** เสวนาถอดรหัสภัยพิบัติ พลิกวิกฤตให้เป็นคำเตือน : วันที่ 16 ธันวาคม 2555 **

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ihappiness, 16 ธันวาคม 2012.

  1. ihappiness

    ihappiness เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +920
    นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ ด้านจัดการภัยพิบัติ ร่วมงานเสวนา ถอดรหัสภัยพิบัติ โดยเฉพาะกระแสข่าววันสิ้นโลกในวันที่ 21 ธันวาคมนี้

    ประชาชนกว่า 200 คน และนักวิชาการ เข้าร่วมฟังการประชุมภัยพิบัติประจำปี 2555 โครงการ ถอดรหัสภัยพิบัติ พลิกวิกฤตให้เป็นคำเตือน โดยเวทีเสวนานี้เป็นเวทีครั้งแรกที่รวบรวมนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ ด้านจัดการภัยพิบัติ มาให้องค์ความรู้ในการรับมือภัยพิบัติ โดยเฉพาะกระแสข่าววันสิ้นโลกในวันที่21 ธันวาคมนี้


    นายอาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้บริหารสูงสุดโรงเรียนสัตยาไส จังหวัดลพบุรี ได้บรรยายถึงเรื่อง วิกฤตโลกร้อนภัยธรรมชาติสุดขั้ว โดยระบุว่า แก๊สมีเทนได้ผุดขึ้นบริเวณขั้วโลกเหนือ แถวไซบีเรีย ซึ่งแก๊สมีเทนมีค่าสูงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 21 เท่า ซึ่งจะทำให้น้ำแข็งละลายมากกว่า ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น โดยน้ำแข็งที่ละลายจะไปเพิ่มในมหาสุมทร และโลกก็จะเหมือนลูกข่าง


    ทั้งนี้ในอดีตได้มีการเปลี่ยนแปลง โลกของเราเคยเปลี่ยนแกน เพราะน้ำหนักไม่สมดุล โลกเริ่มมีปัญหาหากแก้ไม่ทันก็จะเปลี่ยน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย นิวซีแลนด์ จะเจอแผ่นดินไหว เนื่องจากเปลือกโลกกำลังแยกตัว หากเกิดสึนามิบริเวณฟิลิปปินส์เราก็จะรู้ล่วงหน้าประมาณ 15 ชั่วโมง


    พร้อมแนะให้รู้จักวิธีการเอาตัวรอดจากแผ่นดินไหว เนื่องจากประเทศไทยมีรอยเลื่อน ทำให้เสี่ยงเกิดแผ่นดินไหวแต่จะไม่รุนแรงมากนัก


    นอกจากนี้ รองศาสตราจารย์เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้บรรยายถึง การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศกับการเกิดภัยพิบัติ โดยระบุว่า ช่วงนี้น้ำจะแล้งไปจนถึงกลางปีหน้า ซึ่งฝนจะตกในช่วงเดือนมิถุนายน และได้เตือนประชาชนว่าน้ำจะท่วมอีกครั้งในปี2563 ซึ่งอยากให้รัฐบาลได้เตรียมพร้อมรับแผนป้องกันด้วย


    ทั้งนี้ในช่วงบ่ายจะมีนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านต่างขึ้นบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติ เช่น นายก้องภพ อยู่เย็น นักวิทยาศาสตร์ของนาซา และนายปราโมทย์ ไม้กลัด เป็นต้น

    by Porntip


    ที่มา : เสวนาถอดรหัสภัยพิบัติ - Voice TV
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      173.2 KB
      เปิดดู:
      116
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2012
  2. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649
    ขอบคุณ...ครับ


    .
     
  3. ihappiness

    ihappiness เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +920
    นักวิทยาศาสตร์ เตือนคนไทยเตรียมรับมือภัยพิบัติ

    นักวิทยาศาสตร์ เตือนคนไทยเตรียมรับมือภัยพิบัติ ทั้งน้ำท่วม พายุ และแผ่นดินไหว ขณะที่เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา แนะศึกษาโครงการพระราชดำริ เพื่อเป็นบทเรียนในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน

    ในการประชุมภัยพิบัติประจำปี เรื่อง "ถอดรหัสภัยพิบัติ พลิกวิกฤติให้เป็นคำเตือน" ที่คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา นักวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมไฟฟ้า ซึ่งเคยทำงานร่วมกับองค์การนาซ่าของสหรัฐฯ ได้แสดงความเป็นห่วง 2 เรื่อง คือการตรวจพบก๊าซมีเทนซึ่งมีพลังงานความร้อนสูงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 21 เท่า ผุดขึ้นมาจากใต้พื้นโลก บริเวณไซบีเรีย ใกล้ขั้วโลกเหนือ ก๊าซมีเทนนี้จะเป็นตัวเร่งปฏิกริยาภาวะโลกร้อนให้เร็วและรุนแรงมากขึ้น ผลที่ตามมา คือ น้ำแข็งขั้วโลกจะละลายลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิค พอมวลน้ำในมหาสมุทรให้มีน้ำหนักมากขึ้นซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการหมุนของแกนโลกที่ขาดสมดุล และทำให้แกนโลกสลับขั้วเพื่อรักษาสร้างสมดุลใหม่ เกิดยุคน้ำแข็งฉับพลัน เหมือนที่เคยเกิดในสมัยดึกดำบรรพ์ ซึ่งประเด็นเรื่องแกนโลกสลับขั้วมีโอกาสเกิดขึ้นได้ เพราะแค่แผนดินไหวที่ญี่ปุ่นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้แกนโลกเบี่ยงเบนออกจากแนวเดิมไปแล้ว 23 องศา

    นอกจากเรื่องก๊าซมีแทนจากใต้พื้นโลกแล้ว อีกเรื่องที่น่าเป็นห่วง คือ เรื่องการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกใต้อินโดนีเซีย และใต้แปซิฟิกที่เคลื่อนมาชนกับแผ่นเปลือกโลกใต้ทวีปเอเชีย-ยุโรป ส่งผลให้ฝั่งตะวันออกของทวีปเอเชียเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง มีโอกาสที่ญี่ปุ่นจะหายไปจากแผนที่โลก และมีโอกาสที่จะเกิดสึนามิที่ฟิลิปปินส์และอ่าวไทย ขณะเดียวกันแผ่นเปลือกโลกใต้อินเดียและออสเตรเลียเริ่มเคลื่อนตัวมาทางฝั่งอันดามันเช่นกัน

    อย่างไรก็ตามอาจารย์อาจอง เปิดเผยว่า เคยมีโอกาสไปพูดคุยกับชนเผ่ามายาในเม็กซิโกเรื่องการสิ้นสุดของปฏิทิน 5,200 ปีของชนเผ่ามายาในวันที่ 21 ธันวาคมนี้ ซึ่งก็ได้รับการยืนยันว่า ไม่ใช่วันสิ้นโลก แต่กลียุคจะจบสิ้น และโลกจะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคใหม่ เป็นยุคแห่งความสุข แต่ปัญหา คือ กลียุคจะจบลงอย่างไร จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้

    ขณะที่ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต ยืนยันข้อมูลตรงกับอาจารย์อาจองว่า แนวโน้มภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คือ น้ำท่วม พายุ และ แผ่นดินไหว ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลทางสถิติพบว่า แผ่นดินไหวขนาด 9 ริกเตอร์ขึ้นไป และสึนามิขนาดใหญ่ มักจะเกิดในช่วงพายุสุริยะรุนแรงในทุกๆ 11 ปี โดยในช่วงเดือนธันวาคมนี้ไปจนถึงเดือนมกราคมปีหน้า ก็จะครบรอบ 11 ปีของวรจรการเกิดพายุสุริยะรุนแรงพอดี พื้นที่ที่มีการคำนวณว่าจะเกิดแผ่นดินไหว หรือสึนามิขนาดใหญ่ คือ พื้นที่รอบมหาสมุทรแปซิฟิก

    ในส่วนของประเทศไทยนั้น จะเข้าสู่ภาวะแล้งอย่างหนักจนถึงกลางปีหน้า จากนั้นในช่วงครึ่งปีหลังจะมีพายุผ่านเข้ามา 31 ลูก แต่จะกระทบประเทศไทยโดยตรงแค่ 2- 4% เท่านั้น ที่เหลือจะผ่านเลยไป แต่อย่าประมาท เพราะประเทศไทยมีการพัฒนาที่บิดเบือน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างนิคมอุตสาหกรรม ในที่ลุ่มที่เคยเป็นท้องนาซึ่งเป็นแก้มลิงรับน้ำในฤดูฝน , สร้างคอนโดริมแม่น้ำ และสร้างหมู่บ้านจัดสรรขวางทางน้ำไหล จึงมีความเป็นไปได้ว่า ภายในปี 2563 จะมีโอกาสเกิดน้ำท่วมใหญ่อีกรอบ และในระยะ 100 ปีข้างหน้า ระดับน้ำในทะเลจะเพิ่มสูงขึ้น 0.25 – 0.5 เซนติเมตร ขณะที่แผ่นดินทรุดลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะกรุงเทพฯที่มีอัตราการทรุดตัวอยู่ที่ 1.3 เซนติเมตรต่อปี จึงเป็นไปได้ที่น้ำทะเลจะหนุนขึ้นมาท่วมพื้นที่ลุ่มรอบอ่าวไทย ทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคกลางตอนล่างบางจังหวัด

    ทั้งนี้ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ได้เล่าให้ฟังถึงพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเป็นต้นแบบของการจัดการภัยพิบัติว่า พระองค์ท่านมีหลักการทรงงาน 7 ข้อ คือ
    1. การพึ่งพาตนเอง
    2. การคิดให้ครบถ้วนเชื่อมโยงกันเป็นองค์รวม
    3. ใช้ธรรมชาติแก้ธรรมชาติ
    4. ทุกอย่างมีค่า ไม่มีของเสีย ทำแล้วต้องไม่มีคนเสียประโยชน์
    5. เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่
    6. มีความยั่งยืน
    7. ต้องไปสัมผัสในพื้นที่จริงแล้วลงมือทำ

    ซึ่งโครงการพระราชดำริต่างๆ 3,000-4,000 โครงการ ล้วนเป็นบทเรียนที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการรับมือกับภัยพิบัติอย่างยั่งยืน อยู่ที่ว่านักวิชาการ ภาคส่วนต่างๆ และประชาชนจะเดินตามรอยพระบาทกันอย่างไร เพื่อให้คนไทยปรับตัวและพร้อมที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติให้ได้


    ที่มา : http://www.krobkruakao.com/ข่าว/65670/นักวิทยาศาสตร์-เตือนคนไทยเตรียมรับมือภัยพิบัติ.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      179.4 KB
      เปิดดู:
      90
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2012
  4. มณีจำปา

    มณีจำปา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    1,423
    ค่าพลัง:
    +9,369
    ขอบคุณ คุณ ihappiness มากค่ะ ;41
     
  5. ihappiness

    ihappiness เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +920
    มูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดลจัดงานเสวนาให้ความรู้เกี่ยวกับการเกิดภัยพิบัติตามกระแสสังคมที่ตื่นกลัว วันสิ้นโลก ในวันที่ 21ธันวาคมนี้

    โดย ดร.ก้องภพ อยู่เย็น วิศวกรไฟฟ้า องค์การนาซ่า ระบุว่าเหตุการณ์โลกสิ้นสลายจะยังไม่เกิดขึ้น แต่ภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า จะมีความรุนแรงมาก จากการได้รับผลกระทบคลื่นรังสีดวงอาทิตย์ ซึ่งปัจจุบัน ชั้นบรรยากาศที่เป็นเกราะคุ้มกันโลก ลอยต่ำสุดในรอบ 50 ปี

    เวทีเสวนา ถอดรหัสภัยพิบัติ พลิกวิกฤติให้เป็นคำเตือน มีนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญขึ้นบรรยายให้ความรู้ที่เท่าทันการเตรียมรับมือภัยพิบัติ พร้อมทั้งแจงเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ถึงปัจจัยการเกิดภัยพิบัติในวันสิ้นโลกตามที่เป็นกระแสสังคมในขณะนี้ โดยดร.ก้องภพ อยู่เย็น วิศวกรไฟฟ้า นักวิทยาศาสตร์ไทยที่ทำงานใน องค์การนาซา กล่าวว่า ปัจจัยที่จะทำให้โลกสลายมี 2ปัจจัย คือ ปัจจัยภายนอกจากปรากฎการณ์พายุสุริยะ และปัจจัยภายในโลกจากการทำลายชั้นบรรยากาศ สิ่งแวดล้อมจากน้ำมือมนุษย์ ซึ่งเหตุการณ์ภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขี้นในวันที่ 21ธันวาคม นี้ เครื่องมือและหน่วยงานวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดภัยพิบัติชนิดใด ซึ่งถ้าหากจะเกิดจริง โดยหลักจะมีลางบอกเหตุ คือเกิดภัยธรรมชาติหลายแห่งที่มีความเชื่อมโยงกัน ดังนั้นเหตุการณ์โลกสิ้นสลายจะยังไม่เกิดขึ้น แต่คาดว่าภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นในปี 2556 โดยเฉพาะเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน จะมีความรุนแรงขึ้นเพราะการได้รับผลกระทบจากคลื่นรังสีดวงอาทิตย์จะทำให้สนามแม่เหล็กแปรปรวนได้ง่าย เพราะปัจจุบัน ชั้นบรรยากาศที่เป็นเกราะคุ้มกันโลก ลอยต่ำสุดในรอบ 50 ปี ซึ่งเป็นช่วงสนามแม่เหล็กโลกอ่อนแอที่สุด


    ดังนั้นควรจะหมั่นเฝ้าสังเกตุการณ์ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากการกระทบคลื่นรังสีพายุสุริยะ ระหว่างวันที่ 20-25 ธันวาคม ซึ่งในวันที่ 18 ธันวาคมนี้ ทางนาซาจะสามารถคำนวนได้ว่า ทิศทางคลื่นรังสีของพายุสุริยะจะมากระทบต่อโลกในทิศทางใด จะสามารถคาดการณ์ถึงประเภทและความรุนแรงของภัยพิบัติได้ โดยหากรังสีพายุสุริยะกระทบโลกโดยตรง จะเกิดความแปรปรวนของสภาพอากาศ แต่ถ้าหากเฉียดกับโลกบางส่วน จะเกิดภูเขาไฟระเบิด และแผ่นดินไหว ทั้งนี้ อยากให้ประชาชนรู้จักสังเกตุและคาดคะเนภัยธรรมชาติให้เป็น ไม่ใช่ตื่นตระหนก จนลืมวิธีหรือเรียนรู้ที่จะอยู่กับภัยธรรมชาติ


    ด้านนายสมชาย ใบม่วง รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวว่าวันที่21 ธันวาคม นี้ว่าขณะนี้ยังไม่มีรายงานใดที่บ่งบอกว่าเป็นภัยพิบัติก่อให้เกิดเหตุสิ้นโลก แต่หากเกิดแผ่นดินไหว ก็จะเป็นภัยพิบัติไม่สามารถพยากรณ์ได้ ทั้งนี้ศักยภาพการพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา สามารถพยากรณ์ได้เพียงระดับจังหวัดเท่านั้น โดยการพยากรณ์ใน 4ชั่วโมงความถูกต้องประมาณร้อยละ79 แต่ความต้องการของประชาชน ต้องการให้พยากรณ์ได้ในระดับอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน หรือในพื้นที่เสี่ยงภัย ซึ่งทางกรมอุตุฯต้องมีการปรับปรุงอุปกรณ์ให้ดี เพื่อให้มีความแม่นยำกว่าเดิม รัฐบาลจึงควรจะสนับสนุนงบประมาณในการติดตั้งเครือข่ายตรวจวัดภาพอากาศให้ครอบคลุม และต้องให้ความสำคัญกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่งเป็นหน่วยงานดูแลต้นน้ำของการเกิดภัยพิบัติต่างๆ


    ทั้งนี้นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติ แสดงความเห็นสอดคล้องกันว่า ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือนธันวาคมนี้จะรุนแรงขึ้น แต่ไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้โลกสิ้นสลายตามกระแสข่าวลือ

    by Porntip


    ที่มา : http://news.voicetv.co.th/thailand/58533.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      169.2 KB
      เปิดดู:
      103
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2012
  6. รพินทร์นาถ

    รพินทร์นาถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +844
    ขอบคุณมากครับรอฟังอยู่เลย กำลังคิดเลยว่าจะมีใครเอาข้อมูลสัมนามาให้ฟังไหม ขอสวดมนต์ ภาวนา ก่อนมาฟังครับ
     
  7. E22QBR

    E22QBR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +177
    แค่คำว่าอีก 8 ปี ภาคกลางและกรุงเทพฯน้ำจะท่วมถาวร ก็น่ากลัวแล้วครับ ไม่รวมถึงภัยอื่นหรอก ยิ่งภัยจากนักการเมืองฉ้อโกง นี้ก็วิบัติ กันหมดแล้ว

    อ.สมิทธ...
     
  8. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    สรุปการสัมมนา เรื่อง “ถอดรหัสภัยพิบัติ พลิกวิกฤตให้เป็นคำเตือน” ซึ่งจัดสัมมนาในวันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555 เวลา 08.00 – 17.00 น ณ ห้อง ประชุม (4224) อาคารสิ่งแวดล้อมพัฒนาดล คณะสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ซึ่งจัดโดยมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ คณะสิ่งแวดล้อมฯ มหาวิทยาลัยมหิดล หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ เครือข่ายวิทยุลูกทุ่งเน็ตเวิร์ค

    สำหรับการสัมมนาในวันนี้ นอกจากเนื้อหาสาระที่ได้จากการบรรยายบนเวทีแล้ว ข้าพเจ้าได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากท่านวิทยากรเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษด้วย เพราะบนเวทีนั้นพูดตรงเกินไปไม่ได้ เนื่องจากมีการถ่ายทอดเสียงไปทั่วประเทศ อีกทั้งมีท่านผู้ตรวจการแผ่นดิน (ศ.ดร.ศรีราชา เจริญพานิช) มาร่วมฟังตลอดเวลา ดังนั้น เนื้อหาที่ท่านได้ทราบในวันนี้ จึงเป็นการประมวลข้อมูลของข้าพเจ้าตามที่ได้รับทราบมาทั้งหมด เพื่อให้ท่านที่สนใจในเรื่องที่เกี่ยวกับการเกิดภัยพิบัติในอนาคต ได้รับทราบเรื่องของภัยพิบัติ เพื่อพลิกวิกฤตให้เป็นคำเตือน ซึ่งหวังว่า ทุกท่านที่ได้มีโอกาสอ่านเรื่องราวที่ข้าพเจ้าประมวลมานี้แล้ว จะได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องมากขึ้น

    สรุปภาพรวมว่า ไม่มีวิทยากรท่านใดคิดว่า โลกจะแตก หรือ ใกล้จะถึงวันสิ้นโลก แต่ก็ไม่มีวิทยากรท่านใดปฏิเสธว่า จะไม่มีภัยพิบัติที่รุนแรงในอนาคต รวมทั้งวิตกกังวลว่า ปัญหาเก่าๆที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วที่เกี่ยวกับภัยพิบัติโดยเฉพาะน้ำท่วมนั้น ในอนาคตก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นแล้วได้สำเร็จ

    ประธานในพิธีในวันนี้ ได้แก่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิด และ เป็นผู้สนองพระบรมราชโองการในโครงการต่างๆของในหลวงมากที่สุดผู้หนึ่ง ได้เดินทางมาเป็นผู้กล่าวเปิดงาน เป็นผู้มอบโล่ประกาศเกียรติคุณและของที่ระลึกให้แก่ผู้มีผลงานดีเด่น และหน่วยงานดีเด่น ที่เกี่ยวกับการเตือนภัยพิบัติในปี 2554 และ เป็นผู้กล่าว ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ในหลวงองค์อัจฉริยะต้นแบบการจัดการ แก้ไขภัยพิบัติ”

    1. ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล
    เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ได้บรรยายเนื้อหาสรุปได้ดังนี้

    1.1 ภัยพิบัตินั้นทำความเสียหายให้แก่ชีวิต และทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก ในเรื่องการเตือนภัยก่อนเกิดภัยพิบัติจึงมีความจำเป็นมาก ในหลวงท่าน ให้คำแนะนำและสั่งสอนเสมอว่า “เราต้องรู้จักกับธรรมชาติ และ อยู่กับธรรมชาติให้มากที่สุด เมื่อรู้แล้ว ต้องนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง”

    1.2 ในหลวงท่านทรงงานทุกอย่าง เพื่อให้พสกนิกรของพระองค์อยู่ดีกินดีบนผืนแผ่นดินไทย แต่คนไทยส่วนมากก็ยังคงทำตนเหมือนเดิม ไม่ได้ทำตามที่พระองค์ทรงสอน ดีแต่ปากพูดว่ารักพระองค์ แต่แท้จริงนั้น ไม่ได้ทำตามที่พระองค์ทรงสอนมากนัก

    1.3 ดร.สุเมธฯท่านว่า ในบางครั้งเราใช้ทรัพยากรในการช่วยเหลือภัยพิบัติที่สิ้นเปลือง จนบางคราวท่านโกรธโดยพูดแรงๆว่า “มีการใช้ทรัพยากรที่บัดซบ” เพราะผู้ที่ไปแจกของชาวบ้าน พากันนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปแจกของ บางคราวไปกันในสถานที่เดียวกันถึง 7 ลำ แล้วก็แจกของซ้ำซ้อน คนที่ได้แล้วก็ได้อีก คนที่ไม่ได้ ก็ยังคงไม่ได้ เพียงเพื่อขอให้ได้ถ่ายรูปเอาหน้า เพื่อทำข่าวกันเท่านั้น การนำสิ่งของไปให้ผู้เดือดร้อนนั้น ถ้ามีจิตใจที่เป็นกุศลจริงๆ ไม่ต้องทำข่าว ไม่ต้องไปแจกเอง ให้หน่วยงานในท้องที่เกิดภัยพิบัติ จัดสรรของที่จะนำไปแจก เพื่อให้ผู้เดือดร้อนได้รับสิ่งของโดยถ้วนหน้า แต่ผู้ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยฯ เกรงจะไม่ได้หน้า ไม่ได้ออกข่าว เลยต้องไปแจกด้วยมือตนเอง ซึ่งสูญเสียทรัพยากรไปมากกว่าสิ่งของที่นำไปแจก

    1.4 ดร.สุเมธฯท่านให้ความเห็นว่า เรื่องของการสูญเสียสมดุลในธรรมชาติ ที่อาจทำให้แกนโลกเปลี่ยน น้ำทะเลอาจเทไปด้านใดด้านหนึ่งมาก และ ภัยพิบัติในรูปแบบต่างๆนั้น ก็มีสาเหตุจากน้ำมือของมนุษย์ไม่น้อยเลย ที่มิได้ใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน แต่ใช้ฟุ่มเฟือยกันมาก และ พวกเราก็จะได้เห็นรถยนต์ออกมาวิ่งในถนนอีกประมาณ 800,000 คันด้วยการสนับสนุนของรัฐบาล

    1.5 คนไทยส่วนใหญ่ มักจะเห็นหน้าในหลวง และ ได้ยินพระสุรเสียง แต่ไม่เคยฟัง เพื่อนำไปปฏิบัติตามอย่างจริงจัง รวมทั้งรัฐบาลต่างๆที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ก็รับปากว่าจะทำ แต่ก็ทำแบบฉาบฉวย มิได้ทำอย่างทุ่มเทจริงจังและต่อเนื่อง

    1.6 ที่ผ่านมาแหล่งต้นน้ำ และ พื้นที่ป่าลดลงมาโดยตลอด เพราะ ถูกบุกรุกแผ้วถางเพื่อนำพื้นที่ป่าไปปลูกยาง ปลูกปาล์ม ในรูปพืชเชิงเดี่ยว โดยนักการเมืองที่เห็นแก่ได้ก็อ้างว่า ก็ปลูกต้นไม้เหมือนกัน ความจริงนั้นแตกต่างกันมาก ความสามารถในการอุ้มซับน้ำแตกต่างกันมาก

    1.7 คราวหนึ่งท่าน ดร.สุเมธฯ พบว่า สำนักงาน สปก. ตัดต่อนำถ้อยคำบางตอนของท่านไปลงในหนังสือ โดยลงไม่ครบ ท่านว่า “ที่ดิน สปก.นั้น ชาวบ้านที่ได้รับไปจากรัฐบาลแล้วไม่ต้องคืน แต่ ถ้าผู้ใดได้ที่ดิน สปก.ไปโดยมิชอบ หน่วยงานของรัฐต้องเรียกคืน เพราะบางพื้นที่นั้น เดิมเป็นป่าเขียวชอุ่ม แต่มีการจงใจเผาป่า เพื่อไปปักเป็นเขต สปก.แล้วนำที่ดินไปแจกให้แก่ผู้ที่มิใช่เกษตรกรที่แท้จริง หรือ นำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ไม่ได้นำไปใช้ในทางการเกษตร แบบนี้ ต้องเรียกที่ดินคืน” แต่ สำนักงาน สปก.นำถ้อยคำไปอ้างอิงเพียงว่า “ดร.สุเมธฯ เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวว่า “ที่ดิน สปก.นั้น ใครที่ได้รับไปแล้วไม่ต้องคืน” ท่านเลยแจ้งให้อธิบดีกรมอุทยานและพันธุ์พืช ตรวจสอบและดำเนินการทางกฎหมายต่อ ผู้ที่ได้ที่ดิน สปก. แล้วนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ หรือ ไม่ได้นำไปใช้ในทางการเกษตรอย่างแท้จริง

    1.8 เส้นทางระบายน้ำหลาก (Flood way) ก็ปรากฏว่า มีการออกหลักฐานกรรมสิทธิ์ ออกใบอนุญาตจากรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย และ ออกใบอนุญาตให้ก่อสร้างโรงงาน อาคารบ้านเรือน ไปขวางทางน้ำไหล เมื่อปริมาณน้ำมีมาก ก็ย่อมต้องทำให้น้ำท่วมแน่นอน

    1.9 ดร.สุเมธฯ เล่าให้ฟังว่า ในหลวงของเรานั้น จะทำอะไรจะต้องทำความเข้าใจ เพื่อให้เข้าถึงในสิ่งนั้น จากนั้นก็จะเข้าไปพัฒนาสิ่งนั้น โดยพระองค์ท่านเน้นการสร้างสมดุลอย่างสร้างสรรค์

    1.10 หลักในการทำงานของในหลวงของเรานั้น ท่านมีทั้งกรอบคิด กรอบงาน และ เทคโนโลยี
    กรอบคิด : ให้พึ่งตนเองก่อน โดยการคิดให้ครบถ้วน ให้เชื่อมโยงกัน พยายามใช้ธรรมชาติแก้ธรรมชาติ ให้คิดเสมอว่า ทุกอย่างมีค่า ต้องพยายามอย่าให้มีของเสีย ทำอะไรก็ตาม ต้องพยายามอย่าให้มีคนเสียประโยชน์ ต้องทำให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ ทำให้เกิดผลที่ยั่งยืน จากนั้นลงมือทำด้วยการทำเป็นตัวอย่างก่อน เพื่อให้เป็นบทเรียน ในการทำตาม

    กรอบงาน : พระองค์ต้องหาข้อมูลก่อน จากนั้น ก็นำมาลงในผังงาน ผังคิดโดยข้อมูลต้องเชื่อมโยงกัน จากนั้นลงพื้นที่จริง ทำทั้งถ่ายรูป และ บันทึกช่วยจำ และ มีเครือข่ายการทำงาน จากนั้น ทดลอง ติดตาม ประเมินผล และ ขยายผล

    เทคโนโลยี : พระองค์ท่านใช้ทั้ง วิทยุสื่อสาร แผนที่ คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต GIS GPS ข้อมูลดาวเทียม เรดาร์ ท่านใช้เทคโนโลยีที่พอเหมาะกับงานในแต่ละงาน

    1.11 ในครั้งหนึ่ง ที่กรมอุตุนิยมวิทยา ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ พยากรณ์อากาศว่า พายุแองเจลล่าเข้าไทยแน่นอน แต่ในหลวงท่านว่า พายุนี้ไม่เข้าไทยแน่นอน โดย ดร.สุเมธฯ นำภาพพระราชทานที่ในหลวงท่านทรงใช้ในการทำงานมาแสดง ซึ่งเป็นภาพแผนที่อากาศของกรมอุตุฯ แต่มีภาพการผูกดวงเมืองซ้อนลงไป นั่นคือพระองค์ได้ผูกดวงเมืองใส่ลงไปในแผนที่อากาศของกรมอุตุฯ โดยพระองค์พบว่า ในช่วงวันดังกล่าวไม่มีทั้งลมและน้ำเข้าไทย แล้วจะมีลมพายุแองเจลล่าเข้าไทยได้อย่างไร ซึ่งแสดงถึงอัจฉริยภาพในด้านการผูกดวงอีกศาสตร์หนึ่ง พระองค์เคยตรัสว่า แต่ละศาสตร์ย่อมมีความสำคัญ ไม่ควรดูถูกศาสตร์อื่นที่เราไม่รู้จัก

    1.12 องค์ความรู้ของในหลวงของเรานั้น มีมากมาย ไม่ว่า ด้านป่า น้ำ ดิน สิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ พลังงานทดแทน ด้านการเกษตร ด้านไบโอดีเซล เชื้อเพลิงสีเขียว เป็นต้น ท่านย้ำอยู่เสมอว่า จะทำอะไรก็ตาม ต้องยึดสายกลาง ต้องมีความรู้ที่ถูกต้อง และ มีคุณธรรม ต้องรู้จักการปรับตัว ให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง ต้องบริหารภัยพิบัติให้เป็น จะต้องนำข้อมูลทั้งหมด มาทับซ้อนกับผังระบบ จึงจะทำให้เห็นภาพรวมใหญ่อย่างแท้จริงในการแก้ปัญหา ซึ่งจะนำเราไปสู่วิธีการแก้ปัญหาได้สำเร็จอย่างยั่งยืน จึงเห็นได้ว่าในหลวงของเรานั้น พระองค์ทรงเป็นองค์อัจฉริยะต้นแบบการจัดการ แก้ไขภัยพิบัติอย่างแท้จริง

    2. จากนั้น รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมฯ อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร บรรยาย เรื่อง “การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศกับการเกิดภัยพิบัติ” โดยได้บรรยายเนื้อหาสรุปได้ว่า

    2.1 โลกกำลังป่วย ประเทศไทยกำลังเปื่อย และเปราะบาง โดยท่านเชื่อว่า แม้เรื่องสึนามิ ที่เคยเกิดผลร้ายต่อประเทศไทยไปแล้ว ในอนาคตจะต้องเกิดขึ้นอีก เพราะมีการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศค่อนข้างมาก เราจำเป็นต้องซ้อมรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นครั้งคราว ไม่ควรประมาท เมื่อได้รับการเตือนภัยต้องรีบเก็บข้าวของสัมภาระสำคัญให้แล้วเสร็จภายใน 5 นาที ห้ามขอนั่งดูทีวีก่อน ขอฟังวิทยุก่อน แบบนี้มีโอกาสสูญเสียชีวิตได้

    2.2 ท่านพบความมีนัยสำคัญของการเกิดพายุสุริยะว่า หลังเกิดพายุสุริยะขนาดใหญ่ 3-4 วัน ก็จะมีการเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ติดตามมาเกือบทุกครั้ง เช่น การเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ที่ชิลี และ ที่ญี่ปุ่น ก็เกิดภายหลังการเกิดพายุสุริยะขนาดใหญ่ เป็นต้น

    2.3 ปัจจุบันมนุษย์บริโภคทรัพยากรเกินขีดจำกัดของโลกไปแล้ว คือ เกินไป 1.5 เท่า โลกเข้าขั้นป่วยหนักแล้ว ต่อไปถ้าแล้ง จะแล้งหนัก ถ้าฝนตก จะตกหนักมากกว่าเดิม

    2.4 ในปีที่แล้ว ประเทศไทยเสียหายประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท สูญเสียอันดับ 1 ของโลก และ มีการพบว่า เรามีการออกใบอนุญาตให้สร้างคอนโด โรงงาน บ้านเรือน ขวางเส้นทางเดินของน้ำตลอดเวลาที่ผ่านมา เมื่อฝนตกหนักแล้วน้ำไม่มีทางไป น้ำก็ย่อมต้องท่วมเป็นธรรมดา และ น้ำต้องไหลผ่านกรุงเทพฯเสมอ เมื่อมีการทำเขื่อน ทำพนังกั้นน้ำสูงในจังหวัดต่างๆก่อนน้ำถึงกรุงเทพฯ น้ำย่อมต้องมีปริมาณมหาศาลที่จะต้องผ่านกรุงเทพฯ ถ้าน้ำไม่ท่วม ก็คงแปลกมาก ก็ขอให้ไปคิดทบทวนกันเอาเองว่า ในอนาคตเราควรจะอยู่ที่ไหน อย่างไร จึงจะมีความปลอดภัย

    2.5 ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์นั้น ในปี 2556 ไทยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเอลนิญโญ่ พยากรณ์ได้ว่า ไม่มีน้ำท่วม อากาศจะร้อนมาก จะขาดแคนน้ำอย่างน้อยครึ่งปี

    2.6 เฮอริเคนแซนดี้ ถล่มนิวยอร์ค ทำให้รถไฟฟ้าใต้ดินน้ำท่วม สำหรับไทยนั้น วิศวกรคำนวณในช่วงสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน โดยวางแผนป้องกันในทางวิชาการทางวิทยาศาสตร์ล่วงหน้าว่ารับมือได้ น้ำไม่ท่วมรถไฟฟ้าใต้ดิน ใน 200 ปีข้างหน้า แต่หลังจากสร้างเสร็จเพียง 3 ปี ปริมาณน้ำมีมากเกือบเท่าที่ประมาณการป้องกัน 200 ปีข้างหน้าแล้ว แสดงว่า ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ในทางวิชาการเดิมนั้น นำมาใช้สำหรับพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคตไม่ได้มากนัก

    2.7 ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ในทางวิชาการ จะมีน้ำท่วมกรุงเทพฯ ก็ต้องเป็นปี 2563 ซึ่งมีโอกาสท่วมเพียง 30% เท่านั้น หากผู้ใดเชื่อข้อมูลนี้ ก็คงไม่ต้องเตรียมการป้องกันอะไรกันมากนัก ค่อนข้างสบายใจได้เลย ส่วนท่านจะเชื่อหรือไม่ ก็คงต้องใช้วิจารณญาณกันเอาเอง
    (แต่ในทางส่วนตัวของ ดร.เสรีฯ เอง ท่านไม่เชื่อข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ในทางวิชาการดังกล่าว – มงคล กริชฯ)

    2.8 รัฐบาลวางแผนป้องกันน้ำท่วมในอนาคต โดยลงทุนในการก่อสร้างคันกั้นน้ำ มีค่าใช้จ่ายชุมชนละ 200 ล้านบาท โดยคิดว่า น่าจะเอาอยู่ แต่ ดร.เสรีฯ ท่านว่า “ไม่มีคำว่าเอาอยู่ ในการสู้กับภัยพิบัติ”

    3. ในลำดับถัดมา ศ.ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยาฯ อดีตนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น ขององค์การนาซ่า ผู้ได้รับการประกาศเกียรติคุณในหอเกียรติยศขององค์การนาซ่าว่า เป็นนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นชั้นนำของโลกปัจจุบัน ปัจจุบันท่านเป็น ผู้บริหารสูงสุดของโรงเรียนสัตยาไส อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี ซึ่งได้ทุ่มเทให้กับการสร้างเด็กให้มีคุณภาพในด้านความดีสูง ต้องทำสมาธิวันละ 9 ครั้ง อาหารทุกมื้อเป็นมังสวิรัติ สุขภาพร่างกายของครูและนักเรียน สมบูรณ์แข็งแรงมากกว่าเด็กโดยทั่วไป ด้วยการเน้นให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ไม่เน้นในการเป็นคนเก่ง แต่เด็กที่จบจากโรงเรียนสัตยาไส นั้น สามารถเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้หมดทุกคน ท่านบรรยาย เรื่อง “วิกฤตโลกร้อนภัยธรรมชาติสุดขั้ว” โดยได้บรรยายเนื้อหาสรุปได้ว่า

    3.1 ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์พบว่า เปลือกโลกมีการเคลื่อนตัวเร็วมาก ในส่วนที่เคลื่อนออกจากกันนั้น อยู่ที่บริเวณมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่บริเวณที่ตั้งมลรัฐแคลิฟอร์เนียในปัจจุบัน จะจมหายไปจากแผนที่โลก โดยอาจมีเรื่องตื่นเต้นให้เห็นใน 2-3 ปีนี้ แต่เมื่อไรที่จะจมหายไปแน่นอนนั้น นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถคำนวณได้ แต่ในอนาคตเชื่อว่าต้องจมหายแน่นอน ใครที่มีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงไปทำมาหากิน หรือ ไปเรียน ไปอยู่อาศัยในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 1 ล้านคน ขอให้ช่วยบอกเขาให้กลับมาอยู่ประเทศไทย ซึ่งจะมีความปลอดภัยมากกว่ากันมาก

    3.2 สำหรับบริเวณที่ตั้งของประเทศญี่ปุ่นนั้น เป็นบริเวณที่เปลือกโลกจะวิ่งมาชน แนวโน้มในอนาคตนั้น นักวิทยาศาตร์เชื่อว่า ประเทศญี่ปุ่นก็จะจมหายไปในทะเลเช่นเดียวกัน

    3.3 สำหรับบริเวณประเทศฟิลิปปินส์นั้น ก็มีชิ้นเปลือกโลกมาชนในหลายด้าน จะมีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเร็วๆนี้ และย่อมก่อให้เกิดสึนามิได้แน่นอน โดยจะมีเวลาเตือนภัยคนไทยได้ล่วงหน้าประมาณ 15 ชั่วโมง ซึ่งจะมีผลกระทบด้านอ่าวไทย จังหวัดที่ต้องระวังให้มากคือ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และ สงขลา

    3.4 สำหรับด้านอันดามัน ก็จะมีการเกิดแผ่นดินไหวใหญ่อีกครั้ง จุดอันตราย คือ ระนอง กระบี่ ภูเก็ต และ จังหวัดต่างๆแถบชายทะเลด้านนี้ มีเวลาเตือนภัยสั้นสุดประมาณ ครึ่งชั่วโมง นานหน่อยประมาณ 2-3 ชั่วโมง

    3.5 ในปัจจุบันนี้ มีปัญหาหิมะละลายค่อนข้างเร็ว และ ค่อนข้างมาก เช่นที่ กรีนแลนด์ ที่ไซบีเรีย ในรัสเซีย บนภูเขาแอนดีส ภูเขาหิมาลัย และ ที่ขั้วโลกใต้ก็มีน้ำแข็งละลายเร็วมาก เมื่อน้ำแข็งละลายมาก ก็ไหลลงสู่ทะเล น้ำในทะเลก็มีปริมาณมากขึ้น ทำให้มีน้ำหนักในบริเวณทะเลมากกว่าอดีต โดยเฉพาะที่แปซิฟิค จะมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นอีกหลายแสนล้านตัน บริเวณภูเขาที่เคยมีน้ำแข็งเกาะมาก ย่อมมีน้ำหนักมาก เมื่อน้ำแข็งละลายไปมาก พื้นที่ตั้งของภูเขาก็จะเบาลง ความไม่สมดุลของโลกก็เกิดมากขึ้น การแกว่งออกจากแกนของโลก ก็มีมากขึ้น การเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ๆแต่ละครั้ง ก็ทำให้โลกหมุนแกว่งออกห่างไปจากแกนเดิมมากขึ้น ซึ่งในที่สุดอาจมีการกลับขั้ว หรือ เปลี่ยนขั้วไปจากเดิมได้ ในอดีตมีหลักฐานการกลับแกนขั้วของโลกมาแล้ว โดยนักวิทยาศาสตร์ลงความเห็นตรงกันว่า การที่ช้างแมมมอสถูกแช่แข็ง ในขณะที่ในปากยังมีหญ้าอยู่ อีกทั้งในกระเพาะหญ้าก็ยังไม่ถูกย่อยนั้น แสดงว่าพื้นที่ที่แมมมอสอยู่อาศัยก่อนถูกแช่แข็งนั้น ไม่ใช่ขั้วโลกเหนือมาก่อนอย่างแน่นอน บริเวณขั้วโลกเหนือในปัจจุบัน เดิมน่าจะเป็นบริเวณที่มีอุณหภูมิประมาณ 25-30 องศาเซลเชียส จึงมีหญ้าขึ้นมาก จู่ๆอุณหภูมิบริเวณนั้น ก็ลดลงเป็น ติดลบ 50 องศาเซลเชียส ในทันที ทำให้พื้นที่ที่ช้างแมมมอสอยู่ ถูกเปลี่ยนอุณหภูมิจาก 25-30 องศาเซลเชียส เป็น ติดลบ 50 องศาเซลเชียสในทันที จึงทำให้ช้างแมมมอสถูกแช่แข็ง ในขณะที่ในปากยังมีหญ้าอยู่ อีกทั้งในกระเพาะหญ้าก็ยังไม่ถูกย่อย การที่จะมีสภาพดังกล่าวได้ ก็จะเกิดจากการกลับขั้วของโลกเท่านั้น ซึ่งข้อมูลในทางวิทยาศาสตร์ก็ได้พิสูจน์ทราบมาแล้ว อยู่ที่ว่าบุคคลโดยทั่วไปได้รู้ ได้ทราบข้อมูลความจริงเรื่องนี้แล้วหรือไม่ จึงไม่ควรปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นว่า ไม่มี ไม่ใช่ เป็นไปไม่ได้

    3.6 ในปัจจุบันได้พบกาซมีเทนปริมาณมาก ในบริเวณขั้วโลกเหนือ กาซมีเทนมีอันตรายมากกว่ากาซคาร์บอนไดออกไซต์ และ ให้ความร้อนมากกว่า กาซคาร์บอนไดออกไซต์ ถึง 21 เท่า จะส่งผลให้โลกร้อนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และ มีผลทำให้ธารน้ำแข็งหลายแห่งบนพื้นผิวโลกละลายเร็วกว่าข้อมูลในอดีตอย่างมาก และ ในยุโรปปัจจุบันในบางเดือนมีความร้อนมากกว่า 40 องศาเซลเชียส ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้มีคนตายในยุโรปจำนวนหลายหมื่นคน อันเนื่องมาจากคลื่นความร้อนเข้าสู่ยุโรปนั่นเอง

    3.7 เมื่อความแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงไปมาก เชื้อโรคต่างๆก็มีการปรับตัว มีการกลายพันธุ์ ในอนาคตอีกไม่นานนักในช่วงชีวิตของพวกเรานี้เอง จะปรากฏว่ามีโรคใหม่ๆเกิดขึ้น ภูมิต้านทานในร่างกายของคนเราจะลดลงไปมาก

    3.8 ประเทศเคนย่า เป็นประเทศหนึ่งที่ในปัจจุบัน อยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตร แต่ ปรากฏว่ามีหิมะตกลงมาแล้ว และ เมื่อปีที่แล้ว ทั้งพม่า และ เวียตนาม ก็มีหิมะตกลงมาแล้ว เชื่อว่า อีกไม่นานประเทศไทยเรา ก็ย่อมที่จะมีหิมะตกในบริเวณภูเขาสูงในดอยทางภาคเหนือ และ ภาคอิสาน อย่าเพิ่งปฏิเสธในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่เคยมีในประเทศไทย ให้ติดตามต่อไป ไม่น่าจะเกินช่วง 2-3 ปีต่อจากนี้ (อาจเกิดขึ้นได้ในปี 2556 - 2558)

    3.9 เมื่อวานนี้ (เสาร์ที่ 15 ธันวาคม 55) ตรวจดูปริมาณแผ่นดินไหวในรอบ 7 วัน พบว่ามีแผ่นดินไหวรวมทั้งหมด 192 ครั้ง ซึ่งนับว่า มีปริมาณค่อนข้างมาก

    (ในวันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 55 บริเวณตัวเมืองชลบุรี ที่ไม่เคยมีปริมาณน้ำทะเลทะลักเข้ามามากสูงประมาณ 50 ซม.ลึกเข้ามาประมาณ 1 กิโลเมตร ทั้งๆที่ไม่มีฝนตก ก็เป็นปรากฏการณ์ที่ชาวบ้านพูดตรงกันว่า ไม่เคยพบมาก่อน จะมีก็เฉพาะช่วงน้ำทะเลหนุน และ มีฝนตกมากผสมกันเท่านั้น - มงคล กริชฯ)

    3.10 ในเวลาเกิดแผ่นดินไหวในที่ใดก็ตาม ตำราเดิมให้มุดเข้าใต้โต๊ะนั้น ปรากฏว่าในระยะหลังมีคนตายใต้โต๊ะทุกแห่ง จึงแนะนำให้เลิกมุดใต้โต๊ะ วิธีที่ปลอดภัยที่สุด คือ ให้ทุกคนวิ่งออกไปนอกอาคาร ให้ไปอยู่ในที่โล่งแจ้งในทันที หากวิ่งออกไปนอกอาคารไม่ได้ ให้วิ่งไปอยู่ใกล้กับเสาใหญ่ของตัวอาคารแทน จะมีความปลอดภัยมากกว่า แต่ ห้ามไปอยู่ใกล้กำแพง เพราะโอกาสกำแพงพังลงมาทับมีสูง

    3.11 ในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 มิใช่วันสิ้นโลก มิใช่วันสิ้นยุค แต่ เป็นวันที่จะมีการเปลี่ยนยุค เราจะใกล้เข้าสู่ยุคแห่งความสงบสุข แต่การเปลี่ยนแปลงจะสำเร็จได้ คนเลวๆต้องถูกทำลาย พวกที่หาเรื่องมาทะเลาะกันได้ทุกวันจะต้องถูกทำลาย คนในยุคต่อไป จะต้องเป็นคนที่มีเมตตาต่อกัน ให้อภัยกันและกันได้เสมอ ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แต่ เนื่องจากคนเลวในสังคมมีค่อนข้างมาก การทำลายล้างคนเลวจำนวนมาก ย่อมต้องเกิดขึ้น

    3.12 สภาพภูมิอากาศของไทยในปี 2555 นั้น ลานิญญ่า กำลังอ่อนแรงลง ปรากฏการณ์ เอลณิโญ่ กำลังจะเข้ามาแทนที่ในปี 2556 ตามข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ในปีหน้านั้น จะเกิดภาวะแห้งแล้ง จะเกิดความขาดแคลนน้ำดื่ม น้ำใช้ และ น้ำในเขื่อนจะมีไม่เพียงพอในการทำการเกษตร
    แต่ ความแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศในอนาคต อาจไม่เป็นไปตามการคาดหมายของนักอุตุนิยมวิทยา ที่ใช้ข้อมูลในอดีตมาประมาณสถานการณ์น้ำในอนาคตก็ได้ และ อาจมีอิทธิพลมาจากพายุสุริยะ ที่จะมีความรุนแรงมากกว่าอดีตที่จะปรากฏให้เห็นชัดเจนใน ปี 2556 คือ
    ช่วงกุมภา – พฤษภา 56 น่าจะเป็นช่วงที่มีอันตรายสูงสุด ก็อาจเป็นไปได้ นั่นคือ อาจมีแผ่นดินไหวที่รุนแรงครั้งใหญ่ และ มีน้ำท่วมใหญ่ในหลายพื้นที่ของไทย ที่มากกว่าปี 2554 ที่จะปรากฏในปี 2556 ก็ได้ให้ติดตามสถานการณ์ต่อไป

    3.13 ตามสภาพของภูมิศาสตร์ในเรื่องที่ตั้งของประเทศไทย ถือว่า โชคดีมาก ที่ไม่ได้อยู่ใกล้วงแหวนแห่งไฟ ย่อมไม่มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวที่รุนแรง แต่ ก็ปรากฏรอยเลื่อน หรือ รอยร้าวของแผ่นเปลือกโลก ที่อยู่ใต้พื้นดินในประเทศไทย โดยมีมากในภาคเหนือ จังหวัดที่ต้องระวังให้มาก เช่น แม่ฮ่องสอน แม่สาย เชียงใหม่ เชียงราย ฯลฯ ส่วนทางภาคอิสาน นั้น ก็มีที่จังหวัดบึงกาฬ กับ นครพนม ด้านติดริมโขง เท่านั้น ที่ต้องเตรียมตัว แต่โดยภาพรวมแล้ว พื้นที่ในภาคอิสานจะมีความปลอดภัยสูงสุด

    • 3.14 ในอนาคตหากวิทยาศาสตร์มีความเจริญมากกว่าในปัจจุบัน มนุษย์จะเดินเหินอากาศได้ โดยไม่ต้องใช้ยานพาหนะ ไม่ต้องใช้น้ำมัน หากมีเทคโนโลยีในการปรับขั้วพลังงานกระแสไฟฟ้าในร่างกาย ให้พ้นจากแรงโน้มถ่วงของโลก หรือ มีเทคโนโลยีในการปรับขั้วแม่เหล็กในร่างกายมนุษย์ โดยพลังงานกระแสไฟฟ้านั้น ปัจจุบันนั้น นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยอมรับแล้วว่า มีอิทธิพลสูงกว่าแรงโน้มถ่วงมาก
    • 3.15 ศ.ดร.อาจองฯ ท่านแนะนำว่า ในช่วงนับแต่นี้เป็นต้นไป ความรุนแรงของภัยพิบัติจะมีมากขึ้น ถี่ขึ้น และ รุนแรงมากขึ้น จึงขอให้ประชาชนคนไทยหันมาฝึกจิต ให้มีความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ และ สัตว์โลกมากขึ้น หากหันมารับประทานอาหารมังสวิรัติได้ คือ ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ ก็มีส่วนช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ โดยขอยืนยันว่า รับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นประจำแล้ว สุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง มีภูมิต้านทานโรคสูง ได้ทำการทดลองพิสูจน์จนได้ผลเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้ว รับรองไม่ขาดแร่ธาตุสำคัญในการเจริญเติบโตอย่างแน่นอน
    • 3.16 ศ.ดร.อาจองฯ ยืนยันว่า รอบๆตัวเรานั้นมีคลื่นต่างๆมากมาย หากเราสามารถจูนคลื่นจิตของเรา ให้เข้ากับคลื่นไฟฟ้ารอบตัวเราได้ หากคลื่นตรงกัน เราก็สามารถรับรู้เรื่องต่างๆได้ เหมือนกับคลื่นวิทยุ คลื่นทีวี คลื่นโทรศัพท์ เมื่อจูนให้ตรงกันก็รับเสียง และ รับภาพได้ ซึ่งถ้าเราสามารถจูน คลื่นจิตของเรา ให้เข้ากับคลื่นไฟฟ้ารอบตัวเราได้ตรงกัน ย่อมทำให้สามารถล่วงรู้ไปในเรื่องอดีตที่ผ่านมานานร้อยปีพันปีแล้วได้ หรือ เรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึงได้ แต่จะต้องฝึกฝนกันค่อนข้างหนัก ด้วยความตั้งใจจริงๆ รวมทั้งเราอาจเคลื่อนตัวไปในมิติกาลเวลาไปสู่อดีต และ อนาคตได้
    • 3.17 ท้ายที่สุด ศ.ดร.อาจองฯ เสนอให้ผู้ที่สนใจชุมชนที่พึ่งตนเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพิงสิ่งภายนอกชุมชน ให้ไปศึกษาดูงานที่ โรงเรียนสัตยาไสย ลำนารายณ์ ไชยบาดาล จังหวัดลพบุรีได้ ไปตามทางหลวงสาย 21 ทุกคนในโรงเรียน ทั้งครูและนักเรียนนั้น ปกติจะช่วยกันปลูกข้าว ปลูกผัก ทำโรงเพาะเห็ด ปลูกพืชออแกนิค 100% ไม่ใช้สารเคมีใดๆ อาหารทุกมื้อ เป็นมังสวิรัติหมด ไม่มีเนื้อสัตว์ให้บริโภค ที่สำคัญมาก ศ.ดร.อาจองฯ อนุญาตให้ผู้สนใจที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ และ มีศีลธรรม หรือ เป็นคนดี ได้ใช้เป็นศูนย์พักพิงชั่วคราว ในยามเกิดภัยพิบัติที่รุนแรง โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆได้
    • - ภายในโรงเรียนนั้น ทุกคนใช้จักรยานหมดทั้งครูและนักเรียน รถบรรทุกที่ใช้ขนส่งผลผลิตนำไปขายนั้น ใช้น้ำมันไบโอดีเซล ที่โรงแรมต่างๆบริจาคน้ำมันพืชใช้แล้ว ให้ทางโรงเรียนนำไปผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซล พร้อมทั้งมีการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวล โดยไม่ใช้การเผา แต่ใช้การดูดกาซที่มีอยู่ออกมาใช้ และ ผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ด้วยแผ่นโซล่าเซลขนาดใหญ่ ซึ่งผลิตได้มากเกินความต้องการใช้ภายในโรงเรียน ก็ได้ส่งไปขายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตอีกด้วย จักรยานออกกำลังกายนั้น เวลาปั่น ก็นำไปหมุนมอเตอร์ผลิตกระแสไฟฟ้าด้วย มีโรงสีข้าวเอง ปลูกข้าวโดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมี แต่ได้ผลผลิตไร่ละ 1,100 – 1,200 กิโลกรัม มีผลผลิตสูงกว่าเกษตรกรมืออาชีพที่ใช้ปุ๋ยเคมีปลูกมาตลอดชีวิต ผลิตน้ำดื่มสะอาดบรรจุขวด ปัจจุบันประเทศภูฐาน ส่งครูมาเรียนการใช้ชีวิตที่มีความสุขภายในโรงเรียน และ การบริหารโรงเรียนทุกปี ในปีนี้ ได้ส่งมาประมาณ 70 คน เพื่อไปสร้างโรงเรียนในลักษณะดังกล่าว โดยใช้ต้นแบบของโรงเรียนสัตยาไสย ซึ่งเน้นการสอน ให้ได้เด็กนักเรียนที่ดี สำหรับสังคมโลกในยุคพลังงานใหม่

    4. ท่านที่สี่ คือ รศ.ดร.กัมปนาท ภักดีกุล คณบดี คณะสิ่งแวดล้อมฯ ม.มหิดลฯ ได้บรรยาย เรื่อง “สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ภัยธรรมชาติที่ไม่เหมือนเดิม” โดยได้บรรยายเนื้อหาสรุปได้ว่า

    4.1 เนื่องจากคนเราได้ทำลายธรรมชาติไปมาก จึงทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไป ทรัพยากรธรรมชาติร่อยหรอ ของเสียเพิ่มขึ้น มลพิษเพิ่มขึ้น

    4.2 หิมะที่ทิเบต ละลายมากขึ้น เร็วขึ้น ป่าไม้ในไทยควรมีอย่างน้อย 40% ปัจจุบันมีเหลือเพียง 25%

    4.3 ตลาดค้าสัตว์ป่าที่ใหญ่ที่สุดของไทย อยู่ที่ตลาดนัดจตุจักรนี้เอง

    4.4 ปัจจุบันโลกพบวิกฤติในระบบนิเวศน์ และ สิ่งแวดล้อม พวกเราทำลายธรรมชาติตลอดเวลา โอกาสที่ธรรมชาติจะเอาคืนมีอยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน การป้องกันไม่ให้เกิดภัยธรรมชาติ ย่อมกระทำไม่ได้ ตราบใดที่มนุษย์จงใจทำลายธรรมชาติ

    5. ดร.สมชาย ใบม่วง รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา บรรยาย เรื่อง “อนาคต อุตุฯไทยกับการเตือนภัยธรรมชาติ” โดยได้บรรยายเนื้อหาสรุปได้ว่า

    5.1 ภัยพิบัติเกิดจากสาเหตุสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อปรับตัวเองให้สมดุล ดังนั้น หน้าที่ของกรมอุตุฯ จึงมีหน้าที่แจ้งเตือนทุกคนให้ทราบถึงสภาพภูมิอากาศที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า แต่ประเด็นสำคัญในการดำเนินการของกรมอุตุฯ เพื่อรักษาทรัพย์สินและชีวิตของประชาชน คือ งบประมาณที่ได้รับจัดสรรน้อยมาก

    5.2 อุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี 2554 ทำให้มีการวางแผนเยอะมาก รัฐบาลกู้เงินจากหลายองค์กรเพื่อวางแผนแก้ไขปัญหาน้ำท่วม และ หลายหน่วยงานได้รับงบประมาณ แต่กรมอุตุฯ ไม่ได้งบประมาณ กรมอุตุฯ จึงพยากรณ์ได้ล่วงหน้าในวงจำกัด อยู่ในระดับจังหวัด ตามเครื่องมือที่มีอยู่เท่านั้น ในขณะที่ประชาชนนั้น ต้องการทราบชัดเจนว่า ฝนจะตกบริเวณหมู่บ้านใด ตำบลใด เมื่อไร แต่กรมอุตุฯ ไม่มีเครื่องมือในการพยากรณ์ล่วงหน้าได้ตามที่ประชาชนต้องการ

    5.3 ที่ผ่านมารัฐบาลใช้งบประมาณสร้างเขื่อน ทำฟลัดเวย์ ทั้งที่สิ่งที่ควรพิจารณาอันดับแรก คือ ให้กรมอุตุฯ พยากรณ์ก่อนว่า ฝนจะตกบริเวณไหน ฝนจะตกหรือไม่ ปริมาณเท่าใด เมื่อไร ดังนั้น การวางแผนของรัฐบาลที่ผ่านมาจึงเป็นการเกาไม่ถูกที่คัน แก้ปัญหาไม่ถูกจุด

    5.4 “เทคโนโลยีการเตือนภัยในปัจจุบันของกรมอุตุฯ มีศักยภาพที่สามารถระบุอย่างมากเพียงระดับจังหวัดเท่านั้น และบอกได้แม่นยำในระยะเวลาล่วงหน้าได้เพียง 7 วันเท่านั้น นานกว่า 7 วัน ไม่มีขีดความสามารถที่จะพยากรณ์ได้

    5.5 หากต้องการความถูกต้องล่วงหน้าในการพยากรณ์ ต้องใช้เทคโนโลยีที่สูงมากขึ้น สิ่งหนึ่งที่เราพยายามนำเสนอรัฐบาล เพื่อสนองความต้องการของประชาชนในการจัดการภัยพิบัติ คือ การพยากรณ์อากาศควรจะได้รับการพัฒนาให้เจาะลึกลงไปถึงระดับหมู่บ้าน ตำบล และ ระยะการพยากรณ์ควรยาวนานขึ้น เป็น 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี การพยากรณ์นั้น ไม่ใช่เฉพาะนำมาใช้ในด้านภัยพิบัติเท่านั้น แต่ต้องการให้ยาวนาน ไปถึงการวางแผนด้านการเกษตร การท่องเที่ยว ฯลฯ ด้วย หากรัฐบาลจัดสรรงบฯให้ประมาณให้สัก 1,000 ล้านบาท กรมอุตุฯย่อมทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่าในปัจจุบัน

    5.6 เป็นที่น่ายินดีเมื่อ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซีที ได้มอบหมายให้ที่ปรึกษา มาหารือกับกรมอุตุฯ เรื่องโครงการเตือนภัยให้เป็นแบบใหม่ อย่างไรก็ตาม การเตือนภัยพิบัติจะไม่มีประโยชน์ถ้าประชาชนไม่เชื่อ โดยในแต่ละพื้นที่มีสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนกัน สิ่งที่สำคัญในการเตือนภัย คือ แต่ละพื้นที่ต้องสร้างองค์ความรู้ของตัวเอง เพราะคนในพื้นที่จะเข้าใจพื้นที่ของตัวเองมากที่สุด

    6. ลำดับต่อมา ศ.ดร.ศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน บรรยายเสริมโดยสรุปได้ว่า

    6.1 จะทำอะไรก็ตาม อย่าคิดสู้น้ำ ไม่มีโอกาสชนะอย่างถาวร อาจชนะได้ชั่วคราวระยะสั้น ซึ่งในที่สุดจะบอบช้ำเสียหายมากกว่าเดิม ควรหาที่ให้น้ำอยู่ ให้น้ำไหลไปได้สะดวก ปัจจุบันบึงรับน้ำขนาดใหญ่ในที่ต่างๆ ไม่ว่าบึงบรเพ็ด กว๊านพะเยา ตื้นเขิน ไม่สามารถรองรับน้ำเพิ่มในปริมาณที่มากได้ เพราะการปล่อยปละละเลยของส่วนราชการต่างๆ

    6.2 ทุกรัฐบาลไม่ได้แต่งตั้ง ผู้มีความรู้ความสามารถที่แท้จริงมาเป็นอธิบดี แต่มักเอาคนที่มีความสัมพันธ์กับนักการเมืองที่ได้อำนาจรัฐในขณะนั้นๆมาเป็นอธิบดี บ้านเมืองไทยจึงมีปัญหาซ้อนปัญหามาโดยตลอด

    6.3 พื้นที่ป่าสีเขียวสูญหายไป เพราะโครงการประกันต่างๆ ไม่ว่าประกันราคาปาล์ม ประกันราคายาง เพราะนายทุนตั้งใจเผาป่าต้นน้ำ เพื่อนำพื้นที่มาปลูกปาล์ม ปลูกยางแทน

    6.4 ศ.ดร.ศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า ตั้งแต่มีหน่วยงาน สปก.เกิดขึ้น ปรากฏว่า มีการทำลายป่าเป็นจำนวนมาก เริ่มโดยเอาหลักไปปักว่า เป็นพื้นที่ สปก.จากนั้น ก็เผาทำลายให้เห็นเป็นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม แล้วก็จัดสรรแจกจ่าย มิใช่แจกให้เกษตรกรเท่านั้น กลับถึงมือหัวคะแนนพรรคการเมือง ถึงมือนายทุนที่ไม่ได้เป็นเกษตรกรด้วย

    6.5 ปัจจุบันนักการเมือง 2 ขั้วของไทย หาเรื่องมาทะเลาะกันได้ทุกวัน สร้างกระแสความเกลียดชังให้แก่กัน ในที่สุดผู้ที่เดือดร้อนไม่ใช่ใคร ก็คือ ประชาชนคนไทยนั่นเอง

    6.6 ตราบใดที่ผู้คนขาดคุณธรรม และ จริยธรรม ย่อมเป็นต้นเหตุแห่งความหายนะ หรือ ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาย่อมวินาศ

    7. เลขาธิการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เสริมเพิ่มถึงข้อมูลลางบอกเหตุเกียวกับสัญญาณเตือนถึงเหตุผิดปกติให้ที่ประชุมทราบดังนี้

    7.1 ปรากฏว่าในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีปลาหมึกมาเกยตื้นตายปริมาณมหาศาล เต็มพื้นที่ชายหาดระยะทางยาวถึง 15 กิโลเมตร (ได้ยินไม่ถนัดว่า เกิดที่ชายฝั่งมลรัฐใด ในสหรัฐอเมริกา)

    7.2 ปรากฏว่ามีงูจำนวนหลายแสนตัวเลื้อยอพยพหนีภัยข้ามถนนในประเทศจีน

    7.3 นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย แถลงการณ์ให้ประชาชนระวังภัยพิบัติใหญ่ช่วงปลายปี 2012 ที่อาจเกิดภัยพิบัติรุนแรง

    7.4 รัฐบาลพม่าสั่งกักตุนอาหารเต็มพิกัดจำนวนมาก เพื่อเตรียมการรับมือกับภัยพิบัติรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น ในปลายเดือนธันวาคม 2012 นี้
    ทั้งนี้ ก็เพื่อเป็นข้อมูลเพื่อแจ้งให้ทราบเท่านั้น มิใช่ต้องไปตื่นตระหนกด้วยกับข่าวดังกล่าว

    8. อาจารย์ปราโมทย์ ไม้กลัด อดีตอธิบดีกรมชลประทาน รองประธานมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ บรรยาย เรื่อง “ประเทศไทยท่วมอีกแน่ถ้า ?...” โดยได้บรรยายเนื้อหาสรุปได้ว่า

    8.1 ประเทศไทยน้ำท่วมอีกแน่ ถ้าการบริหารจัดการน้ำนั้น รัฐบาลทำในรูปแบบเดิม

    8.2 ประเทศไทยน้ำท่วมอีกแน่ ถ้ารัฐบาลไม่เข้าใจ ไม่รู้เท่าทันในธรรมชาติในแต่ละพื้นที่ ในแต่ละชุมชน

    8.3 ประเทศไทยน้ำท่วมอีกแน่ ถ้า ไม่มีหลักคิด หลักทำ ไปสู่กระบวนการจัดการภัยพิบัติ ให้สอดคล้องกับความวิปริตผันแปรของธรรมชาติ สภาพภูมิประเทศ สังคม และ สิ่งแวดล้อม

    8.4 ประเทศไทยน้ำท่วมอีกแน่ ถ้าไม่มีแผนหลักที่ชัดเจน ที่ครอบคลุมถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

    8.5 ประเทศไทยน้ำท่วมอีกแน่ ถ้าการแก้ปัญหาไม่มีเอกภาพ ไม่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม

    8.6 ประเทศไทยน้ำท่วมอีกแน่ ถ้ามีแต่คณะกรรมการเฉพาะกิจ และ หน่วยงานดูแลบริหารจัดการเป็นเพียง “สำนักงาน” เพราะจะไม่มีบารมีในการสั่งการอย่างบูรณาการได้เลย

    8.7 ประเทศไทยน้ำท่วมอีกแน่ ถ้ามีปริมาณน้ำที่ไหลผ่าน จังหวัดนครสวรรค์ 3,500 ลบ.เมตร ต่อวินาที น้ำจะล้นตลิ่งที่ นครสวรรค์ ชัยนาท อ่างทอง อยุธยา สุพรรณบุรี แต่มีเขื่อนสู้กับพลังน้ำได้ แล้วน้ำจะไปที่ไหน หากไม่ใช่ กรุงเทพฯ กรุงเทพฯท่วมแน่นอน

    8.8 ประเทศไทยน้ำท่วมอีกแน่ ถ้าฝนตกหนัก ตกนาน มีน้ำทะเลหนุน

    8.9 ประเทศไทยน้ำท่วมอีกแน่ ถ้ายังปล่อยให้มีการใช้ที่ดินที่ไร้การควบคุม เหมือนทุกรัฐบาลที่ผ่านมา โดยปล่อยให้ชุมชนบุกรุกทางไหลของน้ำ การขวางกั้นระบบระบายน้ำหลาก ด้วยการก่อสร้างบ้านเรือน ถนน และ สิ่งปลูกสร้างต่างๆ โดยไม่มีการสั่งรื้อถอนอย่างจริงจังที่เป็นรูปธรรม

    8.10 ประเทศไทยน้ำท่วมอีกแน่ ถ้าสภาพแม่น้ำ ลำคลอง ตื้นเขิน แผ่นดินทรุดตัว ปัจจุบันบริเวณดอนเมือง และ ศาลายา แผ่นดินนั้นทรุดไป 80 ซม.แล้ว ในระยะ 30 ปีที่ผ่านมา ส่วนย่านสุขุมวิทนั้น ทรุดตัวลงไปมากกว่า 1 เมตรแล้ว ในระยะ 30 ปีที่ผ่านมา และ ตามสถิติการเกิดน้ำท่วมในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมา หรือ ในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา มีน้ำท่วมถึง 11 ปี ได้แก่ น้ำท่วมในปี
    2538 2539 2540 2543 2544 2545 2547 2548 2549 2553 และ 2554 โอกาสที่น้ำไม่ท่วมนั้น แทบจะไม่มี คือ ประเทศไทยมีโอกาสน้ำท่วมอีกแน่นอน

    9. รศ.ดร.ปัญญา จารุศิริ ผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาและแผ่นดินไหว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรยาย เรื่อง “14 รอยเลื่อน สัญญาณอันตรายที่คนไทยควรรู้” โดยได้บรรยายเนื้อหาสรุปได้ว่า

    9.1 มีหลายส่วนในเอเชียตะวันออกเชียใต้ ที่จะเกิดแผ่นดินไหวได้มาก ในเมืองไทยนั้น ส่วนใหญ่อยู่ทางภาคเหนือและภาคตะวันตก โดยโครงร่างการแปรสัณฐานของแผ่นเปลือกโลกของแผ่นดินเอเชีย รอยเลื่อนที่สำคัญตามประวัติศาสตร์ชาติไทย คือ รอยเลื่อนสะกาย ซึ่งเป็นรอยเลื่อนที่ผ่ากลางประเทศพม่า เมื่อรอยเลื่อนนี้ไหวตัว จะส่งผลให้คนที่อยู่ในเชียงใหม่ น่าน และ กาญจนบุรี รู้สึกตัวด้วย

    9.2 รอยเลื่อนที่ส่งผลต่อไทย ที่คิดว่าน่ากลัวและจับตามองอยู่ขณะนี้ คือ รอยเลื่อนแม่จัน ซึ่งมีพลังและนับวัน จะมีเส้นทางในการรุกรานมากขึ้น อย่างไรก็ตามในปี 2550 มีแผ่นดินไหวใหญ่ 6.3 และ ปี 2553 เกิดแผ่นดินไหว 7 ริคเตอร์ ที่บริเวณทางภาคเหนือ ถ้าเกิดลักษณะนี้บ่อยจะทำให้ค่อยๆ ปลดปล่อยพลังงานออกมาก่อน ซึ่งไม่เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ได้ ดังนั้น ถ้าถามว่า โลกจะแตกหรือไม่ ในความเห็นส่วนตัว วิเคราะห์ว่า ประเทศไทย แม้จะมีภัยพิบัติต่างๆ และ อาจมีโอกาสจะเกิดภัยใหญ่ แต่โลกไม่แตกแน่นอน

    9.3 ในความคิดของท่านหลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ ท่านเคยสอนไว้ ซึ่งมีหลายคนคิดเหมือนกันว่า โลกจะแตกมีอยู่เหตุผลเดียว คือ “ถ้าศีลธรรมไม่กลับมาโลกาจะวินาศ มนุษยชาติจะเลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์เดรฉาน”

    9.4 ประเทศไทยมีรอยเลื่อนใหญ่ๆ อยู่หลายแนว โดยสามารถจัดกลุ่มรอยเลื่อนที่สำคัญได้ 14 กลุ่ม โดยกลุ่มรอยเลื่อนทั้งหมดวางแนวพาดผ่านพื้นที่ 25 จังหวัด ได้แก่
    • 1. กลุ่มรอยเลื่อนแม่จันและแม่อิง พาดผ่านเชียงราย และเชียงใหม่
    • 2. กลุ่มรอยเลื่อนแม่ฮ่องสอน พาดผ่านแม่ฮ่องสอน และตาก
    • 3. กลุ่มรอยเลื่อนเมย พาดผ่านตาก และกำแพงเพชร
    • 4. กลุ่มรอยเลื่อนแม่ทา พาดผ่านเชียงใหม่ ลำพูน และเชียงราย
    • 5. กลุ่มรอยเลื่อนเถิน พาดผ่านลำปาง และแพร่
    • 6. กลุ่มรอยเลื่อนพะเยา พาดผ่านลำปาง เชียงราย และพะเยา
    • 7. กลุ่มรอยเลื่อนบัว พาดผ่านน่าน
    • 8. กลุ่มรอยเลื่อนอุตรดิตถ์ พาดผ่านอุตรดิตถ์
    • 9. กลุ่มรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ พาดผ่านกาญจนบุรี และราชบุรี
    • 10. กลุ่มรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ พาดผ่านกาญจนบุรี และ อุทัยธานี
    • 11. กลุ่มรอยเลื่อนท่าแขก พาดผ่านหนองคาย และนครพนม
    • 12. กลุ่มรอยเลื่อนระนอง พาดผ่านประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง และ พังงา
    • 13. กลุ่มรอยเลื่อนคลองมะลุ่ย พาดผ่านสุราษฎร์ธานี กระบี่ และพังงา
    • สำหรับรอยเลื่อนที่ 14 ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการในวันนี้ คาดว่า ใน 1-2 เดือนหน้ากรมทรัพยากรธรณี จะมีการประกาศรอยเลื่อนกลุ่มที่ 14 ออกมา คือ รอยเลื่อนองครักษ์ ดูตามแผนที่ ประมาณว่า อยู่ในกรุงเทพ ปทุมธานี และ นครนายก

    • จังหวัดต่างๆ ใน 25 จังหวัดดังกล่าว ย่อมมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดแผ่นดินไหวได้ แต่ จังหวัดอื่นๆนั้น แม้ไม่มีรอยเลื่อนพาดผ่าน แต่ แรงของแผ่นดินไหวนั้น ศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหว แม้จะอยู่ห่างมากกว่า 300 กม. ก็ทำความเสียหายได้ ต้องไม่ประมาท

    10. ดร.ก้องภพ อยู่เย็น วิศวกรคนไทยที่จบวิศวกรรมศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จบปริญญาโท และ เอก ทางวิศวกรรมไฟฟ้า จากจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันทำงานในองค์การนาซ่า สหรัฐอเมริกา บรรยาย เรื่อง “จับสัญญาณอันตรายโลก กับ ภัยนอกระบบสุริยะจักรวาล” โดยได้บรรยายเนื้อหาสรุปได้ว่า

    10.1 หลายๆปรากฏการณ์ในปัจจุบัน ไม่สามารถอธิบายด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้

    10.2 โลกของเรา เป็นระบบเปิด มีพลังงานจากนอกโลกไหลเข้ามาตลอดเวลา

    10.3 โลกของเราถูกกระตุ้นด้วยปฏิกิริยาพลังงานไฟฟ้าจากนอกโลก พบว่า สรรพสิ่งมีการเกิด-ดับตลอดเวลา มีเหตุมีผล มักเกิดเป็นคู่ ทุกอย่างไม่เที่ยง มีการเกิดซ้ำประวัติศาสตร์ในอดีต (ทฤษฎีการย้อนกลับของกาลเวลา ของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตล์ – มงคล กริชฯ) จะต้องพยายามมองปัญหาเดียวกัน ในลักษณะต่างมุมมอง

    10.4 เมื่อใดที่มีแรงกระตุ้นต่อโลก จะมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ

    10.5 การทดลองทุกเรื่องนั้น จะใช้การสังเกต และ คาดการณ์ จากนั้นทำการทดลองซ้ำ เพื่อดูผลความแตกต่างที่มีนัยสำคัญ หรือ ความเที่ยงตรงที่เกิดขึ้น

    10.6 คุณสมบัติของพลังงานไฟฟ้านั้น ทำให้เกิดแสงได้ เกิดความร้อนได้ เกิดความเย็นได้ เกิดลมได้ ส่งพลังงานไฟฟ้าจากที่หนึ่ง ไปยังอีกที่หนึ่งได้

    10.7 คุณสมบัติของสสาร เป็นได้ทั้งของแข็ง ของเหลว กาซ และ พลาสม่า ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ พบว่า มีสสารในรูปพลาสม่าถึง 99% ในอวกาศ

    10.8 แรงกระทำในจักรวาลนั้น แรงที่มากที่สุด คือ พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า ส่วนแรงโน้มถ่วงของโลกนั้น มีแรงน้อยมาก นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่พบว่า พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า มีพลังงานมากกว่าแรงโน้มถ่วงถึง 39 เท่า

    10.9 อาจกล่าวอีกแบบหนึ่ง ให้เข้าใจง่ายๆในเชิงเปรียบเทียบ คือ พลังแรงโน้มถ่วงของโลกนั้น มีเพียง 5% เมื่อเทียบกับพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่เห็นว่า มีพลังงานเท่ากับ 95% ดังนั้น แรงของพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้วัตถุลอยตัวได้แน่นอน

    10.10 แรงกระทำทางสนามไฟฟ้านั้น สามารถทำให้เมฆที่อุ้มน้ำปริมาณมหึมาสามารถลอยตัวในอากาศ และ ตกลงมาเป็นฝนได้

    10.11 หากแยกให้ชัดเจนจะแยกเป็นสองทาง คือ สนามไฟฟ้า กับ สนามแม่เหล็ก แต่ ก็อาจรวมตัวกันก่อให้เกิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าก็ได้ มีผลต่อการสร้างความแปรปรวนของชั้นบรรยากาศ ทำให้เกิดความร้อน ความเย็น ความสั่นสะเทือนได้ อีกทั้งเหนี่ยวนำในระยะไกล ในบริเวณกว้างก็ได้

    10.12 ภายในโลกของเรามีประจุไฟฟ้าบวก แต่บริเวณผิวโลกมีประจุไฟฟ้าลบ ในชั้นอีเล็กโทรสเฟียร์มีประจุไฟฟ้าบวก ขณะที่มีพลังลมสุริยะ ส่วนใหญ่ลมสุริยะพุ่งเข้าใส่โลกด้วยประจุบวก ทำให้พลังงานกระแสไฟฟ้ารอบโลกแปรปรวน มีผลต่อการเกิดแผ่นดินไหวอย่างมีนัยสำคัญ จากการตรวจสอบพบว่า ไม่ว่ากรณีเกิดทอนาโด ที่มลรัฐอาคันซอ แผ่นดินไหวที่อินโดนีซีย ที่พม่า พายุหิมะที่มินเนโซต้า พายุหิมะที่เซอร์เบีย อุกกาบาตขนาดเล็กพุ่งเข้ามาในโลก ภูเขาไฟระเบิดในรัสเซีย โลมาเข้ามาเกยตื้นในปริมาณมากที่บราซิล เกิดไฟฟ้าดับในหลายประเทศ ฯลฯ ล้วนแต่ผลที่ตามมา หลังจากมีการเกิดพลังลมสุริยะ 3-4 วัน

    10.13 ซึ่งในช่วงต่อจากนี้นั้น ประมาณปลายเดือนธันวาคม 55 ถึงเดือน พฤษภาคม 56นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า น่าจะมีการเกิดพลังลมสุริยะ ที่มีความรุนแรงมากกว่าทุกครั้งที่เคยเกิดขึ้น แต่จะเกิดผลต่อมนุษยชาติมากเพียงไร ไม่สามารถกล่าวได้ชัดเจน เพราะยังไม่เคยเกิดพลังลมสุริยะ ให้นักวิทยาศาสตร์ได้เห็นในปริมาณที่มีความเข้มข้นรุนแรงขนาดนี้มาก่อน


    ด้วยความปรารถนาดี จาก นายมงคล กริชติทายาวุธ
    อดีต Senior Vice President บมจ.ธนาคารกรุงไทย และ ผู้อำนวยการหลักสูตรวิปัสสนากรรมฐาน เจ้าของเว็บไซต์ mongkoldham.com และ ที่ปรึกษาสมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทย ฯลฯ
    ผู้รวบรวม และเรียบเรียง
     
  9. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    11. พระอาจารย์ รัตน์ รตนญาโณ เจ้าอาวาสวัดดอยเกิ้ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นพระอาจารย์ใหญ่สายวิปัสสนากรรมฐานที่สำคัญในยุคปัจจุบัน ในสายสมาธิหมุน (หมุนพระธรรมจักร) ท่านศึกษารายละเอียดเชิงลึกจากสาส์นของชาวมายัน และจารึกโบราณจากสโตนเฮ้นจ์ ที่ประเทศอังกฤษ (มิใช่ข้อมูลในพระพุทธศาสนา) และ ท่านทำกรรมฐานเชิงลึกขั้นถอดจิตออกจากกายได้ หรือ ถอดกายละเอียดออกจากกายหยาบได้ โดยไปรับรู้เรื่องของอดีต และ ไปรับทราบเหตุที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ได้บรรยายในเรื่อง “เสียงเตือนสุดท้ายก่อนสิ้นปี 2012 ” โดยได้บรรยายเนื้อหาสรุปได้ว่า

    11.1 ตามหลักฐานทางดาราศาสตร์ยุคโบราณ ทุกๆรอบ 13,000 ปี สุริยจักรวาล กาแลคซี่ทางช้างเผือก และ กาแลคซี่ไตรแองกุลัม จะโคจรมาอยู่ในแนวเดียวกัน ซึ่งจะมีผลให้ โลก และสุริยจักรวาล จะเปลี่ยนเข้าสู่แรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม ทางทิศตะวันออก อันเป็นกึ่งรอบ ซึ่งรอบใหญ่นั้น คือ ทุกๆ 26,000 ปี สำหรับความรู้ทางดาราศาสตร์ในยุคปัจจุบัน ตามระบบสุริยะ คือ รอบละ 24 ชั่วโมงเท่านั้น หากไม่ได้ศึกษาย้อนความรู้ไปสู้ยุคโบราณ ก็ย่อมไม่อาจทราบได้

    11.2 พระอาจารย์รัตน์ฯ ได้องค์ความรู้ฯ จากการศึกษาค้นคว้าในศาสตร์โบราณ และ จารึกโบราณ ว่าด้วยการเปลี่ยนขั้วโลกใหม่ และ เสริมด้วยองค์ความรู้ฯ ที่ได้มาจากการศึกษาทาง “จิต” ที่สงบนิ่งได้องค์ฌาน เป็นญาณทัศนะ ทำให้พระอาจารย์รัตน์ฯ รู้ถึงเหตุและผล ของแต่ละปรากฏการณ์ ในความเชื่อมโยงของแต่ละเหตุการณ์ ได้ด้วยการใช้ แรงสืบต่อ หรือ แรงสันตติ สาวหาเหตุและผล ของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ สลาย ของสรรพสัตว์ ปรากฏการณ์ สุริยจักรวาล กาแลคซี่ และจักรวาล ฯลฯ ให้เห็นความจริงที่ผูกโยงเป็นเงื่อนไขว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนั้นย่อมมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนั้นจึงเกิด เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนั้นย่อมไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนั้นจึงดับไป ซึ่งเป็นความรู้ที่ไม่ได้เกิดมาจากการทำงานของสมองและใจตามปกติที่สามัญชนกระทำกัน จึง ไม่ใช่การพยากรณ์ มิใช่การทำนาย แต่เป็นการบอกแจ้งให้ทราบว่า หรือ เพียงแจ้งให้ท่านทราบว่า ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว อะไรจะเกิดตามมาในลำดับต่อไป ตามเงื่อนไขที่ผูกโยงไว้อย่างเป็นเหตุและผลต่อกัน ส่วนท่านใดจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้น หาใช่สิ่งสำคัญไม่ เพียงแต่ว่า หากมีปัจจัยนี้เกิดขึ้นแล้ว ปัจจัยต่อไปจะมีอะไรเกิดขึ้นเท่านั้น

    11.3 เรื่องภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับโลกของเราในอนาคตนั้น แท้ที่จริงแล้ว กล่าวได้ว่า เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เพราะโลกของเราเคยเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มาแล้ว นับครั้งไม่ถ้วน เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น ในรอบเวลาประมาณ 26,000 ปี ตามความรู้ที่ได้จาก สโตนเฮนจ์ (Stone Henge) ซึ่งบ่งชี้ว่า ทุกๆ 13,000 ปี จะมีการสลับเปลี่ยนขั้วของแรงดึงดูด ที่มีอิทธิพลต่อโลก สุริยจักรวาล เนื่องจากกาแลคซี่ ที่มีอิทธิพลต่อสุริยจักรวาลมีด้วยกันถึง 3 กาแลคซี่

    11.4 การประสบกับภัยพิบัติอย่างรุนแรง ถึงกับมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นผิวโลก เช่น อาจจะเปลี่ยนพื้นที่ตั้งของภูเขา ไปเป็นมหาสมุทร จากป่าฝนอาจกลายเป็นทะเลทราย จากเขตร้อนอาจกลายเป็นเขตหนาว ฯลฯ ก็อาจเป็นได้ นอกเหนือจากเป็นการทำงานตามวาระของธรรมชาติแล้ว ยังมีองค์ประกอบที่ส่งผลร่วมอย่างร้ายแรง คือ การกระทำของมนุษย์ในแต่ละยุคสมัยด้วย

    11.5 ฐานข้อมูลที่เป็นองค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ฯ นั้น มี 2 ช่วงเวลา ที่ท่านให้สังเกตความผิดปกติ คือ เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2555 เป็นต้นไปให้สังเกตว่า
    การยืน หรือ เดินของตัวเรา ญาติพี่น้อง พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา ลูกหลาน หรือ คนอื่นๆนั้น หากเริ่มปรากฏอาการโครงเครงตอนลุกขึ้นยืน หรือ ในเวลาเดินนั้น อาจจะมีอาการสะดุดคล้ายตกหลุมอากาศ ในพื้นที่ราบเรียบธรรมดา หรือ มีการเดินไม่ตรงทางตามปกติ เดินเซ เดินเอนเอียงคล้ายคนเมา หรือ เดินไม่ตรงทางเดินตามปกติ

    ก็ให้ไปเตรียมสเบียงอาหารที่กินง่าย ที่ย่อยง่าย ที่ไม่ต้องเสียเวลาปรุงมากนัก เริ่มรวบรวมทรัพย์สินที่มีค่าใส่กระเป๋าใบต่างๆไว้ก่อน แล้วดำเนินชีวิตไปตามปกติ

    11.6 และตั้งแต่วันอังคารที่ 25 ธันวาคม 2555 เป็นต้นไป ถ้าปรากฏว่ามีแรงดันที่ท้องของแต่ละคนมากขึ้น จนรู้สึกอยากโค้งตัวลง หรือ งอตัวลง จึงจะรู้สึกสบาย คือ เกิดสภาวะการยืดตัวตรงลำบาก เพราะพลังงานกดทับมีมาก นั่นคือ ในช่วงที่เรานั่งอยู่ หรือ ยืนอยู่ก็ตาม เผลอตัวหน่อยเดียว เราเองก็นั่งงอตัว หรือ งุ้มตัวลงไปแล้ว นั่นคือเมื่อไรก็ตาม เรารู้สึกอยากงอตัวลง หรือ งอตัวลงอย่างไม่รู้สึกตัว มองไปที่คนอื่นๆ ก็ทำท่างอตัวคล้ายๆกับเรา เหมือนๆกับตัวเราที่งอตัว โดยเราสามารถจะเห็นได้จากคนอื่นๆ และ ตัวของเราเองด้วย
    เมื่อมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อไร ท่านทั้งหลายที่อยู่ในเขตภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และ ภาคตะวันตก ขอให้ท่านรีบเดินทางไปหาที่พักในเขตภาคเหนือ และ ภาคอิสาณโดยเร็ว เพราะ น่าจะมีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นในพื้นที่ที่ท่านอยู่อาศัยในปัจจุบัน ในระหว่างวันที่ 3 มกราคม 2556 – 14 กุมภาพันธ์ 2556

    ความรุนแรงในการชำระล้างโลกมากที่สุด น่าจะเกิดขึ้น เป็นเวลารวม 42 วันดังกล่าว

    11.7 สำหรับข้อมูลครูบาอาจารย์ท่านอื่น ท่านเมตตาแจ้งให้ผู้เรียบเรียงทราบว่า ห้ามเอ่ยชื่อท่าน หลังจากบอกแล้ว ท่านกำหนดธุดงค์ตลอดชีวิต จะไม่ออกจากป่า จึงไม่ต้องการให้ผู้ใดมารบกวนการทำกรรมฐานของท่าน ท่านแจ้งว่า ขณะนี้ บรรดาครูบาอาจารย์ และ บรรดาเทพเทวาฝ่ายดี หรือ ฝ่ายสัมมาทิฏฐิ หรือ ฝ่ายขาวนั้น ตั้งขบวนทัพได้รวม 8 ทัพใหญ่แล้ว โดยได้พยายามผนึกกำลัง เพื่อให้เลื่อนเวลาของการเกิดของหายนะใหญ่ในครั้งนี้ออกไป และ ได้พยายามบรรเทาความหายนะดังกล่าวให้เบาบางลงอย่างเร่งรีบ แต่ ในขณะที่ฝ่ายมาร หรือ เทพเทวาฝ่ายมิจฉาทิฏฐิ หรือ เทวดาที่มีใจหยาบช้า หรือ ฝ่ายซาตานนั้น แม้มีกำลังเพียง 5 ทัพเท่านั้น แต่ ฝ่ายมาร หรือ เทพเทวาฝ่ายมิจฉาทิฏฐินั้น เป็นการนำทัพโดยท่านท้าววสวัตตีมาร ซึ่งเป็นผู้ปกครองสวรรค์ชั้นสูงสุด คือ สวรรค์ชั้นที่ 6 (สวรรค์นั้น ในพระไตรปิฎกท่านกล่าวไว้ว่า มีทั้งหมด 6 ชั้น คือ สวรรค์ชั้นแรก คือ จาตุมหาราชิกา สวรรค์ชั้นที่สอง คือ ดาวดึงส์ สวรรค์ชั้นที่สาม คือ ยามา สวรรค์ชั้นที่สี่ คือ ดุสิต สวรรค์ชั้นที่ห้า คือ นิมมารดี สวรรค์ชั้นสูงสุด คือ ปรนิมมิตวสวัตตี)

    จำนวนทัพของพญามาร แม้มีเพียง 5 ทัพ แต่ฤทธิ์อำนาจนั้น มีมากกว่าบรรดาครูบาอาจารย์ และ บรรดาเทพเทวาฝ่ายดี หรือ ฝ่ายสัมมาทิฏฐิ แม้มีมากถึง 8 ทัพก็ตาม แต่ฤทธิ์อำนาจนั้นมีน้อยกว่า ยากที่จะต้านทานเทวดาฝ่ายมิจฉาทิฏฐิ ดังนั้น ครูบาอาจารย์ในสายอื่น ท่านจึงได้แจ้งให้ศิษย์ที่ใกล้ชิดทราบว่า ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าว ท่านพระอาจารย์รัตน์ฯ จึงค่อนข้างมั่นใจว่า หายนะครั้งใหญ่นี้ จะไม่มีการเลื่อนออกไปอีกแล้ว
    สำหรับ ครูบาอาจารย์สายอื่น นั้น ได้ตรวจพบกระแสพลังงานว่า มีกระแสพลังงานที่รุนแรงมากได้เข้ามาในโลกแล้ว มีความแปรปรวนมาก แต่คาดว่า ในวันที่ 17 ธันวาคม และวันที่ 25 ธันวาคม 2555 อาจยังไม่ปรากฏสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นอย่างชัดเจน ตามที่พระอาจารย์รัตน์ฯตรวจพบในนิมิตก็ได้ นั่นคือ อาจมีการเลื่อนเวลาการเกิดหายนะออกไปได้อีกระยะหนึ่ง ทั้งนี้ ครูบาอาจารย์ท่านว่า เกิดจากความเสียสละ จากการดำเนินการด้วยเมตตาของ 8 กองทัพเทพเทวาฝ่ายดี ร่วมกับครูบาอาจารย์ และ ผู้มีพลังจิตในประเทศไทยหลายกลุ่ม บางกลุ่มอธิษฐานสละชีวิตในการดำเนินการในครั้งนี้ ซึ่งอาจมีผลสำเร็จก็อาจเป็นได้ แม้จะมีโอกาสน้อยกว่า 40 % ณ ปัจจุบันก็ตาม อย่างไรก็ตาม หากกระทำการช่วยเหลือสำเร็จ สิ่งที่จะได้รับผลตอบแทน คือ การถูกตำหนิ ด่าว่าตามมาด้วยการถูกกล่าวปรามาสว่า เป็นพวกบ้ากระต่ายตื่นตูม ออกมาบอกเรื่องเหลวไหลเลอะเทอะ เห็นไหม ไม่มีภัยพิบัติใดๆเกิดขึ้นเลย ทั้งๆที่พวกที่ด่านั้น ไม่ได้กระทำอะไรเลยสักนิด ส่วนพวกที่ถูกด่านั้น คือ ผู้ที่พยายามหาทุกหนทางในการช่วยเหลือ เพื่อให้เกิดการเลื่อนเวลา และ การลดความรุนแรงลง รวมทั้งออกมาเตือนให้เตรียมกาย เตือนใจในการรับมือกับภัยพิบัติ แต่ทุกคน ทุกองค์ ย่อมต้องอดทน อดกลั้นจากคำสบประมาททั้งปวง
    ข้าพเจ้า จึงขอเตือนด้วยความหวังดี ท่านไม่ควรนิ่งนอนใจ อย่างน้อยท่านต้องตั้งใจปฏิบัติสิ่งที่ดีๆให้ได้ทุกวัน หรือ สวดมนต์ภาวนาให้ได้ทุกวันก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยในช่วงนี้ นอกจากนั้น ก็ ขอให้ท่านใช้ชีวิตไปตามปกติ ตามแผนการปกติที่ตั้งใจไว้ เพราะท่านไม่ได้รับภารกิจมาช่วยโลก เพียงแต่ ท่านต้องเฝ้าระวัง สิ่งที่จะบอกเหตุล่วงหน้า โดยครูบาอาจารย์สายอื่น ท่านให้ใช้หลัก สังเกตุเหลือเพียง 2 สาเหตุสุดท้าย เป็นสิ่งบอกเหตุ ถ้ามีเหตุเหล่านี้เกิดขึ้น คือ

    (1) เมื่อปรากฏว่า ในวันใดก็ตาม ที่ตัวเราเองนั้น การยืน หรือ เดิน รวมทั้ง คนอื่นๆ ก็มีอาการผิดปกติทำนองเดียวกัน คือ รู้สึกมีอาการโครงเครง ตอนลุกขึ้นยืน หรือ ในเวลาเดินจะมีอาการสะดุดคล้ายตกหลุมอากาศ ทั้งๆที่ เป็นพื้นที่ราบเรียบธรรมดา หรือ มีอาการเดินไม่ตรงทางตามปกติ เดินเอนเอียงคล้ายคนเมา หรือ เดินเซ ทั้งๆที่ไม่ได้เสพของมึนเมาใดๆ

    (2) ต่อจากนั้น ถ้า วันใดมีแรงพลังงาน มาดันที่ท้องของเรามากขึ้น จนรู้สึกอยากโค้งตัวลง หรือ งอตัวลง จึงจะรู้สึกสบาย เพราะพลังงานกระแสแม่เหล็ก และ พลังงานกระแสไฟฟ้านอกโลกนั้น ได้กดทับสิ่งที่มีชีวิตในโลกมีปริมาณมากแล้ว นั่นคือ ให้สังเกตว่า ตัวเราเองในช่วงที่เรานั่งอยู่ หรือ ยืนอยู่ก็ตาม เผลอตัวหน่อยเดียว ตัวเราเองก็นั่งงอตัว หรือ งุ้มตัวลง โดยเรารู้สึกอยากงอตัวลง หรือ งอตัวลงอย่างไม่รู้สึกตัว มองไปที่คนอื่นๆ ก็ทำท่างอตัวคล้ายๆกับเรา คือมีอาการงอตัวลงใช่หรือไม่
    ถ้าใช่แล้ว เกิดขึ้นแล้ว ใครที่มีที่พำนักในภาคเหนือ หรือ ภาคอิสานแล้ว ก็สบายใจไปได้ระดับหนึ่ง คือ ไม่ต้องเดือดร้อนในการอพยพ เพียงแต่ท่านต้องเตรียมอาหารและน้ำดื่มให้มากพอเท่านั้น และ อย่าลืมวางอาหารและน้ำดื่มลงบนพื้นเท่านั้น ห้ามวางบนโต๊ะ หรือ ในที่สูงที่นอนลงกับพื้นแล้ว หยิบมาดื่มกินไม่ได้ เพราะท่านจะเคลื่อนไหวได้ในท่าคลานเป็นเวลาประมาณ 42 วัน แต่ ถ้าท่านใด ปัจจุบันไม่ได้พักในภาคเหนือ หรือ ภาคอิสาน หากประสบ 2 เหตุสุดท้ายดังกล่าว ท่านก็ต้องอพยพไปอยู่อาศัยในภาคดังกล่าว ย่อมมีโอกาสรอดชีวิตสูง

    ขอให้ท่าน และ ครอบครัวของท่าน มีสติในทุกสถานการณ์ มีความสุข มีสันติในจิตใจ ขอให้ท่านมีจิตที่สงบ สะอาด ฉลาด สว่าง และ มีอารมณ์เย็นในทุกสภาวะการณ์ มีชีวิตอยู่รอดอย่างปลอดภัย เพื่อเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่ที่ดี ที่ผู้คนมีจิตใจที่ดีงาม มีศีลธรรมสูง
    ด้วยความปรารถนาดี จาก นายมงคล กริชติทายาวุธ
    อดีต Senior Vice President บมจ.ธนาคารกรุงไทย และ ผู้อำนวยการหลักสูตรวิปัสสนากรรมฐาน เจ้าของเว็บไซต์ mongkoldham.com และ ที่ปรึกษาสมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทย ฯลฯ
    ผู้รวบรวม และเรียบเรียง
     
  10. น้ำกับพายุ

    น้ำกับพายุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +2,452
    ขอบคุณครับอาจารย์
     
  11. shesun

    shesun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +1,327
    ไม่มีโอกาสไปฟัง ขอบคุณ คุณ ihappiness และคุณ Falkman มากค่ะ ที่นำข้อมูลมาแจ้งให้ทราบ จะได้ติดตามสังเกตพิจารณา ประกอบการตัดสินใจว่าต้องโยกย้ายหรือไม่
     
  12. สติในธรรมะ

    สติในธรรมะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +35
    ขอบคุณค่ะ
     
  13. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    เห็นข่าวภัยที่ทำให้คนตายได้ด่วนๆ มาจากการกินเนื้อสัตว์ก็หลายหนแล้ว ทั้งโรควัวบ้า โรคไข้หวัดนก โรคนั้นโรคนี้ จริงอยู่ เนื้อสัตว์หลายชนิด รสชาติอร่อย แต่มันคุ้มไหมที่จะเอาชีวิตไปแลกกับความอร่อยชั่วครู่ชั่วยาม แล้วหมดโอกาสหายใจตลอดไป

    จีนสั่งปิดฟาร์มหมู หลังพบการติดเชื้อโรคปากเท้าเปื่อย


    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 ธันวาคม 2555

    สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานว่า สุกรจำนวน 12 ตัว ของบริษัทผลิตอาหารแห่งหนึ่งในเมืองฉางโจว มณฑลเจียงซู ซึ่งถูกส่งมาจากนอกเมือง ติดเชื้อโรคปากเท้าเปื่อยชนิดโอ

    หลังจาก ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคระบาดในสัตว์ระดับมณฑล ได้วินิจฉัยยืนยัน ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทำการปิดฟาร์ม และฆ่าเชื้อในพื้นที่ซึ่งมีการติดเชื้อ รวมทั้ง นำสุกรจำนวน 338 ตัว ไปกำจัดอย่างถูกสุขลักษณะ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
     

แชร์หน้านี้

Loading...