จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    แสงสว่างเสมอด้วยปัญญานั้นไม่มี​

    แสงสว่างทุกชนิด ย่อมส่องสว่างไปได้แต่เพียงที่สามารถส่องได้เท่านั้น เช่น แสงของพระอาทิตย์ย่อมสว่างได้แต่กลางวันเท่านั้น...แต่แสงสว่างแห่งปัญญาย่อมสามารถส่องสว่างให้ทะลุปรุโปร่งไปได้หมด ไม่มีอะไรสามารถปิดกั้นได้ ถ้าจะเจริญให้ถึงที่สุดก็สามารถจํากัดความมืดที่แสงสว่างแห่งธรรมดาไม่สามารถทําได้ ก็มีแต่แสงสว่างแห่งปัญญาเท่านั้นที่จะกําจัดความมืด เช่น อวิชชา ให้แจ่มแจ้งเห็นทางแห่งอริยมรรคจนถึงความพ้นทุกข์ไปได้...
    ที่มาหนังสือ นักธรรมและธรรมศึกษา
     
  2. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ธรรมเหมือนห้วงนํ้าไม่มีตม​

    ธรรม แปลว่า สภาพอันทรงไว้ซึ้งผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว แยกประเภทออกเป็น ๒ ประเภท คือ กุศลธรรมและอกุศลธรรม แต่จะกล่าวเฉพาะในกุศลธรรมเท่านั้น ได้แก่ ธรรมอันขาวบริสุทธิ์สามารถชําระจิตใจที่สกปรกให้ขาวสะอาดบริสุทธิ์ได้ ตามสติกําลังของผู้ประพฤติปฏิบัติซึ้งก่อให้เกิดประโยนช์และความสุขในโลกนี้และโลกหน้า ตามสมควรแห่งการปฏิบัติ เปรียบเหมือนห้วงนํ้าที่ไม่มีเปลือกตม สามารถที่จะนํามาดื่มกินและทําประโยนช์ได้ด้วย ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า ธรรมได้แก่ "เวทนา สัญญา สังขาร มนะ ใจ" ได้แก่ วิญญาณ "วิญญาณ"เป็นเป็นประธานแห่งธรรมทั้ง ๓ คือ เวทนา สัญญา สังขาร ความรู้สึกทุกข์ สุข ไม่สุข ไม่ทุกข์ หรือความจําในอารมณ์ มีรูปเป็นต้น หรือความคิดดี คิดชั่ว คิดไม่ดี คิดไม่ชั่ว จะมีเกิดขึ้นมีความรู้แจ้ง คือใจเป็นประธาน คือเป็นปัจจัยให้ธรรมทั้ง ๓ เกิดขึ้น ถ้าใจไม่เกิดขึ้นธรรมทั้ง ๓ นั้นก็ไม่เกิดขึ้น ใจจึงเป็นใหญ่ในธรรมทั้งปวง...
    ที่มาหนังสือ นักธรรมและธรรมศึกษา
     
  3. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    วิญญาณธาตุเป็นอย่างไร คืออะไร


    หลวงพ่อฤๅษี ท่านเมตตามาสอนเรื่องนี้ไว้ มีความสำคัญดังนี้

    ๑. วิญญาณธาตุ หมายถึง ระบบประสาทสัมผัสทั้ง ๖ อายตนะ ๖ หรือประตูทั้ง ๖ ของร่างกาย อันมีระบบประสาทรับรู้ของตา - หู - จมูก - ลิ้น - กาย โดยมี ใจหรือจิตเป็นผู้รับรู้

    (สมองเป็นหนึ่งในอาการ ๓๒ ของร่างกาย เป็นศูนย์รับระบบประสาทสัมผัสของร่างกาย ซึ่งทำงานของมันอยู่เป็นปกติ เกิดดับๆ อยู่เป็นสันตติธรรม ผู้ที่ไปรับรู้เรื่องของสมองก็คือจิต จะเห็นได้ชัดเจนตอนร่างกายถูกดมยาให้สลบ หรือใช้ยาสลบ ร่างกายทุกส่วนก็สลบ รวมทั้งสมองด้วย แต่จิตไม่สลบ ยังคงรู้อยู่เป็นปกติ มิได้สลบตามร่างกาย จุดนี้ผู้ปฏิบัติธรรมได้ขั้นสูงเท่านั้น จึงจะรู้และเข้าใจได้)

    ๒. วิญญาณธาตุตัวนี้แหละเป็นตัวสร้างอารมณ์สุข (พอใจ) สร้างอารมณ์ทุกข์ (ไม่พอใจ) ให้เกิดแก่ร่างกาย

    ๓. บุคคลใดเอาจิตไปเกาะอารมณ์ทั้งสองแล้วหลงคิดว่า สุข-ทุกขเวทนาของกายนี้มีในเรา เป็นของเรา (เราคือจิตไม่ใช่กาย) มีในเขา เป็นของเขา แต่พอร่างกายมันตาย อารมณ์เหล่านี้ซึ่งเกิดจาก วิญญาณธาตุ ก็ตายไปพร้อมกับกาย

    ๔. แต่จิตไม่เคยตาย จิตเป็นอมตะ ผู้ตายคือร่างกาย พร้อมวิญญาณธาตุ อันตรายอันใหญ่ยิ่งอยู่ที่จิตไปยึดเกาะติดวิญญาณธาตุ เกาะอารมณ์สุข-ทุกข์ว่าเป็นเราเป็นของเรา เอาเวทนาของกายมาเป็นเวทนาของจิต นี่แหละคือตัว สักกายทิฎฐิ ตัวอวิชชา

    ๕. เพราะแยกกาย - เวทนา - จิต - ธรรม ให้ออกจากจิตไม่ได้ สักกายทิฎฐิก็ตัดไม่ได้เช่นกัน

    (ขออธิบายสั้นๆ ว่า กาย - เวทนา ๒ ตัวแรก เป็นเรื่องของร่างกาย กายหรือรูปกายปกติของมันก็ เกิดดับๆ เป็นสันตติธรรม เป็นปกติของมัน เวทนาอาศัยกายอยู่ เมื่อกายเกิดดับๆ เวทนาก็ย่อม เกิด - ดับๆ ตามกาย ๒ ตัวนี้ต้องมีสติกำหนดรู้อยู่เสมอ หากไม่กำหนดรู้ มันก็ไม่รู้ว่ามันเป็นทุกข์ของกายไม่เกี่ยวกับจิต ต้องกำหนดรู้ตลอดเวลา)

    ส่วนจิต หมายถึง เจตสิก คือ อารมณ์ของจิต ซึ่งปกติไม่เที่ยง เกิด - ดับๆ ๆ อยู่เป็นสันตติธรรมเช่นกัน สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ไม่ควรยึดว่ามันเป็นเราเป็นของเรา

    ส่วนธรรมก็ เกิด - ดับ ๆ ๆ ไม่เที่ยง ใครยึดเข้าก็เป็นทุกข์ทันที แบบเดียวกันกับเจตสิก

    สำหรับจิต คือ เรานั้นเป็นผู้รู้ เป็นผู้รับรู้เรื่องของธรรม ๔ ตัวนั้น คือ กาย - เวทนา - จิต - ธรรม มันเกิด - ดับๆ อยู่ตลอดเวลาคนละส่วนกับเราคือจิต ในการปฏิบัติที่ถูก จึงต้องรู้สักเพียงแต่ว่ารู้ รู้แล้ววางๆ ๆ ไม่ยึด - ไม่เกาะ - ไม่ปรุงแต่งไปตามสิ่งที่ตนรู้นั้นๆ





    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,031
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    "เงาสะท้อนใจ"

    ข้อคิดดีๆที่ได้อ่านมาจากหนังสือลายแทงแห่งความสุข ของพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี


    เราใส่น้ำเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องน้ำ

    ...เราใส่พระพุทธรูปเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องพระ...

    เราใส่เครื่องมือปรงอาหารเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องครัว

    เราใส่เครื่องนอนเข้าไป ก็จะกลายเป็นเครื่องนอน

    เราใส่ชุดรับแขกเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องรับแขก

    เราใส่บุคคลสำคัญเข้าไป ก็กลายป็นห้องวีไอพี

    ห้องแห่งหัวใจของเรา ก็ไม่ต่างอะไรกับห้องว่างเปล่าทีกล่าวมา
    เราใส่อะไรลงไปในหัวใจเราก็เป็นอย่างนั้น
    มหัศจรรย์แห่งจิต จิตเป็นนาย กายคือบ่าว เราคุมจิตได้ ถือว่าเยี่ยม

    “ชีวิตที่ไม่ผ่านการทดสอบ นับว่าเป็นชีวิตที่ไม่คุ้มค่าแก่กี่ดำรงอยู่”

    “มิตรที่ไม่เคยผ่านการทะเลาะ ย่อมยากจะหยั่งรากลึกเป็นมิตรแท้”

    “คนรักที่ไม่เคยฝ่าฟันความลำบากมาด้วยกัน ยากที่รักนั้นจะยั่งยืนเป็นนิรันดร์”

    “ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ควมเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด”

    หลักคิด ๗ แบบ ความสุข ความทุกข์ในชีวิตของคนเราขึ้นอยู่กับวิธีคิดของเราเป็นสำคัญ
    คิดเป็น ก็เป็นสุข คิดไม่เป็น ก็เป็นทุกข์ การคิดเป็นต้องคิดอย่างมีหลัก ท่าน ว.วชิรเมธี

    ๑.ความคิดดีดี เป็นที่มาแห่งความสุข

    ๒.ปัญญาดี ย่อมมีความสุข

    ๓.เป็นคนดี ย่อมมีความสุข

    ๔.ปฏิสัมพันธ์ดี ก็มีความสุข

    ๕.ทำงานดี ก็มีความสุข

    ๖.มองโลกในแง่ดี ก็มีความสุข

    ๗.ครอบครัวดี ทวีความสุข


    ที่มา...http://www.facebook.com/watbudhapanyanantarama.canada
    **********************************************
    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,031
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    So smart

    ***********************************
    สุดยอดเลยคุณติ้ก นับถือจริงๆ
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,031
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    Come on down

    *********************************
    คุณน้องLinda ลงมาได้แล้ว ตอนนี้กลิ่นสอาดแล้วค่ะ(f)chearr:z12
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ธรรมะจากใจจริง
    การปฎิบัติธรรม ก็คือการประพฤติ การปฎิบัติเพื่อดีงาม เพื่อบุญกุศล ทั้งสามกริยา
    การปฎิบัติธรรม เราต้องปฎิบัติเพื่อตนเองก่อน มิใช่ปฎิบัติเพื่อใครหรือสิ่งใด
    การปฎิบัติธรรม คือการกระทำำความจริงให้ปรากฎขึ้น หรือทำความดีให้เด่นชัด
    การปฎิบัติธรรม ต้องเป็นไปตามปกติ ตามธรรมดา ตามธรรมชาติ ไม่ฝืนใจตนและผู้อื่น
    การปฎิบัติธรรม จึงหมายถึงศีลของตน การกระทำใดๆจะต้องไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น
    การปฎิบัติธรรม ทำแต่กรรมดีในปัจจุบันเท่านั้น ไม่เอาสัญญา ไม่เอาอนาคตมารวมกัน
    การปฎิบัติธรรม มิใช่แค่ให้รู้เฉยๆ ไม่เหมือนการอ่าน การฟังเทศน์ ฟังธรรม
    การปฎิบัติธรรม จะหมายถึงการสำรวมทั้งกาย-วาจา-ใจ เข้าไว้ด้วยกันด้วย

    คนส่วนใหญ่ที่เป็นทุกข์กัน ก็เพราะว่า ไม่ยอมลงมือปฎิบัติธรรม ไม่ยอมค้นหาความจริง
    นักปฎิบัติธรรมส่วนใหญ่ ทำไม่ได้ผล ปฎิบัติไม่ถึงไหน ไม่เจริญในธรรมเท่าที่ควร
    ก็เพราะว่า เวลาปฎิบัติจริงๆ ดันเอาสติไปนำจิต เอาสมองไปเรียนแทนจิต
    ถามว่า..ผู้ปฎิบัติรู้ตัวไหม ตอบว่า..ส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว นอกจากครู ผู้รู้มาเตือน
    แท้ที่จริงนักปฎิบัติธรรมที่ถูกต้องนั้น จะต้องนำจิตไปปฎิบัติหรือเดินมรรค มิใช่กาย
    ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้เท่านั้น เราถึงจะออกจากทุกข์หรือพ้นวัฎฎะตนเองได้
    นักปฎิบัติธรรม จะต้องรู้ตามความเป็นจริงด้วยปัญญา มิใช่แค่คิดนึกหรือตรึกตรองเอง
    นักปฎิบัติธรรม จะต้องมีจุดหมายหรือเป้าหมายปลายทางที่แน่นอน ก็คือ การหลุดพ้น
    ก็เพื่อออกจากทุกข์ หรือออกจากการเวียนว่ายตายเกิดของตนเอง

    คนส่วนใหญ่ที่ไม่ปฎิบัติธรรม มักไปยุ่งเกี่ยว ไปยึดสมมุติกันแทบทั้งสิ้น
    โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ปฎิบัติธรรม มักไม่รักษาศีล ไม่ให้ความสำคัญกับศีลตน
    และไม่ทำกรรมฐาน(สมถะ/วิปััสสนา) หรือไม่ทำภาวนา(สมาธิ)
    ปกติเป็นคนดี แต่คนดีก็อาจจะดีแตกได้ง่าย เพราะตนไม่ทำผิดศีลก่อน
    แต่อาจจะถูกชักจูงพากันทำผิดศีลได้ง่าย เพราะไม่มีอะไรเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ
    ต่อให้ห้อยพระเต็มคอ มีพระพุทธรูปเต็มบ้าน แต่ถ้าจิตใจไม่ยึดพระรัตนตรัย
    หรือถ้าจิตใจไม่มีพระพุทธเจ้าอยู่ภายในจิต ก็ยากที่จะนำพาตนไปในทางที่ดีได้
    กิเลสตัณหาฯของคนเรามันมีกำลังมาก มากกว่ากำลังใจที่อยากปฎิบัติธรรม

    ถึงเราได้ชื่อว่าเป็นนักปฎิบัติธรรมแล้วก็ตาม แต่ถ้าประมาทก็ไม่ต่างกับผู้ไม่ปฎิบัติ
    ผู้ปฎิบัติไม่เอาจริงเอาจัง มีแต่ความศรัทธาอย่างเดียว แต่ขาดความเพียร
    จึงไม่ต่างกับคนโง่ งมงาย ไม่เจริญธรรมหรือไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร
    นี่ยังไม่ได้นับรวมกรรมเก่าที่คอยมาตัดรอน ตัดกำลังใจในการปฎิบัติ
    เพื่อมิให้เราเข้าถึงความดีของตนเอง
    เมื่อไม่มีปัญญาหรือตัวรู้เป็นของตน อันเป็นเหตุเชื่อคนง่าย หูเบา ภายในจิตใจมีแต่ความลังเล
    ความสงสัยเต็มไปหมด เพราะเรายังปฎิบัติไม่ได้ ปฎิบัติไม่ถึง จิตก็เลยยังไม่รวม ไม่เป็นสมาธิ
    ไม่ได้ฌาน ตัวปัญญาหรือตัวรู้เราจึงไม่มี ไม่เกิดเหมือนกับคนอื่นเขา
    มีความศรัทธามากแล้ว จะต้องมีความเพียรมากตามไปด้วย
    ทางที่ดีนักปฎิบัติก็ควรทำอินทรีย์ ๕ ให้สมดุลย์กัน อย่าให้อะไรมันขาดหรือมีมากเกินไป
    เดี๋ยวจะเป็นมนุษย์แปลกหรือไม่เต็มร้อย ไม่เต็มบาท เช่น ถ้าทรงฌานนานมากเกินไป
    หรือติดสุขจากฌาน โดยไม่เอาจิตไปวิปัสสนาให้ขาด
    ขอให้เราสังเกตดูนักปฎิบัติที่ติดฌานมากเกินไป มักจะหนีจากผู้คน ไม่อยากพูดจากับใคร
    การงานก็ไม่อยากจะทำ ทานน้อย นอนก็น้อย พอนานไปก็จะมีผลต่อร่างกาย หน้าตาก็ดูไม่ดี
    หน้าตาเอ๋อๆ หน้าตาเหมือนคนปัญญาอ่อน เพราะมิใช่อิ่มบุญหรืออิ่มทิพย์ แต่อิ่มฌานมากเกินไป
    นั่นก็แสดงว่า ผู้ปฎิบัติท่านนั้นยังเข้าไม่ถึงแก่นธรรมดี คือไม่ถึงมรรค ไม่ถึงผล
    แต่อาจจะถึงแค่จิตในจิต แต่ยังไม่ถึงธรรมในธรรม คือจิตอยู่ระหว่างเดินมรรคยังไม่สุดทาง

    เพราะผู้ปฎิบัติส่วนใหญ่ที่ได้ปฎิเวธ(ผล) มักมีหน้าตาสดใส ดูดีมีสง่าราศี มีความสุข เยือกเย็น เป็นต้น
    เมื่อไหร่เราไม่ยอมเอาจิตไปวิปัสสนาให้ขาด คือการนำจิตไปพิจารณาธรรมให้รู้
    ให้เห็นตามความเป็นจริงแห่งธรรมนั้นๆ จิตเราก็จะละสุขจากฌานกันไม่ได้สักที
    หลักการวิปัสสนานั้น ก็ให้วิปัสสนาตามในสติปัฏฐาน ๔ อริยสัจ ๔ วิปัสสนาญาณ ๙
    แต่ทุกธรรมที่วิปัสสนาก็ให้ตัดลงที่ไตรลักษณ์ให้หมด โดยเฉพาะอนัตตา

    ที่พูดวันนี้คืนนี้ มิได้กล่าวโทษหรือตำหนิผู้ใด เพียงต้องการจะช่วยแก้ไข ปรับปรุงให้ดีขึ้น
    ข้าพเจ้ามีความปรารถนาอยากให้ทุกๆดวงจิตหลุดพ้น โดยเฉพาะความทุกข์ของตนเอง
    มีความปรารถนาอยากให้ผู้ปฎิบัติทุกท่านมีความเจริญในศีล ในธรรม มีจิตใจที่สูงยิ่งๆขึ้นไป
    สำหรับคำว่า หลุดพ้นหรือพระนิพพานนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่ที่กำลังใจของผู้นั้น ว่าจะปรารถนาเช่นไร
    หรือต้องการเป็นพุทธภูมิ พุทธบุตรหรือสาวกภูมิ ก็ตามแต่ใจปรารถนาของทุกท่าน

    ขอให้ทุกท่านสุขกายสบายใจ เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป นอกจากเข้าถึงจิต เข้าถึงธรรมของตนแล้ว
    ต่อไปขอให้ผู้ปฎิบัติทุกท่านเข้าให้ถึงอารมณ์ของพระพุทธเจ้าด้วยเทอญ
    สาธุๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 เมษายน 2013
  8. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    ⊱ ความสำคัญของพุทธวจน ⊰

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=X0gRELeiEu4]ความสำคัญของพุทธวจน - YouTube[/ame]​
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,031
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    ขออนุญาตปิดกระทู้จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

    ***************************************
    ทําเอา"ใจ"หายจนเกือบจะไม่หาย"ใจ" ช่างไม่สงสารคนสวเสียเลย ใจร้ายจริงๆ
    :'(
     
  10. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    ขอแสดงความยินดีและอนุโมทนากับคุณหนุ่มจิตบุญ ดวงที่136 คุณครูผู้สอนทุกท่านและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านด้วยค่ะ ขอท่านจงเจริญทางธรรมยิ่งๆๆขึ้นไปด้้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ....jaah
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ดีพร้อมกับพร้อมดี
    การปฎิบัติธรรมอย่าไปรีรอ เพราะลมหายใจมันไม่แน่นอน แต่ความตายซิแน่นอน
    อย่ารอให้ความดีถึงพร้อมก่อน ไม่มีทาง เพราะมีแต่พร้อมที่จะทำดี เท่านั้น
    ไม่มีใครเกิดมาแล้ว มีดีพร้อมหมด หรือมีศีลครบบริบูรณ์ทุกอย่าง
    ก่อนจะลงมือปฎิบัติ ขอแค่มีความตั้งใจจริงที่จะรักษาศีลของตนก่อน

    การทำความดีนี่จะต้องใช้เวลา เพราะทำดีก็เหมือนการสร้างอะไรสักอย่างนึง
    แต่การทำชั่วนี่ไม่ต้องใช้เวลา เพราะทำชั่วก็เหมือนการทำลายอะไรสักอย่างนึง

    เพราะฉะนั้น การทำดีจึงเห็นผลช้า โดยเฉพาะดีจริงหรือดีแท้ๆ
    สรุปแล้วไม่ว่าเราจะทำดีหรือชั่ว นั่นแสดงว่า มีเจตนาเกิดขึ้นภายในจิตใจเราแล้ว
    เรื่องกรรมเขาดูที่ตัวเจตนาเป็นหลัก เรานี่แหล่ะ จะรู้ดีที่สุด รู้ดีกว่าใครๆด้วย
    กรรมจะเริ่มจดบันทึกไว้ทันที ถ้าเจตนานั้นจบสิ้นลง มีผลทั้งดีหรือชั่ว
    กฎแห่งกรรมเขาบันทึกไว้หมด การลงโทษก็ไม่มีวันผิดตัว งานนี้ไม่มีแพะ
    มีแต่แพะ เรียกหาแม่

    เราอย่าไปหลงตำหนิ หรือไปด่าว่าใครๆเขานะ เพราะมิใช่หน้าของเหล่ามนุษย์
    ที่จะมาบอกว่า คนนั้นถูก คนนี้ผิด ปล่อยให้กฎแห่งกรรมทำหน้าที่ของเขาไป
    กรรมเขาจะทำหน้าที่ทุกลมหายใจ ทุกขณะจิตของเขาอยู่แล้ว อย่าไปทำเพราะเราไม่ใช่พี่เปา
    ตราบใดเรายังมีขันธ์ ๕ ยังถือว่ากายสกปรก จิตใจยังไม่บริสุทธิ์ ยกเว้นจิตอรหันต์(แท้)
    ข้าพเจ้านี่ ก็ยังดีไม่พอหรือยังไม่ดีพร้อม แต่พร้อมดีหรือพร้อมจะเป็นคนดีทุกเมื่อ
    ดีนิดเดียวพอคบได้ แต่ยังดีกว่าคนดี แล้วคบไม่ได้ จบกัน..

    เพราะฉะนั้น การทำดีนั้นจะต้องทำบ่อยๆ ทำให้ต่อเนื่อง เหมือนเราหยอดกระปุกออมสินทุกๆวัน
    เดี๋ยวความดีนั้น ก็ดีพร้อมเข้าสักวันนึงหล่ะน่ะ..
    คุณคือ คนเก่ง!

    ;aa24
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 เมษายน 2013
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอให้ทุกคนเป็นดั่งเพลงนี้กันนะครับ
    สู้ๆๆ
    ความสุขของคนเรานั้นมันแสนสั้น ไม่เหมือนความทุกข์มันช่างยาวนานเหลือเกิน
    ลมหายใจของคนเราก็เช่นกัน ถ้าเปรียบเทียบกับโลกหลังความตาย มันช่างแสนสั้นยิ่งนัก
    อย่าลืม!
    อย่าหายใจทิ้งขว้างกันนะ กำหนดการอยู่ การไปดวงจิตของเราด้วย
    เป็นทุกข์ที่มีชีวิตยังดีกว่า เป็นทุกข์หลังความตาย
    ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ปฎิบัติธรรมทุกๆท่าน
     
  13. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151

    บารมีต้องสร้างเอง

    หลวงปู่แหวน : "พากันลำบากลำบน มากันทำไม?"

    คณะญาติโยม : "ต้องการมากราบ บารมีของหลวงปู่"

    หลวงปู่แหวน :
    "บารมี ต้องสร้างเอา เหมือน อยากให้มะม่วงของตน
    มีผลดก ก็ต้องหมั่น บำรุงรักษาเอา
    ไม่ใช่แห่ ไปชื่นชมต้นมะม่วง ของคนอื่น
    ต้องไปปลูก ไปบำรุงต้นมะม่วงของตนเอง
    การสร้างบารมีก็เช่นกัน ต้องสร้าง ต้องทำเอาเอง"

    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
     
  14. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    "ทำสติ กำหนดรู้ จิตของตนเอง เอาตัวรู้ กำหนดรู้ ที่ จิต นึกว่า พระพุทธเจ้า อยู่ที่ จิต พระธรรม ก็อยู่ที่ จิต พระอริยสงฆ์ ก็อยู่ที่ จิตของเรา เราไม่ต้องไปกังวล กับ สิ่งอื่น"

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
     
  15. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

    การปฏิบัติธรรมให้สังเกตอารมณ์ของจิตใจเป็นสำคัญ อย่าให้เสียท่าต่อกิเลส พึงใส่ใจแก้ไขอารมณ์ของจิตใจเอาไว้เสมอกรรมบางอย่างฝืนได้ กรรมบางอย่างฝืนไม่ได้ มโนกรรม บางขณะเกิดขึ้นอย่างรุนแรง เมื่อระงับได้ ก็พึงดูอาการของการเกิดขึ้น - ตั้งอยู่และดับไป แล้วก็พึงเห็นกองสังขารมันปรุงแต่งอยู่อย่างนั้น ความเป็นสาระในสังขารปรุงแต่งนั้นไม่มี จงอย่ายึดถือว่าเป็นเรา เป็นของเรา พึงละซึ่งอุปาทานขันธ์อย่างจริงจัง แต่ทำไปอย่างสบายๆ อย่าเครียด


    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
    รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
     
  16. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

    การบริโภคอาหารและยา พึงพิจารณาผลที่เกิดคุณและเกิดโทษแก่ร่างกาย เป็นการยังอัตภาพให้เป็นไป มิใช่เพื่อความเอร็ดอร่อย หรือเพื่อความอ้วนพีผ่องใส

    คนส่วนใหญ่กินอาหารด้วยความติดรส กินยาเพื่อหวังจักให้ร่างกาย ไม่ตาย แต่ตามความเป็นจริง อาหารชนิดใด ยาชนิดใดก็ตามไม่สามารถที่จักยับยั้งความแก่ - ความเจ็บ - ความตายของร่างกายไปได้ เพียงแต่ระงับทุกขเวทนา บรรเทาการเสียดแทงของร่างกายไปได้ชั่วคราวเท่านั้น และคนส่วนใหญ่ไม่ชอบกินยา ซึ่งเป็นปกติธรรมของคนทั่วไป

    แต่ถ้าผู้ที่เข้าใจในธรรมปฏิบัติ จักรู้ซึ่งเข้าไปถึงคำว่า ปัจจัย ๔ ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตอยู่ของร่างกาย คำว่ายารักษาโรคจึงต้องอยู่คู่กับร่างกายที่เป็นรังของโรค เมื่อร่างกายมีโรคจึงจำเป็นต้องกินยารักษาโรค เป็นการระงับทุกขเวทนา เป็นการยังอัตภาพให้เป็นไปเช่นเดียวกันกับอาหาร บุคคลผู้ฝืนไม่กินยา ก็คือผู้ไม่ยอมรับความเป็นจริงว่าร่างกายนี้เป็นโรคนั่นเอง ต่างกับผู้ที่รักษาโรคให้กับร่างกาย จักกินยาโดยไม่ต้องฝืนใจ

    ยิ่งรู้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงที่อาศัยชั่วคราว ก็จักทำการเยียวยารักษา โดยไม่ให้เกิดเวทนาเข้ามารบกวนจิตผู้อาศัยร่างกายนี้อยู่ โดยจิตผู้รู้จักทำตามหน้าที่ของผู้อยู่ อันต้องซ่อมแซมบ้านที่ชำรุดทรุดโทรมไปทุกๆ ขณะ กินยาก็คือซ่อมแซมบ้าน โดยที่จิตผู้รู้จักไม่ทุกข์ - ไม่ร้อนไปด้วย บ้านนี้อยู่ได้ก็อยู่ไป แต่ก็รู้อยู่ตลอดเวลาว่า สักวันหนึ่งบ้านนี้พังสลายอย่างแน่นอน ถึงวาระนั้นจิตผู้รู้ก็จักจากบ้านนี้ไปอย่างเป็นสุข มีบ้านอยู่ก็เป็นสุข บ้านพังไป จากบ้านก็สุข พิจารณาปัจจัย ๔ เอาไว้ จักได้มีความสุขทั้งปัจจุบันและสัมปรายภพ

    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
    รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
     
  17. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  18. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  19. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  20. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขออนุโมทนาสาธุ กับ ครูพี่ภู แหม๊...ธรรมทานของท่านนี่ช่างแจ่มแจ้งอย่างหาที่ติไม่ได้เลยถูกตามพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้...และจากที่ท่านได้กล่าวมานั้นผู้เขียนได้เข้าใจเจตนาของท่านว่าท่านได้ห่วงใยพวกเราชาวจิตเกาะพระอย่างจริงใจของท่านแล้วอยากให้พวกเราพ้นจากทุกข์... อย่างถาวรก็มีทางเดียวที่จะพ้นไปได้ก็ปฏบัติตามที่ท่านกล่าวมานั้นแหละ คือธรรมะที่เป็นของจริงผู้ปฏิบัติทําจริงตามนั้นก็มีแต่จะพ้นจากทุกข์เป็นถ่ายเดียว...สาธุ ขออนุโมทนาค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...