อิทธิพล บาบิโลเนี่ยนในหลักคำสอนพระพุทธศาสนา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย DuchessFidgette, 30 ธันวาคม 2012.

  1. ~191~

    ~191~ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +19
    ข้อคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ อย่าถือสา เพราะไม่รู้จึงอยากรู้
    ที่อ่านกระทู้ของท่านคือต้องการข้อเท็จจริงของข้อมูลในการนำเสนอ เพราะเข้าใจว่าท่านได้อ่านและวิเคราะห์มาแล้วถึงกล้าเปิดประเด็น
    ว่าเป็น "เกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อยอยากเอามาลงเพราะเห็นมีคนเข้าใจศาสนาแบบผิดเพี้ยนกันไปเยอะมากสมัยนี้ เราควรเทิดทูน
    สิ่งที่ถูกต้องในพระไตรปิฏกและไม่กลับผิดเป็นถูก"
    เลยคิดว่าท่านคงจะมีข้อมูลที่ชัดเจนเพียงพอ ในการที่จะขยายความเปรียบเทียบให้เห็น"อิทธิพลบาบิโลเนี่ยนในหลักคำสอนพระพุทธศาสนา"ตามกระทู้ที่ท่านตั้ง
    แต่เมื่อท่านมีแต่แค่linkที่บอกว่าเป็นข้อมูลของเรื่อง
    ผมก็คงได้แต่กล่าวคำว่าสวัสดี.
     
  2. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    มาต่อเรื่องอิทธิพลของบาบิโลเนียต่อ นิกายมหายาน

    มาต่อเรื่องอิทธิพลของบาบิโลเนียต่อ นิกายมหายาน


    [​IMG]



    ในช่วงเวลาที่พุทธศาสนานิกายเซนที่ถูกส่งผ่านไปตามเส้นทางการค้าทรานส์เอเชีย
    ที่รู้จักกันเป็น ทางสายไหม , ศาสนาต่าง ๆ เช่น Mithraism ,
    ศาสนาของมิตรา และ อนาชิตา Anahita,
    โซโรอัสเตอร์ (บูชา เทพ อหุรา มาสด้า), กรีกบูชา วีรบุรุษท้องถิ่นเป็น พระเจ้าของศาสนาของ (Siyavush ใน
    Khorezm และ Sogd) ต้นพุทธศาสนามหายาน ฮินดู และ ศาสนาคริสต์ Nestrian ก็ต่าง เจริญรุ่งเรืองตามเส้นทางนี้
    ผู้บุกเบิกที่นำศาสนาพุทธเข้าสู่ประเทศจีน
    คือ ชาว พาเทียร์ และ แบกเธรีย จากอิหร่าน

    และเมืองทางผ่านคือ ซองเซียน่า ที่ซึ่งซึ่งรู้จักันในภาย
    หลังว่า ซองเดียน ในสมัย พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่
    ไปยึดซองเดียนและแต่งงานกับเจ้าหญิง โรซาน
    แห่งซองเดียนน่าโดยระหว่างการเผยแพร่ไปในจีน
    อิหร่านได้ใส่แนวคิดแบบตะวันตกเข้าไปในนิกาย
    มหายานด้วย เช่น แนวคิดเรื่อง
    ทฤษฎีความอยู่รอดของศาสนา พระผู้ช่วยให้รอด
    การเสนอแนวทางให้พ้นทุกข์ (คล้ายพระเจ้าของชาวตะวันตก)
    , พระศรีอริยเมตไตรย
    ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาในบาบิโลน
    ดังชื่อที่คล้ายกับชื่อเทพ บาบิโโลน เช่น เทพ มิททิยา

    ชาร์ตชื่อเทพ อิหร่านกับ ชื่อพระพุทธเจ้า


    [​IMG]


    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.2432479/[/MUSIC]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2013
  3. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301


    แต่มันเป็นงานที่นักวิชาการเขาต้องแปลภาษาโบราณมาเขาไม่เอามาเปิดเผยกันง่ายๆ ใครจะอ่านต้องซื้อหนังสือ หรือ จ่ายเงินโหลดเอกสารไปอ่าน ง่ายๆสั้นๆ ดิฉันเป็นคนตรงๆ ถ้ารู้ก็บอกว่ารู้ ไม่รู้ก็บอกไม่รู้ คำตอบก็คือ เขาไม่ได้บอกคะ ว่าของบาบิโลเนี่ยนเขียนว่าอย่างไร รู้แต่มีนักวิชาการที่เขียนนังสอเรื่องนิกายเถรวาท เขาบอกว่าเหมือนของบาบิโลเนี่ยน และส่วนที่เหมือนก็ที่คุณมานั้นแหละเรื่อง ห้ามเล่นไฟ ห้ามดุดวง ห้าม แสดงอวดอุตริต่างๆ


    Babylonian Omen Text
    เล่มนี้จะมีบอกเรื่องที่เทียบว่าเหมือนยังไง ก็อยากแปลให้ฟังอยู่หรอก แต่มันงานวิชาการเขาต้องแกะมาจากภาษาโบราณ คนอยากรู้ต้องซื้อหนังสือมาอ่านเอง เขาบอกแต่ว่าเหมือนกันแต่ไม่ยกตัวอย่างให้ดูเพราะงานวิจัยมีลิกขสิทธิ์
    JSTOR: An Error Occurred Setting Your User Cookie

    เดี๋ยวถ้ายังไงเดือนหน้าจะลองซื้อ หนังสือ ออนไน์นี้และจะมาแปลที่เขาว่าเหมือนให้ฟังละกัน /SIZE]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2013
  4. ~191~

    ~191~ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +19

    ตอนแรกก็คิดว่าจะลาคุณแล้ว จะไม่ถามอะไรคุณอีก แต่พอเห็นความกรุณาของคุณก็เลยต้องมาขอขอบคุณล่วงหน้าในความมีน้ำใจที่ตั้งใจเสียสละเขียนเสียสละทรัพย์ในการที่จะหาหนังสืออ้างอิงมาแปลให้อ่านครับ คือต้องบอกก่อนว่าผมไม่ได้เชื่อหรือไม่เชื่อในสิ่งที่คุณนำเสนอ ผมเพียงอยากรู้สึ่งที่ไม่เคยรู้ที่อาจจะเป็นข้อเท็จหรือจริงที่มีที่มาที่ไปชัดเจน ไม่ใช่อ้างแต่ความเชื่อที่ฟังๆตามกันมาโดยหาหลักฐานอะไรมาให้เห็นไม่ได้ หวังว่าคุณคงพอเข้าใจในความคิดที่ผมกล่าวมานะครับ จะรออ่านครับ
    ขอบคุณมากครับ.
     
  5. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ดิฉันได้ลองอ่านบางส่วนของ Babylonian Omen Texts แล้วนะคะแต่ยังไม่ถึงตอนที่เหมือนกับ พรามหชาลาสูตร แต่ก็ได้พบอะไรหลายๆอย่างในความเชื่อของชาว
    บาบีโลเนี่ยนที่คล้ายกับของศาสนาพุทธ มีการกล่าวว่า มนุษย์ผู้หญิงสามารถกลายเป็นมนุษย์ผู้ชายได้, สัตว์ชนิดหนึ่งสามารถกลายเป็นสัตว์อีกชนิดได้, เช่น เทพ จูปีเตอร์สามารถกลายเป็นวัว,
    แคดมัสสามารถกลายเป็นมังกร, นางมีเดียกลายเป็นปลา โดยมีเทพ ผู้หญิงนามว่า เทวี เซอร์ซี เป็นสัญลักษณ์แทน เวทมนตร์ โดยตำนานกล่าวว่า บุญ ของ เทวี เซอร์ซี สามารถเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตให้กลายเป็นอีกสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่ดีกว่า ได้โดยใช้บุญ หรือ ภาษาอังกฤษ คือ Virtue
    คุณธรรม การที่สัตว์ทำความดี จะทำให้สิ่งมีชีวิตนั้นๆสามารถกลายเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดที่ดีกว่า
    เหมือนกับชาดกที่พระพุทธเจ้าทรงเคยเกิด
    เป็นสัตว์ชนิดต่างๆและสามารถพูดได้





    นอกจากนี้ดิฉันยังเห็นรูปประโยคการเขียน บท และกฏต่างๆ ในความเชื่อจารึกของบาบิโลเนี่ยน ที่มีการเรียงคล้ายของศาสนพุทธ ในพระไตรปิฏก เช่น

    เพื่อนๆลองเทียบดูว่าสำนวนภาษา การเขียนคล้ายกันไหม




    ในโวหารของพระพุทธเจ้ามักจะมีการใช้ประธานของเรื่องนำเนื้อหา ว่าควรทำอย่างนี้ไหม
    ไม่ควรทำอย่างนี้ไหม โดยจะ ลีสต์ lists จาก สำคัญน้อยสุดไปยังสำคัญมากสุด ยกตัวอย่าง


    พุทธ
    หญิงนั้นมี บิดา ปกครอง
    หญิงนั้นมี มารดา ปกครอง
    หญิงนั้นมี พี่ชาย ปกครอง
    หญิงนั้นมี พี่สาว ปกครอง
    หญิงนั้นมี ครอบครัว ปกครอง
    หญิงนั้นมี ผู้จอง แล้วด้วยพวงมาลัย ลักษณะของการหมั้น
    หญิงนั้นมี พระราชา ปกครอง
    หญิงนั้นมี ธรรม ปกครอง



    คหบดี! ข้อที่จะรู้ว่าคนเหล่านี้เป็นพระอรหันต์หรือปฏิบัติอรหัตต มรรคนั้น
    เป็นสิ่งที่รู้ได้ยากสำหรับท่านผู้เป็นคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ผู้ยังมีการนอนเบียดบุตร
    บริโภคใช้สอยกระแจะจันทน์และผ้าจากเมืองกาสี ทัดทรงมาลาและเครื่องกลิ่นและ
    เครื่องผัดทา ยินดีอยู่ด้วยทองและเงิน.

    คหบดี ! ถึงแม้ภิกษุจะเป็นผู้ อยู่ป่าเป็นวัตร ถ้าเป็นผู้ฟุ้งซ่าน ถือตัว กลับกลอก
    พูดมาก มีวาจาไม่แน่นอน มีสติลืมหลง ปราศจากสัมปชัญญะ ไม่มีสมาธิ มีจิตหมุน
    ไปผิด มีอินทรีย์อันปล่อยแล้ว : ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุนั้น ควรถูกติเตียนด้วยองค์
    นั้นๆ.

    คหบดี ! ถึงแม้ภิกษุจะเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ถ้าเป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ ถือตัว ไม่
    กลับกลอก ไม่พูดมาก มีวาจาแน่นอน มีสติตั้งมั่น มีสัมปชัญญะ มีสมาธิ มีเอกัคคตา
    จิต สำรวมอินทรีย์ : ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุนั้นอันใครๆควรสรรเสริญด้วยองค์
    นั้นๆ.

    คหบดี!ถึงแม้ภิกษุจะเป็นผู้ อยู่ใกล้บ้าน ก็ดี....บิณฑบาตเป็นวัตร ก็ดี ....ฉันใน
    ที่นิมนต์ ก็ดี ....ถือผ้าบังสกุลเป็นวัตร ก็ดี ...นุ่งห่มคหบดีจีวร ก็ดี ถ้าเป็นผู้ฟุ้งซ่าน
    ถือตัว กลับกลอก พูดมาก มีวาจาไม่แน่นอน มีสติลืมหลง ปราศจากสัมปชัญญะ ไม่
    มีสมาธิ มีจิตหมุนไปผิด มีอินทรีย์อันปล่อยแล้ว : ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุนั้น ควรถูก
    ติเตียนด้วยองค์นั้นๆ.

    คหบดี!ถึงแม้ภิกษุจะเป็นผู้ อยู่ใกล้บ้าน ก็ดี....บิณฑบาตเป็นวัตร ก็ ดี ....ฉันใน
    ที่นิมนต์ ก็ดี ....ถือผ้าบังสกุลเป็นวัตร ก็ดี ...นุ่งห่มคหบดีจีวร ก็ดี ถ้าเป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน
    ไม่ถือตัว ไม่กลับกลอก ไม่พูดมาก มีวาจาแน่นอน มีสติตั้งมั่น มีสัมปชัญญะ มีสมาธิ
    มีเอกัคคตาจิต สำรวมอินทรีย์ : ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุนั้นอันใครๆควรสรรเสริญ
    ด้วยองค์นั้นๆ.

    เอาละ คหบดี! ท่านจงถวายทานในสงฆ์เถิด เมื่อท่านถวายทานใน สงฆ์อยู่,
    จิตจักเลื่อมใส ; ท่านเป็นผู้มีจิตอันเลื่อมใสแล้ว ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลาย
    แห่งกาย จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์.


    .......................................................................................................

    บาบิโลน


    ผู้หญิงให้กำเนิดเด็กชายสองคน ความอดอยากจะเหนือกว่าในดินแดนภายในของประเทศ
    จะเป็นพยานความโชคร้ายและ และความโชคร้ายจะเข้ามาในบ้านของพ่อของเขา

    ผู้หญิงให้กำเนิดเด็กชายสองคนแต่มี1ร่าง พ่อแม่จะเลิกกัน


    ผู้หญิงคนให้กำเนิดเด็กชาย1 และเด็กหญิง1 ความโชคร้ายจะมาเยือน
    ที่ดินจะลดลง

    ผู้หญิงให้กำเนิดลูกฝาแฝดที่หน้าติดกันหรือหลังติดกัน
    พระเจ้าจะละทิ้งประเทศกษัตริย์และลูกชายของเขาจะทิ้งเมือง

    ผู้หญิงคนให้กำเนิดลูกฝาแฝด ไม่มีจมูกหรือเท้าที่ดินจะน้อยลง

    ผู้หญิงคนให้กำเนิดลูกฝาแฝดในสภาพผิดปกติที่ดินจะพินาศ บ้านจะถูกทำลาย

    ผู้หญิงให้กำเนิดลูกฝาแฝดที่ด้านข้างติดกัน ดินแดนที่ปกครองโดยหนึ่งจะได้รับการควบคุมโดยสอง

    ผู้หญิงคนให้กำเนิดลูกฝาแฝดที่ด้านข้าง (และ) ทางขวามือหายไป,
    อาวุธของศัตรูจะฆ่าฉัน, ที่ดินจะลดลง, อ่อนแอจะนำมาซึ่งความพ่ายแพ้แก่ฉัน
    กองทัพจะต้องถูกทำลาย

    ผู้หญิงคนให้กำเนิดลูก.....

    ผู้หญิงคนให้กำเนิดลูก........blah blah

    และไล่ไปเรื่อยๆแบบนี้จนอันสุดท้าย จะมีรูปแบบ แบบประโยคการเขียน พระสูตรในศาสนาพุทธ คือ
    บทสุดท้ายจะดี หรือเป็นตัวสรุปรวมของเรื่องทั้งหมด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2013
  6. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    Edit

    "เรายินดีในพระพุทธรูป จึงได้ตรัสสอนเราว่า
    อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่า
    ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม
    ถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น"
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๓๓ หน้าที่ ๑๒๔/๔๐๘



    เรื่องแนวคิดการสร้างรูปเคารพเป็นอวิชานี้ก็ก็เป็นส่วนที่คล้ายกับ
    ศาสนาทางโลกตะวันตก ยุคใหม่, ที่มีพระเจ้าอยู่ในเอกภพ, อยู่ในใจของผู้
    ศรัทธา ให้สร้างพระเจ้าในศรัทธากันขึ้นมาเอง, และไม่อนุญาติให้มีการบูชารูปเคารพ
    ซึ่งศาสนาทางโลกตะวันตก ยุคใหม่
    ให้ภวานาจากจิตใต้สำนึกถึงพระเจ้าด้วยสมาธิของตัวเอง
    ซึ่งผิดกับศาสนาท้องถิ่นของอินเดียที่มีรูปเคารพ เช่นศาสนาฮินดู
    แต่ศา สนาที่ปฏิเศษรูปเคารพและการใช้ไสยเวทย์ จะเป็นศาสนาตระกูลยุคใหม่
    ดั่งในศาสนาตะวันตก เช่น โปรแตสแตนท์ ฮิบรู ยิว, manism และ อิสลาม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2013
  7. ~191~

    ~191~ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +19
    "กรรม(การกระทำ)เป็นเครื่องส่อเจตนา"
    ช่วงเวลาในการรออ่าน คำแปลที่ท่านสัญญาไว้ ผมก็ขออนุญาติ ติเตียนรูปแบบการนำเสนอของท่านที่ทำอยู่
    ผมไม่ทราบว่าท่านมีจุดประสงค์อะไร เพราะที่ท่านตั้งไว้ว่าเป็น "เกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อยอยากเอามาลงเพราะเห็นมีคนเข้าใจศาสนาแบบผิดเพี้ยนกันไปเยอะมากสมัยนี้ เราควรเทิดทูนสิ่งที่ถูกต้องในพระไตรปิฏกและไม่กลับผิดเป็นถูก"
    แต่ที่ท่านEditคำกล่าวในพระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๓๓ หน้าที่ ๑๒๔/๔๐๘
    ว่า
    "เรายินดีในพระพุทธรูป จึงได้ตรัสสอนเราว่า
    อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่า
    ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม
    ถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น"
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๓๓ หน้าที่ ๑๒๔/๔๐๘


    [/QUOTE]
    แล้วสรุปเอาเองว่า
    "คล้ายกับศาสนาทางโลกตะวันตก ยุคใหม่, ที่มีพระเจ้าอยู่ในเอกภพ และไม่อนุญาติให้มีการบูชารูปเคารพ "
    ข้อนี้ผมขอติคือ
    ข้อความที่ท่านEditอ้างนั้นไม่มีความสัมพันธ์ที่จะโยงไปเกี่ยวกับรื่องแนวคิดการสร้างรูปเคารพเป็นอวิชาที่ท่านสรุปเลยครับ
    เหตุที่ผมบอก ข้อความนี้ ไม่เกี่ยวเพราะ
    ข้อความที่ท่านEditมาอ้างป็นคำกล่าวของพระเถระชื่อวักกลิ อยู่ในปิฎกที่ว่าด้วยบุพจริยาของพระเถระที่พระพุทธเจ้าย่กย่องว่าเป็นเอตทัคคะ
    เรื่องย่อๆคือ พระวักกลิเถระผู้เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายสัทธาธิมุติ ได้เล่า(ภาษิตคาถา)ว่าที่ท่านได้เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายสัทธาธิมุติก็เพราะในชาติที่ท่านเกิดในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระท่านมีศรัทธาในพระพุทธเจ้าปทุมุตระมากจนพระพุทธเจ้าปทุมุตระได้ตรัสชมเชยและตรัสว่าอนาคตกาล มาณพผู้นี้จักได้เป็นพระสาวกของพระโคดมผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายสัทธาธิมุติ ในตอนเยาว์วัยมารดาท่านยกท่านให้กับพระพุทธเจ้า
    ท่านบวชเมื่ออายุได้7ขวบ ท่านมีความชอบที่จะได้ดูพระรูปอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า ครั้นพระพุทธเจ้าทรงทราบว่าพระวักกลิยินดีในพระรูปของพระองค์
    จึงได้ตรัสสอนว่า"อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่า ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม
    ถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น กายมีโทษไม่สิ้นสุด เปรียบเสมอด้วยต้นไม้มีพิษ เป็นที่อยู่ของโรคทุกอย่าง ล้วนเป็นที่ประชุมของทุกข์เพราะฉะนั้น ท่านจงเบื่อหน่ายในรูป พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย จักถึงที่สุดแห่งสรรพกิเลสได้โดยง่าย" พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรมเทศนา คือ ความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลายอีก เมื่อพระวักกลิรู้ธรรมนั้นทั่วถึงแล้ว จึงได้บรรลุอรหัต กาลครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคทรงประกาศในท่ามกลางมหาบุรุษว่า พระวักกลิเถระเป็นเอตทัคคะผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายสัทธาธิมุติ นี้เป็นผลจากในอดีตได้กระทำพุทธบูชามีศรัทธาในพระพุทธเจ้า.
    จบ วักกลิเถราปทาน.โดยสังเขป
    อ้างอิงเวป
    E-Tipitaka | Compare
    จะเห็นได้ว่าไม่มีข้อความอันหนึ่งอันใดเลย ที่กล่าวถึงการสร้างรูปเคารพเป็นอวิชาที่ท่านสรุปเลยครับ.

    วันนี้วันที่5มกราคม2556เป็นวันพระแรม8ค่ำเดือน1 ต้องสำรวมรักษาศิลข้อ4ให้ได้นะ.
     
  8. white sky

    white sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +118
    แนวคิดพระเจ้าที่ไม่ได้เป็นตัวเป็นตนคือเปลี่ยนจากผู้ยิ่งใหญ่ ที่เป็นองค์ ๆ มีรูปแบบคน ไปเป็นสิ่งยิ่งใหญ่เหลืออันเดียว และหลุดพ้นจากรูปแบบคนไป มีมาก่อนพุทธแล้วก็คือพราหมณ์นั่นเองครับ อยู่ในความรู้ที่เรียกว่า อาตมัน ปรมาตมัน อะไรทำนองนั้น พระพุทธเจ้าท่านรู้จักดี ก็คือการฝึกสมาธิ ทำฌานของพวกฤาษี(จะเป็นของบาบิโลน อินตู อะไรก็แล้วแต่เถอะ) ที่เป็นที่นิยมกันมาก เขาก็ทำกันมาตั้งนานแล้ว และว่ากันว่านั่นแหละที่สุดแล้ว สมัยเป็นเจ้าชายสิทธัตถะท่านก็ไปฝึกพวกนี้แหละ

    แต่ สุดท้ายท่านไม่เห็นว่ามีสาระแก่นสารอะไร ไม่ได้ไปถึงเหตุแห่งการตัดรากถอนโคนจริง ท่านหันหลังให้ และออกปฏิบัติต่อไปด้วยตนเอง ท่านค้นพบกระบวนการที่เรียกว่า วิปัสนา ครับ ที่ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าปัญญา ปัญญานั้นจะเข้าไปเห็นแจ้งใน ปฏิจสมุปบาท หรือกระแสแห่งทุกข์ จนหลุดพ้นจากกระแสแห่งอวิชชา เป็นอันพ้นทุกข์ในที่สุด การจะหลุดพ้นจากกระแสอวิชชา จะต้องมาจาก เหตุคือ มรรค8 เท่านั้น มรรค8 เกิดขึ้นโดยอาศัยจุดตั้งต้นคือ มหาสติปัฏฐาน จะทำให้ มรรค8 นั้น ระดมกำลังขึ้นมาก จนเกิดสิ่งที่เรียกว่า สัมมาสมาธิ ไม่ใช่ สมาธิ เฉย ๆ นะครับ สมาธิเฉย ๆ ก็ไปได้สูงสุดคือ อรูปภูมิ เปรียบเทียบภูมิแล้ว ก็คือ อรูปพรหม พรหมทั้งหลายแหล่ ก็คือ พระเป็นเจ้าที่ดูเหมือนไร้รูปลักษณ์ ตามที่พวกพรามหณ์(หรืออาจเป็นพวกบาบิโลนอะไรนั่น)กันนั่นแล ระดับพรหมภูมิก็หลุดพ้นความเข้าใจของมนุษย์ไปมากแล้ว แต่อย่างไรเสียก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนิพพานของพระพุทธเจ้าครับ เราจึงสรุปไม่ได้ว่า อ้อพระเป็นเจ้าก็อย่างเดียวกับที่พระพุทธเจ้าพบ เหตุต่างกันผลย่อมต่างกัน เหตุแห่งนิพพานหรือนิโรธอันพ้นอวิชชา คือการดำเนิน มรรค8เท่านั้น

    เราหลุดพ้นไปสู่นิพพานไม่ได้ ด้วยวิธีการ ศรัทธานิพพานมาก ๆ รักนิพพานสุดจิตสุดใจ ทำความดีถวายนิพพานมาก ๆ หรือกราบไหว้อ้อนวอนนิพพานวันละห้าเวลา ไม่กราบไหว้เทวรูป ฯลฯ นั่นไม่ใช่เหตุที่จะทำให้นิพพานหรือหลุดพ้นจากอวิชชาได้เลยครับ มหาสติปัฏฐาน มรรค8 ปฏิจสมุปบาท ไตรลักษณ์ และที่สำคัญ อนัตตา ไม่มีนักบวชพวกไหนนอกศาสนาพุทธเคยสอนเลยครับ แต่ถ้าเป็นส่วน มหายาน อันนี้ต้องทำใจเขาหลุดจากทางระยะใกล้ไปมากแล้ว เขาไม่ค่อยใส่ใจเรื่องนิพพานกันเพราะจะเดินทางไกล จึงมีเรื่องราวมากมายที่ไปคลุกปนเปอยู่กับพราหมณ์ ซึ่งก็อาจเป็นที่ไม่กระจ่างสำหรับคนตะวันตกต่างชาติ ที่ยังลงลึกในศาสนาพุทธไม่พอ
     
  9. ~191~

    ~191~ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +19
    +1ตามนั้น
    และนั่นละครับที่เป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาหมดไปจากอินเดีย.
    อ้างอิงจากเวป
    ศาสนาพุทธลัทธิตันตระ - วิกิพีเดีย
    นาลันทา - วิกิพีเดีย
     
  10. ซงแทฮา

    ซงแทฮา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +386
    ความรู้ของคุณ ได้มาจากตำราเป็นหลัก แต่ผมสงสัยว่าที่คุณรู้นี่คุณแน่ใจนะครับว่าคุณรู้จริงๆๆ เช่น มรรค8 ปฏิจสมุปบาท ไตรลักษณ์ และที่สำคัญ อนัตตา ไม่มีนักบวชพวกไหนนอกศาสนาพุทธเคยสอนเลยครับ
    คุณแน่ใจนะ ไม่ใช่แน่ใจเพราะ เขาใช้คำอื่นพูด ไม่ได้ใช้คำว่า มรรค8 ปฏิจสมุปบาท ไตรลักษณ์ และที่สำคัญ อนัตตา แต่ไปใช้คำพูดอื่่นแทน เหมือน แมว กับ cat เป็นคนละคำแต่พูดถึงสัตว์ชนิดเดียวกัน

    ส่วน มหายาน อันนี้ต้องทำใจเขาหลุดจากทางระยะใกล้ไปมากแล้ว เขาไม่ค่อยใส่ใจเรื่องนิพพานกันเพราะจะเดินทางไกล จึงมีเรื่องราวมากมายที่ไปคลุกปนเปอยู่กับพราหมณ์ ซึ่งก็อาจเป็นที่ไม่กระจ่างสำหรับคนตะวันตกต่างชาติ ที่ยังลงลึกในศาสนาพุทธไม่พอ

    คุณแน่ใจนะ คำพูดนี้ว่าสิ่งที่คุณรู้นะ คุณรู้จริงๆๆ
     
  11. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    ข้อความข้างบนพระพุทธรูป ไม่ใช่หมายถึง รูปปั้น รูปเคารพ อย่างที่สร้างกันเกลื่อนในปัจจุบันนะครับ หมายถึงพระรูปของพระพุทธเจ้า
    แต่ก็เนอะ ขนาดร่างกายของพระพุทธเจ้าที่ประกอบไปด้วย มหาปุริสลักษณะ 32 อนุพยัญชนะ 80 ประการ ท่านยังกล่าวว่าร่างกายเป็นโทษเลย แล้วจะไปนับประสาอะไรกับรูปปั้น รูปเคารพ

    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=33&A=2767&Z=2841
     
  12. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301

    แล้วสรุปเอาเองว่า
    "คล้ายกับศาสนาทางโลกตะวันตก ยุคใหม่, ที่มีพระเจ้าอยู่ในเอกภพ และไม่อนุญาติให้มีการบูชารูปเคารพ "
    ข้อนี้ผมขอติคือ
    ข้อความที่ท่านEditอ้างนั้นไม่มีความสัมพันธ์ที่จะโยงไปเกี่ยวกับรื่องแนวคิดการสร้างรูปเคารพเป็นอวิชาที่ท่านสรุปเลยครับ
    เหตุที่ผมบอก ข้อความนี้ ไม่เกี่ยวเพราะ
    ข้อความที่ท่านEditมาอ้างป็นคำกล่าวของพระเถระชื่อวักกลิ อยู่ในปิฎกที่ว่าด้วยบุพจริยาของพระเถระที่พระพุทธเจ้าย่กย่องว่าเป็นเอตทัคคะ
    เรื่องย่อๆคือ พระวักกลิเถระผู้เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายสัทธาธิมุติ ได้เล่า(ภาษิตคาถา)ว่าที่ท่านได้เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายสัทธาธิมุติก็เพราะในชาติที่ท่านเกิดในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระท่านมีศรัทธาในพระพุทธเจ้าปทุมุตระมากจนพระพุทธเจ้าปทุมุตระได้ตรัสชมเชยและตรัสว่าอนาคตกาล มาณพผู้นี้จักได้เป็นพระสาวกของพระโคดมผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายสัทธาธิมุติ ในตอนเยาว์วัยมารดาท่านยกท่านให้กับพระพุทธเจ้า
    ท่านบวชเมื่ออายุได้7ขวบ ท่านมีความชอบที่จะได้ดูพระรูปอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า ครั้นพระพุทธเจ้าทรงทราบว่าพระวักกลิยินดีในพระรูปของพระองค์
    จึงได้ตรัสสอนว่า"อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่า ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม
    ถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น กายมีโทษไม่สิ้นสุด เปรียบเสมอด้วยต้นไม้มีพิษ เป็นที่อยู่ของโรคทุกอย่าง ล้วนเป็นที่ประชุมของทุกข์เพราะฉะนั้น ท่านจงเบื่อหน่ายในรูป พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย จักถึงที่สุดแห่งสรรพกิเลสได้โดยง่าย" พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรมเทศนา คือ ความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลายอีก เมื่อพระวักกลิรู้ธรรมนั้นทั่วถึงแล้ว จึงได้บรรลุอรหัต กาลครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคทรงประกาศในท่ามกลางมหาบุรุษว่า พระวักกลิเถระเป็นเอตทัคคะผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายสัทธาธิมุติ นี้เป็นผลจากในอดีตได้กระทำพุทธบูชามีศรัทธาในพระพุทธเจ้า.
    จบ วักกลิเถราปทาน.โดยสังเขป
    อ้างอิงเวป
    E-Tipitaka | Compare
    จะเห็นได้ว่าไม่มีข้อความอันหนึ่งอันใดเลย ที่กล่าวถึงการสร้างรูปเคารพเป็นอวิชาที่ท่านสรุปเลยครับ.

    วันนี้วันที่5มกราคม2556เป็นวันพระแรม8ค่ำเดือน1 ต้องสำรวมรักษาศิลข้อ4ให้ได้นะ.[/QUOTE]


    ถ้าจะถามจุดประสงค์ของดิฉันจริงๆก็คงจะต้องตั้งเป็นกระทู้ใหม่ แต่เนื้อหาค่อนข้างแรงยิ่งกว่ากระทู้นี้เลยคิดมาว่าไม่ตั้งดีกว่า เดี๋ยวมีคนทะเลาะกัน จะมาพลานหาว่าดิฉันนอกรีต แต่ใจจริงอยากนำเสนอ แนวคิดหม่ของ ท่าน วิเวกกะนันทาไม่ทราบว่าคุณเคยได้ยินชื่อท่านผู้นี้หรือไม่ เป็นแนวคิดศาสนาแนวใหม่ของพรหามณ์ที่กล่าวถึงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการมีศาสนา และศาสนาที่แตกต่างกัน แต่ที่แท้ก็คือการอยากพ้นทุกข์ แต่ไม่มีศาสนาใดตายตัวว่า สิ่งใดที่ทำให้พ้นทุกข์แน่แท้ อีกประการคุณไม่สามารถปฏิเศทเรื่องศาสนาพุทธ วิวัฒน์ มาจาก ไอเดียของหลายศาสนาโบราณ ดิฉันยอมรับเรื่องพระพุทธองค์ ค้นคว้าเรื่องนิพพานเป็นผู้แรก เหมือน ไอสไตน์ค้นพบทฤษฏีสัมพันธภาพ แต่ก่อนหน้านั้นไอสไตน์ต้องเรียนฟิสสิกมาจากตำราของนักวิทยาศาสตร์คนก่อนหน้าเช่นกัน ดิฉันไม่เห็นว่ามีอะไรที่ท่านจะต้องโมโห ก็แค่ความเห็นต่างและจากสิ่งที่ดิฉันอ่านนักโบราณคดีฝรั่งเขาว่ามา ความจริงเคยเจอที่ฝรั่งเขียนแรงกว่านี้ แต่ก็เอามาเล่าให้ฟังเป็นข่าวอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง
     
  13. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    นอกจากนี้นักวิชาการยังกล่าวอีกว่าสัญญลักษณ์ธรรมจักร
    แทนศาสนาพุทธและฮินดูที่ตีความหมายมาจาก
    การเวียนว่ายตายเกิดนั้น มีนัยยะว่า เชื่อมโยงกับ
    การบูชาเทพพระอาทิตย์ในศาสนาขงบาบิโลเนีย
    โดยพระอาทิตย์แทนความหมายของการวนเกิดวน
    ดับขึ้นและตกลงในตอนเช้าและเย็นทำให้สรรพสิ่งเกิดและตาย
     
  14. ซงแทฮา

    ซงแทฮา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +386
    ขอเสริมครับคำว่านิพพาน มีมาตั้งแต่ในอุปนิษัทเดิมแล้วครับ เก่ากว่ายุคพระพุทธเจ้าแน่นอน ยกเอาวิเวกานันทะขึ้นมาด้วย ท่านผู้นี้มีบทบาทมากในการเอาฮินดูไปให้ฝรั่งรู้จัก โดยเฉพาะ กรรมโยคะ ที่ติดปากฝรั่งก็ฝีมือท่านผู้นี้(เพื่อบางคนไม่รู้จัก)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2013
  15. ~191~

    ~191~ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +19
    ต้องขออภัยท่านด้วย ถ้าท่านเข้าใจว่าที่ผมติเตียนท่านนั้นเป็นเพราะผมโมโหในความเห็นต่าง
    ต้องบอกว่าท่านเข้าใจผมผิดนะครับ เพราะในrep#74ผมได้เน้นบอกท่านก่อนแล้วว่า
    "ผมไม่ได้เชื่อหรือไม่เชื่อในสิ่งที่คุณนำเสนอ ผมเพียงอยากรู้สึ่งที่ไม่เคยรู้ที่อาจจะเป็นข้อเท็จหรือจริงที่มีที่มาที่ไปชัดเจน ไม่ใช่อ้างแต่ความเชื่อที่ฟังๆตามกันมาโดยหาหลักฐานอะไรมาให้เห็นไม่ได้"

    แล้วในrep#77ผมก็นำข้อมูลที่ท่านEditอ้าง มาชี้ให้ท่านเห็นว่ามันมีข้อเท็จจริงที่มีที่มาที่ไปอย่างไร ไม่มีข้อความที่เกี่ยวกับบทสรุปของท่านเลยอย่างไร
    เพราะอยากให้ท่านทำให้ถูกต้องในการนำเสนอ ตามที่ท่านตั้งไว้ว่าเป็น "เกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อยอยากเอามาลงเพราะเห็นมีคนเข้าใจศาสนาแบบผิดเพี้ยนกันไปเยอะมากสมัยนี้ เราควรเทิดทูนสิ่งที่ถูกต้องในพระไตรปิฏกและไม่กลับผิดเป็นถูก"

    ผมว่าถ้าท่านจะตั้งกระทู้ก็อยากให้ตั้งให้ตรงกับจุดประสงค์ของตัวเองที่จะนำเสนอดีกว่าจะได้ง่ายในการนำเสนอ ส่วนการถกเถียงกัน(ในความคิดท่านคือทะเลาะกัน)
    ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นในบอร์ดสาธารณะแห่งนี้ ผมเห็นเป็นเรื่องปกติของผู้มีความคิดต่างเพียงขอให้มีข้อมูลมาอ้างให้เห็นในการถกเถียงและอย่าใช้อารมณ์และถ้อยคำหยาบคายรุนแรงแค่นี้ก็ไม่น่าตำหนิแล้ว
    หวังว่าท่านคงเข้าใจและให้อภัยผม
    ขออภัยด้วยครับ.
     
  16. kt984

    kt984 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +51
    ที่มาที่ไปมาจากกระทู้นีครับ


    http://palungjit.org/threads/เบาะแส...อ-แผ่นดินพม่าและไทย.400180/page-3#post7203854


    พอดีมีที่มาคุยค้างกันหยู่อารมเลยพา ภาษไปครับ


    น้อยอยากเอามาลงเพราะเห็นมีคนเข้าใจศาสนาแบบผิดเพี้ยนกันไปเยอะมากสมัยนี้ เราควรเทิดทูน
    สิ่งที่ถูกต้องในพระไตรปิฏกและไม่กลับผิดเป็นถูก"
     
  17. kt984

    kt984 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +51
    เป็น การคุยเรื่องที่ประสูตรครับว่าที่ใหน ไทย ลาว พม่า และอินเดีย
    เลยเป็นที่มาของกระทู้นีครับ
     
  18. ~191~

    ~191~ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +19
    ขอโทษครับ ผมรบกวนถามครับว่าเรื่องที่ท่านว่า เกี่ยวข้องอย่างไรกับ"อิทธิพลบาบิโลเนี่ยนในหลักคำสอนพระพุทธศาสนา"ในกระทู้นี้ครับ
    ช่วยอธิบายให้กระจ่างทีครับ
    ขอบคุณครับ.
     
  19. kt984

    kt984 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +51

    ถ้าจะถามจุดประสงค์ของดิฉันจริงๆก็คงจะต้องตั้งเป็นกระทู้ใหม่ แต่เนื้อหาค่อนข้างแรงยิ่งกว่ากระทู้นี้เลยคิดมาว่าไม่ตั้งดีกว่า เดี๋ยวมีคนทะเลาะกัน จะมาพลานหาว่าดิฉันนอกรีต แต่ใจจริงอยากนำเสนอ แนวคิดหม่ของ ท่าน วิเวกกะนันทาไม่ทราบว่าคุณเคยได้ยินชื่อท่านผู้นี้หรือไม่ เป็นแนวคิดศาสนาแนวใหม่ของพรหามณ์ที่กล่าวถึงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการมีศาสนา และศาสนาที่แตกต่างกัน แต่ที่แท้ก็คือการอยากพ้นทุกข์ แต่ไม่มีศาสนาใดตายตัวว่า สิ่งใดที่ทำให้พ้นทุกข์แน่แท้ อีกประการคุณไม่สามารถปฏิเศทเรื่องศาสนาพุทธ วิวัฒน์ มาจาก ไอเดียของหลายศาสนาโบราณ ดิฉันยอมรับเรื่องพระพุทธองค์ ค้นคว้าเรื่องนิพพานเป็นผู้แรก เหมือน ไอสไตน์ค้นพบทฤษฏีสัมพันธภาพ แต่ก่อนหน้านั้นไอสไตน์ต้องเรียนฟิสสิกมาจากตำราของนักวิทยาศาสตร์คนก่อนหน้าเช่นกัน ดิฉันไม่เห็นว่ามีอะไรที่ท่านจะต้องโมโห ก็แค่ความเห็นต่างและจากสิ่งที่ดิฉันอ่านนักโบราณคดีฝรั่งเขาว่ามา ความจริงเคยเจอที่ฝรั่งเขียนแรงกว่านี้ แต่ก็เอามาเล่าให้ฟังเป็นข่าวอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง
    [/QUOTE]


    แลวท่านคิดเห็นหย่าง เรื่องรูปเคารพของพระองค์
    ท่าคิดว่า พระองค์ยิดดีให้ทำรูปเคารพหรือไม่
    ท่านคิดหย่าวไรกับชื่อกระทู ควรตังชื่อกระทูว่าอะไร
     
  20. kt984

    kt984 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +51

    ใจร้อนจังรออ่านต่อไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...