สำหรับใครที่รู้สึกสับสน เบื่อหน่ายในช่วงนี้นะ....

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย magic_storm, 29 ตุลาคม 2007.

  1. magic_storm

    magic_storm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    464
    ค่าพลัง:
    +3,053
    ผมก็มีบทความดีๆ จากเว็บๆหนึ่งมาแนะนำให้อ่านกัน เป็นเรื่องของคนๆหนึ่งที่ก็คงคล้ายๆกับพวกเรานี่ล่ะ ที่เบื่อหน่ายเสียจริงกับชีวิต อยากบวช อยากไปนิพพานเร็วๆ

    เรามาอ่านบทความของเขากันดีกว่า ว่าคนๆหนึ่งเขามีวิธีคิดอย่างไร เหมือนเรามากน้อยแค่ไหนนะ แต่สำหรับผมแล้ว คล้ายมากเลยล่ะครับ
     
  2. magic_storm

    magic_storm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    464
    ค่าพลัง:
    +3,053
    01 เดิมที



    เดิมทีผมเป็นคนช่างคิดมากมาย ชอบคิดหาเหตุผล
    แม้ภายนอกดูเป็นคนพูดไม่เก่ง แต่ภายในชอบโต้แย้ง
    ภายนอกอาจจะดูง่ายๆ ไม่ค่อยต่อต้านอะไร
    แต่ภายในชอบต่อต้าน แอบเป็นนักปฏิวัติอยู่ในใจ



    กับเรื่องศาสนา ก็มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกขัดแย้งไม่เห็นด้วย
    พิธีกรรมต่างๆ การสวดมนต์ ใหว้พระ ผมมักชอบแอบคิดอยู่คนเดียวว่าช่างไร้สาระเหลือเกิน
    ยิ่งคนที่ทำไปเพราะหวังว่าจะได้บุญ หวังว่ามันจะช่วยอย่างโน้นอย่างนี้ ยิ่งรู้สึกว่าไร้สาระ

    ธรรมะของพุทธศาสนา ส่วนใหญ่ผมก็เห็นด้วย แต่ผมก็รู้สึกว่า
    หนังสือธรรมมะเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก ถึงมากที่สุด
    แม้ผมค่อนข้างจะเป็นหนอนหนังสือ แต่ก็ไม่คิดจะหยิบหนังสือธรรมะ
    มาอ่านเล่นเหมือนหนังสือเล่มอื่นเลยสักนิด



    02 จุดเปลี่ยน



    จุดเปลี่ยนของชีวิตเกิดขึ้น ในช่วงหนึ่งในชีวิตที่ผมรู้สึกเจ็บช้ำเสียใจมากๆ
    ผมรู้สึกรัก พิศวาสปราถนาในคนๆหนึ่งมาก มากจนปล่อยให้ตัวเองทำเรื่องที่ก็รู้อยู่แล้วว่าเลวมาก
    และความเลวที่ตัวเองทำนั่นแหละเป็นจุดเริ่มต้นที่บีบคั้นให้ตัวเองต้องเจ็บปวดเสียใจเอง

    และในช่วงนั้นเอง ที่ไม่รู้เหมือนอะไรดลใจให้หยิบหนังสือของท่าน "พุทธทาส" มาอ่าน

    ผมก็อ่านไปพร้อมกับนิสัยเดิมๆ คืออ่านไป
    เมื่อเห็นประโยคใหนที่ไม่เห็นด้วยก็จะคิดแย้ง เถียงอยู่ในใจ
    แล้วพอเริ่มอ่านประโยคถัดไป เป็นข้อความที่เถียงกับที่เราเพิ่งคิดไปอีกที
    และมักเป็นเหตุผลที่ผมเห็นว่ามันถูกต้องยิ่งกว่าที่ตัวเองเพิ่งเถียงไป

    เหมือนกับท่านพุทธทาสรู้ล่วงหน้าว่าถ้าพูดอย่างนี้
    จะมีคนนิสัยขวางโลกอย่างผมมาเถียงอย่างนี้
    การโต้เถียงในใจเกิดขึ้นเรื่อยๆระหว่างการอ่าน
    เป็นการอ่านหนังสือแล้วรู้สึกสนุกมากๆ
    สนุกยิ่งกว่าการอ่านหนังสือเล่มใด ๆ ที่เคยอ่านมาก่อนหน้าทั้งหมด

    ส่วนเรื่องความรัก หลังจากยืดเยื้อมานาน ผมก็ตัดใจในที่สุด
    และให้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ไปขอคืนดีกับเค้าอีก
    ถ้าคบกันแล้วมันเจ็บนักก็สละมันไป เริ่มต้นชีวิตใหม่

    แต่ก็แปลก ....
    ตอนที่เราไขว่คว้าอยากได้สิ่งที่ตัวเองรัก อยากได้ความสุข ชีวิตกลับมีแต่ความทุกข์ใจ
    แต่เมื่อตั้งใจสละทิ้งไป ไม่คาดหวังอะไรกับมันอีกแล้ว ความสุขกลับวิ่งเข้ามาหาเราเอง

    สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น อย่างกับว่า
    หลุดออกมาจากข้อความที่เคยอ่านแบบผ่านๆมาหลายรอบ
    ในหนังสือธรรมะทั่วๆไป




    03 บวช



    หนังสือของท่านพุทธทาสอาจจะเหมาะกับคนจริตนิสัยแบบผม
    จากคนไม่สนใจศาสนาเลย ก็เริ่มสนุกกับการอ่านหนังสือธรรมะของท่าน
    ผมเริ่มเลื่อมใสในศาสนามากขึ้น

    สิ่งที่เคยคิดว่าไร้สาระก็ไม่ได้รู้สึกต่อต้านอีกต่อไป แม้หลายสิ่งจะเป็นเพียงเปลือกนอกที่ดูไร้สาระ
    แต่สังคมมนุษย์ก็อยู่กันได้ด้วยเปลือก ตัวเราเองและคนส่วนใหญ่ก็สร้างเปลือกนอก
    ปิดบังอำพรางตัวตนจริงเพื่อให้ดำรงอยู่กันได้ในสังคม
    พิธีกรรมทางศาสนาหลายเรื่องที่เราเห็นว่ามันเปลือกที่ดูไร้สาระก็ช่วยรักษาแก่นของธรรมมะ
    ให้อยู่มาได้แม้ผ่านมาหลายพันปี และบางเรื่องที่เราเห็นว่าเป็นเปลือก จริงๆแล้วมันอาจแทรกสิ่งที่สูงล้ำค่าที่ซึ่งเราไม่เคยตระหนักถึง

    ผมตั้งใจแน่วแน่ว่าจะบวช ก็ตัดสินใจบวชที่วัดชลประทาน
    เพราะเห็นว่าหลวงปู่ ปัญญานันทภิกขุ เจ้าอาวาส ก็เป็นพระที่น่าเลื่อมใสอย่างแท้จริง
    อีกทั้งยังเป็นสหายทางธรรมกับท่านพุทธทาส

    ช่วงแรกๆที่เริ่มบวช พระพี่เลี้ยงก็สอนนั่งสมาธิแบบให้ตามรู้ตัวกับสิ่งต่างๆ
    ไม่ว่าจะเป็นความคิด ความรู้สึก และอะไรก็ตามที่ประสบในขณะนั่ง

    ช่วงที่บวชก็มีโรคทางกายมาเบียดเบียนบ้าง แต่เหมือนโรคภัยจะมาได้ถูกเวลา มาช่วยสอนให้ฉลาดขึ้น
    ในช่วงเวลาที่เท้าแพลง มันกลับทำให้เรารู้ตัวทุกย่างก้าว
    ในช่วงเวลาที่เป็นอีสุกอีใส มันกลับทำให้เรารู้สึกตัวทั่วผิวไปทั้งตัว
    และก็แปลกที่เมื่อเรารู้ว่าทั้งตัวมันคันๆยิบๆ แล้วลองตามรู้อาการนั้นอย่างเป็นกลางไม่ยินดียินร้าย
    มันเหมือนกับว่า ความทุกข์ทางกายมันอยู่แยกไปจากตัวเรา ไม่ได้ทำให้ใจเราทุรนทุราย
    ตัวมันคันยิบๆ แต่ใจกลับเบาสบายโดยไม่ได้เสแสร้ง ไม่ได้รู้สึกอยากเการึไปทำอะไรกับที่คันนั่นเลย

    ช่วงที่อยู่สวนโมกข์ รู้สึกสบายอกสบายใจกับการอยู่กับธรรมชาตินานๆ ผ่อนคลายสบายอกสบายใจ
    นั่งสมาธิแล้วแม้จะมีฟุ้งซ่านบ้างแต่ก็รู้สึกสงบร่มเย็นดีทั้งกายและใจ
     
  3. magic_storm

    magic_storm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    464
    ค่าพลัง:
    +3,053
    04 เบื่อโลก



    พอสึกออกมา กลับมาใช้ชีวิตวุ่นวายในโลกตามปกติ
    เมื่อกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ผมไม่สารถนั่งสมาธิให้รู้สึกสุขสงบเย็นสบายได้อีกเลย
    ชีวิตดูเหมือนจะดีพร้อม แต่ผมกลับเริ่มรู้สึกเบื่อๆกับชีวิตที่ผ่านไปแต่ละวัน
    ยังเคยมีคนบอกว่าอิจฉาผม ที่งานสบาย เงินเดือนเยอะ ครอบครัวมีความสุข
    มีเพื่อนซี้ที่ดีมาก สมหวังในความรัก ชีวิตได้เจอแต่อะไรที่ดีๆ
    ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คงคิดว่าเงินไม่เห็นจะเยอะเลย คนอื่นเยอะกว่านี้มีตั้งเยอะ อยากได้เยอะๆกว่านี้
    แต่ในตอนนั้นกลับรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่รู้จะไขว่คว้าหาข้าวของ เงินทอง เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆไปทำไม
    เรื่องความรัก ความผูกพันกับคนอื่น ก็เริ่มรู้สึกว่าก็ดี แต่ก็รู้สึกว่าก็เท่านั้น...

    เวลาที่เราอยากได้ ไขว่คว้า ไม่ว่าจะได้มามากเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกว่ามันจะพอสักที
    ได้แล้วอยากได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ได้พอแล้วก็เริ่มอยากได้อย่างอื่น ก็ใช้ชีวิตดิ้นรนไขว่คว้าไปเรื่อยๆ
    แต่พอเรารู้สึกว่าทุกอย่างที่มีมันพอแล้ว ไม่อยากได้อะไรมากไปกว่านี้แล้ว
    ก็จะมาเกิดคำถามแปลกๆกับตัวเองว่า ชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร
    หานู่นหานี่มากมายไปเพื่ออะไร ได้มาแล้วก็เท่านั้น งั้นๆ
    สุดท้ายแล้วสักวันก็ต้องสิ้นสุดที่การพลัดพรากจากกันในที่สุดแน่นอนอยู่ดี
    ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปทุกวันนี้ทำไปเพื่ออะไรกัน สักวันเดี๋ยวก็ตาย


    ตอนนั้นเริ่มเบื่อหน่ายชีวิต แต่ก็ไม่ใช่ตลอดเวลา เป็นแค่รู้สึกลึกๆในใจในบางที
    เล่าให้เพื่อนบางคนฟังบ้าง แต่เพื่อนส่วนใหญ่ แฟน และ ครอบครัว ก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้
    เพราะไม่ได้แสดงอาการอะไรแปลกไปให้ใครรู้
    ยังทำตัวเหมือนเดิมๆ ยิ้มแย้มแจ่มใสร่าเริงกับทุกคนเหมือนเดิม
    ยังเป็นคนดีบ้าง ดื้อบ้าง บ้าบอบ้าง เหมือนเดิม

    มีความรู้สึกในใจลึกๆว่าอยากกลับไปบวชอีกครั้ง
    เพราะเหมือนแอบคาดหวังว่าการบวชจะทำให้ความรู้สึกเบื่อหน่ายนี้หมดไป
    แต่ก็ยังรู้สึกตัดใจจากพันธะทั้งหลายไม่ได้เลยไม่ได้ตัดสินใจบวชอีกครั้ง


    05 ตามรู้กายตามรู้ใจ



    ก็แก้เบื่อด้วยการอ่านหนังสือธรรมะมาเรื่อยๆ เพราะอ่านแล้วสนุกไปกับมัน
    เริ่มอ่านผลงานของหลายๆท่าน ก็เห็นว่า ความไม่ยึดมั่นถือมั่นนั้น
    ไม่ได้หมายถึงการหนีโลก ไปอยู่ถ้ำ หรืออยู่รู ให้พ้นจากสังคม
    ไม่มีที่ไหนจะหนีจากสังคมได้ ถ้าบวชเพราะเบื่อโลก
    ก็อาจจะต้องไปใช้ชีวิตเบื่อๆต่ออยู่ในวัด หากไม่รู้จักวิธีดับความเบื่อ
    ทุกข์อยู่ตรงใหนก็ดับลงเสียตรงนั้น
    ทุกข์อยู่ที่ใจก็ดับลงไปตรงๆที่ใจ

    ผมเริ่มหาที่เป็นแนวปฏิบัติมาอ่านก็เริ่มพบว่ามีวิธีที่เหมาะกับทุกคน
    แม้คนที่ไม่ได้บวช คนที่อยู่ในเมือง ที่เรียกว่า สติปัฎฐาน

    แล้วก็เริ่มเข้าใจว่าการนั่งสมาธินิ่งๆเงียบๆ หรือการจงใจกระทำอะไรๆให้จิตใจสงบนั้นเรียกรวมว่า การทำ"สมถะ"
    การทำ สมถะมีมานานแล้ว มีมาก่อนพระพุทธศาสนา
    ใช้สถานที่และสภาพแวดล้อมที่สงบควมคุมตัวเองให้เข้าสู่ความสงบ
    เป็นความสงบแบบสูญเสียความรู้สึกตัวและการตื่นตัว
    มันอาจจะช่วยให้ใจเราสงบในตอนนั้น
    เมื่อเลิกทำก็กลับมาฟุ้งซ่านเหมือนเดิมหรือมากไปกว่านั้น

    ส่วนการทำ"วิปัสนา" ปฏิบัติกิจภาวนาบนฐานการเคลื่อนไหว ทำทุกอย่างด้วยความรู้สึกตัว ความตื่นตัว
    เราจะปฏิบัติปลุกเร้าธาตุรู้ให้ตื่นขึ้น แล้วความสงบอีกแบบหนึ่งจะปรากฏ คือสงบด้วยอำนาจของความรู้ตัว
    การปฏิบัติไม่เกี่ยวกับท่าทาง และอิริยาบถใด ไม่ต้องเสแสร้งอะไร แค่ตามรู้เท่านั้น
    ในขณะที่เราทำอยู่ คนอื่นจะไม่รู้เลยว่าเราทำอยู่ เพราะก็ยังเห็นว่าเราก็ยังใช้ชีวิตตามปกติเหมือนเดิมตลอดเวลา


    ลองปฎิบัติแบบเอาจริง แต่ให้ไม่ต้องทำจิตให้เคร่งเครียด รู้สึกสบายด้วยจิตที่ง่ายดายเป็นปกติตามธรรมชาติ



    06 สิ่งที่เกิดขึ้น





    เมื่อเห็นว่าโลกภายนอกมันเริ่มน่าเบื่อ ก็เข้ามาค้นหาภายในใจเราเอง
    เมื่อได้ปฏิบัติ ก็เหมือนชีวิตยังมีอะไรให้ค้นหาอีก ความเบื่อก็จางคลาย
    แล้วเมื่อเริ่มรู้สึกว่าอะไรบางอย่างในใจเปลี่ยนแปลง ก็ไม่รู้สึกเบื่ออย่างที่เคยอีก


    สิ่งที่ผมทำ ผมไม่ได้คาดหวังว่าตัวผมจะกลายเป็นคนดีขึ้น หรือว่าจะเลวลง
    ผมแค่อยากลองค้นหาอะไรบางอย่างให้ชีวิต


    ตัวผมเองก็แค่เริ่มปฎิบัติไม่นาน ไม่กี่เดือน
    ก็เริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างที่แปลกไป ซึ่งก็ยากจะอธิบาย
    ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็คงเหมือนอะไรบางยังที่มันเคยพันยุ่งเหยิงในใจค่อยๆคลายออก
    แม้ว่าแต่ละวันมันคงค่อยๆคลายเกลียวออกมาวันละนิดจนสังเกตไม่เห็น
    แต่ในแต่ละเดือนจะรู้ว่ามันคลายออกมากกว่าที่เคยจนสังเกตได้

    แต่นี่ก็เป็นแค่การเริ่ม คงมีเกลียวอีกมากมายมหาศาลที่ยังคงพันยุ่งเหยิง
    รู้แต่ว่าเรายังคงเดินทาง เกลียวในใจมันค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปทีละนิด

    ตัวผมก็ยังทำตัวแบบเดิมๆ นิสัยส่วนใหญ่ก็คล้ายเดิม
    ใครเคยเห็นว่าดียังไงหรือเลวยังไง ก็คงจะยังเห็นว่าดีและเลวอย่างนั้นเหมือนเดิม

    สิ่งที่เกิดในใจของใคร ก็มีเพียงคนนั้นที่รู้
    สิ่งที่เกิดในใจผม คนอื่นไม่รู้
    เมื่อผมเล่าเรื่องในใจ ผมอาจจะโม้กุเรื่องขึ้นเองคิดไปเองหรือเปล่า คนอื่นก็คงไม่รู้
    ถ้าอยากรู้ก็ต้องลองเอง พิสูจน์ด้วยตัวเอง ลองปฎิบัติตามรู้กายใจไปเรื่อยๆ
    หากไม่มีอะไรผิดพลาด เมื่อลองไปได้สักระยะจะเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างในใจของตัวเอง
     
  4. magic_storm

    magic_storm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    464
    ค่าพลัง:
    +3,053
    07 เมื่อไหร่จะ "บรรลุ"



    บางทีผมก็อยาก "บรรลุ" อะไรบางอย่าง

    แต่หนังสือธรรมะหลายแขนงบอกว่า จริงๆแล้วไม่มีอะไรต้องบรรลุ
    มันเป็นเพียงเข้าถึงจิตเดิมแท้ที่มีมาแต่เดิมของเรา
    บางเล่มก็บอกว่า ความอยากที่จะบรรลุนั่นแหละเป็นตัวปิดกั้นการบรรลุ

    ใครจะตั้งชื่อเรียกมันว่า นิพพาน, การเข้าถึงพระเจ้า หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตามแต่
    มันเป็นการเข้าถึงความธรรมดาที่อยู่ต่อหน้าตาตลอดเวลาอย่างอิ่มเอิบ
    สังเกตภายนอก คนที่เข้าถึงสิ่งเหล่านี้ก็อาจจะดูไม่ต่างจากคนอื่นๆ
    แต่สิ่งที่เกิดในใจนั้นจะเกิดสิ่งที่ลึกล้ำอธิบายเป็นคำพูดให้คนอื่นรู้เห็นตามด้วยไม่ได้
    เหมือนกับการที่เราไม่สามารถอธิบายรสหวานให้คนที่ไม่เคยรู้รสหวานให้เข้าใจรสนั้นอย่างแท้จริงได้
    จะหาคำพูดไพเราะสวยหรูเพียงใดก็ไม่มีทางรู้ จนกว่าจะสัมผัสด้วยตนเอง

    มันเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ พระพุทธเจ้าค้นพบวิธีเข้าถึงจึงพยายามเอามาบอกต่อ
    ถ้าแค่ลองปฎิบัติตามก็มีโอกาสเข้าถึง ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เชื้อชาติใด ศาสนาใด หรือแม้แต่จะไม่ถือศาสนาใดเลย

    ที่เขียนมานี้ก็ใช้สมองอันโง่เขลาของตัวเองจำๆที่อ่านมา เอามาสรุปตีความเอาเอง
    จะจริงแท้อย่างไรผมก็ยังไม่รู้ แต่ถ้าเราไม่เริ่มเดินค้นหา เราก็ไม่มีวันจะรู้



    08 ชักชวนให้ลอง



    คนบางคนอาจจะลองเจริญสติปัติฐานโดยไม่รู้ตัวมาแล้วก็ได้
    โดยเฉพาะกับนิสัยภายนอกที่สุดโต่งทางอารมณ์ อย่างโกรธง่าย ร้องให้ง่าย หวาดกลัวง่าย
    หากตามรู้สิ่งอารมณ์เหล่านี้ตามจริงอย่างเป็นกลางหลายครั้งไปเรื่อย
    นิสัยเหล่านี้จะเริ่มเหือดหายไปเอง

    หากลงมือปฏิบัติ ตามรู้กับทุกสิ่งตามจริง ความเบิกบานจะมาเติมเต็มชีวิตแทนอารมณ์อื่นๆ

    อย่าได้เชื่อในสิ่งที่ผมมาโม้ให้ฟัง
    แต่ลองพิสูจน์ด้วยการลงมือทำเองจริงๆ
    และรอดูผลที่เกิดขึ้นจริงๆกับตัวเองดีกว่า




    09 หนังสือธรรมะไม่ช่วยอะไร



    วันก่อนตอนคุยกะแฟน ผมก็เถียงแฟนเล่นๆตามปกติ
    แฟนผมซึ่งก็รู้เห็นอยู่แล้วว่าช่วงนี้ผมบ้าอ่านหนังสือธรรมะ
    ก็บอกผมว่า "หนังสือธรรมะไม่ช่วยอะไรเลย"
    ผมก็เลยตอบว่า "แล้วหนังสือธรรมะต้องช่วยอะไรล่ะ"

    อันที่จริงแล้วหนังสือเหล่านั้นมีส่วนเปลี่ยนแปลงชีวิตผมในช่วงหลังนี้อย่างมาก
    แต่หากใครคาดหวังว่าอ่านหนังสือแล้วจะทำให้คนเปลี่ยนแบบฉับพลันทันที ก็คงไม่เป็นอย่างที่หวัง


    แทบทุกคนก็คงจะรู้สึกว่า ความรัก มิตรภาพ เป็นสิ่งสวยงาม
    บทกลอน บทเพลง บทความ หนังสือ ภาพยนตร์ ทั้งหลายก็ช่วยปลุกเร้าให้รู้สึกเช่นนั้น
    หลายครั้งหลายทีก็จะสร้างภาพให้มันสวยงาม โอเว่อร์เกินจริง
    เมื่อคนเรารู้สึกให้ค่ากับความรัก หรือ มิตรภาพ มากมายจนเกินจริง
    เมื่อเจอความจริงที่ไม่เป็นดังฝันก็เจ็บปวดเสียใจ
    จนอาจทำให้การให้อภัยคนที่เราเคยรัก หรือ คนที่เคยเป็นเพื่อนสนิท
    จะยากยิ่งกว่าการให้อภัยศัตรู

    ความรัก และ มิตรภาพ เป็นสิ่งที่ดี
    แต่ถ้าเราคาดหวังหรือเรียกร้องอะไรจากมันมากเกินไป
    ความคาดหวังนั้นเองจะเป็นตัวทำลายความรักและมิตรภาพ
    และเมื่อมันถูกทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า
    ก็จะทำให้เราสุญเสียความศรัทธาในความรัก และมิตรภาพ

    ธรรมะ ก็เป็นเหมือนความรัก และ มิตรภาพ
    เราถูกคนรอบข้างสอนมาตั้งแต่เด็กเล็ก ว่ามันเป็นสิ่งวิเศษสูงส่ง
    ทำให้หลายๆคนรู้สึกว่ามันอยู่ห่างใกล ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องในชีวิตประจำวัน
    เราไปยึดติดกับคำภีร์ที่ใช้ภาษาโบราณอย่างภาษาบาลี
    ทำให้หลายๆคนรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเฉพาะทางเข้าไม่ถึง ทั้งๆที่มันเป็นความจริงที่เรียบง่าย
    เราไปยึดติดกับบุญ เมื่อใดทำบุญ เราจะโลภอยากได้บุญ
    เมื่อเราไหว้พระเราจะอฐิษฐานขอโน่นขอนี่ให้สมใจตัวเอง
    และส่วนใหญ่มักจะไม่ได้อย่างที่ขอ

    เรื่องหลายอย่างทำให้คนส่วนใหญ่สูญเสียความศรัทธาไป
    แม้จะถูกสอนมาให้ไม่กล้าแม้แต่จะคิดลบหลู่ศาสนา แต่ก็แอบหน่ายและต่อต้านลึกๆในใจ
    เห็นว่าหนังสือธรรมะเป็นของน่าเบื่อ รู้สึกลึกๆว่าไม่มีประโยชน์และสาระที่น่าอ่าน
    เมื่อใดเห็นใครเริ่มหันมาอ่านหนังสือธรรมะ ก็แอบรู้สึกว่าเค้าคงเริ่มไม่ปกติ
    (ส่วนตัวผมเองไม่ค่อยปกติอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนเริ่มอ่าน [​IMG] อิ อิ อิ)


    10 ส่งท้าย



    ผมเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าใครที่มาอ่านในสิ่งที่ผมเขียนในนี้แล้วจะเปลี่ยนความคิดหรือเปลี่ยนใจมาลองทำแบบผม
    ถ้าใจยังไม่รู้สึกถึงบางอย่าง สิ่งนี้ก็จะยังดูไม่น่าสนใจเท่ากับอะไรอื่นๆอีกมากมายในชีวิตที่น่าทำน่าค้นหามากกว่า


    แต่วันใดวันหนึ่งที่คุณเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับอะไรต่างๆในชีวิต
    เมื่อยิ่งค้นหายิ่งท้อใจไม่ได้เสียที หรือ เมื่อได้สิ่งที่ค้นหามาแล้วก็เริ่มรู้สึกว่าก็เท่านั้น
    สิ่งที่ผมเขียนในที่นี้ อาจจะไปปรากฎในใจคุณตอนนั้น เป็นการเพิ่มทางเลือกให้ชีวิตคุณอีกทาง
    ให้รู้ว่าทางเลือกทางนี้ก็มีอยู่ ซึ่งคุณจะเลือกทางนี้หรือทางใหนๆอื่นใดมันก็แล้วแต่ตัวคุณเอง
     
  5. magic_storm

    magic_storm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    464
    ค่าพลัง:
    +3,053
    เนื้อหาก็เห็นว่าดีเหมือนกันน่ะครับ อาจจะมีขัดๆบ้างสำหรับผม แต่ก็โอเคเหมือนกัน เลยอยากให้ได้อ่านกันครับ ลองใช้สติปัญญาของเราพิจารณาไปด้วยนะครับ ว่าอันไหน เราควรจะนำไปปรับใช้กับเราบ้าง อันไหนเป็นความคิดดี อันไหนเป็นความคิดถูก อันไหนคิดผิด

    ที่ออกตัวอย่างนี้เพราะเนื่องจากเป็นข้อความที่เขียนมาจากความคิดของมนุษย์เราเอง ถ้ามีผิดอยู่ ก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ เพราะผมไม่อยากเผยแพร่สิ่งผิดๆ ไม่อยากบาปครับ จึงอย่างให้ท่านทั้งหลายใช้ปัญญาพิจารณาไปด้วยครับ
     
  6. nai_sit

    nai_sit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +166
    ลักษณะอาการอย่างนี้ ผมว่าน่าจะเกิดกับหลายๆคน ที่เป็นมนุษย์ยุคใหม่
    ที่ต้องดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างเร่งรีบ โดยที่ไม่รู้ว่าธรรมมะ อยู่ใกล้ๆตัวเรานี่เอง
     
  7. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    อนุโมทนากับข้อความดีๆนะคะ
    เห็นด้วยและอยากให้ คนที่ชอบธรรมะตีความง่ายๆให้ได้ยังงี้ทุกคน
    เพราะทุกคนมีวิจารณญาณหากนำมาแลกเปลี่ยนและช่วยกันตีความ

    มันก็คงจะดีไม่น้อย...เพราะหลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว(ถึงมีจะขัดเเย้งกันบ้าง)
    แต่ก็ดีกว่าอ่านเพื่อท่องจำหรือปฏิบัติตามๆกันเป็นกระเเส

    ความรู้สึกตัวเอง จริงๆแล้ว ธรรมะ ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวจริงๆ
    อย่างที่คนทั่วไปเข้าใจหากเรานำมาปรับใช้กับตัวเราเองจนเป็นสันดาน
    เพราะนิสัยเปลี่ยนได้แต่ถ้าศึกษาเเละปฏิบัติจนเป็นจิตสำนึกจะช่วยให้เรามีสติ

    หากสามารถนำมาประยุกต์ใช้และทำความเข้าใจ
    มนุษย์ปุถุชน ที่เดินอยู่ตามท้องถนนก็สามารถอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข

    เหมือนกันกับทีเข้าใจว่าการเจริญสมาธิเพื่อช่วยให้เราไม่ ฟุ้งซ่าน
    ไม่เฉพาะเจาะจงแค่สวดมนต์ นั่ง นอน ยืน เดิน หรือกรรมฐานในวัดเท่านั้น
    จะเป็นการเล่นหมากรุก, อ่านหนังสือ, ขับรถ, เล่นกีฬา,ทำสวน,เล่นดนตรี
    การมีสติจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งนึงก็สามารถช่วยทำให้จิตสงบได้เช่นกัน

    ถ้าอ่านสรุปคำว่า นิพพานจากครูบาอาจารย์ทั้งหลาย
    นิพพาน = ดับกิเลส
    เพราะฉะนั้น นิพพาน ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเป็นเรื่องจริง
    แต่....จะมีสักกี่คนที่สามารถ
    ดับความรู้สึกและความปราถนาของอารมณ์
    ความต้องการในสิ่งเย้ายวนในสังคมปัจจุบันได้เท่านั้นเอง

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้ง่ายๆก็คือ พยายามรู้สติตลอดเวลา
    เราจะได้ไม่พลั้งเผลอทำอะไรที่ต้องทำให้ตัวเองและคนอื่นเสียใจ
    ในภายหลังนะจ๊ะ .....การที่เราอยู่ในสังคมต่อให้เราไม่ทำอะไร
    ก็ย่อมมีคนนำพาเรื่องมาให้เรา ปวดหัวตลอดเวลา
    (โดยเฉพาะ คนใกล้ตัว...ต้องท่องพุทโธไว้ก่อน)
     

แชร์หน้านี้

Loading...