โรคเวร - โรคกรรม

เริ่มเรื่องก็คือ พอตกเวลาเย็นค่ำ 2-3 ทุ่ม ดิฉันก็มีอาการเวียนหัวเป็นประจำ ก็ไปหาหมอ ตรวจหาสาเหตุ ไม่มีอะไร คุณหมอบอกปกติดีทุกอย่าง ได้ยาแก้เวียนหัวมาทานแทน อาจเป็นไปได้ใช่ไหมว่า การที่เราถือศิลปฏิบัติธรรม สวดมนต์ นั่งสมาธิ ( ภาวนา พุธโธ ,นะมะพะธะ) หรือว่าเป็นกรรมที่ดิฉันต้องใช้หนี้เขา เพราะหากเป็นเวลาช่วงกลางวันดิฉันก็ปกติดีทุกอย่าง ดิฉันไม่มีญาณรู้ที่ลึกไปกว่านั้นค่ะ หากท่านใดมีญาณรู้ ช่วยสงเคราะห์บอกให้ดิฉันบ้างเถิดค่ะ

 

เริ่มเป็นความดันหรือเปล่า อาจเกี่ยวกับสายตาด้วย ต้องหาหมอหลายๆที่บางทีหมอสมัยนี้ก็วินิจฉัยงั้นๆ

 

อย่าไปโทษเรื่องเวรกรรม เพราะไม่มีใครรู้จริง(นอกจากพระอริยะ)
ให้พิจารณา"ปัจจุบัน" คือ ทำกรรมปัจจุบันให้ดี
อาจไปพบหมอทางจิตวิทยาดู หรือมาหาสมุฐานของโรค ด้วยตัวเอง เช่น กลางคืน งดภาวนาดู และดูว่า จะเป็นไหมฯลฯ
อีกอย่าง เป็นชาวพุทธเถรวาทต้องรู้ว่า เวลาเราปฏิบัติธรรมนั้น เรากำลังขจัดกิเลศของเรา ไม่เกี่ยวกับว่าจะมาช่วยแก้กรรมที่เราเคยทำมาไม่ดี...มันคนละเรื่อง ต้องเข้าใจ

 

เอางี้ก่อนนะ จะบอกว่าเวรกรรมมันก็ใช่
แต่ถ้าจะแก้ไขอาการปวดหัว ก็ต้องไปหาหมออื่นๆ ที่ดีกว่านี้
ต้องตรวจอย่างละเอียด
ผมเองก็เวียนหัวบ่อยๆ ตอนนี้ก็มีข้อสันนิษฐานเยอะแยะ
เช่น ความดันต่ำ น้ำในหูไม่เท่ากัน หรือแม้แต่เบาหวาน

แต่ผมคิดอย่างนี้นะ เวลาป่วย ผมจะสบายมาก เพราะไม่ต้องทำงาน ๕๕๕
นอนพิจารณาไปเลยว่า ไอ้ร่างกายห่วยๆแบบนี้ ขอมีอีกชาติเดียว
จะไม่ขอกลับมามีร่างกายแบบนี้อีก พิจารณาให้ลึกให้เห็นทุกข์ของการมีร่างกาย
เวลาป่วยนี่พิจารณาง่ายมาก จิตเป็นสมาธิเร็วมาก เพราะคิดเรื่องอื่นก็ปวดหัว
แถมคิดไปก็ทำอะไรไม่ได้ คิดเรื่องธรรมะอย่างเดียว

กินน้ำเยอะๆ นอนเยอะก็เป็น นอนน้อยก็เป็น
งั้นนอนน้อยแล้วภาวนาเยอะๆดีกว่า ตายก็ดีใช่มั้ยละ เราไปสวรรค์ ไปพรหม ไปนิพพาน

 

จากอาการแบบนี้ที่เคยเป็นมา เหมือนสมองปรับสมดุลค่ะจากคลื่นความถี่ที่เราสวดมนต์ภาวนา

 

ก่อนอื่นพึงทราบว่า..ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า สาเหตุของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บมีดังนี้..

๑. โรคเกิดแต่ ดีให้โทษ
๒. โรคเกิดแต่ เสมหะให้โทษ
๓. โรคเกิดแต่ ลมให้โทษ
๔. โรคเกิดแต่ ทั้งดีเสมหะ และลมให้โทษ
๕. โรคเกิดแต่ ฤดูแปรปรวน
๖. โรคเกิดแต่การผลัด เปลี่ยนอิริยาบถไม่สม่ำเสมอ
๗. โรคเกิดแต่ ความเพียรเกินกำลัง
๘. โรคเกิดแต่ วิบากกรรม

สาเหตุ แห่งโรค ๔ ประการแรก หากพิจารณา ให้ดีก็จะเห็นว่า พระพุทธองค์ได้ทรง ชี้ให้เห็นว่าการรู้จัก ระมัดระวังและรู้ประมาณ ในการใช้สอยปัจจัย ๔ คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรคนั้นเป็นสิ่งสำคัญ และสิ่งเหล่านี้เป็น เครื่องประคับประคองให้ชีวิตดำเนินไปได้อย่างราบรื่น หากบริโภค หรือใช้สอยไม่ถูกวัตถุประสงค์ ไม่ถูกวิธี หรือไม่รู้จักประมาณ ในการบริโภค ก็จะเป็นสาเหตุที่จะนำโรคภัยไข้เจ็บมาสู่ตัวเรา ได้ เช่น ในขั้นต้นก็อาจทำให้มีอาการดีผิดปกติให้โทษบ้างเสมหะ ผิดปกติให้โทษบ้าง ลมในตัวทั้งที่หายใจเข้า หายใจออก..

เหตุของการเกิดโรคประการ ที่๕ คือ โรคเกิดแต่ ฤดูแปรปรวน นั้น อาจจะเกิดขึ้น จากการที่ คนเราไม่ค่อยสนใจที่จะศึกษา ธรรมชาติของร่าง กายตนเองให้มากพอ มีความประมาทไม่ รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ไม่ระมัดระวังในการใช้สอยปัจจัย ๔ให้ เหมาะสมในเวลาที่ฤดูแปรปรวน เป็นเหตุให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมา

เหตุของการเกิดโรคประการ ที่๖ คือ โรคเกิดแต่การผลัด เปลี่ยนอิริยาบถไม่สม่ำเสมอนั้น หมายความว่าหากไม่เปลี่ยนอิริยาบถ เลย ก็จะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ เพราะตามปกติ ร่างกายของคน เราจะต้องมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาหาก ปล่อยไว้ในอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่งนานๆ ก็จะเกิดอาการเจ็บปวด ขึ้นมา

เหตุของการเกิดโรคประการ ที่๗ คือ โรคที่เกิดจากความ เพียรเกินกำลังนั้น ท่านมักจะหมายถึงผู้ที่มีความเพียรมากต้องการ ที่จะหลุดพ้นจากสังสารวัฏ จึงทำความเพียรอย่างเต็มที่ด้วยการปฏิบัติ อย่างหักโหม เพื่อหวังจะกำจัดกิเลสได้ในเวลาอันสั้น ร่างกายที่ถูกใช้จนเกินไป จึงอาจเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย หากจะทำ อะไรจึงต้องทำแต่พอเหมาะพอดี ร่างกายก็จะเป็นสุขจิตใจก็ จะเป็นสุขไปด้วย

เหตุของการเกิดโรคประการ ที่๘ คือ โรคเกิดแต่ วิบากกรรม นั้น หมายถึงโรคอันเกิดแต่ผลของกรรม ชั่วในอดีตที่เราเคยกระทำ ไว้ ซึ่งไม่รู้ว่าเคยทำไว้ในภพชาติ ไหนบ้าง แต่มันมาให้ผลในชาติ นี้ สาเหตุของการเกิดโรคประการ ที่ ๘ นี้ หมอ ทั่วไปตามโรงพยาบาล ต่างๆ ไม่สามารถที่จะวินิจฉัยได้ ไม่สามารถใช้เครื่องมือ
ทางการ แพทย์ตรวจหาสาเหตุได้ ผู้ที่จะทราบสาเหตุของโรคประเภท นี้จะต้องปฏิบัติธรรมจนสามารถมีญาณระลึกชาติต่างๆในอดีต ได้ แต่การจะ กระทำอย่างนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก โรคที่เกิดจาก กรรมนี้เป็นสิ่งที่รักษาไม่หายตามวิธีการของแพทย์ มีเพียง ทางเดียวที่จะทำให้ผลแห่งกรรมชั่วทุเลาเบาบางลงไปได้คือ
การทำ ความดีเพิ่มให้มากขึ้นด้วยการปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้นเอง


ท่านจขกท. ไปหาหมอแล้วมีการตรวจเลือดด้วยใหมครับ ผมเคยเป็นและไปตรวจพบว่าเลือดจาง..ต้องเสริมใยเหล็กแค็ปซูลอยู่เป็นปี..

ต่อไปนี้เป็นข้อสังเกตุที่ท่านจขกท พึงตรวจสอบตนเองนะครับ(เพื่อนฝรั่งที่สนิทกันแนะนำมา)..

1. หากท้องว่าง เพราะไม่ได้ทานอาหาร อาการเวียนศีรษะอาจเกิดได้..

2. ห้องหรือที่อยู่อากาศถ่ายเทดีหรือไม่ เมื่ออยู่ในห้องหรือที่อับนานๆ มีผลให้เกิดความวิงเวียนได้เช่นกัน

3. กลั้นลมหายใจนานเกินไปในขณะสวดมนตร์เพราะต้องการให้จบคำสวด นี้ก็ทำให้เกิดความวิงเวียนได้

4. นั่งสมาธิและสวดมนตร์นานเกินไป ควรเปลี่ยนเป็นเดินสลับด้วยเพื่อความสมดุลย์ของอิริยาบถ

5. พยายามละทิ้งปัญหา หรือเครื่องกังวลใจทั้งหลายที่มี ..ทำใจว่างจากความตึงเครียดจากงานหรือครอบครัวก่อนสวดมนตร์และเจริญกัมมัฏฐาน

6. เรื่องสายตา (อย่างที่ท่าน vaddeeแนะไว้ข้างบน)ควรไปตรวจด้วยก็ดีครับ..

หากโรคนี้เกิดจากกรรม ก็คงแก้ไขไม่ได้มาก จนกว่าผลที่มาส่งจะหมดไปหรือลดกำลังเพราะกำลังของบุญใหม่แรงกว่ามาเบียดตัดความป่วยนั้นให้หมดไป...

การเจริญกุศลเนืองๆย่อมมีโอกาสชักนำกรรมดีอื่นในอดีตให้นำผลมาตัดรอนวิบากเสียไปได้ พึงทราบตามนี้นะครับ


ขอให้หายโรคโดยไวครับ

 

ขอบพระคุณในทุกๆ ความเห็นค่ะ อาจจะเป็นอย่างที่คุณ ดีดีแมน เขียนเอาไว้ด้านบนก็เป็นได้ เพราะดิฉันมีโรคลม แน่นหน้าอกเป็นประจำอยู่น่ะค่ะ โมทนาในความเมตตาทุกๆท่านค่ะ

 

น้ำในหูอาการที่ผมเป็นนะ เมาทุกอย่างนะครับแหะๆ เมารถ เมาเรือ เมาคลื่นน้ำ(คนอื่นบอกเมาบก) บางคนเป็นมากแค่ยกเท้าข้ามขอบประตูนิดนึงหัวทิ่มดินเลยนะครับ แล้วเป็นไม่เลือกเวลาด้วยครับ ดังนั้นตัดอาการโรคนี้ได้เลยขอรับ ขอให้หายไวๆ นะครับ

 

ลองไปร่วมทำบุญสร้างห้องน้ำห้องส้วมถวายวัดดูนะครับ



.

 

ทําบุญแล้วอย่าลืมแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้แก่เขาเหล่านั้นด้วยนะครับ ขอให้หายเร็วๆนะครับ