เป็นไปได้ไหม ว่า Gravity อาจไม่มีอยู่จริง ???

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mamboo, 18 ธันวาคม 2012.

  1. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    เมื่อสักครู่นี้ เราได้ลองนั่งอ่านทบทวน กระทู้ที่เราพิมพ์ไปเมื่อคืนนี้ :: [URLI="http://palungjit.org/threads/[%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A2]-gravity-space-time-black-hole-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%98-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0-missing-higgs.401801/"][ชวนคุยเรื่อง Gravity, Space-Time, Missing Higgs...][/URLI]

    หลังจากที่เฝ้าคิดทบทวนเรื่อง Gravity อยู่นาน (จริงๆก็ไม่ว่างหรอก --' วันไหนว่างๆถึงจะได้มีเวลามานั่งคิดเรื่อยเปื่อย)

    Gravity เป็นแรงที่แปลกมาก ไม่มี carrier ไม่มีขอบเขตตายตัว และไม่มีขีดจำกัด แต่เป็นแรงที่เกิดขึ้นทันทีระหว่างมวล 2 ก้อน แปรผันตามขนาดของมวลและระยะทางระหว่างมวลทั้ง 2

    ใน Standard Package Model เขายังไม่สามารถรวม Gravity เขาไปได้ เพราะมันไม่เหมือนแรงพื้นฐานทั้ง 3

    แรงพื้นฐานทั้ง 3 เขามี carrier ของเขา มีขอบเขตของเขา แต่ Gravity ไม่มีขอบเขต และไม่มี carrier เหมือนเป็นแรงล่องหน

    แล้วที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ "Gravity เป็นแรงที่อ่อนมาก แต่กลับส่งผลต่อ Space-Time ซึ่ง ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย ><" ในขณะที่ แรงทั้ง 3 กลับไม่มีผลอะไรต่อ Space-Time นี่มันแปลกมาก!

    และในระดับอนุภาคเล็กๆ Gravity กลับไม่มีบทบาทอะไร แต่กลับเป็นแรงทั้ง 3 ที่มีบทบาทในอนุภาคเล็กๆมากกว่า

    หลังจากอ่านกระทู้ตัวเองซ้ำๆ ทบทวนไปมา เรากำลังคิดว่า "บางที.. Gravity อาจไม่มีอยู่จริง"

    Gravity อาจเป็นแค่ ผลของการคำนวณที่ผิดพลาดของแรงพื้นฐานทั้ง 3

    บางที Strong Force, Weak Force, และ Electromagnetic Force มันอาจ.. ถูกใช้ไม่หมด(เช่น Strong Force คือแรงนิวเคลียร์แบบเข้มที่ยึดเหนี่ยวโปรตอนและนิวตรอนให้อยู่รวมกัน)

    เรากำลัง สงสัยว่า บางทีแรงพวกนี้ มันอาจไม่ได้มีไว้แค่ยึดเหนี่ยวอนุภาค 2-3 อนุภาคไว้ด้วยกัน แล้วก็จบแค่นั้น..

    มันอาจไม่ได้จบแค่นั้น มันอาจมีแรงที่ส่งออกนอกระบบด้วย ไม่ได้จบแค่ที่"ยึดเหนี่ยวอนุภาคเล็กๆให้อยู่รวมกัน"

    --

    ทั้งนี้ เราเคยสงสัยนะว่า.. อย่างมนุษย์เรา เรายืนอยู่บนผิวโลกได้ เพราะเรามีมวล และโดน Gravity ของโลกมันดูดเอาไว้

    แต่เราสงสัย ว่าพวกก้อนหินที่ใจกลางโลก (ซึ่ง จุดศูนย์กลางของโลก มันมีผลรวมของแรงดึงดูดเป็น ศูนย์) แล้วมันไปรวมกันอยู่ใจกลางโลกได้ยังไง???

    แสดงว่า ระหว่างโมเลกุลหนึ่ง มันจะต้องมีแรงยึดเหนี่ยวกันก่อน(ก่อนที่จะมีแรงดึงดูดหรือ Gravity)

    ซึ่ง แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลก็ได้แก่

    1. แรงลอนดอน ( london foece ) เป็นแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล ยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงอ่อนๆ ซึ่งเกิดขึ้นในสารทั่วไป และจะมีค่าเพิ่มขึ้นตามมวลโมเลกุลของสาร
    2. แรงดึงดูดระหว่างขั้ว ( dipole – dipole force ) เป็นแรงดึงดูดทางไฟฟ้าอันเนื่องมาจากแรงกระทำระหว่างขั้วบวกกับขั้วลบของโมเลกุลที่มีขั้ว

    ---

    และทั้งหมดนี้ อาจมีการคำนวณที่ผิดพลาด เราอาจคิดว่า แรงอะไรก็ตามที่ทำให้อนุภาคหรือโมเลกุล 2 อย่างมาอยู่รวมกันได้ เราก็คำนวณมันแค่นั้น ก็จบ.

    แต่จริงๆ มันอาจไม่จบแค่นั้น แรงเหล่านั้น อาจส่งผลออกมานอกระบบของมัน และมีผลอย่างอ่อนต่อมวลที่ไม่ได้อยู่ในระบบของมัน

    และเมื่อมันมาอยู่รวมกันจำนวนมหาศาลจนกลายเป็นก้อนวัตถุใหญ่ๆ เราเลยสามารถมองเห็น"ผลรวมของแรงที่ถูกส่งออกนอกระบบ"ได้อย่างชัดเจน แล้วที่เราเห็นชัดขึ้น ก็เพราะเราเห็นว่า "มวลสองก้อน มีแรงดึงดูดระหว่างกัน"

    นั่นเลยทำให้ Gravity กลายเป็นแรงล่อนหน ที่ไม่มีขีดจำกัด ไม่มีขอบเขตตายตัว ไม่มีที่มาที่ไป(แต่เกิดขึ้นทันทีระหว่างมวล 2 ก้อน)

    และที่มันไม่มีผลกับอนุภาคเล็กๆ เพราะมันเป็นแค่ ผลของการคำนวณที่ผิดพลาดในการคำนวณแรงที่ยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคเล็กๆ และที่มันส่งผลเมื่อมันเป็นมวลก้อนใหญ่ๆ ก็เพราะว่า มันเป็นผลรวมของแรงที่ยึดเหนี่ยวอนุภาคเล็กๆที่ถูกส่งออกมานอกระบบ มันเลยมีผลเฉพาะเวลาที่ อนุภาคเหล่านั้นมารวมกันในปริมาณมาก(ผลรวมของแรงที่ถูกส่งออกนอกระบบก็จะมีมากด้วย เลยพลอยทำให้แรงดึงดูดระหว่างมวลมากไปด้วย)

    ---

    และหากเป็นเช่นนั้นจริง ที่บอกว่า แรงพื้นฐานทั้ง 3 ไม่มีผลต่อ Space-Time ก็ไม่ใช่ความจริง

    เพราะจริงๆแล้ว อาจเป็นแรงทั้ง 3 เองนั่นแหละ ที่ส่งผลต่อ Space-Time และมันจะส่งผลมากๆ เมื่อมันอยู่รวมตัวกันมากๆ

    นี่เป็นทฤษฎีที่ เราคิดขึ้นมากระทันหัน เดี๋ยวจะขอตัวกลับไปศึกษาเรื่องแรงให้แจ่มก่อน เพราะมันต้องมีการคำนวณเปรียบเทียบและทำการทดลองอีกหลายอย่าง แล้วอาจจะกลับมาสานต่อทฤษฎีนี้อีกครั้งแบบละเอียด อันนี้เอามาเล่าให้ฟังก่อนเฉยๆ กลัวลืม ><

    Links: Fundamental Forces

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • funfor1.gif
      funfor1.gif
      ขนาดไฟล์:
      5.2 KB
      เปิดดู:
      386
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2012
  2. serm

    serm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +331
    ยังมี Casimir force อีกนะครับ
     
  3. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    GRAVITY นั้นมีอยู่จริง gravity เกิดได้ด้วย อำนาจของMASS ทุกสรรพสิ่ง วัตถุใดๆย่อมมีgravity แต่มากน้อย ต่างกัน วัตถุในระดับโมเลกุลและอะตอม ก็มีแรงgravity ของตัวมันเองซึ่งเป็นธรรมดา เป็นลักษณะที่เป็นธรรมชาติ ของวัตถุทุกชนิด [ mass] ในระดับอะตอมก็มีgravity แต่เราไม่เรียกว่าgravity เราเรียกอย่างอื่น ซึ่งมันมีพลังงาน ที่ดึงดูดและผลักกันอยู่ [จะจับกันด้วยแรงและพันธะที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของมวลสารหรือชนิดของอะตอมนั้น] เป็นธรรมดา

    สุดท้าย หากพิจารณา แรง =mgh + 1/2mvv = mcc หรือหากให้คนที่เก่งทางฟิสิกส์ไปศึกษาเพิ่มทางคณิตศาตร์ แคลคูลัส ก็จะพบความจริงว่า ทฤษฏี สูตรการคำนวนต่างๆล้วนเกี่ยวโยงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด[อันนี้ขอตอบแบบนี้เพราะว่าตอนเรียนพิสิกส์ไม่ได้เข้าเรียน โปรเจคไตส์ แต่เวลาทำข้อสอบ เอา อินทีเกรดมาช่วยคำนวนพื้นที่ใต้กราฟ ก็พบคำตอบได้คำตอบที่เหมือนกัน แต่อาจารย์ก็ให้ ศุนย์ คะแนนเพราะเราไม่ได้แสดงวิธีคำนวนตามหลักวิชาฟิสิกส์ เพราะไปใช้แคลคูลัสแทนครับ

    ไอน์สไตน์ ฉลาดมากที่รู้ว่า สรรพสิ่งไม่ได้สูญหายไปใน ทั่วทั้งจักรวาลทั้งหมด แต่สรรพสิ่งไม่ว่าจะเป็น สะสาร ธาตุ พลังงาน ทุกชนิด แม้แต่พลังงาน ที่เป็นพลังจิต ก็ไม่สลายหายไปไหน แต่ส่วนที่แตกสลาย บางส่วนก็แปลสภาพไปเป็นอีกอย่าง ทุกอย่างหมุนเวียนเป็นวัฏจักร แต่ปัญหาคือเราจะเล่นแร่แปรธาตุกับสิ่งเหล่านี้อย่างไร เราจะใช้ประโยชน์กับสิ่างเหล่านี้ได้อย่างไร บ้าง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และเพื่อประโยชน์อะไรเล่า

    อีกนิดครับ แรงทุกแรง มีผลต่อ space-timeทั้งนั้น เพราะทุกอย่างที่กล่าวมา ขึ้นชื่อว่าพลังงานหรือแรง ต้องเกี่ยวข้องด้วยมิติแห่งระยะทาง ช่องว่าง และกาลเวลาเสมอครับ เพราะสิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้มองไปถึงก็คือว่า แล้วเวลาเกิดได้อย่างไร ลองมองไปให้ไกลสุดโต่ง หรือใกล้สุดใจ กาลเวลาก็เกิดของมันเองตามแรง ตามพลังงานของจักรวาลของมันนั่นเองครับ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2012
  4. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    อ่านะ ^0^

    เมื่อสักครู่นี้ ไปอ่านมาแล้วอ่ะ ><

    Casimir Force เกิดจาก การทดลองนำแผ่นตัวนำที่ไม่มีประจุ จำนวน 2 แผ่น มาวางไว้ใกล้ๆกันในระดับไมโครเซ็นติเมตร ในบริเวณที่เป็นสุญกาศ

    และผลการทดลองออกมาว่า "เกิดแรงดึงดูดขึ้นระหว่างแผ่นตัวนำ 2 แผ่นนี้ ทั้งๆที่แผ่นตัวนำพวกนี้ ไม่มีประจุ"

    เขาก็อธิบายเรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สั้นที่อยู่ในสุญญากาศ (ระหว่างแผ่นตัวนำ 2 แผ่นนี้) ในขณะที่ด้านนอกของระบบ เต็มไปด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหลายๆความถี่ ทำให้มีแรงดันด้านนอกระบบ ดันให้แผ่นตัวนำ 2 แผ่นนี้เข้ามาหากัน(เหมือนมันดูดกัน)

    เรื่องแรง Casimir Force เห็นเขาบอกว่า อาจนำไปอธิบายเรื่อง "Dark Energy" ได้ในอนาคต

    ที่ว่า จักรวาลกำลังขยายตัวด้วยอัตราเร่ง แต่อัตราการขยายตัวของจักรวาลก็ไม่สมดุลกับแรงดึงดูดที่มีในจักรวาล (ที่กาแล็กซี่ต่างๆมันวิ่งหนีห่างออกจากกันด้วยอัตราเร่ง คือ มีความเร็วเพิ่มขึ้นในการเคลื่อนที่หนีห่างออกจากกันอยู่ตลอดเวลา)

    บางที Casimir Force อาจเป็น 1 ในตัวแปรของ Dark Energy แต่ก็ยังไม่มีใครออกมาสรุป หรือให้คำอธิบายใดๆเพิ่มเติม (เพราะแรงคาซิเมียร์ มันคือแรงที่วัตถุที่ไม่มีประจุ 2 ตัวดันเข้าหากันโดยแรงดันภายนอก)

    แต่ Dark Energy มันเป็นแรงที่ ขับดันให้กาแล็กซี่แต่ละกาแล็กซี่ แยกตัวออกห่างจากกันเรื่อยๆ

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2012
  5. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    ขอ Reference หน่อยได้ไหมคะ --'

    พยายามหาแล้ว หาไม่เจอ ><

    เคยได้ยินแต่ว่า มีแต่ Gravity ที่ทำให้ Space-Time มันบิดงอ และที่แสงมันโดนเบี่ยงเบนทิศทางทั้งๆที่มันไม่มีมวล ก็เพราะว่า

    Gravity ไม่ได้ดูดมวล แต่ Gravity ทำให้ Space-Time มันโค้งงอ และอนุภาคหรือสสารใดๆในอวกาศที่เดินทางผ่าน Space-Time จุดนั้น มันก็เลยมีการเดินทาง ผ่านคลื่นความโค้งความเรียบของ Space-Time บริเวณนั้น (ทำให้เรารู้สึกเหมือน Gravity มันดูดแสง แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ แสงมันแค่เดินทางไปตามความโค้งงอของ Space-Time นั่นเอง ^^)

    อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ พวกเรายังใช้การประมาณค่าความโน้มถ่วง(Excellent approximation) ของ Newton ในการส่งยานอวกาศออกนอกโลก ในการคำนวณแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งมันก็คำนวณได้ใกล้เคียงมากกกก!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2012
  6. toseal

    toseal เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +618
    ผมก็เคยเป็นนะครับเวลาสอบ ดันเอาสูตรคำนวญอีกเรื่องไปโยงกัน
    แต่อาจารย์ให้ผ่านครับ เรื่องโปรเจคโตส์นี่แหละครับ อาจารย์เลยเอาสูตรของผมไปให้คนทั้งห้องดู
    แปลกดีครับ
     
  7. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,926
    NEW ! NEW AGE PLUS+ พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ..
    06-05-2010, 10:02 PM #449

    *** แรงดึงดูด ****

    โลก มีแรงดึงดูด
    วัตถุธาตุ... เป็นสิ่งที่มองเห็น ถูกดูดติดอยู่กับโลก
    มนุษย์ สัตว์ ต้นไม้....เป็นสังขาร ประกอบด้วย ดินน้ำลมไฟ ก็ถูกดูดติดอยู่กับโลก เช่นกัน

    วิญญาณ....เป็นตัวตนแท้จริง ที่มองไม่เห็นด้วยตา
    บนโลกนี้....วิญญาณที่มองไม่เห็น อาศัยในสังขารวัตถุธาตุที่ตามองเห็น
    ตัวตนแท้จริงของเรา...ก็อาศัยอยู่ในสังขาร เนื้อหนังในร่างกายมนุษย์
    เราจึงไม่รู้ว่า....ตัวตนแท้จริงของเราเป็นอย่างไร เพราะตามองไม่เห็น

    ถ้าวิญญาณของเรา...ยังมีพันธะผูกพัน อะไรก็ตามบนโลก
    เมื่อสังขารดับลง....วิญญาณก็ต้องเกิดใหม่ ด้วยสังขารบนโลกอีกครั้ง

    สัญญา...เป็นพันธะผูกพัน เมื่อมีการกระทำร่วมกันมา
    เป็นแรงดึงดูด ให้ตัวตนที่มองไม่เห็นได้พบกัน
    คนสองคนชาติก่อน เคยเก็บดอกไม้ต้นเดียวกันมา
    พอเห็นร่างกายสังขารกันแวบเดียว ก็รู้สึกชอบ มีอารมณ์ขึ้นมา

    การหลุดพ้น จากการเกิดใหม่...คือ หลุดพ้นไปจากโลก ออกไปนอกโลก
    จะหลุดไปจากโลกได้....ก็ต้องหมดพันธะ กับทุกสิ่งบนโลก
    คือ หมดพันธะ กับสิ่งที่มองเห็น สิ่งที่ประกอบด้วย ดินน้ำลมไฟ

    แล้วโลกดูดอะไรของเราไว้ เราถึงต้องเวียนว่ายตายเกิด ติดอยู่บนโลก
    พันธะที่ดึงดูดเราไว้กับโลก ... ก็คือ นิสัย
    เพราะ นิสัยมนุษย์....จะผูกพันกับสังขารวัตถุธาตที่มองเห็น

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "

    http://palungjit.org/threads/new-new-age-plus-พลังงานใหม่-พลังงานอิสระ.229023/page-23

    moothana: แรงดึงดูด
     
  8. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,926
    07-05-2010, 11:08 AM #452

    *** แนะนำให้ฟังเพลงที่เป็นคำถาม ****

    วงT-BONE เขาถามไว้ด้วย "เพลงแรงดึงดูด"
    เราหนุมาน ผู้นำสาร ได้ตอบแล้วนะ
    เรื่อง แรงดึงดูดใจ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  9. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,926
    *** แรงดึงดูด กับ หลุดพ้น ****

    แรงโน้มถ่วง...
    คือ แรงดึงดูด...คือ สัญญา....คือ พันธะ

    หลุดพ้น...
    คือ ไร้แรงโน้มถ่วง...ไร้แรงดึงดูด....
    คือ หมดความผูกพัน หมดสัญญา...หมดพันธะ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  10. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,926
    *** นิสัยสัตว์โลก ****

    ทั้งชอบ ทั้งเกลียด ... ทุกต่างๆ ที่พบเห็นบนโลกนี้
    มันก็สร้างแรงดึงดูด วิญญาณ ไว้กับ โลกนี้

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  11. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,926
    *** แรงดึงดูดใจ ****

    จะว่าไปแล้ว...
    ใจเรามันไปดูดโลกเอง โลกไม่ได้ดูดเรา !!!
    จิตวิญญาณเรา ไปสร้างพันธะผูกพันธ์ กับวัตถุธาตุสังขารบนโลกนี้เอง
    ตัวของเรา ใจของเราไปดูดไว้เอง
    เห็นอะไร ก็เกิดเป็นอารมณ์ต่าง ๆ นานา

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  12. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973


    ระบาย:: เราไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์

    เราเรียนวิทยาศาสตร์ถึงแค่ ม.6 แล้วเราต่อมหาลัยสาขา Computer (มันไม่ได้สานต่อพวก Pure Science แล้ว)

    บางที เราก็ขี้เกียจคิด >< ปล่อยๆให้มันผ่านๆไป ปล่อยให้คนที่เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์คิดๆกันไปดีกว่า

    แต่.. เราก็อดไม่ได้ --' อย่าให้มีใครมาสะกิดละกัน ไม่งั้น.. เราจะชอบนึกถึงเรื่องพวกนี้ "บางเรื่องเราต้องค้นพื้นฐานความรู้ของมันก่อน เพราะเราเรียนนานแล้ว จำไม่ได้ --' ตั้งแต่ ม.6 จนตอนนี้ ผ่านมา 10 ปีแล้ว"

    แต่เราเชื่อว่า .. นักวิทยาศาสตร์ระดับโลกหลายๆคน เขามีความรู้พื้นฐานด้านวิทย์แน่นก็จริง แต่เราว่า เขายังคิดอะไรอยู่ในกรอบ >< เขาเลยยังไขปริศนาต่างๆไม่ได้

    แต่เราไม่เหมือนเขา.. เราไม่มีความรู้ด้านวิทย์แน่นๆแบบเขาก็จริง(อันนี้เป็นจุดอ่อนของเรา) แต่เรารู้ว่า โลกนี้คืออะไร จักรวาลนี้คืออะไร เรารู้จักการทำงานระหว่างสมองประสานกับการทำงานของประสาทสัมผัสทั้ง 6 และเรามีความรู้เกี่ยวกับ จิตใจและความรู้สึก และเรามีความจริงที่เราศึกษาจากพระพุทธศาสนา

    เราเชื่อว่า.. ถ้านักวิทยาศาสตร์ระดับโลกที่เขามีความรู้แน่นๆด้านวิทยาศาสตร์ และหากเขามีโอกาสได้มาศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า และเขาได้ศึกษาเกี่ยวกับ Neural Network(เขียนถูกปล่าวหว่า >< พวกประสาทวิทยาน่ะ เกี่ยวกับการทำงานของสมอง) เราคิดว่า เขาจะต้องไขปริศนาความลับต่างๆในจักรวาลได้

    บุคคลที่จะไขปริศนาในวงการวิทยาศาสตร์ได้ จะต้องมีคุณสมบัติ 3 สิ่ง คือ 1. ต้องมีความรู้ด้านประสาทวิทยา, 2. ต้องมีความรู้ด้านฟิสิก์และเคมี, และ 3. ต้องมีความรู้ด้านธรรมะ ต้องเข้าใจความจริงเกี่ยวกับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นจากการยึดมั่นถือมั่น :: บุคคลผู้นั้น ถึงจะสามารถไขปริศนาทางวิทยาศาสตร์ได้ ^0^

    แต่ปัจจุบันนี้ ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหน มีคุณสมบัติ 3 ข้อนี้ครบทุกข้อ >< เขาเลยยังไขปริศนาหลายๆอย่างในจักรวาลไม่ได้ไง ^0^

    จริงๆอยากแปะสารคดีตัวหนึ่ง เป็นซีรี่ส์ของ Through the wormhole by Morgan Freeman ปัจจุบันนี้ พวกนักประสาทวิทยา เขายอมรับกันหลายคนแล้วว่า "The universe is in our brain!!" มันอยู่ในสมองของเรา มันเป็นการลวงตา มันเป็นแค่ การถูกกระตุ้นของเส้นประสาทต่างๆ(เช่น การสร้างภาพ ก็ถูกกระตุ้นโดย visual cortex)

    ก็คือ มันเป็นแค่ "ภาพมายา" พวกประสาทสัมผัสมันหลอกเรา

    ยิ่งเราเอาทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มาคิดร่วมด้วย เรื่อง "ความเร็วสัมพัทธ" ก็จะเห็นเลยว่า "พวกเราอยู่นิ่งๆกับที่ ไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวไปไหนเลย"

    แต่มันเป็นเพราะ สมอง มันหลอกเรา แล้วพวกเนื้อเยื่อในสมอง มันไม่สามารถสร้างภาพ เสียง กลิ่น รส สัมผัส ได้หรอก >< มันเป็นแค่ เครื่องจักร เป็นการทำงาน ที่รับ input เข้ามา ส่ง output ออกไป

    แต่จริงๆแล้ว พวกภาพ เสียง กลิ่น รส และสัมผัส มันถูกสร้างขึ้นมาโดย "จิต" ไม่ใช่โดยเนื้อเยื่อในสมอง --'

    ---

    ต่อไป หากมีเวลาว่างๆ เราอาจทำการศึกษาทดลองเรื่องเหล่านี้ แต่ตอนนี้ไม่ว่าง ก็ทำได้แค่นี้แหละ อิอิ ^^

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2012
  13. pipatz

    pipatz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2011
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +199
    เท่าที่ศึกษามา

    ทุกอย่างมีลักษณะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา กลับไปกลับมาตลอด แม้แต่แสงที่เราเห็นกัน บางทีก็แสดงลักษณะเป็นอนุภาค มีมวลขึ้นมา บางทีมันก็หายไป เคยลองเอามืออังไว้ที่หลอดไฟ จะรู้สึกว่ามีกระทบ มีทั้งคลื่นพลังงานความร้อน และแสง ซึ่งก็สลับกันปลดปล่อยรูปแบบออกมา บางทีก็มีมวล (ก้อนโฟตอน) บางทีก็เป็นพลังงาน (มักอยู่ในรูปความร้อน) บางทีก็แสดงคุณสมบัติเป็นทั้งมวลและพลังงาน มีคุณสมบัติเป็นทั้งแสงและวัตถุ ในรูปคลื่นหรือรูปอนุภาค

    ภาวะที่วัตถุถูกดึงดูดด้วยแรงโน้มถ่วง ก็เหมือนกัน ความจริงตัวแรงที่ดึงไว้ กับตัวก้อนวัตถุ ต่างก็มีคุณสมบัติเดียวกัน กลับไปกลับมาซึ่งกันและกัน ตัววัตถุก็สามารถแสดงคุณสมบัติดึงดูดวัตถุด้วยกันได้ วัตถุสองก้อนที่วางห่างกันมีแรงดึงซึ่งกันเสมอ แรงไม่ได้มาจากไหน ก็มาจากตัววัตถุเองที่แสดงสภาพเปลี่ยนออกมาในรูปของพลังงาน ขณะเดียวกันก็จะ uptake เอาพลังงานภายนอกเข้าไปในตัววัตถุ เปลียนเป็นอะตอมของธาตุ อย่างช้า ๆ ๆๆมากๆจนไม่อาจสังเกตเห็น

    โลกที่รวมกันเป็นก้อนได้ โดยส่วนด้านในสุดของโลกนั้นมีแรงดึงซึ่งกันและกัน ก็ไม่เป็นจริง แต่เนื้อในของโลก ไม่ว่าจะเป็นหิน หรือลาวา ต่างก็คลายพลังงานออกมาในรูปของความร้อนใต้ภิภพ ขณะเดียวกัน ก็ uptake เอาพลังงานจากผิวโลก เปลี่ยนแปร เป็นมวลใจกลางโลก โดยมีแรงดึง และผลัก สลับเปลี่ยนเป็นมวล แปรกลับไป ๆ มา ๆ อย่างสมดุล

    ถามว่าอะไรทำให้เกิดเป็นอะตอมธาตุ ส่วนนี้ก็คือ แรงทั้งหลาย ที่เปลี่ยนเป็นตัวอิเล็กตรอน นิวตรอน และโปรตรอน ซึ่งมีมวลขนาดเล็กมากที่สุด ดึง และดัน กันด้วยพลังงาน ซึ่งก็เปลี่ยนเป็นอนุภาคเหล่านั้นอีก กลับไปกลับมา การปลี่ยนแปลงจากมวลเป็นพลังงาน เกิดทั่วทั้งโลก เป็นพลวัตรเสมอ ไม่หยุดนิ่ง แต่ดำเนินไปอย่างช้า ๆ ดังนั้นบางครั้ง แรงที่ว่าแรงดึงดูดบางทีมันก็ไม่มีอยู่จริง บางทีมันก็มีอยู่จริงอยู่ นั่นเอง

    เช่นเดียวกันอนุภาคเล็กๆ คืออิเล็กตรอน นิวตรอน และโปรตรอน ที่บางทีก็แสดงคุณสมบัติของมวลมีน้ำหนักขึ้นมา บางทีก็แสดงคุณสมบัติเป็นคลื่นแทรกสอดได้ เลี้ยวเบนได้ ขึ้นมา บางทีมันก็หายแว้บไป แล้วมีพลังงานจากภายนอกกลับเข้ามาเปลี่ยนเป็นอนุภาคเหล่านั้นอันใหม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2012
  14. น้ำนา

    น้ำนา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +4
    ทุกอย่างไม่ได้มีอยู่จริงไง
     
  15. ลี้ท่ำฮวย

    ลี้ท่ำฮวย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +178
    มันไม่มีอะไรมากไปกว่า เรากำลังพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เข้าใกล้คำว่า อจินไตย

    มันจึงเต็มไปด้วยความซับซ้อน บางทีก็ดูสามัญ แต่ไม่อาจสรุปได้ ที่เป็นเช่นนั้น เพราะเราดำรงตนในภาวะ 4 มิติ แต่สิ่งที่เราจะศึกษามันกินมิติมากกว่าเรา เราจึงรู้จักมันเพียงผิวเผิน

    เราจะอธิบายแรงโน้มถ่วงด้วกฏ ด้วยทฤษฎีใดๆ ในปัจจุบัน มันก็ถูกทั้งนั้น ไม่มีของใครผิดเลย แต่มันถูกเพียงผิวเผิน ไม่ได้รู้รอบทั้งหมด เปรียบเราจะบอกว่า วงกลมเป็นแค่จุดมาต่อกัน หรือเส้นโค้งบรรจบกัน จุดหนึ่งจุด หรือเส้นหนึ่งเส้น นั่นแหละความรู้ที่เรามี อย่าไปคิด จินตนาการอะไรที่มันเกินระดับของสมองจะรับไหว สมองมันทนอยู่ในโลก 4 มิติเท่านั้น แต่จิตวิญญาณ ความคิด ของเรามันมากกว่านั้น
     
  16. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =====

    อันนี้อยู่ที่มุมมองและเหตุผลของอาจารย์ผู้สอน แต่เราในตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะ การเป็นลูกศิษย์ที่ดี ย่อมต้องเชื่อฟังครูอาจารย์ แต่พอเราทำงานเราควรรู้ว่าในบางสถานะการณ์ควรคิดนอกกรอบอย่างมีกรอบอย่างไรครับ สาธุ

     
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ======

    คุณกล่าวได้ดีครับ ผมเข้าใจและคิดคล้ายๆคุณในหลักคิดแบบนี้ครับ สาธุ

     

แชร์หน้านี้

Loading...