็นพระกันได้ทุกๆ คนมีโอกาสที่จะบรรลุมรรค ผล นิพพาน ได้เท่าเทียมกันทุกคนไม่เลือกเพศ เลือกวัย หรือฐานะ แต่อย่างใด "
    ไม่มีอะไรจะมาเป็นอุปสรรคในความสำเร็จได้ นอกจากใจของผู้ปฏิบัติเอง

    ท่านได้แนะเคล็ดในการบวชจิตว่า.....

    " ในขณะที่เรานั่งสมาธิเจริญภาวนานั้น คำกล่าวว่า

    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ให้นึกถึงว่าเรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัฌาย์ของเรา

    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ... ให้นึกว่าเรามีพระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์

    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ... ให้นึกว่าเรามีพระอริยสงฆ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    แล้วอย่าสนใจขันธ์ 5 หรือร่างกายเรานี้ ให้สำรวมจิตให้ดี มีความยินดีในการบวช ชายก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุ หญิงก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุณี อย่างนี้จะมีอานิสงส์สูงมาก จัดเป็นเนกขัมบารมีขั้นอุกฤษฎ์ทีเดียว "

    "นักปฏิบัติธรรมทุกคนที่หวังพ้นทุกข์ มักมีอุปสรรคจากการปฏิบัติไม่มากก็น้อย สิ่งที่ต้องนำมาใช้อยู่เสมอคือ ธรรมที่มีอุปการะมาก ได้แก่ สติ
    และสัมปชัญะ แต่มักเรียกสั้นๆ ว่า สติ"

    "ผู้ มีสติอยู่ตลอดเวลา เห็นมีแต่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้น มีสติแม้กระทั่งเวลาหลับ ปุถุชนอย่างเราจะทำได้อย่างไร ยากต้องค่อยๆ ทำไป"
    คำพูดของหลวงปู่คือ หมั่นเจริญสติจนในที่สุดจะได้มหาสติเหมือนกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย

    "สำหรับคนที่อยู่ทางโลก ยังต้องเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์กับทางโลกอยู่ การปฏิบัติตัวของเรามีทั้งสิ่งที่เป็นบุญ และสิ่งที่เป็นบาป ช่วงใดที่เราปฏิบัติตัวเองในทางธรรมดี เมื่อมีการหลงกระทำผิดแล้วทำให้เกิดบาป สิ่งนี้จะมาคอยตัดกำลังใจของเราอยู่บ่อยๆ"

    "เรามีวิธีการปรับปรุงตัวเองอย่างไร" หลวงปู่ท่านเมตตาสอนว่า "ในวันหนึ่งๆ นั้น การทำดี-ทำไม่ดี ของเรามีอะไรบ้าง ตั้งแต่เช้าจรดเย็น แล้วนำมาเปรียบเทียบกัน หมั่นทำตัวให้ดีขึ้น

    "หลวงปู่ดู่จะปรารภธรรมให้ลูกศิษย์ของท่านหมั่นตั้งใจปฏิบัติธรรม ปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น ถ้าหลับตานั่งสมาธิแล้วมีความสว่างเกิดขึ้น ท่านบอกว่า
    นั่นแหละ บุญเริ่มเกิดขึ้นแล้ว ให้น้อมจิตศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มากขึ้นๆ ความสว่างก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ "

    "คนเราก่อนเกิด ตอนอยู่ในท้องแม่ก็มืด หลังจากคลอดออกมายังจะปล่อยให้มืดอีกหรือ"

    "สมาธิ" เวลาปฏิบัติ เวลาเริ่มทำสมาธิ ตัดกังวลเสียก่อน สิ่งใดที่จะห่วงใจยกเลิกทิ้งไป ประเดี๋ยวเดียวมันไม่ตายหรอก และก็ตัดสินใจว่าเราจะต้องปฏิบัติให้มีผลตามคำแนะนำของครู ไม่ห่วงแม้แต่ร่างกาย ทุกคนเมื่อตัดกังวล ไม่ห่วงแม้แต่ร่างกายได้แล้ว ก็ตั้งใจสมาทานศีล เรื่องศีลนี่ความจริงไม่ใช่จะมีเฉพาะเวลาปฏิบัติ ศีลนี่เป็นเครื่องค้ำจุนฌานสมาบัติ สมาธิหรือฌานจะมีขึ้นมาได้ก็เพราะศีล ถ้าศีลบกพร่องฌานก็บกพร่องด้วย ถ้าศีลสมบูรณ์แบบ สมาธิหรือฌานจึงจะสมบูรณ์แบบ เรื่อง นิวรณ์ 5 ประการ อย่านึกถึงมันเลย นอกจากนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์ให้ทุกคนคุมอารมณ์ให้ดีใน พรหมวิหาร 4 ให้จิตทรงตัวไว้ในพรหมวิหาร 4 เป็นปกติ คำว่าปกติ ต้องเหมือน ศีล ศีล นี่ต้องบริสุทธิ์ทุกวัน และ พรหมวิหาร 4 ต้องทรงตัว


    นะโม พรหมปัญโญ
    นะโม พรหมปัญโญ
    นะโม พรหมปัญโญ


    ลูกขอน้อมจิต ก้มกราบ แทบเท้า หลวงปู่ดู่ เจ้าค่ะ ...กราบ กราบ กราบ

    ทีมา FB...Tuangpron Luengchaiya
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2013
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ศิลปินยูเครนวาดทรายถวายในหลวง - YouTube
    รักในหลวง
    เคยเห็นคนต่างชาติรักในหลวงของเราไหม
    เลิกทะเลาะกัน เลิกแบ่งฝ่าย พวกเราคือคนไทยด้วยกัน
    แต่ถ้าไม่รักในหลวง ก็นึกถึงประเทศไทยบ้าง
    ประชาธิปไตยเกิดไม่ได้ ตราบใดจิตคนไทยยังไร้ศีล ไร้ธรรม
    เห็นมีแต่พาคนไทยด้วยกันไปตาย หรือพาชาวบ้านไปล้มหายตายจาก
    เคยเห็นหัวหน้า หัวโจ๊กล้มตายกันบ้างไหม๊ พี่น้อง
    สู้พากันรักษาศีลทำภาวนาก็ไม่ได้ เพราะมีตาในเท่านั้นที่พอจะมองเห็นว่าตนเลว
    แต่ถ้าหากมีตานอกหรือตาเนื้อเพียงอย่างเดียว จึงมองเห็นแต่คนอื่นเลวไปหมด ยกเว้นตัวเอง

    อยากเห็นคนไทยรักกันแบบเมตตา มิใช่รักทางแบบโลก
    สอนตนเองไม่เกี่ยวกับใคร


    อันนี้แถม
    [ame]www.youtube.com/watch?v=HEHKQIUZxYc[/ame]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 มิถุนายน 2013
  3. Amata_club

    Amata_club เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    27,064
    ค่าพลัง:
    +52,162
    ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ​
     
  4. PlaiifarPP

    PlaiifarPP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +1,194



    กฏธรรมชาติ คือสิ่งที่ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างในโลกและในอนันตจักรวาล ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามกฎธรรมชาติ

    แต่รู้ไหม? กฏธรรมชาตินั้น พระพุทธองค์ก็ได้ทรงสอนไว้ในชื่อ นิยาม 5
    กฎธรรมชาติ หรือ นิยาม 5 ประกอบไปด้วย

    1. ธรรมนิยาม (General Laws)
    อันได้แก่กฎไตรลักษณ์ทั้ง3 คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ธาตุทั้งปวงเป็นมีสถานะเป็นกระแส สั่นสะเทือน(คลื่น) ผันผวน ไม่แน่นอน สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ้งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา สัตว์ทั้งปวงย่อมต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งสิ้น เป็นกฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับสิ่งทั้งหลาย เป็นกฎสากลที่ครอบคลุมความเป็นไปทั้งฝ่ายจิตและฝ่ายวัตถุ กฎข้อนี้มีขอบเขตครอบคลุมกว้างขวางที่สุดของทุกนิยาม กฎนิยามทั้งปวงอยู่ภายใต้กฎข้อนี้ เป็นกฎธรรมนิยามนี้ก็ทำให้เกิดนิยามข้ออื่น และนิยามข้ออื่นๆที่สัมพันธ์กันก็ทำให้เกิดกฎธรรมนิยามอันนี้

    2. อุตุนิยาม(Physical Laws)
    คือ กฎธรรมชาติที่ครอบคลุมความเป็นไปของปรากฏการณ์ในธรรมชาติ เกี่ยวกับวัตถุที่ไม่มีชีวิตทุกชนิด หลักของอุตุนิยาม ตามแนวพระพุทธศาสนามุ่งให้ผู้ที่เข้าใจเกี่ยวกับกฎธรรมชาติที่ว่าด้วยวัตถุ อุตุนิยาม คือลักษณะสภาวะต่างๆของธาตุทั้ง5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ ซึ่งก็คือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆเมื่อมีเหตุปัจจัยเพียงพอก็จะเป็นไปโดยไม่มีใครเป็นผู้กำหนดหรือห้ามได้ เช่น การที่จะเกิดฝนตก ก็มีเหตุปัจจัยเพียงพอให้เกิดฝนตก เช่น การระเหยของน้ำบนดิน การรวมตัวของก้อนเมฆ การเกิดลมพัด การกระทบกับความเย็น ก่อให้เกิดฝนตก เป็นต้น ตลอดจนปรากฏการณ์ทางวัตถุอื่นๆ เช่น การเคลื่อนที่ของจักรวาล แรงดึงดูด แผ่นดินไหว ฟ้าผ่า เป็นต้น ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้ พระพุทธศาสนาถือว่าเกิดขึ้นเพราะวัตถุธาตุต่างๆคือดินน้ำลมไฟอากาศปรับเปลี่ยนสภาวการณ์ของตัวเอง เพราะอิทธิพลจากการปรับสถานะธาตุตามอุณหภูมิคือความร้อนและเย็น ดังนั้นกฎข้อนี้จึงชื่อว่า อุตุนิยาม (อุตุในพระไตรปิฎกแปลว่าพลังงาน,ฤดู,ความร้อนเย็น) ในปัจจุบันจะหมายถึงฟิสิกส์ที่ศึกษาธรรมชาติของสิ่งไม่มีชีวิต
    เป็นรากฐานให้ต่อยอด จนเกิดเป็นความรู้ สิ่งประดิษฐ์หรือเทคโนโลยีในปัจจุบันได้

    3. พีชนิยาม (Biological Laws)
    คือ กฎธรรมชาติที่ครอบคลุมความเป็นไปในพันธุกรรม กระบวนการถ่ายทอดข้อมูลของสิ่งมีชีวิตทั้งพืช สัตว์ เชื้อไวรัสและจิต กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับการสืบพันธุ์โดยเฉพาะ กฎข้อนี้จึงหมายรวมในเรื่องของร่างกายและกระบวนการทำงานของสิ่งมีชีวิตต่างๆที่เกิดจากการถ่ายทอดข้อมูลทางพันธุกรรมด้วย
    สิ่งที่เรียกว่ากฎพีชนิยามนี้ทำให้เมื่อเรานำเมล็ดข้าวเปลือกไปเพาะ ต้นที่งอกออกมาจะต้องเป็นต้นข้าวเสมอ หรือช้างเมื่อออกลูกมาแล้วย่อมเป็นลูกช้างเสมอ (หว่านพืชเช่นไรย่อมได้ผลเช่นนั้น) ความเป็นระเบียบนี้พระพุทธศาสนาค้นพบว่าเป็นผล มาจากการควบคุมของธัมมตาทั้ง3 คือ สมตา(การปรับสมดุล) วัฏฏะ(การหมุนวนเวียน) และ ชีวิต(การมีหน้าที่ต่อกัน)นั่นเอง พีชนิยามเป็นกฎธรรมชาติในฝ่ายที่เป็นระเบียบตรงกันข้ามกับธรรมนิยามซึ่งเป็นกฎธรรมชาติในฝ่ายที่ไม่มีระเบียบ

    4. จิตนิยาม (Psychic Laws) คือ กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับกลไกการทำงานของจิต พระพุทธศาสนา ค้นพบว่า คนเราประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ 2 ส่วน คือ ร่างกายและจิตใจ จิตนิยามคือกฎธรรมชาติในส่วนที่เกี่ยวกับการทำงานของจิตเท่านั้น กระบวนการของความคิด พระพุทธศาสนาเชื่อว่าสัตว์โลก ประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญส่วนหนึ่งของชีวิต คือ จิต
    จิตในทัศนะของพุทธศาสนาเป็นสิ่งต่างหากจากกาย ในฐานะที่เป็นสิ่งหนึ่งต่างหากจากกาย จิตก็มีกฎเกณฑ์ในการทำงาน เปลี่ยนแปลงและแสดงพฤติกรรม เป็นแบบฉบับเฉพาะตัว จิตนิยาม ได้แก่ นามธาตุ คือ จิตและเจตสิกที่เป็นธรรมธาตุ

    5. กรรมนิยาม (Karmic Laws)
    คือกฎแห่งเหตุผล ที่ครอบคลุมความเป็นไปในฝ่ายจิตวิญญาณโดยเฉพาะ อันได้แก่ กฎแห่งกรรมเป็นกฎแห่งการให้ผลของการกระทำ
    กฎอันเป็นเหตุเป็นผลของธรรมชาติทางนามธรรม คือการกระทำของจิต ที่เกิดจากเจตนาของจิต อันเป็นมโนกรรม(กรรมจากความนึกคิดต่างๆ) ตลอดจนอาจเป็นเหตุให้ทำ กายกรรม(กรรมจากการกระทำทางร่างกาย)และวจีกรรม(กรรมจากการสื่อสาร) และมีการให้ผลเป็นวิบากกรรม คือกรรมสามารถให้ผลแสดงออกมาในสภาพทางกายหรือทางวัตถุได้ ซึ่งการให้ผลของกรรมมีลักษณะเป็นอจินไตย คือไม่อาจเข้าใจได้ด้วยการคิดทางตรรกะ

    นิยามทั้ง5นี้มีความเกี่ยวโยงกัน มีอำนาจคานกันอยู่ และกฏธรรมชาติก็มีไว้เพื่อรักษาสมดุลของโลก
    เมื่อมีอุตุนิยาม(เทคโนโลยี)ที่เข้มแข็งมาคอยช่วย ก็จะลดภัยพิบัิติอันเกิดจากผลกรรมได้
    เมื่อเราทำกรรมไม่ดี เบียดเบียนผู้อื่น ทำลายสิ่งแวดล้อมก็ทำให้ธรรมชาติปั่นป่วน เกิดภัยพิบัติต่างๆอีกเช่นกัน
    เมื่อปฏิบัติธรรม จิตมีกำลังชนะกรรมไม่ให้ตามทัน
    สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นล้วนแต่เ็ป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะกฏแห่งกรรมหรือธรรมะต่างๆ
    และธรรมชาตินั้นก็คือความธรรมดา

    "เย ธัมมา เหตุปปะภะวา เตสัง เหตุ ตะถาคะโต เตสัญจะ โย นิโรโธจะ เอวัง วาที มะหาสะมะโณ"

    ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าตรัสบอกถึงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น
    พร้อมทั้งความดับแห่งเหตุของธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณเจ้ามีปกติตรัสสอนอย่างนี้


    ทุกท่านโปรดจงเจริญทางดับแห่งเหตุให้ถึงพร้อมเถิด

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2013
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    บันไดแห่งบุญ
    ก็คือการสร้างบุญบารมีแห่งตน นับตั้งแต่บุญภายนอกไปจนถึงบุญภายใน
    หรือบุญเล็กน้อยไปจนถึงบุญอันใหญ่หลวงยิ่งนักอันได้แก่ ทาน ศีล ภาวนา

    ขอยกตัวอย่างคำว่า"เขตบุญหรือกุศล" การทำภาวนาของเรานั้นมันอยู่ตรงไหน
    จะรู้ได้อย่างไรว่าเราได้บุญกุศลจากตรงนั้นแล้ว และได้ตอนไหน ได้เมื่อไหร่

    คำตอบง่ายๆ ก็คือ เมื่อรู้สึกตัวว่าจิตของเราเริ่มเข้าสู่สภาวะที่นิ่งเป็นสมาธิ
    ว่าแต่ว่า จิตมันนิ่งเป็นสมาธิมากน้อยหรือนานแค่ไหน
    ระดับความนิ่งเป็นสมาธิมีอยู่หลายระดับ ตั้งแต่จิตหยาบไปจนจิตละเอียด
    ได้แก่ ๑.ขณิกสมาธิ เป็นสมาธิเล็กน้อย ๒.อุปจารสมาธิ เป็นสมาธิระดับกลาง
    ๓.อัปปนาสมาธิ เป็นสมาธิระดับสูงหรือละเอียด หรือเราเรียกว่า ฌาน
    แต่สูงกว่าฌานเรียกว่าญาณ คำว่าฌานยังอยู่ในโลกีย์วิสัย จึงไม่ใช่โลกุตตระ
    ยังไม่พ้นโลกวิสัย เพราะคำว่าฌานเปรียบดั่งหินทับหญ้า
    คำว่าญาณแปลว่าหยั่งรู้ ผู้รู้แจ้งแทงตลอดหรือเรียกว่าพุทธะ(รู้ตื่นและเบิกบาน)
    เป็นโลกุตตระ เป็นจิตหลุดพ้น จิตเหนือโลก คำว่าเหนือโลกแปลว่าเหนือขันธ์๕
    ถ้าจิตเราไม่ได้อยู่เหนือขันธ์๕ เขามิได้เรียกว่าเหนือโลก แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องกรรม
    ถึงจิตหลุดพ้นแล้วก็ตาม แต่ยังไม้พ้นวิสัยกรรมหรือยังไม่พ้นกฎแห่งกรรม
    แต่จะพ้นกฎแห่งกรรมได้ก็ต้องรอให้ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานโน้นแหล่ะ

    นักภาวนาจะได้บุญกุศลมากน้อยไม่เท่ากัน มีหลายระดับดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
    ปัจจัยอยู่ที่ความนิ่งเป็นสมาธิ ความเข้มระดับจิตของผู้นั้น และในขณะนั้นด้วย
    นี่คือบุญกุศลในเบื้องต้นเท่านั้น อานิสงส์จากจิตที่ได้สมถะหรือเป็นสมาธิ
    บุญกุศลในเบื้องปลายมีอานิสงส์มากยิ่งกว่าจิตสมถสมาธิก็คือ วิปัสสนาญาณ
    เป็นผู้ตรัสรู้ธรรมขั้นสูง สอบผ่านวิปัสสนาญาณ๙ แต่ยังไม่จบกิจเพียงเท่านี้
    การสร้างบุญบารมีของตนในเบื้องปลายนั่นก็คือวิมุตติ(นิพพาน)หรือจิตหลุดพ้น

    มีหลายท่านยังไม่ค่อยเข้าใจ โดยเฉพาะเรื่องทาน ศีล และภาวนา
    แต่ถ้าคนเข้าใจกันดีก็เลือกทำแต่บุญใหญ่กันหมดแล้ว นั่นก็คือ บุญจากการภาวนา
    แต่มิได้ไปหมายถึงให้เราปฎิเสธการทำบุญภายนอก หรือการทำทานกันนะ
    ถ้ามีโอกาสหรือมีทรัพย์มากก็ให้ทานหรือบริจาคทรัพย์เท่าที่ตนไม่เดือดร้อน
    ยังมีผู้คนอีกมากที่ยังเข้าไม่ถึงคำว่าภาวนา จึงต้องสร้างบันไดบุญตนไปพลางๆก่อน
    แต่ถ้ามีกำลังใจหรือบุญบารมีถึงพร้อมหรือมากแล้วย่อมอยากจะปฎิบัติธรรม
    ทำไมบุญภาวนาถึงเป็นบุญใหญ่ เพราะจิตตั้งอยู่แต่เฉพาะบุญกุศลเพียงอย่างเดียว
    บุญจากทานนั้นเราจะได้บุญเฉพาะ ก่อน/กำลัง/เสร็จสิ้นจากทานไปแล้วเท่านั้น
    บุญภาวนา โดยเริ่มต้นจากการรักษาศีลของตนก่อน แล้วค่อยทำภาวนา
    บุญที่จากการภาวนา เป็นบุญใหญ่หลวงยิ่งนักและมีอานิสงส์มากกว่าทาน
    ในขณะที่เราภาวนาเป็นจิตที่นิ่งเป็นสมาธิ ถือว่าจิตเรากำลังอยู่ในเขตบุญกุศลแล้ว
    ตอนนี้เข้าใจเรื่องการทำบุญของเรามากขึ้น ถามว่าบุญคือ? บุญก็คือความสบายใจ
    แล้วความสบายใจมันอยู่ที่ไหน ทุกคนก็ตอบได้ว่า..อยู่ที่จิตของคนเราเอง

    อันนี้ถือว่าเล่าสู่กันฟังเฉยๆ มิได้มีเจตนาอวดรู้หรือว่าตนเองเป็นอรหันต์แต่อย่างใด
    ถึงไม่พูด แต่ก็มีผู้รู้มาจากตำรามาบ้าง แต่ผู้ที่รู้จริงหรือสัมผัสอารมณ์อย่างว่าจริงๆนั้น
    ย่อมไม่มีผู้ใดกล่าวถึง เพราะเป็นเรื่องปัจจัตตัง! จะพูดเฉพาะวงใน คือเพื่อนสหธรรมิก
    เหตุที่เล่าก็เพราะมีเจตนาในความหมายคำว่าบุญกุศล ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนจบอย่างไร
    เพื่อเป็นประโยชน์ เป็นกำลังใจให้กับผู้ที่กำลังสร้างบุญบุญบารมีแห่งตนชาติปัจจุบัน

    ได้โปรดดูที่ตัวเจตนา มิได้อยากแสดงธรรมเพื่ออวดอุตตริมนุษยธรรมแต่ประการใด
    ไม่ถูกจริตก็ก้าวข้ามไปอย่าติดใจ ขออภัย ขอขมากรรมและอโหสิกรรมให้แก่กันด้วย
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    ผงะ! เจ้าอาวาสนอกรีด ยึดวัดตั้งแก๊งขายยาเฮโลอีน
    ผงะ! เจ้าอาวาสนอกรีต ยึดวัดตั้งแก๊งขายเฮโรอีน - ข่าวไทยรัฐออนไลน์


    ทำอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร
    ชาวบ้านจะไปหวังพึงพิงกับผู้ใดได้อีก สมมุติสงฆ์ยังทำขนาดนี้
    ฟ้องด้วยภาพ ไม่ใช่สมมุติสงฆ์รายแรกที่ทำอย่างนี้
    เดือนก่อนก็มีข่าว๒เจ้าอาวาสและ๑ในเจ้าอาวาสเป็นถึงเจ้าคณะตำบลนั่งตีไพ่ดรัมมี่
    ผมดูแล้วเฉยๆ เพราะกรรมใครกรรมมัน จิตใครจิตมันดูแลกันเอง
    จิตไม่แข็งอย่าหลงแช่นาน รีบอ่านแล้วนำจิตไปอยู่ฝ่ายบุญกุศลไวๆ

    ไม่รักเคารพพระพุทธเจ้าเลยหรือไร ไม่ต้องพูดถึงรักเคารพพระพุทธเจ้าหรอก
    แค่หิริ-โอปตัปปะก็ยังไม่มี แค่ศีลหยาบก็ยังยังรักษาไม่ได้
    ยิ่งนานวันคนเราก็ยิ่งจะเสื่อมลงไปทุกๆที เห็นมีแต่พระธรรมที่ไม่มีวันเสื่อม
    แต่ก็ยังมีพระสงฆ์ หรือผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบยังหลงเหลืออีกมาก
    พระพุทธเจ้าท่านก็เคยตรัสไว้ว่า..พระพุทธศาสนาจะอยู่รอดหรือไม่
    ก็ขึ้นอยู่กับพุทธบริษัททั้ง ๔ เหล่า นี้แหล่ะ!

    ไม่ว่าผู้ใด ถ้าหากปฎิบัติไม่ถึงแก่นธรรม ก็ไม่เห็นจิตไม่เห็นใจของตนเป็นแน่
    ย่อมไหลไปตามกระแสกิเลสแห่งตนและผู้อื่นต่อไป อย่างไม่มีวันจะจบสิ้น
    สุดท้ายผู้ที่หลงตามกระแสกิเลสแห่งตนย่อมพบแต่ความทุกข์อย่างแน่นอน
    ทุกข์เมื่อไหร่ ก็คงจะเห็นตัวทุกข์ คือตัวธรรมแท้ๆของตนก็คราวนี้แหล่ะนะ
    คิดได้ มีสติ รู้สึกตัวเมื่อไหร่ ก็สายไปเสียแล้ว
    กรรมที่กระทำได้จบสิ้นลงเรียบร้อยแล้ว คงปล่อยเป็นไปตามกฎแห่งกรรม
    เหตุที่นำมาให้รู้มิได้มีเจตนาซ้ำเติมผู้ใด แต่เป็นอุทาหรณ์สอนใจคนที่ยังประมาทอยู่
    บอกแล้วถ้าขืนปล่อยสติ ปล่อยจิต ปล่อยจิตสงสัย/ไหลตามกิเลสแห่งตน
    นานเกินไปมักพบจุดจบกันแบบนี้
    ถ้าหากสำรวมจิตเพียงอย่างเดียว เรื่องแบบนี้ก็จะไม่เกิดกับผู้ใด
    ผู้ปฎิบัติอย่าได้ประมาท ตราบใดเรายังมีขันธ์๕ เพราะมันไม่เที่ยง
    จงสำรวมจิต เอาจิตตนให้อยู่ ไม่งั้นจะเหมือนปล่อยงูเข้าบ้าน เดี๋ยวเราหรือผู้คนจะเดือดร้อน
    พากันรักษาศีลและทำภาวนาในแนวจิตเกาะพระก็สิ้นเรื่อง จบกัน..
    ป่าวๆไม่ได้โฆษณาแค่อยากบอกต่อ อยากให้พบเจอขุมอริยทรัพย์ภายในแห่งตนเท่านั้นเอง

    ขออภัย! มิได้มีเจตนาหรือกล่าวล่วงเกินจิตผู้ใด นำมาซึ่งธรรมาทานเท่านั้น
    เพราะฉะนั้น อย่าได้ไปหวังพึ่งพิงผู้อื่น จงพึงตนเองดีที่สุด



    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=wa5vNq4xOoE"]?????????? ???????!! ??????????? - YouTube[/ame]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มิถุนายน 2013
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิต

    เวลาที่สำคัญที่สุดของนักเรียนนักศึกษา คือตอนสอบไล่
    เวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิตคนเรา คืออารมณ์จิตก่อนตาย
    จะไปสวรรค์ พรหม พระนิพพาน หรือแดนอบายภูมิ ก็อยู่ที่จิตก่อนตายของท่าน จะผ่องใสหรือเศร้าหมอง

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และพระคุณเจ้าที่เคารพ ที่กล่าวมาแล้ว กล่าวถึงความตาย ความจริงเรื่องความตายมีเรื่องเล่าสู่กันฟัง บรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านบอกว่า “คนเราจะตาย จะเห็นนิมิตก่อน”

    ตามที่หนังสือโบราณท่านเขียนไว้ แล้วก็คนโบราณ โบราณสมัยนี้ สมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็เขียนไว้ ท่านบอกว่า ลอกมาจากตำรา ก็ไม่ทราบว่า ตำราเล่มไหนเหมือนกัน ท่านบอกว่า คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต เรื่องนี้สำคัญ บรรดาท่านพุทธบริษัท คนจะตายต้องเห็นนิมิต คือ

    ๑.เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นไฟ กองไฟ หรือดวงไฟ แสดงว่า คนนั้นตรงไปนรกทันที ไม่ผ่านสำนักของพระยายม
    ๒.ถ้าเห็นป่า จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    ๓.ถ้าเห็นก้อนเนื้อ จะเกิดเป็นคน
    ๔.ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล ของที่เคยให้ทานหรือวัดที่เคยทำบุญ พระที่เคยไหว้ จะเป็นพระพุทธรูปก็ตาม พระสงฆ์ก็ตาม เป็นอันว่า สิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล อย่างนี้ก็จะไปเกิดบนสวรรค์ ไปสู่สุคติ

    ตามที่ท่านเขียนมาอย่างนี้ อาตมาก็ไม่ใช่ต้องการพิสูจน์ แต่ก็เข้าไปประสบโดยคาดไม่ถึง นั่นก็คือ มีอยู่ว่า มีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ชื่อ จวน นามสกุลว่าอย่างไรก็จำไม่ได้ อยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    เมื่อเวลาสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยท่านจอมพลแปลก เป็นนายก ฯ เวลานั้นก็เกณฑ์คนไปทำงานที่เพชรบูรณ์ ตามลีลาที่เขาเล่ากันบอกว่า ตั้งใจจะต่อต้านญี่ปุ่น ว่าอย่างนั้นชาวบ้านพูด แต่ท่านจอมพลแปลกไม่ได้พูดให้ฟัง แต่ท่านมาแถลงการณ์ทางวิทยุทีหลัง ก็คล้ายคลึงแบบนี้ ต้องการจะเอาคนงานทั้งหมดเป็นทหารต่อต้านญี่ปุ่น จะเอานักเรียนนายร้อยไปไว้ที่นั่น เป็นผู้บังคับหมวด อย่างนี้เป็นต้น

    ก็เป็นอันว่า เมื่อเลิกสงคราม เธอเลิกงานมาแล้ว ก็ปรากฎว่าเป็นโรค เป็นไข้ ต่อมาก็เป็นวัณโรค คือ เป็นโรคฝีในท้อง เป็นโรคปอด วันหนึ่ง เป็นวันสุดท้ายของชีวิตของเธอ อาตมาไปเทศน์ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ก็พอดีกลับมา เขาบอกว่า จวนป่วยหนัก เป็นเวลาเย็น ประมาณสัก ๔ โมงเย็น

    ก็นิมนต์พระไปเป็นเพื่อน ๔ องค์ อาตมาด้วย ๑ องค์ เป็น ๕ องค์ ที่ไปเป็นเพื่อนไม่ใช่คิดว่ากลัวใครจะทำร้าย ที่นำไปแบบนั้นก็คิดว่าคนป่วยหนัก ถ้าเห็นพระอาจจะเป็นมงคลก็ได้ เพราะว่าตามตำราท่านบอกว่า ถ้าเป็นสิ่งที่เป็นกุศล คนนั้นจะไปสวรรค์

    พอไปถึงเข้าจริง ๆ จวนก็อาการหนักจริง ๆ หายใจเบา หายใจช้า ๆ แล้วก็เบาลง ๆ แต่ว่าอาตมาไปนั่งข้าง ๆ ก็เรียกชื่อ “จวน จำฉันได้ไหม?”
    เธอเหลียวหน้ามา ก็พยักหน้าตอบว่า “จำได้” เสียงเบามาก

    ก็ถามเธอว่า “เวลานี้เห็นอะไรไหม? ไม่ใช่เห็นฉัน มีภาพอะไรลอยข้างหน้าบ้าง?”
    เธอก็ตอบว่า “เวลานี้มีภาพไฟลอยข้างหน้า” เธอก็แสดงอาการหวาดกลัวมาก กลัวไฟ

    เมื่อฟังเท่านั้นก็ตกใจ คิดว่า ท่าจะไม่ได้การแล้ว นิมิตตามที่ท่านเขียนไว้ปรากฏ นึกในใจ ไม่พูด คิดว่า นิมิตอย่างนี้ ถ้าเห็นไปนรกทันที ก็คิดอะไรไม่ถูก ถามว่า “จวน ภาวนา พุทโธ ไหม ?”
    เธอส่ายหน้าบอกว่า “คิดไม่ออก”

    จึงหันไปหาภรรยาเขา อาตมาก็จำชื่อภรรยาไม่ได้ ลืมเสียแล้ว ถามว่า “มีสตางค์ไหม?”
    เธอก็บอกว่า “มี”

    ก็เลยบอกว่า “ถ้ามีละก็ ขอสัก ๒๐ บาทได้ไหม?”
    เธอก็นำธนบัตรใบละ ๒๐ บาทมาให้

    อาตมาก็ไปใส่มือจวน เอามือทั้งสองประกบกันในท่าพนมมือ บอกว่า
    “จวน เอาอย่างนี้นะ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เราจะตายหรือไม่ตายนั้น ไม่มีความสำคัญ ตั้งใจทำบุญก็แล้วกันนะ เวลานี้ฉันมาพร้อมกัน ๔ องค์ ขอจวนตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ คิดว่าของต่าง ๆ ในวัดทั้งหลาย ที่มีพระสงฆ์ก็ดี หรือไม่มีพระสงฆ์ เป็นวัดร้างมีพระพุทธรูปก็ดี หรือว่าเป็นวัดร้างไม่มีพระพุทธรูปก็ตาม หรือเป็นที่ธรณีสงฆ์ ไม่มีสภาพเป็นวัดก็ตาม เราไปนำอะไรมาจากที่นั่นก็ตาม จะเป็นของหนักก็ดี ของเบาก็ดี ของน้อยก็ตาม ของมากก็ตาม มีค่ามากก็ตาม มีค่าน้อยก็ตาม ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงิน ๒๐ บาท”

    เธอก็พูดเบา ๆ ตาม แล้วก็น้อมทำท่าผงกศีรษะนิดหน่อย ก็เลยบอกพระท่านบอกว่า
    “คุณทั้งหลาย ถ้าเห็นชอบ ให้ สาธุ พร้อมกันนะ”
    พระทั้งหลายก็ “สาธุ” พร้อมกัน

    พอพระสงฆ์สาธุพร้อมกัน รู้สึกว่าจิตใจของเธอสดชื่นขึ้นมามาก ถามว่า
    “จวน เวลานี้เห็นภาพอะไร ไฟหายไปแล้วหรือยัง”
    เธอก็ตอบ“ไฟหายไปแล้ว”

    ถามว่า “เธอเห็นภาพอะไร”
    เธอบอก “เห็นภาพพระประธานในอุโบสถวัดบางนมโค”
    เพราะว่าเธอบวชวัดนั้น เธอก็ไปทำวัตรเป็นประจำ

    ถามว่า “เห็นชัดไหม”
    เธอก็บอก “เห็นชัด อยู่ใกล้มาก”

    ก็บอก “จวน นึกในใจก็ได้นะ ออกเสียงมันจะเหนื่อย นึกภาวนาในใจว่า พุทโธ”
    แทนที่เธอจะนึกในใจ เธอก็ออกเสียงว่า “พุทโธ ๆ ๆ ๆ” เบา ๆ
    เธอว่าไปสัก ๓ – ๔ ครั้ง รู้สึกว่าหายใจเบาลง แต่ว่ามีเสียงเล็กน้อย

    ถามว่า “จวน เวลานี้เห็นพระไหม”
    เธอตอบว่า “เห็นพระ”

    ถามว่า “ชัดขึ้นไหม”
    เธอก็ตอบว่า “ชัดเจนแจ่มใสมาก สุกสว่างมาก ใหญ่กว่าเดิมมาก”

    บอก “ถ้าอย่างนั้น นึกถึงพระเป็นที่พึ่งนะ นึกถึงเวลานี้เราอยู่กับพระพุทธเจ้า ภาพที่เห็น คือ ภาพพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามาสงเคราะห์ จะหายจากโรค ถ้าจำเป็นต้องตายก็ไปสวรรค์”

    เธอยิ้มนิดหนึ่ง เธอตอบว่า “พอพูดจบก็มีวิมานลอยมาอยู่ข้างหน้า พระก็ชี้ แสดงว่า วิมานนี้เป็นของเธอ”

    จึงถามเธอว่า “เวลานี้ ต้องการอยู่บ้านหรือต้องการอยู่วิมาน”
    เธอก็ตอบเบา ๆ ว่า “ต้องการวิมานครับ”

    ก็ไม่ต้องการรบกวนให้เหนื่อยต่อไป ก็บอกว่า “ตั้งใจไปวิมานนะ ภาวนาว่า พุทโธ” เธอก็ภาวนาเบา ๆ ว่า “พุทโธ ๆ ๆ ๆ” ในที่สุดก็เงีบบไปพร้อมกับคำภาวนา และลมหายใจเข้า-ออก รวมความว่า เธอตายคู่กับพุทโธ

    เป็นอันว่า นิมิตเครื่องหมายนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท มีจริง อาตมาผ่านแบบนี้มาหลายสิบราย ที่พบมาเองนะ ไม่ใช่หลายราย หลายสิบราย และวิธีแก้ของอาตมาก็มีวิธีเดียววิธีนี้ เพราะว่าอย่างอื่นเวลานั้น มันแก้กันไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินชำระหนี้สงฆ์ ถ้าบังเอิญไม่เป็นหนี้สงฆ์ ก็เป็นสังฆทานและวิหารทาน รวมความว่า เป็นบุญใหญ่ที่เขาจะพึงได้รับ นี่เป็นอันว่า มนุษย์เราที่ตายนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ทุกคนจะเห็นนิมิตก่อน

    จากหนังสือ ตายแล้วไม่สูญ
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    กายทิพย์
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

    วันนี้เป็นวันสำคัญ หลวงพ่อกับท้าวมหาราชทั้ง ๔ และพระยายมราช ได้ไปยังพระจุฬามณี ก่อนจะเข้าประตูก็มีพระอรหันต์ออกมาองค์หนึ่ง ไม่ใช่ใคร หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ

    พูดกับท่านว่า
    “แหม ไม่เคยเจอหน้ากันเลย หลวงพ่ออยู่ที่ไหนครับ”

    ท่านบอกว่า
    “แกเสือกบอกเขาแล้วว่า ข้าไปอยู่นิพพาน แกมาถามข้าทำไม”

    ก็ถามท่านอีกว่า
    “หลวงพ่อไปหรือเปล่า ถ้าไม่ไปผมก็โกหกเขานะ”

    ท่านตอบว่า
    “ไม่โกหกหรอก ข้าไปนิพพานแน่ เรื่องที่เขาหาว่าข้าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ที่ตั้งฐานกำหนดลมไว้ ๗ ฐาน มันเกินพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่าน ๓ ฐาน มันเลยหาว่าข้าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ แข่งบารมีกับพระพุทธเจ้า

    แต่ความจริงเจตนาข้าน่ะมันเป็นอย่างนี้ ไอ้คนที่จิตมันฟุ้งซ่าน ถ้ามีอารมณ์จะต้องจับหลายๆ แห่ง มันจะต้องระวังมาก อารมณ์จึงจะทรงอยู่ นี่เขาไม่สนใจ มีแกคนเดียวเข้าใจดี

    แล้วไอ้กายเทพ กายพรหม กายธรรม กายนิพพาน ก็เหมือนกัน มีแกคนเดียวที่เข้าใจข้า นอกนั้นเขาหาว่าข้าบ้า เขาหาว่าอย่างนั้น เขาหาว่าข้าบ้า เอาเรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนมาสอน”

    ไอ้ กายทิพย์ นี่ ก็หมายความว่า ได้อุปจารฌานเล็กน้อย จัดเป็น กายทิพย์ ตานี้ กายเทพ ก็เข้าถึงจุดอุปจารฌาน จะเกิดเป็นเทวดาชั้นยามาได้เหมือนกัน ถ้าพูดถึงกายภายในเหมือนกันหมด ตานี้พอถึง กายพรหม ผู้ที่ทรงฌานได้ครบองค์ฌาน พอตายแล้วก็ไปเป็นพรหม ก็เลยเรียกว่า กายพรหม ตานี้ กายธรรม ก็หมายถึงว่าเป็นพระอริยะเจ้า ถ้า กายนิพพาน ก็หมายถึงว่า คนนั้นได้อรหันต์แล้ว

    ท่านบอกว่า
    “มีแกคนเดียว ที่พอพูดให้ชาวบ้านเขาฟัง มันตรงกับความประสงค์ของข้า นอกนั้นเขาหาว่าบ้าๆ บอๆ บางคนหาว่าอวดอุตริมนุสสธรรม ข้าก็ไม่ว่าอะไรเขาหรอก”

    หลังจากนั้นก็ลาท่านเข้าไปในพระจุฬามณี แหม วันนี้พระอรหันต์เต็มเอี๊ยด ตอนที่เข้าไปนี่พรหมออกมาหมดแล้ว เทวดาก็ยังไม่กลับ ในนั้นเต็มไปหมดเลย พระอรหันต์เหมือนเอาดาวไปวางไว้สวยสะพรั่ง ร่างกายเป็นเหมือนแก้ว พระอรหันต์นิพพานแล้วบ้าง พระอรหันต์คนบ้าง ก็เหมือนกันแหละ

    เข้าไปพอดีได้ฟังพระพุทธโอวาท พระองค์ท่านเปล่งฉัพพรรณรังสี สวยมาก ท่านให้โอวาท สรุปย่อๆ นะ ท่านตรัสว่า

    “ทุกคนให้ถือว่าขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ขันธ์ ๕ เต็มไปด้วยความโสโครก เห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นปีศาจร้ายที่คอยหลอกหลอน และเห็นขันธ์ ๕ เป็นพยัคฆ์ร้าย ที่คอยขบให้เราได้รับทุกขเวทนา เห็นว่าขันธ์ ๕ นี้ มีสภาพเป็นปีศาจร้าย ที่คอยหลอกหลอนด้วยวิธีต่างๆ

    ฉะนั้น พวกเราทั้งหมด จงอย่ายึดถือขันธ์ ๕ เราต้องพยายามหนี พยายามหลบ หากำลังเข้าต่อสู้กับข้าศึกอย่างหนัก แล้วก็คิดป้องกันไว้ว่า เราจะไม่ยอมเป็นข้าทาสของปีศาจร้ายต่อไป และเราจะไม่ยอมเป็นเหยื่อพยัคฆ์ร้ายต่อไป”

    ท่านบอกเท่านี้ เห็นไหม ท่านเทศน์ของท่านง่ายจะตายพระพุทธเจ้า หลังจากนั้นท่านก็ถามว่า “ใครสงสัยอะไรบ้าง”

    มีพระองค์หนึ่ง ท่านลุกขึ้นพนมมือถามว่า
    “เวลานี้ผมมีศิษย์อยู่คนหนึ่ง อายุประมาณ ๔๐ ปี เป็นคนผิวดำ สอนกรรมฐานตั้ง ๓ ปีแล้ว เอาอะไรไม่ได้เลย ไม่ได้เลยแม้แต่อุปจารฌานขั้นต้น จะสอนอย่างไรพระพุทธเจ้าข้า”

    ท่านก็ตอบว่า
    “คุณ คุณสอนกรรมฐานคนๆ นี้ หนักเกินไป คนๆ นี้ ต้องทำของเล่นๆ เป็นของจริง วิธีสอนก็คือว่า ให้ไปหาดอกไม้หรือว่าลูกไม้อะไรก็ได้ ไอ้ที่มันจะเหี่ยวง่าย มันจะเน่าเร็ว เอามาให้แกเก็บไว้

    พอเก็บไว้วันหนึ่งแล้วแก้ออกดู สีมันจะสดใสไหม ถ้ายังสดใสก็ให้แกจำไว้ว่าดอกไม้หรือลูกไม้นั้น ยังสดใสตามเดิม แล้วก็ห่อเก็บไว้

    แล้วต่อไปก็ไปเปิดดูอีก ถ้ามันร่วงโรยไปเมื่อไหร่ ก็ให้ชี้แจงให้เห็นว่า สภาพวัตถุก็ดี ของคนก็ดี สภาพเหมือนดอกไม้หรือลูกไม้นั้น ทีแรกมันสดใส ต่อไปจะค่อยๆ ร่วงโรยที่ละน้อย เหี่ยวแห้งไป ในที่สุดก็จะสลายไป เมื่อแกพิจารณาเช่นนี้แล้ว ต่อไปก็จะได้ฌาน”

    นี่เป็นวิธีสอนแบบหนึ่ง แล้วต่อจากนั้น ท่านก็ถามว่า “ใครมีอะไรจะถามอีก”

    คราวนี้ลุงพุฒ ก็โผล่เข้าไป แต่งตัวสวยนะคราวนี้ไม่ใช่พุงปลิ้น มาเฝ้าพระพุทธเจ้านี่ ถามว่า
    “พระองค์นี้เมื่อไหร่จะตายเสียทีพระพุทธเจ้าข้า”

    แกมีเรื่องถามไม่เหมือนชาวบ้านเขา พระพุทธเจ้าเลยยิ้ม พระพุทธเจ้าท่านยิ้มยากนะ แล้วทรงถามว่า “ทำไมถามอย่างนั้น”

    ลุงพุฒตอบว่า
    “เขาไปกวนผมเรื่อย เขาถามว่าเมื่อไรเขาถึงจะตายเสียที”

    ท่านก็เลยบอกว่า
    “พระองค์นี้ตายตั้งแต่อายุ ๒๗ แล้ว ชีวิตจริงๆ ไม่มีมาตั้งแต่หนุ่ม หมดตั้งแต่ต้น ต่อแต่นี้ไปไม่เป็นสิทธิ์ของท่าน มันเป็นภาระ ที่คนอื่นเขาดึง กำหนดเวลาตายไม่ได้ จนกว่าภาระจะสิ้นไป ถึงจะตาย ก็มีคนอื่นเขาดึงไว้”

    ลุงพุฒก็ถามต่อว่า“ใครดึงพระพุทธเจ้าข้า”
    ท่านก็ตอบว่า “พระพุทธสิกขี” ท่านบอกอีกว่า “แกต้องช่วยอีก ๑๐ ปี”

    ลุงพุฒก็ถามต่อไปว่า
    “เจ้าของเขาบ่นว่าไส้ผุ กระเพาะผุ แล้วมันจะดีได้อย่างไร พระพุทธเจ้าข้า”

    ท่านก็เลยบอกว่า
    “ไอ้ร่างกายของเขานี่มันเหมือนหุ่น ถ้าเขายังเชิดอยู่เมื่อไร ก็ยังเต้นไปเมื่อนั้น ถ้าเขาเลิกเชิดเสียเมื่อไรก็พับฐานไปเมื่อนั้น”

    ลุงพุฒแกตอบว่า
    “ข้าพระพุทธเจ้าเข้าใจแล้ว”

    จากนั้นลุงพุฒก็เลยบอกว่า
    “เอ้า นี่เดี๋ยวหมดเวลา จะไปไหนล่ะ จะไปตรวจดูวิมานลูกน้องหรือยัง”

    ก็ตอบว่า
    “ถ้าหากพระองค์ทรงอนุญาตก็ไป”

    ท่านทรงอนุญาตก็ไปดู……
     
  9. katoonuk

    katoonuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2013
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +135
    สวัสดี ท่านพี่ภูและพี่ชาวจิตบุญทุกๆๆท่าน วันนี้ตูนน้อยเข้ามารายงานตัวกับท่านพี่ภูและพี่ๆทุกท่าน กว่าจะผ่านปัญหาและอุปสรรคมาได้ นั้นมันแสนยาก(เหตุขัดข้องนิดหน่อย) แต่ไม่เป็นไรคะ มันผ่านมาได้แล้ว ตูนน้อยขอฝากตัวคะ
    ปล. ตูนไม่สามารถใช้katoonukได้ ตูนเลยต้องมาเปลี่ยนใช้jeranun แทนนะคะ
     
  10. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สวัสดี และ ยินดีต้อนฮับจ้า..เจ้าตูนน้อยแห่งUK...ในที่สุดเจ้าก็หาทางออกของปัญหานี้จนเจอ..ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้นจริงๆ..สาธุ..({)({)({):cool::cool::cool:
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    “พ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป
    แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก ลูกจะไปไหนก็ชื่อว่าพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ”
     
  12. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ศาสนาไม่เคยไร้ค่าไร้ราคา ยังมีคุณค่าสําหรับผู้ปฏิบัติที่เข้าถึงหลักธรรม หรือเข้าถึงแก่นธรรม และผู้นั้นจะรักและเคารพในพระพุทธเจ้า และพระธรรมคําสั่งสอน และก็จะปฏิบัติตามด้วยความเคารพและความศรัทธา และพระสงฆ์สาวกของท่านเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นเนื้อนาบุญ แต่พระศาสนาจะเป็นโมฆะสําหรับคนที่ไม่เห็นค่าเท่านั้น เพราะจิตใจของคนนั้นเองแหละ คือเป็นผู้ไร้ค่า ไร้ราคา เพราะธรรมเป็นของจริง แต่ถ้าผู้ปฏิบัติไม่นํามาปฏิบัติก็ไม่มีผลกับผู้นั้นๆได้เลย เหมือนไก่ที่เห็นเพชร แล้วก็ไม่รู้ว่านั้นเป็นเพชร เพราะมันสู้ข้าวสารเม็ดเดียวก็ไม่ได้ ก็เหมือนคนที่เห็นพระศาสนาแต่ยังไม่ได้ปฏิบัติก็ยังไม่รู้ว่านั้นเป็นของมีค่าอย่างสูงส่ง ก็เหมือนคนที่ใส่ของปลอม แล้วก็ยังจะเป็นของปลอมอยู่อย่างนั้นรํ่าไป เพราะจะเอาไปขายก็ไม่มีราคาสําหรับผู้นั้นได้เลย นอกจากผู้จะทําจริงแล้วจึงจะเห็นของจริงในพระศาสนา และเห็นคุณค่าของพระธรรมคําสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วผู้นั้นจะรักพระศาสนาเหมือนเป็นชีวิตจิตใจของเราๆท่านๆนั้นเอง...สาธุค่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2013
  13. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444

    wel lcome_pink.... ยินดีต้อนรับ จิตบุญ น้องใหม่เอี่ยมล่าสุด ค่ะ ...
    น้องตูน แวะเข้ามา สร้างสีสันแชร์ธรรมะ พูดคุยกันฉันท์พี่น้อง ที่บ้านหลังนี้ บ่อยๆนะคะ...


    และนี่ก็คือ อีกหนึ่ง ดอกบัวบาน ที่ UK...ที่บรรจงสร้างโดย ครูเกษ... ที่จะมาช่วยกันทำภารกิจ จูงลูกจูงหลาน ของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงพ่อฯ และ ครูบาอาจารย์ ทั้งหลาย กลับบ้าน พระนิพพาน ...โมทนาสาธุ กับเธอด้วยค่ะ ... สาธุ
     
  14. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ;aa57เปลี่ยนบรรยากาศ... รับธรรมะ จาก สมเด็จพระสังฆราช ประเทศภูฏาน ในวโรกาสที่พระองค์ท่านเสด็จ
    มารับการตรวจ ร่างกายที่ ประเทศไทย...



    [​IMG]


    ถือว่าเป็นโอกาสดีอย่างยิ่งที่พระสังฆราชแห่งรัฐภูฏาน ได้มาตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล ได้มีโอกาสดูแลและสนทนาธรรมกับท่าน

    ถาม: In your opinion ,What's นิพพาน ?,How to go นิพพาน?

    ตอบ: (ขอสรุปเป็นภาษาไทยนะครับ) คนเรามักมัวแต่ไปมองหานิพพานว่าอยู่ที่ไหน จริงๆแล้วอยู่ที่ใจของเราเอง แล้วทำอย่างไรจึงจะไปนิพพานได้ ก็ต้องทำจิตให้เข้าถึง Buddha mind หมายถึงพระพุทธเจ้าคิดอย่างไร ทำอย่างไร ให้ปฏิบัติและให้เข้าถึงอย่างที่พระพุทธเจ้าคิดและทำ โดยวิธีใดก็แล้วแต่ไม่ว่าการฝึกสมาธิ การดำรงตนในชีวิตประจำวันเป็นต้น

    พอดีติดคนไข้จึงไม่มีโอกาสสนทนากับท่านต่อ ได้ข้อธรรมมาแค่นี้ครับ จึงนำมาแบ่งเป็นธรรมทาน



    ขอขอบคุณ คุณศุภชัย โรจน์ขจรนภาลัย...
    ที่มา ...FB อ.คณานันท์ ทวีโภค
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2013
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ;welcome2 wel lcome_pink ;welcome2
    ยินดีต้อนรับ จิตบุญ น้องใหม่เอี่ยมอ่องอรทัยล่าสุด ครับ
    ขอเชิญน้องตูนขึ้นธรรมาสน์แสดงธรรมคู่กับคุณเพ็ญUKหน่อย

    ดีใจแทนเจ้าของจิตด้วย ที่สามารถคลำทางออกจากทุกข์ของตนได้
    เธอต้องขอบใจคุณแพทคนแรก และคุณแม่พระคือครูเกษเป็นคนที่สอง
    เธอทำแม่พระนอนน้อยทานน้อยเพราะอิ่มทิพย์ แต่ก่อนจะอิ่มทิพย์นี่สิ!
    เธอทรมานครูแค่ไหนเคยรู้กันบ้างไหม๊ สำหรับผู้ที่กำลังเรียนจิตเกาะพระอยู่
    ขอให้ตั้งใจเรียน อย่าเกเร อย่าดื้อ เป็นผู้ว่านอนสอนง่าย ครูเปรียบเสมือนพ่อแม่
    พูดง่ายๆก็คือ ครูทุกคนเคยอาบน้ำร้อนมาก่อนและก็เคยดื้อมาก่อนพวกเธอด้วย
    นอกจากทำครูเหนื่อยล้า ผู้ปฎิบัติก็จะได้มรรคผลช้าตามไปด้วย(จำไว้นะ)
    แต่ถ้าวันหน้าใครดื้อบอกพี่ภูนะ เดี๋ยวผมจะให้คุณลินดาเตรียมไม้เรียวคู่รอ
    พร่ำไปพร่ามายาวจนได้ ถ้าอยากเจริญในธรรมต้องเลิกนิสัยเดิมคือ สนใจจริยาผู้อื่น
    โดยเฉพาะผู้กำลังปฎิบัติจะต้องอยู่แต่กายใจตนเอง(เท่านั้น)และเจริญสติต่อเนื่อง
    การเจริญสติต่อเนื่องของจิตเกาะพระ แค่เรานึกถึงภาพพระบ่อยๆ ไม่ต้องนาน
    โมทนาสาธุกับดอกบัวบานที่UKด้วยนะครับ..สาธุ
    ;aa44
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
     
  17. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    สาธุค่ะในธรรมทานของทุกๆท่าน ก่อนอื่นขอแสดงความยินดี กับ คุณตูนuk ที่ท่านได้เดินทางมาถูกทาง และถูกต้องแล้ว เพราะทางสายนี้เป็นทางที่เต็มไปด้วยความสุข ความสงบ และความสบายใจ เพราะเรามีธรรมเป็นเครื่องแก้กิเลส ถามว่ากิเลสยังมีอยู่แต่เราไม่เข้าไปร่วมวงกับมัน แต่จะรู้มันแล้วดูมันไปพร้อมกับนําธรรมของท่านผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานมาน้อมปฏิบัติ นั้นก็คือเรามีพระพุทธเจ้า พระธรรมคําสั่งสอน และพระสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบให้เราได้กราบไว้บูชาค่ะ ขอเชิญคุณตูนได้นําธรรมมาแชร์ หรือเป็นธรรมทานให้ผู้ปฏิบัติได้หลุดพ้นตามที่เราได้รู้ได้เห็นด้วยตัวของท่านเอง...สาธุค่ะ และขอให้ท่านจงเจริญในธรรมของท่านยิ่งๆขึ้นไปค่ะ
     
  18. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ขอน้อมกราบท่านพ่อฤาษีด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะ ถึงท่านจะจากเราไปนาน

    แล้วแต่พระธรรมคำสอนขององค์ท่าน ยังอยู่ให้เราได้นำมาปฏิบัติตาม ซึ่งพระ

    ธรรมคำสอนของท่านนั้นเป็นคำสอน ที่ท่านสอนด้วยความเมตตา และเป็นคำ

    สอนที่เข้าใจง่าย ขอขอบพระคุณ คุณภูทยาน และขออนุโมทนาในธรรมทาน

    ค่ะ ขอบพระคุณทุกๆธรรมทานที่ท่านนำมาให้ได้ศึกษาเพื่ออบรม บ่มนิสัยตนเอง และประวัติขององค์

    ท่าน ซึ่งผู้ที่ไม่เคยได้รู้จักท่าน แต่ได้มาอ่านธรรมะของท่าน แถมยังได้มาเป็น

    ลูกเป็นหลานของท่านอีก ไม่ว่าลูกหลานจะอยู่ที่ไหนท่านก็ตามหาจนเจอ จึงขอน้อมกราบแทบเท้าขององค์ท่านด้วยเศียรเก้ลาค่ะ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2013
  19. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    ขออนุโมทนาสาธุอย่างหาที่สุดและหาประมาณไม่ได้กับทุกท่านที่มามอบธรรมะเพื่อ
    เป็นธรรมทาน ผู้ให้ธรรมทานคือผู้ให้อมฤตธรรม ผู้ให้ได้สุขผู้อ่านย่อมได้สุุขตามเช่นกันนะค่ะ....ขอพี่ภูอย่าโทษตัวเองเลยค่ะเพราะพี่ภูได้รับสื่อมาถูกต้องดีแล้วจึงทำให้ชาวจิตบุญทุกท่านได้มีวันนี้และจะมีวันต่อๆไปด้วยความสมัคร สมาน สามัคคีที่ดีต่อกัน เพื่อนำพาดวงจิตกลับถึงซึ่งพระนิพพานตามที่ท่านพ่อและเบื้องบนปราถนาทุกประการเทอญ.;38;aa10
     
  20. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ยินดีต้อนรับ น้องตูน ดอกบัวบานล่าสุดของ UK หวังว่าคงจะได้รับข่าวจากน้อง

    ตูนอีกนะ เข้ามาเยี่ยมเยือน กระทู้บ่อยๆนะคะ ขอเชิญมาร่วมอ่าน เขียน เพื่อศึกษาหา

    ความรู้ทางธรรมกันเพราะจะมี ท่านผู้เมตตานำธรรมทานมาบอกเล่ากันโดยไม่ต้องไปค้น

    หามีธรรมะดีๆทุกๆวัน และขอขอบพระคุณทุกๆท่านที่นำธรรมะดีๆมาเป็นธรรมทาน

    ขออนุโมทนากับทุกๆท่านค่ะ ขอให้ทุกๆท่านเจริญๆทั้งในทางโลกและทางธรรมค่ะสาธุ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...