อาจารย์ตรวจพลังของพระเครื่อง

ผมไปที่ท่าน้ำตรงหน้าวัดระฆังโฆสิตารามฯจะมีอาจารย์อยู่ท่านนึงตั้งโต๊ะรับตรวจดูพลังของพระเครื่อง โดยที่ค่าตรวจคือองค์ละ5บาท บางที่มีคนมาให้ดูเป็นสิบๆองค์
โดยวิธีตรวจของเค้าก็คือนำกล้องที่เอาไว้ส่องพระมาส่องพระเครื่ององค์ที่เราให้เค้าดูแล้วขนที่มือของเค้าก็จะลุกขึ้นองค์ไหนที่พลังเยอะก็จะขนลุกเยอะ
โดยที่ผมถามอาจารย์เค้าบอกว่ามีพลังตั้งแต่0-600 0ก็คือพวกพระเก๋ ส่วนพวกพลังเยอะๆก็จะมีส่วนผสมของเหล็กน้ำพี้อะไรพวกนี้ ผมลองเอาตะกรุดวัด เจดีย์แดงไปให้อาจารย์เค้าดู เค้าบอกว่าเนี่ยพลังเติม600เลย ส่วนตัวผมเองเชื่อ50-50 ก็เชิญลองไปพิสูจน์กันได้นะครับ ที่ท่าน้ำวัดระฆังฯ

 

การตรวจด้วยการสัมผัส มีอยู่สองแบบ คือ
1. กำไว้ในมือ แล้วดูอาการขนลุก ถ้าลุกมากก็แรงมาก
2. กำแล้ว แขนจะสั่น แกว่ง ถ้าแรงมากแ ก็จะแกว่งแรง

เป็นการตรวจเฉพาะตัว คนที่ทำการตรวจจะรู้ แต่เจ้าของพระ ไม่รู้ ดูได้จากอาการเท่านั้น
การตรวจแบบนี้ มีอันตรายอยู่บ้าง
ถ้าองค์ไหนแรงมากๆๆ จะเกิดอาการไฟช๊อต ขนลุกค้าง ในกรณีขนลุก

จะลุกขึ้นเต้นแบบนักมวยเต้นฟืดฟาด ต่อยมวยรอบๆๆ ตัว ควบคุมไม่ได้ถ้าใช้วิธีกำแล้วดูการสั่น

วิธีที่รู้ได้โดยจิตให้เจ้าของ พระ จับพลังได้เองด้วยไปพร้อมๆๆ กับคนตรวจจะดีที่สุด

 

อยากถามอ.ตาที่สามครับว่า พระเครื่องสามารถมีอิทธิพลต่อสภาพจิตใจของคนเราได้รึเปล่าครับ? เช่นปกติเป็นคนใจร้อนแต่เมื่อพกพระนำพระเครื่องมาติดตัวไว้ ด้วยกระแสพลังที่อยู่ในองค์พระนั้นก็ส่งผลให้บุคคลนั้นใจเย็นขึ้นมาได้น่ะครับ

 

ผมคิดว่าอาจจะได้นะครับ เพราะแค่การพกพระอย่างเดียวก็อาจทำให้ใจเย็นลงได้แล้ว

 

การแขวนหระเครื่องนั้น
จะทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้
อายุจะสั้นไม่รู้ตัว

อิทธิพลพลังพระเครื่อง
มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ออร่า หรือรัศมีกายอย่างชัดเจน
เพราะจะมีทั้งการเสริม ขยายออร่าให้มากและกว้างขึ้น
ซื่งจะเป็นเรื่องดี
แต่ถ้าขัดกัน มันจะหักล้างกัน บารมีก็จะหด
ทำอะไร จะล้มเหลวไปเสียหมด

พระเครื่องที่ให้อภิญญาด้านคงกระพัน จะร้อน
ธรรมดา แขวนองค์เดียวก็พอแล้ว
เพราะเวลาเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง
จะมีเพียงองค์เดียวจะทำงาน ท่านไม่แย่งกันออกมาช่วย

คนที่แขวนชุดเบญจภาคี คือแขวน 5 องค์
ทั้ง 5 องค์นั้นเขาแปลว่า
เป็นพระเครื่องที่มีพลังสุดยอด แห่งการคงกระพัน
ที่นับว่าแรงได้ระดับสูงสุด
แต่บ้านเรา เล่นแบบ โชว์อวดโก้ ว่า เรามีครบ เป็นนักเลงพระเครื่อง
พวกเศรษฐี แขวนกันเต็มคอ
หารู้ไม่ว่า กำลัง ฆ่าตัวตายอย่างช้าๆๆ
เพราะ เหมือนเอาเตาไฟ ไปแขวนไว้ที่หน้าอกใกล้หัวใจ
เผาหัวใจตลอด 24 ชั่วโมง แล้วจะเหลือ อะไร

คนที่แขวน อย่างผิดๆๆ ดูง่าย
คือ จะหน้าแดง เหมือนไปตากแดดอาบน้ำทะเลบางแสน
เหงื่อแตก หน้าแดง ทั้ง วัน

แปลว่า ใกล้ตายเข้าไปแล้ว

คนที่แขวนพระร้อนๆๆ โดยเฉพาะชุดเบญจภาคี
ทุกรายเมื่อมาให้ผมพิศูจน์ ว่าอันตรายเผาร้อนแค่ไหน
เขาจะได้รู้ว่า ร้อนแสบแค่ไหนจริงๆ
เสร้จแล้วก้ต้องถอดออกเพราะ เห็นจริง รู้สึกจริง

ถ้าเป็นพระ อภิญญาอื่นๆ

เช่น พุทธบารมี (เย็นนิ่ง)
แคล้วคลาด (อุ่นๆ)
เมตตา มหานิยม(เย็นมากๆๆ)
ป้องกันคุณไสย (เย็นเหนียว)
โชคลาภ ค้าขาย (เย็นชา)
พลังเทพ (เย็นหนัก)

จะไม่มีปัญหา
แขวนอย่งไรก็ได้
คนที่ใจร้อน ถ้าแขวนพระที่มีเมตตามหานิยม
ใจจะเย้นลง มากกว่า ครึ่ง

พระเครื่อง นอกจาก มีอภิญญา ต่างๆแล้ว ยังเสริมอำนาจทางกายภาพได้อีกด้วยอย่างมาก
เช่นทำให้ สายตาคมกล้า สมองโล่ง คิดอะไรก็ออก
หูได้ยินชัด ขึ้น ย่อยอาหาร
แก้โรคหัวใจ มีกำลังใจ เปลี่ยนจิตใจให้สดใส มองโลกในแง่ดี
ฯลฯ

ถ้าไม่เชื่อ ให้ลองเอาพระทั้งหมด
ที่อยากแขวน หรือแขวนอยู่ อยากจะรู้ว่า ถูกต้องใหม
เอามาให้ผมตรวจ
ในแต่ละวันมีคนเอามาให้ตรวจทุกวัน ตั้งแต่ 100-1,000 องค์เป็นประจำ
บางคนเอามาเป้นหีบ หลายร้อยองค์

พระบูชาขนาดใหญ่ก็เช่นกัน
บางคนเกณฑ์คนที่บ้าน แบกเดินเรียงแถว เอาพระมาให้ตรวจ
เหมือนกองแถวทหาร เป็นที่แปลกแก่สายตาคน
ครับ

 

การแขวนหระเครื่องนั้น
จะทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้
อายุจะสั้นไม่รู้ตัว

อิทธิพลพลังพระเครื่อง
มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ออร่า หรือรัศมีกายอย่างชัดเจน
เพราะจะมีทั้งการเสริม ขยายออร่าให้มากและกว้างขึ้น
ซื่งจะเป็นเรื่องดี
แต่ถ้าขัดกัน มันจะหักล้างกัน บารมีก็จะหด
ทำอะไร จะล้มเหลวไปเสียหมด

พระเครื่องที่ให้อภิญญาด้านคงกระพัน จะร้อน
ธรรมดา แขวนองค์เดียวก็พอแล้ว
เพราะเวลาเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง
จะมีเพียงองค์เดียวจะทำงาน ท่านไม่แย่งกันออกมาช่วย

คนที่แขวนชุดเบญจภาคี คือแขวน 5 องค์
ทั้ง 5 องค์นั้นเขาแปลว่า
เป็นพระเครื่องที่มีพลังสุดยอด แห่งการคงกระพัน
ที่นับว่าแรงได้ระดับสูงสุด
แต่บ้านเรา เล่นแบบ โชว์อวดโก้ ว่า เรามีครบ เป็นนักเลงพระเครื่อง
พวกเศรษฐี แขวนกันเต็มคอ
หารู้ไม่ว่า กำลัง ฆ่าตัวตายอย่างช้าๆๆ
เพราะ เหมือนเอาเตาไฟ ไปแขวนไว้ที่หน้าอกใกล้หัวใจ
เผาหัวใจตลอด 24 ชั่วโมง แล้วจะเหลือ อะไร

คนที่แขวน อย่างผิดๆๆ ดูง่าย
คือ จะหน้าแดง เหมือนไปตากแดดอาบน้ำทะเลบางแสน
เหงื่อแตก หน้าแดง ทั้ง วัน

แปลว่า ใกล้ตายเข้าไปแล้ว

คนที่แขวนพระร้อนๆๆ โดยเฉพาะชุดเบญจภาคี
ทุกรายเมื่อมาให้ผมพิศูจน์ ว่าอันตรายเผาร้อนแค่ไหน
เขาจะได้รู้ว่า ร้อนแสบแค่ไหนจริงๆ
เสร้จแล้วก้ต้องถอดออกเพราะ เห็นจริง รู้สึกจริง

ถ้าเป็นพระ อภิญญาอื่นๆ

เช่น พุทธบารมี (เย็นนิ่ง)
แคล้วคลาด (อุ่นๆ)
เมตตา มหานิยม(เย็นมากๆๆ)
ป้องกันคุณไสย (เย็นเหนียว)
โชคลาภ ค้าขาย (เย็นชา)
พลังเทพ (เย็นหนัก)

จะไม่มีปัญหา
แขวนอย่งไรก็ได้
คนที่ใจร้อน ถ้าแขวนพระที่มีเมตตามหานิยม
ใจจะเย้นลง มากกว่า ครึ่ง

พระเครื่อง นอกจาก มีอภิญญา ต่างๆแล้ว ยังเสริมอำนาจทางกายภาพได้อีกด้วยอย่างมาก
เช่นทำให้ สายตาคมกล้า สมองโล่ง คิดอะไรก็ออก
หูได้ยินชัด ขึ้น ย่อยอาหาร
แก้โรคหัวใจ มีกำลังใจ เปลี่ยนจิตใจให้สดใส มองโลกในแง่ดี
ฯลฯ

ถ้าไม่เชื่อ ให้ลองเอาพระทั้งหมด
ที่อยากแขวน หรือแขวนอยู่ อยากจะรู้ว่า ถูกต้องใหม
เอามาให้ผมตรวจ
ในแต่ละวันมีคนเอามาให้ตรวจทุกวัน ตั้งแต่ 100-1,000 องค์เป็นประจำ
บางคนเอามาเป้นหีบ หลายร้อยองค์

พระบูชาขนาดใหญ่ก็เช่นกัน
บางคนเกณฑ์คนที่บ้าน แบกเดินเรียงแถว เอาพระมาให้ตรวจ
เหมือนกองแถวทหาร เป็นที่แปลกแก่สายตาคน
ครับ

 

ผมไม่เชื่อว่าการแขวนพระเครื่องนั้นจะทำขัดต่อออร่าหรือพลังของร่างกายครับ
ช่วยอธิบายให้ชัดเจนหน่อยครับ
แล้วที่อ.บอกว่าเหมือนเอาเตาเผามาไว้ใกล้หัวใจที่พอแขวนเบณจภาคีมันไม่น่าจะเป็นไปได้ การสร้างพระเครื่องก็เพื่อให้ช่วยคุ้มครองผู้ที่แขวนพระเครื่อง ไม่ใช่ช่วยให้ผู้ที่แขวนตายเร็วขึ้นนะครับ

 

ถ้าอธิบายแบบนี้ไม่น่าจะใช่ ฌาณ..แล้ว น่าจะเป็นยานโตงเตงมากกว่า
"แต่ถ้าขัดกัน มันจะหักล้างกัน บารมีก็จะหด ทำอะไรจะล้มเหลวไปเสียหมด" ไม่มีพระที่ไหนขัดกับคนหรอกครับ แต่ถ้าคนขัดกับพระยังไงก็หาความเจริยไม่ได้ แน่นอน อยู่แล้วครับ..

 

งง และ งึด กับคำอธิบาย
พระเครื่องนั้นตามที่ผมได้สัมผัสมาคือผมไม่ได้เก่งนะครับ แต่จิตใต้สำนึกมันบอกเองว่า
1. ใช้อภิญญาหรือพลังจิตปลุกเสกหรือแผ่เมตตาให้
2. ใช้คาถาอาคมปลุกเสก
หากเป็นประเภทที่ 1 พระไม่มีวันเสื่อม และไม่ได้ห้ามนู้นห้ามนี้ เว้นแต่ตนเองไม่รักษาศีล ให้บริสุทธิ์พอ พลังบารมีนั้นก็จะไม่ช่วยหรือลดระดับลงมา
หากเป็นแบบประเภทที่ 2. ร้อยทั้งร้อย หากผิดศีลหรือ ไม่ทำตามข้อห้าม พระเสื่อมหมด มีค่าเท่ากับเศษอิฐ ดิน ปูน เท่านั้นเอง
แต่ทั้ง 2 ประเภท ถ้าบุึึลคลใด ดวงชะตาขาดหรือถึงคราวตาย ก็อย่าหมายไปได้ว่าท่านจะไม่ตาย สุดท้ายก็ต้องตายเมื่อถึงเวลานั้น แล้วแต่ศพจะสวยหรือไม่สวย ขึ้นอยู่กับ บุญ กรรมเก่าเราด้วย
ท้ายสุด พระเครื่องทุกประเภทไม่มีขัดกันดอกครับ นั่นผมว่าคงเป้นเงื่อนไขที่เราคิดขึ้นมาเอง อย่าลืมนะครับ
ทุกคนเกิดมาต้องตายทุกคน
โมทนาสาธุ
ขอให้เจริญในธรรมและมีเมตตา
ข้าพเจ้าเกิดมาต้องตาย ชีวิตไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

 

ไม่ค่อยจะเชื่ออ่ะ...

 

ที่เคยสัมผัสมาอาจเป็นอีก วิธีนะครับเพื่อทุกท่านจะทำได้ ลองดูครับ เริ่มแรก นำพระมาใช้นิ้วโป้ง กับนิ้วชี้จับพระไว้ ทำจิตให้นิ่ง ท่อง พุทธธังอาราธนาันัง ธรรมมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง ลูกขอทราบพลังพุทธคุณที่อยู่ในพระเครื่ององค์นี้ด้วยเถิด ลูกมิได้ลูบหลู่ต่อพระรัตนตรัยแต่อย่างใด ลูกขอทราบพลังพุทธคุณพระเครื่ององค์นี้ว่าเป็นของแท้ ไม่ใช่ของปลอมที่เขาทำปลอมกันขึ้นมาด้วยเถิดสาธุๆ ท่องคาถาไปเรื่อยๆจิตอยู่ที่พระเครื่องผลคือ พระเครื่องจะเริ่มส่าย บางองค์จะตอดนิ้วมือ บางองค์มีพลังวูปวาบๆ พุทธคุณพระเครื่อง 1 องค์ มีมากกว่าหนึ่งอย่างแล้วแต่ว่าอันไหนหลวงพ่อใส่เมตตาหรือแคล้วคลาดลงไป แต่ที่ผมจับๆมา หลวงพ่อที่อธิฐานจิตปลุกเสก จะมีพลังมากกว่าใช่คาถาอย่างเดี่ยว เดี๋ยวค่อยมาเล่าต่อนะครับ

 

แสดงความคิดเห็น

ผมเห็นด้วยครับ......เพราะว่าพระแต่ละองค์เสกมาไม่เหมือนกันบางองค์ใช้ญาณ บางองค์ใช้ ฌาน ซึ่งถ้าฝึกวิชาพวกพลังจักวาล หรือพลังจี้กง พลังจะถ่ายเทและเคลื่อนตัวตลอด ถ้าใช้พระที่เป็น ฌาน ซึ่งพลังจะเป็นก้อนและบล็อกพลังที่มีรูปแบบเคลื่อนไหว...การเล่นพลังหรือใช้พลังงานต้างๆ ตามหลังวิทยาศาสตร์ก็ได้ครับ....ต้องใช้ให้ถูกต้อง....และคนใช้ต้องเข้าใจ...ไม่เช่นนั้นก็จะมีโทษอย่างที่อาจารย์บอกนั่นแหละ.....เป็นจริงตามนั้น....รูปแบบการจับหรือสัมผัสเป็นรูปแบบเฉพาะตัวอาจไม่เหมือนกันได้ไม่เป็นไร...เพราะการรับรู้ในแต่ละคนไม่เหมือนกันครับ............ต้องเทียบเคียงกัน........