จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. urairatvi

    urairatvi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +2,401
    แหมใครว่าละคะ กำลังงง งงูหลายตัวอยู่ เดี๋ยวมีหน้าหลายคน เดี๋ยวไม่มีหน้าคน ข้อความก็เพิ่งจะมาเจอ งงจนเอ๋อคะ จะถามครูเพ็ญอะไรสติมัวแต่ไปอยู่ที่วิธีอยู่ บอกแล้วว่าเต่าสิบล้านปี5555
     
  2. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ครูวิทย์ค่ะ คุณนิสิต สายพี่เกษท่านขอยกเลิกนะค่ะ เพราะแฟนท่านได้จองกฐินไว้ตั้งแต่เดือนตุลา ท่านลืมค่ะ ท่านเลยมาไม่ได้ ท่านฝากขอโทษมา ณ ที่นี้ด้วยค่าาา...:':)'(
     
  3. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]

    จุดที่เยี่ยมยอดของโลกคือใจ
    ควรบำรุงรักษาด้วยดี
    ได้ใจแล้วคือได้ธรรม
    เห็นใจตนแล้ว คือเห็นธรรม
    ถึงใจคนแล้ว คือถึงพระนิพพาน

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


    [​IMG]
     
  4. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  5. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]


    ยิ้มวันละนิด จิตแจ่มใสค่ะ ;37
     
  6. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    วันนี้คุณนึกถึงพระหรือยัง

    [​IMG]
     
  7. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ภาพนี้มันคุ้นๆเน๊อ...
    "ตื่นๆ....เณรตื่นได้แล้ว"
     
  8. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    ขอโทษค่ะ คุณtoplus99 นกไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เณรน้อยของคุณตื่นนะค่ะ chearr
     
  9. srirattana

    srirattana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,972
    ก็แล้วแต่พี่น้องท่านอื่นๆจ้ะ

    ฮ่าๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2012
  10. ไทยเบล

    ไทยเบล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +449
    หนูรินยังงัยก็ใด้นะ พี่ๆว่างัยหนูก็ว่างั้นน่ะ
     
  11. srirattana

    srirattana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,972

    ปุ๋มเป็นตัวของตัวเองอ่ะดิ เห็นมีแต่คนเงียบปุ๋มก็ต้องทำหน้าที่ แต่ถ้ามีคนพูด

    ปุ๋มก็เงียบ เงี๊ยบเงียบล่ะ แต่บางที ภายในเขาดันๆๆออกมา ก็ต้อง พูดๆๆแหละ อิอิ ไม่งั้นเดี๋ยวไม่ฉะบายยยยย
     
  12. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    5555เห็นแซวกันม่วนขนาดอยู่กับคุณปุ๋มแหละ เอิ๊กๆๆ..catt3
     
  13. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    [​IMG]

    พุทธประวัติสมเด็จองค์ปฐมบรมจักรพรรดิพุทธมหาราชา..

    พระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐม ทรงสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกแห่งโลกธาตุ ทรงค้นพบวิชาว่าด้วยการบำเพ็ญบารมีเพื่อความพ้นทุกข์และสำเร็จตามพระประสงค์ จากนั้นทรงบัญญัติรวบรวมพระสูตรพร้อมทั้งทรงฝึกบุคคลเพื่อให้ถึงความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร และฝึกบุคคลเพื่อสืบทอดพุทธวงศ์ ดำรงไว้ซึ่งพระสัทธรรมอันเป็นประโยชน์ต่อสรรพสัตว์


    ระยะเวลาที่ทรงตั้งพระทัยมั่น ค้นคว้าโดยไม่มีแบบอย่างและไม่มีครูผู้ฝึกเป็นเวลาประมาณมิได้


    แค่พระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญบารมีแบบ วิริยะธิกะพุทธเจ้า ซึ่งมีการบำเพ็ญบารมียาวนานมากคือรวมทั้งสิ้น ๘๐ อสงไขย โดยแบ่งเป็น ๓ ระยะ คือ
    ปรารถนาในใจ ๒๘ อสงไขย
    เปล่งวาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๓๖ อสงไขย
    รวมเป็น ๖๔ อสงไขย จึงได้เป็นนิตยะโพธิสัตว์ รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก จึงบำเพ็ญบารมีต่ออีก ๑๖ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป จึงจะถึงกาลมาตรัสรู้ได้

    ดังนั้นพระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐมจะต้องทรงใช้เวลานานสักเท่าใดกว่าพระองค์จะทรงมาตรัสรู้สั่งสอนสรรพสัตว์และสืบทอดพุทธวงศ์ได้ ด้วยพระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำเนิดพุทธวงศ์ พระสัทธรรมทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และจุดประกายความสว่างในจักรวาลให้โลกได้เริ่มรู้จักการสั่งสมบุญบารมี

    เมื่อทรงใช้เวลาอันมิอาจจะประมาณได้จนพระองค์สามารถสรุปแนวทางอันแน่นอนแล้ว ก็ยังทรงเวียนว่ายในวัฏสงสารอยู่นานกว่า ๔๐ อสงไขย จึงทรงดูกาลที่จะทรงลงมาตรัสรู้บนโลกในพระชาติสุดท้าย ขณะนั้นมนุษย์มีอายุขัยประมาณ ๘๐,๐๐๐ ปี ทรงออกมหาภิเนษกรมณ์เมื่อพระชนมายุได้ ๔๐,๐๐๐ ปี หลังจากทรงผนวชได้ ๒๐,๐๐๐ ปี จึงทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก จึงถือเป็นการอุบัติแห่งปฐมบรมครูพระผู้รู้แจ้งทุกสรรพสิ่งของโลกธาตุ ทุกสรรพวิชาในจักรวาล ที่ไม่มีใครเทียบและเสมอเหมือนพระองค์ได้ ทรงโปรดเวไนยสัตว์และประกาศพระสัทธรรม สร้างรากฐานก่อตั้งพระพุทธศาสนาอยู่เป็นเวลาประมาณ ๒๐,๐๐๐ ปี จึงได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน

    พระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐมทรงพระนามว่า สมเด็จพระพุทธสิกขี แต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ต่อมาก็ทรงมีพระนามซ้ำกัน โดยเฉพาะพระนามนี้มีด้วยกันถึง ๕ พระองค์ จึงขอถวายพระนามว่า สมเด็จพระพุทธสิกขีทศพลญาณที่ ๑ พระองค์จึงทรงเป็นต้นวงศ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ จึงสมควรยกย่องพระองค์เป็น สมเด็จองค์ปฐมบรมครู อย่างแท้จริง ส่วนพระนามอื่นๆ นั้น ชนทั่วไปยกย่องขานพระนามอีกมากมาย เหมือนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่ได้ทรงรับการกล่าวขานพระนามมากมายเช่นกัน ด้วยความเคารพความศรัทธาอย่างยิ่ง

    คณาจารย์ครูบาอาจารย์ผู้รู้ได้เล่าสืบต่อกันมาด้วยท่านเหล่านั้นเป็นผู้สืบทอดเชื้อสายแห่งพุทธวงศ์มา จึงมีความรู้ตามวิสัยแห่งพุทธะไปด้วยและท่านที่มีความกล้าหาญอดทนเป็นยิ่งที่นำเรื่องสมเด็จองค์ปฐมมาเผยแผ่ให้ชนทั้งหลายไม่ลืมต้นกำเนิดแห่งพุทธวงศ์ คือ พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง เด่นชัดที่สุด ต่อมาสายหลวงปู่ปาน โสนันโทวัดบางนมโค ศิษย์สายหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก หลวงปู่ขันตยาภรณ์ สุสานไตรลักษณ์ แม่วาง เชียงใหม่ และน่าจะมีอีกหลายท่านแต่ยังไม่ถึงกาลเวลาหรืออย่างไรจึงยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควร

    บัดนี้น่าจะถึงกาลเวลาที่ผู้รู้จะได้ยังกิจนี้ให้สมบูรณ์เพื่อประโยชน์เกื้อหนุนแก่พระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง ไม่มีประมาณจะยังจิตให้แก่สรรพสัตว์ได้รักในการบำเพ็ญบารมีในทางที่ไม่ประมาท และเป็นความเจริญในชาติบ้านเมือง อันเป็นจุดนำไปสู่ความเจริญและสันติภาพของโลกด้วย...


    หลวงปู่ขันตยาภรณ์ผู้บำเพ็ญบารมีแบบพุทธภูมิ เล่าเรื่องสมเด็จองค์ปฐม

    หลวงปู่ขันตยาภรณ์ สุสานไตรลักษณ์ อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ได้เคยเล่าเรื่องสมเด็จองค์ปฐมไว้มาก พร้อมกับให้ดูลักษณะพระบรมธาตุของสมเด็จองค์ปฐมที่เสด็จมาที่ท่านเพื่อประโยชน์แก่ศิษย์

    ท่านกล่าวว่า กว่าจะสำเร็จจนมาบัญญัติเป็นพระพุทธเจ้านั้น สมเด็จองค์ปฐมทรงลำบากที่สุด บำเพ็ญนานที่สุด เพราะไม่มีแบบอย่างให้ดู จนทรงรู้แน่ชัดและรวบรวมเป็นพระสูตรต่างๆ ทุกแขนง จึงจะมาเริ่มบำเพ็ญตามที่ทรงค้นพบเส้นทาง พร้อมฝึกสาวก สาวิกา ให้ร่วมกันบำเพ็ญเพื่อความหลุดพ้น จึงถือว่าทรงเป็นพระพุทธเจ้าเป็นต้นตระกูลของพระพุทธะ เป็นปฐมบรมครูที่ฝึกคนเพื่อนำพระธรรม เพื่อความสงบสุขของโลก และยังต้องสั่งสอนผู้ที่จะมาสืบทอดพุทธวงศ์และพระธรรมให้คงไว้ในโลกสืบมาจนถึงปัจจุบัน

    หลวงปู่ขันตยาภรณ์มีพระบรมธาตุสมเด็จองค์ปฐมหลายองค์ และท่านก็ยังไม่เปิดเผยเพราะท่านว่ายังไม่ถึงเวลา ผู้ที่เชื่อยังมีน้อย หากคนตำหนิจะเป็นบาปโดยไม่รู้ เพราะคนมีความคิดมาก ทะเลาะกันก็เพราะความคิดที่เป็นทิฏฐิเป็นต้นเหตุ ท่านจึงเล่าแก่ผู้ที่สนใจจริงๆ และเป็นผู้ที่มีวิสัยในพุทธจริต ศรัทธาจริตสูง ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มพุทธภูมิที่ยังต้องบำเพ็ญบารมียาวนาน เพื่อเป็นกำลังในการดำรงสืบวงศ์แห่งพุทธวงศ์

    เมื่อหลังจากงานทำบุญวันพระพุทธเจ้าเปิดโลก ออกพรรษา ปี ๒๕๔๖ หลวงปู่ได้เล่าถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงเปิดโลกนั้น สรรพสัตว์ทั้งหลายปรารถนาพุทธภูมิมากมายจนประมาณมิได้ และต่างต้องบำเพ็ญบารมีมากเหลือเกิน ต้องเหนื่อยกันอีกแสนไกลและลำบากยิ่ง กว่าจะเรียนจบวิชาทุกแขนงเพื่อสำเร็จบารมีแห่งความเป็นพระพุทธเจ้า

    การที่มาช่วยงานในพระพุทธศาสนาและงานส่งเสริมพุทธวงศ์ อย่างงานเกี่ยวกับพระบรมธาตุเพื่อเผยแผ่พระรัตนตรัยก็จัดเป็นการกระทำที่ควรสรรเสริญ แต่ก็ต้องพบเจอวาจาคนในสังคมมาก เพราะสังคมยุคนี้ไม่เชื่อพุทธวิสัย คนที่จะทำจึงมีน้อยลงทุกที แต่ใครทำปู่ก็ให้พร ให้ทำได้สำเร็จ เพราะดำรงไว้ซึ่งพระรัตนตรัย

    ต่อไปในอนาคตผู้ที่ดูแลพระพุทธศาสนาจะมาเกิดมากมาย เป็นยุคฟื้นฟูจะมาเผยแผ่เรื่องพระพุทธเจ้าให้มากขึ้น เพื่อนำธรรมที่พระองค์ให้ไว้คงอยู่กับโลกต่อไป

    โลกปัจจุบันจึงถูกกรรมตามเร็วขึ้น เมื่อคนมีบุญมาเกิดหมั่นรักษาศีลไว้ จะอยู่ได้และขยันสร้างบุญไว้จะได้คุ้มครองให้พ้นภัย ซึ่งภัยนั้นจะมาจากทุกด้านตั้งแต่ภัยธรรมชาติ จนถึงโรคร้ายแรง ความอดอยากยากแค้น เพราะคนมันทิ้งศีล ทิ้งธรรมเอาวัตถุ จิตใจห่างความดี พลังงานที่ออกมาก็มีแต่โลภ โกรธ หลง สูงขึ้นจึงอายุสั้นลงกันทุกที มีแต่พระรัตนตรัยที่จะคุ้มครองได้รีบๆ ทำกรรมดีเข้าไว้จะลำบากน้อยหน่อย

    ท่านเล่าต่อว่า หลังจากปี ๒๕๔๖ จะเกิดภัยธรรมชาติคนจะตายเยอะ ทั้งทางบก ทางน้ำมารอบด้านและเป็นทั่วโลก ของเมืองเราน้อยที่สุดเพราะมีคนทำบุญ ถือศีลมาก ยิ่งเวลานี้พระบรมธาตุเสด็จมามาก ก็เป็นโอกาสทองของผู้ที่ได้พบเจอ มีความเลื่อมใสในสันดานเดิมอยู่แล้วจึงเกิดความเชื่อโดยไม่ยาก

    ใครว่าอย่างไรก็ชั่งเขาเราก็พ้นภัย และมีความสุขสงบกว่าคนอื่นก็พอ ของอย่างนี้มันเป็นปัจจัตตัง และการอยู่กับพระบรมธาตุก็คือ อยู่ใกล้พระพุทธเจ้า ถึงธรรมง่ายและให้ได้พบพระอริยสงฆ์ง่ายด้วย

    หลวงปู่ท่านเป็นผู้บำเพ็ญบารมีแบบพุทธภูมิเช่นกัน ท่านจึงมีความรู้ในเรื่องพุทธภูมิมาก ท่านได้เล่าสืบต่อมาให้ศิษย์หลายๆ คนได้ฟังบางคนได้เห็นหลวงปู่แสดงฤทธิ์ เช่น หยุดลมฝนที่กำลังโหมกระหน่ำให้ดู เดินจงกรมโดยเท้าไม่ติดพื้น บางครั้งท่านมองไปที่แก้วน้ำ แก้วน้ำนั้นก็ยกตัวลอยหมุนไปมา

    แต่หลวงปู่จะอบรมสั่งสอนศิษย์ไม่ให้ติดสิ่งเหล่านี้ ท่านว่าเป็นเรื่องปกติของการเจริญสมาธิตามขั้นต่างๆ ยังเป็นโลกียะอยู่ ยังตกนรกได้ ไม่วิเศษเท่าโลกุตระซึ่งมีความวิเศษยังจิตให้หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง เป็นเลิศสุดแล้ว

    พระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ทั้งหลายท่านสรรเสริญว่าเป็นการกระทำอันเลิศสุดแล้วสมควรเร่งการกระทำ โดยหมั่นรักษาศีลให้ได้เริ่มที่ศีล ๕ นี่แหละ

    เวลานี้หลวงปู่ได้ละสังขารแล้ว และได้มีพิธีสลายธาตุขันธ์ท่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงได้พบเห็นอัฐิธาตุท่านมีลักษณะต่างๆ เช่น มีขนาดเล็กกว่าปกติทั่วไป เหมือนมีการย่อรูปร่าง อย่างกับถ่ายเอกสารย่อมาเลยที่เดียว เป็นอย่างนี้หลายส่วน การงอกและขยายเป็นพระธาตุไวมาก เมื่อนำมาถ่ายภาพจะเห็นว่ามีผิวที่เป็นผลึกแก้วสวยงามแปรเปลี่ยนไว บางองค์เป็นสีเขียวก่ำ เขียวมรกต และเมื่อถ่ายด้วยกล้องที่มีความขยายสูง จะพบว่าภายในมีลักษณะเป็นดวงแก้วใส มีแสงสว่างกลางดวงแก้วอยู่จำนวนมาก

    ข้อนี้ศิษย์ทั้งหลายให้เหตุผลมามาก เช่น บ้างก็ว่าหลวงปู่สำเร็จวิชาธรรมกายอย่างละเอียด บางรายว่าหลวงปู่เดินสมาธิแบบรัตนะหรือแบบพุทธานุสติ ตามที่ท่านค้นพบด้วยตนเอง บางรายว่าท่านเจริญกรรมฐานได้ทุกส่วนของร่างกาย

    ทั้งหมดนี้พอจะรวบรวมเท่าที่ได้แต่ที่ยอมรับมากที่สุด โลกุตระในจิตใจท่านหลวงปู่ ด้วยท่านเป็นพระสุปฏิปันโนที่มีจริยวัตรงดงาม และภูมิธรรมอันสูง ท่านได้ฝึกพระดีคนดีไว้มากต่างก็มีความรู้ความสามารถที่จะออกไปทำประโยชน์ให้แก่สังคมและเผยแผ่พระรัตนตรัยไว้มากมาย

    เราทั้งหลายควรพิจารณาดูว่าพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ทั้งที่มีการบำเพ็ญบารมีแบบปกติ และแบบบำเพ็ญทางพุทธภูมิ ทำบารมีให้เกิดมากมาย หลายท่านสืบมาได้เป็นครูผู้ฝึกพุทธบริษัท และพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ โดยเริ่มตั้งแต่สมเด็จองค์ปฐม จนถึงพระพุทธเจ้าในภัทรกัปนี้ คือ พระกกุสันโธพระพุทธเจ้า พระโกนคมโนพระพุทธเจ้า พระกัสสโปพระพุทธเจ้า และพระสมณโคดมพระพุทธเจ้าในปัจจุบันที่พระองค์ทรงฝึกเหล่าสาวกสาวิกาทั้งหลายให้มีบารมีมีคุณวิเศษ และธรรมวิเศษที่จะยังให้สรรพสัตว์ได้หลุดพ้นห่วงแห่งวัฏสงสาร จึงสมควรที่ชนทั้งหลายจะร่วมใจกันพึงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยการระลึกในพุทธคุณนี้อานิสงส์นั้นหาประมาณได้ ยังผลให้ไปถึงธรรมคุณ และสังฆคุณ
    (จากคำบอกเล่าจากหลานหลวงปู่เพื่อเพิ่มพูนความศรัทธา)


    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม


    "ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านที่มาประชุมทั้งหมด จะเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย นั่นหมายถึงว่าการจุติ ลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความ สุขเกินไปและมันจะทุกข์ทีหลัง จงดูภาพมนุษย์ว่ามนุษย์เมืองไหนบ้างที่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ เมืองมนุษย์มีแต่ความทุกข์ต้องประกอบกิจการ งานทุกอย่าง ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ มีความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวัง ทุกอย่างต้องใช้แรงงาน

    แต่ว่ามาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้าทุกอย่างหมดสิ้น นั่นหมายความไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด ร่างกายอิ่มเป็นปกติ ร่างกายเยือกเย็นอบอุ่นไม่ต้องห่มผ้า และมีความปรารถนาสมหวัง ก็หมายความถ้าจะไปทางไหน ก็สามารถลอยไปถึงที่นั่นได้ทันทีทันใด ความป่วยไม่มี ความแก่ไม่มี ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นทิพย์อย่างนี้ท่านทั้งหลายจงอย่ามัวเมา จงอย่ามีความเข้าใจผิดว่าเราจะอยู่ที่นี่ตลอดกาลตลอดสมัย

    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอายุเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีอายุจำกัดตามบุญวาสนาบารมี ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องจุติ คือตาย แต่ว่าท่านทั้งหลายจงอย่าลืมว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมทั้งหมดที่นั่ง อยู่ที่นี่ทั้งหมด แม้แต่จะเป็นพระอริยเจ้า ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าก็มาก จงอย่าลืมว่าทุกท่านยังมีบาปติดตัวอยู่ และการสะสมบาปมาเป็นชาติ ๆ ยังมีมากมาย"

    ( พอพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาก็ใช้กำลังใจดูร่างกายเทวดานางฟ้ากับพรหม เห็นเงาบาปอยู่ในหนามาก เป็นอันว่าทุกองค์ต่างองค์ต่างมีบาป แต่ก็มาเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้ แล้วก็ดูตัวเองเวลานั้น ร่างกายของตัวเองก็เป็นทิพย์ บาปมันก็ท่วมท้นเหมือนกัน ต่อไปองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงตรัสว่า )

    "ภิกขเว...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ( เวลานั้นมีพระมาด้วยหลายองค์ ) และท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด จงอย่าลืมว่าทุกท่านมีบาปติดตัวมามากมาย อาศัยบุญเล็กน้อยก่อนจะตายจิตใจนึกถึงบุญก่อน จึงได้มา เกิดบนสวรรค์บ้าง มาเกิดบนพรหมบ้าง ถ้าหากว่าท่านจุติเมื่อไร โน่น..นรก! ( ท่านชี้มือลงเห็นนรกไฟสว่างจ้าแดงฉานไปหมด )

    ท่านทั้งหลายจะต้องพุ่งหลาวลงนรก เพราะใช้กฎของกรรมคือบาป ชำระหนี้บาป กว่าจะมาเกิดเป็นคนก็นานหนักหนา และมาเป็นคนแล้วก็ไม่แน่ว่าจะได้กลับมาเป็นเทวดา นางฟ้าหรือพรหมใหม่

    ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าเป็นคนอาจจะทำบาปใหม่อาจลงนรกไปใหม่ก็ได้ ฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ มาอยู่สวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี เป็นทางครึ่งหนึ่งของนิพพานระหว่างมนุษย์กับนิพพาน เป็น อันว่าท่านทั้งหลายได้ครึ่งทาง การมาได้ครึ่งทางของท่าน ท่านทั้งหลายจงดูนั่น.. นิพพาน!"

    ( ท่านก็ยกมือชี้ขึ้นให้ดูนิพพาน เวลานั้นเทวดานางฟ้า กับพรหมทั้งหมด อาตมาก็เหมือนกัน เห็นพระนิพพานไสวสว่างจ้า มีวิมานสีเดียวกัน คือ สีแก้วแพรวพราวเป็นระยับ เป็นแก้วสีขาว พระอรหันต์ทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นมีความสุขขนาดไหนมีความเข้าใจหมด รู้หมดเห็นหมด แล้วองค์สมเด็จพระบรมสุคตก็ทรงกลับมาพูดกับเทวดากับนางฟ้าใหม่ว่า )

    "ท่านทั้งหลายจงหวังตั้งใจคิดว่า ถ้าการจุติมีคราวนี้ ถ้าบุญวาสนาบารมีของเรานี้สิ้นสุดลง เราจะไม่ไปเกิดเป็นมนุษย์ เราจะไม่เกิดเป็นเทวดา เราจะไม่เกิดเป็นนางฟ้า เราจะไม่ไปเกิดเป็นพรหม เราต้องการไปพระ นิพพานจุดเดียว และการไปนิพพานนี่ ท่านทั้งหลายต้องยึด อารมณ์พระนิพพาน เป็นสำคัญ สำหรับพรหมก็ดี เทวดา นางฟ้าเก่า ๆ ก็ดี อาตมาไม่หนักใจ ทั้งนี้เพราะ มีความเข้าใจแล้ว ( ก็แสดงว่าพรหม เทวดา นางฟ้าเก่า ๆ เป็นพระอริยเจ้ามาก )

    ที่มีความเป็นห่วงก็เป็นห่วงเทวดานางฟ้าใหม่ ๆ ที่มาเกิดใหม่ ๆ จะหลงความเป็นทิพย์ นั่นหมายความจะมีความเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ยังมีความรู้สึกว่าเราจะเกิดอยู่ที่นี่ตลอดไป จะไม่มีการจุติจะไม่มี การเคลื่อน อันนี้เป็นความเห็นที่ผิด จงคิดตามนี้เพื่อพระนิพพานนั่นคือ จงมีความรู้สึกว่าเราจะต้องจุติวันนี้ไว้เสมอ และอาการของชีวิตนี่เป็นของที่ไม่แน่นอน เราจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ความตายเป็นของเที่ยง ความเป็นอยู่เป็นของไม่เที่ยง

    เมื่อคิดอย่างนี้แล้วทุกท่านจงอย่าประมาท จงใช้ปัญญาพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่า ท่านทั้งหลายควรจะเคารพไหม ถ้าจิตใจของท่านมีศรัทธามีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ก็เป็นอาการขั้นที่สองที่ท่านจะไปนิพพานได้

    หลังจากนั้น ขอท่านทั้งหลาย จงทรงศีลให้บริสุทธิ์ จะเป็นศีล ๕ ก็ตาม ศีล ๘ ก็ตาม กรรมบถ ๑๐ ก็ตาม ศีล ๑๐ ก็ตาม ศีล ๒๒๗ ก็ตาม" ( พอท่านพูดถึงศีล ๒๒๗ ก็คิดในใจว่าเทวดาจะไปบวชที่ไหน องค์สมเด็จพระจอมไตรก็หันหน้ามาตรัสว่า )

    "ฤาษี .. เทวดาเขาไม่ต้องบวช อย่างเทวดาชั้นยามาก็ดี ชั้นดุสิตก็ดี อย่างนี้เขามีศีลครบถ้วนบริบูรณ์ท้ง ๒๒๗ เหมือนกับความเป็นพระ พรหมก็เช่นเดียวกัน ทุกท่านอยู่ด้วยธรรมปีติ ทุกท่านอยู่ด้วยความสุข เขาไม่อาบัติ สิ่งที่จะเป็นอาบัติไม่มี สิ่งที่จะเป็นบาปไม่มี" ( แล้วท่านก็กลับหันหน้าไปหาเทวดานางฟ้ากับพรหมว่า )

    ขอทุกท่านจงอย่าลืมคิดว่า เราจะเป็นผู้มีศีล ให้ตั้งเฉพาะศีล ๕ ก็ดี ศีล ๘ ก็ได้ ศีล ๑๐ ก็ได้ กรรมบถ ๑๐ ก็ได้ ศีล ๒๒๗ ก็ได้ ตั้งใจไว้ว่าเราจะไม่ละเมิดศีล

    หลังจากนั้นจึงมีจิตใช้ปัญญาคิดว่า การเกิด เป็นเทวดาก็ดี เป็นนางฟ้าก็ดี เป็นพรหมก็ดี มีสภาพไม่เที่ยง จะต้องมีการจุติเป็นวาระสุดท้าย

    ในเมื่อการจุติจะเกิดขึ้น อารมณ์จะทุกข์ จงคิดไว้เสมอว่าเราจะต้องจุติ ในเมื่อเราจะต้องจุติ เราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เราไม่เกิดเป็นมนุษย์

    ท่านทั้งหลาย จงดูภาพของมนุษย์ ( แล้วพระองค์ก็ชี้มาที่เมืองมนุษย์ )
    มนุษย์เต็มไปด้วยความวุ่นวาย มนุษย์เต็มไปด้วยความโสโครก มนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษย์เต็มไปด้วยการงานต่าง ๆ มนุษย์ มีความหิวมีความกระหาย มีความอยาก มีความต้องการไม่สิ้นสุด

    สิ่งทั้งหลายที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้ว จะเป็นทรัพย์สินยังไงก็ตาม ในเมื่อเราตายจากความเป็นมนุษย์เราก็หมดสิทธิ อย่างบางท่านเป็นพระมหากษัตริย์ อยู่ในพระราชฐานดี ๆ สร้างไว้เป็นที่หวงแหน คนภายนอกเข้าไม่ได้เข้าได้แต่คนภายใน

    แต่ว่าท่านทั้งหลายเมื่อตายมาแล้วกลับไปเกิดเป็นคน หากว่าท่านไม่ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ตามเดิม ท่านเป็นประชาชนคนภายนอก ท่านจะไม่มีสิทธิเข้าเขตนั้นเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นของที่ท่านสร้างเอาไว้ ท่าน ทำเอาไว้ทุกอย่าง แล้วท่านจะไม่มีสิทธิ

    นี่ความไม่แน่นอนของความเป็นมนุษย์มันเป็นทุกข์อย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นคนก็ต้องหยุด ต้องเดินไปเดินมาทำกิจการงานทั้งวัน เพื่อผลประโยชน์หน่อยเดียว คือ เงิน ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถจะมีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ เพราะมีความจำเป็นต้องหาเงิน ( ในเมื่อท่านตรัสอย่างนี้แล้วก็บอกว่า )

    จงอย่าคิดเป็นมนุษย์ต่อไป ตัดความเป็นมนุษย์เสีย เลิกความหมายความเป็นมนุษย์ เห็นว่าโลกมนุษย์เป็นทุกข์ มนุษย์มีสภาพไม่เที่ยง ไม่มีการทรงตัว มีความเกิดขึ้นและมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย ในการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความตายในที่สุด

    และจงอย่าอยากเป็นเทวดา อยากเป็นนางฟ้าเป็นพรหมต่อไป เพราะเทวดานางฟ้า กับพรหมก็มีสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน เมื่อมีความเกิดในเบื้องต้น ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปธรรมดา ก็มีความจุติไปในที่สุด

    ทุกคนหวังนิพพานเป็นที่ไป ตั้งใจไว้เสมอว่าเราจะเป็นผู้มีศีล เราจะนับถือพระไตรสรณคมน์คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วก็เราจะต้องจุติในวันหน้า ตถาคตมีความรู้สึกว่าท่านทั้งหลายที่เป็นเทวดานางฟ้าพรหมเก่า ๆ มีความเข้าใจดีแล้ว ( คำว่า "เข้าใจ" บรรดาท่านพุทธบริษัท หมายถึงว่า เขาปฏิบัติได้ นี่คือ อารมณ์พระโสดาบันกับอารมณ์พระอรหันต์ )

    สำหรับเทวดานางฟ้าและพรหมใหม่ ๆ จงตั้งใจไว้เสมอว่า จงลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไป และมันจะทุกข์ทีหลัง ตั้งใจคิดว่า ความสุขที่ได้มานี่ เราได้มาจากบุญเล็ก น้อยเท่านั้น และ บาปใหญ่ที่ขังอยู่ที่ตัวของเรายังมีอยู่ ถ้าเราเผลอไม่สร้างความดี ในเมื่อจุติความเป็นเทวดาหรือพรหมในภพนี้แล้ว ทุกคนจะต้องลงอบายภูมิ

    จงดูภาพนรกว่ามีขุมไหนบ้างที่น่าอยู่น่ารัก มันไม่น่าอยู่ไม่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ และก็ดูเทวดานางฟ้ากับพรหม มนุษย์ที่เดินเกลื่อนกล่นทุกคน อยู่ในเมืองมนุษย์ เคยเป็นเทวดาเคยเป็นนางฟ้า เคยเป็นพรหมมาแล้ว แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงตั้งใจไว้เฉพาะนิพพาน จงดูภาพพระนิพพานให้ชัดเจนแจ่มใสว่า ดินแดนพระนิพพานไม่มีที่สิ้นสุด..."

    ( เมื่อ พระองค์ตรัสเพียงเท่านี้พระองค์ก็จบ )


    ที่มา http://palungjit.org/threads/ต้นกำเนิด-พุทธวงศ์.361734/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 4.jpg
      4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      144.6 KB
      เปิดดู:
      250
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 พฤศจิกายน 2012
  14. โมกขทรัพย์

    โมกขทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    474
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,849

    ไม่นานหรอกครับ ได้เจอกันแน่แต่ตอนนี้มีพันธะกิจที่ผมต้องทำอยู่ ผมแอบไปถามพ่อแล้ว ได้ยินแว่วๆว่าพี่ไปอ้อนพ่ออยู่ เรื่องนี้ขออุบไว้ก่อนนะครับ ^ ^
     
  15. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    น้องหว้าconfirmครับ จิตน้องหว้าบอกครับ :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2012
  16. fein

    fein เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +463
    อนุโมทนา สาธุ
    กำลังจิตตก และกำลังควานหาธรรมะพอดีค่ะ :cool:
     
  17. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    อย่ามัดมือชกสิ ลวกเพี่ยหน่อง!!!!
     
  18. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    มีอุบอีกคนแล้ว ฮือๆๆๆๆ แต่ก็ยินดีนะครับ ติดตามคุณโมกขทรัพย์มานาน ได้มีโอกาสคุยในเฟสแล้วก็ดีใจจริงๆ
     
  19. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    หาครูด้วยก็จะดีนะครับ ธรรมมะมีอยู่รอบตัว หันไปทางไหนก็เจอ ดูหนังฟังเพลงก็เจอ
    วันนี้ท่านเจอธรรมมะหรือยัง
     
  20. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    สรุปรายชื่อ 15พย55 ครับ ... ปรับเวลาเริ่มอบรมครับ + อัปเดทรายชื่อ

    การสัมมนา จิตเกาะพระสัญจร(รุ่นพิเศษ)
    และ รวมรุ่น จิตบุญสัมพันธ์ ครั้งที่1


    วันที่อบรม 17 พย 2555
    สถานที่ โรงแรม เอเชีย ปทุมวัน (ห้องกิ่งเพชร ชั้น3 มีทางเชื่อมต่อจากอาคารจอดรถ)
    ท่านที่มารถไฟฟ้า ลงที่สถานีราชเทวีได้เลยนะครับ มีทางเชื่อมเข้าโรงแรมเลยครับ
    เวลา ตั้งแต่ 9.00 - 17.30 น.

    9.00... ลงทะเบียน เข้างาน พร้อม รับ Coffee
    9.30 ... เริ่มสัมมนา

    12.00... พักทานอาหารกลางวัน
    13.30.. สัมมนาภาคบ่าย
    15.00... Coffee Break
    15.10 ...สัมมนาภาคบ่าย
    17.30...จบการสัมมนา
    ปิดการสัมมนา

    Confirm :
    1.จิตบุญครูแนท UK
    2.จิตบุญคุณแม่สุมาลี
    3.จิตบุญครูลูกพลัง
    4.จิตบุญครูนิวเวฟ
    5/6.จิตบุญครูน้องหนู+จิตบุญ1ท่าน
    7.จิตบุญครูเมิล
    8.จิตบุญท่านก้องเกียรติ
    9/10. จิตบุญครูวัฒโจโจ+คนรู้จิต(ว่าที่ห่วง)
    11/12/13. จิตบุญครูหนุ่ม+จิตบุญครูจุ๋ม+จิตบุญน้องนิว
    14/15. จิตบุญแป้ง+เพื่อนแป้ง
    16/17/18/19/20.จิตบุญพี่ศรี/จิตบุญพี่ไก่/เพื่อน3คน
    21/22/23/24.จิตบุญพี่พอใจ/ลูกชาย/ลูกสาว/ลูกชายคนเล็ก
    25.จิตบุญเมธญา
    26/27/28/29. จิตบุญพี่วันดี/จิตเกาะพระป๋อมแป๋ม/สมาชิกใหม่2ท่าน
    30/31/32/33.จิตบุญ๑๐๑ พี่อภิชัย+จิตบุญคุณพ่ออุดร+จิตบุญคุณแมภิรมย์+คุณมานิต ศรีทอง
    34/35/36.จิตบุญคุณสะอาด/ผู้ติดตาม2ท่าน
    37/38/39/40/41.จิตบุญครูปลื้ม+ลูกสาว+ลูกชาย+เพื่อนลูกชาย+คุณอาพึงใจ
    42/43/44/45.จิตบุญคุณผึ้ง/สามี/ลูก2คน
    46.จิตบุญพี่กี
    47/48.จิตบุญพี่พิม/สามี
    49/50.จิตบุญครูพี่แสงจันทร/ลูก1คน
    51.จิตบุญครูบัว
    52/53.จิตบุญครู Watt chan+คุณธารฝนทิพย์ จันทร์จรูญ(แม่บ้าน)
    54/55/56.จิตบุญครูป้อม/คุณโป้ง(สามี)/ลูก
    57.จิตบุญน้องฝน
    58/59/60/61/62/63.จิตบุญพี่น้อง/คุณจินดาพร/คุณเจิดจันทร์/คุณนรวรรณ/คุณอัญชลี/คุณวนิดา
    64/65/66.คุณกุ้ง และลูกๆอีกสอง
    67/68/69.คุณแตน ระยอง+คนขับรถส่วนตัว+คุณระวีวรรณ ดนัยดุษฎีกุล(สายแม่ต้อย)
    70/71/72/73/74.จิตเกาะพระน้องแหม่ม(ใหม่กิ๊ก)+เพื่อน+คุณอา+ลูกสาวคุณอา+สามีคุณอา
    75.จิตเกาะพระพี่เปิ้ล(สายครูปุ๋ม)
    76.คุณอ้อม(สายครูลินดา)
    77/78.คุณตุ้ม/คุณเล็ก(สายครูหนุ่ม)
    79.คุณจ๋าย(สายครูเพ็ญ,ครูนกชาย,ครูนอร์ท)
    80/81.ลูกศิษย์พระอาจารย์ชัชวาล
    82.คุณสุชาดา(สายครูเพ็ญ/ครูอุษาวดี/ครูบุษย์/ครูนอร์ท/ครูนกชาย)
    83.คุณเซ้ง
    84.คุณปุ๊
    85.คุณฐิติมา
    86.คุณVietnam(สายครูวัฒโจโจ)
    87/88.พี่หมูกับลูกสาว
    89/90/91.คุณยุมาลี เนื้อเย็น(น้าจิตบุญครูนกหญิง)/คุณจิราภรณ์ ปุยสำลี/คุณปราณี เหลืองประกิจสิริ
    92.คุณสุ (สายครูแสงจันทร)
    93.น้องกิป(สายครูนกชาย)
    94.คุณเดือน๕
    95.คุณอ๊อด วีรพันธ์ เดิมหลิ่ม (สายครูเกษ)
    96.คุณสุรเวทย์ (สายครูเพ็ญ)
    97.คุณชาคริต (สายจิตบุญเมธญา)
    98.ป้ารัช (สายครูวัฒโจโจ)
    99.คุณพี่เต่าโบราณ (สายครูเกษ)
    100.คุณ Seeview
    101.คุณแม่จิตบุญครูเมิล
    102.คุณpuk777 (สายครูลูกพลัง)
    103/104/105.พี่น้อย(คมกฤช แหสกุล)+พี่เปิ้ล(ภรรยา)+คุณอา(สายครูพี่จุ๋ม เยอรมัน)
    106.พี่ยุ่น (สายครูวัฒโจโจ)
    107/108/109/110.คุณสรินญาพัทธ์ อ่องเอี่ยม/คุณมนต์ชัย รื่นรมย์/อีก1ท่าน/คุณจิ๋ม พรจันทร์ (สายครูพี่ปลื้ม)
    111.คุณศิล (สาย..ใครดี?)
    112/113/114/115.สายบุญของครูพี่แนท


    คุณครูท่านใดจะส่งลูกศิษย์ขอให้แจ้งมาที่ผมนะครับ

    และรบกวนให้ช่วยยืนยันสายของท่านที่ลงชื่อแล้วว่าจะมาหรือไม่ด้วยนะครับ ผู้จัดจะได้เตรียมสถานที่ให้รองรับได้ครับ

    ฟรีนะครับ ไม่มีค่าใช้จ่าย


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม

    ปล1. ขอให้ผู้มีชื่อด้านล่างเตรียมพร้อมด้วยนะครับ
    1.จิตบุญครูพี่พอใจ ... พิธีกร
    2.จิตบุญครูน้องหนู ... ที่มาจิตเกาะพระ
    3.จิตบุญคุณแม่สุมาลี/พี่ภู ... กล่าวเปิดงาน
    4.จิตบุญครูเพ็ญ ... กล่าวปิดงาน
    5.จิตบุญครูวัฒโจโจ/จิตบุญครูพี่อภิชัย+คุณพ่อคุณแม่+จิตบุญพี่วันดี+จิตบุญครูพี่แนท ... เล่าประสบการณ์จิตเกาะพระ

    ปล.2จิตบุญต้องการมาช่วยงานก่อน สามารถมาได้ตั้งแต่ 8.00น นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2012

แชร์หน้านี้

Loading...