จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ::: ประตูแห่งพระนิพพาน :::

    “... ถ้าเราไม่รู้จักประตูแห่งพระนิพพานเท่ากับว่าเราปฏิบัติเคว้งคว้าง ... ประตูพระนิพพานคืออะไร ประตูพระนิพพานคือ “กายคตาสติ” การกำหนดพิจารณากายเป็นอารมณ์ ให้เห็นเป็นของไม่สะอาดนั่นเอง เป็นประตูนิพพาน พระอริยสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ล้วนผ่านมาทางประตูนี้ทั้งนั้น ไม่มีองค์ใดไม่เคยผ่านประตูนี้ ไม่มีองค์ใดสำเร็จเป็นพระอริยะไม่ผ่านประตูนี้ ต้องผ่านทุกองค์ แม้แต่สมเด็จพระจอมไตรบรมครูพระพุทธเจ้าก็ผ่านประตูนี้เช่นเดียวกัน เป็นประตูที่จะก้าวไปสู่พระนิพพาน คือ ถึงแดนพระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบัน พระสกทาคามี จนถึงพระอริยบุคคลชั้นสูงก็มาพิจารณากายนี้ ซักซ้อมกายนี้ ถึงจะทราบความยึดความหมายมั่นและปรากฏการณ์ของจิตที่ปรากฏกายขึ้นภายในจิต...”

    ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนา ณ บ้านธรรมยอดไกรศรี พระราม๒ 14/11/55
    โดย หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน
    ที่มา fb ธรรมคำสอน หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน
     
  2. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    สติต้องผูกกัมมัฏฐาน​


    “... สติมีอันเดียว สติ คือ ความระลึกได้ คำมันชัดมาก ระลึกอะไรอยู่? คือระลึกอารมณ์ของกัมมัฏฐานได้ และสติแนบกับจิต แนบกับจิตไว้ เมื่อสติแนบกับจิต กัมมัฏฐานก็อยู่ในจิต สัมปชัญญะก็คือความรู้ว่าบัดนี้กัมมัฏฐานแนบกับจิตแล้ว นี่ เพราะอาศัยสติเป็นตัวช่วยให้จิตมีกัมมัฏฐานกองนั้น เนี่ย... เรื่องสติต้องผูกกัมมัฏฐาน ผูกอารมณ์ ต้องนึกถึงอารมณ์กัมมัฏฐานได้

    ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรายังไม่เคยเห็น อะไรดีล่ะ? ยังไม่เคยเห็น ... คนขาดใจตายกลางอากาศ ... เรานึก เอาสติไปนึก เอาไประลึก ระลึกเท่าไหร่ก็ระลึกไม่ได้นะ มันไม่เคยเห็นน่ะ มันไม่เคยเห็นมันระลึกไม่ได้ เพราะอะไร? เพราะว่าสติก็อาศัยสัญญาระลึกเป็นกัมมัฏฐานนะ เนี่ยมันใช้ขันธ์ห้านะ มันระลึกไม่ได้ สัมปชัญญะความรู้ก็รู้ไม่ได้อีก เนี่ยมันถอนตัวหมดเลย หรือว่าเราพิจารณาอสุภะแต่ทำไมไปเจอสุภะได้ พิจารณาคลายความผูกพันธ์ในกามราคะ แต่ทำไมจิตมันจึงไปจับเอากามราคะขึ้นมาเพราะอะไร เพราะว่าความเคยชินของสัญญา มันมีอยู่ในสัญญาพูดง่ายๆ เขาเรียกว่าอะไรล่ะ ข้อมูลมันมีอยู่หลายชาติแล้ว คราวนี้เราเอาข้อมูลตัวใหม่ใส่เข้าไปนะมันรับไม่ค่อยได้ เราถึงได้ว่าภาวนามันถึงมีกัมมัฏฐาน มีอะไรมีตัวอื่นเข้ามายุ่ง มีราคะ มีกาม มีโทสะ มีโมหะเข้ามายุ่ง ทั้งๆ เราก็พยายามจะตัด แต่ทำไมมันถึงเข้ามายุ่งกับเรา เพราะว่าสัญญามันมีอยู่

    คนเราเนี่ยนะนั่งสมาธินะ เทวดาก็เคยเห็น บางทีมันเห็นในนิมิตนะ วิมานอย่างนี้ วิมานลอยอยู่ในอากาศ พรหมเป็นรูปพรหมอย่างงี้ สัตว์นรกอย่างงี้ สัตว์เดรัจฉาน บ้านเรือนต่างๆ นานา เราเห็นได้หมดมันเห็นตามสัญญาความจำ แต่ให้เห็นนิพพานน่ะเห็นไม่ได้ ไม่เคยไป นิพพานของจริงนะ เนี่ยไม่เคยไป นึกถึงอารมณ์พระอรหันต์นึกไม่ได้ ก็เขาบอกว่าอารมณ์พระอรหันต์ไม่มีราคะ โทสะ โมหะนะ ว่างนั่นแหละอารมณ์พระอรหันต์ แต่พระอรหันต์จริงๆ ไม่ได้ว่างแบบที่คิดกัน เพราะเรายังไม่มีบันทึกไว้ว่าอรหันต์มีอารมณ์แบบไหน นิพพานมีอารมณ์แบบไหนยังไม่มีบันทึกไว้เรานึกไม่ได้ อันนี้เราพูดให้ฟังนะ เรายกตัวอย่าง ...

    ฉะนั้นคำว่า “สติ คือ ความระลึกได้” มันต้องระลึกกัมมัฏฐานกองใดกองหนึ่งขึ้นมา จิตมันถึงจะมีเครื่องผูก ผูกอยู่กับสติ สติผูกอยู่กับอารมณ์กัมมัฏฐาน สัมปชัญญะก็รู้ตาม มันถึงจะเป็นกัมมัฏฐานตรงนี้แหละ ถ้าหายไปตัวใดตัวหนึ่งนะไม่เป็น พอเข้าใจมั้ย ...”

    ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนา เรื่อง กัมมัฏฐานเป็นเครื่องรักษาจิต
    โดย หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน
    ภาพ: องค์หลวงพ่อ ณ สำนักปฏิบัติอัญญาวิโมกข์ ปากช่อง
     
  3. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    โมทนากับท่านด้วยครับ ...

    ปฎิบัติเพื่อหลุดพ้น เพื่อวาง
    มิใช่ ปฎิบัติเพื่อยึด ...

    จงทำเพื่อความหลุดพ้นแห่งตน มิใช่ทำเพื่อใคร หรือทำตามใคร ...

    ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
    มหาลัยนี้อยู่ในตัวท่าน ท่านจะจบหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นกับใครๆ ... ขึ้นอยู่กับท่านเท่านั้น ...

    วางกำลังใจให้เป็น ...

    อยู่กับตน เพื่อละวางตน นั่นแหละถูกทางแล้ว

    ไม่มีใครอยู่กับเราได้ตลอดไป ไม่จากเป็นก้อจากตาย ... แล้วจะยึดเพื่อสิ่งใด

    สิ่งที่ควรยึดคือ ธรรม คำสั่งสอนของตถาคตนั่นแล

    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม

    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  4. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ตั้งสติ กันให้ดี ...

    ภัยพิบัติใดๆ ไม่สามารถสร้างความกระทบกระเทือนให้เราได้มากมายเท่า ภัยจากจิตจากใจของเรา ...

    สิ่งอันตรายและน่ากลัว คือ เรา นั่นแหละ
    มิใช่สิ่งภายนอก ...

    เลิกจับ เลิกยึด เลิกปรุง ... ก้อไม่มีสิ่งใดน่ากลัว

    รู้แล้ว ก้อ ทำที่เรานี่แหละ ... เกิดจากเรา ก้อต้องจบที่เรา ...ก้อเท่านั้น ...
    อย่า .... ทำอะไรให้มันยาก

    หนทางก้อมีอยู่แล้ว ... อริยสัจ 4
    เกิดที่ใด ดับที่นั่น ... มันก้อเท่านั้นแล


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  5. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    วิปัสสนาสิ่งภายนอกเท่าใด ก้อไม่หลุด
    ต้องวิปัสสนาสิ่งภายใน นั่นแหละแก่น ...

    ของเสีย อยู่ภายใน ถ้าไม่จัดการให้ตรงจุด มันก้อไม่จบ
    จะหลบ จะหลีก ก้อไม่มีวันพ้น หลบชาตินี้ได้ ก้อไม่มีไร ชาติหน้า ก้อมาใหม่

    แล้วจะหลบไปทำไม ... ชนมันด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา

    เอามันให้ขาดกันไป
    อย่าละเลย อย่าใจอ่อน อย่าอะลุ่มอะล่วยกับมัน
    ต้องเด็ดขาด ถึงจะขาด

    พอกันที ... วงเวียนแห่งการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย

    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  6. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ถ้าไม่จาก มันก้อไม่จบ
    ถ้าไม่ขาด มันก้อยังยึด

    ถ้าอยากจบ มันต้องหมด

    หมดตัว หมดเนื้อหมดตัว หมดยึด
    เป็นธรรมชาติเท่านั้น

    เอาแค่แก้ปมภายใน ที่เรายึดก้อจะแย่แล้ว
    สิ่งภายนอก ไปปรุงต่อแล้วมันจะจบกันไหม

    ใจมันก้อนนิดเดียว แต่ในใจมันมหาศาล บานตะไท
    ละเอียดพอไหมละที่จะเห็นมัน ไม่ต่างอะไรกับก้อนภูเขาน้ำแข็งในมหาสมุทรนะ

    ของที่เรามองหยาบๆว่าไม่มีอันใดนั่นแหละ ... น่ากลัวที่สุด

    เราต้องทลายคลังแห่งความเลวนี้ ด้วยเรา มิใช่ใคร


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  7. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    คำสอน สมเด็จองค์ปฐม
    ----------------------
    ท่านจันทนา วีระผล
    เข้าถึงพระนิพพานได้ด้วยทานบารมีเต็ม


    ๑. “ที่พวกเจ้าเข้าใจว่า พระจันทนา วีระผลนั้นเข้าถึงพระนิพพานปรมัตถ์ได้ด้วยอาศัยจาคะเป็นเหตุนั้น ถูกต้อง เพราะท่านผู้นี้มีกำลังใจเต็มอยู่เสมอ ที่จักสละทานการให้อยู่เป็นปกติ ไม่ว่าทรัพย์ภายนอกหรือทรัพย์ภายใน สละได้โดยไม่หวังผลตอบแทนอยู่เป็นนิจ”

    ๒. “ทรัพย์ภายนอกได้แก่ทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ ท่านสละได้โดยไม่เดือดร้อนตนเองและผู้อื่น จิตใจไม่โลภ แม้กระทั่งหวังได้ผลบุญมากตอบแทนก็ไม่มีอยู่ในจิต จิตจึงผ่องใสอยู่ตลอดเวลา ทรัพย์ภายในคือท่านหมั่นสละอารมณ์โลภ โกรธ หลง ที่เกาะอยู่ในจิตอันอาศัยขันธ์ ๕ เป็นเหตุอยู่นี้ เพียรละอยู่ตลอดเวลา จึงมีความผ่องใสของจิตเพิ่มขึ้นมาเป็นลำดับ การสละจาคะอยู่อย่างนี้ท่านทำอยู่เป็นปกติ ในที่สุดจึงมีกำลังใจเต็ม สละร่างกายได้ในวาระที่มีโอกาสที่จักไปพระนิพพานได้”

    ๓. “ท่านผู้นี้ถ้าไม่ทิ้งขันธ์ ๕ ในขณะนั้น ก็จักอยู่ต่อไปได้อีก ๑๒ ปี ในอารมณ์ของจิตที่อยู่ในระดับพระอรหัตมรรค เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมของท่านผู้นี้ จึงได้ชื่อว่าตัดตรงมาทางสายตรง มิใช่มาลัดเยี่ยงบุคคลอื่น ในบรรดาลูกศิษย์ของท่านฤๅษี จึงจัดได้ว่ามีส่วนทำมาทางสายตรง เช่นเดียวกับพระท่านหญิงวิภาวดี รังสิต เพราะฉะนั้นพวกเจ้าพึงดูตัวอย่างท่านเหล่านี้ รักษากำลังใจปฏิบัติตามให้มั่นคง แล้วในที่สุดแห่งชีวิตก็จักได้เข้าถึงมรรคผลนิพพานอย่างแน่นอน”

    ธัมมวิจัย เกี่ยวกับคำตรัสที่ว่า ท่านพระจันทนา ฯ เข้าถึงพระนิพพานปรมัตถ์ได้นั้น หมายความว่าท่านตัดสังโยชน์ได้ครบทั้ง ๑๐ ข้อแล้ว ในระดับอรหัตมรรค ส่วนพวกเราซึ่งส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิด ๆ ว่าตนเองเข้าถึงพระนิพพานได้แล้วด้วยวิชามโนมยิทธิ แต่ไม่ใช่ปรมัตถ์ เพราะส่วนใหญ่ยังตัดสังโยชน์ ๓ ข้อยังไม่ได้ จิตก็ยังไม่พ้นนรก ไม่พ้นอบายภูมิ ๔ ส่วนน้อยที่พ้นนรกแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่ปรมัตถ์ เพราะอยู่แค่พระโสดาบันกับพระสกิทาคามี ส่วนน้อยเข้าอนาคามีมรรคและอนาคามีผล ซึ่งก็ยังไม่ใช่ปรมัตถ์อยู่ดี พวกหลังไม่ต้องห่วงท่าน เพราะท่านพ้นนรกแล้วอย่างถาวร ส่วนพวกแรกนั้นล้วนแต่ยังเป็นลูกผีลูกคนอยู่ หาความแน่นอนยังไม่ได้ แล้วยังประมาทหลงคิดว่าตนพ้นนรกแล้วอีก ความจริงทุก ๆ ท่านล้วนสัมผัสพระนิพพานได้เท่านั้นเอง แต่ยังไม่มีสิทธิ์เข้าไปอยู่ในแดนพระนิพพานปรมัตถ์ได้ เพราะสังโยชน์ ๑๐ ข้อยังตัดไม่ได้หมดจริง เป็นพระเมตตาของพระพุทธเจ้าท่านเท่านั้น ซึ่งทำให้พวกเราสัมผัสแดนพระนิพพานได้ด้วยพุทโธอัปมาโณ ผมก็ขออธิบายสั้น ๆ แค่นี้

    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๙
    รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
     
  8. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    กายนี้มิใช่ถาวร

    ......อีกไม่นาน......

    ร่างกายนี้ จักปราศจากวิญญาณ

    ถูกทอดทิ้ง ทับถมแผ่นดิน

    เหมือนท่อนไม้ที่แห้ง

    อันหาประโยชน์มิได้

    ธรรมะออกแบบชีวิตจาก. FaceBook
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2013
  9. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    บัณฑิตรู้จักกายนี้ว่า เปรียบเหมือนหม้อ

    " กุมฺภูปมํ กายมิมํ วิทิตฺวา นครูปมิทํ จตฺตมิทํ ถเกตฺวา โยเธถ มารํ
    ปญฺญาวุเธน ชิตญฺจ รกฺเข อนิเวสโน สิยา "


    บัณฑิตรู้จักกายนี้ว่า เปรียบเหมือนหม้อ พึงกั้นจิตไว้ให้ดี เหมือนบุคคลกั้นพระนคร
    ฉะนั้น พึงรบมารด้วยอาวุธคือ ปัญญา ครั้นแล้วพึงรักษาสนามรบที่ตนได้ชัยชนะนั้นไว้ให้ดี
    และอย่าให้ติดอยู่เพียงแค่นี้

    คำว่า รู้จักกายนี้

    ได้แก่ รู้จักกายด้วยการปฏิบัติ คือ รู้จักกายของเรานี้ อันประกอบด้วยอาการ ๓๒ มี
    ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น ว่าเปรียบเหมือนกันกับหม้อที่เขาปั้นด้วยดิน
    จะเป็นหม้อขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก ทั้งสุก ทั้งดิบ ทั้งเก่า ทั้งใหม่ ล้วนมีความแตกทำลายเป็นที่สุดด้วยกันทั้งนั้น
    ข้อนี้ฉันใด ร่างกายของคนเรา ทุกเพศ ทุกชั้น ทุกวัย ทุกชาติ ทุกภาษา ล้วนมีความแตกดับด้วยกันทั้งนั้น

    โดยใจความแล้วได้แก่ รู้พระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    ผู้ที่จะรู้อย่างนี้ได้ต้องเจริญวิปัสสนากรรมฐานจนถึงอุทยัพพยญาณเป็นต้นไป

    เมื่อถึงญาณนี้แล้วจะรู้เองว่า รูป นาม นี้ ดับไปตรงไหน เมื่อไร ขณะไหน โดยไม่ต้องไปถามใครอีก
    " รู้แจ้ง " ชัด ด้วยการปฏิบัติกรรมฐานของตนเอง


    คำว่า " กั้นจิตไว้ให้ดี "


    ได้แก่ กั้นไว้มิให้กิเลสต่างๆมี โลภ โกรธ หลง เป็นต้น
    เข้ามาย่ำยีจิตใจได้ กั้นไว้ด้วยอำนาจวิปัสสนากรรมฐาน จนสามารถ

    ละกิเลสอย่างหยาบที่จะล่วงออกมาทางทาง กาย วาจา

    ละกิเลสอย่างกลางที่จะล่วงออกมาทางใจคือ นิวรณ์ ๕

    ละกิเลสอย่างละเอียด คือ อนุสัยที่นอนดองอยู่ในขันธสันดานเสียได้ เป็นสมุทเฉจประหาน
    หรือนักรบผู้ป้องกันประเทศของตนไว้เป็นอย่างดีไม่ให้ข้าศึกเข้ามายึดครอง หรือทำลายได้ด้วยอาวุธนานาชนิด ฉะนั้น

    คำว่า " พึงรบมารด้วยอาวุธ คือ ปัญญา "

    ปัญญาในที่นี้มีอยู่ ๔ อย่างคือ

    ๑. สุเมตมยปัญญา ได้แก่ ปัญญาอันเกิดจากการเรียนรู้วิธีเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
    มีเดินจงกรม นั่งกำหนด เป็นต้น จนมีความเข้าใจได้ดีและทำได้ถูกต้อง

    ๒.ววัฏฐานปัญญา ได้แก่ ปัญญาที่เกิดขึ้นในขณะที่ลงมือปฏิบัติ

    ๓. สัมสนปัญญา ได้แก่ปัญญาที่เกิดขึ้นแก่ผู้ที่มีศรัทธาจริง ตั้งใจปฏิบัติจริงโดยความไม่ประมาท
    คือ มีสติกำหนด กาย เวทนา จิต ธรรม อยู่ตลอดไป เมื่อทันรูปนาม ได้สมาธิดี ปัญญาจะเกิดขึ้นเป็นลำดับๆไป

    นับตั้งแต่ นามรูปปริจเฉทญาณ คือ ปัญญารู้จักแยกรูปนามออกจากกันได้

    ปัจจยปริคหญาณ ปัญญารู้จักเหตุ รู้จักปัจจัยของรูปนาม

    จนกระทั่งถึงญาณที่ ๑๓ คือโคตรภูญาณ อย่างนี้เรียกว่า สัมมสนปัญญา ปัญญาถึงขั้นนี้ จะรบกับมารได้ จึงจะกันมารกั้นมาร ไม่ให้มารบกวนได้ แต่ยังไม่เด็ดขาด

    ๔. อภสมยปัญญา ได้แก่ปัญญาที่เกิดขึ้นกับมรรคจิต โดยใจความคือ
    มรรคญาณ อันเป็นญาณที่ ๑๔ ต่อจากโคตรภูญาณนั่นเอง


    คำว่า " พึงรบมารด้วยอาวุธ คือ ปัญญานั้น "

    ต้องปฏิบัติถึงญาณนี้ จึงจะสู้รบกันได้อย่างเด็ดขาด เพราะอาวุธคือ ปัญญานั้น ต้องฝึกฝนอบรมมาจนถึงขั้นนี้จึงจะคมกริบและสามารถสู้รบกับมาร คือ กิเลส ได้อย่างไม่มีวันจะกลับมาแพ้ได้


    สมเด็จพระจอมไตร ตรัสว่า

    โยเธถ มารํ ปญฺญาวุเธน

    พึงรบมารด้วยอาวุธคือ ปัญญา

    หมายเอาปัญญาอันเกิดจากการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ตั้งแต่ต่ำจนถึงสูง


    คำว่า " พึงรักษาสนามรบที่ตนได้ชัยชนะไว้ให้ดี "

    หมายความว่า ให้เพียรพยายามปฏิบัติต่อไป อย่าประมาท ต้องหมั่นเจริญยิ่งๆขึ้นไปอย่าให้ขาด พยายามให้ผลสูงๆขึ้นไปโดยลำดับ จนกระทั่งสิ่นอาสวกิเลสถึงอมตนิพพาน


    คำว่า " อย่าติดอยู่เพียงแค่นี้ "

    หมายความว่า อย่าติดอยู่ อย่าพอใจในสมาธิขั้นต่ำ หรือ ในญาณขั้นต่ำ

    เช่น เมื่อผู้ปฏิบัติได้ปฏิบัติไปจนถึงญาณที่ 3 อย่างแก่ เข้าเขตญาณที่ 4 อย่างอ่อน อุปกิเลสจะเกิดขึ้น

    อุปกิเลสนั้นมี ๑๐ อย่าง

    มีโอภาส แสงสว่าง

    ปีติคือ ความอิ่มใจ มีอยู่ ๕ อย่าง

    ปัสสัทธิคือ จิตเจตสิกสงบดี สุขคือ ความสบายมาก ศรัทธาคือ ความเชื่อ ความเลื่อมใสเป็นพิเศษเป็นต้น

    บางคนเมื่อมาถึงญาณนี้ นิมิตต่างๆเช่น พระเจดีย์ ต้นไม้ ป่าไม้ ถูเขา แม่น้ำ เป็นต้น จะเกิดขึ้น
    เมื่อสิ่งเหล่นี้เกิดขึ้นมา ผู้ปฏิบัติอย่าพอใจ อย่าติดอยู่ อย่าอยากให้เกิดอีก ต้องใช้สติกำหนดให้หายไป แล้วพยายามปฏิบัติต่อๆไป จนกว่าจะได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน

    อันโรงเรือนเปรียบเสมือนกับสังขาร
    ปลูกไว้นานเก่าคร่ำฉล่ำฉลาย
    แก่ลงแล้วโคร่งคร่างหนอร่างกาย
    ไม่เฉิดฉายเหมือนหนุ่มกระชุ่มกระชวย

    ตาก็มัวหัวก็ขาวเป็นคราวคร่ำ
    หูก็ซ้ำไม่ได้ยินเอาสิ้นสวย
    แรงก็น้อยถอยกำลังนั่งก็งวย
    ฟันก็หักไปเสียด้วยไม่ทันตาย

    แต่ตัณหาเป็นไฉนถึงไม่แก่
    ยังปกแผ่พังพานผึงจึงใจหาย
    ถึงสังขารจะแก่ก็แต่กาย
    แต่ว่าตายไม่มีคิดถึงรำพึงเลย


    สพฺพํ รตึ ธมฺมรติ ชินาติ
    ความยินดีในธรรม ชนะความยินดีทุกอย่าง

    สุขที่แท้จริง: บัณฑิตรู้จักกายนี้ว่า เปรียบเหมือนหม้อ

    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25.0&i=13&p=6
     
  10. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ร่างกายเป็นรังของโรคมีความเสื่อมสลายไปในที่สุด
    ธรรมโอวาท
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง


    องค์สมเด็จพระทรงธรรม บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    มีพระมหากรุณาธิคุณ ทรงสั่งสอนให้
    รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์
    ทรงสั่งสอนให้รู้จักสภาวะของร่างกายและสังขาร
    ว่าร่างกายมันเป็น อนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้
    ร่างกายมันเป็น ทุกข์ ถ้าเราไปยุ่งกับมัน ใจเราก็มีความทุกข์
    ร่างกายมันเป็น อนัตตา
    มันจะเป็นอะไรขึ้นมา เราห้ามไม่ได้ นี่อย่างหนึ่ง

    อีกอย่างหนึ่ง พระองค์ตรัสว่า ร่างกายเป็น โรคนิทธัง
    มันเป็น รังของโรค ทุกคนต้องมีโรคทั้งหมด
    ขึ้นชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บของร่างกายมันมีเป็นธรรมดา

    นี่อีกศัพท์หนึ่ง ท่านว่าร่างกายเป็น ปภังคุณัง
    จะต้องเน่าเปื่อยเป็นธรรมดาไปในที่สุด
    นี่คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    พ่อจำได้และก็ไม่ลืมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตร
    องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
    ถ้าเราต้องการหมดความทุกข์ ต้องการมีความสุข
    ก็จงอย่าคิดว่าโลกนี้เป็นของเรา
    ทรัพย์สินทั้งหมดในโลกนี้เป็นของเรา
    ร่างกายนี้เป็นของเรา ร่างกายของบุคคลอื่นเป็นเราเป็นของเรา

    ตัดความหลงด้วยมรณานุสสติกรรมฐาน
    ตัดความหลงได้ความโลภความโกรธก็ไม่มี
    ธรรมะโอวาท
    หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง


    เราจะเข้าถึงความดีได้ ก็เพราะอาศัยการฝึกฝน ตน คือ จิต
    คำว่าตน ในที่นี้ได้แก่จิต ไม่ใช่ร่างกาย คือ เอาจิตของเรา
    เข้าไปเกาะความดีเข้าไว้ ธรรมส่วนใดที่จะทำให้เรา
    เข้าถึงพระนิพพานได้เราก็ทำส่วนนั้น ธรรมส่วนสำคัญ
    ที่เราจะเห็นได้ง่ายคือ ตัดรากเหง้าของกิเลส
    ก็ได้แก่ โลภะ ความโลภ เราตัดด้วยการ ให้ทาน
    ทำจิตให้ทรงอยู่เสมอว่า เราจะให้ทานเพื่อทำลาย โลภะ
    ความโลภ แล้วความโลภจะได้ไม่เกาะใจ
    อีกประการหนึ่ง รากเหง้าของกิเลส ก็ได้แก่ ความโกรธ
    เมื่อจิตเราทรง พรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ
    เพื่อเป็นการหักล้างความโกรธเมื่อจิตเราทรง พรหมวิหาร ๔
    ความโกรธ ความพยาบาทมันก็ไม่มี
    ประการที่ ๓ โมหะ ความหลง ตัวนี้เป็นตัวสำคัญ
    เป็นรากเหง้าใหญ่ เป็นตัวบัญชาการให้เกิดความรัก
    ความโลภ ความโกรธ ถ้าหลงไม่มีเสียอย่างเดียว
    เราตัดความหลงได้อย่างเดียวเราก็ตัดได้หมด
    การตัดตัวหลงตัดอย่างไร ตัดตรง มรณานุสสติกรรมฐาน
    ก็คิดเสียว่าคนและสัตว์เกิดมาแล้ว ก็มีความตายไปในที่สุด
    วัตถุต่าง ๆ ที่เป็น สมบัติของโลก
    มันมีการเกิดก่อตัวขึ้นในเบื้องต้นแล้วก็สลายตัวไปในที่สุด
    เหมือนกัน วัตถุเรียกว่า พัง คนและสัตว์ เรียกว่า ตาย

    การวางเฉยในร่างกายคือการไม่ยึดติด
    แต่ถ้ากายป่วยก็ต้องบำรุงรักษาเพื่อระงับเวทนา
    ธรรมโอวาท
    หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง


    ใช้ สังขารุเปกขาญาณ
    เฉยทั้งอาการที่เข้ามากระทบกระทั่งจิต
    ในด้านของโลกีย์วิสัย
    เฉยทั้งคำชม เฉยทั้งคำนินทา
    เฉยทั้งได้มา เฉยทั้งเสื่อมไป
    เฉยหมด ไม่มีอะไรสนใจ
    คำนินทา ว่าร้ายเกิดขึ้นกระทบใจ
    แผล็บปล่อยหลุดไปเลย ช่างมัน
    ฉันไม่ยุ่งอารมณ์อาการต่าง ๆ
    ที่เกิดขึ้น กับร่างกายจะป่วยไข้ไม่สบาย
    มันจะแก่ มันจะตาย ก็ช่างมัน
    แต่การรักษาพยาบาล
    การบริหาร ร่างกายเป็นของธรรมดา
    ถือว่าทำตามปกติ ถ้าเขาจะถามว่า
    ถ้าทำจิตได้อย่างนี้ยังสูบบุหรี่ไหม
    ยังกินหมากไหม
    ยังจะต้องใช้ของที่เคยใช้กับร่างกายไหม
    ก็ต้องตอบว่าใช้ตามปกติ เขาไม่ได้ติด
    แต่ ร่างกายต้องการ
    เหมือนกับพระพุทธเจ้าที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
    ยังฉันภัตตาหาร เรื่องอะไร ที่ประสาทต้องการ
    เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องบำรุงโดยประสาท
    เพื่อเราจะเอาไว้ใช้เป็นประโยชน์
    เหมือนกับคนที่ลงเรือรั่วเพื่อหวังจะข้ามฟาก
    ถ้าขณะใดที่ยังอาศัยเรืออยู่
    เมื่อน้ำมันรั่วขึ้นมาเรา ก็ต้องอุด
    มันผุตรงไหนก็ต้องทำนุบำรุงซ่อมแซม
    ไม่ใช่ว่าปล่อยให้มันรั่วให้มันพังไป
    จนกว่าเรา จะขึ้นฝั่งได้

    มองทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา
    เป็นคุณธรรมที่ใกล้บรรลุพระโสดาบัน
    ธรรมโอวาท
    หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง


    ความเบื่อหน่ายในร่างกาย เบื่อในการเกิด
    เป็น นิพพิทาญาณ ในวิปัสสนาญาณ
    ถ้าท่านคิด ใคร่ครวญในรูปสมถะ
    ให้เห็นซากศพอยู่เสมอ
    และใคร่ครวญหากฎธรรมดาควบคู่กันไป
    คือเมื่อเกิด ความทุกข์อันเกิดแต่การป่วยไข้
    หรืออารมณ์ที่ไม่พอใจ หรือความแก่เฒ่าเข้ารบกวน
    ท่านก็วางใจ เฉยเสีย ไม่ดิ้นรนกระเสือกกระสน
    โดยคิดว่า นี่เป็นเรื่องของธรรมดา
    เกิดมามันก็ต้องเจ็บไข้ไม่สบาย
    มีลาภแล้ว ลาภมันก็เสื่อมได้
    มียศแล้ว ยศมันก็สิ้นได้
    มีสุขแล้ว ทุกข์มันก็มีได้
    มีคนสรรเสริญแล้ว คนนินทาก็มีได้
    เกิดแล้วก็ต้องตายได้
    ทุกอย่างมันธรรมดาแท้ ๆ
    จนจิตชินต่ออารมณ์
    มีอะไรที่เป็นทุกข์เกิดขึ้น
    ก็รู้สึกว่าเป็นปกติ
    ไม่ดิ้นรนหวั่นไหวอย่างนี้
    ท่านเรียกว่า ได้ สังขารุเปกขาญาณ
    ใน วิปัสสนาญาณ
    เป็นคุณธรรมที่ใกล้ความเป็นผู้บรรลุพระโสดาบันแล้ว​

    ร่างกายเป็นรังของโรค :พระราชพรหมยาน
     
  11. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    หลวงพ่อพยันต์ สีลธโร.ท่านได้ฝากธรรมะไว้ก่อนท่านจะละขันต์

    สายที่๑. พึงรู้ไว้ ตายเป็นเปรต ชอบกินเศษกินเลย เคยโลภมา

    ไม่เคยให้ได้แต่ขอ เพราะความอยาก ดีแต่ปากพูดพล่อยๆคอยแต่เอา.

    สายที่๒. อสุรกายใจกักขฬะ ชอบปะทะอารมทับถมเขา ชอบนินทาว่าร้ายใจมัวเมา

    สายที่๓. เป็นสัตว์เร่เดรฉาน ท้องขนานผืนโลกต้องโศกสม นอนกลางดิน

    กินกลางทรายใจโสมมชอบทับถม เช่นฆ่าเอามากิน.

    สายที่๔. นี่ไปนรก สกปรกไม่มีศีลอบายมุขคลุกเข็ญเป็นอาจิณ.

    สายที่๕. เป็นมนุษย์สุดประเสริฐ ทั้งรวยเลิศศักดา สง่าศรี เพราะทาน

    ศีล ภาวนาวาจดี.

    สายที่๖. สรวงสวรรค์วิมานแก้วจิตผ่องแผ้ว แพ้วภัยไม่สับสน มีหิริโอตตัปปะ

    จะอายตน. สายที่๗. มีเมตตากรุณาพร้อม มุทิตาน้อมมอบใจไม่หน่ายหนี อุเบกขาวาง

    เฉยได้ในราคีอีกทั้งหนึ่งจิตช้ำสัมภเวสี วิญญาณหนีร่อนไปใจขื่นข่ม ห่วงลูกหลานบ้าน

    เรือนเคยเยือนชมไม่อาจข่ม จิตให้ไปเกิดเลย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอย่าละเลย

    จิตเสบย สบายหนอขอนิพาน.

     
  12. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713

    สาธุขออนุโมทนาค่ะ ที่ขยายความเป็นพระธรรมคำสั่งสอนและขอขอบพระคุณที่ท่านได้นำธรรมะ

    ดีๆมาให้ได้รับฟังและอ่านเพื่อความเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้น. สาธุ สาธุ สาธุ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2013
  13. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    รู้ใจสบาย รู้กายสง่า รู้วาจาสงบ ๓
    ๑.ใจ ทําหน้าที่นึก จิตคิด มโนน้อม วิญญาณรู้ก็ผ่านไป
    ๒.กาย ทําหน้ารอง สุข ทุกข์ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง
    ๓.วาจา ทําหน้าที่รับ ดี ชั่ว ถูก ผิด เสื่อม เจริญ ขาว ดํา
    รู้ใจสบาย มุ่งเอาพุทธะ ธรรมะ สังฆะ อันโสตาปัตติยังคะ
    รู้กายสง่า มุ่งวิปัสสนาภูมิกะ ๖ อันประกอบด้วยญาณทัสสนะ
    รู้วาจาสงบ มุ่งสมถภาวนา ๗ หมวด อันประกอบด้วยอนุตตระ
    ที่มา หนังสือ ธรรมะสาระของชีวิต (หลวงปู่ทองใบ ปภัสสโร) จ.อุดรธานี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2013
  14. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    โมทนาสาธุ... ครูวิทย์กล่าวได้ชอบแล้วเจ้าค่ะ หนีอะไรก็หนีได้ถ้าเป็นสิ่งภายนอกมากระทบ มันเจ็บ มันร้อน มันหนาว ก็พอมีทางหนีทีไร่... แต่หนีกิเลสในจิตของเรานี้สิ จะหลบยังไง...นอกจาก เอาศีล สมาธิ ปัญญา ที่เพียรทำ เพียรภาวนา ทำจิตให้นิ่ง สร้างสติ เพิ่มปัญญา กันอยู่นี้ตามกำลังใจที่มีกัน...กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ สร้างที่ตัวเราเองเป็นหลัก แต่หากมีกำลังใจจากคนรอบข้าง มิตรธรรมที่รักกันมีเมตตาจิตต่อกัน อันนั้นก็เป็นผลพลอยได้ ที่ดีมากๆๆ ...เส้นทางยังอีกยาวไกล ไปอย่างไม่ต้องคิด ต้องหวังว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ สบาย สบาย แบบเบิร์ด เบิร์ด .....รู้แค่สักวันต้องถึงค่ะ

    ปล.พวกเราจิตบุญ จิตอะไรก็ได้..++ยังอยู่ครบไหม๊ค่ะ? ....หนูลองนับในใจในจิตดูแล้ว นอกบ้าง ในบ้าง เกาะกระทู้อยู่บ้าง สรุปว่า ครบค่ะ ...ครบแน่นอน!! ปลื้มมากค่ะที่เห็น ทุกอย่างยังเหมือนเดิมนะค่ะ>>>แต่ก็ไม่ประมาทค่ะ ทุกอย่าง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป...สาธุ
     
  15. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    มานัตถัทธสูตร

    [๖๙๔] สาวัตถีนิทาน ฯ
    สมัยนั้น พราหมณ์มีนามว่ามานัตถัทธะ สำนักอยู่ในกรุงสาวัตถี เขา
    ไม่ไหว้มารดา บิดา อาจารย์ พี่ชาย ฯ

    [๖๙๕] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคอันบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมทรงแสดง
    ธรรมอยู่ ฯ

    ครั้งนั้น มานัตถัทธพราหมณ์มีความดำริว่า พระสมณโคดมนี้อัน
    บริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมแสดงธรรมอยู่ ถ้ากระไร เราจะเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดม
    ยังที่ประทับ ถ้าพระสมณโคดมตรัสกะเรา เราก็จะพูดกะท่าน ถ้าพระสมณโคดม
    ไม่ตรัสกะเรา เราก็จะไม่พูดกะท่าน ลำดับนั้นแล มานัตถัทธพราหมณ์เข้าไปเฝ้า
    พระผู้มีพระภาคยังที่ประทับแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้งนั้น พระผู้มี
    พระภาคไม่ตรัสด้วย มานัตถัทธพราหมณ์ต้องการจะกลับจากที่นั้น ด้วยคิดว่า
    พระสมณโคดมนี้ไม่รู้อะไร ฯ

    [๖๙๖] ทีนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกในใจของมานัตถัทธ-
    *พราหมณ์ด้วยพระหฤทัยแล้ว ได้ตรัสกะมานัตถัทธพราหมณ์ด้วยพระคาถาว่า
    ดูกรพราหมณ์ ใครในโลกนี้มีมานะไม่ดีเลย ผู้ใดมาด้วย
    ประโยชน์ใด ผู้นั้นพึงเพิ่มพูนประโยชน์นั้นแล ฯ

    [๖๙๗] ครั้งนั้น มานัตถัทธพราหมณ์คิดว่า พระสมณโคดมทราบจิตเรา
    จึงหมอบลงด้วยศีรษะที่ใกล้พระบาทพระผู้มีพระภาค ณ ที่นั้นเอง แล้วจูบพระบาท
    พระผู้มีพระภาคด้วยปากและนวดด้วยมือ ประกาศชื่อว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม
    ข้าพระองค์มีนามว่า มานัตถัทธะๆ ฯ

    ครั้งนั้น บริษัทนั้นเกิดประหลาดใจว่า น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยมีหนอ
    มานัตถัทธพราหมณ์นี้ไม่ไหว้มารดา บิดา อาจารย์ พี่ชาย แต่พระสมณโคดม
    ทรงทำคนเห็นปานนี้ให้ทำนอบนบได้เป็นอย่างดียิ่ง ฯ

    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสกะมานัตถัทธพราหมณ์ว่า พอละพราหมณ์
    เชิญลุกขึ้นนั่งบนอาสนะของตนเถิด เพราะท่านมีจิตเลื่อมใสในเราแล้ว ฯ

    [๖๙๘] ลำดับนั้น มานัตถัทธพราหมณ์นั่งบนอาสนะของตนแล้วได้กราบ
    ทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
    ไม่ควรทำมานะในใคร ควรมีความเคารพในใคร พึงยำเกรง
    ใคร บูชาใครด้วยดีแล้ว จึงเป็นการดี ฯ

    [๖๙๙] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
    ไม่ควรทำมานะในมารดา บิดา พี่ชาย และในอาจารย์เป็น
    ที่ ๔ พึงมีความเคารพในบุคคลเหล่านั้น พึงยำเกรงบุคคล
    เหล่านั้น บูชาบุคคลเหล่านั้นด้วยดีแล้วจึงเป็นการดี บุคคล
    พึงทำลายมานะเสีย ไม่ควรมีความกระด้างในพระอรหันต์ผู้
    เย็นสนิท ผู้ทำกิจเสร็จแล้ว หาอาสวะมิได้ ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
    เพราะอนุสัยนั้น ฯ

    [๗๐๐] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสเช่นนี้แล้ว มานัตถัทธพราหมณ์ได้
    กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
    ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรม
    โดยอเนกปริยายดุจหงายภาชนะที่คว่ำ เปิดของที่ปิดไว้ บอกทางแก่คนหลงทาง
    ส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักมองเห็นรูปได้ ข้าแต่ท่านพระโคดม
    ข้าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาค กับพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอ
    พระองค์จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต
    ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ

    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=15&A=5740&Z=5784

    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=694
     
  16. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    [​IMG]

    พระพุทธองค์ทรงโปรดพราหมณ์ผู้ถือตัวถือตน ได้ถือดอกไม้สองกำมาข้างละกำมือ
    เมื่อมาถึงพระองค์ก็ทรงบอกว่า วางสิ…พราหมณ์
    พราหมณ์ได้วางดอกไม้ในมือข้างหนึ่งลง ยังเหลืออีกข้างหนึ่ง
    พระองค์ตรัสต่อไปว่า…วางสิพราหมณ์ พราหมณ์ก็ได้วางลงอีกข้างหนึ่ง
    พระองค์ก็ยังตรัสต่อไปอีกว่า วางสิ..พราหมณ์ ปรากฏว่าพราหมณ์ชักโมโห
    จะวางอะไรอีกล่ะ วางจนหมดแล้วนี่น่า จะให้วางอะไรอีกล่ะ
    พระองค์ก็ตรัสว่า วางการยึดมั่นถือมั่นถือตัวถือตนสิพราหมณ์ จะได้เบากว่านี้
    ทำให้พราหมณ์ได้เกิดแวบขึ้นมาในหัวใจ และทำให้เกิดลดทิฏฐิมานะความยึดมั่นถือมั่นลงไปได้มากทีเดียว
     
  17. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    อ่าน "มานัตถัทธสูตร" พออ่านถึง ช่วงที่พระพุทธองค์
    "ได้ตรัสกะมานัตถัทธพราหมณ์ด้วยพระคาถาว่า
    ดูกรพราหมณ์ ใครในโลกนี้มีมานะไม่ดีเลย ผู้ใดมาด้วย
    ประโยชน์ใด ผู้นั้นพึงเพิ่มพูนประโยชน์นั้นแล ฯ"


    ทำให้ระลึกถึงคลิป ที่คุณลูกพลังพาไปแอ่ว ในช่วงนาที ที่5

    "มาทำไม"

    <embed src="http://www.youtube.com/v/O0h6-1l5lOM?hl=th_TH&amp;version=3&start=300" type="application/x-shockwave-flash" width="360" height="215" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></embed>​
     
  18. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    สมาธิไม่มีอารมณ์ภาวนา จะเป็นสมาธิได้อย่างไร?

    ใครอยากสำเร็จ"สมาบัติ8" ก็ลองไปฝึกเล่นๆดูนะครับ


     
  19. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    พรมนุษย์
    ๑.อุ ขยันหา หาเป็น มีวิชชา จรณะ
    ๒.อา เก็บรักษา เก็บเป็น มีปัญญา ประมาณ
    ๓.กะ มีเพื่อนกัลยา คบคนเป็น มีญาณ สติ
    ๔.สะ เลี้ยงชีวาประหยัด ใช้เป็น มีสติ สันโดษ
    ที่มา หนังสือ ธรรมะสาระของชีวิต.
     
  20. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ศีล คือ การสํารวมอินทรีย์ ๖ มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ระวัง ระเว้น ระแวง ระแวก ระไว ไม่เผลอ ไม่ปล่อยกาย วาจา ใจ ไปสู่อบายมุข ๑๐ ประการ ระมัด ระวังเอาไว้ ระเว้นไปไกล
    ระแวงมิให้หลับใจหลงจิต ระแวก กาย วาจาใจ ระไวทุกอย่างไม่ถือมั่น
    ศีลกาย ให้เย็น-หิน ไม่หวั่นไหวต่อแรงลม
    ศีลวาจา ให้ร้อน-เร่ง ไม่หลงไหลสิ่งเสพติดลามก
    ศีลใจ ให้ตัด-เร็ว ไม่ลอยลืมไปตามอารมณ์
    ที่มา หนังสือ ธรรมะสาระของชีวิต.
     

แชร์หน้านี้

Loading...