หลงทาง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 3 พฤษภาคม 2013.

  1. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    ชีวิตคนเรานี้ ทำไมมีทุกข์ทางใจมากเหลือเกิน
    บางปัญหาก็ไม่ทราบจะช่วยได้อย่างไร


    องค์สัมมาสัมพระพุทธเจ้าของเรา ทรงสอนเรื่อง ทุกข์กับวิธีดับทุกข์ ลองค้นคว้าดูครับ
    พระพุทธรูปนั้นเป็นปริศนาธรรมที่ดีเยี่ยมครับ

    เวลาเรากราบพระพุทธรูป เคยสังเกตุไหมว่าทำไมสายตาของท่านจึงมองทอดลงต่ำ
    ท่านสอนว่าให้มองดูปัญหาที่ใกล้ตัวเราก่อน อย่ามองอะไรที่มันไกลไปครับ


    ส่วนบนศรีษะท่านที่เป็นตุ่มฯไม่เรียบนั้น คือชีวิตคนเราเกิดมา ไม่มีใครเอาดอกกุหลาบ
    มาโปรยให้เราเดินหรอกครับ คือจะต้องพบกับอุปสรรคนานาประการ เป็นธรรมดา


    ส่วนด้านบนแหลมสุด คือตัวปัญญา ที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาต่างฯที่พึงจะเกิดขึ้น แก้ไข โดยใช้สัมมาสติมาเป็นตัวควบคุมปัญญา ทำให้เราเข้าใจถึงที่มาของปัญหานั้นอย่างแจ่มแจ้งและสามารถแก้ใขปัญหาได้ตรงจุด คือดับเสียที่ต้นเหตุแห่งที่มาของปัญหานั้นครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • download buddha.jpg
      download buddha.jpg
      ขนาดไฟล์:
      180.4 KB
      เปิดดู:
      52
    • DSC04700.JPG
      DSC04700.JPG
      ขนาดไฟล์:
      467.4 KB
      เปิดดู:
      70
    • 1 universe.jpg
      1 universe.jpg
      ขนาดไฟล์:
      130.5 KB
      เปิดดู:
      55
    • DSC06073.JPG
      DSC06073.JPG
      ขนาดไฟล์:
      518.3 KB
      เปิดดู:
      55
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2013
  2. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    ขออนุญาตนำไปใช้นะคะท่านอาจารย์

     
  3. บรม

    บรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,163
    ค่าพลัง:
    +3,926
    สาธุครับ พิจารณาได้เข้าใจก็วันนี้
     
  4. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    ด้วยความยินดีครับ ธรรมะเป็นของกลาง สำหรับชาวโลกไม่ควรที่จะสงวนสิทธิ์ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC04700.JPG
      DSC04700.JPG
      ขนาดไฟล์:
      467.4 KB
      เปิดดู:
      75
  5. บรม

    บรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,163
    ค่าพลัง:
    +3,926
    กราบขอบคุณท่านที่นำคำสอนของครูบาอาจารย์มาเตือนสติ
     
  6. ล้อเล่น

    ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649
    กราบอนุโมทนา ท่านอาจารย์คุณป๋า นักเรียนพร้อมปฏิบัติแล้วค่ะ.......
     
  7. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    อย่ายึดติด....

    คำนี้ได้ยินบ่อยๆ เช่นเดียวกับ คำว่า ให้รู้จักปล่อยวาง...
    หลวงพ่อเคยบอกผมว่า ถ้าไม่ยึดเสียแล้ว เรื่องที่จะต้องปล่อยวางก็ไม่มี...
    ท่านยังสอนต่อว่า...
    ผู้ใดเพียรตามดูจิต ผู้นั้นจะพ้นทุกข์...
    .........

    เมื่อทำความเพียรไปตามที่หลวงพ่อสั่งไว้...ก็เห็นจริงตามนั้น...
    เมื่อเห็นสิ่งนั้นๆตามสภาวะความเป็นจริงว่าไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไป มีแล้วหายไป เป็นไปตามกฎของไตรลักษณ์แล้ว ความยึดมั่นถือมั่นจึงยุติ...

    เคยไหม ที่คิดว่า ปล่อยวางแล้ว...แต่มันก็แค่คิด ซึ่งต่างจากรู้ และต่างจากเห็น...
    บ้างก็เที่ยวพูดว่า อย่าไปติดยึด...ทั้งที่ ตนนั้น ไปติด ความไม่ติดยึด...ตรงนี้เห็นยาก..
    ต่อเมื่อเห็นความติดยึดแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่ติดยึดในสิ่งใดๆ และไม่ยึดติดในการไม่ติดยึดแล้ว เมื่อนั้น จึงจะปลดภาระลงได้...นี้มีตัวอย่าง...

    ศิษย์พี่ท่านหนึ่ง ได้ถามผมว่า เวลากลับไปบ้านแม่ที่นครสวรรค์ ในเทศกาลไหว้เจ้านั้น คนที่บ้านก็ยังยึดติดกับการต้องจุดธูป ตัวเองนั้นเมื่อปฏิบัติธรรมมา จึงเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นต้องไปจุดธูปเพื่อไหว้เจ้าก็ได้ เมื่อจิตถึงก็ถึงได้ ณ ตรงนั้น เรื่องการจุดธูปนั้นไม่จำเป็น ก็เป็นเรื่องเถียงกันระหว่างพี่กับแม่....ถามผมว่า เห็นด้วยไหมว่า การจุดธูปนี้ไม่จำเป็นต้องมี...

    นี้สำหรับผู้ปฏิบัติธรรม มีความเห็นว่า การจุดธูปคือการติดยึดในรูปแบบนี้...ก็ถูก...
    และก็สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมเช่นกัน มีความเห็นเช่นนี้ ก็ไปยึดติดกับการไม่จุดธูปนั้นอยู่...
    จึงเป็นการย้ายจากการจับปลายไม้ข้างหนึ่ง ไปจับปลายไม้อีกข้างหนึ่งแทน....
    อันนี้เป็นกันมาก...แล้วก็เข้าใจว่า ฑิฐิของตนนั้น ถูกต้องแล้ว...
    ตรงนี้อันตรายมาก....
    เมื่อพิจารณาเห็นความเป็นจริงของการยึดติดแล้ว ย่อมไม่ยึดติดในสิ่งนั้นอีก...
    และต้องพิจารณาต่อไปอีกว่า ความเห็นนี้แม้จะเป็นธรรมดีก็ตาม ธรรมนี้เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป...จึงพิจารณาวางธรรมนั้นลงเสียอีกครั้งหนึ่ง...

    เมื่อนั้นแล้ว ย่อมไม่มีสิ่งใดให้ยึดถือ ไม่มีแม้แต่คำว่าไม่ยึดถือ หรือยึดถือ ไม่มีคำว่าปล่อยวาง หรือไม่ปล่อยวาง อีกต่อไป สภาวะนี้คล้ายกับสภาวะว่าง แต่แท้จริงแล้ว ว่างก็ไม่เอา ไม่ว่างก็ไม่เอา...เป็นเพียงสักแต่ว่ารู้...สักแต่ว่ามันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น

    ดังนั้นแล้ว เมื่อสังคมหรือหมู่คณะใดประสงค์จะจุดธูป เราก็จุดธูปได้ จุดธูปก็ไม่ได้ยึดในการจุดธูปนั้น แต่อนุเคราะห์ไปตามสมควรแก่สังคมและชุมชนนั้นๆ
    เมื่อสังคมใดหรือหมู่คณะใดไม่ประสงค์จะจุดธูป เราก็ไม่จุดธูปได้ ไม่จุดธูปก็ไม่ได้ยึดในการไม่จุดธูปนั้น แต่อนุเคราะห์ไปตามสมควรแก่สังคมและชุมชนนั้นๆ
    ความขัดแย้ง ขัดข้องใจ หรือกระทบกระทั่งทางวาจา ระหว่างแม่ลูกก็จะไม่เกิด...

    เมื่อวัยเยาว์ผมนี้ติดจะแขวนหลวงพ่อทวด เพื่อป้องกันผี...ก็ยึดท่านไว้...
    เมื่อเจริญกรรมฐานไปแล้ว ก็เห็นว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราติดยึดแต่วัตถุภายนอก...ก็ถอดเสีย...
    ต่อเมื่อเจริญภาวนาไปอีก ก็เห็นว่า การใส่พระด้วยความยึดติดนั้น จะว่าไปก็ผิด แต่การจะถอดพระก็ใช่ว่าจะเป็นการปล่อยวาง แต่เป็นการยึดติดในการปล่อยวาง จะว่าไปก็ยังผิด...
    จนเมื่อหมดแล้วทั้งการใส่พระและการไม่ใส่พระ...เมื่อนั้นแล้วก็กลับมาใส่พระอีกครั้ง ครานี้ก็เข้าใจแล้ว การใส่ก็ไม่ได้ยึด การถอดก็ไม่ได้ยึด จะใส่หรือจะถอดจึงเสมอกัน เสมอกันที่มีสติเป็นผู้รู้....

    ที่จะกล่าวเรื่องการติดยึดนี้ ก็อยากจะเล่าให้ฟังอีกเรื่องหนึ่ง เพื่อพอเป็นอุทธาหรณ์

    เมื่อครั้งเดินจงกรมจนหนังกำพร้าหลุด เวลาจะขึ้นบันไดก็ลำบาก เจ็บฝ่าเท้ามาก ต้องใช้มือยึดราวบันไดไว้แน่น ค่อยๆก้าวทีละขั้น เพราะกระดานไม้แห้งๆ จะดูดน้ำยางที่เท้าไว้ติดแน่น จึงก้าวขึ้นบันไดได้อย่างช้าๆ...

    ผมต้องยึดราวบันไดเอาไว้ แล้วยึดบันไดข้างที่ 1 เอาไว้ ไม่งั้นผมจะไม่สามารถก้าวขั้นไปบันได ขั้นที่ 2 ได้ เมื่อผมยึดบันไดขั้นที่ 2 ได้แล้วผมก็ถอนเท้าออกจากขั้นที่ 1 แล้วก้าวไปหาขั้นที่ 3 มือก็ขยับตามขึ้นไป....
    ผมทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงพื้นชั้น 2 ....
    ผมเห็นอย่างนี้ว่า ถ้าผมไม่ยึดบันไดขั้นที่ 1 ไว้ผมจะไปถึงขั้นที่ 2 ไม่ได้ ต่อเมื่อถึงขั้นที่ 2 แล้วผมจึงทิ้งบันไดขั้นที่ 1 แล้วถ้าผมไม่ยึดขั้นที่ 2 ไว้ให้มั่น ผมก็จะไม่สามารถขึ้นต่อไปขั้นที่ 3 ได้....

    ดังนั้นใครที่เอะอะอะไรก็จะปล่อยวางท่าเดียว ท่านก็ต้องลองไม่ต้องยึดบันไดขั้นที่ 1,2,3.... กระโดดทีเดียวไปชั้น 2 เลย...ไม่ต้องหัดคัด ก.กา ข.ขา..ไปเรียน ปริญญาเอก สอบเอาจบเลย...

    ก็นึกเอาว่าท่านที่ชอบเอะอะ อะไรก็ปล่อยวางๆท่าเดียว...พวกนี้นี่ถ้าตายไป ต้องไปเจอกับผมในนรกเมื่อไรนะ ผมจะหัวเราะให้ฟันร่วงหมดปากให้ดู....

    บางอย่างก็ต้องรู้จักยึด....ยึดเพื่อปล่อย...
    ไม่ใช่อะไรก็จะปล่อยวาง...กันท่าเดียว...

    คนที่เขาไม่ยึดแล้วนั้น เขาไม่พูดหรอกว่าเขาไม่ยึดแล้ว...
    เพราะเขาไม่ยึด แม้กระทั่งอาการไม่ยึดเขาก็ไม่มีอีกแล้ว..
    มันก็ไม่มีอะไรให้พูดถึงอีก...
    ที่ยังพูดว่าปล่อยวางๆ...หรือเที่ยวบอกว่า อย่าไปยึดมั่นถือมั่น...
    คนจำพวกนี้น่ะตัวยึดเลยนะ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2013
  8. mukmik

    mukmik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,143
    ค่าพลัง:
    +10,382
    เห็นด้วยกับข้อความ "อย่ายึดติด" เป็นที่สุดค่ะ...เพราะได้ยินบ่อยมาก
    เชื่อว่า หลายคนอาจใช้จนเคยชิน และอาจกลายเป็น.. "เสพติด" ..ไม่รู้ตัว ^^
     
  9. ล้อเล่น

    ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649
    555555 ท่านอาจารย์คุณป๋า 5555555555
     
  10. pong-sit

    pong-sit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,626
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,781
    บทความของคุณกินใจผมมากๆครับ เรื่องการปล่อยวาง


    ซึ้งเลยครับ....
     
  11. จริงจังนะ

    จริงจังนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +11,536
    ป๊ะป๋า เขียนได้สะจายยยยยยยย.........
     
  12. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    เล่าเรื่องความโง่ของตัวเองให้ฟังดีกว่านะ...ประสาคนที่ยังหลงทางอยู่...

    ผมนี่เป็นคนกลัวผีมาตั้งกะเด็กๆ กลัวมากๆ ....
    เวลาฝึกสมาธินี่ ถ้าเห็นผีกันในสมาธิมันไม่กลัว เพราะว่า อารมณ์มันทรงตัวอยู่...
    แต่เวลาเดินจงกรมเพื่อเจริญสติ ตามดูจิตนี่มันอีกแบบหนึ่ง...
    บริเวณเดียวกัน กลางวันเดินได้ กลางคืนดันกลัว...
    ตกลงนี่กลัวผี หรือว่า กลัวความมืด หรือคิดว่ามันมืดแล้วจะมีผีมาหลอก...

    น่าจะสักเที่ยงคืนเห็นจะได้...
    ออกจากกลดไปทำจงกรม...
    หมาเห่ากันทั้งวัด...
    วิ่งมาดูคนบ้า...
    เดินไปก็กลัว ใจมันร้อง กัวๆๆๆๆ.....
    ถามว่ากลัวอะไร...มันบอกว่ากลัวผี...
    กลัวผีทำไม....ผีมันจะเข้ามาบีบคอข้างหลัง....
    มันบีบคอแล้วทำไม....อ้าว..ก็ตายน่ะสิ....
    แล้วถ้ามันไม่บีบคอนี่ แกคิดว่าแกจะไม่ตายหรืออย่างไร....
    อยู่ดูมันไปจนเห็นว่าผีที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตมันอยู่ในจิตเรานี่เอง...
    แล้วมันก็บอกว่า ขึ้นเถอะ (ที่พักคือระเบียงกุฏิ อยู่ชั้น2น่ะ)...
    เห็นอย่างนี้แล้วก็ไม่ขึ้น...เดินต่อ...คือเดินให้มันตายไปข้างนึงก็ไม่ยอมมัน...


    งั้นก็ไม่เป็นไร เดินต่อไปฝึกต่อไปละกัน....ก็เฉยๆนะ...เดินต่อไป...
    ความจริงแล้วจะเดินต่อไปฝึกต่อไปก็ได้ หรือจะหยุดเดิน ขึ้นไปเข้ากลดก็ได้...
    เมื่อเห็นอาการอย่างนี้แล้วก็สงบยืนอยู่ที่หัวทางเดินจงกรม...พิจารณาแล้วก็ก้าวเดินออกไป..
    เดินไปได้สัก 2 ก้าว เห็นจิตมันเกิดความรู้สึกยินดีขึ้นมาแว๊บนึง...จึงรู้ว่าแย่แล้ว...เสร็จมัน..
    ว่าแล้วก็ถอยกลับมาที่ทางเดินจงกรมใหม่แล้วเริ่มเดินใหม่อีก...คราวนี้มันร่ำร้อง ทุรนทุราย กระสับกระส่ายแล้ว...ทรมานแล้วนะ...กิเลสมันร้องแล้ว....

    เรายอมตายแล้วนะ การเดินทางมาปฏิบัติธรรมครั้งนั้นก็ไม่ได้คิดว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปอยู่แล้ว เอามันให้ตายไปข้างนึง...
    ทำมันไปจนมันหมดร้อง หมดกระสับกระส่าย...
    ก็ยังไม่ไว้ใจอยู่อีก...เวลาจะเดินออกจากทางจงกรมก็พิจารณาอยู่ เมื่อเดินไปได้อีก ก็อาศัยสติตามดูจิต และก็ระมัดระวังว่า นี้ไม่เป็นการกดข่ม หรือเป็นอาการเพ่งของจิต..
    เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรกระทบถึงแล้วก็ล้างเท้า มุดเข้ากลด ระหว่างนั้นก็ไม่ได้พักวางสติ สมาธิแต่อย่างใด ยังคงเพียรตามดูจิต ระมัดระวัง จนกระทั่งล้มตัวลงนอนก็ยังตามดูว่ายังมีอาการกระเพื่อมของจิตหรือไม่...

    ถ้าแม้นว่ายังกระเพื่อมสักเล็กน้อยก็จะลุกออกไปอยู่ในทางเดินจงกรมเหมือนเดิม แต่ก็ไม่เกิดอาการใดๆ ไม่ว่ายินดี หรือยินร้าย, ทั้งยินดีและยินร้าย, ทั้งยินดีก็ไม่ใช่ยินร้ายก็ไม่ใช่..มันไม่มี...เวลานั้นรู้สึกสมเพชตัวเองมาก...เรานี่ถูกหลอกมาคงจะนับอสงไขยกัปป์ นับไม่ถ้วน นี่แม้ว่าเราจะรู้ทันสักครั้งหนึ่งที่กิเลสมันหลอกเราไม่ได้...แต่ก็ไม่สามารถกำจัดให้สิ้นไปได้ เผลอสติอีกเมื่อใด ก็คงจะถูกมันขย้ำต่อไปอีก...พิจารณาแล้วก็นอนไม่หลับยังคงเจริญสติอยู่อย่างนั้น...

    ภายหลังได้ยินหลวงตาบัวกล่าวว่า "อวิชชาผ่องใสอย่างยิ่ง" ก็ซึ้งใจกับคำกล่าวท่านยิ่งนัก...เรามันก็ยังฝึกมาน้อยนัก แม้จะพอรู้เห็นได้บ้างแต่ก็ไม่สามารถจะจำกัดความในสิ่งที่เห็นออกมาเป็นภาษาได้อย่างพ่อแม่ครูบาอาจารย์เลย...ดังนี้แล้วเรื่องจะไปสอนใครคงยังสอนไม่ได้แน่..หากใครอยากฝึกอยากเรียนก็ให้ศึกษาเอาจากที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้นั้น ไม่ผิดแน่ จะฟังเอาจากปุถุชนเยี่ยงเรานี้ เห็นจะไม่ได้เรื่องแน่...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2013
  13. ล้อเล่น

    ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649
    ล้อเล่นก็หลงทางเหมือนท่านอาจารย์คุณป๋าแระ...........แต่อ่อนด้อยเยอะเปรียบ 1 กับล้านจร้า............
    อ่านของคุณป่าเข้าใจง่าย คงมิใช่เหตุบังเอิญดอก จึงได้พบเจอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2013
  14. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีโอกาสพบรุ่นพี่ท่านนึง ซึ่งเมื่อ สิบกว่าปีก่อน ผมได้ให้หนังสือ ทิพย์อำนาจ ของหลวงปู่เส็ง ปุสโสไป...พี่ท่านนี้เล่าว่า หลังจากนั้นก็เริ่มสนใจศึกษาพระธรรม ได้ร่ำเรียนจนจบ นักธรรมเอก...ได้เดินทางไปที่อินเดีย ไปยังสังเวชนียสถานต่างๆ ไปเจริญภาวนา และได้มีโอกาสพบครูบาอาจารย์ หลายองค์ มีหลวงพ่อจำเนียร เป็นต้น...พี่ผู้หญิงท่านนี้ ท่านบอกว่า เมื่อศึกษาไปแล้วนั้น ท่านชอบสวด เหตุปัจจโยมาก...สวดได้ทั้งวัน ทำอะไรอยู่ก็สวดไป....แล้วก็เล่าเหตุการณ์หนึ่งให้ฟังว่า...

    ด้วยผลของการปฏิบัติหลายปีที่ผ่านมาทำให้กลายเป็นคนที่ยอมคนได้ มีฑิฐิน้อยลง ดังมีเหตุการณ์หนึ่ง ที่พี่ท่านนี้ จองที่นั่งที่ใกล้ธรรมมาสต์หลวงพ่อ ที่โคนต้นโพธิ์ ประเทศอินเดีย เพื่อรอฟังเทศน์ แต่บังเอิญว่าคนที่ต้องการมานั่งนั้น เขาไปนั่งข้างหลังเสียแล้ว พี่คนนี้เห็นว่าไม่มีคนนั่งแล้ว จึงขอให้น้องผู้หญิงคนหนึ่ง หยิบอาสนะ ให้หน่อย....

    น้องผู้หญิงคนนี้ หยิบอาสนะขึ้นมาแล้ว พนมมือท่วมหัว พูดออกมาด้วยเสียงอันดังว่า "หากข้าพเจ้าได้เคยเป็นขี้ข้ารับใช้คนผู้นี้มาก่อนแล้ว ขอให้กรรมที่เคยทำไว้นี้จงหมดสิ้นกันเท่านี้" พี่คนนี้แกว่าแกตกใจมาก ไม่นึกว่าการไหว้วานเท่านี้จะทำให้น้องผู้หญิงคนนี้เกิดอารมณ์ได้ถึงเพียงนี้ พี่คนนี้เล่าว่า พี่ก้มลงกราบขอโทษเขาเลยนะ ว่าไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ขุ่นข้องใจใดๆ หากการว่าพี่ทำอะไรที่ไม่บังควรไปพี่ก็กราบขออภัยไว้ที่นี้ ขอโปรดอโหสิกรรมให้ด้วย...

    พี่ท่านนี้เล่าว่า คนที่นั่งอยู่ละแวกนั้นเขายกมือโมทนาพี่กันใหญ่นะ...
    ซึ่งหากเป็นสมัยก่อนที่ยังไม่ได้เข้าวัด ถ้าลองเจอแบบนี้รับรองว่า มีเรื่องใหญ่แน่..
    แรงมาก็แรงไป...
    เล่าจบก็เช่นเคย หันมาถามความเห็นผมว่า...คุณคิดว่าอย่างไร????

    ผมเองก็โมทนา และยินดีด้วย ที่พี่สามารถระงับอาการโกรธได้ ไม่ตอบโต้...
    แต่...
    การระงับนี้เป็นเพียงเพื่อหวังให้ผู้อื่นยกย่อง สรรเสริญ เพื่อให้ผู้อื่นกล่าวถึง ให้ได้คำชื่นชม...
    นี้มิใช่การเจริญภาวนา นี้ไม่ใช่เป็นไปเพื่อการละ...
    ไม่เป็นไปเพื่อการสงบ ระงับ...


    "การประพฤติพรหมจรรย์นี้ เราไม่ได้ทำเพื่อลาภ สักการะ คำเยินยอ สรรเสริญ หรือให้ผู้ที่จากไปยังคิดถึงเราอยู่...
    แต่การประพฤติพรหมจรรย์ของเรานี้ เป็นไปเพื่อการ ลด ละ เบื่อหน่าย คลายกำหนัด ออกจากกาม เป็นไปเพื่อการประพฤติพรหมจรรย์ของเราให้ยิ่งๆขึ้นไป"


    เล่าเรื่องนี้ให้ฟังก็เพื่อให้มองเห็นว่า สำหรับผู้ใคร่ในธรรมแล้ว พึงระวังให้ดี อย่าคิดว่าตัวเองนั้นแน่แล้ว อย่าคิดว่าเที่ยงแล้ว คิดอย่างนี้เมื่อไรบรรลัยทันที...

    ครูบาอาจารย์ถึงเตือนนัก เตือนหนาว่า "มันไม่แน่"
    ก็หวังว่าเรื่องเล่านี้จะพอได้เตือนสติท่านนักปฏิบัติ และน้อมเข้ามาเพื่อเป็น โอปนายิกธรรม...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2013
  15. *ธรรมดา*

    *ธรรมดา* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +924
    ท่านอาจารย์คุณป๋า....ฝากตัวด้วยครับ
     
  16. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... เพราะเหตุใดหนอ ความเสื่อมนี้จึงบังเกิด ไม่ว่าใครต่างก็ต้องเจอ ... เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ทุกครั้ง เหมือนว่าเคยมีอยู่ แต่ไร้ตัวตน ... ความเสื่อมนี้บังเกิดเพราะกรรมที่เราทำในทุกภพทุกชาติใช่หรือเปล่าคะ
     
  17. ล้อเล่น

    ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649
    เอ่ ท่านอาจารย์คุณป๋า กลับทู้ม่ายถูกแหง๋เล้ย....555555555
     
  18. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    กระทู้หลงทางก็เงี๊ยะแหละนะ...
    กว่าจะหากระทู้เจอก็นานซะหน่อย...

    คนเรานี่ก็แปลกนะ
    เวลายังไม่ได้ทิพยจักขุญาณ ก็อยากได้ ฝึกแล้วฝึกอีก ลำบากอย่างไรก็ยอม...
    พอได้ทิพยจักขุญาณแล้ว ก็อยากได้ อภิญญา ฝึกแล้วฝึกอีก ลำบากอย่างไรก็ยอม...
    พอได้อภิญญาแล้ว ก็อยากให้ทรงอยู่อย่างนั้นนานๆ ไม่เสื่อม...
    ต้องการให้เป็น นิจจัง สุขขัง อัตตา...
    ผมก็เคยรู้สึกอย่างนี้เหมือนกันนะ...
    การจะรักษาไว้นั้น แม้ต้อง รักษาศีล 5 กรรมบท 10 ทรงพรหมวิหาร 4 บำเพ็ญบารมี 10 ทรงฌาณเอาไว้ให้ได้ตลอดเวลา...ไม่ว่าต้องทำอย่างไรก็สู้ทำมันหมด...ทำมันไปด้วยความอยาก....

    สัพเพธัมมา อนัตตา....
    ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน...

    ย้อนไปดูในอดีตชาติ หลายๆชาติ ก็ฝึกจนได้อภิญญา มาแล้วนับชาติไม่ถ้วน...
    แต่พอตายแล้วเกิดใหม่ก็ต้องมาฝึกกันใหม่ทุกชาติ...ไม่มีชาติไหนเกิดมาแล้ววิชชาทั้งหลายครบถ้วน...
    ไม่ใช่แต่เราคนเดียว...
    ตอนเจ้าชายสิทธัตถะประสูติ ก็ไม่ได้มีอภิญญา สมาบัติใดๆ ติดพระวรกายมาด้วย...
    ยังต้องมาฝึกกับพระฤษีทั้งสอง....

    พระอริยะเจ้าทั้งหลายท่านก็เป็นมาแบบนี้เหมือนกันหมด...
    ทั้งนี้เพราะ อภิญญาสมาบัตินี้ แม้จะเป็นสิ่งที่ทำได้ยากในโลก ก็ยังหนีไม่พ้นกฎของไตรลักษณ์...

    มีหลายวาระที่เคยพิจารณาว่า...
    เมื่อหลวงพ่อฤษีเล่าเรื่องพระอัสสชิ อาพาธหนัก จนเข้าสมาบัติใดๆไม่ได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปโปรด พระอัสสชิ กราบทูลว่า ความเป็นอรหันต์ของท่านคงเสื่อมเสียแล้ว...
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า เธอเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเธอไหม...
    พระอัสสชิทูลว่า ไม่พระเจ้าข้าฯ...
    (ข้อความอื่นๆที่ถามซ้ำๆนั้นคงหาอ่านได้จากบันทึกที่หลายท่านรวบรวมไว้แล้ว)
    นี้แสดงว่า อภิญญา สมาบัติเสื่อมได้...แต่อรหัตตผล ไม่เสื่อม...

    เมื่อครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธ์ แล้วนั้น พระกัสสป มหาเถระ ก็ไม่ได้ใช้ทิพยจักขุญาณเพื่อให้ล่วงรู้ จะรู้ก็ตอนที่เห็นดอกไม้สวรรค์ร่วงลงมา แล้วถามเอาจากชาวบ้าน...นี้คือไม่ใช่ว่าท่านไม่มีอภิญญา แต่ท่านไม่ได้สนใจแล้ว...

    ท้ายที่สุดที่ผมเห็นคือ พระเทวฑัต ท่านได้อภิญญา 5 แบบเต็มกำลังเสียด้วย แต่ว่าไม่สามารถบรรลุธรรมได้ แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหนทุกคนทราบดี...
    นี่ก็เป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่า อภิญญาไม่ได้ช่วยให้ท่านรอดพ้นจากอเวจีมหานรกได้...

    นักปฏิบัติอย่างผมนี่ สมัยก่อนก็อยากฝึกมากครับ เพราะว่าอยากเด่นอยากดัง อยากเอาไว้โอ้อวดเขาว่า เรานี่เก่งกว่าเขา เรานี่แน่กว่าเขา...
    จนเมื่อไปเจอพระเทวฑัตท่านเข้าที่อเวจีมหานรกแล้วก็ต้องกลับมาพิจารณาเสียใหม่...
    กำลังจากอภิญญานี่ก็ดีเหมือนกัน เอาไว้ใช้เพื่อเอื้อต่อการพิจารณาเข้าภูมิวิปัสสนา แต่ว่าหากไม่ใช้เพื่อการลด ละ เลิก เสียแล้ว อภิญญานี่น่าจะมีโทษเสียมากกว่าประโยชน์...หันมาเอาทางสติดีกว่าไหม...เอามหาสติปฐาน 4 เอาให้สุดก่อน แล้วค่อยว่ากันเรื่องอภิญญาก็ยังไม่สาย

    แต่ทั้งๆที่เห็นว่า อภิญญาสมาบัตินี้ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา...
    สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ควรหรือที่จะยึดว่าเป็นเรา เป็นของของเรา ว่าตัวว่าตนของเรา..
    แม้เห็นเช่นนี้แล้ว คนโดยมากก็ยังไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมเข้าใจ ยังอยากจะติด จะลุ่มจะหลง แล้วก็เสียเวลาไปกับ ธรรมที่ไม่เที่ยงเช่นนี้ สิ้นภพสิ้นชาติ ไม่รู้จักเบื่อหน่ายจริงๆ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2013
  19. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    สมัยหนุ่มๆ ผมมีเรื่องอุปมาอุปไมยไว้เรื่องหนึ่ง...
    เรื่องใบไม้ในกำมือ...เวอร์ชั่นผมเอง...

    ธรรมดาของใบไม้นั้น เราทุกคนก็รู้ว่า โดยมากแล้วย่อมมีสีเขียว...
    มนุษย์เป็นอันมาก เหมือนดั่งคนหลับตามาตั้งแต่เกิด....
    ผู้คนทั้งหลายย่อมรู้กันอยู่ว่า ใบไม้สีเขียว แม้หลับตาอยู่ เมื่อมีผู้เด็ดเอาใบไม้มาใส่ไว้ในมือ แล้วถามว่า มันคืออะไร ก็สามารถตอบได้ว่าใบไม้...
    ถามว่าใบไม้สีอะไร ก็ตอบได้ว่า สีเขียว เพราะสัมผัสได้ถึงความสด...
    เมื่อถามว่าสีเขียวเป็นอย่างไร...นี่ก็สุดแท้แต่ แต่ละท่านจะมีโวหารอันน่าพิศวง เพียงใด..
    เราผู้ยังหลับตาอยู่ฟังแล้วก็ให้เกิดอาการทึ่งในโวหารนั้นๆ...ได้จำแล้วเอาไว้พูดเล่าต่อๆกันไป...
    เมื่อนั้นเองก็ย่อมมีผู้ถกเถียงกันด้วยโวหารต่างๆมากมาย...
    ให้หาวิธีหลายๆวิธีในการพิสูจน์ โดยวิธีการต่างๆ เพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์ความเชื่อของตน...
    จึงแบ่งออกเป็นหมู่เป็นคณะ มากหลาย...

    ต่อเมื่อผู้ปฏิบัติ ได้เห็นสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นแก่จิตของตนแล้ว ธรรมอันปราศจาก เหตุ ไม่มีปัจจัยใดๆ เกี่ยวเนื่อง ไม่มีภาษา ย่อมไม่มีชื่อ ย่อมเป็นไปโดยธรรมของธรรมนั้นๆเองอยู่..
    เปรียบไปจึงเหมือนบุคคลผู้กำใบไม้ไว้ในมือ...
    แล้วลืมตาขึ้น...
    จากนั้นจึงแบมือออก...
    จึงได้เห็นแล้วว่า "สีเขียว" เป็นเช่นไร...
    ความสงสัยทั้งหลายทั้งปวงย่อมหมดสิ้นไป ณ ที่แห่งนั้น...
    แต่หากจะอธิบายให้คนทั้งหลายที่ยังหลับตาอยู่ให้เข้าใจนั้น ย่อมไม่สามารถทำได้...
    ความสิ้นสงสัยนี้ย่อมเกิดขึ้นเฉพาะตน...
    แม้จะมีผู้อื่นว่าไม่ใช่บ้าง ใช้ภาษาอื่นมาสมมติเรียกขึ้นบ้าง คนผู้ตื่นแล้วเห็นแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว และฑิฐินี้ย่อมไม่เปลี่ยนแปลงไปได้ เหมือนเมล็ดข้าวเปลือกที่กระเทาะและหุงจนสุกแล้ว จะไม่สามารถกับไปเพาะให้งอกใหม่อีกได้ เป็นการสิ้นแล้วจากความสงสัย...

    ดังนั้นการรู้ธรรม จึงแตกต่างจากการเห็นธรรม โดยสิ้นเชิง แม้จะเป็นธรรม ธรรมเดียวกันก็ตาม...
    และแม้ว่าคนผู้นั้นจะหลับตาลงอีกครั้ง ก็ไม่ทำให้ความสงสัยเกิดขึ้นได้อีก และไม่ทำให้ความสิ้นสงสัยนี้สิ้นสุดลง ดังนั้นแล้วจึงคล้ายกับการที่พระอัสชิ เสื่อมจากฌาณ แต่ก็ไม่เสื่อมจากธรรมที่ได้บรรลุแล้ว...

    และในท้ายที่สุดแล้ว ธรรมอันใดที่ได้บรรลุแล้ว ก็เป็นแต่เพียงเสมอญาณคือเครื่องรู้ เพื่อให้ละ จนถึงที่สุด ธรรมทั้งหลายทั้งปวงก็เป็นของคู่โลกนี้ ย่อมวางลงเสีย แล้วจึงเดินจากไป

    เรื่องธัมมะนี้จึงเป็นของแปลก...
    คนรู้น้อย มักจะพูดมาก...
    คนรู้มาก มักจะพูดน้อย...
    คนรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว มักจะไม่พูด...

    นี่เหมือนผมคนหลงทาง จึงพูดมาก...เพราะยังเป็นผู้หลงอยู่...
    จึงได้เขียนเรื่องราวของ การหลงทางเหล่านี้...
    เอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจ...
    เพื่อไม่ให้ผู้ปฏิบัติทั้งหลายต้องหลงทางอย่างผมเท่านั้นเอง...
     
  20. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    เรื่องอภิญญา หลวงพ่อ พระอาจารย์เทพ ถาวโร ท่านเคยปรารภว่า
    จะหาทางนำมาประยุคใช้ให้เกิดประโยชน์ สุงสุด ในทางพระพุทธศาสนา
    และเป็นการยืนยันว่าทุกท่านสามารถที่จะทำได้ ถ้ามีความเพียรพอ และ ท่านที่ได้อภิญญาคือ ท่านที่มีโอกาสมากที่สุด ในทางปฏิบัติ เพราะพระอริยะสงฆ์ ก่อนที่จะเข้าถึงความเป็นพระอริยะนั้น หลายท่านล้วนแต่เป็นผู้ทรงใว้ ซึ่ง  อภิญญามาก่อนทั้งสิ้น ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC08915.JPG
      DSC08915.JPG
      ขนาดไฟล์:
      526.9 KB
      เปิดดู:
      66
    • DSC08412.JPG
      DSC08412.JPG
      ขนาดไฟล์:
      483.6 KB
      เปิดดู:
      77

แชร์หน้านี้

Loading...