***โลสกชาดก คนที่ต้องเศร้าโศก ***

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 3 เมษายน 2013.

  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    **********************
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    เรื่องมีอยู่ว่าในสมัยพุทธกาลมีพระอรหันต์­รูปหนึ่งโลสกติสสะ ตอนที่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา บิดามารดาก็ได้รับทุกข์แสนสาหัส เกิดไฟไหม้แต่ก็ได้รับการเลี้ยงดูจนโลสกเติบใหญ่รู้ความ เมื่อเดินไปไหนมาไหนได้ก็ถูกทอดทิ้งเป็นขอ­ทานอยู่ข้างถนน วันหนึ่งพระสารีบุตรเถระมาเห็นเข้าก็สงสาร พระสารีบุตรได้หยั่งรู้ว่าเด็กคนนี้เคยสั่­งสมบารมีธรรมมาในชาติปางก่อน จึงได้นำตัวมาวัดแล้วให้บวชเป็นสามเณร ต่อมาท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุชื่อโลสกติสส­ะ ภายหลังเจริญวิปัสสนากรรมฐานแล้วบรรลุเป็น­พระอรหันต์ จะมีใครเชื่อหรือไม่ว่า พระโลสกติสสะเถระ ตั้งแต่ท่านเกิดมาจนกระทั่งบรรลุอรหัตผลไม่เคยกินอิ่มแม้สักวัน.

    ..ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น กุศลกรรมนี้เป็นผลมาจากอะไร
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    <object width="853" height="480"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/WOhn4xXMOew?hl=th_TH&amp;version=3&amp;rel=0"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/WOhn4xXMOew?hl=th_TH&amp;version=3&autoplay=1&amp;rel=0" type="application/x-shockwave-flash" width="853" height="480" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></embed></object>
     
  4. ญี่ปุ่น

    ญี่ปุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +564
    ทำบุญดีกว่าไม่คิดจะทำบุญเลย ขอขอบพระคุณจกขท และสมาชิกทุกท่าน รวมถึงแอดมินทุกท่านครับ
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ผมนำเรื่องอานิสงส์การถวายของบางอย่าง มาลง นี้ไม่ใช่เพื่อให้ติดบุญ เมาบุญ

    แต่ เป็นเครื่องอาศัย เป็นเหตุปัจจัยประการหนึ่งที่ทำให้พระอรหันต์รูปหนึ่งท่านบรรลุคุณธรรมดังกล่าวเล่าไว้

    ผู้มีปัญญารู้รอบ ย่อมทราบว่า ในบารมีสิบ นั้นขาดทานบารมีไม่ได้

    บารมีทุกประการจะส่งเสริมกัน เป็นบารมีรวม จนกว่าจะพ้นทุกข์
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ...การทำทาน


    ด้วย .... ทรัพย์ที่หามาได้อย่างสุจริต บริสุทธิ์ ไม่เบียดเบียน

    ด้วย ..... จิตที่เลื่อมใส ศรัทธา ในการอุปัฎฐากผู้ที่มีใจสะอาด ผู้มีคุณ ผู้เป็นเนื้อนาบุญ


    ด้วย......ยินดี ในการแบ่งปัน เจือจาน เพื่อปลดทุกข์ ลดทุกข์ ของชีวิตอื่นประการหนึ่ง


    ด้วย.....ผู้รับ มีความสะอาดบริสุทธิ์ตามลำดับ



    -----ย่อมส่งผลอันเป็นวิบากกุศลต่างกัน แม้ไม่เจตนาจะรับผลแห่งการทำทานนั้น-------
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    แต่ทานศีลยังไม่พอ จะต้องเจริญจิตตภาวนาด้วย เพราะใครก็ตามที่สามารถฟันฝ่าปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ได้ต้องเกิดจากการฝึกฝนอบรมจิตมาเป็นอย่างดี และจิตที่ฝึกมาดีจะทำให้มีความสุขเสมอ

    มีบางคนเกิดมาบนกองเงินกองทองแต่ปัญญาอ่อน พิกลพิการ นั่นเพราะให้ทาน ไม่เคยรักษาศีล

    บางคนรักษาแต่ศีลไม่เคยให้ทาน หน้าตาหล่อเหลาสะสวยแต่ด้อยฐานะ ขาดแคลนปัจจัยดำรงชีพ

    ฐานะดีแต่พอเจอปัญหาก็เอาตัวเองไม่รอดต้องฆ่าตัวตาย นั่นก็เป็นเพราะไม่รู้จักการฝึกจิตภาวนาจนเกิดสติสัมปชัญญะระลึกได้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรควรเจริญ อะไรไม่ควรเจริญ
    อะไรควรทำ เพื่อให้พ้นทุกข์
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    เห็นพระบางองค์ดูลักษณะไม่สำรวม ท่านวนเวียนคอยรับบาตรบ้านคนโน้นคนนี้แล้วก็ถ่ายใส่ถัง ถ้าเราไม่ใส่บาตรพระแบบนี้เราจะเป็นบาปไหมคะ......?



    หลวงพ่อ "บาปเขาแปลว่าชั่ว บุญแปลว่าดี ถ้าเราไม่ใส่ก็ไม่ชั่วตรงไหนนี่ เพราะว่ามันเป็นทรัพย์สินของเรา ถ้าเราให้เขาเขาแสดงอาการ ไม่เป็นที่เลื่อมใส เราไม่ให้ก็ไม่เห็นจะแปลก เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า การให้ทานก็จะต้องเลือกให้เหมือนกัน เพราะผู้รับถือว่าเป็น"เนื้อนาบุญ" ถ้าหว่านพืชลงในนาลุ่มก็ท่วมตาย ถ้าดอนเกินไปน้ำไม่ถึงก็ตายต้องหว่านในเนื้อนาที่เหมาะ ถ้าเราเห็นนามันไม่ควรเราก็ไม่ให้ ทำไม่เหมาะไม่สม ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ถ้าให้ก็เป็นการเลี้ยงโจร
    แต่ว่าถ้าพูดถึงทานการให้เจตนาเราจะตั้งอย่างไรก็ตาม ตัวนี้มันเป็นผล ตัดโลภะอยู่ตลอดเวลา ส่วนใหญ่จริง ๆ ที่มีอานิสงส์สูงสุดคือตัดโลภะ ความโลก เพราะคนที่มีความโลภนี้ให้ทานไม่ได้ เงินที่จะให้ทานได้นี่มันตัดความสุขของเจ้าของ หากว่าเจ้าของเขาไม่ให้ เขากินเขาใช้ก็มีความสุข เขาอุตส่าห์ตัดความสุขของเขาส่วนนี้ออกไป เป็นการตัดโลภะ ความโลกเป็นก้าวหนึ่งที่จะถึงพระนิพพาน อันนี้เขาไม่ต่ำ มันเป็นจาคานุสสติกรรมฐาน

    จาคานุสสติกรรมฐาน นี่ไม่ต้องไปภาวนา จิตคิดว่าจะให้ทานทุกวัน ๆ นี่นะ จิตคิดว่าถึงเวลานั้นเราจะใส่บาตรมากหรือน้อยก็ตาม อันนี้เป็นจาคานุสสติกรรมฐาน และการใส่บาตรหน้าบ้าน เขาถือว่าเป็นสังฆทาน ถ้าพระองค์ไหนมีจริยาไม่สมควร เราไม่ให้มันก็๋ไม่แปลกการถวายสังฆทานมันก็มีผลสำหรับพระผู้รับ ถ้าผู้รับไม่ดีก็ลงอเวจีไปเอง"




    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 เมษายน 2013
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    <EMBED height=480 type=application/x-shockwave-flash width=640 src=http://www.youtube.com/v/LaJju2OXy14?version=3&hl=th_TH&rel=0 allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always"></EMBED>

    ***************************************************







    จาคานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงผลของการบริจาคเป็นอารมณ์



    .....ตามแนวทางวิถีจิต ในคลิบพระพุทธศาสดา ข้างต้น



    ขอให้ ผู้เจริญ พึงประสพความสำเร็จในไตรสิกขา
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    อานิสงส์การถวายทานด้วยสิ่งของต่างๆ

    เรื่องนี้มาในคัมภีร์อปทาน ตอน ปิลินทวัจฉเถราปทาน คือหมายถึงเป็นเรื่องของพระปิลินทวัจฉะ ท่านเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงยกย่องพระปิลินทวัจฉะว่า เป็นผู้เลิศกว่าพระภิกษุทั้งหลายในทางเป็นที่รักแห่งเทวดา คือเทวดาจะรักท่านมากด้วยความดีที่ท่านได้สร้างมาทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ เมื่อท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านได้ระลึกชาติในอดีตกาลของท่านว่า



    ในอดีตกาลผ่านมาแล้วแสนกัป ครั้งนั้นได้มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งอุบัติตรัสรู้เผยแผ่พระพุทธศาสนาอยู่ในโลก ทรงพระนามว่า พระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประกาศพระศาสนาตั้งหลักมั่นอยู่ที่พระนครหังสวดี พระปิลินทวัจฉะเกิดเป็นผู้มีทรัพย์ได้ถวายทานแก่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขด้วยสิ่งของมากมายหลายอย่าง อานิสงส์แห่งการถวายทานด้วยสิ่งของต่างๆ ย่อมให้ผลต่างๆ แก่ท่านซึ่งท่านได้บรรยายไว้ละเอียด จะได้นำมากล่าวเพื่อเพิ่มพูนศรัทธาปสาทะแก่ท่านสาธุชนทั้งหลายดังต่อไปนี้


    การทำบุญด้วยร่มย่อมมีอานิสงส์ ๘ ประการคือ ๑.ไม่รู้สึกหนาว ๒.ไม่รู้สึกร้อน ๓.ละอองและธุลีไม่แปดเปื้อน ๔.เป็นผู้ไม่มีอันตราย ๕.ไม่มีจัญไร ๖.มหาชนยำเกรงทุกเมื่อ ๗.มีผิวพรรณละเอียด ๘.เป็นผู้มีใจกว้างขวาง และเมื่ออุบัติเป็นเทวดา ฉัตรหนึ่งแสนคันอันประกอบด้วยเครื่องประดับทุกอย่าง ย่อมทรงไว้เหนือศีรษะของผู้ทำบุญด้วยร่ม


    การทำบุญด้วยผ้าย่อมมีอานิสงส์ ๘ ประการคือ ๑.เป็นผู้มีผิวพรรณเปล่งปลั่งดังทองคำ ๒.ปราศจากธุลี ๓.มีรัศมีผ่องใส ๔.มีเดช ๕.เนื้อตัวผิวพรรณละเอียดอ่อน ๖.เมื่อท่องเที่ยวอยู่ในภพย่อมมีผ้าขาวแสนผืน ๗.ผ้าเหลืองแสนผืน ๘.ผ้าแดงแสนผืน ทรงอยู่เหนือศีรษะ เธอย่อมได้ผ้าไหมผ้าป่าน ผ้ากัมพล ผ้าฝ้ายในที่ทุกแห่ง นี่เป็นอานิสงส์แห่งการถวายผ้าเป็นทาน



    การถวายบาตรพระย่อมมีอานิสงส์ ๑๐ ประการคือ ๑.ย่อมได้บริโภคโภชนาหารในภาชนะทองคำ ภาชนะแก้วมณี ภาชนะเงิน และภาชนะที่ทำด้วยทับทิมในกาลทั้งปวง ๒.เป็นผู้ไม่มีอันตราย ๓.ไม่มีจัญไร ๔.มหาชนยำเกรงทุกเมื่อ ๕.เป็นผู้ได้ข้าว น้ำ ผ้า และที่นอนเป็นปกติ ๖.โภคสมบัติไม่พินาศ ๗.เป็นผู้มีจิตมั่นคง ๘.เป็นผู้ใคร่ธรรมทุกเมื่อ ๙.เป็นผู้ไม่มีกิเลส ๑๐.ไม่มีอาสวะ


    การถวายมีดโกนย่อมมีอานิสงส์ ๘ ประการคือ ๑.เป็นผู้กล้า ๒.ไม่มีความเดือดร้อน ๓.ถึงที่สุดในเวสารัชธรรม (ธรรมที่ทำให้เป็นผู้แกล้วกล้าในหมู่ชน) ๔.เป็นผู้มีธิติ (ความหนักแน่นอดทน) ๕.มีความเพียร ๖.มีใจอันประคองไว้ด้วยสติทุกเมื่อ ๗.ย่อมได้ญาณอันสุขุมเครื่องตัดกิเลส ๘.มีความบริสุทธิ์อันมิอาจชั่งตวงวัดได้


    การถวายมีดพร้าย่อมมีอานิสงส์ ๕ ประการคือ ๑.ย่อมได้ความเพียรเป็นที่พึ่งพิงได้ ๒.มีขันติความอดทน ๓.เป็นผู้มีจิตไมตรี ๔.มีปัญญาคมกล้า ๕.มีญาณสุกสว่างเสมอด้วยแก้ววิเชียร



    การถวายเข็มเย็บผ้าย่อมมีอานิสงส์ ๕ ประการคือ ๑.เมื่อท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ย่อมเป็นผู้อันมหาชนนอบน้อม ๒.ตัดความสงสัยได้ ๓.มีรูปงาม ๔.มีโภคสมบัติ ๕.มีปัญญากล้าสามารถพิจารณาเห็นอรรถอันเป็นฐานะอันละเอียดลึกซึ้งด้วยญาณอันคมกล้า
    การถวายมีดตัดเล็บย่อมมีอานิสงส์ ๕ ประการคือ ๑.ย่อมได้ทาสชายหญิง ๒.ได้วัวและม้า ๓.ได้คนฟ้อนรำ ๔.ได้ช่างตัดผม ๕.ได้พ่อครัวทำอาหารเป็นอันมากในที่ทั้งปวง


    การถวายพัดใบตาลย่อมมีอานิสงส์ ๕ ประการคือ ๑.ไม่รู้สึกหนาว ๒.ไม่รู้สึกร้อน ๓.ไร้ความอบอ้าว ๔.ไร้ความกระวนกระวาย ๕.ไร้ความเดือดร้อนใจ

    การถวายธมกรก (เครื่องกรองน้ำ) ย่อมมีอานิสงส์ ๕ ประการคือ ๑.ย่อมก้าวล่วงอันตรายทั้งปวง ๒.ย่อมได้อายุอันเป็นทิพย์ ๓.เป็นผู้อันโจรหรือข้าศึกไม่ข่มขี่ในกาลทุกเมื่อ ๔.อาวุธและยาพิษย่อมไม่เบียดเบียน ๕.ไม่ตายก่อนวัยอันควร

    การถวายภาชนะน้ำมันย่อมมีอานิสงส์ ๕ ประการคือ ๑.เป็นผู้มีรูปสวยงาม ๒.มีความเจริญ ๓.มีใจเบิกบาน ๔.ไม่ฟุ้งซ่าน ๕.มีผู้อารักขา
    การถวายกล่องเข็มย่อมมีอานิสงส์ ๓ ประการคือ ๑.มีความสุขใจ ๒.มีความสุขกาย ๓.มีความสุขอันเกิดแต่อิริยาบถ
    การถวายผ้าอังสะย่อมมีอานิสงส์ ๓ ประการคือ ๑.ย่อมได้ความหนักในพระสัทธรรม ๒.ย่อมระลึกชาติที่แล้วมาได้ ๓.มีผิวพรรณอันงาม
    การถวายประคดเอวย่อมมีอานิสงส์ ๖ ประการคือ ๑.ย่อมไม่หวั่นไหวในสมาธิ ๒.มีความชำนาญในสมาธิ ๓.มีบริษัทไม่แตกกัน ๔.มีถ้อยคำอันมหาชนเชื่อถือทุกเมื่อ ๕.มีสติตั้งมั่น ๖.ย่อมไม่มีความสะดุ้งกลัว
    การถวายเชิงรองบาตร ย่อมมีอานิสงส์ ๓ ประการคือ ๑.ไม่มีภัย ๒.ไม่หวั่นไหวด้วยอะไรอะไร ๓.ธรรมเหล่าใดที่ได้ฟังแล้วย่อมทรงไว้ได้ไม่เสื่อมไป
    การถวายภาชนะและเครื่องบริโภคย่อมมีอานิสงส์ ๔ ประการคือ ๑.ย่อมได้ภาชนะแก้วมณี ภาชนะแก้วผลึก และภาชนะแก้วทับทิม ๒.ภริยา ทาสชายหญิง พลช้างพลม้า พลรถ พลเดินเท้า และสตรีรับใช้ย่อมยำเกรงผู้นั้น ๓.ได้เครื่องบริโภคทุกเวลา ๔.ย่อมสามารถใคร่ครวญวิชาในบทมนต์อาคมต่างๆ ศิลปะทั้งปวง นำมาใช้ได้ทุกเวลา
    การถวายขันย่อมมีอานิสงส์ ๓ ประการคือ ๑.ย่อมได้ขันทองคำ ขันแก้วมณี ขันแก้วผลึก ขันแก้วทับทิม ๒.น้ำที่ดื่มย่อมมีรสชาติหวาน ๓.มีข้อปฏิบัติในวัตรอันงามในอาจาระ และกิริยามารยาท
    การถวายเภสัช ย่อมมีอานิสงส์ ๑๐ ประการคือ ๑.มีอายุยืน ๒.มีกำลัง ๓.มีปัญญา ๔.มีวรรณะ ๕.มียศ ๖.มีสุข ๗.ไม่มีอันตราย ๘.ไม่มีจัญไร ๙.มหาชนยำเกรงทุกเมื่อ ๑๐.ไม่พลัดพรากจากของรัก
    การถวายรองเท้าย่อมมีอานิสงส์ ๓ ประการคือ ๑.ยานช้าง ยานม้า วอ ย่อมบังเกิดแก่เขา ๒.เมื่อเที่ยวไปในภพ รองเท้าแก้วมณี รองเท้าเงิน รองเท้าทองคำย่อมเกิดขึ้นในขณะยกเท้าขึ้น ๓.รถหกหมื่นคันย่อมแวดล้อม
    การถวายผ้าเช็ดหน้าย่อมมีอานิสงส์ ๕ ประการคือ ๑.มีผิวพรรณดุจทองคำปราศจากธุลี ๒.มีรัศมีผ่องใส ๓.มีเดช ๔.เนื้อตัวผิวพรรณละเอียดอ่อน ๕.ฝุ่นละอองไม่ติดตัว
    การถวายไม้เท้าคนแก่ย่อมมีอานิสงส์ ๕ ประการคือ ๑.มีบุตรมาก ๒.ไม่มีความสะดุ้งกลัว ๓.ได้รับการอารักขา ๔.ไม่พลั้งพลาด ๕. จิตใจไม่มีความขลาดกลัว
    การถวายยาหยอดตาย่อมมีอานิสงส์ ๘ ประการคือ ๑.ตากลมกว้างใหญ่ ๒.เห็นสีเหลืองสีขาวอย่างชัดเจน ๓.เห็นสีแดงอย่างชัดเจน ๔.ตาไม่มัว ๕.ตาแจ่มใส ๖.ไม่เป็นโรคตาทั้งปวง ๗.ได้ตาทิพย์ ๘.ได้ดวงตาเห็นธรรม
    การถวายลูกกุญแจ ย่อมมีอานิสงส์คือ ย่อมได้ลูกกุญแจคือญาณเป็นเครื่องเปิดประตูธรรมคือความรู้แจ้ง
    การถวายแม่กุญแจ ย่อมมีอานิสงส์ ๒ ประการคือ ๑.เป็นผู้มีความโกรธน้อย ๒.ไม่มีความคับแค้นใจ



    การถวายสายยู ย่อมมีอานิสงส์ ๕ ประการคือ ๑.มีสมาธิที่ไม่หวั่นไหว ๒.ชำนาญในสมาธิ ๓.มีพวกพ้องไม่แตกกัน ๔.มีถ้อยคำอันมหาชนเชื่อถือ ๕.ได้โภคสมบัติ

    การถวายกล้องเป่าควันย่อมมีอานิสงส์ ๓ ประการคือ ๑.มีสติตั้งตรงคงที่ ๒.เส้นเอ็นต่อเนื่องกันดี ๓.ย่อมได้ตาทิพย์

    การถวายตะเกียงตั้งย่อมมีอานิสงส์ ๓ ประการคือ ๑.เป็นผู้มีสกุล ๒.มีอวัยวะสมบูรณ์ ๓.มีปัญญาอันพระพุทธเจ้าสรรเสริญ


    การถวายคนโทน้ำ และผอบ ย่อมมีอานิสงส์ ๑๐ ประการคือ ๑.ได้รับการคุ้มครอง ๒.พร้อมพรั่งด้วยสุข ๓.มียศมาก ๔.มีคติ ๕.ไม่มีความวิบัติ ๖.เป็นผู้ละเอียดอ่อน ๗.เว้นจากความจัญไรทั้งปวง ๘.เป็นผู้ได้คุณอันไพบูลย์ ๙.ได้ความนับถือ ๑๐.พ้นจากความหวาดเสียว

    การถวายผ้าเช็ดสิ่งสกปรกย่อมมีอานิสงส์ ๕ ประการคือ ๑.ถึงพร้อมด้วยลักษณะ ๒.มีอายุยืน ๓.มีปัญญา ๔.มีจิตมั่นคง ๕.กายพ้นจากความยากลำบากทุกอย่างในกาลทั้งปวง


    การถวายมีดและกรรไกรย่อมมีอานิสงส์คือ ได้ญาณเป็นเครื่องตัดกิเลสอันคมกล้า
    การถวายคีมย่อมมีอานิสงส์คือ ได้ญาณเป็นเครื่องถอดถอนกิเลสอันหนักหน่วง

    การถวายยานัตถุ์ย่อมมีอานิสงส์ ๘ ประการคือ ๑.มีศรัทธา ๒.มีศีล ๓.มีหิริ ๔.มีโอตตัปปะ ๕.มีสุตะ ๖.มีจาคะ ๗.มีขันติ ๘.มีปัญญา
    การถวายตั่งย่อมมีอานิสงส์ ๕ ประการคือ ๑.เกิดในตระกูลสูงมีโภคสมบัติมาก ๒.ชนทั้งปวงย่อมยำเกรง ๓.ชื่อเสียงฟุ้งไป ๔.บัลลังก์ย่อมเกิดขึ้น ๕.ยินดีในการจำแนกทาน


    การถวายที่นอนย่อมมีอานิสงส์ ๖ ประการคือ ๑.มีร่างกายสมส่วน ๒.เป็นผู้อ่อนโยนมีรูปงามน่าดู ๓.ย่อมได้ญาณอันประเสริฐ ๔.ย่อมได้เครื่องนอนเครื่องลาดอันวิจิตร ๕.ย่อมได้ที่นอนขนสัตว์อันอ่อนนุ่ม ๖.ย่อมได้บรรลุฌาน
    การถวายหมอนย่อมมีอานิสงส์ ๖ ประการคือ ๑.ย่อมได้หมอนอันวิจิตร ๒.ย่อมได้ญาณในมรรคผล ๓.ย่อมได้ญาณในทาน สัญญมะ อัปปมัญญา และรูปฌาณ ๔.ย่อมได้ญาณในศีลและวัตร ๕.ย่อมได้ญาณในการจงกรมและการทำความเพียร ๖.ย่อมได้ญาณในศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และในวิมุตติญาณทัสสนะ
    การถวายตั่งแผ่นกระดานย่อมได้อานิสงส์คือ ย่อมได้บัลลังก์อันประเสริฐอันทำด้วยทองคำ แก้วมณีและงาช้าง
    การถวายตั่งรองเท้า ย่อมได้อานิสงส์ ๒ ประการคือ ๑.ย่อมได้ยวดยานเป็นอันมาก ๒.บริวารย่อมปรนนิบัติโดยชอบ
    การถวายน้ำมันสำหรับทาเท้าย่อมได้อานิสงส์ ๕ ประการคือ ๑.ไม่ป่วยไข้ ๒.มีรูปงาม ๓.เส้นเอ็นเส้นประสาทรับสัมผัสเร็ว ๔.ได้ข้าวและน้ำ ๕.มีอายุยืน
    การถวายเนยใสและน้ำมันย่อมมีอานิสงส์ ๕ ประการคือ ๑.เป็นผู้มีกำลัง ๒.มีรูปสมบูรณ์ ๓.เป็นผู้ร่าเริงทุกเมื่อ ๔.มีบุตรตามต้องการ ๕.ไม่ป่วยไข้


    การถวายน้ำบ้วนปาก ย่อมมีอานิสงส์ ๕ ประการคือ ๑.มีลำคอบริสุทธิ์ ๒.มีเสียงไพเราะ ๓.ไม่เป็นโรคไอ ๔.ไม่เป็นโรคหอบหืด ๕.กลิ่นปากหอม



    การถวายนมส้มอย่างดีย่อมมีอานิสงส์คือ ย่อมได้บริโภคภัตไม่ขาดสายและย่อมบรรลุกายคตาสติกรรมฐาน


    การถวายน้ำผึ้งย่อมได้บรรลุวิมุตติธรรม

    การถวายข้าวและน้ำย่อมมีอานิสงส์ ๑๐ ประการคือ ๑.มีอายุยืน ๒.มีกำลัง ๓.เป็นนักปราชญ์ ๔.มีวรรณะ ๕.มียศ ๖.มีสุข ๗.เป็นผู้ได้ข้าว ๘.เป็นผู้ได้น้ำ ๙.เป็นคนกล้า ๑๐.มีญาณรู้ทั่ว

    การถวายธูปย่อมมีอานิสงส์ ๑๐ ประการคือ ๑.มีกลิ่นตัวหอมฟุ้ง ๒.มียศ ๓.มีปัญญาเร็ว ๔.มีชื่อเสียง ๕.มีปัญญาคมกล้า ๖.มีปัญญากว้างขวาง ๗.มีปัญญาร่าเริง ๘.มีปัญญาลึกซึ้ง ๙.มีปัญญาแล่นไป ๑๐.ได้บรรลุนิพพาน






    เมื่อท่านพระปิลินทวัจฉะได้กล่าวแสดงอานิสงส์แห่งการถวายทานในอดีตชาติที่ท่านเคยได้รับผลอันประเสริฐมาอย่างมากมาย ซึ่งท่านรู้แจ้งด้วยญาณอันประเสริฐของความเป็นพระอรหันต์ของท่าน แล้วท่านพระปิลินทวัจฉะได้อุทานธรรมด้วยโสมนัสของท่านต่ออีกว่า
    การที่เราได้มาในสำนักพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ เป็นการมาดีแล้วหนอ วิชชา ๓ ประการเราบรรลุแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว
    เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ถอนภพชาติขึ้นได้ทั้งหมดแล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูกดุจช้างตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่
    คุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราได้ทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้วดังนี้


    ทราบว่าท่านพระปิลินทวัจฉเถระได้กล่าวคาถาอันไพเราะเหล่านี้ไว้ด้วยประการฉะนี้แล<!-- google_ad_section_end --> <!-- google_ad_section_end -->
     
  11. stttana

    stttana Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +34
    ผมขอให้แง่คิด ที่ต่างออกไปนะครับ จากเรื่องนี้"พระโลสก" เป็นพระอรหันต์ที่ลาภน้อย จะว่าเป็นที่ตรงข้ามกับ"พระสีวลี"ก็ว่าได้ว่า แทนที่เราจะสนใจว่า ทำอย่างไรให้ลาภสักการะเกิดขึ้น อยากให้มองอีกมุมว่า แม้ตัวเราถึงจะจนไร้วาสนาบารมี ไร้ซึ่ง ญาติ พี่น้อง ไร้ซึ่งลาภสักการะต่างๆที่ล้นหลาม บิณฑบาตยังได้ไม่เต็มเลย อยากให้ลองสังเกตว่า การบรรลุอรหันต์หรือการหลุดพ้นนั้น ไม่ใช่มองว่าต้องมีทรัพย์มาก ต้องมีปัจจัยเข้าวัดเข้าหาตัวมาก แค่มีข้าวพอปะทังชีวิต ก็สามารถหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้ เป็นพระอรหันต์ได้เช่นกัน แทนที่จะดูถูกตัวเองว่า ไหงเราไม่มีอย่างเขา ไม่สุขสบายอย่างเขาเราคงไร้วาสนาบารมีเป็นแน่แท้เราคงทำบุญมาน้อย เรื่องนี้เป็นกำลังใจให้ท่านๆทั้งหลายได้เห็นว่า ทรัพย์ต่างๆไม่ใช่ตัววัดความสามารถวัดบุคคลและหนทางบรรลุธรรมจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ เป็นพระอรหันต์ แทนที่จะหาทางแก้ไขการมีลาภน้อยด้วยทานต่างๆ ควรหาหนทางที่จะขัดเกลากิเลสในจิตใจจนถึงที่สุดแห่งทุกข์...ในชาตินี้ไปเลย
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447


    อนุโมทนาในมุมมองที่สำคัญนี้ครับ...



    มีหลายสาเหตุที่ผมตั้งกระทู้นี้

    สาเหตุหนึ่งคือ ได้เห็นคนจำนวนมาก ที่กำลังใจทางดียังไม่เข้มแข็งพอ
    ถูกพิษเศรษฐกิจ ความบีบคั้นจากผลที่ทำทานบารมีมาน้อย ต้องทำผิดศีล
    เพื่อให้ได้มาซึ่งโภคทรัพย์ในการเลี้ยงชีพอันยากลำบาก

    เมื่อศีลไม่บริสุทธิ์แล้ว ก็ยากที่จะทำขั้นตอนต่อไปให้ผ่าน ได้อย่างตรงทาง



    อีกสาเหตุหนึ่งคือ ได้พบกับผู้ที่พระปฏิบัติดีท่านรับรองภูมิธรรมว่า เป็นอริยะบุคคลระดับอนาคามีแน่นอนแล้ว กำลังดำเนินอรหันตมรรค
    บุคคลท่านนั้นได้เปรยให้ฟังเองว่า ....

    "นี่เราทำทานบารมีมาน้อย เราจึงอัตคัตลำบากเรื่องโภคทรัพย์
    ไปไหนแทบไม่มีเงิน ไม่มีทรัพย์อะไร ติดตัวเลย สมัยหนุ่มจึงต้องไปเป็นทหาร และหวังแค่เพียงตายดาบหน้า โชคดีที่ได้พบพระอริยะเจ้า และอาศัยบารมีได้อื่นที่ทำมามาก จึงได้ต่อยอดมาถึงทุกวันนี้


    ...ถ้าเราทำทานบารมีมามาก เราก็ยังอาจช่วยญาติพี่น้องและคนอื่นที่ลำบากได้
    อีก เพราะ ลำพังเราเองไม่ต้องการอะไรมาก หวังแค่พ้นทุกข์"
     
  13. stttana

    stttana Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +34
    เยี่ยมครับ หารู้ไม่ ท่านและท่านอีกคน ได้ทำทานแล้วแถมเป็นทานที่สูงที่สุดจากทานทั้งหลาย "ธรรมทาน"
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    การให้ทาน


    จุดประสงค์ของการให้ทาน ในมุมของผม

    คือ เพื่อขัดเกลาลดละกิเลสอันหยาบคือ ความตระหนี่ถี่เหนียว ความยึดติดในวัตถุในโลก

    จนไปถึง การสละอารมณ์พอใจ ไม่พอใจ อันเป็นเรื่องละเอียดออกจากจิตใจ
    ด้วยการให้อภัยทาน , และ การให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทนเพื่อตน เพื่อหวังสงเคราะห์ผู้อื่นให้พ้นทุกข์ด้วยธรรม คือ ธรรมทาน



    และ สุดท้าย คือ สละให้ออกไปตามกำลัง ตามปัจจัย ตามกาละเทศะที่ถูกต้อง
    เพื่ออธิษฐานเป็นกำลัง เป็นทุน ในการสั่งสมบารมีเพื่อรื้อขนชีวิตออกจากวัฏฏะสงสาร


    พระพุทธองค์จึงทรง สอนเรือง บารมีสามสิบทัศน์ อันมีทานบารมี เป็นหมวดหนึ่งในนั้น




    ------------------


    ถ้าเปรียบบารมีสามสิบทัศน์ เป็นบ้านหลังหนึ่ง

    และทานบารมีเป็นเสา

    บางคนหวังแค่ตนรอดพ้นจากกองทุกข์ อาจทำแค่บ้านที่ตั้งบนดินธรรมดาก็ได้
    แค่คุ้มตนให้รอดจากภัยก็พอใจ

    แต่บ้านที่มีเสารองรับ ยกตัวบ้านขึ้นสูง ยังมีพื้นที่ใต้ถุนให้ชีวิตอื่นอาศัย
    ตัวบ้านอยู่สูงขึ้น ก็ได้มองเห็นอะไรไกลมากขึ้น ปลอดจากสัตว์ร้ายมากขึ้น เป็นต้น
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    มีอีกประการหนึ่ง

    ที่พระท่านถามผมต่อหน้าคนจำนวนมากที่มาหาท่าน

    "คุณโยม ว่าไหม ...คนเราควรทำบุญเพื่อลดกิเลส หรือ เพื่อเพิ่มกิเลส"

    ผมตอบท่านว่า "ทำเพื่อลดกิเลส"

    ท่านก็พูดต่อ(กับสาธุชน ญาติโยม ออกทางไมค์)ว่า

    "ถ้าทำบุญ แต่เปลือก คือเพื่อเพิ่มกิเลส เพิ่มยศศักดิ์ เพิ่มหน้าตา เพิ่มเสียงสรรเสริญ เพิ่มมานะว่าตนดียิ่งกว่าคนอื่น ก็ควรพิจารณาให้ดี เพราะไม่ได้เป็นปัจจัยเพื่อความพ้นทุกข์"
     
  16. Mon Treal

    Mon Treal เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +536
    ผลของทานในบุคคลต่างๆ

    พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๕ อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต - หน้าที่ 315-317

    เวลามสูตร

    [๒๒๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่าน
    อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีเข้าไปเฝ้าพระ
    ผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีว่า ดูกรคฤหบดีในตระกูลของท่าน ยังให้ทานอยู่บ้างหรือหนอ ฯ

    ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในตระกูลของข้าพระองค์ยังให้ทานอยู่ แต่ท่านนั้นเป็นของเศร้าหมอง เป็นปลายข้าว มีน้ำผักดองเป็นที่สอง ฯ

    พ. ดูกรคฤหบดี คนให้ทานอันเศร้าหมองหรือประณีตก็ตาม แต่ให้ทานนั้นโดยไม่เคารพ ไม่ทำความนอบน้อมให้ ไม่ให้ด้วยมือตนเอง ให้ของที่เหลือไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมให้ทาน ทานนั้นๆ ย่อมบังเกิดผลในตระกูลใดๆในตระกูลนั้นๆ จิตของผู้ให้ทานย่อมไม่น้อมไปเพื่อบริโภคอาหารอย่างดี ย่อมไม่น้อมไปเพื่อบริโภคผ้าอย่างดี ย่อมไม่น้อมไปเพื่อบริโภคยานอย่างดี ย่อมไม่น้อมไปเพื่อบริโภคกามคุณ ๕ อย่างดี แม้บริวารชนของผู้ให้ทานนั้น คือ บุตร ภรรยา ทาส คนใช้ คนทำงาน ก็ไม่เชื่อฟัง ไม่เงี่ยหูฟัง ส่งจิตไปที่อื่นเสีย ข้อนั้นเพราะเหตุไร ทั้งนี้เป็นเพราะผลแห่งกรรมที่ตนกระทำโดยไม่เคารพ ฯ

    ดูกรคฤหบดี บุคคลให้ทานอันเศร้าหมองหรือประณีตก็ตาม แต่ให้ทานนั้นโดยเคารพ ทำความนอบน้อมให้ ให้ด้วยมือตนเอง ให้ของที่ไม่เหลือ เชื่อกรรมและผลของกรรมให้ทาน ทานนั้นๆ บังเกิดผลในตระกูลใดๆ ในตระกูลนั้นๆ จิตของผู้ให้ทานย่อมน้อมไปเพื่อบริโภคอาหารอย่างดี ย่อมน้อมไปเพื่อบริโภคผ้าอย่างดี ย่อมน้อมไปเพื่อบริโภคยานอย่างดี ย่อมน้อมไปเพื่อบริโภคกามคุณ ๕ อย่างดี แม้บริวารชนของผู้ให้ทานนั้น คือ บุตร ภรรยา ทาส คนใช้ คนทำงาน ก็เชื่อฟังดี เงี่ยหูฟัง ไม่ส่งจิตไปที่อื่น ข้อนั้นเพราะเหตุไรทั้งนี้เป็นเพราะผลของกรรมที่ตนกระทำโดยเคารพ ฯ

    ดูกรคฤหบดี เรื่องเคยมีมาแล้ว มีพราหมณ์ชื่อเวลามะ พราหมณ์ผู้นั้นได้ให้ทานเป็นมหาทานอย่างนี้ คือ ได้ให้ถาดทองเต็มด้วยรูปิยะ ๘๔,๐๐๐ ถาดถาดรูปิยะเต็มด้วยทอง ๘๔,๐๐๐ถาด ถาดสำริดเต็มด้วยเงิน ๘๔,๐๐๐ ถาด ให้ช้าง ๘๔,๐๐๐ เชือก มีเครื่องประดับล้วนเป็นทอง มีธงทอง คลุมด้วยข่ายทองให้รถ ๘๔,๐๐๐ คัน หุ้มด้วยหนังราชสีห์ หนังเสือโคร่ง หนังเสือเหลือง ผ้ากัมพลเหลือง มีเครื่องประดับล้วนเป็นทอง มีธงทอง คลุมด้วยข่ายทอง ให้แม่โคนม๘๔,๐๐๐ ตัว มีน้ำนมไหลสะดวก ใช้ภาชนะเงินรองน้ำนม ให้หญิงสาว ๘๔,๐๐๐ คน ประดับด้วยแก้วมณีและแก้วกุณฑล ให้บัลลังก์ ๘๔,๐๐๐ ที่ ลาดด้วยผ้าโกเชาว์ ลาดด้วยขนแกะสีขาว เครื่องลาดมีสัณฐานเป็นช่อดอกไม้ มีเครื่องลาดอย่างดีทำด้วยหนังชมด มีเครื่องลาดเพดาน มีหมอนข้างแดงทั้งสอง ให้ผ้า๘๔,๐๐๐ โกฏิ เป็นผ้าเปลือกไม้ ผ้าแพร ผ้าฝ้าย เนื้อละเอียด จะป่วยกล่าวไปไยถึงข้าว น้ำ ของเคี้ยว ของบริโภค เครื่องลูบไล้ ที่นอน ไหลไปเหมือนแม่น้ำ

    ดูกรคฤหบดี ก็ท่านพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า สมัยนั้น ผู้อื่นไม่ใช่เวลามพราหมณ์ผู้ที่ให้ทานเป็นมหาทานนั้น ดูกรคฤหบดี แต่ท่านไม่ควรเห็นอย่างนี้ สมัยนั้น เราเป็นเวลามพราหมณ์ เราได้ให้ทานนั้นเป็นมหาทาน ก็ในทานนั้นไม่มีใครเป็นพระทักขิเณยยบุคคล ใครๆ ไม่ชำระทักขิณานั้นให้หมดจด ดูกรคฤหบดี

    ทานที่บุคคลเชื้อเชิญท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่าทานที่เวลามพราหมณ์ให้แล้ว

    ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิร้อยทานบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิผู้เดียวบริโภค

    ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญ ให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิร้อยท่านบริโภค

    ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีร้อยท่านบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีผู้เดียวบริโภค

    ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระอนาคามีผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระสกทาคามีร้อยท่านบริโภค

    ทานที่บุคคลเชื้อเชิญพระอนาคามีร้อยท่านบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญพระอนาคามีผู้เดียวบริโภค

    ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้พระอนาคามีร้อยท่านบริโภค

    ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ร้อยท่านบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ผู้เดียวบริโภค

    ทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปเดียวบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันต์ร้อยรูปบริโภค

    ทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้าร้อยรูปบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปเดียวบริโภค

    ทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระปัจเจกพุทธเจ้าร้อยรูปบริโภค

    ทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบริโภค

    การที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์ผู้มาจากจาตุรทิศ มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขบริโภค

    การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ มีผลมากกว่าทานที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์อันมาจากจาตุรทิศ

    การที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ จากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นฐานะแห่งความประมาท มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ

    การที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ

    ดูกรคฤหบดีทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่ามหาทานที่เวลามพราหมณ์ให้แล้ว ... การที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม มีผลมากกว่าการที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต ... และการที่บุคคลเจริญอนิจจสัญญาแม้เพียงเวลาลัดนิ้วมือ มีผลมากกว่าการที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม ฯ

    จบสูตรที่ ๑๐
     

แชร์หน้านี้

Loading...