จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ==========

    อนุโมทนาครับ เป็นบทสวดที่กระผมใช้เวลาท่องประมาณ1เดือนกว่าจะจำได้หมด นานแล้วเมื่อประมาณ10ปีที่แล้ว
    พอท่องได้แล้ว ก็จำได้ไม่มีวันลืมครับ และเมื่อสวดมนต์บทนี้มานานๆโดยเฉพาะทุกวันพระ ก็จะเกิดปัญญา และเข้าใจความหมายหมดทุกตัวอักษร รู้ได้ด้วยจิต เป็นบทสวดมนต์ที่หากนำมาทำกรรมฐาน และวิปัสสนา ย่อมทำให้มีดวงตาบรรลุธรรมหลุดพ้นได้ ดังพระคาถาตอนจบที่กล่าวว่า

    นะโม พุทธายะ มะอะอุ ทุกขัง
    อะนิจจัง อะนัตตา
    ยาวะตัสสะหาโย นะโม อุอะมะ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา
    อุอะมะอา วันทา นะโมพุทธายะ นะอะกะติ
    นิสะระนะ อาระ ปะขุธัง มะอะอุ
    ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา


    นะ โม พุทธายะ มะ อะ อุ ทุก ขัง อนิจจัง อนัตตา แปลว่า อันหัวใจของพระพุทธเจ้าทั้ง5พระองค์คือ สรรพสิ่งทั้งหลาย มีความไม่เที่ยง เป็นความทุกข์ เป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
    ยาวะตัสสะหาโย นะโม อุ อะ มะ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา แปลว่า พุทธเจ้าทั้ง5พระองค์ก็ตรัสกล่าวอย่างนี้มายาวนานก่อนแล้วทั้งสิ้น ในความเป็นหัวใจของพระพุทธเจ้าคือความไม่เที่ยง เป็นความทุกข์ เป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
    อุอะมะอา วันทา นะโมพุทธายะ แปลว่า ข้าพเจ้าขอกราบบูชาไหว้อยู่ซึ่ง หัวใจของพระพุทธเจ้าทั้ง5พระองค์
    นะอะกะติ นิสะระนะ แปลว่า ข้าพเจ้าขอยึดเอา หัวใจของพระพุทธเจ้านี้เป็นเป็นสรณะ หนึ่งเดียวล้ำเลิศ
    อาระ ปะขุธัง มะอะอุ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา แปลว่า อันหมายความตามพระธรรมว่า ก็คือหัวใจของพระพุทธเจ้านี่แหละคือความไม่เที่ยง เป็นความทุกข์ เป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
    ครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2013
  2. เ่ต่าโบราณ

    เ่ต่าโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    713
    ค่าพลัง:
    +3,624
    ตั้งใจว่า 24 พ.ค. นี้ (วิสาขบูชา) จะไปไหว้ท่านจิตโต ค่ะ
    26 นี้ ขออนุโมทนาด้วย ทุกประการนะคะ
     
  3. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    โมทนาสาธุค่ะพี่เต่า..เกษฝากกราบท่านจิตโตด้วยน่ะค่ะ..เป็นเพราะท่านทำให้เกษได้รู้จักหลวงพ่อฤาษีลิงดำค่ะ..สาธุ:cool:
     
  4. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    "นิพพาน คือเมืองพอ นอกนั้นไม่พอ โลกอันนี้ไม่พอ เพราะกิเลสเข้าแทรกอยู่พอได้อย่างไร กิเลสไม่เคยพาทำใครให้พอ ได้เท่าไรยิ่งอยากได้ มีมากเท่าไรยิ่งอยากมีมาก กินไม่มีวันอิ่มพอก็คือกิเลสกินหัวใจคน ให้อยากให้ดีดให้ดิ้นรนกระวนกระวายอยู่อย่างนั้น มีเท่าไรก็ไม่พอ มีหมื่นไม่พออยากได้แสน มีแสนอยากได้ล้าน มีล้านอยากได้ล้านล้าน ได้จนลืมเป็นลืมตาย

    วันหนึ่งลืมระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ ลืมระลึกถึงความตายของตัวเอง มีแต่ความดิ้นความดีด ครั้นเวลาหมดลมหายใจแล้วก็ตายเช่นเดียวกับโลกทั่ว ๆ ไป มีหนำซ้ำความลืมเนื้อลืมตัว ความหลงไม่อิ่มพอนั้นยังพาให้เจ้าของล่มจมไปมากต่อมาก นี่การวิ่งตามกิเลสเป็นอย่างนั้น กิเลสไม่เคยพาใครอิ่มพอ

    คำว่าธรรมนั้นมีความอิ่มพอ สร้างได้มากได้มาก เช่น พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน ท่านเหล่านี้เป็นผู้ถึงเมืองพอแล้ว พอทุกสิ่งทุกอย่าง บุญก็พอ บาปก็พอ เหมือนน้ำล้นแก้วนั้นเอง น้ำเต็มแก้วเป็นอย่างไร จะเอาน้ำที่ไหนมาเทใส่ให้มากกว่านั้นก็ไม่ได้ ล้นออกหมด ๆ เรียกว่าพอแล้ว จะเอาน้ำมหาสมุทรทะเลมาเทใส่ก็เต็มแล้วเหมือนกันหมด นี่แหละผู้อิ่มพอแล้ว ท่านเรียกว่า ปุญญปาป ปหินบุคคล ผู้มีบุญและบาปอันละเสียได้แล้ว ถึงเมืองพอแล้วได้แก่พระนิพพาน"



    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน

    ลูกขอน้อมจิต ก้มกราบแทบเท้า หลวงตา เจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ....

    เครดิต...FB ลูกพระพุทธ บุตรพระธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2013
  5. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976


    สาธุค่ะ ขออนุโมทนา กับธรรมทานของท่านด้วย ท่านได้กล่าวดีกล่าวชอบแล้ว ถ้าสังคมใดขาดความสามัคคี หรือ แม้แต่ครอบครัวซึ่งเป็นสังคมเล็กๆก็ตาม ถ้าพ่อ-แม่แตกแยกสามัคคีกันแล้ว ลูกๆก็ยากที่จะเป็นคนดี หรือหาความสุขที่แท้จริงได้ยาก เพราะตัวอย่างของลูกๆก็คือ พ่อ-แม่ และถ้าในสังคมใหญ่ๆเช่นหมู่คณะ หรือขั้นประเทศชาติบ้านเมืองแล้ว ถ้าไม่สามัคคี ก็ยากที่จะเจริญไปได้ เพราะทุกๆคนต่างคิดว่าตนเองดี ตนเองเด่น และมีอคติ หรือ อุดมการณ์ที่เป็นไปเพื่อสนองกิเลสตัณหาของตนเอง นั้นแหละจะทําให้สังคมนั้นไปไม่รอด เพราะไม่ยอมรับความเห็นที่ถูกต้องนั้น ก็ยากที่จะนําสังคมนั้นๆไปได้ เพราะถ้าเราทําอะไรก็ตามที่เห็นผลประโยชน์ต่อส่วนร่วมนั้นแหละเป็นธรรม แต่ถ้าเห็นผลประโยชน์ส่วนตนนั้นแหละเป็นกิเลส เพราะกิเลสไม่เคยมีเมืองพอ ยิ่งได้ยิ่งโลภ หาความพอดีไม่ได้เลย และผู้ที่จะนําสังคมไปได้รอดต้องมีศีล เพราะศีลทําให้เราเกิดความละอายต่อบาป คือ ไม่กล้าทําในสิ่งที่ไม่ถูกต้องดีงาม เพราะมีความอายต่อบาปนั้นเอง...แล้วสังคมไหนที่มีศีล สังคมนั้นก็จะไปได้รอด และครอบครัวไหนมีศีล ครอบครัวนั้นก็จะไปได้รอด...จึงขออนุโมทนาสาธุ กับ ครูพี่ภู ที่ท่านได้นํามากล่าวถึงค่ะ สาธุค่ะ
     
  6. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    เรื่องของความสุขนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องการกันทั้งนั้น ไม่มีใครเลยต้องการ

    ความทุกข์ ความเดือดเนื้อร้อนใจ แต่ว่าโดยธรรมะชั้นสูงของพระพุทธศาสนานี่ พระพุทธ

    เจ้าท่านสอนให้เรารู้ว่าในโลกนี้ไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น ท่านจึงตรัสไว้ว่า...

    "ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นอกจากทุกข์นั้นแล้ว

    หามีอะไรไม่" พระพุทธศาสนาสอนเรื่องความทุกข์ สอนเรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ สอนเรื่อง

    ทุกข์เป็นเรื่องที่ดับได้ แล้วสอนวิธีดับทุกข์ได้อย่างไร...

    ...ความทุกข์นั้นมี ๒ แบบ คือ...

    "กายิกทุกข์" ทุกข์เนื่องจากกาย เพราะร่างกายไม่อยู่ในสภาพปกติ...

    "เจตสิกทุกข์" ทุกข์เนื่องจากจิต คือจิตมันคิดมันสร้างอารมณ์ ความทุกข์ให้เกิดขึ้น

    เช่น ความวิตกกังวล ความหวาดกลัว ความระแวงต่าง ๆ เมื่อเกิดขึ้นในใจของเราก็ทำให้

    เราไม่สบายใจ มีความทุกข์...

    ...ความทุกข์ที่เกี่ยวเนื่องกับร่างกาย เช่น เราเกิดไม่สบายทางร่างกายเป็นไข้

    ปวดหัวตัวร้อน ท้องเสีย หรือเป็นอะไรต่างๆ ตามที่มันเป็นอยู่ ใจก็เข้าไปเป็นทุกข์ด้วย

    ...ที่ใจไปเป็นทุกข์ด้วยก็เพราะว่าใจนึกว่าร่างกายของฉัน อะไรของฉัน ความยึดถือนั่น

    แหละมันเป็นตัวทุกข์...ทุกข์ก็เพราะว่าไปยึดถือว่าขันธ์ ๕ เป็นตัว ตัวเป็นขันธ์แล้วก็มี...

    ความทุกข์เพราะเรื่องนั้น ถ้าเราไม่ไปยึดไปถือ ถ้าเราไม่ไปยึดมั่นถือมั่น มันก็ไม่มีความ

    ทุกข์อะไร มันอยู่ที่ใจเจ้าของ ว่าจะทำให้ทุกข์ตัวเองทุกข์ แล้วเจอหรือยังว่าทุกข์นั้น

    เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ให้ฝึกจิตฝึกใจเจ้าของ ให้ดับทุกข์ด้วยตนเอง ให้ทุกข์นั้นเปลี่ยนมา

    เป็นสุข ความทุกข์นั้น จะเกิดก่อนความสุขอยู่เสมอ นั่นก็เหมือนกับทุกข์นั้นเป็นครูสอนให้

    เรารู้จักคำว่าเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป...หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ กราบหลวงพ่อเจ้าค่ะกราบๆ

     
  7. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    [​IMG]

    เห็นข่าวนี้ในตอนเช้า สลดใจไม่หาย.
    ที่บ้านโดนตัดไฟ ค้างค่าไฟ 441 บาท เจ้าหน้าที่มาตัดโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า. อยู่กัน 3 คนแม่ลูก. แม่ต้องไปทำงานช่วงเย็นถึงดึก ลูกกลับมาจากโรงเรียน ปรากฏว่าไฟดับ. ตอนกลางคืนแม่เลยซื้อเทียนไขเข้าไปให้.เพื่อให้พอมองเห็น ปรากฎว่า ลูกๆ เผลอหลับ ลืมดับเทียนไข ไฟไปติดกับมุ้ง ประมาณ 5 ทุ่ม เพื่อนบ้านรีบวิ่งไปตามบอกว่าไฟไหม้บ้าน. แม่รีบวิ่งเข้าไปช่วยลูก แต่ช่วยไม่ได้. ลูก 2 คน นอนกอดกันตายในห้อง. เสียใจอ่ะ ไฟฟ้าจะรีบตัดไปไหน ช้านิดช้าหน่อย ไม่ได้เลยเหรอ แค่ 441 บาทเนี่ยนะ รู้สึกอะไรป่ะ เด็ก 2 คนนอนตายกลางกองไฟ น่าสงสาร ชีวิตคนตายไปแล้วมันเรียกกลับมาไม่ได้นะ คนเป็นแม่ เสียทั้งลูก เสียทั้งบ้าน ชีวิตนี้มันคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี่อีกแล้ว แค่ 441 บาท

    ขอบคุณภาพจากเพจ หน่วยกู้ภัย"ข่าวภาพ" ทีม
    ที่มา fb
     
  8. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

    วันวิสาขบูชา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ในทุก ๆ พุทธันดร พระองค์ท่านก็จะประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานตรงกันในวันนี้ ตรงกันทั้ง ๓ สภาวะ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ เหมือนกันหมด จัดว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์อย่างยิ่ง เมื่อคิดพิจารณามาถึงจุดนี้ สมเด็จองค์ปฐม ก็ทรงพระเมตตาตรัสสอนว่า

    ๑.รู้แล้วก็ไม่อัศจรรย์ ดูแล้วคล้ายเป็นความบังเอิญ แต่มิใช่บังเอิญ เป็นพุทธปาฏิหาริย์ที่มีปรากฏการณ์เช่นนี้เป็นปกติ และเพื่อให้พุทธบริษัทได้น้อมจิตระลึกนึกถึงได้ง่าย ทำบุญทำทานบูชาพระพุทธเจ้า ในวันสำคัญนี้ในคราวเดียวกัน

    ๒.เจ้าจงอย่าลืม บุญใหญ่ที่สุด คือ การมอบกายถวายชีวิต น้อมจิตเข้ามาปฏิบัติบูชา นั่นแหละเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ทรงต้องการ พระองค์ต้องการให้พระองค์เองพ้นทุกข์จากวัฏฏะสงสาร ฉันใด พระองค์ก็อยากจักให้พุทธบริษัทของท่านพ้นทุกข์ ฉันนั้น

    ๓.อย่าลืมเน้นปฏิบัติบูชา เพื่อเข้าถึงซึ่งพระนิพพานเข้าไว้เป็นหลักใหญ่ หาความสุขสงบ ระงับเข้าสู่จิตให้มาก ๆ พิจารณาใคร่ครวญถึงการตัดสังโยชน์ให้มั่นคง

    ๔.เวลาทุกขณะจิตมีค่า อย่าทำใจให้เศร้าหมอง จิตจักได้มีกำลังคิดและพิจารณา สามารถจักปฏิบัติบูชาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ๕.อย่าลืมคำว่า อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปริจจะชามิ ซึ่งแปลว่า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตแก่พระพุทธองค์ และศาสนาของพระพุทธองค์ตลอดชีวิต หมายถึง ปฏิบัติบูชาโดยไม่คิดชีวิต โดยมีจุดหมายแห่งเดียว คือพระนิพพาน

    ๖.หลักธรรม ๓ ประการอย่าลืม จักทำอะไร คิดอะไร พูดอะไรก็แล้วแต่ หมั่นทบทวนใคร่ครวญอยู่เสมอว่า ผิดไปจากศีล-สมาธิ-ปัญญาหรือไม่ ผิดไปจากหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือไม่ คือ ละจากความชั่ว ทำแต่ความดี มีจิตผ่องใสหรือไม่ เพียงมี...อารมณ์จิตเศร้าหมองหดหู่ ก็จงคิดว่าเราผิดไปจากคำสั่งของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์แล้ว ไม่ควรยังจิตให้เป็นเช่นนั้น จงรีบหาทางแก้ไขอารมณ์นั้นให้หมดไปจากจิตเป็นการด่วน ละเสียจากความเศร้าหมองโดยเร็ว

    ๗.ปฏิบัติบูชา ควรที่จักใคร่ครวญ หลักธรรม ๓ ประการนี้อยู่เนือง ๆ ตื่นเช้ามาก็ควรจัดตั้งอารมณ์ไว้เลย เราจักไม่ละเมิดศีล-สมาธิ-ปัญญา เราจักไม่ละเมิดหลักธรรมที่เป็นพระโอวาทปาฏิโมกข์ ของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ (ละชั่ว-ทำดี-ทำจิตให้ผ่องใสอยู่เสมอ) แล้วหมั่นพิจารณาอยู่เยี่ยงนั้นตลอดทั้งวันจนกว่าจะหลับ

    ๘.ธรรมารมณ์ใด ๆ มากระทบ ก็ดูอารมณ์จิตให้ทรงอยู่ในหลักธรรม ๓ ประการนี้อย่างมั่นคง ใหม่ ๆ ก็จักเผลอหลงลืมไปบ้าง แต่ควรจักทำให้บ่อย ๆ ศีล-สมาธิ-ปัญญาก็จักทรงตัว ยังจิตให้ละชั่ว-ทำดี-ยังจิตให้ผ่องใสตามลำดับ


    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
    รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุธรรมาทานกับคุณแนทด้วยครับ
    กับคำว่า กิเลส ธรรม นิพพาน
    คำว่า"กิเลส"มันไม่มีพอแน่ แต่"ธรรม""นิพพาน" รู้จักคำว่าพอแน่
    ขอน้อมจิตก้มกราบแทบเท้าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนด้วยเศียรเกล้า..สาธุๆๆ
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุธรรมทานกับคุณหมอด้วยนะครับ
    ขอน้อมจิตก้มกราบแทบพระบาทสมเด็จองค์ปฐมด้วยเศียรเกล้า..สาธุๆๆ
     
  11. ไผ่มรกต

    ไผ่มรกต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,896
    ท่านพระคุณเจ้า ดาบส สุมโน

    เทศน์เนื่องในวันคล้ายวันวิสาขบูชา


    นะโมตัสสะ ภัควะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุธธัสสะ ฯ

    ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันนี้ซึ่งก็เป็นวันเพ็ญวิสาขะฤกษ์ พุทธศาสนิกชน ถือกันว่าวันนี้เป็นวันสำคัญ วันสำคัญก็คือ พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ ประสูติ และเสด็จดับขันธะ พระปรินิพพาน ฉะนั้น วันสำคัญอันเวียนมา เหมือนกับวันนั้น จึงควรเป็นวันอนุสรณ์ ที่ระลึกหรือ สักการะบูชา คือควรแก่การบูชา ซึ่งเรียกกันว่า วิสาขะบูชา บูชาทำอย่างไร ข้อนี้มันก็มีการกระทำหลายหลาก แต่อย่างๆไรก็ดี ณ.ที่นี้ ก็จะไม่ขอกล่าวอธิบายอะไรมาก ก็เพียงแต่จะกล่าวว่า พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า ที่พุทธศาสนิกชน พึงบูชานั้น จะมีผลอย่างใดหรือไม่ พระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ ข้อที่ว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ อันนี้ก็จะไม่มีใครจะสงสัย แต่เป็นพระพุทธเจ้าที่มีมาแล้วในอดีต ก็คือที่มีมาแล้วในอดีต เป็นเวลาล่วงมา 2000 กว่าปี จนถึงปัจจุบันนี้ 2542 ปี นั่นเราเชื่อกัน แน่นอนว่า คือองค์พระสัมมาสัมมาพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้มาแล้ว คือเป็นเจ้าแห่งพระพุทธศาสนา เราไม่สงสัยว่าไม่มี พระสงฆ์สาวกก็เป็นผู้ที่สืบ พระพุทธศาสนาของพระพุทธองค์มา จนตราบเท่าเราทั้งหลาย ได้เข้ามาบวช มาเรียนศึกษาใน พระพุทธศาสนา ถือเป็นสิ่งสำคัญในทุกวันนี้ ก็คือพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น แสดงว่าพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระโคดมองค์นั้น ก็ได้เสด็จดับขันธ์พระปรินิพพานไปแล้ว ในเมื่อพุทธศก 80 ปี ท่านผู้ฟังทั้งหลาย เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธ์พระ

    ปรินิพพานไปแล้ว ส่วนมาก ก็เข้าใจกันว่า ดับขันธ์พระปรินิพพานแล้ว ก็สูญไปแล้ว ก็คงทิ้งไว้แต่ชื่อ ๆ ตัวจริงไม่มีแล้ว หรือที่ว่า พุทธะ พุทธะ นั้นไม่มีแล้ว อันนี้ก็เป็นความเข้าใจเผินๆ หรือเปลือกๆ ของเราท่านทั้งหลาย หรือคนทั่วๆไป เหมือนกับหนึ่งว่า คนที่ตายไปแล้ว จะมีแต่ที่ไหน ก็จะมีแต่เพียงชื่อเท่านั้น ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย หามีแต่เพียงชื่อไม่ พระพุทธเจ้าที่เป็นจริง ที่ตรัสรู้ ใต้ต้นสลีมหาโพธิ์นั้น คือ

    พระพุทธเจ้าตัวจริง แต่พระพุทธเจ้าที่ คลอดออกมาจาก พระครรภ์ของพระนางศิริมหามายานั้นเป็น พระพุทธเจ้าตัวเปลือกนอก พระพุทธเจ้าตัวเปลือกนอก เสด็จดับขันธ์พระปรินิพพานไปแล้ว เขาเผาแล้ว ก็เหลือไว้แต่พระอัฐธิ หรือที่เรียกกันว่าบรมสารีริกธาตุ ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย พระพุทธเจ้าตัวจริง ที่ตรัสรู้ใต้ต้นสลีมหาโพธ์ คือโพธิญาณ ได้บังเกิดขึ้นแก่พระองค์ ซึ่งเรียกว่าพุทธุปาโด พระพุทธุปาโดคือ

    พระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ที่ใต้ต้นสลีมหาโพธ์ คือตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ที่ตรัสรู้ใต้ต้นสลีมหาโพธิ์ อันนี้ใครแลไม่เห็น คนทั้งหลายไม่มีใครเห็นก็จะเห็นแต่พระพุทธเจ้าอันเป็นตัวเปลือก คือตัวเปลือกนอก ก็จากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์นั้น

    มองไม่เห็น อันนี้คือเป็นพระพุทธเจ้าตัวจริง พระพุทธเจ้าจริงเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่ได้ดับไปไหน เรียกว่าไม่ตาย ทรงเป็นพระอมตะคือไม่ตาย ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ไข้ ก็แม้พระพุทธเจ้าที่ว่านี้ เกิดทีหลังนี้ คือเกิดแล้ว ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย คือเกิดแล้วบรรลุถึงพระนิพพาน อันนี้ยังดำรงอยู่ คือยังมีอยู่ จะพูดง่ายๆว่า กายนั้นตายไปแล้ว แต่ใจนั้นยังไม่ตาย กายนั้นตายไปแล้ว ไม่มีแล้ว แต่ใจนั้นไม่ตายใจนั้นยังมีอยู่ ก็คือหัวใจยังมีอยู่ ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ก็หัวใจยังมีอยู่ ยังไม่มีวันตาย อยู่ที่ไหน ก็เมื่อมีอยู่แล้ว อยู่ที่ไหน ศรัทราญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลาย ก็จะขอตอบเพียงง่ายๆ ก็คืออยู่ในที่ ทั่วๆไปนี้แหละ คืออยู่ในอากาศนี้แหละ อากาศมีอยู่ในที่ใด พระพุทธเจ้าก็มีอยู่ในที่นั้น คือไม่สูญ ก็เมื่อพระพุทธเจ้ามีอยู่ไม่สูญดังนี้ จึงพูดได้ว่า แม้ปัจจุบันนี้

    พระพุทธเจ้าก็มีอยู่ ครอบงำ สัตว์ทั้งหลายอยู่ทุกเมื่อ คุมอยู่ในที่ทุกแห่ง แต่ไม่เห็นเท่านั้นเอง เรายกมือไหว้พระยกมือกราบไหว้ พระพุทธเจ้า แต่เราไม่เห็นตัว แต่แม้กระนั้นพระพุทธเจ้าก็เห็นเราอยู่ เรามองไม่เห็นตัวพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าก็เห็นเราอยู่ บางทีเรายกมือ ไหว้พระพุทธเจ้า แต่เราไม่ได้นึกถึงพระพุทธเจ้า ยกมือเพียงสักแต่ว่าไหว้ เหมือนกับว่า ไม่มีผลอะไร เท่ากับว่าการไหว้ของเรานั้น ก็อยู่ด้านนอก ไม่ได้ไหว้พระพุทธเจ้า เพียงแต่ยกมือพนม ขึ้นเท่านั้น แต่หากว่าเรายกมือพนมไหว้ แต่จิตใจของเราน้อมถึงพระพุทธเจ้า นั่นคือการไหว้ ของเราไปถึงพระพุทธเจ้าแล้ว

    พระพุทธเจ้าได้ทรงรับไหว้ของเราแล้ว ได้รับการบูชาของเราแล้ว ก็เป็นอันว่า การกระทำอันเป็นบุญ ที่เราท่านทั้งหลาย กระทำนั้น ย่อมมีผล คือย่อมปรากฏออกมา เป็นของจริง คือเป็นอานิสงค์ หรือเป็นผลในทางที่ดี จริงอย่างแน่นอน คือไม่สูญเปล่า ฉะนั้นการสักการะบูชา หรือการบูชาของเราท่านทั้งหลาย ที่สวดมนต์ เช้า ค่ำ ทุกวันนี้ ทำด้วยจิตใจอันนอบน้อม ด้วยจิต ด้วยใจ ของเราแล้ว ผลบุญ ก็ย่อมมีอยู่เสมอ ไม่ใช่ไหว้เปล่า เหมือนกับที่ว่า ตะกี้ เพียงยกมือไหว้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าไหว้อะไร ไหว้ของสูญ คิดว่าเป็นอย่างนั้น คิดว่าพระพุทธเจ้าไม่มีแล้ว เพียงสักแต่ว่าทำ ก็เป็นอันว่า พระพุทธเจ้านั้นน่ะ เหมือนกับที่กล่าวข้างต้น มีอยู่ทุกแห่ง ที่บ้านของเราก็มี ที่วัดก็มี ที่สำนักใดๆมี ตามทุ่งตามนา ตามป่าตามน้ำ ตามเขา ตามดอยก็มี เราไหว้ได้เสมอ ถ้ายังไม่เชื่อแน่ ก็ขอไหว้พระบรมสารีริกธาตุไปก่อนก็ได้ พระบรมสารีริกธาตุ ก็เป็นตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นรูปธรรม รูปธาตุ

    อันนั้นเห็นได้ด้วยตา ไหว้อันนั้นก็ได้บุญเหมือนกัน แต่เท่าที่กล่าวนี้ คือกล่าวด้วย กาย จริงของพระพุทธเจ้า คือหัวใจของพระพุทธเจ้า นั้นมีอยู่ในที่ทั่วไป ทีนี้ก็มาพูดถึงว่า พระพุทธเจ้ามี เป็นเครื่องรับ สักการะบูชาของเราท่านทั้งหลาย
    อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หรือตลอดกาล เราท่านทั้งหลายก็มีโอกาส ที่จะได้บุญจนกว่าชีวิตจะดับไป หรือลมหายใจ จะดับลงไป เพราะไหว้ที่ไหนก็ได้ ระลึกถึงที่ไหนก็ได้ ทีนี้ว่ากันถึง เรื่องตัวตน หรือการท่องเที่ยว ตามสังสารวัฎ ตัวตนก็เป็นของมีจริง ตัวตน อัตตาเป็นของมีจริง คือสภาวะอันหนึ่ง ที่เราเรียกกันว่าคนนั้น คนนี้ ที่ว่าเป็นเราบ้าง เป็นเขาบ้าง นาย ก บ้าง ข บ้าง หญิงบ้าง ชายบ้าง หลังจากที่อัตภาพ แตกสลาย ลงไปแล้ว เขาเอาไปเผาทิ้งแล้ว หรือเอาไปฝังในป่า ช้า แล้ว แต่เราท่านทั้งหลาย ที่ชื่อนั้น ชื่อนี้ อันเป็นตัวข้างใน สภาวะข้างในอันนั้นยังไปตาย ไม่มีวันตาย คือยังไปเกิดที่นั่น ที่นี่เรียกว่า เที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่ แต่การท่องเที่ยวไปในภพน้อย ภพใหญ่ ไม่ได้ไปตามลำพัง คือไปด้วยอำนาจ การกระทำ คือทำดี หรือทำชั่ว ที่จะเป็นเครื่อง ติดตัวไปตลอดกาล การกระทำก็มี อยู่2 อย่าง คือกระทำในปัจจุบัน กับ กระทำในอดีต กระทำในอดีตก็ส่งผลมาในปัจจุบันได้ กระทำในปัจจุบัน ก็ส่งผลให้ปัจจุบัน แล้วก็จะไปส่งผลให้ในอนาคต ต่อไปอีก ก็ชื่อว่าคนทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ย่อมเป็นไปตามกรรมต่างกัน คือการกระทำ ฉะนั้นการกระทำนี้แหละ มันเหมือนกับเป็นเงา ติดตัวไป ไปทุกหนทุกแห่ง คือไปทุกภพ ทุกชาติ ก็กรรมอันนั้นก็ติดไป ก็เวลาที่กรรมชั่วติดตามไป มันก็ให้ผลในคราวที่ เสวยความทุกข์ แต่ถ้ากรรมนั้นติดตามไปให้ผลเวลานั้น มันให้ความสุข ก็จะเสวยความสุขคือรับความสุขนั่นเอง ฉะนั้นมากก็ตาม น้อยก็ตาม ผลที่ทำเหตุที่ทำแล้วนั้น มันย่อมได้ทั้งนั้น คือย่อมได้ทั้งมากก็ได้ น้อยก็ได้ เพราะฉะนั้น การทำความดี เป็นต้นว่าการให้ทาน แม้ที่สุด ให้แก่คนยาก คนจน เพียง 10 บาท การกระทำนั้นไม่สูญเลย การกระทำนั้นไม่สูญ แล้วก็ ชาติหน้า ยังได้ผลพิเศษคือยังมีดอกเบี้ย ไม่ใช่ได้แค่นั้น คือทำความดีไว้ทั้งหมดแม้ 10 บาท ถ้าทำไปแล้ว ผลที่เราทำจะได้แค่ 10 บาทเท่านั้น ก็หามิได้ ดอกเบี้ยก็เกิดตามมาอีกเยอะแยะไปเลย ก็เกิดตามขึ้นมาอีกมากมาย เป็นร้อยเป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน จนชื่อว่าเป็นผู้ร่ำรวย ขึ้นมาได้ ก็เพราะความดีนั้น เป็นของไม่ตาย ติดตามไป เหมือนกับความชั่ว ก็ไม่ตายเหมือนกัน ก็ติดตามตัวไปเหมือนกัน ทางที่ดี ก็อย่าให้มีความชั่ว มันติดตามไปชะเลย นั่นแหละเป็นทางที่ดี น้อยหนึ่งก็ไม่ควรจะมี ฉะนั้นความดี นิดหนึ่งน้อยหนึ่งนั้นก็ควร ที่จะทำให้เกิดมี เพราะว่าเกิดมีแล้ว มันมีแต่ผลดี ที่จะประดังเข้ามา หรือติดตามไปอยู่เสมอ ทีนี้ว่าถึงผลการท่องเที่ยว ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่า คนเราตายไปแล้วท่องเที่ยวไปในภพน้อย ภพใหญ่ มันไม่ตาย ไอ้ตัวในนั้นมันไม่ตาย

    ลูกกราบหลวงพ่อ ดาบส สุมโน ด้วยเศียรเกล้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

     
  12. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    กิเลสนั้นเป็นภัย ก็เหมือนเราเวลาโดนไฟ จะโดยไปเหยียบเข้าโดยบังเอิญ หรือ โดยไม่ตั้งใจก็ตามแต่ไฟนั้นพอเราไปถูกเข้าก็ร้อนทันที วันมีคําว่าไม่ร้อนไม่เจ็บ คือ ไฟมันเป็นของร้อนและใครไปจับเขาก็มีแต่จะทําให้คนนั้นเจ็บตัวเท่านั้น...เหมือนกิเลส ถ้าใครไปจับเข้า หรือไปเกี่ยวข้องเข้าก็มีแต่ความทุกข์วุ่นวาย หาความสุขไม่ได้ เพราะจิตใจไม่สงบเพราะถูกกิเลสเข้าแทรก กิเลสเข้าทํางานก็มีเหมือนไฟดีๆนี่เอง...ท่านผู้จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกิเลสก็ต้องเอาธรรมเป็นเครื่องดับทุกข์ ทําจิตให้เป็นสมาธิ คือ ทําจิตให้เป็นสมาธิก่อน เพราะต้องทําจิตให้เกิดความสงบ คือเกิดความเย็นก่อนนั้นแหละ เพราะเวลาจิตสงบได้ก่อนนั้นแหละความคิดปรุงด้านกิเลสจึงจะสงบลงตาม ว่าแต่ใครจะใช้ปัญญาตามรู้ตามเห็นความเป็นจริงคือ มองทุกๆสิ่งเป็นอนัตตา นั้นแหละ จึงจะถอนตัวอุปทานได้ คือความไม่ยึดมั่นถือมั่น นั้นเอง...สาธุค่ะ
     
  13. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    สามเดือนล่วงเข้าสู่วิสาขมาส พระบรมศาสดาทรงเห็นฝูงชนเป็นอันมากต่างเดินทางมาเพื่อบูชาพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย พระจอมไตรทรงเห็นเหตุนี้แล้วจึงทรงตรัสกับพระอานนท์ ว่า "พุทธบริษัท ๔ ทําการสักการะบูชาเราด้วยเครื่องบูชาอันเป็นสักการะบูชาทั้งหลาย อันเป็นอามิส หาชื่อว่าบูชาตถาคตด้วยบูชาอันยิ่งไม่ ผู้ใดปฎิบัติตามธรรม ปฎิบัติชอบยิ่ง ประพฤติธรรมให้เหมาะสม ผู้นั้นแลจึงชื่อว่าสักการะบูชาเราด้วยสักการะบูชาอันยอดเยี่ยม" ลําดับนั้นทรงทราบถึงปริวิตกในบริษัท ๔ ที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าจึงทรงตรัสว่า "เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว เธอทั้งหลายอาจจะคิดว่า บัดนี้ไม่มีศาสดาแล้วจะพึงว้าเหว่ไร้ที่พึ่ง ขอให้พึงทราบโดยทั่วกันว่า ธรรมวินัยอันใดที่เราได้แสดงแล้ว ขอให้ธรรมวินัยนั้นจงเป็นศาสดาของพวกเธอแทนเราต่อไป..."

    "บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายของเราแล้ว เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สิ่งทั้งปวงมีความเสื่อมและความสิ้นไปเป็นธรรมดา ขอเธอทั้งหลายจงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด..." ปัจฉิมโอวาทของพระบรมครูก็สิ้นลง แสงจันทร์วันเพ็ญสาดส่องโพธิมณฑลเด่นชัด ประหนึ่งว่าต้องการเอื้อให้พระบรมศาสดาทอดพระเนตรบริษัท ๔ อันเป็นที่รักของพระองค์ในครั้งสุดท้าย เป็นเวลากว่า ๒๐ อสงไขยที่ทรงสั่งสมโพธิธรรมเพื่อสัพพัญญุตญาณ แต่ทว่าเส้นทางยาวนานกําลังจะสิ้นสุดลง เสียงสะอื้นรํ่าไห้ดังไปทั่วทั้งสารทิศ แม้ในพระพุทธอนุชาก็ทนปริเวทนาในครั้งนี้มิได้

    "อโห..พุทโธ บัดนี้สังขารของพระโลกเชษฐ์เป็นเสมือนเรือรั่วที่กําลังจะจมสู่ท้องธารเสียแล้ว สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นเพราะมีเหตุ สิ่งนั้นย่อมดับไปเมื่อเหตุดับ สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่ในท่ามกลาง และดับไปในที่สุด" อโห..พุทโธ บัดนี้พระพุทธองค์ดับแล้วดับอย่างหมดเชื้อ ทั้งวิบากขันธ์ และกิเลสานุสัยทั้งปวง ประดุจกองไฟดับลงแล้วเพราะหมดเชื้อฉะนั้น ตราบใดที่พุทธบริษัทยังเป็นผู้ฉลาดสามารถรักษาพรหมจรรย์ ไม่ยิ่งหย่อนในอิทธิบาทภาวนา พระสัทธรรมก็จะยืนหยัดต่อไปได้ชั่วกัปกัลป์ เอวัง วิสาขปุรณมี ก็มีด้วยประการฉะนี้

    Cr:เครือข่ายกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

    ขอนอบน้อมกราบพระพุทธเจ้าด้วยเศียรเกล้า
     
  14. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    กลับมาจากที่ทำงาน..ถึงจะเหนื่อยสักเพียงใด..มันก็ทำได้แค่กายเท่านั้น..แต่พอได้มาอ่านการบ้านลูกศิษย์ทีไร..หายเหนื่อยทุกทีไปซิหน่ะ...:cool:

    คราวนี้ก็เลยอดไม่ได้ที่จะนำมาฝากทุกท่านอีกตามเคย เพื่อให้ได้โมทนาบุญกับท่านกันค่ะ..ท่านนี้มาแรงแซงทางโค้ง...เกาะพระติดแล้ว และกำลังเข้าโหมดวิปัสสนาเช่นกันค่ะ สาธุๆๆ..:cool::cool::cool:



    สวัสดีครับครูเกษและครูทุกท่าน
    หลังจากที่ผมตอบแบบสอบอารมณ์แล้วผมจับภาพพระโดยไม่ได้ภาวนาแรกๆ ยากมันติด ตอนนี้ทำได้แล้วครับ ผมเห็นภาพพระชัดขึ้นบางครั้งนึกแล้วก็เห็นภาพเลย แต่ถ้านึกแล้วไม่เห็นก็จะนึกรู้อย่างที่ครูลูกพลังแนะนำ สองวันที่ผ่านมาทำให้ผมระลึกถึงพระได้บ่อยกว่าเดิมมาก เผลอน้อยลง เผลอนานสุดไม่เกิน1ชม. บางช่วงทีนึกถึงพระต่อเนื่องจะรู้สึกหน้าชาๆครับ มีอารมณ์เบาๆสบายๆกว่าเดิม วันก่อนลองนั่งสมาธิบ้างผมรู้สึกเหมือนตัวพองๆ สองวันมานี้เวลานอนหลับจะเหมือนรู้สึกตัวอยู่เรื่อยๆบางครั้งรู้สึกตัวจะเห็นภาพพระชัดใสกว่าปกติ เหมือนหลับไม่สนิทแต่ก็นอนเต็มอิ่มครับ เวลามีอารมณ์อะไรมากระทบก็จะรู้ เช่น เมื่อเริ่มรู้สึกหงุดหงิดก็จะรู้และเห็นว่ามันค่อยๆหายไป เกิดราคะก็จะเห็น เมื่อเห็นอะไรที่น่ามองก็จะเริ่มเห็นว่าเรารู้สึกพอใจแต่บางครั้งไม่เห็นในทันทีจะรู้เมื่อผ่านซัก2-3วินาทีถึงจะรู้ครับ บางครั้งที่นึกถึงพระก็จะเห็นลมหายใจด้วยพยายามจะไม่อยู่ที่ลมหายใจแต่มันเห็นเองว่าเรากำลังหายใจครับ

    ขอบคุณครับ
    จ๋าย
     
  15. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ความสุขและความทุกข์นั้นเป็นของแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะเป็นสิ่งที่ให้ความสัมผัสในรสชาตินั้นต่างกัน เราจะเห็นได้ด้วยการรับรู้ถึงรสมันว่า ถ้าใครทุกข์ หรือสุขนั้นได้ เหมือนมีคนเดินมาในกลุ่มมีผู้หญิงผู้ชาย เราก็จะสามารถรู้และบอกได้ด้วยว่ามีผู้หญิงกี่คน และมีผู้ชายอยู่กี่คนในกลุ่มนั้น ความทุกข์ และความสุขนั้นก็เป็นเช่นนั้น เพราะผลการแสดงออกมาจากความสุขและความทุกข์ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง...เราจึงรู้ได้ว่าใครเป็นทุกข์ใครเป็นสุข เพราะผลของการแสดงออกมาทาง กาย วาจา ใจ นั้นเองแล้วเราจะทําอย่างไร?จะเป็นผู้พ้นจากทุกข์ไปได้... และเวลาเกิดทุกข์ขึ้นมาก็ไม่มีใครจะปรารถนาเลย...แต่ผู้รู้วิธีแก้ทุกข์ หรือวิชาดับทุกข์ก็ต้องนําธรรมะของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติจึงจะหลุดพ้นทุกข์ไปได้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านได้เห็นเหตุแห่งการเกิดทุกข์ และเหตุแห่งการดับทุกข์ แล้วดับได้แล้วก็เป็นสุขนั้นท่านเห็นอย่างนั้น ผู้ปฏิบัติก็จะเห็นตามท่านได้ และก็พ้นจากทุกข์ไปได้เช่นกัน ขอให้ทุกๆท่านจงน้อมนําคําสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้ามาปฏิบัติตามท่านก็จะเห็นตาม เพราะเรามีความระลึกถึงคุณของท่าน คือ คุณพระพุทธ คุณพระธรรม และ คุณพระสงฆ์สาวกของท่าน ก็จะเป็นผู้ได้เห็นภัยในวัฏฏะ และในวันนี้เป็นวันวิสาฃบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าได้ประสูติ ได้ตรัสรู้ และปิรินิพาน และท่านก็ได้ประกาศสอนโลก เพราะท่านรู้แจ้งโลก คือ โลกวิทู คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานค่ะ สาธุค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2013
  16. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ...ซึ่งเป็นวันสำคัญของพระพุทธเจ้า ซึ่งมี

    ความสำคัญกับพระพุทธเจ้า และพระพุทธศาสนา จึงขอนำพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์

    ท่านมาเป็นการเริ่มต้น ด้วยการสวดมนต์ว่า...

    "ธะระมาโน โสภะคะวา. เอวังพะหุลัง สาวะเก วิเนติ"

    เมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ย่อมสั่งสอนสาวกส่วนมากดังนี้ คือ สอนว่า...

    "รูปัง อะนิจจัง รูปไม่เที่ง

    ...เวทะนา อะนิจจา เวทนาไม่เที่ยง...

    ...สัญญา อะนิจจา สัญญาไม่เที่ยง...

    ...สังขารา อะนิจจา สั่งขารไม่เที่ยง...

    ...วิญญาณัง อะนิจจัง วิญญาณไม่เที่ยง...

    ...แล้วสอนต่อไปว่า...

    ...รูปัง อะนัตตา รูปไม่ใช่ตัวตน...

    ...เวทะนา อะนัตตา เวทนาไม่ใช่ตัวตน...

    สัญญา อะนัตตา สัญญาไม่ใช่ตัวตน...

    ...สังขารา อะนัตตา สังขารไม่ใช่ตัวตน...

    วิญญานณัง อะนัตตา วิญญาณไม่ใช่ตัวตน

    ...สัพเพ สังขารา อะนิจจา สั่งขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง...

    สัพเพ ธัมมา อะนัตตา ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา"

    อันนี้เป็นคำสอนที่สูงสุดในทางพระพุทธศาสนา ที่ให้เราได้พิจารณาได้ศึก

    ษา ได้ทำความเข้าใจ คำสอนนี้มันอยู่ที่ตัวเรานั่นแหละที่ตัวที่สมมติคือร่างกายกับจิตใจ

    กายกับจิตใจรวมกันเรียกว่าเป็นตัวขึ้นมาเป็นคนขึ้นมา เป็นเรื่องของธรรมชาติที่มันเป็น...

    อย่างนั้น...กายก็เป็นธรรมชาติ จิตก็เป็นธรรมชาติ แต่ว่าเราไม่มีปัญญาในเรื่องนัั้นที่จะเข้า

    ใจเรื่องนั้นถูกต้อง เลยไม่ยึดมั่นถือมั่นว่า...ร่างกายของฉัน อะไรของฉัน ของฉันมันมาก

    เต็มบ้านเต็มเรือน...แล้วยังออกไปถึงนอกบ้าน ชาติของฉัน ประเทศของฉัน อะไร ๆ

    เป็นของฉันไปหมด...การเข้าไปยึดถือว่าเป็นตัวฉันเป็นของฉันนั่นแหละมันเป็นตัวเหตุให้

    เกิดความทุกข์เกิดความเดือดเนื้อร้อนใจ...ถ้าพวกเราเอาคำสั่งสอนของพระองค์ท่านมา

    ปฏิบัติฝึกฝน เริ่มเรียนรู้และศึกษาในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์ท่านมาปฏิบัติ เสียแต่

    เนิ่น ๆ พระธรรมคำสอนของท่านนั้นก็จะได้ซึมซับเข้าไปในจิตใจ เพราะคำสอนของท่าน

    นั้น ได้ให้เราศึกษาเล่าเรียน มีทั้งคำสั่งสอน และคำตอบที่เป็นธรรมชาติ และความจริงทั้ง

    หมด อยู่ในคำสอนทั้งหมดนี้ ถ้าผู้ที่ศึกษาได้ศึกษาให้ถึงแก่นแท้และทำความเข้าใจทุก ๆ คำสั่ง

    สอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า.........จึงขอฝากพระธรรมคำสั่งสอนขององค์ท่านไว้

    เนื่องในวันวิสาขบูชา...ขอน้อมกราบบูชาพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะ

    ...และขอน้อมกราบ พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์หลวงปู่หลวงตา ที่ให้คำสั่งสอนให้ลูก

    ได้มีวันนี้ ได้มีปัญญาเข้าถึงพระคำสอนของทุกๆพระองค์. กราบบูชาองค์พระสัมมา

    .สัมพุทธเจ้าทุก ๆพระองค์. กราบ กราบ กราบ.........

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2013
  17. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ธรรมมีอุปการะมาก ๒ .....

    ๑. สติ - ความระลึกได้ ...๒. สัมปชัญญะ - ความรู้สึกตัว

    ...สติ ช่วยให้ไม่ประมาทเลินเล่อเผลอตัว...

    ...สัมปชัญญะ เตือนให้รู้สึกตัวในการประพฤติปฏิบัติในทางที่ดีที่ชอบ...

    ...ถูกต้อง ไม่เสียหาย ตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดี...

    ...ผู้มี สติสัมปชัญญะ ประจำสันดาน...

    ...จะทำสิ่งใดย่อมมีความผิดพลาดน้อย ถูกต้องมาก...

    ...เป็นปัจจัยนำไปสู่ความเจริญมั่นคงทุกๆด้าน...

    ...คัดจากหนังสือยกระดับชีวิตด้วยธรรมะ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ...

    ...นำมาฝากเนื่องในวันวิสาขบูชา. กราบหลวงพ่อด้ยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2013
  18. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ความอัศจรรย์แห่งธรรม...โดยพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน

    ...ไม่พระพุทธเจ้าองค์ใดที่ได้มาตรัสรู้ในโลกทุกพระองค์ท่านไตรตรองเต็มพระปรีชา..

    สามารถในวิธีการสอนโลกมากมาย...พอได้มองให้โลกเห็นธรรมที่เป็นของอัศจรรย์ เพราะ

    ไม่อาจอัญเชิญธรรมออกมาตั้งโชว์หน้าร้าน...หรือสาธารณสถานต่างๆ ได้ เพราะ...

    "ธรรมแท้" มีอยู่ที่จิตใจและแสดงออกมาเพียง...ทางกาย ทางวาจา เท่านั้นซึ่งไม่ชวน

    ให้ดูดดื่มอย่างถึงใจนัก ยิ่งกว่าการสัมผัสด้วยใจ...

    ...เมื่อไม่มีทางพอนำออกได้...จึงได้ทรงนำออกด้วยการประกาศสั่งสอนชี้ถึง

    เหตุแห่งธรรมเครื่อดำเนินและการประพฤติปฏิบัติ...เพื่อให้เข้าถึงผลแห่งธรรมจุดนั้น ๆ

    ...หรือชั้นนั้นๆ...และประกาศทางฝ่ายผล คือความประเสริฐความอัศจรรย์ตามขั้นภูมิแห่ง

    ธรรมซึ่งจะสัมผัสได้โดยทางใจ...จนถึงความมหัศจรรย์อันสูงสุด ได้แก่ วิมุตติความหลุด

    พ้นทางใจ...ที่เรียกว่า "นิพพานในใจ" นี่แหละ คือ ความอัศจรรย์แห่งธรรม ที่ผู้ปฏิบัติที่

    มีความพากเพียรประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จะได้รู้เห็นในความ...

    อัศจรรย์แห่งธรรมนี้...พระธรรมคำสั่งสอนขององค์หลวงตามหาบัว.

    ...ขอน้อมรับพระธรรมคำสั่งสอนขององค์หลวงตา กราบองค์ท่านด้วยเศียรเก้ลา...
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    วันวิสาขบูชา
    เปรียบเสมือนเป็นวันปลดล๊อคธรรมชาติแห่งจิต/วิญญาณทั้งหลายทั้งปวง
    สำหรับผู้ที่หลงมาเกิดหรือมีกายหยาบ จึงเปรียบดั่งคนที่อยู่ในโลกแห่งความฝันของตน
    และอีกเมื่อไหร่ ก็มิทราบ ที่จะตื่นแล้วลุกหนีออกจากที่เดิม คือ ๓๑ ภพภูมิ/ สังสารวัฎ

    เพราะการถือกำเนิดหรือมีขันธ์ ๕ นั้น ก็แค่เราอยากรู้และก็อยากเห็นกันเท่านั้นเอง ขอเรียกว่า วันเกิด
    ต่อไป..วันรู้ความจริง คือรู้ความเป็นไปเป็นมาของเหล่าสรรพสิ่งหรือสิ่งมีชีวิต ทั้งที่มีรูปและนาม
    ก็แค่รู้สึกตัวว่าเรานั้นเกิดมาก็เพราะว่า ความอยากรู้และอยากเห็นเท่านั้นเอง
    ขอเรียกว่า วันตรัสรู้ของพระพุทธองค์/ วันบรรลุธรรมของพระอรหันต์/ มีดวงตาเห็นธรรมหรือตามแต่สติปัญญา
    และวันสุดท้ายของการถือกำเนิดหรือวันตาย คือรู้และดับความอยากรู้ อยากเห็นของตน
    ซึ่งวันตายของแต่ละบุคคลนั้นแบ่งเป็น ๒ ประเภท ก็คือ
    ๑.ตายแล้วตายเลย คือละทั้งรูปทั้งนาม ไม่กลับมาเกิดใหม่ ได้แก่ พระพุทธเจ้า/พระอรหันต์
    ๒.ตายแล้วแต่ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดกันอีก คือตายแต่รูป แต่นามยังไม่ตาย
    ได้แก่ ปุถุชน/จิตที่ต่ำกว่าพระอรหันต์

    ขอสรุปขั้นตอนคร่าวๆให้กับนักภาวนานำไปพิจารณากันตามสติปัญญาของตน นั่นก็คือ...
    ขอให้นักภาวนาทั้งหลาย จงเจริญสติภาวนากันเพื่อให้จิตนิ่งเป็นสมาธิและเกิดปัญญา
    เพื่อพบเจอจิต/ดวงจิตของตน และพบธรรมภายใน(จิต)ของตน
    เมื่อพบจิต พบธรรม พบปัญญา(ตัวผู้รู้)แล้ว ต่อไปจิตเราก็จะพบและจะต้องปล่อยวางให้หมด
    นั่นก็คือ ตัวถูกรู้ อันได้แก่ รูป/นามของตนเอง โดยเฉพาะนามละเอียด(ธรรมารมณ์หรืออารมณ์จิตต่างๆ)
    และนิมิตหรืออภิญญาต่างๆ ถ้าปล่อยวางหมดแล้ว ก็ยังคงเหลือแต่เพียงตัวรู้เพียงอย่างเดียว
    แต่จิตเราจะต้องไม่ไปยึดถือเอาแม้นกระทั่งตัวผู้รู้เอง จิตจึงเข้าสู่อุเบกขาญาณ
    โดยเฉพาะสังขารุเบกขาญาณ และจิตจะเข้าถึงคำว่าอริยสัจ ๔ คือจะรู้ไปตามลำดับมรรคญาณ
    แล้ววันนั้นจะเข้าใจคำว่า อนัตตา/สุญญตา/ความว่างเป็นอย่างดี
    มิใช่แค่ปากว่ากันไป แปลกันไป ปล่อยให้จิตเขาพูด ปล่อยให้จิตเขารับรู้เอง
     
  20. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    แวะมาให้ขำค่ะพี่ต้อย มาหัวเราะเพื่อสุขภาพกันหน่อยเร๊ววววว... เอิ๊กกกกๆๆๆๆ.....

    540319 จำอวดหน้าม่าน ฉ่อยสุขภาพ - YouTube
     

แชร์หน้านี้

Loading...