เรื่องเด่น "ท่องโลก" แดนมหัศจรรย์ทั่วโลก

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ดอกอ้อขาว, 12 พฤศจิกายน 2012.

  1. ดอกอ้อขาว

    ดอกอ้อขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +3,619
    รวบรวมสถานที่ เรื่องราวมหัศจรรย์ทั่วโลก



    travel mthai เกาะกระแสภาพยนตร์ ชัมบาลา พาท่อง ทิเบต ดินแดนหลังคาโลก ซึ่งเต็มไปด้วยตำนานอันลี้ลับที่หลายเรื่องยังเป็นข้อกังขา หาบทสรุปไม่ได้ เขตปกครองตนเองทิเบต หรือ ธิเบต มีอากาศที่หนาวเย็นมาก ความกดอากาศและอ๊อกซิเจนต่ำ เหตุนี้จึงมีประชากรอาศัยอยู่น้อย และผู้ชายกว่าครึ่งบวชเป็นพระ พลเมืองนับถือศาสนาอย่างเคร่งครัด จนได้รับฉายาว่า “แดนแห่งพระธรรม” ถือเป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม ลึกลับ น่าค้นหา!

    มหัศจรรย์แห่ง ทิเบต
    1. ความลึกลับ แห่ง เยติ

    [​IMG]
    เยติ คือ ชื่อภาษาทิเบตของมนุษย์หิมะ เป็นสัตว์สองเท้า มีขนคล้ายลิง อาศัยอยู่แถบเทือกเขาหิมาลัย ในประเทศเนปาลและทิเบต เยติ เป็นสัตว์ที่มีความว่องไว คณะผู้เดินทางหลายกลุ่มมีการวางแผนพยายามติดตามเหล่าเยติ แต่ก็ไม่เคยมีใครทำสำเร็จ จะพบก็แต่เพียงรอยเท้า และร่องรอยบางอย่างซึ่งสงสัยกันว่าน่าจะเป็นหนังศีรษะ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเหล่า เยติ ยังมีชีวิตอยู่ หรือสูญพันธุ์ไปแล้ว คาดเดากันไปว่าสาเหตุที่ไม่พบ เยติ ที่เทือกเขาหิมาลัย อาจเพราะความสูง สภาพอากาศที่หนาวเหน็บ ปราศจากอาหารประทังชีวิต จึงทำให้กลุ่ม เยติ ต้องอพยพย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น

    2. ความลึกลับ แห่ง Gterma

    [​IMG]


    Gterma เป็นแบบแผนแห่ง ทิเบต ที่ถูกขุดค้นอีกครั้ง หลังจากถูกซุกซ่อนโดยพระทิเบตเมื่อครั้งหมดศรัทธาในศาสนา Gterma ได้แก่ การอ่านหนังสือธรรมะ การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และการใฝ่รู้ทางศาสนา ซึ่งอย่างหลังเป็นสิ่งที่มีมนต์ขลังมากที่สุด เพราะนั่นหมายความถึงการมี Gterma ฝังลึกลงไปในจิตวิญญาณ เมื่อใดที่กายพร้อม ใจพร้อม จะเป็นตัวกำหนดแรงบันดาลใจลึกลับ แม้คนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ก็สามารถเขียนพระไตรปิฎกขึ้นได้อย่างอัศจรรย์

    3. ความลึกลับ แห่ง ชัมบาลา

    [​IMG]





    ชัมบาลา (Shambhala) หรือ แชงกรีลา (Shangri-La) ในภาษา ทิเบต หมายถึง ดินแดนอันบริสุทธิ์ เป็นตำนานลึกลับของโลกแห่งพุทธศาสนา ต้นกำเนิดของการสอน Kalachakra ในหนังสือประวัติศาสตร์ ทิเบต ได้มีการบันทึกเรื่องราวของ ชัมบาลา ไว้มากมาย แต่นักวิชาการทางพุทธศาสนาก็ยังตั้งข้อกังขาว่าแท้จริงแล้ว ชัมบาลา นั้นมีอยู่จริงหรือเป็นเพียงแดนสวรรค์ในนิยาย ถือเป็นความลี้ลับที่ยังไม่มีบทสรุป

    4. ความลึกลับ แห่ง ร่างสีรุ้ง

    [​IMG]



    ร่างสีรุ้ง ถือเป็นปรากฏการณ์ลึกลับแห่งพุทธศาสนาใน ทิเบต เป็นความเชื่อต่อกันว่า พระทิเบตผู้ซึ่งบรรลุธรรมขั้นสูงสุด เมื่อหมดลมหายใจ ร่างกายจะกลายเป็นสีรุ้ง สลายล่องลอยโดยไม่ต้องทำการฝังเหมือนศพทั่วไป

    5. ความลึกลับ แห่ง มหากาพย์ กษัตริย์ Gesar

    [​IMG]
    เรื่องราวชีวิตของ กษัตริย์ Gesar เป็นที่รู้จักกันดีในมหากาพย์ผู้กล้าแห่ง ทิเบต และเป็นมหากาพย์แห่งชีวิตหนึ่งเดียวในโลกที่ใช้การถ่ายทอดกันปากต่อปากจากเหล่าศิลปินพื้นบ้าน ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 100 ชีวิตที่อาศัยอยู่ใน ทิเบต มองโกเลีย และ จังหวัดชิงไห่ ทำหน้าที่สร้างเสียงเพลงเฉลิมฉลองความสำเร็จของ กษัตริย์ Gesar ผู้กล้าหาญแห่งทิเบต หากศิลปินคนใดสามารถบอกต่อตำนานได้มากกว่าหนึ่งเรื่องราวจะถือว่าคนนั้นเป็น ศิลปินแห่งพระเจ้า ซึ่งหมายถึงเขาได้รับแรงบันดาลใจโดยตรงจากคำของพระเจ้าและกษัตริย์ Gesar ในฝัน และจะขับขานเสียงเพลงออกมาแบบควบคุมตัวเองไม่ได้ ใน ทิเบต วัยรุ่นที่ไม่รู้หนังสือสามารถบอกเล่ามหากาพย์นี้ได้มากกว่าหนึ่งล้านคำ ถือเป็นเรื่องเหลือเชื่อ!

    6. ความลึกลับ แห่ง ราชอาณาจักร Shangshung

    [​IMG]

    ราชอาณาจักรชางชุงโบราณ ได้ก่อเกิดอารยธรรมเก่าแก่ที่สุดแห่งที่ราบสูง ทิเบต ไม่เพียงแต่มีภาษาชางชุง ภาษาอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่ยังเป็นจุดกำเนิดของศาสนาพุทธวัชรยาน (พุทธทิเบต) อีกด้วย ราชอาณาจักรชางชุงมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อวัฒนธรรมทั่วทิเบต อย่างไรก็ตาม การสาบสูญอย่างลึกลับได้ทิ้งปริศนาที่ยังหาคำตอบไม่ได้ไว้มากมาย

    7. ความลึกลับ แห่ง ราชอาณาจักร Guge

    [​IMG]

    ในช่วงกลางศตวรรษที่ 9 ราชอาณาจักร Tubo ได้ล่มสลาย ชนรุ่นหลังจึงร่วมกันก่อตั้ง ราชอาณาจักร Guge และสร้างสรรค์อารยธรรมอันงดงามภายใน 700 ปี ต่อมาในปี ค.ศ. 1630 Guge ถูกล้มล้างอำนาจโดยลาดัคห์ ตามบันทึกประวัติศาสตร์ มีการฆ่าและการปล้นสะดมอย่างหนักในช่วงสงคราม สุดท้ายร่องรอยอารยธรรม Guge ได้เลือนหายไปในพริบตา ไร้ซึ่งเบาะแส ปัจจุบันราชอาณาจักร Guge ได้หลงเหลือซากปรักหักพังของสถาปัตยกรรมสุดมหัศจรรย์ ภาพวาดโบราณ และ ดวงตาสีเงิน ความลึกลับแห่ง Guge (Guge Silver Eye) ให้เราได้สัมผัส

    8. ความลึกลับ แห่ง หมอทิเบต

    [​IMG]



    หมอทิเบต ในฐานะผู้บูชาศาสนาแต่แรกเริ่ม เชื่อกันว่าสามารถติดต่อกับพระเจ้าและสามารถพูดคุยกับวิญญาณได้ มีอภินิหารในการรักษาโรค นำวิญญาณที่ล่องลอยกลับสู่ร่าง เยียวยาความเจ็บป่วยของจิตวิญญาณมนุษย์ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในต่างประเทศ หมอทิเบต ทำหน้าที่หลากหลายในสังคม เป็นทั้งหมอดู หมอรักษาโรค หมอพิธีกรรม ผู้แนะนำด้านจิตวิญญาณ สรุปง่ายๆ คล้ายๆ หมอผี เครื่องแต่งกาย เครื่องประกอบพิธีกรรม เวทมนตร์คาถา แท่นบูชา การทำนายโชคชะตา ถือเป็นเอกลักษณ์อันเป็นที่จดจำของ หมอทิเบต

    9. ความลึกลับ แห่ง เมฆรูปธง บนยอดเขาเอเวอเรสต์

    [​IMG]



    ยามที่สภาพอากาศเป็นใจ เราสามารถมองเห็นเมฆรูปธงสีขาวบน ยอดเขาเอเวอเรสต์ ลมจากทิศตะวันตกจะพัดเมฆไปยังทิศตะวันออก เกิดเป็นเมฆรูปธงอยู่บนยอดเขา กระแสลมที่พัดผ่านภูเขานั้นสามารถสร้างเมฆได้ หรือแม้กระทั่งการพัดเป่าหิมะก็สามารถก่อตัวเป็นเมฆได้ บางครั้งเหมือนธงกำลังโบกสะบัดอยู่บนยอดเขา บางครั้งเหมือนคลื่นยักษ์ ท้ายสุดจะแปรสภาพเป็นเส้นควันทอดยาวสง่างาม การเปลี่ยนแปลงของ เมฆรูปธง สามารถบอกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของกระแสลม จึงทำให้ เมฆรูปธง บนยอดเขาเอเวอเรสต์ เป็นที่รู้จักกันในชื่อของ กังหันที่สูงที่สุดในโลก

    10. ความลึกลับ แห่ง หิมะสีแดง

    [​IMG]


    สภาพพื้นผิวของ เทือกเขาหิมาลัย เหนือระดับ 5,000 เมตร จะระยิบระยับด้วยจุดสีแดงเลือด ซึ่งมองไกลๆ ให้ความรู้สึกเหมือนหิมะสีแดง จุดสีแดงเหล่านี้เกิดจากสาหร่ายซึ่งมีสีแดง Chlamydomonas nivalis, Chlorococcum infusionum, และสาหร่ายชนิดอื่นๆ ซึ่งจะกระจายอยู่ทั่วไปบนภูเขา โดยสามารถต้านความหนาวได้และเติบโตดีที่สุดในอุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส เป็นที่มาของความลึกลับแห่ง หิมะสีแดง

    ที่มา : Tibet Tours and Travel Permit by Tibet Discovery เรียบเรียง travel.mthai.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 พฤศจิกายน 2012
  2. ดอกอ้อขาว

    ดอกอ้อขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +3,619
    แม่น้ำคริสตัล อัญมณีแห่ง สวิตเซอร์แลนด์
    แม่น้ำคริสตัล หรือ Verzasca River หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม แห่ง สวิตเซอร์แลนด์ ความอัศจรรย์อยู่ที่น่านน้ำสีเทอร์ควอยซ์ ใสจนสามารถมองเห็นก้นบึ้ง ซึ่งลึกถึง 50 ฟุต

    [​IMG]

    สายน้ำกลางหุบเขา Verzasca แม่น้ำคริสตัล มีระยะทางยาว 30 กิโลเมตร นับจากแหล่งต้นน้ำ Pizzo Barone ไหลล่องสู่ Lake Maggiore ประเทศอิตาลี นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมมาดำน้ำ และชื่นชมความงามของ แม่น้ำคริสตัล ผ่านผิวน้ำจากบนสะพาน แต่ ช่างภาพบางกลุ่มสวนทางวิถีเดิมๆ ด้วยการดำดิ่งลงไปเก็บภาพจากเบื้องล่าง ด้วยกล้องกันน้ำ เผยให้เห็นความงามอีกด้านหนึ่งซึ่งน้อยคนจะได้สัมผัส


    [​IMG]
    แม้ แม่น้ำคริสตัล จะสวยงามชวนดำดิ่ง แต่กลับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อาศัยอยู่ เพราะความใสมากนี้เกิดจากการมีสภาพเป็นกรดสูง จนสิ่งมีชีวิตไม่สามารถเจริญเติบโตได้ แม้ธรรมชาติที่อยู่ตรงหน้าจะงดงามเพียงใด แต่การอยู่โดดเดี่ยวใต้ แม่น้ำคริสตัล ก็ถือเป็นเรื่องน่าสะพรึงไม่น้อย
    [​IMG]

    [​IMG]



    แม่น้ำคริสตัล


    [​IMG]


    [​IMG]

    แม่น้ำคริสตัล

    [​IMG]

    [​IMG]





    แม่น้ำคริสตัล อัญมณีแห่ง สวิตเซอร์แลนด์

    ที่มา : Oddity Central - Weird Places, Odd Events, Bizarre News, Strange People and A Lot More / carto:net - cartographers on the net
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2012
  3. ดอกอ้อขาว

    ดอกอ้อขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +3,619
    10 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

    สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 10. Banaue Rice Terraces

    [​IMG]




    Banaue Rice Terraces จังหวัดอีฟูเกา ประเทศฟิลิปปินส์ คือ บันไดข้าวอายุกว่าพันปี ที่แกะสลักจากภูเขาทั้งลูก เพื่อใช้เป็นพื้นที่ปลูกข้าว สมัยก่อนนั้นการทำนาจะต้องใช้พื้นที่ราบ หากแต่พื้นที่ภูมิประเทศบริเวณนี้เต็มไปด้วยเขาสูงมีที่ราบน้อย ปริมาณน้ำและเนื้อที่ในการทำการเกษตรจึงเป็นปัญหา ด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน จึงได้คิดวิธีทำนาแบบขั้นบันไดขึ้นตามไหล่เขา โดยสกัดไหล่เขาให้เป็นชั้นๆ ลดหลั่นลงมาเป็นขั้นบันได เพื่อช่วยเพิ่มเนื้อที่ในการเพาะปลูก เป็นการรักษาหน้าดินไม่ให้ถูกชะล้างไป อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาเรื่องน้ำทั้งในแง่การชลประทานโดยการเก็บกักน้ำฝน และยังช่วยป้องกันน้ำท่วมอีกด้วย โดยนาข้าวที่บานาเวนั้นเป็นภูเขาสูงอยู่เหนือน้ำทะเล 5,000 ฟุต นาข้าวแต่ละแห่งมีเนื้อที่ 10,360 ตารางกิโลเมตร และในปี ค.ศ. 1985 องค์การยูเนสโกได้จัดสถานที่นี้เป็นมรดกโลก

    สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 9. Sigiriya

    [​IMG]


    Sigiriya เป็นเมืองใหญ่โบราณมหึมาของศรีลังกา สร้างขึ้นโดยพระเจ้ากัสสัปปะ ประมาณ ค.ศ. 470 โดยพระองค์ได้สร้างเมืองนี้ขึ้นเพื่อให้เป็นโลกศักดิ์สิทธ์ของพระองค์ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1,300,000 ตาราง เมตร มีถนน มีระบบชลประทาน และสถานที่เกี่ยวกับศาสนามากมาย หนึ่งในนั้นคือถ้ำที่พระองค์ทรงสร้างเพื่อมอบแก่พุทธสาวกให้เป็นสถานปฏิบัติธรรม แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุด คือ ที่ใจกลางเมือง มีภูผาหินขนาดยักษ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระราชวังกับป้อมปราการอันน่าเกรงขาม และทิวทัศน์ตระการตารอบด้าน ฐานของป้อมที่ก่อด้วยอิฐ มีอายุมากกว่า 1,500 ปี และถือเป็นหนึ่งในมรดกโลกของศรีลังกา

    สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 8. Torun


    [​IMG]
    เมือง ทอรูน เป็นเมืองทางตอนเหนือของประเทศโปแลนด์ ที่ยังคงสภาพเป็นเมืองเก่าสมัยกลาง และเป็นบ้านเกิดของ Nicolaus Copernicus นักดาราศาสตร์เจ้าของทฤษฏี “โลกเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล” โดยเมือง Torun มีอายุถึง 1,100 ปี ซึ่งเป็นที่ตั้งถิ่นฐานเก่าของโปแลนด์ ความโดดเด่นอยู่เป็นเมืองศูนย์กลางการค้าและรวมสถานที่เก่าแก่มากมาย ที่สำคัญคงสภาพเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยแต่อย่างใด

    สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 7. Tower of Hercules

    [​IMG]



    ประภาคารเฮอร์คิวลิส เป็นประภาคารและประตูสู่ ลา คอรุนญา เมืองท่าสำคัญ ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของสเปน สร้างขึ้นโดยชาวโรมันในศตวรรษที่ 2 ก่อน คริสตกาล ผู้อาศัยในนิคมนี้ได้สร้างตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ไว้ และในไม่ช้าเมืองนี้ก็กลายเป็นเขตสำคัญของการค้าทางทะเล ส่วนหอเฮอร์คิวลิส เป็นประภาคารที่เปิดทำการต่อเนื่องมาเป็นเวลาเกือบ 1,900 ปี ซึ่งในบริเวณเดียวกันมีสวนประติมากรรม หินแกะสลักจากเหล็ก และสุสานมุสลิม ในยุคที่อาณาจักรโรมันยังเรืองอำนาจ ถือเป็นลักษณะเฉพาะตัวที่แสดงถึงประภาคารโบราณสมัยกรีก-โรมัน ซึ่งยังคงความสมบูรณ์ของสถาปัตยกรรมไว้

    สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 6. Ajanta Caves


    [​IMG]

    ถ้ำอชันตา ได้ชื่อว่าเป็นวัดถ้ำในพุทธศาสนาที่งดงามและเก่าแก่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่กลางเทือกเขาสลับซับซ้อน ในบริเวณฝั่งตะวันตกของที่ราบสูงเดกกัน (Deccan Plateau) การสร้างนั้นใช้วิธีขุดเจาะเข้าไปในหินบาซอลต์ (แกรนิตแข็ง) ก้อนเดียวจนเป็นวิหารขนาดใหญ่ โดยใช้เพียงสิ่วและค้อนเท่านั้น ภายในเวลาทั้งสิ้น 800 ปี เริ่มเจาะตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 3 จนกลายเป็นถ้ำมากกว่า 30 ถ้ำ เรียงตัวกันยาวหลายร้อยเมตรบนเชิงเขาสูงวงโค้งรูปพระจันทร์เสี้ยว ภายในมีวิหารขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยงานแกะสลักหิน ทั้งเจดีย์ พระพุทธรูป และเรื่องราวต่างๆ ในพุทธประวัติและชาดก โดยไม่ผุพังตามกาลเวลาแม้แต่น้อย ถ้ำอชันตา สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่อยู่ของสงฆ์ ให้แยกตัวอย่างสันโดษ แต่ภายหลังเมื่อพระพุทธศาสนาเสื่อมถอย สถานที่แห่งนี้ก็เริ่มหมดความสำคัญลง ขาดการดูแล และถูกทิ้งร้างไปในที่สุด จนกระทั่งเลือนหายไปจากความทรงจำของชาวอินเดีย จนกระทั่งถูกค้นพบอีกครั้งโดยกองทหารอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1819

    สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 5. Valley of Flowers

    [​IMG]


    หุบเขาดอกไม้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่อยู่ในเทือกเขาหิมาลัย ใน รัฐ Uttaranchal ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย สวยงามเสมือนสวรรค์บนดินจนถูกนำมาบรรยายในวรรณคดีมาหลายศตวรรษ และปรากฏในศาสนาฮินดูมาช้านาน เพราะที่นั้นมีทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์เฮ็มกุน สถานที่ซึ่งพวกพราหมณ์ชอบนำน้ำจากทะเลสาบมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ทั้งยังได้รับความสนใจจากนักพฤษศาสตร์ เพราะเต็มไปด้วยพรรณไม้ ดอกไม้นานาพันธุ์ ด้วยความอุดมสมบูรณ์จึงถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก และอุทยานแห่งชาติในปี ค.ศ. 1982

    สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 4. Metéora

    [​IMG]

    เมทิโอร่า ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศกรีซ เป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวนิยมจำนวนมาก ด้วยความเป็นแปลกตรงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสร้างอยู่บนก้อนหินขนาดสูงใหญ่ โดยอดีตสถานที่แห่งนึ้ถูกใช้เป็นที่พํานักของนักบวชคริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์ ผู้สร้างอารามไว้บนยอดเขา จากความเชื่อที่ว่าจะได้อยู่ใกล้ชิดกับสวรรค์และเป็นการง่ายต่อการป้องกันศาสนาอื่นมารุกรานอีกด้วย ด้วยความโดดเด่นของการสร้างสรรค์ของศิลปะแบบไบแซนไทน์ เมทิโอร่า จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จากยูเนสโกใน ปี ค.ศ. 1988

    สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 3. Bagan
    [​IMG]


    พุกาม เมืองสำคัญแห่งพม่า เคยเป็นที่ตั้งอาณาจักรโบราณพุกามซึ่งเป็นอาณาจักรแห่งแรกในประวัติศาสตร์พม่า ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตมัณฑะเลย์ ดินแดน พุกาม แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ เขตเมืองเก่า (เขตที่ตั้งอาณาจักรพุกาม) เขตเมืองใหม่ (เขตที่อยู่อาศัยปัจจุบัน) และยองอู (เขตพาณิชยกรรมและเศรษฐกิจ) มีสนามบินชื่อ สนามบินยองอู เป็นสนามบินประจำเมือง รายได้หลักของเมืองคือ การท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ทุกปีจะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกมาเยือนที่นี่เสมอ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากแถบเอเชียด้วยกัน เนื่องจากพุกามได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งทะเลเจดีย์ที่สวยงามและมีคุณค่า หรือ ดินแดนแห่งเจดีย์สี่พันองค์ เพราะในสมัยรุ่งเรืองเคยมีเจดีย์มากมายถึง 4,446 องค์ แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 2,217 องค์

    สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 2. Leptis Magna


    [​IMG]

    เมืองเลปติส เมกนา ตั้งอยู่ทางตะวันออกของกรุงทริโปลี ประเทศลิเบีย ถูกขนามนามว่าเป็น อาณาจักรโรมันที่มีชื่อเสียงและงดงามมากที่สุดในแอฟริกา ซึ่งปัจจุบันยังคงสภาพสวยงามรุ่งโรจน์ เพราะอาณาจักรถูกสร้างด้วยหินปูน จึงทนต่อการเกิดแผ่นดินไหวนับครั้งไม่ถ้วน นอกจากความงดงามแล้ว จุดเด่นยังอยู่ที่ผังเมืองซึ่งถูกจัดวางอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นถนน อาคารต่างๆ แสดงให้เห็นถึงความเจริญของ อาณาจักร เลปติส เมกนา ในช่วง ปี 111 ก่อนคริสต์กาล จนถึงช่วงที่รุ่งเรืองที่สุด ปี ค.ศ. 211 โดยกษัตริย์ Septimus Severus ต่อมาอาณาจักรเริ่มเสื่อมสลายลงในช่วงศตวรรษที่ 4 จนกระทั่งถูกค้นพบอีกครั้งโดยนักโบราณคดีชาวยุโรป และยังคงสภาพสมบูรณ์ไว้อย่างชัดเจน ยูเนสโกจึงประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1982

    สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 1.The Library of Celsus

    [​IMG]


    ห้องสมุดเซลซุส ตั้งอยู่ที่เมืองเอเฟซุส ประเทศตุรกี เมืองเอเฟซุสเป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยปลายยุคโลหะ ในราวศตวรรษที่ 7 ก่อน คริสตกาล ภายใต้การปกครองของอาณาจักรลิเดีย ถือเป็นเมืองที่รุ่งเรืองและมั่งคั่งที่สุดในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และรุ่งเรืองถึงขีดสุดอีกครั้งภายใต้การปกครองของโรมัน เป็นเมืองใหญ่ที่สุด 1 ใน 5 ของจักรวรรดิโรมัน และใหญ่ที่สุดในเขตเอเชีย ห้องสมุดเซสซุส ก็เป็นหนึ่งในโบราณสถานที่หลงเหลืออยู่ในอาณาจักรแห่งนี้ แต่ปัจจุบันเหลือเฉพาะด้านหน้าของอาคารเท่านั้น ห้องสมุดเซลซุส เป็นอาคาร 2 ชั้น สร้างในปี ค.ศ. 114-117 โดย ดิเบริอุส จูลิอุส อาควิลา เพื่ออุทิศให้กับ ดิเบริอุส จูลิอุส เซลซุส ผู้เป็นบิดา โดยฝังโลงศพหินเอาไว้ที่ใต้หอสมุดและใช้เป็นแหล่งรวบรวมความรู้ แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ในอดีต ห้องสมุดแห่งนี้มีทางเข้า 3 ทาง ตรงประตูทางเข้ามีรูปแกะสลักเทพี 4 องค์ประดับอยู่ ได้แก่ เทพีแห่งปัญญา เทพีแห่งคุณธรรม เทพีแห่งความเฉลียวฉลาด และเทพีแห่งความรู้ รูปแกะสลักเหล่านี้เป็นองค์จำลอง องค์จริงนั้นนักโบราณคดีชาวออสเตรียได้นำกลับไปออสเตรีย และตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กรุงเวียนนา

    ข้อมูล www.siamrecorder.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2012
  4. ดอกอ้อขาว

    ดอกอ้อขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +3,619
    บนโลกของเรายังมีสถานที่ที่น่าพิศวงอีกมากมายที่น่าท่องเที่ยว น่าค้นหา
    และนี้คือ หลายๆ สถานที่ ที่มหัศจรรย์ที่ไม่น่าเชื่อว่ามีอยู่จริงบนโลกใบนี้



    1. Eisriesenwelt Ice Caves (Austria)
    [​IMG]


    ...
    ถ้ำน้ำแข็งไอส์รีเซนเวลต์ (Eisriesenwelt Ice Caves)
    ในภาษาเยอรมันหมายถึง “โลกแห่งน้ำแข็งยักษ์”
    เป็นถ้ำน้ำแข็ง หินปูน ธรรมชาติขนาดใหญ่ของประเทศออสเตรีย
    (เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอลป์) ตั้งอยู่ใกล้เคียงกับเมืองซาล์สเบิร์ก
    เป็นถ้ำน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดโลกเท่าที่มนุษย์ค้นพบในปัจจุบัน

    โดยถ้ำแห่งนี้ค้นพบครั้งแรกในปี 1879 ที่สมัยนั้นคนในท้องถิ่น
    รู้จักมันในฐานะทางเข้าสู่นรกและไม่กล้าที่จะเข้าไปข้างใน
    ลักษณะข้างในถ้ำเป็นเหมือนภูเขาที่อยู่ในถ้ำและจะมีน้ำแข็งเกาะ
    หินงอก เต็มไปหมด เสมือนกับว่าคุณอยู่ในโลกต่างมิติยังไงอย่างงั้น
    จนไม่เชื่อว่านี้คือฝีมือของธรรมชาติ ถ้ำแห่งนี้มีความลึกถึง 42 กิโลเมตร
    (แต่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมแค่กิโลเมตรแรก)

    โดยถ้ำนี้เปิดให้นักท่องเที่ยวชมตั้งแต่ 1 พฤษภาคมถึงเดือนตุลาคมของทุกปี
    โดยเปิด 9.00 น.-16.30 น. ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป
    แต่กระนั้นก็มีนักท่องเที่ยวกว่า 200,000 คนต่อปีมายังสถานที่แห่งนี้


    2. The Richat Structure (Mauritania)

    [​IMG]
    ...
    ริแชทแห่งมอริเตเนีย (เป็นประเทศในแอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือ)
    เป็นภูมิประเทศประหลาดในทะเลทรายซาทาร่าของมอริทาเนีย
    ได้รับความสนใจจากทั่วโลก เนื่องจากมีลักษณะดินที่แปลกตางดงาม
    ที่เรียกโครงสร้างนี้ว่า “Richat Structure”
    เป็นวงกลมขนาดใหญ่รัศมีของมันกว้างถึง 50 กิโลเมตร
    สามารถมองเห็นทั้งหมดได้จากทางอวกาศ (รวมไปถึงภาพถ่ายดาวเทียม)
    ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดโครงสร้างแบบนี้ยังคงลึกลับ
    บ้างก็ว่าเกิดจากผลกระทบของอุกาบาตพุ่งชนจนเกิดเป็นคลื่นที่มีรัศมีกว้าง
    หรืออาจเกิดจากการยกตัวและการกัดกร่อนของหิน


    3. The Stone Forest (China)

    [​IMG]
    ...
    อุทยานป่าหิน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในมณฑลยูนาน
    บริเวณทางตอนใต้ห่างจากเมืองคุนหมิง ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน
    และถูกบันทึกว่าเป็นป่าหินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
    คือพื้นที่ 350 ตารางกิโลเมตร (พื้นที่เฉพาะส่วนที่เยี่ยมชมราว 12 ตารางกิโลเมตร)

    ซึ่งพื้นที่แห่งนี้ป่าหินนี้เต็มไปด้วยหินปูนและต้นไม้
    ที่กลายเป็นหินซึ่งลักษณะสวยงามแปลกตามากมายอายุราว 270 ล้านปี
    มีถ้ำ มีน้ำตก มีจุดท่องเที่ยวกว่า 200 จุด แต่เดิมบริเวณแห่งนี้อยู่ใต้ผิวน้ำ

    และเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของผิวโลกหินเหล่านี้จึงถูกดันให้โผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำ
    กลายเป็นภูมิทัศน์ที่งดงามโดดเด่น ซึ่งป่าหินคุนหมิง
    นับเป็นพิพิธภัณฑ์ของป่าหินทั่วโลก ซึ่งมีคุณค่ามาก



    4. Blood Pond Hot Spring (Japan)
    [​IMG]

    ...
    น้ำพุร้อนสีเลือด เป็นหนึ่งในบ่อน้ำพุร้อนชื่อดังของเมืองเบปปุ
    ในจังหวัดโออิตะ บนเกาะคิวชู ที่เอาไว้ชมความงามมากกว่าจะใช้อาบ

    โดยสถานที่แห่งนั้นเรียกอีกชื่อว่า “นรกบ่อเลือด”
    สาเหตุที่น้ำพุมีสีเลือดเนื่องจากมีธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณมากนั่นเอง


    5. Vale da Lua (Brazil)
    [​IMG]

    ...
    หุบเขาโลกพระจันทร์ เป็นที่ราบสูงโบราณที่มีอายุเก่าแก่กว่า 1.8 พันล้านปี
    อยู่ห่างจากเมือง Alto Paraíso de Goiás ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
    ของประเทศบราซิลไปประมาณ 38 กิโลเมตร

    และเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ Chapada dos Veadeiros
    โดยพื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยหินรูปร่างประหลาดแปลกตามากมาย
    ทำให้ดูเหมือนผิวพื้นดวงจันทร์อย่างใดอย่างงั้น

    ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องมาจากการกัดเซาะของแม่น้ำ San Miguel
    แทรกอยู่ภายใน ซึ่งองค์การยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 2001
    และเป็นหนึ่งในสถานที่ที่นักท่องเที่ยวอยากมาชมมากที่สุดในชีวิต



    6. Salar de Uyuni (Bolivia)
    [​IMG]

    ...
    เป็นทะเลเกลือที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีพื้นที่ถึง 10,582 กิโลเมตร
    ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของโบลิเวีย ใกล้ยอดของเทือกเขาแอนดีส
    และมีความสูง 3,656 เมตร (11,995 ฟุต) หรือระดับน้ำทะเลเฉลี่ย
    เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยคราบเกลือที่หลงเหลือมานานตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์

    ทำให้พื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วย หินเกลือและยิปซัม และแร่ลิเธียม
    (มีมากกว่า 70% ของปริมาณแร่ลิเธียมของทั้งโลกที่ยังไม่ได้สกัด)
    มีการประมาณว่ามันบรรจุไว้ด้วยเกลือกว่า 10 ล้านล้านตัน
    มีเกลือมากจนกระทั้งกลายเป็นชั้นดินที่สามารถทำให้คนหรือรถ
    เดินทางลงได้อย่างสบาย นอกจากทัศนียภาพที่แปลกตาจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวแล้ว
    มันยังใช้ประโยชน์มากมาย หนึ่งในนั้นคือมันเหมาะมากในการถูกนำไปใช้ประโยชน์
    ในการตรวจสอบ และปรับแก้การวัดค่าความสูงของดาวเทียม
    เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้กว้างใหญ่ พื้นผิวราบเรียบเป็นพิเศษ
    อีกทั้งท้องฟ้าที่ค่อนข้างเปิด ความชื้นต่ำ นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่สำคัญ
    ทางเศรษฐกิจของโบลิเวียเพราะแร่ลิเธียม (ใช้ทำแบตเตอรี่ไฟฟ้า) เหมือนแร่
    และยังเป็นแหล่งของพืชและสัตว์แปลกๆ มากมาย
    (ภาพใหญ่ข้างบนปรากฏการสะท้อนแสง)



    7. Kliluk, the Spotted Lake (Canada)

    [​IMG]
    ...

    “สปอท เลค” เป็นทะเลสาบเกลือที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ
    ของโอซอยออส ข้างทางหลวงหมายเลข 3 บริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา

    เป็นทะเลสาบที่มีแร่ธาตุชนิดต่างๆ เข้มข้นอยู่จำนวนมาก
    และบางชนิดก็มีปริมาณมากที่สุดในโลกด้วย ไม่ว่าจะเป็น ซัลเฟต
    แมกนีเซียม แคลเซียม และโซเดียม ซัลเฟต (มากที่สุดในโลก)
    รวมไปถึงเงินและไทเทเนียม ในฤดูร้อนแร่ต่างๆ จะเกิดการระเหย
    และตกผลึกเป็นเกลือส่งผลทำให้แม่นำเกิดจุด
    คือด้านนอกเป็นส่วนของแร่ธาตุนานาชนิด (ที่สามารถลงไปเดินสำรวจได้)
    ส่วนในวงกลมเป็นน้ำที่มีสีที่แล้วแต่แร่ธาตุชนิดนั้น
    สมัยก่อนแร่ธาตุจากที่แห่งนี้เคยถูกนำไปใช้ประโยชน์ในการทำกระสุน
    ในสมัยสงครามโลก และปัจจุบันสถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ของเอกชน
    ทำให้เปิดให้คนนอกเข้าชมความมหัศจรรย์ของทะเลสาบแห่งนี้จำนวนจำกัด
    โดยวิธีที่ดีที่สุดคือนักท่องเที่ยวจึงทำได้แค่หยุดรถแล้วมองจากราวรั้วกั้นริมถนนเท่านั้น


    8. Socotra Island (Indian Ocean)
    [​IMG]



    ...
    ไม่น่าเชื่อว่านี้คือเกาะบนโลกมนุษย์
    เพราะว่ามันช่างเหมือนบนดาวเคราะห์ที่มีแต่สิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดจริงๆ
    เกาะโซโคตร้า เป็นหมู่เกาะเล็กๆ ภายใต้เยเมน
    ที่ปลายติ่งแหลมของทวีปแอฟริกา อยู่ในมหาสมุทรอินเดีย
    ห่างจากประเทศโซมาเลีย 250 กิโลเมตร

    เป็นเกาะใหญ่ที่สุดในจำนวน 4 เกาะสังกัดหมู่เกาะ
    และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปเมื่อ กรกฏาคม 2008
    สภาพภูมิอากาศที่ร้อนอบอ้าว และแห้งแล้ง ลักษณะภูมิประเทศ
    ที่เป็นภูเขาอันแปลกตาแปลกใจ พื้นที่ที่เต็มไปด้วยสีฟ้าและเขียวจากธรรมชาติ
    แต่สิ่งที่แปลกที่สุดคือมันเป็นสถานที่รวมแห่งพืชพรรณแปลกประหลาดหลายชนิด
    ต้นไม้รูปทรงแปลก ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่รอดได้อายุกว่า 20 ล้านปี
    การแยกโดดเดี่ยวทำให้เกาะโซโคตร้า มีกลุ่มพืชและสัตว์ “หนึ่งไม่มีสอง”
    ในโลก 37% ในจำนวนพืช 825 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 90%
    และสัตว์น้ำมีเปลือกชนิดต่างๆ 95% ที่ไม่สามารถพบเห็น
    ไม่ว่าสถานที่อื่นใดโลก เช่น ต้น "กุหลาบแห่งทะเลทราย (Desert Rose)"
    ต้น dragon’s blood (เลือดมังกร) ที่ว่ากันว่ามีสรรพคุณรักษาได้สารพัดโรค
    จึงไม่มีอะไรน่าแปลกใจที่เกาะแห่งนี้จะถูกขนามนามว่า
    “กาลาปาโกสของมหาสมุทรอินเดีย”


    9. Mcmurdo Dry Valleys (Antartica)
    [​IMG]

    .


    ...
    แมคเมอร์โด ไดร์ วัลเลย์ หรือหุบเขาแห้งแล้ง
    เป็นทะเลทรายแห้งแล้งขนาดพื้นที่กว่า 4800 กิโลเมตร
    ที่ตั้งอยู่ในเอนตาร์กติกา แถบขั้วโลกใต้
    โดยพื้นที่แห่งนี้เป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งมากๆ ไม่มีความชื้น

    เป็นสถานที่แห่งเดียวที่ไม่หิมะ ไม่มีน้ำแข็งปกคลุม
    ชั้นหินปกคลุมไปด้วยก้อนกรวด ที่เต็มไปด้วยออกไซด์ของเหล็ก
    ซึ่งก็คือ “สนิม” นั่นเอง ทำให้เกิดน้ำตกที่มีสีเหมือนเลือดขึ้น

    จนไม่มีสิ่งมีชีวิตใดทั้งสิ้นอยู่ในบริเวณนี้ แต่กระนั้นทัศนียภาพในสถานที่แห่งนี้
    ช่างน่าสนใจเหลือเกิน เสมือนว่าอยู่ดาวอังคาร (ทำให้นักวิทยาศาสตร์ต่างพยายาม
    ศึกษาบริเวณนี้ หากมีสิ่งมีชีวิตอยู่ แสดงว่าดาวอังคารน่าจะมีอยู่ด้วย
    โดยสิ่งที่เจอก็มีเพียงแบคทีเรียบางชนิด) นอกจากนี้ยังมีสถานที่น่าสนใจอีกมากมาย
    เช่น Lake Vida และ Onyx River ซึ่งเป็นแม่น้ำสยยาวของแอนตาร์กติกา



    10. The Door To Hell
    "The Door to Hell" - YouTube



    ...
    ประตูสู่นรก(Door to Hell) หลุมที่เต็มไปด้วยลาวาที่ไม่เคยดับ
    มาตลอด 35 ปี และไม่สามารถคาดเดาได้ว่ามันจะดับลงเมื่อไหร่
    อีกทั้งไม่มีใครกล้าลงไปสำรวจ สถานที่นี้ตั้งอยู่ที่เมืองหนึ่งของ Darvaz
    ในประเทศอุซเบกิสถาน

    ใครอยากเห็นมากกว่านั้นไป Google Earth ที่ 40°15′8″N 58°26′23″E


    11. Mount Roraima

    [​IMG]
    ...
    รัฐโรไรมา เป็นรัฐเหนือสุดและเป็นรัฐที่มีประชากรน้อยที่สุดในประเทศบราซิล
    ตั้งอยู่ในเขตลุ่มแม่น้ำอเมซอน อยู่ติดกับรัฐอามาโซนัสและรัฐปารา
    และยังติดกับประเทศเวเนซุเอลาและกายอานา
    โรไรนาเป็นสถานที่สวยงามโดดเด่น โดยเฉพาะจุดเด่นคือภูเขาเโรไรม่า?
    ภูเขาที่เหมือนก้อนหินมหึมาที่สูงจนถึงก้อนเมฆ สูงกว่า 400 เมตร สูงชันทั้ง 4 ด้าน
    และติดกับสามชายแดนคือเวเนซูเอลา,

    ขอบคุณhttp://www.unigang.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2012
  5. ดอกอ้อขาว

    ดอกอ้อขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +3,619
    เรื่องลึกลับในธิเบต

    [​IMG]

    ....ว่ากันว่า ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ฮิตเลอร์ได้ส่งทหารแห่งอาณาจักรไรซ์
    ของเขา ออกค้นหาอาณาจักรใต้พิภพ ซึ่งเชื่อกันว่า มีทางเข้าอยู่บริเวณใดบริเวณหนึ่งในโลกนี้ ความเชื่อของฮิตเลอร์และบริวารก็คือ ในใต้โลกมีอาณาจักรใต้พิภพที่มีอารยธรรมสูงส่งซุกซ่อนอยู่ หรือถ้าไม่มี อย่างน้อยเศษซากของวิทยาการเหล่านั้น ก็สามารถช่วยให้นาซี มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีขึ้นอีกโข ว่ากันว่านครนั้นคือ อาร์กัตต้า หรือ จัมบาร่า ซึ่งมีเล่าขานกันในตำนานโบราณครับ...

    ในปี พ.ศ. 2447 สตีชาวฝรั่งเศสชื่อ อเล็กซานดรา ดาวิด-นีล ได้เขียนหนังสือและเล่าเรื่องของดินแดนมหัศจรรย์ ซึ่งเธอเคยไปสัมผัสความพิศวงของดินแดนนั้นมาแล้ว เธอกล่าวว่าดินแดนนี้อยู่ไกลแสนไกล มีความสวยงาม ทุกสิ่งทุกอย่างบนดินแดนนี้เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ เธออ้างเอาไว้ในบันทึกส่วนตัวว่า ที่นั่น มีผู้วิเศษที่สามารถลอยตัวอยู่บนอากาศ และสามารถพุ่งไปข้างหน้าได้ด้วยความรวดเร็ว

    ผู้วิเศษที่เธอพบ ปัจจุบันเราทราบกันในนามของภิกษุในพุทธศาสนา คือบรรดาลามะแห่งธิเบตนั่นเองครับ



    สำหรับบางท่านที่ไม่ทราบจริงๆว่าลามะคืออะไร ผมจะขออธิบายอย่างคร่าวๆก็แล้วกันนะครับว่า องค์ลามะทั้งหลาย เป็นพระสงฆ์ในพระบวรพุทธศาสนา แต่เป็นคนละนิกายกับพุทธศาสนาในบ้านเรา โดยลามะจะสังกัดนิกายมหายาน ซึ่งมีการศึกษาทั้งทางธรรมและไสบศาสตร์ร่วมกันไป มีการสวดมนตร์ขับไล่ภูตผี และมีการฝึกจิตบำเพ็ญตบะ เพื่อให้ตนเองมีความแข็งแกร่ง ทำนองเดียวกับที่เราเห็นในหนังกำลังภายในเด๊ะเลยครับ โดยการฝึกลุง กอง ของธิเบต จะช่วยทำให้ลามะมีวิชาตัวเบาสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ เหมือนกันกับจอมยุทธทั้งหลายที่มีวิชาตัวเบา

    มีเสียงร่ำลือเกี่ยวกับตำนาน ที่เล่าขานกันมาในหมู่ลามะว่า ใต้พื้นโลกมีสวรรค์นามว่า อคารถ อยู่ อคารถเป็นนครใหญ่ มีเจ้าปกครองเหมือนกับนครอื่นๆทั่วไป จากอคารถก็จะมีอุโมงค์ใหญ่ เชื่อมไปยังนครต่างๆที่อยู่ใต้พิภพเช่นกัน ซึ่งนักประวัติศาสตร์คาดว่า ดินแดนแห่งนี้เองแหละครับ ที่แชปลิน..เอ๊ย ฮิตเลอร์ ได้ตามหาอยู่ ซึ่งจริงๆแล้วปัจจุบันเราก็ยังไม่ได้รายละเอียดอะไรเกี่ยวกับนครนี้มากนัก ได้แต่คาดเดากันไปว่า มันอาจจะเป็นดินแดนที่มนุษย์ต่างดาวลงมาหลบซ่อนอยู่ หรืออาจเป็นที่อยู่ของลูกหลานชาวแอตแลนติส ที่หลงเหลือ และรักษาความรู้ทางวิทยาการของพวกเขาเอาไว้เหมือนในอดีตที่ผ่านมา

    ธิเบตจัดเป็นดินแดนที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล และเราก็ได้ยินฉายาของดินแดนนี้บ่อยๆว่า เป็นดินแดนที่เป็นหลังคาโลก แม้ว่าภูมิอากาศจะแห้งแล้งกันดาร และติดต่อกับดินแดนอื่นๆได้ยาก แต่ทราบกันไหมครับว่า ธิเบตนี่แหละ อุดมสมบูรณ์นักแลในเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติ

    ดาไลลามะนักวันโลสัง ซึ่งเป็นดาไลลามะองค์ที่ 5 ของธิเบต ได้สร้างพระราชวังโปตาลาชั้นนอกเรียกว่า พระราชวังขาวชั้นในเรียกพระราชวังแดง พระราชวังแห่งนี้อยู่สูงจากพื้นดินถึง 110 เมตร และเคยจัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกชิ้นหนึ่ง ที่เกี่ยวพันกับความศัทรธาของมนุษย์เลยทีเดียว

    ดาไลลามะนักวันโลสัง ได้ประกาศคำสอนที่กลายเป็นตำนานที่ต้องประพฤติสืบต่อกันมา คือ องค์ดาไลลามะคืออวตารของพระโพธิสัตว์ ที่เสด็จลงมาคุ้มครองชาวธิเบต ดังนั้น เมื่อใดที่องค์ดาไลลามะสิ้นชีวิตลง ดวงวิญญาณจะเสด็จออกไปจากร่างเก่าเพื่อสถิตย์ในร่างใหม่ เพื่อที่จะเสด็จกลับมาเป็นองค์ดาไลลามะอีกครั้งหนึ่ง จึงทำให้เกิดประเพณีในการค้นหาองค์ดาไลลามะขึ้น (คิดว่าคนที่ดูหนังเรื่อง Little Buddha คงพอจะนึกออกบ้างนะครับ) ซึ่งก็เป็นอันว่า ทารกที่เกิดในช่วงที่องค์ดาไลลามะองค์เดิมเสียชีวิตนั้น มีสิทธิเข้าร่วมในพิธีกรรมคัดเลือกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ยากดีหรือมีจน เรียกว่าเป็นไปได้หมดครับท่าน

    วิธีการเลือกก็คือ ถ้าใครเลือกเครื่องใช้ขององค์ดาไลลามะได้ถูก ก็ถือว่าคือวิญญาณของพระองค์กลับชาติมาเกิด ถ้ามีคนถูกหลายคนก็จะใช้วิธีอื่นที่สลับซับซ้อนขึ้นไป เพื่อพิสูจน์หาวิญญาณของอค์ดาไลลามะตัวจริง ซึ่งวิธีนี้มีแต่นักบวชชั้นสูงของธิเบตเท่านั้นครับ ที่จะรู้จัก

    ขอบคุณ::: alien-ufo-thailand :::
     
  6. ดอกอ้อขาว

    ดอกอ้อขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +3,619
    [​IMG]

    ...พระธาตุอินทร์แขวน นั้นตั้งอยู่ที่เมืองไจ้ก์โถ่ เขตสะเทิม ในรัฐมอญของพม่า ตั้งอยู่บนยอดเขา เหนือระดับน้ำทะเลถึง 3,615 ฟุต ลักษณะเด่นของพระธาตุอินทร์แขวนคือ มีลักษณะเป็นก้อนหินสีทองขนาดใหญ่ ตั้งอยู่เหมือนจะหล่นบนหน้าผาสูงชันอย่างหมิ่นเหม่ และท้าทายแรงดึงดูดของโลกโดยไม่ตกลงมาอย่างเหลือเชื่อ พระธาตุอินทร์แขวนนับเป็น 1ใน 5 มหาบูชาสถาน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวมอญ / พม่าต้องไปสักการะ และชาวไทยเองก็ให้ความสนใจไม่น้อย โดยตามตำนานของล้านนาเชื่อว่าเป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีจอ

    ที่มานั้น มีเรื่องเล่าอยู่ สองตำนาน เรื่องแรกเล่าไว้ว่า มีฤๅษีองค์หนึ่งซ่อนพระเกศาที่ได้รับมาจากพระพุทธเจ้าเมื่อครั้นมาโปรดสัตว์ในถ้ำไว้ในมวยผมมาเป็นเวลานาน เมื่อใกล้ถึงวาระที่จะต้องละสังขารจึงตัดสินใจมอบพระเกศาให้กับพระเจ้าติสสะ กษัตริย์ผู้ครองนครแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบุตรของลูกศิษย์ที่นำมาฝากให้ฤๅษีช่วยเลี้ยงดูตั้งแต่เล็ก แต่ก่อนอื่นพระเจ้าติสสะต้องหาก้อนหินที่มีลักษณะคล้ายศีรษะของฤๅษี โดยมีพระอินทร์เป็นผู้ช่วยค้นหาจากใต้สมุทรนำมาวางไว้ที่หน้าผา

    ส่วนตำนานที่สองนั้น เล่าว่า ฤาษีผู้หนึ่งได้รับพระเกศาจากพระพุทธเจ้าที่มอบให้ไว้เป็นตัวแทนพระพุทธองค์ให้ประชาชนสักการะ เมื่อครั้นได้มาแสดงธรรมเทศนา ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ ผู้ที่ได้รับมอบพระเกศาต่างก็นำไปบรรจุในสถูปเจดีย์ แต่ว่าฤๅษี กลับนำไปซ่อนไว้ในมวยผม พอเวลาล่วงเลยถึงคราวที่ฤๅษีจะต้องละสังขาร ได้มีความตั้งใจจะนำพระเกศาไปบรรจุไว้ในก้อนหินที่มีรูปร่างคล้ายกับศีรษะของตน จึงให้พระอินทร์ช่วยหาก้อนหินที่มีลักษณะเหมือนกับศีรษะ ซึ่งได้มาจากใต้ท้องมหาสมุทร และก็ให้พระอินทร์นำมาวางหรือแขวนไว้บนภูเขาหิน จึงเป็นที่มาของชื่อ “พระธาตุอินทร์แขวน” แต่ชาวพม่าและชาวมอญจะเรียกพระธาตุอินทร์แขวนว่า “ไจก์ทิโย” ซึ่งเป็นภาษามอญ หมายถึง เจดีย์บนหินที่มีรูปร่างคล้ายศีรษะฤๅษี นั่นเอง
    อีกประการสำคัญ และยังเป็นปริศนาอยู่ว่าหินก้อนใหญ่น้ำหนักมหาศาลที่ประดิษฐานพระเกศาของพระพุทธเจ้านี้สามารถทรงตัวอยู่ได้อย่างไรบนหน้าผาอย่างหมิ่นเหม่นี้ ภายใต้แรงโน้มถ่วงของโลกโดยไม่หล่นลงมา คล้ายกับว่าลอยตัวอยู่ หรือมีผู้แขวนเอาไว้ให้ลอยอยู่เชิงหน้าผาดังกล่าว ด้วยความอัศจรรย์ยิ่ง

    เนื่องจาก “พระธาตุอินทร์แขวน” อยู่บนเขาสูงที่ต้องตั้งใจมาจริงๆ นอกจากได้มากราบสักการะด้วยความศรัทธาแล้ว ยังได้รับบรรยากาศสดชื่น ที่น่าประทับใจไปอีกแบบ หากอากาศหนาว จะได้สัมผัสกับอากาศสบาย และทะเลหมอก ข้างบนนี้

    มีผู้เล่าว่าในชีวิตหนึ่งหากได้มาสักการะ “พระธาตุอินทร์แขวน” ครบ 3 ครั้งแล้วจะรุ่งเรืองประสบแต่ความสำเร็จ ผมเลยถือโอกาสเมื่อมาถึงในตอนบ่ายแก่ เดินจากที่พักขึ้นภูเขาไปสักการะ หนึ่งรอบ ระหว่างทางแวะไหว้ศาลและเทพต่างๆ พบนักบวช ฤาษี พอสมควร, ตอนกลางคืน เดินจากที่พักขึ้นภูเขาไปสักการะ เป็นรอบที่สอง พร้อมนั่งสมาธิอยู่พักใหญ่ ภายใต้อากาศที่หนาวเย็น พร้อมกับผู้ที่มาปฏิบัติธรรม สวดมนต์อยู่บนยอดเขาเป็นจำนวนมาก, ส่วนตอนเช้าเดินจากที่พักขึ้นภูเขาไปสักการะ เป็นรอบที่สาม แถมได้ชมพระอาทิตย์รับอรุณผ่านทะเลหมอกอันงดงาม … ถือว่าครบถ้วนแล้ว 3 ครั้งครับ



    ขอบคุณข้อมูลจากสักการะพระธาตุอินทร์แขวน สิ่งมหัศจรรย์สถานที่ประดิษฐานพระเกศาของพระพุทธเจ้า -
     
  7. ดอกอ้อขาว

    ดอกอ้อขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +3,619
    เรื่องลึกลับบันลือโลก

    หนอนหนังสือตัวจริงต้องรู้จักชื่ออัลเบิร์ตแจ็ค(ไม่เห็นรู้จัก) นักเขียนที่มีผลงานเล่มแรกก็ดังระเบิดเป็นพลุ หนังสือขายดีเป็นเทน้ำเทท่า หนังสือเล่มดังกล่าวชื่อว่า เรดเฮอร์ริง แอนด์ ไวท์ อีเลเฟ่น (ปลาเฮอร์ริงแดงกับช้างเผือก) เป็นเรื่องราวสืบหาต้นกำเนิดของสำนวนภาษาอังกฤษที่พุดกันเป็นประจำ ล่าสุดเขาใช้ทักษะการสืบสวนไขปริศนาเรื่องราวลึกลับที่รู้จักกันทั่วโลกรวบรวมเป็นผลงานเล่มใหม่ชื่อ Albert Jack's Ten Minuit Mysteries

    1.ผีย้ายโลง
    ประเดิมเรื่องแรกเป็นเรื่องลึกลับเกี่ยวกับบศพคนในตระกูลเชสที่เก็บอยู่ในห้องเก็บศพใต้ดินของโบสถ์คริสต์ที่ตั้งอยู่บนเกาะบาร์บาดอสฝั่งตะวันออกของทะเลแคริบเบียน เรื่องแปลกก็คือ ทุกครั้งที่เปิดห้องเก็บศพออกมาเพื่อนำศพของคนตระกูลเชสไปเก็บต้องพบว่าบศพถูกสลับที่สลับทาง ทั้งที่ห้องล็อกแน่นหนา และบศพหนักอึ้งขนาดต้องใช้ผู้ชายแข็งแรงแปดคนจึงจะย้ายบได้ บางครั้งมีคนได้ยินเสียงครางดังออกมาจากห้องตอนค่ำคืน
    มีหลายทฤษฎีถูกนำมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นเช่น น้ำท่วม (โบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่ริมฝั่ง และเคยถูกพายุทำลายเสียหายหลายครั้ง) บ้างอธิบายว่าเป็นเพราะสนามแม่เหล็ก โจรเข้ามาลักทรัพย์ ผีดิบ และแผ่นดินไหว

    2.ปัวโรต์ยังปวดขมับ (10 วันที่อกาธาคริสตี้หายไป)

    ปีพ.ศ.2569 อกาธาคริสตี้ นักเขียนนิยายสืบสวนมือพระกาฬของโลกเกิดหายตัวไปอย่างลึกลับชนิดที่ถ้านักสืบปัวโรต์ตัวเอกในนิยายนักสืบของเธอมีจริง ยังต้องมึนตึ้บไปกับการหายตัวอย่างไรร่องรอยของนักเขียนดังท่านนี้ ตำรวจพบรถของคริสตี้ฝังซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ ไฟหน้าแตก เบาะหลังมีกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบ แต่ไร้ร่องรอยของนักเขียนเรืองนาม หลังจากหาตัวกันจ้าละหวั่นนานสิบวัน ตำรวจพบอกาธานั่งอ่านข่าวการหายตัวของเธออยู่ในห้องโถงรับรองของโรงแรมในเมืองยอร์กเชียร์ เธออ้างว่าเกิดความจำเสื่อมเพราะเครียดที่สามีบอกเลิก แต่ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าจริงหรือไม่ จนกระทั้งเธอตาย ปริศนานี้เลยเป็นปริศนาตลอดกาล ยกเว้นอกาธาเคยบอกว่านิยายเรื่องล่าสุดของเธอมีคำตอบที่แท้จริงว่า 10 วันที่เธอหายไปเธอไปอยู่ที่ไหน.....

    3.ปล้นกลางเวหาสะท้านโลกันตร์
    ปีพ.ศ.2514 ชายที่ใช้ชื่อว่า ดี.บี.คูเปอร์ จี้เครื่องบินของสายการบินแห่งหนึ่งของสหรัฐ เรียกเงิน 2 แสนดอลลาร์เป็นใบละ 20 ดอลลาร์ล้วน พร้อมร่มชูชีพสี่ชุด ผู้โดยสารลึกลับรายนี้กระโดดออกจากเครื่องบินแล้วหายวับไปในอากาศ โดยเขาโดดร่มหายไปตรงที่ใดที่หนึ่งแถบตะวันตกของสหรัฐฯ อย่างลอยนวล ซึ่งเอฟบีไอตามล่าอย่างไม่ลดละอยู่ 8 ปี ไม่พบทั้งคน ร่มชูชีพ หรือเงิน อย่างนี้ต้องยกให้เป็นโจรเทวดาขนาดแท้

    4. ปีศาจลอคเนส (เนสสี ไดโนเสาร์หรืองวงช้าง)

    ทุกวันนี้"เนสสี" กลายเป็นสถาบันระดับชาติของสกอตแลนด์ไปเรียบร้อยแล้ว นับตั้งแต่ "ภาพปริศนา" ปรากฏให้ฉงนว่ามันเป็นสัตว์โลกดึกดำบรรพ์หลงยุคที่ยังมีลมหายใจอยู่ในโลกปัจจุบัน ช่วงปีที่บันทึกภาพสัตว์ประหลาดแห่งทะเลสาบเนสสีบังเอิญเป็นปีเดียวกับคณะละครสัตว์ของเบอร์ทรัม มิลล์ ยกขบวนมาแสดงที่เมืองแห่งนี้ อาจเป็นไปได้ว่า แท้จริงแล้วภาพที่ดูเหมือนลำคอยาวของไดโนเสาร์ที่โผล่ขึ้นเหนือน้ำเป็นแค่งวงช้างละครสัตว์ช่วงที่มันดำน้ำเล่นพักร้อนระหว่างเดินทาง ไม่ว่าจะอย่างไร ลอคเนสทำรายได้ท่องเที่ยวให้กับแดนปี่สกอตปีละ 50 ล้านปอนด์

    5.พิศวงกลางทะเล (ลูกเรือแมรี่เซเลสเต้หายสาบสูญอย่างพิศวง)

    [​IMG]
    เรือแมรี่เซเลสเต้(The Mary Celeste) เป็นเรือสัญชาติอเมริกาขนาด 103 ฟุต 282 ตัน เดิมเป็นเรืออเมซอนซึ่งถูกสร้างในปี 1861 และในปี 1869 ก็ถูกปรับปรุงและเปลี่ยนชื่อเป็นแมรี่เซเลสเต้
    วันที่ 7 พฤศจิกายน 1872 เรือแมรี่เซเลสเต้ออกเดินทางจากนิวยอร์คมุ่งไปยังเจนัว ประเทศอิตาลี ภายในเรือบรรทุกเอทิลแอลกอฮอล 1,701 บาร์เรล บังคับการเดินเรือโดยกัปตันเบนจามิน บริกก์ส และลูกเรือ 7 คน มีผู้โดยสาร 2 คนคือภรรยาและบุตรสาววัย 2 ปีของกัปตันบริกก์ส
    วันที่ 4 ธันวาคม ปีเดียวกัน เรือ Dei Gratia พบแมรี่เซเลสเต้ลอยลำอยู่ในอ่าวโปรตุเกส หลังจากทำการสังเกตุการณ์เป็นเวลา 2 ชั่วโมงแล้วก็ลงความเห็นว่าอาจจมีเหตุฉุกเฉินบนเรือแมรี่เซเลสเต้ แม้ว่าจะไม่ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือ กัปตันเรือ Dei Gratia ได้ส่งเรือเล็กพร้อมลูกเรือจำนวนหนึ่งไปยังแมรี่เซเลสเต้ แต่เมื่อไปถึง กลับไม่มีใครอยู่บนเรือเลย คนทั้ง 10 คนหายสาบสูญไปราวกับละลายไปในอากาศ
    ตามรายงานกล่าวว่า เรือเปียกทั้งลำ แต่ยังอยู่ในสภาพที่เดินเรือได้ นาฬิกาไม่ทำงานและเข็มทิศถูกทำลาย หากสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือ ทุกอย่างบนเรืออยู่ในสภาพที่ราวกับว่าเพิ่งมีคนอยู่ที่นั่นจนเมื่อครู่ และพวกเขาพากันจากไปอย่างเร่งร้อน ขนมปังและจานซุปยังวางอยู่บนโต๊ะ (บางข่าวบอกว่าซุปยังร้อนอยู่ด้วยซ้ำ) ไปป์ถูกวางไว้รอจุดไฟ รองเท้าบู้ธถูกวางทิ้งทั้งๆที่ยังขัดค้างไว้อยู่
    มีรอยเลือดเหลืออยู่บนราวรั้วของเรือ และมีการพบดาบเปื้อนเลือดใต้เตียงนอนของกัปตัน บันทึกเดินเรือถูกฉีกขาดไปหลายหน้า แต่ก็ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นว่าคนทั้ง 10 หายไปไหนและก็ไม่มีใครได้เห็นพวกเขาอีกเลยจริงๆ
    มีการสันนิษฐานไปต่างๆนานาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นบนแมรี่เซเลสเต้ บ้างก็ว่าเพราะเจอสัตว์ประหลาดปลาหมึกยักษ์ บ้างก็ว่าเพราะไอระเหยของเอธิลแอลกอฮอลทำให้พวกเขาเห็นภาพลวงตา บ้างก็ว่าเพราะอาหารที่เก็บไว้นานจนเกิดสารพิษ

    6.หายไปกับเสียงเพลง (เกลน มิลเลอร์ )
    หัวหน้าวงดนตรีแจสเกลนมิลเลอร์ หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยระหว่างเดินทางไปแสดงดนตรีขับกล่อมทหารพันธมิตรในกรุงปารีสปี2487 ตำรวจแถลงว่า มิลเลอร์ร้องเพลงครั้งสุดท้ายที่ซัน วัลเลย์ แต่ไม่มีใครพบเขาอีกเลย บ้างพูดว่าเขาถูกทหารอเมริกันยิงโดยไม่ตั้งใจ บางคนบอกว่าเขาช่วยเดวิด นีเวน ช่วยมาร์ลีน เดียทริชจากพวกนาซี และเสียชีวิตหลังมีเรื่องทะเลาะวิวาทในบาร์ บางคนเชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่

    7.ใครฆ่ามาริลีน มอนโร (มาริลีน มอนโร ชู้รักประธานาธิบดี)

    มักพูดกันว่าผู้ชาย(อเมริกัน) ชอบผู้หญิงผมบลอนด์ แต่สำหรับ มาริลีนมอนโร ดาราสาวเลอโฉมที่ตกเป็นข่าว "กิ๊ก" กับประธานาธิบดี คู่ควงเจ้าพ่อ นักเขียนบทละคร และนักเบสบอล กลับตกเป็นเหยื่อฆาตกรรมสยองที่สุดคดีหนึ่งเท่าที่เคยเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ปี ค.ศ.1962 วันที่ 4 สิงหาคม ตำรวจได้รับแจ้งว่าดาราสาวรวยเสน่ห์สัญลักษณ์ของฮอลลีวู้ด "ฆ่าตัตาย" ตอน 04.25 น. ทั้งที่สตูดิโอภาพยนตร์ทเวนตี เซนจูรี ฟ็อกซ์ โทรไปแจ้งตั้งแต่สี่ชั่วโมงก่อน ทำไมศพของมาริลีนถึงดูไม่เหมือนคนฆ่าตัวตายเลย ทำไมถึงพบยาอยู่ในเลือด แต่ไม่มีในกระเพาะอาหาร ทำไมไม่มีรอยเข็มฉีดยา หรือว่า มาริลีนถูกหมอ เคนเนดี หรืออาจะเป็นซีไอเอฆ่าโดยไม่ตั้งใจ หรืออาจเป็นฝีมือมาเฟีย
    (ผิดพลาด ไม่พบหน้าที่คุณค้นหา กรุณาตรวจสอบ URL ใหม่)

    8.ความตายของกวี

    [​IMG]

    ความตายของเอ็ดการ์อัลเลน โพ กวีชาวอเมริกัน( Edgar Allan Poe) เจ้าพ่อแห่งเรื่องสยองขวัญ มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่สิบเก้า มีชื่อเสียงเรื่องความดาร์คสุดกู่ ช่างดูมืดมนและลึกลับ เช่นเดียวกับเรื่องราวของตัวเขาหลังจากเขาบอกว่าจะไปเยี่ยมอดีตแม่ภรรยา โพได้ถามถึงจดหมายที่ลงชื่อ อี.เอส.ที. เกรย ส่งหาเขาจากสำนักงานไปรษณีย์ฟิลาเดลเฟีย อีกห้าวันต่อมามีคนพบเห็นเขาที่บัลติมอร์ ผมเผ้ายุ่งเหยิงเหมือนคนไร้สติ สวมเสื้อผ้าของคนอื่น และเสียชีวิตอีกหนึ่งวันให้หลัง มีคนเห็นว่าเขาถูกสะกดรอยตามตั้งแต่ขึ้นรถไฟ หรืออาจจะมีเรื่องผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้อง

    9.คาสเปอร์ เฮาเซอร์ เป็นใคร

    [​IMG]

    ปี2471 ชายหนุ่มท่าทางโง่ๆ คาสเปอร์เฮาสเซอร์ เดินท่อมๆอยู่บนถนนในเมืองเนิร์นแบร์ก เยอรมนี พูดอยู่ประโยคเดียวว่า "ฉันอยากเป็นทหารเหมือนพ่อ" ในกระเป๋าของเขามีจดหมายอยู่สองฉบับ ฉบับหนึ่งเขียนชื่อเขาเอง ส่วนอีกฉบับเป็นจดหมายบอกให้เขามอบให้กับกองทัพ ซึ่งมีข้อความระบุว่าถ้าเขาไม่ได้รับเลือกให้เป็นทหาร ก็เอาเขาไปแขวนคอซะ หลังจากตรวจสอบข้อมูลพบว่า ชายผู้นี้มีอายุเพียง 16 ปี แต่มีสมองและความสามารถสื่อสารได้เท่ากับเด็กหกขวบ แถมยังมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับแกรนด์ ดุ๊ก แห่งบาเดนด้วย แต่ไม่ทันได้ไข เย็นวันที่ 14 ธันวาคม 1833 คาสเปอร์วิ่งพรวดพราดกลับบ้านโดยมีบาดแผลถูกแทงที่หน้าอกด้านซ้าย เขาบอกว่าถูกชายคนหนึ่งแทงขณะที่เขากำลังเดินผ่านสวนสาธารณะ แต่ไม่มีใครเชื่อเขา และจะเรียกหมอก็สายเกินไปแล้ว เพราะ อีกสามวันต่อมาคาสเปอร์ก็ได้เสียชีวิตลง จนปริศนาก็กลายเป็นปริศนาต่อไป ว่าใครฆ่าเขาและฆ่าเพื่ออะไร
    (รายละเอียดที่ http://my.dek-d.com/writer/story/viewlongc.php?id=348018&chapter=32)

    10.ใครฆ่าเจมส์บอนด์ ตัวจริง

    [​IMG]

    ลิโอเนลบัสเตอร์ แครบ ถูกรับเข้าเป็นสายลับเอ็มไอ 15 ช่วงเกิดข้อพิพาทคลองสุเอซ เขาได้รับมอบหมายภารกิจให้ค้นหาอุปกรณ์หลบเลี่ยงคลื่นโซนาร์บนเรือรัสเซีย แต่ไม่มีใครพบแครบอีกเลย เชื่อกันว่าเขาอาจถูกสายลับเอ็มไอ 15 ของอังกฤษด้วยกันฆ่าทิ้ง บ้างเชื่อว่าเขาทรยศ ไม่ก็ถูกรัสเซียลักพาตัว และทรมาน ต่อมามีคนพบร่างไร้ศีรษะในชุดมนุษย์กบ ซึ่งเอ็มไอ 15 ยืนยันว่าคือศพของแครบ ทั้งที่ไม่มีทางแน่ใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่าคือเขา บางทีเขาอาจโดนใบสั่งฆ่าเสียเอง

    BlogGang.com :
     
  8. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    ธรรมชาติสดชื่น บริสุทธิ์ สวยงาม และมีอะไรอีกมากที่เรายังไม่รู้เกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ แต่รุ่นหลังยังไม่ทันได้รู้ ป่าไม้ธรรมชาติที่สวยงามกำลังจะหายไปในไม่ช้า ดังเช่นเขาใหญ่ วังน้ำเขียวใครต่างก็อยากได้ต่างก็จับจองเพราะต้องการธรรมชาติ โดยที่ไม่รู้ว่าการอยากได้ธรรมชาติเป็นของตัวเองนั้นจะเป็นการทำลายธรรมชาติอย่างแท้จริง
     
  9. ดอกอ้อขาว

    ดอกอ้อขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +3,619
    บุโรพุทโธ "Borobudur Temple"
    [​IMG]

    ชื่อสถานที่ บุโรพุทโธ
    : Borobudur Temple
    สถานที่ตั้ง บนเนินสูงของเกาะชวาภาคกลาง ประเทศอินโดนีเซีย
    ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้

    บุโรพุทโธ ( Borobudur ) พุทธสถานอันศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 8-9 โดยกษัตริย์ราชวงศ์ไศเลนทร ตั้งอยู่บนเนินสูงของเกาะชวาภาคกลาง ห่างจากเมืองยอกยากาตาร์ ( Yogyakata ) ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 40 กิโลเมตร ถือเป็นโบราณสถาานขนาดใหญ่ และเป็นศูนย์รวมแห่งความภาคภูมิใจของชาวอินโดนิเซีย และชาวพุทธทุกคน ซึ่งหวังจะไปแสวงบุญสักครั้งหนึ่งในชีวิต

    เจดีย์บุโรพุทโธรูปทรงดอกบัวนี้ก่อสร้างตามแบบศิลปะฮินดู-ชวา หรือศิลปะชวาภาคกลางที่ผสมผสาานระหว่างอินเดียและอินโดนีเซียได้อย่างกลมกลืนที่สุด บุโรพุทโธเปรียบเป็นศูนย์กลางของจักรวาลซึ่งแบ่งเป็น 3 ชั้น

    ส่วนฐานของเจดีย์ประกอบด้วยขั้นบันไดใหญ่ 4 ขั้น รอบ ๆ เป็นรูปสี่เหลี่ยม กำแพงรอบฐานมีภาพนูนตำไม่น้อยกว่า 160 ภาพส่วนนี้อยู่ในขั้นกามาธาตุ หรือขั้นตอนที่มนุษย์ยังผูกพันอย่างใกล้ชิดกับความสุขความร่ำรวยทางโลก

    ส่วนที่สอง คือส่วนบนของฐานที่มีบันไดรูปกลม ฐาน 6 ชั้นที่มีรูปสลักนูนต่ำเกือบ 1,400 ภาพที่แสดงพุทธประวัติ ถือเป็นขั้นรูป ธาตุ คือขั้นตอนที่มนุษย์หลุดพ้นจากกิเลสทางโลกมาได้บางส่วน

    ส่งวนที่สามคือส่วนของฐานกลมที่มีเจดีย์เล็ก ๆ 3 ขั้นล้อมรอบสถูปองค์ใหญ่ทึ่สุดที่หมายถึงจักรวาล คือขั้นอรูปธาตุ ที่มนุษย์ไม่ผูกพันกับทางโลกอีกต่อไป ปัจจุบันบุโรพุทโธจัดเป็นมรดกของยูเนสโกที่มีความลี้ลับมหัศจรรย์ทั้งทางด้านการก่อสร้างสถาปัตยกรรมรูปทรงภายนอก และมหัศจรรย์ในด้านสัญลักษณ์และความหมายที่รอให้มนุษย์ได้ศึกษาตีความกันต่อไป


    :: อ้างอิง
    วารสารเที่ยวรอบโลก ปีที่ 15 ฉบับ 169 กันยายน 2539
     
  10. ดอกอ้อขาว

    ดอกอ้อขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +3,619
    เจดีย์ชเวดากอง
    : Shwedagon Pagoda

    [​IMG]

    ชื่อสถานที่

    เจดีย์ชเวดากอง
    : Shwedagon Pagoda
    สถานที่ตั้ง ประเทศพม่า
    ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้

    "ชเว" คือ ทอง ส่วน "ดากอง" คือชื่อเดิมของเมืองย่างกุ้ง สมัยที่พระเจ้าอลองพญาสถาปนาเมืองเล็กริมฝั่งแม่น้ำแห่งนี้ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2298 กล่าวกันว่า "ทอง" แห่งมหาเจดีย์มหาศาลกว่าทองในธนาคารแห่งอังกฤษ ซึ่งน้อยคนปฏิเสธความเป็นไปได้

    ประวัติความเป็นมาของมหาเจดีย์องค์สำคัญนี้ ที่มีผู้ค้นคว้าและบันทึกไว้อย่างน่าอ่านก็คือ ข้อมูลจากหนังสือ "พม่า" ในชุด "หน้าต่างสู่โลกกว้าง"

    ตามตำนานกว่า 2,500 ปี ของเจดีย์แห่งนี้กล่าวไว้ว่าเป็นที่บรรจุพระเกศาธาตุทั้งแปดเส้นของพระพุทธเจ้า และพระบริโภคเจดีย์ของพระอดีตพระพุทธเจ้าทั้งสามองค์ องค์สถูปหุ้มด้วยทองคำทั้งหมด 8,688 แท่ง แต่ละแท่งมีค่ามากกว่า 400 ยูเอสดอลลาร์ ปลายยอดสถูปประดับด้วยเพชร 5,448 เม็ด ทับทิม นิล และบุษราคัมอีก 2,317 เม็ด มีมรกตเม็ดเขื่องอยู่ตรงกลาง เพื่อรับลำแสงแรกและลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ ทั้งหมดนี้ประดับอยู่ด้านบนเหนือฉัตรขนาด 10 เมตร ซึ่งสร้างขึ้นบนไม้หุ้มทองเจ็ดเส้น ประดับด้วยกระดิ่งทองคำ 1,065 ลูก และกระดิ่งเงิน 420 ลูก รอบองค์สถูปรายล้อมไปด้วยสิ่งปลูกสร้างกว่า 100 หลัง มีทั้งสถูปบริวาร วิหารทิศ วิหารราย และศาลาอำนวยการ

    เจดีย์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยพวก บะกัน เรื่องอำนาจ พระเจ้าอโนรธา เคยเสด็จประพาสชเวดากองระหว่างการรบพุ่งทางใต้ในศตวรรษที่ 11 พระเจ้าบญาอู แห่งพะโค ก็ทรงบูรณะเจดีย์แห่งนี้ในปี พ.ศ.1925 และ 50 ปีต่อมา พระเจ้าเบียนยาเกียนก็โปรดให้ยกองค์สถูปให้สูงขึ้นไปถึง 90 เมตร

    ผู้สืบราชบัลลังก์ต่อจาก พระเจ้าเบียนยาเกียน คือ พระนางฉิ่นซอปู้ หรือ นางพญาตะละเจ้าท้าว ได้ทรงสร้างลานและกำแพงล้อมรอบองค์สถูป และพระราชทานทองคำเท่าน้ำหนักพระองค์เอง 40 กิโลกรัม ให้นำไปตีเป็นแผ่นทองหุ้มสถูป เป็นแบบอย่างให้กษัตริย์รุ่นหลัง ๆ ทรงประพฤติปฏิบัติตาม ทั้งนี้เพราะพายุลมฝนในช่วงมรสุมนั้นโหมแรง จนทำให้แผ่นทองคำชำรุดหลุดร่วงลงมาอยู่บ่อย ๆ พระเจ้าธรรมเซดี ผู้สืบราชสมบัติต่อจากพระนางก็ได้ทรงบริจาคทองคำหนักเป็นสี่เท่าของน้ำหนักพระองค์เอง เพื่อบูรณะซ่อมแซมพระเจดีย์

    ในปี พ.ศ.2028 พระเจ้าธรรมเซดีทรงสร้างศิลาจารึกสามหลังเอาไว้บนบันไดด้านตะวันออกของเจดีย์ชเวดากอง บอกเล่าประวัติของเจดีย์เป็นภาษามอญ พม่า และบาลี จารึกนั้นยังคงมีให้เห็นอยู่จนทุกวันนี้
    เจดีย์ชเวดากองตกอยู่ภายใต้การยึดครองของอังกฤษนานถึง 77 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2395-2472 แต่ชาวพม่าก็ยังสามารถเข้ามาสักการะเจดีย์ได้

    ในปี พ.ศ.2414 พระเจ้ามินดง แห่งมัณฑะเลย์ ทรงส่งฉัตรฝังเพชรอันใหม่มาถวายเป็นพุทธบูชา มีการจัดงานฉลองและมีชาวพม่ากว่าแสนคนมาเที่ยวชมงาน พระองค์จึงทรงถือโอกาสนี้ปรารถนาเรื่องเอกราชของพม่า สร้างความไม่พอใจให้กับอังกฤษเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้

    ช่วงศตวรรษที่ 20 มีภิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นกับพม่าหลายครั้ง โดยเริ่มจากปี พ.ศ.2473 เกิดแผ่นดินไหวขึ้น แต่ก็สร้างความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในปี พ.ศ.2474 เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่จากฐานบันไดทางทิศตะวันตก ลุกลามต่อไปยังปีกด้านเหนือ ดชคดีที่ดับไฟได้เสียก่อน แต่ก็ได้เผาผลาญศาสนสถานสำคัญไปไม่น้อย ในปีพ.ศ.2513 เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง นับเป็นภัยแผ่นดินไหวครั้งที่ 9 ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ส่งผลให้ทางภาครัฐต้องจัดทำโครงพิเศษเพื่อเสริมยอดเจดีย์ให้แข็งแรงขึ้น

    เมื่อใดก็ตามที่เจดีย์แห่งนี้ชำรุดเสียหายก็จะได้รับการบูรณะให้งดงามรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าเดิม

    เจดีย์ชเวดากองสัญลักษณ์ของประเทศพม่าตั้งแยู่บนเนินเขาเชียงกุตตระ สามารถมองเห็นได้จากทุกมุมเมือง เพราะสูงเด่นเป็นสง่า ข้อสำคัญไม่มีตึกหรืออาคารสูงมาตั้งบดบังได้

    นอกจากสถูปทองที่ส่องอร่ามไปทั่วแล้ว ยังมีองค์ประกอบโดยรวมอีก ตั้งแต่ประตูทางขึ้นสู่บันไดทั้ง 4 ทิศที่ใหญ่โตมโหฬาร ตัวหลังคาระเบียงวัดที่ทอดขึ้นสู่ฐานขององค์เจดีย์ก็มีลวดลายสลักเสลาเหมือนปราสาทลดหลั่นกันเป็นชั้น ๆ

    เจดีย์ชเวดากองเปิดให้ชมทุกวันตั้งแต่เวลา 04.00-21.00 น. การเปิดให้เข้าชมเป็นช้าวงเวลายาวขนาดนี้ ก็เพื่อให้ผู้มีจิตศรัทธาสามารถเข้าไปก่อนอรุณรุ่งและกลับออกมาหลังตะวันยอแสง จะได้มีเวลาชมเต็มที่

    บริเวณโดยรอบของทางเข้าทางทิศใต้ ซึ่งเป็นทางขึ้นสู่เจดีย์ชเวดากองที่ผู้คนนิยมใช้กัน มีบันไดทั้งหมด 104 ขั้น ทอดขึ้นสู่บริเวณลานของเจดีย์

    ตามสองข้างทางบันได เต็มไปด้วยร้านค้าที่ได้รับอนุญาตจากทางวัดให้เข้ามาตั้งแผงขายของให้กับผู้คนที่มาสักการะบูชาด้วยความเลื่อมใส สินค้าส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการทำบุญและก็มีสินค้าที่ระลึกวางขายด้วย

    หน้าบริเวณทางเข้ามีรูปปั้นสัตว์ในตำนวนปรัมปราสองตัวทำหน้าที่เป็นทวารบาลคือ ชินเต้ หรือสัตว์ครึ่งสิงโตครึ่งนก เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สีหปักษีทวารบาล และ ยักษ์ทวารบาล

    รายรอบด้วยเจดีย์องค์เล็กองค์น้อย ผู้คนจำนวนมากยังเดินทางมาที่นี่เพื่อกราบไหว้ สักการะ สรงน้ำองค์ปฏิมา และทำทักษิณาวัตร ไม่ใช่เฉพาะคนแก่คนเฒ่า แต่ทั้งเด็กเล็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ ทั้งชายและหญิง พากันมาน้อมใจสู่พระรัตนตรัยที่นี่

    นอกจากจะมีทวารบาลที่หน้าประตูแล้ว ยังมีเหล่าเด็ก ๆ ชาวพม่าวิ่งท้วงติงผู้ที่ใส่รองเท้าเข้ามาบริเวณวัด ให้ถอดรองเท้าถุงเท้า แล้วให้ซื้อถุงก๊อบแก๊บใส่รองเท้าถือเข้าวัดไปด้วย


    :: อ้างอิง
    วารสารเพื่อนเดินทาง ปีที่ 21 ฉบับที่ 240 ธันวาคม 2542
     
  11. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    สวยงามมากเลยครับแต่ละที่ :cool::cool::cool:
     
  12. ดอกอ้อขาว

    ดอกอ้อขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +3,619
    แมตเตอร์ฮอร์น
    : Matterhorn


    [​IMG]

    ชื่อสถานที่

    แมตเตอร์ฮอร์น
    : Matterhorn
    สถานที่ตั้ง ประเทศสวิตเซอร์แลนด์-อิตาลี
    ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้

    แมตเตอร์ฮอร์น (Matterhorn) เป็นภูเขาที่มีชื่อเสียงมากในเทือกเขาแอลป์ (Alps) ตั้งอยู่ระหว่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์และอิตาลี รูปทรงปิรามิดที่งดงามตั้งอยู่บนพื้นที่ Zermatt ในส่วนเมืองของสวิตเซอร์แลนด์ และ Breuil-Cervinia ใน Val Tournanche ในส่วนเมืองของอิตาลี

    รูปทรงพีระมิด ตั้งตระหง่านเหมือนยื่นไปสู่ท้องฟ้ามากกว่าบยอดเขา ของเทือกเขาแอลป์ยอดอื่นๆ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การพยามเข้าสู่ภูเขา ทั้ง Mattertal จากทิศเหนือ ,Valtournanche จากทิศใต้ คนโบราณบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องเล่าแห่งความมืดอันความน่ากลัว ของหายนะว่าจะเกิดขึ้นกับบุคคลที่เข้าใกล้มันอย่างแน่นอน มีเรื่องเกี่ยวกับเมืองที่ถูกทำลายและถูกฝังภายใต้ก้อนหิมะ ความเห็นเพิ่มเติมของไกค์ผู้ผ่านประสบการณ์ใน Zermatt ฝั่งของสวิตเซอร์แลนด์ ว่าภูเขาสูงชัน จากแนวหน้าผาที่ราบเรียบตั้งแต่ฐานถึงจุดยอดทำให้ไม่สามารถปีนได้ ภูเขามีสี่ด้านพื้นหน้าของสูงชันอันตรายมีเพียงแผ่นหิมะและแผ่นน้ำแข็งเล็กๆ เกาะยึด ส่วนใหญ่แมตเตอร์ฮอร์นเป็นภูเขาของเทือกเขาแอลป์สุดท้ายที่จะถูกปีน เพราะต้องใช้เทคนิคยุ่งยากแต่ความน่าเกรงขามจะเป็นดลใจสำหรับนักปีนเขาได้เช่นกัน เริ่มต้นครั้งแรกประมาณปี 1858 จากชาวอิตาเลียนจำนวนมากแม้จะติดขัดจะเกิดขึ้นมากมาย ที่พวกเขาพบบ่อยๆ คือความลำบากกับหินที่ลื่น

    แชร์มัตต์ (Zermatt) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 เมื่อมองจากฝั่งนี้จะมองเห็นรูปทรงปิรามิดของแมตเตอร์ฮอร์นที่ตั้งอยู่โดดๆ เชื้อเชิญให้มาเยือน และนั่งรถกระเช้าขึ้นไปถึงสถานี Trockener Steg ที่ความสูง 2,939 เมตร เป็นจุดที่เห็นแมตเตอร์ฮอร์นได้ชัดเจนที่สุด มองจากด้านทิศตะวันออกของแมตเตอร์ฮอร์นเป็นภาพสะท้อนผิวน้ำทะเลสาป Riffelsee

    ปัจจุบันทั้งสันเขาและพื้นหน้าทุกด้านของแมตเตอร์ฮอร์น ถูกปีนขึ้นในทุกฤดู และการแนะนำการการปีน โดยมาตราฐานสมัยใหม่,เทคนิคการปีนที่ง่าย ,การใช้เคเบิ้ลคาร์



    :: อ้างอิง
    แปลโดย Webmaster จาก

    Matterhorn - Wikipedia, the free encyclopedia

    Matterhorn Zermatt Switzerland

    วารสารเที่ยวรอบโลก ปีที่ 17 ฉบับที่ 200 เมษายน 2542
     
  13. ดอกอ้อขาว

    ดอกอ้อขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +3,619
    แกรนด์แคนยอน
    : Grand Canyon

    [​IMG]

    ชื่อสถานที่

    แกรนด์แคนยอน
    : Grand Canyon
    สถานที่ตั้ง มลรัฐอะริโซนา ประเทศ สหรัฐอเมริกา
    ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้

    แกรนด์แคนยอนถือเป็นความมหัศจรรย์ ทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลกถูกจัดให้เป็นหนึ่งในอนุรักษ์สถาน ของโลกโดยตามสภาพภูมิศาสตร์และการลงมติของสหประชาชาติ สำรวจพบสถานที่แห่งนี้ เมื่อปี ค.ศ.1776 ปีเดียวกับที่อเมริกาประกาศเอกราชจากอังกฤษ แต่เพิ่งมารู้ว่ามีแม่น้ำโคโรลาโดไหลผ่านในปี ค.ศ1857 แม่น้ำโคโลราโด ไหลจากทิศเหนือไปใต้สู่ทะเลสาบมี๊ด ระยะทางประมาณ 200 ไมล์ Grand Canyon ถูกจัด ให้เป็นวนอุทยานแห่งชาติของสหรัฐ

    แกรนอ์แคนยอนเกิดขึ้นโดยอิทธิพลของแม่น้ำโคโลราโด ไหลผ่านที่ราบสูงทำให้เกิดการสึกกร่อน พังทะลายของหินเป็นเวลา 225 ล้านปีมาแล้ว เดิมทีแม่น้ำโคโลราโดมีสภาพเป็นลำธารเล็กๆที่ไหลคดเคี้ยวไป ตามที่ราบกว้างใหญ่ที่อยู่ ระดับเดียวกับน้ำทะเล ต่อมาพื้นโลกเริ่มยกตัวสูงขึ้น อันเนื่องมาจากแรงดันและ ความร้อนอันมหาศาลภายใต้พื้น โลกที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนรูป และกลายเป็นแนวเทือกเขากว้างใหญ่ การยกตัว ของแผ่นดินทำให้ทางที่ลำธาร ไหลผ่านลาดชันขึ้นและทำให้น้ำไหลแรงมากขึ้น พัดเอาทรายและตะกอนไปตาม น้ำเกิดการกัดเซาะลึกลงไปทีละน้อยในเปลือกโลก วัดจากขอบลงไปก้นหุบเหวกว่า 1 ไมล์ ( ประมาณ 1,600 เมตร ) และอาจลึกว่าสองเท่า ของความหนาของเปลือกโลก ก่อให้เกิดหินแกรนิต หินชั้นแบบต่าง ๆ พื้นดินที่เป็น หินทรายถูกน้ำ และลมกัดเซาะ จนเป็นร่องลึกสลับซับซ้อนนานนับล้านปี เป็นแคนยอนงดงามน่าพิศวงเนื่อง จากผลของดินฟ้าอากาศ ความร้อนเย็นซึ่งมีอิทธิพลรอบด้าน

    ทางตะวันตกของแม่น้ำโคโลราโด มีลักษณะคดเคี้ยวไปมาน่าสับสนและเป็นที่ตั้งส่วนหนึ่ง ของแกรนด์แคนยอนด้วย โดยยาวถึง 150-200 ไมล์ บริเวณนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ มากที่สุดจุดหนึ่ง ซึ่งก็คงเป็นเพราะทัศนียภาพที่แปลกตาของความลึกของหุบเขาและลักษณะของ แม่น้ำที่มีรูปร่างทรงกรวยและไหลเป็นหลั่น ๆ ชั้นลงไปโดยเกิดจากลาวาที่ทับถมจากภูเขาไฟเมื่อหลาย ล้านปีก่อนนั่นเอง

    บริเวณหน้าผาของแกรนด์ แคนยอน แม่น้ำโคโลราโดได้เดินทางมาบรรจบ กับแม่น้ำ"เวอร์จิน" ซึ่งเป็นที่ตั้งของทะเลสาบ "มี๊ด" ด้วยจุดนี้ ไม่เพียงแต่เป็นจุดสิ้นสุดของแกรนด์ แคนยอนเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดสำคัญทางธรณีวิทยาแห่งหนึ่ง อย่างดีทั้งนี้เพราะสภาพบรรยากาศที่แปลกแตกต่างจากที่อื่นอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบ กับที่ราบสูงโคโลราโดทางตะวันออก 2 จุดนี้เป็นจุดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นในด้านของโครงสร้าง ภูมิศาสตร์ หรือประวัติศาสตร์

    ในทางใต้ของแม่น้ำสายนี้ จะเป็นทางลาดลงไปกว่า 3,000 ฟุต โดยเกิดจากดินทรายที่พัดพ ามาจากที่สูงแถบนี้เป็นที่ตั้งของที่ราบสูง "ตอนใต้" และห่างออกไป 70 ไมล์ก็เป็นที่ตั้งของช่องแคบ "อินเนอร์ กอร์จ"ที่เป็นรูปตัว "วี" แคบ ๆ และกว้าง 300 ฟุตนอกจากนี้สีสรรของสายน้ำก็ยังเปลี่ยนแปลงไปด้วย บางวันก็เป็นสีน้ำตาล บางวันก็เป็นสีเขียว ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนของตะกอนที่พัดพามาแต่ละวัน

    นอกจากนั้น ในบริเวณซอกหลืบของหุบเขาน้อยใหญ่ยังมีการค้นพบร่องรอยอารยธรรม ของชาวอินเดียน แดงโบราณ ซึ่งยังมีลูกหลานดำรงชีวิตแบบดั้งเดิม และบางส่วนก็ยังคงอยู่ที่ แกรนด์แคนยอน จนถึงทุกวันนี้ เช่น อินเดียนแดงเผ่า Hopis, Havasupais, Navajos, Hualapais, Paiutes, Pueblos เป็นต้น

    ทุก ๆ ปีจะมีคนไปชมความมหัศจรรย์ของแกรนด์แคนยอนไม่ต่ำกว่าสองล้านคน



    :: อ้างอิง
    สำเนียง มณีกาญจน์ และ สมบัติ จำปาเงิน.ท่องไปในโลกกว้างนำชมสิ่งมหัศจรรย์ของโลก. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์,2530
     
  14. ดอกอ้อขาว

    ดอกอ้อขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +3,619
    น้ำตกแองเจล
    : Angel Falls



    [​IMG]
    ชื่อสถานที่

    น้ำตกแองเจล
    : Angel Falls
    สถานที่ตั้ง ประเทศเวเนซูเอลา
    ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้

    น้ำตกที่สูงที่สุด คือ น้ำตกแองเจล (Angel Fall) อยู่ในทวีปอเมริกาใต้ บริเวณประเทศเวเนซูเอลา มีความสูงประมาณ 3,212 ฟุต ชาวพื้นเมืองในVenezuela เริ่มรู้จัก Salto Angel ตั้งแต่ Jimmie Angel นักบินสหรัฐบินผ่านเหนือพื้นที่นี้ในปี 1935 เมื่อเขาลงสู่พื้นดินบนยอดของภูเขาเดี่ยวที่ค้นหาทองคำ เครื่องบินของเขาติดในป่ารกที่เป็นหนองน้ำบนยอดเขา และ เขาประกาศน้ำตกที่สวยงามตระการตาอันน่าประทับใจที่โถมดิ่งลงมาสู่พื้นหลายพันฟุต เขาต้องทรมานกับการเดินทางหลายวันด้วยเท้าประมาณ 11 ไมล์ เพื่อกลับตัวเมืองเครื่องบินของเขายังคงติดอยู่บนเขาเป็นอนุสาวรีย์การค้นพบของเขา ในไม่ช้าทั่วโลกที่ต้องการรู้เกี่ยวกับน้ำตก ก็มารู้จัก Angel Falls หลังจากการค้นพบของนักบิน

    Angel Falls ตกจากยอดที่ราบสูงที่ทางขึ้นลาดชัน หรือที่ชาวพื้นเมืองเรียกกันว่า Tepuyi ชื่อ "Auyantepui" ที่ราบสูงน้ำตกแองเจิล เป็นหนึ่งจากหลายร้อยที่ราบสูงที่กระจัดกระจายตาม Guiana Highlands ทาง ตะวันออกเฉียงใต้ของ Venezuela เหมือนยักษ์ขี้เซา ลักษณะของที่ราบสูง (Tepuys) เป็นที่ราบขนาใหญ่ สูงทะยานไปสู่ท้องฟ้า ประกอบด้วยที่ราบบนยอด และด้านข้างตั้งตรงมักถูกเรียกว่า "table mountains" (อธิบายโดยละเอียดด้วยรูปร่าง) Tepuys มีรูปแบบเป็นหินทรายที่มีอายุพันล้านปี ด้านข้างที่ตั้งตรงยังคงถูกกัดเซาะโดยการกระทำของน้ำจากฝนตกอย่างหนัก ที่ Guiana Highlands ได้รับ


    :: อ้างอิง
    แปล และเรียบเรียงโดย Webmaster จาก
    Angel Falls | World's Highest Waterfall
     
  15. คนคิดเอง

    คนคิดเอง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +43
    ถ้ามีตังค์ก็อยากไปจะเห็นด้วยตาตัวเอง
     
  16. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,673
    ขอบคุณค่า สวยมาก ชอบมากค่า
     
  17. ลี้ท่ำฮวย

    ลี้ท่ำฮวย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +178
    ขอบคุณสำหรับเปิดโลกทรรศน์ให้ได้ทัศนา
     
  18. เดินดง

    เดินดง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    455
    ค่าพลัง:
    +1,614
    ขอบคุณค่ะ
     
  19. papah00

    papah00 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +632
    เบื้องหน้า งดงาม
    เบื้องหลัง ลึกลับ
    มนตราแห่งธรรมชาติ

    ขอบคุณ..คุณดอกอ้อขาว ที่รวบรวมมาให้ชมค่ะ
     
  20. Followdream

    Followdream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    688
    ค่าพลัง:
    +12,448
    ทุกแห่ง ที่ ท่าน รวบรวม มา น่า ประ ทับ ใจ และ
    เป็น สถานที่ ที่ น่า ท่องเที่ยว เป็น อย่างยิ่ง ค่ะ
    แต่ คง ไม่มี โอกาส ได้ ไป สัมผัส ด้วย ตนเอง
    ท่าน ได้ มา เปิด โลกทัศน์ โสตประสาท ผ่าน ภาพ ตัว อักษร บรรยาย
    ก็ ถือ ว่า ได้ ไป สัมผัส ณ ที่แห่ง ต่างๆ เป็น โอกาส ดี ที่สุด แล้วค่ะ
    ขอบคุณ ท่าน เจ้าของ กระทู้ ที่ได้ รวบรวม มา ให้ เป็น สีสัน ความรู้ แก่กัน

    ขอบคุณค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...