จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    อานิสงค์

    (1) ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานสี่นี้ อย่างนี้ ตลอด 7 ปี เขาพึงหวังผล 2 ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทิ (สิ่งที่ยึดถือ เช่น อุปาทานขันธ์ห้า) เหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ในชาตินี้แล

    (2) 7 ปี ยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานสี่นี้ อย่างนี้ ตลอด 6 ปี 5 ปี 4 ปี 3 ปี 2 ปี 1 ปี...

    (3) 1 ปี ยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานสี่นี้ อย่างนี้ ตลอด 7 เดือน 6 เดือน 5 เดือน 4 เดือน 3 เดือน 2 เดือน 1 เดือน กึ่งเดือน...

    (4) กึ่งเดือนยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานสี่นี้ อย่างนี้ ตลอด 7 วัน เขาพึงหวังผล 2 ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ ก็เป็นพระอนาคามี ในชาตินี้แล

    (5) ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นที่ไปทางเดียว เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อระงับความโศกและความคร่ำครวญ เพื่อดับทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุอริยมรรค เพื่อเห็นแจ้งพระนิพพาน ทางเดียวนี้คือ สติปัฏฐานสี่ ด้วยประการฉะนี้แล

    (6) พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้น ยินดีชื่นชมพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคฉะนี้แล

    ...............................................................................................................................

    หัวใจกรรมฐาน พระญาณโปนิกเถระ รจนา (พล.ต. นายแพทย์ ชาญ สุวรรณวิภัช แปล)

    (เครดิต คุณjinny95)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2013
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    บัวเกิดจากโคลนตม​
    จิตวิญญาณก็เกิดจากกายหยาบ
    บัวพ้นน้ำ จึงเปรียบเสมือนจิตที่หลุดพ้น

    ขอให้จิตพวกเราเฉกเช่นเดียวกับบัวพ้นน้ำ หลุดพ้นหรือปราศจากกิเลสทั้งปวง
    หลุดพ้นด้วยความศรัทธา ความเพียรและสติปัญญาด้วยเถิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 มีนาคม 2013
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    https://www.youtube.com/watch?v=hqJCIXP7zCk
    รักต้องห้าม
    มิใช่ห้ามรักกัน แต่รักให้เป็น
    รักเป็น แปลว่ารักไม่ยึดติด รักเมตตา
    รักเมตตา คือรักที่ยิ่งใหญ่หาประมาณมิได้ รักมีแต่ให้ลูกเดียว
    มิได้หวังผลตอบแทนจากผู้ใด

    เดิมทีใครที่มีความรักแบบทางโลก ให้เปลี่ยนเป็นรักแบบเมตตากันนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 มีนาคม 2013
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089

    [​IMG]
    การเจริญสติภาวนา
    เปรียบเสมือนการเดินทาง
    สติ คือเงินที่ต้องซื้อตั๋วในการเดินทาง
    สมาธิ คือยานพาหนะ
    ปัญญา คือจุดหมายปลายทางที่เราต้องการไป

    อาหารคาวหวานพวกเราก็ทานกันมามากแล้ว
    ต่อไปควรหาอาหารทิพย์ทานกันบ้างนะโยม เห่อๆ
    ไม่ใช่พระ แต่จิตต่างหากหล่ะ! ที่เป็นพร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 มีนาคม 2013
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เจริญสติเพื่อลืม
    "คราบมนุษย์"

    (พยายาม)เจริญสติ เจริญสมาธิ เจริญปัญญาให้เป็นปัญญาญาณ
    ถ้าไม่อย่างนั้น เราก็อย่าไปหวังละกิเลส ละอัตตา ละมานะอันละเอียดของตน
    เพราะสติแค่ระงับกิเลสชั่วคราว สมาธิละกิเลสหยาบ-กลางชั่วคราว ปัญญาละกิเลสละเอียด
    แต่ปัญญาญาณไม่ต้องละ ไม่ต้องวิปัสสนา รู้อย่างเดียว รู้ไม่ต้องอธิบาย รู้ไม่ต้องมีเหตุผลมายืนยัน
    เพราะธรรมะ(บางตัว)เหนือเหตุผล เหนือคำบรรยาย
    อยากรู้ก็ต้องนำจิตเดินไปให้ถึง มิใช่แค่เข้าใจ จิตเข้าใจภาษาจิต มิใช่ภาษาสมมุติ
    ปัญญาญาณ รู้แจ้งแทงตลอดกาล มิใช่เห็นด้วยตาเนื้อ แต่เห็นด้วยอริยจักษุ คือตาใน
    ตาใน หมายถึงการเห็นด้วยจิต คือเห็นคนละมิติ

    *ขออภัย*
    ถ้าไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึง มิได้กล่าวเกินจริง ทุกท่านสามารถเข้าไปรู้ เข้าใจและเข้าถึงได้

    พยายามเน้นธรรมปฎิบัติ โดยเฉพาะสติกับจิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 มีนาคม 2013
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ลมหายใจคือ "ชีวิต"
    ธรรมะ คือธรรมชาติ
    จิตคนเราก็เฉกเช่นเดียวกัน ก็คือแก่นธรรมะ ที่เหลือเปลือกกับกระพี้
    ใครที่กำลังฝืนจิต ฝืนใจตนเอง นั่นแสดงว่า กำลังฝืนธรรมชาติ
    ฝืนกฎธรรมดา เท่ากับฝืนกฎไตรลักษณ์ของพระพุทธองค์

    แท้ที่จริงที่ทุกคนแสวงหากันก็คือธรรมะ หมายถึง "บุญ"
    บุญ แปลว่าความสบายอกสบายใจ
    อะไรก็ตาม ที่เราทำแล้วไม่ฝืนธรรมชาติ ไม่ฝืนจิตใจตนเอง ทำแล้วสบายใจก็ทำไปเถอะ
    นั่นแหล่ะ เรากำลังสร้างกำลังใจ สร้างบุญบารมีแห่งตนแล้ว

    แต่จำพวกที่กำลังเบียดเบียนตนหรือทำให้ตนเองเศร้าหมอง
    ก็เท่ากับเรากำลังทำผิดศีลละเอียด
    เพราะศีลละเอียดว่าด้วยมโนกรรม คือศีลใจ

    ธรรมะเอาทีละน้อยๆ อ่านมากเดี๋ยวจะเฝือ
     
  7. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ผู้ที่เข้าถึงกระแสของพระศาสนานั้นเขาคนนั้นต้องมีความศรัทธานําหน้ามาก่อนเสมอ...เพราะถ้าไม่ตกถึงกระแสของความศรัทธาก็สักแต่ทําหรือทําแบบเดาๆที่ไม่รู้จริงเห็นจริงตาม และก็จะมีอัตตามานะทิฏฐิเต็มหัวใจ เพราะยังไม่รู้เห็นจริงตามคําสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคนพวกนี้ก็จะมองไม่เห็นความสําคัญของการทําบุญให้ทานเพราะเขายังไม่มีศรัทธานั้นเอง...จึงต้องมีความศรัทธามาก่อนทุกๆอย่างที่จะทําหน้าที่นั้นๆได้สําเร็จไปได้ ถ้าไม่มีศรัทธาแล้วเรื่องของศีลนั้นไม่ต้องไปพูดถึงเพราะเขาก็ยังจะไม่รักษาแน่ เพราะยังไม่รู้ว่าจะทําอย่างไร?เพราะไม่อยากฝืนใจตนเองนั้นเอง...เพราะการรักษาศีลก็คือการฝืนใจตนเองนั้นเอง เพราะเราไม่ทําตามใจของกิเลส... เพราะศีลถึงจะเป็นของหยาบก่อนที่เราจะต้องทําแต่ถ้าทําไม่ได้ ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ของละเอียด เพราะของง่ายๆจะทําก็ยังไม่ได้แล้วตัวปัญญาของละเอียดจะได้มาได้อย่างไร?ก็เพราะเป็นอย่างนี้คนจึงเข้าไม่ถึงกระแสของพระศาสนานั้นได้ง่ายๆเพราะมันเป็นเรื่องของกิเลสที่มีกําลังมากและก็ต่อต้านธรรมได้อย่างสบายๆ ถ้าเป็นของธรรมนั้นก็มีแต่ท้อๆๆหรือยากๆๆนั้นเอง...แต่พอเป็นเรื่องของกิเลสนี่ไม่ต้องออกแรงอะไรมากเพราะมันลื่นไหลไปโดยไม่ต้องคิดพิจารณาเพราะมันมีมาตั้งแต่ไหนๆอยู่แล้วเลยง่ายไปหมด จึงขอให้ทุกๆท่านจงได้เป็นผู้ฝืนใจตนคือฝืนกิเลสที่มีอยู่ในเราๆท่านๆโดยการรักษาศีลนั้นเอง...สาธุค่ะ
     
  8. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ในครั้งพุทธกาลท่านแสดงธรรม ท่านหวังให้ได้ผลในปัจจุบันด้วย

    ...ผลในวาระต่อไป คือนำไปเป็นข้อคิดหรือปฏิบัติ ในส่วนที่ปฏิบัติในวาระต่อไป

    ด้วย ที่ท่านแสดงปรากฏผลประจักษ์เจ้ากับหลักธรรมที่ท่านว่า...

    "การฟังธรรมได้รับอานิสงส์ ๕ อย่าง" คือ...

    ๑. ฟังธรรม...ย่อมจะได้ฟังสิ่งที่จะไม่เคยได้ยินได้ฟัง นี้เป็นข้อหนึ่ง...

    ๒. ข้อที่สองสิ่งไดที่เคยได้ยิน...ได้ฟังแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจชัด ก็จะเข้าใจสิ่งนั้นชัดขึ้น

    ๓. ข้อที่สาม...จะบรรเทาความสงสัยได้ คือเราเคยข้องใจในธรรมข้อใดอยู่...

    เวลาท่านอธิบายไปเกี่ยวข้องกับธรรมนั้น เราก็เข้าใจ

    ๔. ข้อที่สี่...จะทำความเห็นให้ถูกต้องได้ คือความเห็นตามธรรมดา มันมักเขว...

    ปีนเกลียวกับหลักธรรมอยู่เสมอ...การฟังธรรมบ่อยๆ ก็จะทำความเห็นนั้นให้ถูกต้องได้

    ในสี่ข้อนี้...ก็เป็นแขนงของข้อที่ห้าซึ่งเป็นข้อสำคัญ...

    ๕. ข้อที่ห้า...จิตผู้ฟังย่อมผ่องใส นี่เป็นหลักสำคัญมาก เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งในการ

    ฟังธรรม...คือจิตจะผ่องใสได้ จิตต้องมีความสงบในขณะนั้น เข้าไปสัมผัสภายในใจ

    เราแล้วรับรู้กันโดยเฉพาะในขณะนั้น...จิตทำหน้าที่อันเดียว มีความรู้สึก มีความรับรู้กับบท

    ธรรมที่ท่านแสดงไป...ไม่มีอารมณ์ใดเข้ามาเกี่ยวข้อง ใจก็เป็นความสงบขึ้นมา เมื่อจิตมี

    ความสงบแล้ว...ย่อมมีความผ่องใสขึ้นภายในตัวจิตที่ไม่สงบก็หาความผ่องใสไม่ได้

    ยิ่งจิตวุ่นวายมากมายเท่าไร ก็เป็นการสั่งสมความเศร้าหมองความเดือดร้อนให้แก่ตนมาก

    มายขึ้นเท่านั้น...เพราะฉะนั้น การฟังธรรมที่จะให้ได้รับผลประโยชน์ในปัจจุบัน ขณะฟัง

    ควรตั้งใจ คือความรู้สึกของเราไว้เฉพาะตนนี้เท่านั้น ไม่ต้องส่งจิตออกไปภายนอก แม้ส่ง

    มาหาผู้เทศน์ คือ เราตั้งความรู้สึกไว้ภายในตัวของเรนี้ จะให้ "ความรู้" คือจิตนั้นอยู่ใน

    จุดใดก็ได้ไม่สำคัญ...สำคัญที่ให้อยู่ในตัวเรา เป็นความรู้สึกอยู่กับตัว นี่ชื่อว่าตั้งจิตไว้

    ถูกต้องแล้ว...เพื่อรับธรรมในขณะที่ท่านแสดง...เมื่อเราตั้งจิตไว้เช่นนั้น ไม่ไปคาด

    ไปหมาย...ไม่ไปปรุงไปแต่งเรื่องอะไร ท่านจะเทศน์เรื่องอะไรก็ตาม มีความรู้อยู่เฉพาะ

    ...แล้วรับรู้ธรรมที่เข้ามาสัมผัสโดยเฉพาะ ๆ ขณะที่ท่านแสดงไปเท่านั้น ไม่ต้องไปตีความ

    หมายอะไรมากมายในขณะที่ฟัง จิตย่อมได้รับความสงบ จิตที่มีความสงบ ย่อมเป็น

    ความสุขขึ้นในขณะที่ฟัง...นี่แหละเป็นผลที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน...ขณะที่ฟังเทศน์...

    คัดจากหนังสือ พุทธศาสนเป็นที่พึ่งทางใจของ พระธรรมวิสุทธิมงคล

    (ท่านอาจรย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด เมือง อุดรธานี

    ...ลูกขอน้อมรับพระธรรมคำสอนของค์หลวงตาและจะปฏิบัติตาม...

    ลูกขอน้อมรับพระธรรมคำสั่งสอนขององค์หลวงตามหาบัวเจ้าค่ะ

    ...กราบองค์ท่านด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ...
     
  9. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
  10. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    พระธรรมคำสอนของหลวงปู่ทอง วัดพระธาตุศรีจอมทอง วรวิหาร เชียงใหม่

    หลวงปู่สอนไว้...ว่าการมีสตินั้น ถือว่าเป็หัวใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ...หากได้เจริญสติปัฏฐาน ๔ ถือว่าได้ปฏิบัติตามคำสอน ทั้ง แปดหมื่นสี่พัน พระ

    ธรรมขันธ์ในพระไตรปิฏก...และเมื่อปฏิบัติไปจะเห็น "ความจริงของชีวิต"

    ...มีอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา...นับได้ว่าอยู่ในความไม่ประมาท...

    ...ตามปัจฉิมโอวาทของพระพุทธองค์...ที่กล่าวว่า...

    "อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ เธอทั้งหลาย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด"

    ......กราบหลวงปู่ทองด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2013
  11. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976

    ขออนุโมทนาสาธุ กับคุณ apichai53 ที่ท่านได้นําธรรมะซึ้งเป็นธรรมอันประเสริฐที่ทําให้ผู้ปฏิบัติตามธรรมนั้นได้รับความสุขความเจริญ เพราะการเข้าไปดูกายดูใจ ดูเวทนา ดูธรรมนั้นเป็นของจริงของผู้ดําเนินตามคําสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงขอขออนุโมทนาสาธุค่ะ
     
  12. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    พระธรรมคำสอนของหลวงพ่อปาน โสนันโท.

    ...ร่างกายที่ประกอบด้วย ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาศธาตุ...

    วิญญาณธาตุ...ที่เราอาศัยอยู่ขณะนี้ เปรียบเหมือนเรือ ที่อาศัยเดินทางไปพระนิพพานแล้ว

    ...ย่อมจอดเรือทิ้งไว้อยู่ชายฝั่งแล้วเดินขึ้นฝั่งฉันใด...จิตผู้ปฏิบัติถึงพระนิพพาน...

    ...ย่อมไม่สนใจร่างกายที่เป็นทุกข์..โสโครก ฉันนั้น.

    ...กราบหลวงพ่อปานด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะสาธุ สาธุ สาธุ...
     
  13. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    หลวงพ่อจรัญท่านได้สอนไว้...

    ว่าตัดความเห็นผิด...จะรู้ชีวิตเป็นไปตามกรรม...

    ...บางรายเป็นเด็กนักเรียน...บอกว่านั่งกรรมฐานแล้วเจอพระพุทธเจ้า...

    ไม่รู้พระพุทธเจ้าองค์ไหน...ท่านบอกอย่าไปเรียนเลยหนู บอกว่าเข้างานก็ยาก...

    ...อย่าเรียนเลย มานั่งแล้วไปสวรรค์นิพพาน...แล้วก็มาบอกอาตมา...

    ...แต่ไม่ใช่นั่งที่วัดนะ...ที่วัดนั่งแล้วไม่เห็นพระพุทธเจ้า...ที่วัดนั่งแล้วเห็นตัวเองนะ

    ...นั่งรำลึกถึงกรรมตัวเอง จะรู้อนาคตไปข้างหน้าจะเดินทางไปอย่างไร...

    ...ชีวิตจะแจ่มใสหรือจะตัดตอนอย่างไร...มันจะบอกเองระลึกชาติได้...

    ...เห็นหนอด้วยปัญญา...ว่านี่นิสัยเป็นอย่างไรมันจะบอกออกมาอย่างนี้...

    ไม่ใช่นั่งเห็นพระพุทธเจ้าองค์ไหน...มาตรัสว่าไม่ต้องเรียนหนังสือเป็นอริกับเราแล้ว...

    ...อาตมาอยากจะไปเจอพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ว่าปลอมมาอย่างไร ที่ให้เด็กเลิกเรียนหนัง

    สือ อย่างนี้ก็มี...แต่ที่มันเป็นอย่างนี้เพราะจิตฟุ้งซ่านไปเอง ในขณะนี้ คนกำลังสั่นคลอน

    เรื่องการปฏิบัติผิด...ขาดสติ สัมปชัญญะ ไม่มีสติประจำจิต จึงคิดทำชั่วกันมาก.

    คัดจากหนังสือกฏแห่งกรรม โดยพระธรรมสิงหบุราจารย์ หลวงพ่อจรัญ.

    ลูกน้อมกราบหลวงพ่อจรัญด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะกราบ กราบ กราบสาธุ...
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พระท่านเทศน์แจ่มแจ้งแดงแจ๋!

    ขอนุญาตนำมาขยายให้กับผู้เจริญ ณ.ที่นี้รับฟังกันอีกครั้ง
    (จะขอสรุปเพียงสั้นๆ)
    โดยเฉพาะเรื่องการทำบุญ การทำสมาธิ การภาวนา การเจริญมรรคมีองค์๘
    ให้ความสำคัญเรื่องศีลตนเอง
    ศีลแปลว่าปกติ
    การรักษาศีล คือการรักษาสิทธิตนเองและผู้อื่น
    การผิดศีล คือการละเมิดสิทธิ์ตนเองและผู้อื่น
    สติเปรียบเสมือนยามรักษามิให้กิเลสของตนเกิด
    การภาวนา คือมีสติกำกับอยู่กับจิต ทำให้เกิด ให้มีขึ้น คือมีสติสัมปชัญญะ
    เราจะได้รู้เท่าทันทวารหรืออายตนะทั้ง๖ ทำจิตให้เป็นสมาธิทุกอิริยาบถ
    กำลังสมาธิเกิดเมื่อไหร่สมาธิก็จะเกิดเมื่อนั้น
    สมาธิเราจะอยู่ได้นานแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับเรารักษาปัจจัยให้เกิด ก็คือสติ
    และปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่ปัญญา ก็คือการใช้สัญญาอยู่เนื่องๆที่จะทำให้เราเกิดปัญญา
    การปฎิบัติธรรมไปไม่ถึงไหน เพราะว่าขาดหลักธรรมสามตัวนี้ก็คือ สัจจะ ขัตติ วิริยะ
    คือการปฎิบัติขาดความต่อเนื่อง
    สำหรับผูู้ที่จะหวังพระนิพพานจริงๆต้องละกามะ ฉันทะ ทั้งหยาบ ทั้งละเอียดให้เด็ดขาด

    คนเราทุกข์ เพราะไม่ยอมรับความจริง แต่ถ้าเรายอมรับความจริงได้เมื่อไหร่ เราก็สุขเมื่อนั้น
    คนเราทุกข์ เพราะกายกับจิตไม่เคยคุยกันเลย จิตไม่มีวันแก่ เห็นมีแต่กายที่แก่
    จึงเข้าใจว่าเราแก่ทุกวัน

    ตบท้ายด้วยเรื่องภัยพิบัติฯ ไปฟังพระท่านพูดว่าอย่างไร
    ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม มิให้หลงไปทำเรื่องอบาย เตรียมใจ เตรียมกายกันให้ดี
    เพราะฉะนั้นรักษาจิตใจให้ดีพร้อมเสียก่อน

    ฟังให้จบนะครับ เพราะมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติที่ยังเข้าไม่ถึงจิตและถึงธรรมของตนเอง

    เครดิต: คุณprescott
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 มีนาคม 2013
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=GvnFmehioTs]เปลือก กระพี้ แก่นของพุทธศาสนา ; หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี - YouTube[/ame]
    ไปฟังหลวงปู่ฯเทศน์ว่าอย่างไร
    แล้วลองหันกลับมาดูตัวเราเองนะว่า แท้ที่จริงแล้วตอนนี้เราอยู่ตรงไหน
    เปลือก กระพี้หรือแก่นของพระพุทธศาสนา
    ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับผู้อื่นเขานะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 มีนาคม 2013
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โอวาทปาติโมกข์
    เป็นหลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา
    เป็น "ปาติโมกข์" ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงตลอดปฐมโพธิกาล คือ 20 พรรษาแรก
    เฉพาะครั้งแรกในวันเพ็ญเดือนมาฆะ (เดือน 3) หลังจากตรัสรู้แล้ว 9 เดือน
    เป็นการแสดงปาติโมกข์ที่ประกอบด้วยองค์ 4 เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต
    ซึ่งมีเพียงครั้งเดียวในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งๆ

    "หลักการอันเป็นหัวใจสำคัญเพื่อเข้าถึงจุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนาแก่พุทธบริษัททั้งปวงโดยย่อ"
    เป็นการสรุปรวบยอดหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอันเป็นแนวทางที่พุทธบริษัทพึงปฏิบัติ ได้แก่
    1.การไม่ทำบาปทั้งปวง
    2.การทำกุศลให้ถึงพร้อม
    3.การทำจิตใจให้บริสุทธิ์


    โอวาทปาติโมกข์ - วิกิพีเดีย
     
  17. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    โมทนาสาธุ สาธุกับท่านอภิชัยด้วยครับ
    กล่าวได้ชอบแล้ว ชอบแล้ว..
    ปรารภความเพียร ทำไปเรื่อยๆ
    เมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้นแหล่ะ..
    "ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ"
    สาธุครับ

    ปล.
    พระธรรมเป็นสรณะ.. อริยมรรค
    "พระธรรมและพระวินัย จักเป็นศาสดาของเจ้า เมื่อกาลสิ้นไปแห่งเราฯ"
    (ไม่มีอะไรจะต้อง ไปถกไปเถียงกันอีก ชัดเจน ตรงประเด็น)
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ตามดูจิตในจิต

    *************************************
    อนุโมทนาสาธุกับคุณอภิชัยด้วยค่ะ กรุณามาบ่อยๆนะคะ สาธุๆๆ
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    ความทุกข์อันเป็นที่รัก

    วัน ใดก็ตามที่เราตระหนักรู้ วันนั้นเราจะไม่กลัวความทุกข์อีกต่อไป ในเมื่อเราไม่กลัวความทุกข์เสียแล้ว ในโลกนี้จะยังมีอะไรให้เราต้องกลัวอีก

    โดย...ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

    ผู้เขียนชอบรับประทานทุเรียน แต่เพิ่งมาชอบได้ไม่นานนี่เอง ก่อนหน้านั้นไม่เคยคิดจะสนใจผลไม้ชนิดนี้ เพราะรู้ดีว่าเปลือกไม่สวย กลิ่นแรง แต่ต่อมาเมื่อมีเหตุให้ต้องรับประทานทุเรียนอยู่คราวหนึ่ง โลกทัศน์ที่ว่าทุเรียนไม่น่ารัก ไม่อร่อย ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทุกวันนี้ ถือว่าผู้เขียนญาติดีกับทุเรียนอย่างยิ่ง เห็นที่ไหน เป็นต้องยิ้มให้ เพราะตระหนักรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ลึกลงไปจากเปลือกผิวขรุขระและมีหนามแหลมนั้น ได้ซ่อนไว้ซึ่งโอชารสแสนวิเศษ

    ทุเรียน ก็คงเป็นเช่นเดียวกับความทุกข์มากมายในชีวิตของเรา ที่เมื่อความทุกข์เกิดขึ้นมาแล้ว เราพยายามจะหนีทุกข์ เกลียดทุกข์ กลัวทุกข์ แทบไม่เคยมีใครรู้สึกญาติดีกับความทุกข์เลย เพราะเมื่อความทุกข์คุกคามเข้ามาในชีวิตของเราแล้ว ความสุขก็อันตรธานไป แต่เมื่อไม่นานมานี่เอง หลังจากที่มีโอกาสได้กลับมาศึกษาหลักธรรมเรื่องอริยสัจอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง หนึ่งทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ผู้เขียนก็เริ่มมองเห็นความลึกซึ้งของความทุกข์ และเริ่มหยั่งโยงไปถึง “นัยแห่งคำ” ที่พระพุทธองค์ทรงใช้เมื่อตรัสถึงความทุกข์ในอริยสัจสี่ประการ

    ใน หลักธรรมเรื่องอริยสัจสี่ ทรงเรียกความทุกข์ว่า “ความทุกข์อันประเสริฐ” (ทุกฺขํ อริยสจฺจํ) ทำไมจึงตรัสว่า “ความทุกข์อันประเสริฐ” ก็เพราะแท้ที่จริงนั้น ความทุกข์คือเมล็ดพันธุ์ของความสุข ความทุกข์ซ่อนอยู่ในความสุข ความทุกข์สามารถเปลี่ยนแปรเป็นความสุข และความทุกข์เปิดเผยให้เราได้พบกับความสุขนั่นเอง

    แรงบันดาลใจในการออกบวชของเจ้าชายสิทธัตถะก็เกิดมาจากความทุกข์ ทรงเป็นพระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ก็เพราะทรงค้นพบหนทางแห่งความดับทุกข์

    ความ ทุกข์สามารถเปลี่ยนแปรเป็นความสุข หรือความทุกข์คือเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขมีตัวอย่างให้เห็นอยู่ทั่วไป แต่เรามักไม่ค่อยตระหนักรู้ วันใดก็ตามที่เราตระหนักรู้ วันนั้นเราจะไม่กลัวความทุกข์อีกต่อไป ในเมื่อเราไม่กลัวความทุกข์เสียแล้ว ในโลกนี้จะยังมีอะไรให้เราต้องกลัวอีก

    “ที่ จ.เพชรบุรี มีสินค้าขึ้นชื่ออยู่ชนิดหนึ่ง คือ “ขนมหม้อแกง”

    แต่ ร้านขนมหม้อแกงไม่ได้มีร้านเดียว ทว่ามีมากมายหลายสิบร้าน หรืออาจจะหลายร้อยร้านก็ว่าได้ แต่ร้านที่ขึ้นชื่อที่สุด ก็คือร้านของ “แม่กิมไล้” แม่กิมไล้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของร้านขนมหม้อแกงพันล้าน ฝีมือทำขนมของแม่กิมไล้นั้นอร่อยหาตัวจับได้ยากและเป็นที่ยอมรับตั้งแต่ชาว บ้านจนถึงชาววัง

    แต่กว่าที่แม่กิมไล้จะมีความสุข กลายเป็นเศรษฐินีมีเงินหลักร้อยล้านได้นั้น ย่อมไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่ๆ ความสุขที่แม่กิมไล้ได้รับในวันนี้ ในแง่หนึ่งก็คือ ความทุกข์ในวันวานที่แปรเปลี่ยนมาเป็นความสุขแล้วนั่นเอง

    แม่กิมไล้ เกิดในครอบครัวผู้มีอันจะกิน พ่อแม่ทำธุรกิจแพปลา แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งแม่กิมไล้กลับเลือกที่จะแต่งงานกับนายตำรวจยศนายสิบคน หนึ่งตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 เสียด้วยซ้ำ การเดินผ่าเหล่าผ่ากอของครอบครัวเช่นนี้ ทำให้ในวันแต่งงาน แม่กิมไล้ต้องเจ็บช้ำน้ำใจอย่างถึงที่สุด เพราะถูกพี่ชายปรามาสไว้ว่า

    “น้ำหน้าอย่างมึง ไม่มีโอกาสได้หยิบเงินหมื่นหรอก เพราะคนอื่นดีๆ เป็นนายร้อยนายพันมีเยอะแยะมึงไม่เอา”

    คำ สบประมาทของพี่ชายนี้เป็นดั่งน้ำกรดที่สาดลงไปในใจของแม่กิมไล้ ก่อให้เกิดความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด เพราะวันนี้เป็นวันแต่งงาน แต่คำอวยพรที่ได้รับกลับชวนให้ปวดแสบปวดร้อนเป็นอย่างยิ่ง แม่กิมไล้จึงพูดสวนออกไปว่า

    “เงินหมื่นจะไม่ขอจับ แต่จะขอหยิบเงินล้าน”

    หลัง จากวันนั้นแล้ว ชีวิตแต่งงานของแม่กิมไล้ก็ยังไม่พ้นห้วงทุกข์ ตรงกันข้าม กลับพบทุกข์หนักขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะชีวิตหมุนไปสู่ความยากจนข้นแค้นถึงขนาดต้องอยู่บ้านผุๆ พังๆ ชั้นแต่จะไกวเปลลูกแรงๆ ก็ยังทำไม่ได้ กลัวเสาจะพัง แต่ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน แม่กิมไล้ก็ไม่ยอมกลับไปบ้านเก่าให้เขาหยัน ยังคงมุมานะพยายามสู้ต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ

    “บางวันฉันไม่มีเงินเลย มีไข่ลูกเดียวต้องนำมาผ่าซีกเป็น 4 ชิ้น แบ่งให้ลูกๆ แต่ละคนกิน มีอยู่วันหนึ่ง มีคนเอากล้วยมาให้หนึ่งเครือ ก็มานั่งคิดว่า จะเอากล้วยไปทำอะไร ในที่สุดก็นำเอากล้วยสุกมาทำข้าวต้มมัดขาย ส่วนที่งอมๆ ก็เอามาทำขนมกล้วย แล้วเอาใส่ตะกร้าหิ้วไปขาย คนกินก็ติดใจ ก็เลยยึดเป็นอาชีพเรื่อยมา จนมีลูกค้าประจำ”

    เส้นทางของขนมหม้อแกง แม่กิมไล้ ซึ่งดำเนินมาจากคนขัดสนอย่างถึงที่สุด กลายเป็นมหาเศรษฐีระดับประเทศเกิดขึ้นมาจากเหตุบังเอิญแท้ๆ แต่ความอร่อยของขนมนั้นไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่ แต่มาจากฝีมือของแม่กิมไล้ล้วนๆ

    หลังจากยึดอาชีพทำขนมสารพัดชนิดขาย จนในที่สุดมาลงตัวที่ขนมหม้อแกง แล้วกิจการของแม่กิมไล้ก็ดีวันดีคืน จนในที่สุดก็ต้องซื้อตึกที่หน้าพระนครคีรี (เขาวัง) ทำเป็นร้านและเปิดกิจการอย่างเป็นทางการ และนับแต่นั้นเป็นต้นมา แม่กิมไล้ก็ขายขนมหม้อแกงได้มากมายหลายร้อยถาดต่อวัน แต่ถ้าเป็นวันเสาร์อาทิตย์ก็จะทะลุถึงหลายพันถาดต่อวัน

    ความสำเร็จของแม่กิมไล้ ไม่ใช่ปาฏิหาริย์ แต่เป็นเพราะการรู้จัก “เปลี่ยนแปรความทุกข์ให้เป็นความสุข” โดยแท้

    เรา แต่ละคนต่างก็มีความทุกข์เป็นสมบัติส่วนตัวกันมากบ้างน้อยบ้าง แต่ถ้าเราไม่รู้จักว่า ความทุกข์ซ่อนเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขเอาไว้ เราก็อาจจะไม่มีกำลังใจในการรับมือกับความทุกข์ แต่หลังจากอ่านชีวิตของแม่กิมไล้แล้ว เชื่อเหลือเกินว่าหลายคนที่กำลังเผชิญความทุกข์อยู่ น่าจะรู้ดีว่า ความทุกข์นั้นไม่น่ากลัวเลยแม้สักนิด เพราะหลังการมาถึงของความทุกข์ ถ้าหากเรารู้จักรับมือกับความทุกข์นั้นให้ดีๆ ความสุขก็น่าจะรออยู่ตรงนั้นแล้ว

    ***********************************************
    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,500
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,037
    วันเกิดครบรอบ๑ขวบ

    *****************************************
    05-04-2012, 05:20 PM" จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ" ไกล้จะถึงวันเกิดครบรอบ๑ขวบแล้วหรือคะนี่ เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน กระทู้นี้ผ่านมาหลายอย่างนะคะ แต่สรุปแล้วก็คือ"การพ้นทุกข์"และหนทางที่พาไปสู่"นิพพาน" เป็น"ธรรมะบันเทิง" อ่านง่ายๆเรียบๆ เบาๆสบายใจ ง่ายๆที่จะนําไปปฏิบัติ และมีการบันเทิงวันสุดสัปดาห์ อย่างไรก็ดี ถือว่าไม่มีใครอยู่ ก็ขออวยพรให้เจ้าของ(ผู้เริ่มกระทู้นี้)ท่านอ.ภูและทุกๆท่านที่ผ่านมาจงเจริญ โชคดี มีความสุขทั้งกายและ"ใจ" มีดวงตาเห็นธรรม มี"นิพพาน"เป็นที่สุดในชาตินี้ค่ะ อนุโมทนาสาธุกับท่านอาจารย์ภูและเพื่อนๆทุกๆคนค่ะcatt1
     

แชร์หน้านี้

Loading...