ยังมีปริศนาชาวมายัน !?!?! ที่ไม่เกี่ยวกับวันสิ้นโลก

mahamettayai · 23 ธันวาคม 2012

ยังมีปริศนา
ชาวมายัน !!!
ที่ไม่เกี่ยวกับวันสิ้นโลก

และแล้วชาวโลกก้อรอดพ้นจากความหวาดเสียวในวันที่ 21/12/2012 กันมาได้ด้วยดี

จริงๆ ช่วงนี้ก้อยังล้นทะลักกับเรื่องวันสิ้นโลกอยู่ พอมาเห็นเรื่องราวของชาวมายันที่ไม่เกี่ยวข้องกับวันสิ้นโลก
เป็นเรืองราวความเจริญทางอารยธรรมด้านอื่นๆ ของพวกเขา คิดว่าน่าสนใจดี(ขออนุญาตท่านที่ยังไม่หลุดฟีลล์ออกจากเรื่องวันสิ้นโลก เปลี่ยนฟีลล์มั่งอ้ะ)

ส่วนตัวสนใจเรืองชนเผ่าโบราณที่มีอารยธรรมอันลึกลับพิศวง รอให้คนรุ่นหลังๆ ไปไขปริศนาอยู่แล้ว ทั้งอินคา แอสแท็ค มายันและอื่นๆ
แต่ไม่ค่อยได้ศึกษาอย่างละเอียดลึกซึ้งซักเท่าไร ถ้าท่านใดที่ศึกษามาอย่างลึกซึ้งกว่านี้ ก้อขออภัยและอย่าว่ากันนะค้า

มาดูกันว่า สิ่งที่ยังหลงเหลือให้ชาวโลกปวดห้วกับการไขปริศนา
นอกเหนือจากปฏิทินมายันอันโด่งดังแล้ว ยังมีอะไรอีกบ้าง ???

รูปที่ 1 เป็นที่เชื่อกันว่าอารยธรรมของมายา ชนเผ่าผู้รุ่งเรืองด้วยศิลปะ, สถาปัตยกรรม,
คณิตศาสตร์ รวมไปถึงดาราศาสตร์ ในช่วง ค.ศ. 250-900ได้สูญสิ้นไปหมดแล้ว

แต่ Emiliano Gallaga Murrieta ผู้อำนวยการสถาบันมานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์แห่งชาติของเม็กซิโก ไม่คิดเช่นนั้น
เพราะเขาเชื่อว่า แม้ชาวมายันจะไม่ได้อยู่อาศัยในเมืองใหญ่ๆหรือศูนย์กลางใดๆอีกต่อไป
แต่พวกเขาได้กระจายแยกย้ายเป็นกลุ่มเล็กๆไปอยู่รอบผืนป่าต่างหาก

แล้วทำไมอารยธรรมมายาถึงล่มสลาย?

อาจเป็นเพราะว่า........(ซึ่งในเว็บนี้บอกว่ามีหลายข้อสันนิษฐาน )

- การขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ:
ชาวมายันขาดแหล่งน้ำ ไม้ และดินที่เหมาะสม เพราะพวกเขาต้องใช้ทรัพยากรเหล่านั้นในโครงการก่อสร้างและการรักษาอารยธรรม
ส่งผลกระทบเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ทำให้ชาวมายันต้องย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยไปยังพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์มากกว่า

- สงคราม:
ผลของสงครามอาจจะกว้างขวางเกินควบคุม ไม่ว่าจะเป็นสงครามจากเมืองใกล้ๆ หรือผู้บุกรุก(ชาวผิวขาว ) และก่อสงคราม จากแดนไกลก็ตาม

- การค้า:
เมื่อการหมุนเวียนสินค้าตกต่ำ ทำให้เป็นอุปสรรคต่อระบบสังคม การเมือง และกระบวนการทางเศรษฐกิจของเมืองใหญ่ๆเช่นนี้

สันนิษฐานว่า ปัจจัยทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมา น่าจะมีผลต่อการปรับตัวของชาวมายันให้อยู่รอดมาจนถึงสังคมปัจจุบันอย่างลำบากยากเย็น ?!?!?

รูปที่ 2 วิหาร Bonampak คือสถานศักดิ์สิทธิ์ของชาวมายันที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อช่วงศตวรรษที่ 6-9

โดยผลงานจิตรกรรมในวิหารนี้ยังคงความสมบูรณ์ต่างจากศิลปะในโบราณสถานอื่นๆเพราะมีรอยร้าวที่โครงสร้างของหลังคาโค้ง
(ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นความผิดพลาดของมนุษย์เอง หรือผลกระทบจากแผ่นดินไหว)
ทำให้น้ำสามารถซึมผ่านรอยรั่ว ชะล้างเอาความเป็นเกลือของโครงสร้างหินปูน
จนก่อให้เกิดชั้นเกลือบางๆที่ปกคลุมและรักษาผลงานจิตกรรมฝาผนังให้คงทนอยู่จนทุกวันนี้ได้ (เป็นเรื่องดีซะอีก)

รูปที่ 3 ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสีย้อมยุคก่อนประวัติศาสตร์ Luis Torres-Montes
ระบุว่า สีฟ้าที่ชาวมายันใช้ในผลงานศิลปะนั้นเป็นหนึ่งในที่สุดของปริศนาของมนุษยชาติ

เพราะสีย้อมดังกล่าวมีความคงทนต่ออุณหภูมิสูง ทนต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ทนกรด-ด่าง และยังทนต่อกระบวนการกับก๊าซอ็อกซิเจนอีกด้วย
นักวิจัยหลายต่อหลายรุ่นพยายามหาคำตอบว่าชาวมายันสามารถค้นพบส่วนผสมที่ทำให้สีคงทนนานเป็นศตวรรษได้อย่างไร
โดยส่วนผสมนั้นประกอบไปด้วยดินโคลนต่างๆ พืชที่ให้สีคราม รวมทั้ง ความร้อน แล้วยังมีส่วนผสมอื่นๆที่หาจากธรรมชาติได้ยากยิ่ง

รูปที่ 4 Pacal ผู้เป็นมหาราช ผู้ปกครองมายาในช่วง ค.ศ. 615-683
ถูกฝังในวิหาร Temple of Inscriptions รัฐเชียปัส ประเทศเม็กซิโก

โดยสุสานนี้ได้แสดงให้เห็นว่า Pacal ได้เดินทางลงใต้ต้นไม้แห่งชีวิต (Tree of Life) ลงไปสู่ยมโลก
นักโบราณคดีและผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาได้ถอดความหมายของอักษรโบราณได้ว่า มหาราชผู้นี้เสียชีวิตลงด้วยวัย 80 ปี
แต่พอเปิดโลงศพดูแล้วกลับเผยให้เห็นร่างของช่ายวัยประมาณ 50 ปี
Juan Antonio Ferrer ผอ.โบราณสถานเมืองหลวงของชาวมายันได้กล่าวว่า อายุของสุสานนั้นเป็นเรื่องที่น่าตั้งคำถาม
เพราะนับตั้งแต่มีการค้นพบมา หินงอกหินย้อยในห้องใต้ดินดังกล่าวก่อตัวขึ้นช้ากว่าปกติมาก

รูปที่ 5 การเล่นบอลของชาวเมโสอเมริกัน ชนพื้นเมืองโบราณแถบอเมริกากลาง
เป็นกีฬาที่มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ยุค 1400 ปีก่อนคริสตกาล ที่ทำการเล่นในสนามดังภาพ
(อ่อ พวกละตินอเมริกันมีบรรพชนเล่นบอลมานานนมแล้วนี่เอง )

Marta Turok นักมานุษยวิทยาผู้เชี่ยวชาญเกมกีฬาโบราณนี้ได้อธิบายว่า มันไม่ใช่พิธีกรรมทางศาสนาแต่เป็นกิจกรรมสันทนาการ
เพราะมันต้องใช้ความสามารถในการควบคุมลูกบอลเป็นอย่างมาก
โดยเกมกีฬาดังกล่าวเป็นตัวแทนของการปะทะกันของพลังต่างๆ เช่น ความดีกับความชั่ว กลางคืนกับกลางวัน
เช่นเดียวกับที่ดวงดาวมีผลต่อวัฏจักรของฤดูกาล การพ่ายแพ้หรือชัยชนะก็ถูกเชื่อว่ามีผลต่อฤดูกาล และพลังงานต่างๆของธรรมชาติอีกด้วย

สิ่งหนึ่งที่คล้ายคลึงและหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันก็คือ Ulama กีฬาพื้นบ้านของรัฐซีนาโลอา ในเม็กซิโก ที่ใช้ลูกบอลเล่นเช่นเดียวกัน
Luis Fernando Uscanga ผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อตัวของยางธรรมชาติ ได้กล่าวถึงลูกบอลยางที่ใช้ในเกมว่า
เป็นยางที่มาจากน้ำเลี้ยงของต้นไม้ตระกูลยาง ที่ถูกเก็บรวบรวมมาตากแห้ง แล้วนำไปผสมกับกรดอะซิติก
ชาวมายันผลิตลูกยางนี้ด้วยการใช้น้ำยางหล่อทีละชั้นๆ ปล่อยให้แห้ง จนกว่าจะได้ขนาดและน้ำหนักที่ต้องการ

รูปที่ 6 200 ลิตรของน้ำยาง จากต้นไม้ 500 ต้น ถูกใช้เพื่อผลิตลูกบอลในเกมกีฬานี้

ขณะที่ 250 มิลลิลิตร คือปริมาณน้ำยางที่เก็บได้ต่อหนึ่งต้นต่อหนึ่งวัน

รูปที่ 7 โบราณสถานของชาวมายันมีมากซะจนนักโบราณคดียังไม่สามารถไล่รายชื่อได้หมด
รายการการศึกษาครั้งหนึ่งได้ลงไว้ว่ามีกว่า 4,400 แห่ง

แต่ในปัจจุบันมีโบราณสถานของชาวมายันเพียงแค่ 7 แห่งที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้เท่านั้น'

รูปที่ 8 จำนวนเงินประมาณ 3.5 ล้านบาท คืองบประมาณรายเดือนในการบำรุงรักษาเขตโบราณสถาน
ขณะที่รายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมต่อเดือนนั้นอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านบาทเศษๆเท่านั้น

รูปที่ 9 มีเมืองที่ถือเป็นมรดกของอารยธรรมมายาอยู่ 3 เมืองคือ Comitán,
San Cristóbal และ Chiapa de Corzo

รูปที่10 เพื่อเยียวยาความต้องการแบ่งแยกดินแดนของกลุ่มปฏิวัติซ้ายจัด Zapatista ในรัฐเชียปัส
ทางการเม็กซิโกได้พยายามปรับโครงสร้างของประเทศขึ้นใหม่

โดยหนึ่งในนั้นคือนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวที่สามารถชักจูงให้ปริมาณนักท่องเที่ยวในทุกๆเขตโบราณสถานเพิ่มขึ้นจาก 300 คน/ปี เป็น 400 คน/เดือนได้เลยทีเดียว'

เครดิตที่มาเรื่องและรูปภาพ พวกมายันสิ้นสูญไปแล้วจริงหรอ? - เผยปริศนาชาวมายัน - Latest Going-Out Photos