ยุคก่อนมีพระพุทธรูป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 6 ธันวาคม 2012.

  1. คนเพนจร

    คนเพนจร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +27
    ไม่ต้องงกังวลว่าที่ท่านโพสแลัวลบไปจะหาย เพราะผมเก็บไว้ให้ทุกโพสต์ทุกกระทู้ของท่านเผื่อลืม จะได้ช่วยเตือนความทรงจำให้
     
  2. คนเพนจร

    คนเพนจร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +27
    จาก พจนานุกรม ไทย ราชบัณฑิตยสถาน
    พุทธปฏิมากร,พุทธปฏิมา,พระพุทธรูป
    รูปจำลองของพระพุทธเจ้า รูปเปรียบหรือรูปแทนองค์พระพุทธเจ้า คือ พระพุทธรูป
    น. รูปเปรียบหรือรูปแทนองค์พระพุทธเจ้า คือ พระพุทธรูป, มักใช้ย่อเป็น ปฏิมา หรือ ปฏิมากร.
    น. รูปจำลองพระพุทธเจ้า, พระพุทธรูปหล่อหรือปั้น เรียกว่า พระพุทธปฏิมา.


    ไม่มีตรงใหนที่บอกว่าเป็นพระพุทธเจ้าเลย
     
  3. คนเพนจร

    คนเพนจร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +27
    เวลาที่ท่านเจ้าของกระทู้โพสต์ คือเวลาราชการ เที่ยงพัก หลัง 4 โมงเย็นไม่โพสต์เพราะเลิกงาน
    ถ้าจนมุนหรือหาคำตอบไม่ได้จะเลี่ยงแล้วพาล อันใหนตอบผิดเข้าตัวจะรีบลบโพสต์นั้น จากนั้นก็ตั้งกระทู้ใหม่
     
  4. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    มาอีกคน ใส่ความกันนี่เก่งกันจริงๆ ครับ ขอหลักฐาน "ไม่มี" มีแต่คำพูดปากเปล่าๆ อันไหนผมตอบพลาด อันไหนผมลบไปหามาครับ ผมไม่เคยลบครับ ถ้าเคยเห็นว่าผมลบก็ไปสอบถามขอดูจากผู้ดูแลเว็บบอร์ดได้ครับ
     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ทุกอย่างอ่อนลง ๆ นะ หลักศาสนานั้นคงเส้นคงวา แต่ผู้ปฏิบัติศาสนานั้นอ่อนลง ๆ เราพูดถึงพระเรานี้ลงไป พระก็อ่อนลง ๆ กฐินตามพุทธบัญญัติจริง ๆ วัดที่จะรับกฐินได้ต้องมีพระจำพรรษาอยู่ตั้งแต่ ๕ องค์ขึ้นไปและไม่ขาดพรรษาด้วย รับกฐินได้ พระคันถรจนาจารย์ก็มาตีความหมายออกมาอีก ขยายออกมาอีก พระที่จำพรรษาไม่ครบ ๕ องค์ก็ได้ นิมนต์วัดอื่นมาเป็นสังฆปูรกะให้เต็ม ๕ องค์ก็ได้ ย่นเข้ามาแล้ว ทีนี้พระวัดหนึ่งมี ๒ องค์ก็เอาพระวัดอื่นมาเป็นสังฆปูรกะตั้ง ๓ องค์ เข้าไปอีกแล้วเดี๋ยวนี้ ก็อย่างนั้นแล้วอ่อนลง ๆ

    ทีนี้การตัดเย็บย้อมจีวรให้เสร็จในวันนั้นตามหลักพระวินัย ทั้งตัดทั้งเย็บทั้งย้อมให้เสร็จในวันเดียว อันนี้สังฆมนตรี แต่ก่อนเป็นสังฆมนตรีนี่มาประชุมอนุโลมกัน ผ้าที่สำเร็จรูปมาก็ให้เป็นกฐินได้ นั่นเห็นไหมอ่อนลง ๆ แต่ก่อนต้องตัดต้องเย็บต้องย้อมให้เสร็จในวันนั้นไม่งั้นไม่เป็นกฐิน เมื่อตั้งสังฆมนตรีขึ้นมา ๙ ปี ๑๐ ปีย้อนหลัง ก็มาประชุมกันว่าผ้าสำเร็จรูปก็เป็นกฐินได้ คือเขาตัดเย็บย้อมมาแล้ว เช่นอย่างผ้าไตรอย่างนี้เอามาถวายก็ให้เป็นผ้ากฐินได้ แน่ะ อ่อนลง ๆ

    กิเลสไม่ทราบว่ามันอ่อนลง ๆ หรือเป็นยังไง คือกิเลสแข็งขึ้นนั่นเองธรรมะถึงได้อ่อนลง กิเลสไม่แข็งธรรมะอ่อนไม่ได้ นี่กิเลสมันแข็งมันกดธรรมะลง อย่างนี้ละพูดตามพุทธบัญญัติ ผู้ไม่เคยได้ยินพุทธบัญญัติของพระก็ให้รู้เสีย เรื่องกฐินพุทธบัญญัติจริง ๆ พระต้องจำพรรษา ๕ องค์เต็ม ไม่ขาดพรรษาด้วย รับกฐินได้ นี่เป็นพุทธบัญญัติ พระคันถรจนาจารย์หรืออรรถกถาจารย์ก็มาแยกออกอีกว่า พระจำพรรษาไม่ครบ ๕ องค์ก็ตาม นิมนต์พระวัดอื่นเข้ามาเป็นสังฆปูรกะได้ ก็เป็นกฐินได้

    ต่อจากนั้นมาผ้าสำเร็จรูป คือผ้านั้นต้องให้เย็บให้ย้อมตามพุทธบัญญัติ ให้เย็บให้ย้อมเสร็จในวันนั้น ตัดเย็บย้อมเสร็จในวันนั้นถึงจะเป็นกฐินอันสมบูรณ์ได้ นี่มหาเถรสมาคมก็ย่นลงมาอีกแล้ว ว่าผ้าสำเร็จรูปแล้วก็เป็นกฐินได้ แน่ะอย่างนั้นแล้วอ่อนลง ๆ ต่อไปนี้เห็นต้นฝ้ายต้นหญ้าในสวนเขาก็จะว่าเป็นกฐินได้ต่อไปนี้ โยม ๆ ฝ้ายนี่กำลังจะออกดอกเป็นกฐินได้แล้วนะ จะไปละนะต่อไปนี้ โห พูดแล้วเราทุเรศนะ อำนาจของกิเลสนี้รุนแรงขึ้นโดยลำดับลำดา ธรรมะนับวันอ่อนลง ๆ พากันนอนใจอยู่ไม่ได้นะ นี่ออกมาจากการดูตำรับตำราและการพิจารณาตามเต็มกำลังความสามารถแล้ว กำลังของกิเลสนี้แรงขึ้นทุกวัน รุนแรงทุกวัน ธรรมะอ่อนลง

    แม้แต่ผู้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติหลักศีลธรรมวินัยคือพระนี้ ก็ไม่เห็นมีหน้าที่การงานอะไรพอที่จะให้ลดหย่อนกันอย่างนั้นก็ยังหย่อนลง หน้าที่การงานอะไรของพระทุกวันนี้ยิ่ง......จักรมีสักกี่ล้าน ๆ ๆ คันในเมืองไทยเรา เย็บวันหนึ่งให้ได้สักกี่ตัวก็ได้ เย็บสบงผืนหนึ่งชั่วโมงเดียวเท่านั้นแหละ นี่เคยเย็บมาแล้วนี่ไม่ใช่คุย เคยเย็บมาแล้วสบงผืนหนึ่งเย็บชั่วโมงเดียวเสร็จ นี่ใช้จักรเย็บด้วย แต่ก่อนเย็บด้วยมือนะไม่ได้เย็บด้วยจักร ถึงขนาดนั้นยังให้เสร็จในวันนั้นถึงจะเป็นกฐินอันสมบูรณ์ได้

    อยู่นี้มีอะไรจำเป็นของพระล่ะพอจะไปลดหย่อนขนาดนั้น พิจารณาดูซิ ถ้าไม่ใช่ความอ่อนแอของพระ ท้อแท้เหลวไหลโลเลของพระแล้วจะเป็นอะไร ตำหนิหมดนั่นแหละทั้งเขาทั้งเรา พระไม่พอ ๕ องค์ก็จะเป็นกฐินหาอะไร พุทธบัญญัติมีอยู่ศาสดามีอยู่ เอาใครไปแทนศาสดา เอาอรรถกถาจารย์นั่นหรือไปแทนศาสดา จะเป็นศาสดาได้เหรอ ศาสดาเป็นศาสดา อรรถกถาเกจิอาจารย์ก็เป็นเกจิอาจารย์ไป จะเป็นศาสดาแทนพระพุทธเจ้าได้ยังไง นี่ถ้าพูดตามหลักธรรมวินัยก็ต้องเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ยังไง เราถือ สรณํ คจฺฉามิ คือพระพุทธเจ้า สรณํ คจฺฉามิว่ายังไง เราก็ต้องเอาตามนั้น ไม่เห็นมีเหตุผลกลไกอะไรที่จะไปลดหย่อนผ่อนผันกันอย่างนั้น ไม่ครบองค์ก็อย่ารับซิ ไม่รับกฐินมันจะตายก็ให้ตายดูซิน่ะ ก็เท่านั้น คนเราตั้งหน้าเข้าไปรักษาธรรมวินัยแล้วนี่ ลดหย่อนให้กิเลสหัวเราะทำไม


    คัดลอกมาบางส่วนจาก
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๗
    ศาสนาหมด
    Luangta.Com -
     
  6. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
    คำถาม
    คำตอบ
    คุณตั้งกระทู้ ผมก็ถามคุณครับ การสนทนาธรรมมันต้องเอาความจริงมาพูดกันครับ
    จะมาโยกโย้เป็นโต้วาที ตีฝีปากเป็นเด็กน้อยเพื่ออะไร? ไม่อายคนที่มาอ่านหรือ?

    ยอมรับความจริงไม่ได้หรือครับ ถึงไม่ตอบตรงๆ

    :d
     
  7. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
    [​IMG]
     
  8. คนเพนจร

    คนเพนจร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +27

    จริงว่ะ งั้นขอโทษแล้วกันเพราะเพิ่งไปอ่านข้อมูลในนี้มา

    เมื่อวานกระทู้หาย pm หาย [เอกสาร] - PaLungJit.com

    หากกระทู้ใครหายหรือโดนลบลองไปหาดูในนี้

    วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ [เอกสาร] - PaLungJit.com

    ผิดยอมรับผิด
     
  9. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผิดยอมรับผิด ผมนับถือในน้ำใจของท่านคนเพนจร ใจท่านยิ่งใหญ่จริงๆ อนุโมทนาบุญครับ
     
  10. ผีอีแพง

    ผีอีแพง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +117
    แล้วเมื่อไหร่คุณอุีรุเวลาจะทำแบบนั้นบ้างค่ะ คงรู้นะค่ะว่าแพงหมายความว่าอะไร?
     
  11. bhothisata

    bhothisata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +5,182
    joni_buddhist
    สมาชิก



    วันที่สมัคร: Sep 2005
    สถานที่: 35 ถนนเจริญกรุง55 ยานนาวา สาทร กทม.10120
    อายุ: 31
    ข้อความ: 10,938
    Groans: 12
    Groaned at 90 Times in 48 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 122
    ได้รับอนุโมทนา 84,361 ครั้ง ใน 10,640 โพส
    พลังการให้คะแนน: 66589

    หลวงพ่อเล่าเรื่องเถรใบลานเปล่า







    พระโปฐิลเถระ

    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท สำหรับคืนนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่องเถรใบลานเปล่า ก็หมายความว่า เป็นผู้ทรง พระไตรปิฏก แต่ปาก แต่ว่าจริยาไม่เคยประพฤติตาม พระไตรปิฏก แต่ความจริงเรื่องนี้ก็มีมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ไม่ใช่มี สมัยนี้ก็มีเหมือนกัน เรื่องราวที่พระพุทธเจ้าตรัสมีดังนี้

    ตามพระบาลีท่านบอกว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระเชตวัน แล้วก็ทรงปรารภพระเถระที่มีนามว่า โปฐิละ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า โยคา เว เป็นต้น เนื้อความก็มีอยู่ว่า ท่านเรียกหัวข้อบอกว่า รู้มาก แต่เอาตัวไม่รอด หรือว่าพูดตามประสาไทยว่า มีความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด ไอ้อย่างนี้มีมาก ฟังแล้วก็เดี๋ยวก็มาพูดทีหลังเป็นข้อคิด เรื่องนี้สั้น ๆ

    ท่านกล่าวว่า พระอานนท์ ท่านบอกอย่างนี้ว่า ดังได้สดับมาแล้ว แต่แบบนี้ อย่างนี้คือ พระอานนท์ เวลาที่ท่านจะพูดอะไร ท่านใช้คำว่า เอวัมเม สุตัง เอกัง สมยัง ภควา ว่าข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านตรัสว่าอย่างนี้ ท่านไม่ได้บอกว่าฉันรู้อย่างนี้ ฉันเป็นผู้วิเศษอย่างนี้ แล้วก็ พระอานนท์ นี่ก็เหมือนกัน เป็นพระที่มีความรู้มาก ทรงพระไตรปิฏกได้สดับคำสอนจาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง ที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่าเป็น พหูสูต คือสดับมาก จำได้มาก แต่ว่ามีความประพฤติดี ไปที่ไหนก็มีแต่การถ่อมตัว ไม่ยกตนข่มท่าน นี่เป็นจริยาของพระที่ดี แต่ว่าตรงกันข้ามกับ พระโปฐิละ พระโปฐิละ นี่สมัยก่อนท่านไม่ได้เป็นเถระ เถระก็แปลว่าพระผู้ใหญ่ เมื่อ พระโปฐิละ ท่านมีความรู้ท่วมหัว อันนี้สำคัญ ต้องคิดนะ

    ตามพระบาลีท่านบอกว่าดังได้สดับมา พระโปฐิละ นั้นเป็นผู้ทรงพระไตรปิฏกในพระพุทธศาสนา คือในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า 7 พระองค์นี่ หมายความว่า เกิดแต่ละชาตินี่ ความทรงจำดีมาก สามารถทรงพระไตรปิฏกได้ ในระหว่างที่พบพระพุทธเจ้า 7 องค์ พบพระพุทธเจ้าองค์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 มาแล้ว ทุกชาติที่ได้เกิดทันพระพุทธเจ้า ท่านมีความจำดี คือมีสัญญาดี ปัญญาน้อย ไอ้สัญญานี้ได้แก่ความจำ จำแล้วก็ไม่นำไปประพฤติปฎิบัติ ไม่มีปัญญาที่จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ แล้วก็ในแต่ละสมัยก็เป็นอาจารย์ ครูสอนธรรม คือสอนพระไตรปิฏก กับบรรดาพระ 500 รูป มาในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ก็เหมือนกัน ท่านเกิดในระหว่างนี้ แล้วก็อาศัยความดี ที่ปัญญาดี เคยทรงพระไตรปิฏกมา ก็มาเป็นพระทรงพระไตรปิฏก แล้วก็มีลูกศิษย์ลูกหารวมกันแล้ว 500 รูป หมายความว่า โรงเรียนที่ตั้งสอนน่ะ พระจะต้องมีจำนวนเต็ม 500 รูปอยู่เสมอ เป็นบริวาร จะเป็นลูกศิษย์

    แต่ท่านบอกว่าภิกษุนี่ย่อมไม่มีแม้แต่ความคิด ไม่มีแม้แต่ความคิดว่า เราจะทำ สลัดออกจากทุกข์แก่ตน เราจะหยั่งเธอให้สังเวช เป็นดำริขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรู้ว่า พระโปฐิละ เป็น ผู้ทรงพระไตรปิฏก แต่ว่ามีแต่สัญญา ขาดปัญญา อย่าลืมนะ สอนใครก็สอน สอนตามแนวแห่งพระ ไตรปิฏกก็รู้สึกว่า สอนดี ไม่แยกแนว สวรรค์มีไหม ท่านบอกว่าพระไตรปิฏกยืนยันว่ามี พรหมโลกมีไหม พระไตรปิฏกก็ยืนยันว่ามี นิพพานสูญไหม นิพพานไม่สูญ นิพพานัง ปรมัง สุญญัง นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง นั้นหมายความว่า ธรรมว่างจากความชั่ว มานะทิฎฐิ ไม่มี ความชั่วนิดหนึ่งไม่มี นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ถ้านิพพานเป็นสภาพสูญ นิพพานก็ไม่มีคำว่าสุข เพราะว่าไม่มีอารมณ์รับสัมผัส การที่รู้ว่าสุขต้องมีอารมณ์รับสัมผัส ในเมื่อมีอารมณ์รับสัมผัส สภาพนั้น ไม่สูญ แต่จิตสูญจากความชั่ว จิตคบแต่ความดี จึงมีอารมณ์เป็นสุข

    ท่านบอกว่าจำเดิม ตั้งแต่นั้นมาสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมตรัสกับพระเถระ คือโปฐิละ ว่าในเวลาที่ ท่านโปฐิละ เข้ามาหา เข้ามานมัสการเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็ทรงเรียกว่ามาเถิด คุณใบลานเปล่า แล้วก็บอกมาเถิด พระเถระผู้ทรงใบลานเปล่า ไอ้คำว่าเถรนี่ เถระก็แปลว่า พระผู้ใหญ่ ถ้าเถนที่ใช้ น สะกด แปลว่าหัวขโมย ถ้าใช้ ร สะกด ถ สระ เ ถ - ถุง ร- เรือ สะกด เถรตัวนี้ก็แปลว่าผู้ใหญ่ พระพุทธเจ้าก็ทรงยั่วเตือนให้รู้สติเวลาที่ท่านเข้าไปเฝ้า ท่านก็บอก นี่พ่อท่านเถรใบลานเปล่า เชิญมานี่ได้ เชิญมาเถอะจ๊ะ พ่อเถรใบลานเปล่า เวลาที่จะกลับ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าอย่างไร คุณเถรใบลานเปล่า กลับแล้วรึ หรือว่า เถรใบลานเปล่า กลับไปแล้วรึ เอา! จงไปเถิดให้มีความสุข ไปเถิด คุณใบลานเปล่า ไปเถิด เถรใบลานเปล่า

    แล้วท่านก็บอกว่า แม้แต่เวลาที่พระเถระลุกไปก็ตรัสว่า คุณใบลานเปล่า ไปแล้วรึ พระโปฐิละ นั้นโดนเข้าหลาย ๆ รอบจึงมานั่งคิดในใจว่า เอ้! ไอ้เรานี่ก็มีการศึกษาดีอย่างนี้นี่นะ สามารถทรงพระ ไตรปิฏกนี่พร้อมทั้ง อรรถคาถา คำว่า อรรถคาถา คือว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าทรงเรียกบาลี ทีนี้คำอธิบายพระไตรปิฏกที่เขาอธิบายออกมาก็มีความเข้าใจเรียกว่า อรรถคาถา แล้วก็สามารถสอนธรรมแก่บรรดาภิกษุทั้ง 500 รูป แล้วในพระ 500 รูปนี่มีด้วยกันถึง 18 คณะใหญ่ แต่ว่าทำไมสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเรียกเราว่า เนื่อง ๆ บ่อย ๆ เห็นหน้าไม่ได้ เห็นหน้าทีไรก็ เถรใบลานเปล่า มาแล้วรึ เถรใบลานเปล่า ไปแล้วรึ เป็นอย่างนี้เสมอ

    ท่านก็คิดว่า เมื่อเป็นเช่นนั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ยังเรียกเราอยู่เนือง ๆ ว่า คุณเถรใบลานเปล่า ท่านคงจะคิดอย่างนี้ ก็เพราะเราไม่มีคุณวิเศษ นั้นก็หมายความว่า เรามีแต่ความรู้ในตัวหนังสือ แต่เราไม่มีคุณธรรมวิเศษ คือไม่มีฌานเป็นต้น แน่แท้ แล้วความจริงก็เป็นอย่างนั้น ท่านทรงพระไตรปิฏกตามสัญญาที่จำ แต่ปัญญาหรือวิริยะ คือปัญญาก็ดี ความเพียรก็ดี ที่จะทำจิตใจห่างระงับจากนิวรณ์ 5 ประการ เมื่อฌานเบื้องต้น คือปฐมฌานก็ไม่มี

    นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร จำให้ดีนะ ถ้าแม้แต่ฌานก็ไม่มี มีหวังลงนรกแน่นอน ไอ้การที่จะเรียนรู้มาก ๆ ไม่ได้มีการคุ้มตัวได้เลย ถึงแม้ว่ามีฌานโลกีย์ก็เหมือนกัน แต่ถ้ามีฌานโลกีย์อย่างพระเทวทัตก็ยังลงนรกเลย นี่ไม่มีอะไรเลยก็ไปเบ่งกับเขาว่า ฉันเรียนจบชั้นนั้นชั้นนี้ ฉันเรียนจบพระไตรปิฏก ฉันเรียนจบอรรถคาถา ไม่มีใครสามารถจะสู้ฉันได้ ตัวนี้เป็นมานะกิเลส ฉะนั้น บรรดาท่านทั้งหลายที่ได้นักธรรมตรี นักธรรมโท ได้นักธรรมเอก หรือว่าเปรียญ หรือได้ปริญญา ก็จงดูตัวอย่งพระโปฐิละ พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงยกย่องสรรเสริญ กลับทรงตำหนิทำให้รู้สึกว่าตัวว่า ไอ้การรู้แค่หนังสือไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย นอกจากจะมีมานะกิเลส ถือตัวถือตน ทำตนให้เป็นคนเลว เออ! ตัวอย่างคงจะมีเยอะนะในสมัยพระพุทธเจ้า ในสมัยนี้มีรึเปล่า แต่ว่าพระโปฐิละ นี่ท่านก็ดีนะ ท่านไม่ฝืนพระไตรปิฏก ว่าไม่ปฎิบัติตามพระไตรปิกฏ เอ้า! ที่ว่าไม่ปฎิบัติตามศีลคงจะมีแต่สมาธิในขั้นฌานสมาบัติ ไม่มีอริยมรรค อริยผลไม่มี มันก็เจ๊งกัน คงเท่านี้นะ

    ต่อมาท่านบอกว่า ท่านมีความสังเวชเกิดขึ้นกับตัวเองรู้สึกสลดใจ ไอ้สังเวชนี่สลดใจ จึงคิดว่า บัดนี้เวลานี้พระพุทธเจ้าทรงติเราอย่างนี้ เราจะไปสู่ป่า ไม่เอาล่ะ อยู่บ้านอยู่เมือง ไม่เอาแล้วเป็นครูเป็นอาจารย์ใคร เขาไม่เอาแล้ว เราจะไปป่า แล้วก็ไปทำสมณธรรม ทำฌานให้เกิดขึ้น ตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานอย่างเลว ๆ ยังไง ๆ ชาตินี้ต้องเอาอรหันต์ให้ดี เกิดมีอารมณ์ดีขึ้นมา นั่นหมายความว่า อารมณ์ที่เป็นอกุศลถอยหลัง กุศลเข้ามาแทรกใจ จึงได้จัดแจงบาตรและจีวร เมื่อพร้อมแล้วก็ออกไป พร้อมไปด้วยภิกษุ ก็ออกไปป่า พร้อมกับบรรดาภิกษุลูกศิษย์ที่เรียนธรรมกับท่าน แต่ว่าไปทีหลังเขา หมายความว่า (นี่หนังสือท่านก็ว่ายัน ดันบอกว่าพร้อมออกไปทีหลัง อันนี้ไม่เป็นเรื่อง) หมายความว่า ลูกศิษย์ที่เรียน ๆ กับท่านจบพระไตรปิฏก ต่างคนต่างก็เข้าป่ากันไปเป็นแถว

    แต่ว่า โปฐิละ เพิ่งจะรู้สึกตัวย่องไปทีหลัง ไปเวลาใกล้รุ่ง ทีนี้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่เข้าไปอยู่ในป่า เมื่อท่านจบพระไตรปิฏก ท่านศึกษาพระกรรมฐานกับพระพุทธเจ้า ท่านเรียนแล้วอย่าลืมว่าเรียนจบพระไตรปิฏกยังเอาดีไม่ได้ ไปศึกษากรรมฐานกับพระพุทธเจ้าท่าน ก็ลาไป ลาพระพุทธเจ้าเข้าป่าไป ไปทำแล้วเป็นอรหันต์กันเป็นแถว เป็นพระขีณาสพ หมดขีณาสพ คือพระอรหันต์ ทีนี้ก็เมื่อท่านเข้าไปถึงบริเวณป่า ไปที่บรรดาพระสงฆ์นั่งพัก นั่งพักผ่อนอยู่ด้วยกัน ไม่ได้กำหนดท่านว่า พระอาจารย์ (อะไรบาลี) พระเถระไปสิ้น 2,000 โยชน์แล้ว (บาลีนี่เลอะเทอะใช้ศัพท์) รวมความท่านเดินทางไปไกลแสนไกลถึงที่สุด ถึงที่ต้องการจะไปเข้าป่าลึก ไอ้ 2,000 โยชน์นี่ผมไม่แน่ใจ เดินไปยังไง แล้วก็เข้าไปหาภิกษุ 30 รูป ที่พักอยู่ที่นั่น ท่านใช้ถ้ำเป็นที่อาศัยบ้าง ปลูกกระท่อมน้อย ๆ เป็นที่อาศัยบ้าง เอาไม้ที่หักที่โค่นแล้ว เอามาทำเป็นศาลา เป็นที่ประชุมกันบ้าง ที่โน่นมี 30 องค์ ผู้อยู่ในอาวาสป่าแห่งหนึ่ง

    แล้วท่านโปฐิละ ก็ไปไหว้พระสังฆเถระคือ พระสงฆ์ที่เป็นผู้ใหญ่ที่สุด ที่นี่บอกว่า ท่านผู้เจริญขอรับ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของกระผมด้วยเถิด แหม ! ดีมาก ลดมานะทิฎฐิ แล้วสังฆเถระ คือท่านคงมีอายุมากเป็นหัวหน้า ท่านเป็นธรรมกถึก ถ้าท่านพระสังฆเถระเป็นอรหันต์นะ ที่นี่กล่าวกับ พระโปฐิละ ว่านี่ท่านผู้มีอายุ อาจารย์ ท่านเป็นนักเทศน์ ท่านเป็นธรรมกถึก ท่านเป็นครูสอนธรรมะต่าง ๆ ที่ผมรู้นี่ก็เรียนมาจากท่าน อะไรล่ะครับ ที่ชื่อว่าท่านไม่รู้และท่านไม่ทราบ ที่ท่านต้องการอาศัยผม สิ่งนั้นมันไม่มี ความรู้ทุกอย่างก็เรียนมาจากพระคุณเจ้า พระคุณเจ้าจะเอาผมเป็นที่พึ่งได้ยังไง

    ท่านโปฐิละ ก็บอกว่า ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงอย่าทำอย่างนั้น ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของกระผมเถิดขอรับ (เจ็บคอ) นี่ท่านทั้งหลายจงอย่าลืมว่า บรรดาพระอรหันต์ท่านไม่โง่นะครับ เห็น พระโปฐิละ ก็ยังมี มานะทิฎฐิอยู่ ก็เมื่อก่อนนี้ มานะทิฎฐิ ถือว่าเป็นอาจารย์ใหญ่ อีตอนนี้ท่านก็ไม่แน่ใจว่า การคลาย มานะทิฎฐิ นี่จะไปไหวหรือไม่ไหว ท่านก็ต้องทดลองหรือทรมานต่อไป พระเถระเหล่านั้นทั้งหมดท่านบอกว่า ล้วนแต่เป็นอรหันต์ทั้งหมด คือขีณาสพ

    ลำดับนั้นพระมหาเถระคือพระผู้ใหญ่ที่สุดจึงบอกว่า สำนักผมน่ะ ที่ผมมีน่ะ ไม่สามารถจะสงเคราะห์พระคุณเจ้าได้อย่างไร เพราะท่านเป็นครูบาอาจารย์ และอีกประการหนึ่ง ความรู้ที่นำมาประพฤติปฎิบัติ ผมก็เรียนมาจากท่าน ผมช่วยไม่ได้ครับ ผมไม่มีความรู้พอที่จะสอนท่านได้ กรุณาไปหาพระองค์อื่นเถอะ แล้วท่านก็ส่งไปสำนักของอนุเถระ คือพระเถระ ผู้ใหญ่ที่รองๆ ลงไป ตามที่ท่านส่งไปคิดว่าท่านคิดว่าภิกษุนี้มีมานะ เพราะอาศัยการเรียนมาก แม้แต่พระอนุเถระ บรรดาพระเถระทั้งหลายที่รอง ๆ ลงมา ก็กล่าวกับพระโปฐิละ ว่า นี่อาจารย์ ผมสอนท่านไม่ได้หรอกครับ ผมมีความรู้น้อย ทุกสิ่งทุกอย่างรู้มาจากพระคุณเจ้า ขอพระคุณเจ้าไปหาพระองค์อื่นเถอะ ท่านก็ส่งต่อๆ ๆ กันไป รวมความว่า พระ 30 รูป ไม่มีใครยอมเป็นครู พระโปฐิละ

    องค์สุดท้ายบอกว่า โอ้! อาจารย์ครับ ถ้าจะศึกษาจริง ๆ ต้องการที่พึ่งก็มีสามเณรคนฉลาดอยู่องค์หนึ่ง พวกผมนี่ความฉลาดสู้เณรองค์นั้นไม่ได้ เณรนี่มีอายุ 7 ขวบครับ แล้วเป็นพระอริยเจ้า พระอรหันต์ แล้วก็เป็นผู้บวช ไปหาองค์นั้นก็แล้วกัน บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายจึงส่งไปหาเณรที่บวชใหม่ที่สุด อย่าลืมว่า บวชใหม่ที่สุดแล้วก็เป็นอรหันต์แล้ว เป็นพระอรหันต์แล้ว พระพุทธเจ้าเรียกพระมหาเถระ ไปถึงเณรกำลังเย็บผ้าอยู่ ณ ที่พักกลางวัน พระเถระทั้งหลายก็นำมานะข้อนั้นออกได้โดยนโยบายดังนี้ (ปัดโธ่เอ้ย! บาลีไม่น่าเลย) เมื่อ พระโปฐิละ นั้นเข้าไปหาสามเณรก็ไปบอกยกมือไหว้ขอร้องว่า พระอาจารย์สามเณรครับ อาจารย์ได้โปรดสงเคราะห์ สามเณรสงเคราะห์ผมด้วยเถิด ช่วยเป็นที่พึ่งผมด้วยเถิด สามเณรบอก โอ้ย! ตายแล้วอาจารย์ ตายจริงอาจารย์ ท่านพูดอะไร ท่านเป็นคนแก่ ท่านเป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงพระไตรปิฏก เป็นครูบาอาจารย์ ทำไมจะขอให้ผมเป็นที่พึ่ง ผมเป็นไม่ได้หรอกขอรับ

    ท่านโปฐิละ บอกว่า ท่านสัตตบุรุษ ท่านอย่าทำอย่างนั้นเลย ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของผมเถิด

    สามเณรก็ถามว่า ท่านขอรับ หากท่านจักเป็นผู้อดทนต่อโอวาท ผมจะเป็นที่พึ่งของท่าน เณรนั้นเป็นผู้ใหญ่ขึ้นหน่อย ท่านโปฐิละ ก็บอกว่า ผมเป็นผู้อดทนได้ ท่านสัตตบุรุษอดทนได้แน่ เมื่อท่านกล่าวว่าจงเข้าไปสู่ไฟ ผมก็จะเข้าไปสู่กองไฟ แม้จะตายก็ยอม หมายความว่า ผมอดทนได้ สั่งอย่างไรผมก็จะปฎิบัติตาม บอกเอ้า ! วิ่งเข้าไป โดยกองไฟผมพร้อมจะเข้าไปนั่ง สามเณรจึงทดลองความ ลดมานะทิฎฐิ ก็บอกนี่อาจารย์ครับ ตรงสระน้ำ ถ้าอาจารย์ต้องการผมเป็นที่พึ่งจริง ๆ กรุณาลงไปใน สระน้ำนั้นครับ แต่ความจริงเวลานั้น ท่านโปฐิละ ห่มจีวร 2 ชั้น จีวร 2 ชั้น มีความหนัก เมื่อถูกน้ำจะหนักมาก ยอมปฎิบัติตาม เดินลงไปจะลงน้ำ ลงสระน้ำจริงๆ พอจีวรจุ่มนิดเดียว สามเณรบอก พระคุณเจ้าครับ มาได้ ขออภัยด้วย หลังจากนั้นพระสามเณรก็แนะนำให้พระโปฐิละ จับอารมณ์อยู่นิดหนึ่ง ก็ฟังให้ดีนะครับ ท่านบอก มาเถิดครับ แล้วกล่าวกับท่านผู้มายืนอยู่ด้วยคำเดียวว่า ท่านผู้เจริญในจอมปลวกแห่งหนึ่ง มีช่องอยู่ 6 ช่อง ฟังให้ดีนะครับ ในช่องเหล่านั้น เหี้ยเข้าไปอยู่ภายในโดยช่องหนึ่ง ๆ ช่องหนึ่งก็มีเหี้ยตัวหนึ่ง ช่องหนึ่งก็มีเหี้ยตัวหนึ่ง หากบุคคลผู้ประสงค์จะจับมัน จึงอุดช่องทั้ง 5 เสีย แล้วก็เปิดไว้ช่องหนึ่งเป็นช่องที่ 6 แล้วก็ทำลายช่องที่ 6 หมายความว่า เหี้ยมันก็ไปไม่ได้ แล้วก็ในที่สุด บรรดาเหี้ยทั้งหลายเหล่านั้นก็จะอยู่ในมือเรา ดูเหมือนกับไอ้บรรดาช่องต่าง ๆ มันก็คือทวารทั้ง 6 ท่านจงปิดทวาร 5 ทวาร ปิดเสียให้เหลืออยู่ทวารเดียวคือ ทวารใจ เริ่มบริกรรมในใจ คือการภาวนา และพิจารณาด้วยในมีประมาณเท่านี้ ความแจ่มแจ้งจะได้มีแก่ท่านผู้เป็นพหูสูต

    พระโปฐิละ ก็กล่าวว่า เอาล่ะครับ พอแล้วครับ ผมเข้าใจผมจะปฎิบัติตามท่าน ท่านสัตตบุรุษผู้มีพระคุณ เห็นไหม ท่านตัดมานะทิฎฐิ แม้แต่กับเณรอายุ 7 ปี ท่านหมดมานะจริง ๆ แม้แต่ยกมือไหว้ ท่านก็พร้อมทำ เท่านี้ก็พอแล้วครับ ผมเข้าใจแล้ว จึงใช้ปัญญาหยั่งลงฌาน หยั่งฌานลงในกรัชกาย คือพิจารณาร่างกาย พระสมณธรรม เห็นว่าร่างกายนั้นมีสภาพเป็นทุกข์ มีสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มันเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก มันไม่มีอะไรทรงตัว รู้พระไตรปิฏกแล้วคล่องตัวมีความเข้าใจ

    เวลานั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ไกล 120 โยชน์ ทอดพระเนตรเห็นภิกษุนั้น แล้วดำริว่า ภิกษุนี้ผู้มีปัญญากว้างขวางดุจแผ่นดินประการใดและที่เธอจะตั้งตนไว้โดยประการนั้นแลย่อมสมควร จึงได้ทรงเปล่งรัศมีไป (ฉัพพรรณรังสีนา) เหมือนกับพระองค์ประทับอยู่ด้านหน้า กล่าวว่า ปัญญาย่อมเกิดเพราะการประกอบ ความสิ้นไปแห่งปัญญาเพราะการไม่ประกอบ คือไม่คิดไม่ใคร่ครวญ ไอ้การประกอบปัญญาจะเกิด เพราะคิดเพราะใคร่ครวญ เพราะทบทวนหาความจริง ปัญญาจะสิ้นไปเพราะการไม่ใช้ปัญญาพิจารณาตามความเป็นจริง ๆ ในการประกอบ บัณฑิต คือผู้รู้จงรู้ทาง 2 แพร่ง แห่งความเจริญและความเสื่อม ขอท่านจงตั้งตนไว้โดยประการที่ ปัญญาจะเจริญได้

    เมื่อสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสอย่างนี้ ท่านก็ใคร่ครวญตาม ในที่สุดท่านก็บรรลุพระอรหัตผลเป็นอริยบุคคลสูงสุดในพระพุทธศาสนา ที่ผมนำเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟัง ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ไม่ประมาทในชีวิต จงอย่าคิดว่าเรารู้จากกระดาษ จากหนังสือ ที่ประเทศจีนมักจะเรียกอเมริกาว่า เสือกระดาษ อันนี้ไม่มีประโยชน์นะครับ มันเป็นมานะถือตัวถือตน เป็นนักธรรมเอก เป็นเปรียญ 9 ประโยค หรือว่าเป็นปริญญาอะไรต่ออะไรก็ตาม อันนี้ถ้าหากขาดการปฎิบัติ ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์เสียอย่างเดียวลงนรก มีศีลบริสุทธิ์ยังไม่ได้ฌานโลกีย์ก็ยัง ไม่พ้นนรก ได้ฌานโลกีย์ก็ยังไม่พ้นนรก อย่างเลวที่สุดก็ทำตนให้เป็นพระโสดาบัน เราจะเป็นพระโสดาบันได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญ รักษาอารมณ์พระโสดาบันไว้ หนึ่งคิดว่าชีวิตนี้มันต้องตาย ประการที่ 2 มีความเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ แล้วประการที่ 3 ทรงศีล ตามสภาวะของตนให้บริสุทธิ์ แล้วประการที่ 4 การกระทำทุกอย่างไม่หวังผลตอบแทนในปัจจุบัน ต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน อย่างนี้ถือว่าเป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน ถ้ารักษาไว้ได้กำลังใจขั้น สุดท้าย คือพระอรหันต์ เป็นของไม่ยาก

    เอาล่ะ บรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า และบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท สัญญาณบอกหมดเวลาปรากฎแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาพุทธศาสนิกชนและเพื่อนภิกษุสามเณรที่รักทุกท่าน สวัสดี. ๚ะ
    ที่มา พระสูตรก่อนนิทรา และ http://thaisquare.com/Dhamma/book/prasutr/content.html#
    __________________
    พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง - PaLungJit.com


    กูรู
    หน้าแรก › "เถรใบลานเปล่า" แปลว่าอะไร

    ลงชื่อเข้าใช้
    สร้างบัญชี
    ป้ายกำกับ
    เครือข่าย
    คอมพิวเตอร์
    เกมส์
    ผลิตภัณฑ์ดิจิตอล
    ความรู้สึก
    บันเทิง
    ไลฟ์สไตล์
    สังคม
    การศึกษา
    แผนกเรียน
    กีฬา
    สุขภาพ
    การแพทย์
    ธุรกิจ
    ชอปปิ้ง
    การท่องเที่ยว
    สถานที่
    ดูทั้งหมด
    คำถามเกี่ยวกับ กูรู
    เริ่มต้นใช้งาน
    หลักเกณฑ์ของชุมชน
    สอบถามผู้ดูแลระบบ
    2
    "เถรใบลานเปล่า" แปลว่าอะไร
    เขาว่าคนที่รู้ปริยัตมาก รู้ทฤษฏีมาก แต่ปฏิบัติไม่ได้เลยสักอย่าง แล้วอวดกร่างความรู้ไปทั่ว ใช่ไหมครับ ช่วยตอบที
    วรรณคดีคลาสสิค ภาษาต่างประเทศ

    .10/11/2553
    ศรีเทวะ

    คำตอบ (2) จัดเรียงตาม: คะแนน | เวลา
    1
    เข้าไปหาความหมายตามลิงค์
    การอ้างอิง
    เถรใบลานเปล่า

    10/11/2553
    Burapha
    1
    น่าจะใช่น๊ะ พวกนี้เก่งแต่ท่องจำ แต่ทำไม่ได้น่ะ



    ผมว่าน่าอ่านดี นำมาฝากท่านผู้เจริญทุกท่านครับ แต่จะไปปฏิบัติที่ไหนล่ะครับ ทุกที่เขาไหว้พระพุทธรูปกันทั้งนั้น เข้าเมืองตาหลิ่ว ไม่หลิ่วตาตาม เดี๋ยวก็โดนเขม่น เผลอๆอาจจะถูกทำร้ายจนถึงชีวิต เพื่อนฝูงก็จะน้อยตามมา เข้าสังคมได้ยาก ครูบาอาจารย์ที่ค้นคว้าก็เป็นตำรา ไม่เคยสนทนาธรรมกับครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอริยะที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันซึ่งท่านเห็นพระพุทธเจ้า ก็ในเมื่อปัจจุบันยังมีพระอริยะที่เห็นพระพุทธเจ้าอยู่ ไฉนไม่ไปสนทนาธรรมกับท่าน ความรู้จะได้กว้างขึ้นกว่าเดิม นั่งคลำทาง ถ้าถูกทางก็ดีไป ถ้าผิดทางก็แก้ไขยาก เพราะใจมันเชื่อว่าตัวเองถูก ก็จะเห็นท่านอื่นผิดไปหมด เพราะไม่ตรงตามคติตัวเอง นั่งมองกับข้าวแล้วบอกว่า นี่เรียกแกงส้ม นี่เรียกแกงป่า นี่แกงจืด บอกส่วนผสมได้สารพัดแต่ไม่เคยลิ้มลองรสชาด แล้วจะรู้ไหมว่ารสชาดมันต่างกันอย่างไร ไม่ชิมแล้วถ้าคนปรุงแกล้งเอาพริกแกงส้มไปแกงใส่แทนพริกแกงป่าแล้วจะรู้หรือว่าเขาแกงผิดเพราะไม่เคยชิม จะคิดว่าที่เห็นเป็นแกงป่า ที่จริงแล้วมันแค่สัมผัสตาที่มองเห็นว่าเป็นแต่รสชาดมันไม่ใช่ ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ได้มีไว้ให้มองอย่างเดียว ต้องเข้าไปชิมด้วยว่า อารมณ์วิตกวิจารมันเป็นอย่างไร อารมณ์ปิติสุข ฌานเป็นอย่างไร เหมือนในตำราไหม แล้วนำมาเปรียบเทียบดู ปฏิบัติๆไปมันจะมีคำตอบเอง มันเหมือนกับชีวิตวัยเด็กที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา เข้าโรงเรียนแล้วนิยมชมชอบครูประจำชั้น โดยไม่ทราบตัวตนที่แท้จริงของท่าน ในขณะนั้นครูท่านนั้นเป็นที่สุดแล้วสำหรับเรา แต่พอโตขึ้นมา รู้เดียงสามากขึ้นก็จะรู้ว่า ครูประจำชั้นท่่านนั้นก็แค่มนุษย์เงินเดือนเช่นเดียวกับเราทั่วๆไป แต่ไฉนตอนนั้นถึงได้มีทิฐิให้ท่านได้หมดใจ บางครั้งบางท่านรักมากกว่าพ่อแม่ตัวเองซะอีก ย้อนกลับไปดูสิ่งที่ผ่านมาในอดีต สิ่งที่เราเชื่อว่าเราถูกในขณะนั้น แต่ปัจจุบันมันไม่ใช่ มองให้เห็นว่าสภาวะธรรมในขณะนั้นกับขณะนี้ ขอเชิญชวนท่านผู้เจริญทั้งหลาย ปฏิบัติธรรมควบคู่ไปด้วยนะครับ ขอทุกท่านเจริญในธรรมครับ
     
  12. ลมสุริยะ

    ลมสุริยะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +215
    จริงครับเดี๋ยวนี้พระบางสำนักก็ไม่บิณฑบาตโปรดสัตว์กันแล้ว

    อ่อนลงเยอะเลย:cool:
     
  13. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ท่านคงไม่สบายครับ
     
  14. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    http://palungjit.org/threads/ขอเราพ...หันตสัมมาสัมพุทธพึงเสด็จอุบัติในโลก-ฯ.393470/

    http://palungjit.org/threads/เพราะนันทิดับเราจึงกล่าวว่า-ทุกข์ดับฯ.391622/

    คุณมหาวัดเรียกผม "คุณอุรเวร เฮ้ย อุรุเวลา" ผมเรียกคุณ "หมาวัด เฮ้ย มหาวัด" ผมขอโทษที่ผมเรียกคุณหมาวัดครับ แต่...
    ผมเชื่อหลวงตามหาบัวที่สอนว่า "นิพพานคือนิพาน" คุณมหาวัดบอกว่านิพพานเป็นอนัตตา ผมไม่เชื่อคุณมหาวัดผมต้องขอโทษเขาหรือครับ
    คุณมหาวัดใช้คำว่า "ไอ้" กับพระธรรม ผมบูชาพระธรรมผมไม่ใช้คำว่า "ไอ้" ผมไม่เชื่อคุณมหาวัดผมต้องขอโทษเขาหรือครับ
    ผมบูชาพระธรรม คุณมหาวัดบูชายักษ์ ผมไม่สาบานกับยักษ์ ผมไม่บูชายักษ์ ผมไม่เชื่อคุณมหาวัดผมต้องขอโทษเขาหรือครับ
    คุณมหาวัดใช้คำหยาบ ด่าผม ผมไม่ด่าตอบคุณมหาวัด ผมต้องขอโทษเขาหรือครับ
     
  15. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คุณมหาวัดกล่าวหาว่าผมสนับสนุนุพระเกษมว่าทำถูกแล้ว ผมไม่เคยทำ ผมต้องขอโทษเขาด้วยหรือครับ
    คุณมหาวัดกล่าวหาว่าผมโจมตีพระพุทธรูปว่าคนกราบโง่ ผมไม่ได้ทำ ผมต้องขอโทษเขาด้วยหรือครับ
    คุณมหาวัดบอกว่าคนอีสานบูชาพญานาคกราบพญานาค ผมไม่บูชาไม่กราบพญานาค ผมต้องขอโทษเขาด้วยหรือครับ
    คุณมหาวัดกล่าวหาผมฝ่ายเดียวด้วยคำพูดปากเปล่า ผมเฉยผมไม่ตอบ ผมต้องขอโทษเขาด้วยหรือครับ
     
  16. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คุณมหาวัดร่วมกับคุณซงแทฮากล่าวหาว่า ผมบอกว่าตัวเองบรรลุธรรม ด้วยปากเปล่าๆ
    ผมบอกว่าผมไม่เคยทำ ผมถามหากระทู้ที่มา ไม่มีใครหามายืนยันได้ แต่กล่าวหาผมปากเปล่าๆ
    ผมต้องขอโทษเขาด้วยหรือครับ
     
  17. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คุณมหาวัดกล่าวหาว่า นอกจากพระพุทธเจ้าคุณไม่ไหว้เลยสิ พ่อแม่คุณก็ไม่ไหว้ นี่เรียกว่าเนรคุณ ระยำ
    ผมไม่ได้ตอบโต้ ผมยังไหว้พ่อแม่ ไหว้พระพุทธรูปอยู่ ผมต้องขอโทษคุณมหาวัดด้วยหรือครับ
    ผมศึกษาพระไตรปิฎกผมอ่านผมรู้ได้ว่า พระสูตรไหนเป็นพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้า พระสูตรไหนไม่ใช่ ผมต้องขอโทษคุณมหาวัดด้วยหรือครับ
    คุณมหาวัดกล่าวหาว่าผมตีความพระสูตรสนองตัณหา ผมคัดลอกพระสูตรมาแสดงโดยไม่ได้ตีความเลย ผมต้องขอโทษคุณมหาวัดด้วยหรือครับ
     
  18. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผมยกพระสูตรมาแสดงว่าพระพุทธเจ้าให้ทำเจดีย์สำหรับพระพาหิยะ คุณมหาวัดใช้ปากเปล่าๆ ผมยกพระสูตรมาแสดง ผมต้องขอโทษคุณมหาวัดด้วยหรือครับ
     
  19. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คุณมหาวัดว่าผมปัญญาอ่อน ผมเฉยๆ ไม่ว่ากลับ ผมต้องขอโทษคุณมหาวัดด้วยหรือครับ
     
  20. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คุณมหาวัดด่าผม ผมไม่ตอบโต้ไม่ด่าตอบคุณมหาวัด ผมต้องขอโทษคุณมหาวัดด้วยหรือครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...