อยากบรรลุธรรมเข้ามา

วิเนยยะ โลเก อภิชฌา โทมนัสสัง การเอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลกนั้น จะต้อง มีอาตาปี สัมปชาโน สติมา และทั้งหมดนี้มีอยู่ในอานาปานสติทั้งหมด นั่งลงปฎิบัติ มีศรัทธาในพระองค์ ไม่ต้องสงสัย ที่สุดแห่งทุกข์ก็จะปรากฎ แค่นี้จริงๆ

 

เฮ้ย คุณ ตัวหนังสือเนี่ยะ ใครเขาก็ ย้ำคิด ย้ำทำ ได้ เอามากล่าวได้ เสมือน
ว่าข้ารู้เอง เห็นเอง

แต่............................


" ความประพฤติ " " ปฏิปทา " ที่ อ่อนโยน ถูกสักฟอก ถูกนำออกเสีย
ซึ่งมานะ ทิฏฐิ อัตตา อันเป็นผลของความไม่ลังเล สงสัย

แล้วทำไม ไอ้เรื่องง่ายๆ แค่ ยก อานิสงค์ของอานาปานสติ ถึงยังไม่
กระดิกนิ้ว กระทำหละคร้าบ

ก็มันเห็นๆว่า ยังลังเล ยังสงสัย ยังไม่ยอมลง ยังไม่เลื่อมใส ใน สัทธรรม โต้งๆ เลยเนี่ยะ

หาง ไหวๆ ตลอดเลย .................


จะกอดความเป็น โสดาบัน นั้น ไว้อีกนานไหม

หรือว่า จะยก พุทธวัจนะ มาแสดงให้ โซดาในอ้อมอกเจ้า แตงฟองกันไป

 

จะมีประโยชน์ใดที่ข้าพเจ้าจะยกพุทธวัจนะที่มีผู้คนมากมายยกมา แต่ไม่ได้ประจักษ์จริง จนยืนยันในธรรมนั้น

 

ละเมอแล้วคุณ

ก็ถ้าหาก มีคนประจักษ์ในธรรมนั้น เขาภาวนาของเขาสำเร็จแล้ว การมาได้
เห็น พุทธวัจนะ มีประโยชน์อะไร อะอื้ม มีประโยชน์สิ เป็นความสุขรอบ
สองรอบสาม แล้วแต่ท่าน จะเสพ ไม่ผิดกติกา แต่ท่านไม่ได้เสพเพื่อเป็น
ปฏิปทาอีก ก็ท่าน ประจักษ์แล้ว ไง

ดังนั้น หากคุณจะยกมา

ก็คนที่ได้ประโยชน์ สำหรับผู้ยังไม่ประจักษ์เนี่ยะ มันก็มี สองสามกรณี ที่
พอจะยกให้ฟังได้คือ

1. หน้าแหก เพราะ คำตนที่พ่นออกมาอย่างรู้ไม่จริง มันถูกเปิดเผยว่า รู้
อานิสงค์ของกรรมฐานไม่ตรงตามความเป็นจริง ( คนภาวนาอานาปานสติ
เขาจะ เห็นสังโยชน์ที่มาหยอกเอิ้น กินรวบ เนืองๆ ดังนั้น คนที่ภาวนา
อานาปานสติ จะเห็นเค้าลางของ การสิ้นอาสวะ ตรงจุดไหน ด้วยการมี
จักษุเห็น แต่ ถ้ามา แบบด้นเด้ากีอปปี้ มันจะ เห็นไม่ตรง มั่วซั่ว โซดาน้ำปั่น )

2. เกิดความร่าเริง อาจหาญ ที่จะปรารภสมาทาน ในสิกขานั้น

ยกเพียงสองข้อ ก็เห็นได้ชัดว่า มีประโยชน์ต่อสัตว์ที่ยังมืดบอด แน่นอน

แต่ พวกที่ลังเล ปกปิด ซ่อนเร้น อ้างเลห์ เบียดเบียน สัทธรรม แฝงเข้า
มาในพระศาสนาเนี่ยะ ระวังหน่อยน๊า

 

หมั่นให้ทาน รักษาศิล 5 สวดมนต์ไหว้พระ เจริญกรรมฐานภาวนาแผ่เมตตา ทำอย่างต่อเนื่องก็จะทำให้เราบรรลุธรรมได้คะขอให้เราปฏิบัติจริงๆทำจริงๆคะจะรู้ด้วยตยเองคะ และเวลาเราไปกราบครูอาจารย์ท่านก็จะให้ธรรมตรงกับที่เราปฏิบัติรู้ด้วยตนเองคะ ทำให้รู้ชัดรู้แจ้งเห็นจริงเข้าถึงธรรมขอให้ปฏิบัติจริงๆคะบรรลุแน่นอนคะบุญรักษานะคะ

 

ข้าพเจ้าจะบรรลุธรรมหรือไม่ ไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่ข้าพเจ้ามั่นใจในพระสูตรอานาปานสติที่พระองค์แสดงอย่างสุดซึ้ง จนยืนยันได้ว่าทำให้ข้าพเจ้าหายสงสัยในพระสัทธรรม จนนิมิตที่เกิดขึ้นบนเส้นทางธรรมนั้นมั่นคง ไมเปลี่ยนแปลง

 

เห็นไหมๆ มันเริม ไหวแรงขึ้น

กรรมฐานไหนๆ เขาไม่ได้มีไว้เพื่อให้ ยึดมั่นถือมั่น หน่าคร้าบ

กรรมฐานนั้น เป็นเพียงอุบาย ในการ อาศัยระลึก ตัวกรรมฐานเอง
จึงต้องหลุดออกจากการ ยกเป็นอุปทานนิมิตร

ความที่สละคืน แม้ในตัวกรรมฐานเอง นั่นแหละ มันถึงจะ ชัดในกรรมฐาน
ว่าเป็นเพียง อุบายธรรม หนึ่ง ซึ่ง หากพิจารณาแล้ว จะเห็นว่า มรรค
มันมีอันเดียว ไม่ได้มี ตามชื่อกรรมฐาน

อุบายนั้น มันไปสื่อให้เห็น มรรคหนึ่งเดียวนั้นอีกที แล้ว มรรคหนึ่งเดียว
นั้นต่างหากที่จะต้องถูกนำมาพิจารณา....ตามเห็น ต่อไปอีก

ดังนั้น

อานาปานสติ เมื่อฝึกจนชำนาญแล้ว มันเป็นเพียง เครื่องอยู่ นอกเหนือ
จาก อุบายธรรม

ความมั่นคง จึง ข้ามฝากผู้รู้ ไปอีก

ไม่ใช่ มาก๊อปปี้ อานาปานสติ นี่กูพูดได้และ กูทำและ หายใจฟืดๆ แล้ว
สำคัญตัวว่า เข้าถึงแล้ว ไม่คลอนแคลนแล้ว ซะเมื่อไหร่

ปฏิบัติด้วยอุปทาน นำหน้า ข้ารู้เองได้

จะมา โทษว่า ธรรมทำร้ายผู้ภาวนา ไม่ได้ หน่าคร้าบ ตรงนี้ฝากพินาไว้ด้วยเลย

 

555++ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้รับความจริง จากการภาวนาอานาปานสติ ได้รับความสุขที่แท้จริง มั่นคงในพระรัตนตรัย ก็เพียงพอแล้วกับการเดินบนเส้นทางธรรม รสชาติของสัพเพธรรมาอนัตตามันทำให้มีความสุขจริงๆ 555++ นั่งลงเถิด มีความรู้สึกตัวอยู่กับลมหายใจ เมื่ิจิตหลุดพ้นแล้วทุกอย่างจะมีคำตอบเองทั้หมด จงศรัทธาในพระพุทธองค์

 

ทำไม 555++ดูไม่สำรวม หัวเราะดังน่ะ
ห้ามหลุด 555++นะ

 

นิมิตของข้าพเจ้าคือ ทำทานมากขึ้น ระวังสำรวมรักษาศิลให้บริสุทธิ์ ต้องการทำความดีให้มากขึ้น นิมิตแบบอื่นที่เห็นอะไรๆไม่อยู่ในความคิดว่าจะต้องสนใจ

 

555++ นั่นไม่เท่าไหร่ อย่าไปดูผิวเผิน จิ โกมีนัม ศิษย มีกะลาปะ (ภาษาพม่า รามัญ )

ดูตรงที่เขาบอกว่า มีความรู้สึกตัวอยู่กับลมหายใจ

เสร็จแล้วก็เขาก็ บอกว่า " เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว "

แล้วตามด้วยคำว่า " จะมีคำตอบเองทั้งหมด "

ตรงเนี่ยะ มันมี เงื่อนเวลา มีชีวะ มีอาหาร สารพัดเลย

โกมีนัม เก่งเรื่อง ญาณ นี่ การที่เขาพูดแบบนี้ สังเกตุไหม
มันไม่มี การเห็นญาณ สักอันเลย ค่อนไปทาง ตรรกศาสตร์ ด้วยซ้ำ

 

จิตมันเคือง จิตเลยไหว แล้วเหมือนจะตัดได้ แต่มันยังค้างๆคาๆ ในส่วนลึก เจอคุณนิวรณ์สะกิด อัตตาสะดุ้ง ทีแรกคิดว่าเอาอยู่ พิจารณามาวันหนึ่ง มันก็ยิ่งเข้าไปอยู่ลึกทุกทีๆ เคยเจอภาวะนี้มาสามเดือนที่แล้ว โดนราคะจ่อเข้า ทุกวันนี้ยังเหมือนมีตะกอนมันค้างอยู่ ถ้าไม่มีคุณนิวรณ์กวนตะกอน ใส่ตะกอนนี่คงคิดว่าน้ำนี้ดื่มได้ไปแล้ว แนะวิธีตัดตัวอัตตา ค้างๆคาๆหน่อย ไม่ต้องการตำรา ขอเอาของจริงๆ ตำราฉันอ่านมาเยอะแล้ว อนุโมทนาคนสะกิดด้วย ...

 

ทำทานมากขึ้น เพราะ อะไร หละ อย่าบอกนะ เหตุคือ ความรู้สึกว่ามี "ความมั่นคง"

ต้องการทำดีให้มากขึ้น เพราะ อะไร หละ อย่าบอกนะ เหตุคือ ความรู้สึกว่ามี "ความมั่นคง"

ส่วน

สำรวมศีล อันนี้ ยกไว้ ไม่วิจารณ์ ..... ไม่ก้าวล่วง ไม่ว่า จะจริง
หรือ เท็จ ก็ตาม ยกให้


สำหรับเรื่อง นิมิต แบบอื่น ไม่ใช่ไปตั้ง ธงอุปทานเอาดื้อๆว่า ไม่สนใจ

ของมันต้องเห็น แต่ จะเห็นอย่างไร เห็นด้วยอาการอย่างไร อันนี้ต่าง
หากที่ หากภาวนาเป็น มันจะปรารภอีกแบบหนึ่ง ของปราณีต ช่วยให้
ภาวนาได้ไวขึ้น ใครเขาให้ทิ้งกันหละคร้าบ

 

ห่ะ พี่เล่าปัง เดี๋ยว เปลี่ยนประโยคใหม่

กั๊กๆๆๆ++ ข้าพเจ้าเห็นความจริง จากเรื่องลมๆแล้งๆ ไม่มีสุขหรือทุกข์ที่แท้จริง เราจะพึ่งอะไรได้สักแค่ไหน ทำมากทำน้อย ทำดีทำชั่วก็ไม่เห็นมีสาระอะไร แล้วพวกเขาก็ตายไปเหมือนๆกัน กั๊กๆๆๆ++ ใช้ชีวิตให้มีความสุขกับทุกอย่างเถอะ ฮ่าาาา......

 

555++ที่นี่มีผู้รู้เยอะ รู้ใจเราด้วย555+++ สัพเพธรรมา อนัตตา

 

นี่ ท่าน จขกท คำว่า " จงศรัทธา " อันนี้ผม ขอซื้อได้ปะ

หากคุณยังใช้คำว่า จงศรัทธา นะ อันนี้ แบเบอร์เลยหละ

ศาสนาพุทธนี้ ใช้ ศรัทธาเหมือนกัน ใช้หลักศรัทธาเหมือนกัน แต่
เขาไม่ได้ ศรัทธา ด้วยอาการ " จง " ศรัทธา

แต่ ความศรัทธาเนี่ยะ จะเกิดขึ้น จากเหตุปัจจัย ของ การประจักษ์ผล

เมื่อประจักษ์ผล ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องไป กำกับว่า จงศรัทธา ศรัทธา
มันก่อขึ้น จากการเห็นผล

ศรัทธา ที่เกิดจาก " จง " บ้าง " เขาเห็นว่าเป็นของควรทำ " บ้าง
เหล่านี้ มันเป็น ศรัทธาคนละตัวศาสนา

จงศรัทธามาเถิด พูดบ่อยๆ เข้า เดี๋ยวมันตามด้วยคำว่า " เพราะเป็นทางรอด "

" บาป ต่างๆ ของ มะนุด มีพี่สี 5 เป็นผู้รับล้างไปแล้ว "

************

ซึ่งมันต่างกันกับ คนเขาประจักษผลของการรอด แล้ว จึง อะอื้ม ไป
ในขณะจิตนั้นๆ แล้ว อะอื้มทีนึงนี่ เขาว่ากันว่า มันดังไป สามโลก เลย

เรียกว่า พกาพรหม( พระเจ้า ) ยังขนแขนแสตนด์อัพ ว่างั้น

 

เอ้ยๆ เฉียด ยกเว้น ที่ป้ายสี หาก อาจารย์ของเจ้ายังอยู่ ลองไปถามเอาเองในเหตุผล

 

ข้าพเจ้าเห็นสนทนากันเรื่องนิมิตเห็นนั้นนี่ ข้าพเจ้าไม่เห็นสาระเลยจริงๆไม่รู้เป็นอะไร นอกจากจิตใจที่พัฒนาในเรื่อง ทาน ศิล จะต้องแข็แรงมั่นคง ส่วนการภาวนาปัจจัตตังจริงๆขอเพียงให้รู้ว่าหายสงสัยในรัตนตรัยก็เพียงพอแแล้วล่ะ

 

ไม่เกี่ยวกับผมมั้ง ชื่อ มันก็บอกอยู่แล้ว อัตตา

อัตตา สะดุ้ง อันนี้ มันเรื่องของ ตัวเจ้าของ เจ้าของดูอยู่

แล้วมาเกี่ยวอะไรกับผมหละ

***********

ค้างๆคาๆ มันมีหลาย อุบาย ในการกล่าวโน้มลงไปให้ดู ตัวเจ้าของนะ

แต่ละครู ใช้ไม่เหมือนกัน ความไม่เหมือนกัน บางทีทำให้ เกิดความยุ่ง

แต่ถ้าจะ อดทนฟัง อุบาย ก็ลองพินาเห็น ค้างๆคาๆ ขณะปรากฏ รู้ไป
ตรงๆเลยว่า ตอนนั้น " รู้ไม่ชัด ก็รู้ว่า รู้ไม่ชัด " แค่นี้แหละ อย่าไป
นึกว่าจะต้องไปทำอะไรกับมัน มันหุ้มตามหน้าที่ของฟองไข่

 

อย่าพึ่งขนลุกเลย จริงอยู่ศาสนาพุทธนั้น ไม่ได้ให้ชื่อแบบไม่มีเหตุผล ลงมือปฎิบัติให้เกิดผลดีแก่ตัวเองและผู้อื่นก่อนแล้วจึงค่อยเชื่อ นี่ป็นคำสอนของศาสดา แต่เคล็ดลับก็มีอยู่สำหรับคนที่เชื่ออะไรง่ายๆนั้นก็ทำให้บรรลุธรรมได้ไว มีมามากต่อมากแล้ว ถ้าไม่เชื่อก็ลองลงมือปฎิบัติซิ555++