ประเพณีหนึ่งเดียวในโลก ที่อาจนำไปค้นพบหลักฐานว่า "สังกัสสะอยู่ที่พุกาม"

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย เอกอิสโร, 30 ตุลาคม 2012.

  1. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ……วันออกพรรษา ในพุทธพรรษาที่ ๗ นั้น มีเหตุการณ์พิเศษ หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ไปประทับจำพรรษา บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อเทศนาพระอภิธรรมโปรดพุทธมา<wbr>รดา และเหล่าเทพ เทวดา จนครบ ไตรมาส ๓ เดือน หลังจากพระศาสดาทรงออกพรรษาปวาร<wbr>ณาแล้ว พระพุทธองค์จึงได้เสด็จกลับลงมา<wbr>สู่โลกมนุษย์ ที่เมืองสังกัสกะ ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑


    [​IMG]

    ....ซึ่งก็คงจะมีผู้ถามกลับมาว่
    <wbr>า แล้วผมรู้มั๊ยว่า “สังกัสสะ” ที่แท้จริง อยู่ที่ไหน? เพราะ ได้ติดตามอ่าน การค้นคว้าเรื่องราวของพระพุทธศ<wbr>าสนา และได้ ตั้งเป็นสมมติฐานที่จะล้มล้างคว<wbr>ามเชื่อเดิมๆ ที่ว่า “พระพุทธศาสนามีจุดกำเนิดอยู่ที่อินเดีย” มาสู่ทฤษฎีใหม่ ที่กำลังรอการพิสูจน์ว่า “แท้ที่จริงแล้วพระพุทธศาสนามีจดกำเนิดอยู่ในดินแดนที่เป็นประ<wbr>เทศ ไทยปัจจุบัน และ บ้านเมือง แว่นแคว้น ในสมัยพุทธกาล ล้วนแล้วแต่ตั้งอยู่ใน ดินแดนที่เป็น ประเทศไทย และพม่า ในปัจจุบัน” ซึ่ง ไม่เว้น แม้แต่เมืองสังกัสสะ นี้ เช่นกัน

    …..แต่การศึกษาของผมยังไม่ได้จบ
    <wbr>ลง หรือสรุปได้อย่างง่ายๆ หรอกนะครับ เพราะเรายังต้องศึกษาอย่างละเอี<wbr>ยด ลึกซึ้ง และขุดค้น หาหลักฐาน ที่จะมายืนยัน ไม่ว่าจะเป็นโบราณวัตถุ จารึก และเอกสารโบราณ

    [​IMG]

    ....แต่ในเบื้องต้น นี้ ขอตั้งสมมติฐานไว้ก่อนว่า “เมืองสังกัสสะ ที่พระพุทธองค์เสด็จลงมาจากสวรร
    <wbr>ค์ ชั้นดาวดึงส์ หลังวันมหาปวารณาออกพรรษานั้น อยู่ในพื้นที่ เมือง BAGAN หรือ อาณาจักรพุกาม ที่เคยรุ่งเรือง มาในอดีต” นี่เอง ไม่ใช่ ที่ เมือง SANKISSA ที่ ประเทศอินเดียครับ




    เบาะแส จาก ประเพณี "หนึ่งเดียวในโลก" ซึ่งมีเฉพาะในประเทศพม่า คือ Thadingyut, the Month of the Light Festival โดยเฉพาะที่เมืองพุกาม หรือ Bagan ซึ่ง มีความเชื่อว่า สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อยู่เหนือภูเขา Myint Mo หรือ เขาพระสุเมรุ จึงเรียกประเพณีในชื่อหนึ่งว่า "Myint
    Mo Festival" นั้น อาจจะนำไปสู่การค้นพบหลักฐานที่ว่า "เมืองสังกัสสะอยู่ที่พุกาม" นี่เอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2012
  2. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    หลวงจีนฟาเหียนเคยเดินทางมาที่ "เมืองสังกัสสะ" และเขียนบันทึกไว้ว่า "พระเจ้าอโศกมหาราช ได้ให้สร้าง วิหารครอบขั้นบันได และ พระพุทธรูปยืนสูง 16 ศอก"

    ตรง นี้น่าคิดครับ ในขณะที่นักประวัติศาสตร์-นักโบราณคดี บอกว่า "สมัยพุทธกาลก็ดี สมัยพระเจ้าอโศก ยังไม่มีการสร้างพระพุทธรูป" แต่ ในบันทึก "หลวงจีนฟาเหียน พูดถึง พระเจ้าอโศกได้สร้างพระพุทธรูปขึ้นไว้เป็นอนุสรณ์ที่เมืองสังกัสสะ" ซึ่งที่ อินเดีย ไม่มีแน่นอน

    [FONT=&quot]และข้อสังเกตจากการเดินทางของหลวงจีนฟาเหียน เมื่อ 1,600 กว่าปีมาแล้ว มีว่า[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]...เริ่มต้นที่เมือง [/FONT][FONT=&quot]“สังกัสสะ-Sankasya”[/FONT][FONT=&quot] โดยหลวงจีนฟาเหียน ท่านได้เดินทางมาจาก เมือง [/FONT][FONT=&quot]Ma-t’aou-la ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ มายังเมืองสังกัสสะ ดังในบันทึกว่า
    [/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]….From this they proceeded south-east for eighteen yojanas, and found themselves in a kingdom called Sankasya, at the place where Buddha came down, after ascending to the Trayastrimsas heaven, and there preaching for three months his Law for the benefit of his mother.[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot].....หลังจากพักอยู่ที่เมือง [/FONT][FONT=&quot]SANKASYA[/FONT][FONT=&quot] หลวงจีนเดินทางต่อไปทางตะวันออกเฉียงใต้ อีก [/FONT][FONT=&quot]7 โยชน์ ไปถึงเมือง Kanyakubja ดังในบันทึกว่า[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]…..Fa-hien stayed at the Dragon vihara till after the summer retreat, and then, travelling to the south-east for seven yojanas, he arrived at the city of Kanyakubja….[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot].....จาก [/FONT][FONT=&quot]Kanyakubja หลวงจีน ข้ามแม่น้ำ เพื่อเดินทางต่อลงไปทางทิศใต้ 3 โยชน์ จะไปเจอ หมู่บ้าน ชื่อ A-le ดังในบันทึกว่า

    [/FONT] [FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]“Having crossed the Ganges, and gone south for three yojanas, (the travellers) arrived at a village named A-le, containing places where Buddha preached the Law, where he sat, and where he walked, at all of which topes have been built.”[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ...แล้วเดินทางต่อไป จากหมู่บ้าน [/FONT][FONT=&quot]A-le ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ไปอีก 3 โยชน์ จะถึงอาณาจักร Sha-che ดังในบันทึกว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot] .Going on from this to the south-east for three yojanas, they came to the great kingdom of Sha-che…[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot] ...หลังจากนั้น หลวงจีนเดินทางต่อไป ทางทิศใต้ อีก [/FONT][FONT=&quot]8 โยชน์ ก็มาถึงเมือง “สาวัตถี” ดังในบันทึกว่า[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot] .Going on from this to the south, for eight yojanas, (the travellers) came to the city of Sravasti.[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot] ...จากบันทึกการเดินทางข้างต้นนี้ จะเห็นว่า การเดินทางจาก สังกัสสะ ไป สาวัตถี ของหลวงจีนฟาเหียน ที่ท่านบันทึกไว้นั้น มีแต่ระบุว่าไปทาง ทิศตะวันออกเฉียงใต้ แล้วก็ทิศใต้ แล้วก็ตะวันออกเฉียงใต้ ไม่มี จุดใดเลย ที่ หลวงจีนบอกว่า ไปทิศเหนือ หรือ แม้แต่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] ..แต่ ทำไม จากเส้นทาง (จำลอง) จาริกการเดินทาง ที่มีผู้ทำไว้ใน กูเกิล แมพ จึงเดินทางไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ไปเรื่อยๆ แล้วก็ไปวก ขึ้นเหนือ ที่เมืองอโยธยา เพื่อเดินทางไปยังเมือง [/FONT][FONT=&quot]“สาวัตถี”[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot][/FONT][FONT=&quot]มันเกิดอะไรขึ้น?[/FONT]

    [FONT=&quot][/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]“เมืองสังกัสสะ ที่อินเดีย อยู่ผิดที่ หรือ เมืองสาวัตถี ในอินเดีย อยู่ผิดที่”[/FONT]
    [FONT=&quot]หรือทั้งสาวัตถี กับ สังกัสสะไม่ได้อยู่ที่อินเดีย[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2012
  3. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ซึ่งจากการค้นคว้า ต่อมา จึงได้เกิดสมมติฐานใหม่ว่า พระเจ้าอโศกมหาราชเป็น "คนมอญ" ครับ

    "พระเจ้าอโศกมหาราช" ก็ได้เสด็จ ไปสร้าง พระธาตุเจดีย์ ในไทยที่มีบันทึกไว้ ก็เช่น พระธาตุศรีจอมทอง เชียงใหม่ พระธาตุดอยปูตั๊บที่แพร่ เป็นต้นครับ

    และ "พระเจ้าอโศกมหาราช" ก็ได้เสด็จ ไปในดินแดนมอญ ดังปรากฏในราชาธิราช แน่นอน ได้เสด็จไป "สังกัสสะ" ตามที่ หลวงจีนฟาเหียนเล่าไว้ และได้สร้างพระพุทธรูป ที่ ฝรั่งบอกว่า สมัยพระเจ้าอโศกไม่มีการสร้างพระพุทธรูป

    ดังนั้น การสังคายนา สมัยพระเจ้า อโศกมหาราช จึงไม่ได้เกิดขึ้นที่อินเดีย
    รัฐต่างๆ ที่พระโมคคัลลีบุตรติสสะ ให้พระสมณฑูต ไปเผยแผ่พระพุทธาสนา
    จึง ไม่ตรงกับ ที่นักประวัติศาสตร์ ลงความเห็น

    ไม่ว่า จะเป็น วนวาสี อยู่ที่ ศรีเกษตร ประเทศพม่าปัจจุบัน ไม่ใช่อินเดีย
    หรือ โยนก อยู่ที่ลำปาง-เชียงใหม่ ประเทศไทย ไม่ใช่ เปอร์เซีย
    เป็นต้น ครับ

    ลองพิจารณา ความข้อนี้ ดูนะครับ...


    ได้ยินว่า พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ครั้นทำตติยสังคีตินั้นแล้ว ได้ดำริอย่างนี้ว่า
    ในอนาคต พระศาสนา จะพึงตั้งมั่นอยู่ด้วยดีในประเทศไหน หนอแล ?
    ลำดับนั้น เมื่อท่านใคร่ครวญอยู่ จึงได้มีความคิดดังนี้ว่า พระศาสนาจักตั้งมั่น
    อยู่ด้วยดี ในปัจจันติมชนบททั้งหลาย. ท่านจึงมอบศาสนกิจนั้น ให้เป็นภาระ
    ของภิกษุเหล่านั้น แล้วส่งภิกษุเหล่านั้น ๆ ไปในรัฐนั้น ๆ


    แล้ว น้อมพิจารณาว่า บรรดารัฐต่างๆ ที่ นักประวัติศาสตร์ คาดเดาว่า เป็นรัฐต่างๆ
    ที่พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ส่งคณะภิกษุไปประกาศพระศาสนา นั้น นอกจาก
    สุวรรณภูมิ แล้ว มีที่ใดศาสนาตั้งมั่นอยู่บ้าง แม่แต่ที่ "ศรีลังกา" ที่เขาว่าคือ
    ลังกาทวีป ก็หมดพระพุทธศาสนาไป จนต้องนำเข้าจาก พม่า มอญ และไทย
    ก็เพราะ ศรีลังกาไม่ใช่ลังกาทวีป นั่นเอ


    </pre>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2012
  4. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    เมื่อปี 2544 หรือ 2545 นี่แหละที่เราเองเคยฟัง ศ.ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ เจ้าของทฤษฎี E1 /E2 และผู้ร่วมก่อตั้ง มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ท่านก็พยายามค้นคว้าเรื่องนี้อยู่เหมือนกันโดยบอกว่าศาสนาพุทธกำเนิดที่ประเทศไทย จากนั้นเรื่องนี้ก็หายไป ทางภาคเหนือจะมีตำนานพระเจ้าเลียบโลกที่เกี่ยวกับรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ส่วนในพม่าเราก็เคยไปมาแล้ว ศาสนาพุทธก็ยังคงมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่มากเหมือนกัน ยิ่งถ้าใครเป็นผู้ชายก็ขอให้ไปดูพระธาตุอินทร์แขวนก้อนหินลอยได้จริง(แต่อาจเป็น
    ปรากฎการณ์ทางวิทยาศาสตร์ก็ได้) นอกจากนี้ก็ลองศึกษาตำนานสุวรรณโคมคำดูก็ได้ เพราะเราเองก็มีความเชื่อว่าพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆก็ได้มาเผยแพร่หลักธรรมคำสอนที่ดินแดนสุวรรณภูมินี้อยู่แล้ว
     
  5. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    อยากฟังความเห็น แลกเปลี่ยนให้กว้างขวาง นะครับ ใน 3 ประเด็น

    1. ความสัมพันธ์ ทิศทาง ระหว่าง เมือง สังกัสสะ กับ สาวัตถี ที่อินเดีย กับในบันทึกหลวงจีนฟาเหียน ที่ขัดแย้งกัน

    2. คติการสร้างพระพุทธรูป ที่ตามมตินักโบราณคดี ลงความเห็น เริ่มมีการสร้าง หลัง พ.ศ. 6-800 ไปแล้ว แต่บันทึกหลวงจีนฟาเหียน พูดถึงการสร้างพระพุทธรูปโดยพระเจ้าอโศก รวมทั้ง เมื่อไปเมืองสาวัตถี หลวงจีนได้บันทึกเรื่องพระพุทธรูปที่สร้างจากไม้แก่นจันทน์ สมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่

    3. ญาณทัศนะของพระอรหันต์ที่เล็งเห็นอนาคต ว่ารัฐใดจะเป็นที่ประดิษฐานไว้มั่นคง แต่ หากถือตามคติ นักโบราณคดี จะเห็นว่า 8 ใน 9 สาย "พระพุทธศาสนาเคยสูญหายไม่ตั้งมั่นอยู่ได้"
     
  6. manmannoi

    manmannoi สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +8
    เอกอิสโรจะมาเขียนเรื่องนี้อีก ก็คงไม่มีใครว่าอะไรหรอก
    แต่อยากจะบอกว่า เกิดเป็นลูกผู้ชาย สัญญาอะไรไว้ก็ควรรักษาสัญญา
     
  7. พนัสปราการ

    พนัสปราการ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2011
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +191
    ขอแนะนำหนังสือ ประวัติศาสตร์ พระพุทธศาสนา
    เขียนโดย พระมหา ดร.ดาวสยาม
    เมื่ออ่านแล้วจะเข้าใจดีขึ้น ถ้าให้ดียิ่่งขึ้นควรเดินทางไปอินเดียด้วยจะเห็นภาพ
    วัฒนธรรม วิถีชีวิตของคนอินเดีย ที่ตรงกับในพระไตรปิฏกทุกอย่าง สิ่งที่เห็นด้วยคาเนื้อเป็นภายนอก ถ้าใครได้สัมผัสด้วยตาใน จะยิ่งเข้าใจธรรมะมากขึ้น
     
  8. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    อ่านแล้วเชื่อตาม โดยไม่ได้ อ่านจาก เอกสารอ้างอิงทั้งหมด หรือเอกสารอีกฟากหนึ่ง แล้วเชื่อตามทั้งหมด ผมว่า ยัง "ใช้ไม่ได้" นะครับ

    ไม่เชื่อ คุณพนัสปราการ ไปอินเดีย-เนปาล ปลายเดือน พ.ย. 55 นี้ แล้ว ถือ "บันทึกการเดินทางของหลวงจีนฟาเหียน" ไปด้วย แล้ว ก็เทียบเส้นทาง แต่ละที่ ที่เดินทางไปลองดูนะครับ เอาที่สำคัญๆ เช่น จากสาวัตถีไปกบิลพัสดุ์ หรือสวนลุมพินี ก็ได้ กลับมาแล้ว ลองมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังนะครับ ว่า ตรงตามบันทึกหลวงจีนฟาเหียนมั๊ย?

    หรือ จะเอาพระไตรปิฎก และอรรถกถา ติดตัวไป แล้ว อ่านไป เทียบกับสภาพอินเดีย-เนปาล ที่คุณพนัสปราการ ว่าตรงตามพระไตรปิฎกทุกอย่าง เป็นข้อมูลไว้นะครับ เมื่อกลับมาจาก อินเดีย-เนปาล แล้ว แรามานั่งถกกันดู ว่า ผมจะเห็นด้วยมั๊ย?
     
  9. 9TRONG

    9TRONG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +514
    เคยอ่านหนังสือของคุณเอกอิสโรเหมือนกัน โดยส่วนตัวยังไม่เชื่อทั้งหมดนะครับ มีหลายประเด็นที่ยังชวนสงสัยถ้าหากบ้านเราจะกลายเป็นชมพูทวีปขึ้นมาจริงๆ
    แต่ก็น่าคิด และชื่นชมในความช่างสังเกต กล้าคิด กล้าพิสูจน์หาหลักฐานของคุณเอกอิสโร ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่เป็นตัวอย่างยืนยันถึงความสำคัญของหลักกาลามสูตรได้อย่างชัดเจน

    ความจริงเรื่องพระพุทธศาสนากำเนิดจากที่ใดอาจไม่สำคัญเท่ากับการที่ พระธรรมได้ประดิษฐานและสืบทอดลงในใจของสัตว์โลกแล้วก็ได้
    ถึงยังไงชาวพุทธที่แท้ทั่วทุกมุมโลก ก็จะยังคงระลึกถึงพระคุณของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ดีไม่ว่าศาสนาพุทธจะกำเนิดมาจากที่ไหน หรือพระศาสดาจะมีเชื้อชาติใด

    เท่าที่ดูๆแล้วคุณเอกอิสโรก็คงไม่ได้มีเจตนาจะบิดเบือนในส่วนพระธรรมคำสอนแต่อย่างใด ซึ่งอันนี้เป็นข้อดีครับ
    ก็ขอให้ขยันหาข้อมูลความจริงที่เป็นประโยชน์มาแบ่งปันกันเรื่อยๆนะครับ
    เป็นธรรมชาติของมนุษย์ครับ ตราบใดที่เรายังไม่รู้แจ้งก็ยังไม่สิ้นสงสัย
    คงไม่ใช่เรื่องผิดหรอกครับถ้าเราจะพิจารณาสิ่งที่สงสัยนั้นด้วยสติปัญญา และความรอบคอบ รอบด้าน

    แต่ก็อย่าเพิ่งปักใจนะครับ
    จริงเท็จอย่างไรกาลเวลาคงช่วยพิสูจน์เองครับ
     
  10. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    อ่านแล้วก็แปลกใจ แปลกจริง ๆ ว่ายังมีคนที่คิดแบบนี้ ยังมีคนที่สงสัยแบบนี้ ดูท่าจะตกวิชาประวัติศาสตร์นะ นี่จะเอาแต่ความคิดและจินตนาการมาพูดมาเขียนไม่ได้นะ ต้องไปท่องเที่ยวทั่วอินเดีย ไปถึงอัฟกานิสถาน ที่ตาลีบันระเบิดพระพุทธรูปหินที่แกะสลักติดภูเขาทิ้ง ไปเที่ยวนาลันดามหาวิหาร อายุเก่าแก่กว่าเจดีย์พม่ามอญที่เอามาให้ดูอีก ไปดูถ้ำหินแกะสลักที่อัชชันต้า และแอลโลร่า สิ่งมหัศจรรย์ของโลก เขาเริ่มแกะภูเขาหินประมาณ 500 ปี หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน แกะติดต่อกันมาหลายชั่วอายุกษัตริย์ จากยุคพุทธศาสนาฟูเฟื่อง ก็กลับกลายเป็นฮินดูฟูเฟื่อง ก็มีการแกะภูเขาหินเป็นถ้ำของฮินดูที่แอลโลร่า

    ถ้าอ่านพุทธประวัติตอนพระพุทธเจ้าเที่ยวประกาศพระศาสนาแถวเมืองราชคฤห์ ก็ลองไปเดินเที่ยวแล้วเทียบเคียงสถานที่ดู หรือจะว่าภูเขาราชคฤห์อยู่ที่จันทบุรีอีก ก็คงจบกัน คุยกันไม่ได้แล้ว ถ้าคุณไม่บ้าผมก็ต้องเป็นบ้า คนไทยอีกมากมายที่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าเกิดที่อินเดียก็ต้องบ้าแน่ ๆ โอ้...น่ากลัว ท่านอาจารย์พุทธทาสก็บ้า ท่านอาจารย์ประยุทธ ก็บ้า ท่านอาจารย์ประยูร อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงฆ์ก็บ้า พวกเปรียญ 9 ทุกองค์ล้วนบ้าหมด ยิ่งพวกพระนักศึกษาที่ไปเรียนอินเดียจนจบด็อกเตอร์กลับมา ล้วนเป็นบ้า โง่เป็นควายไปหมด พวกอังกฤษที่ไปปกครองอินเดียตั้งร้อยปีก็ยิ่งบ้าและโง่อย่างไม่น่าให้อภัย

    มันไม่ใช่เรื่องที่น่าสงสัยสักนิดว่าพุทธศาสนาเกิดที่ไหน เหมือนเด็กนักเรียนมัธยมก็ไม่มีใครสงสัยสักนิดว่า ร้อยบวกร้อยลบร้อยคูณด้วยร้อยหารด้วยร้อย จะได้คำตอบเท่าไร แต่เด็กอนุบาลงงครับ ทั้งงุนงงสังสัย คิดแล้วคิดอีก คิดไม่ตกสักที เฮ้อ..กลุ้มจริง ๆ ประเทศไทย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2012
  11. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    ถ้าผมจะบ้า ผมก็ดีใจที่ผมบ้าตามบรรพชนได้บันทึก ถ่ายทอดเรื่องราวต่อๆ กันมา ก่อนที่ พวกอังกฤษที่ไปปกครองอินเดียตั้งร้อยปีที่ยิ่งบ้าและโล่อย่างไม่น่าให้อภัย เพราะ พาใครต่อใครที่คุณ Kingkong1 ว่าท่านเหล่านั้นบ้า

    ผมดีใจที่ผมสงสัย จนใครคิดว่าบ้า เพราะ สงสัยตามที่ บรรพชน บันทึกไว้ ตามตำนานพระธาตุศรีจอมทอง เมืองเชียงใหม่ที่ว่า

    ...จำเดิมแต่กาลที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วได้ ๒๑๘ ปี มีพระราชาองค์หนึ่งพระนามว่า ศรีธรรมาโศกราชหรืออีกนัยหนึ่งว่า พระเจ้าอโศกมหาราช เป็นผู้ทรงเดชานุภาพปราบชมพูทวีปทั้งมวลได้เสด็จไปสู่ดอยศรีจอมทอง พร้อมด้วยท้าวพระยาเสนามาตย์ราชบริพารเป็นอันมาก ด้วยอานุภาพแห่งพระอินทร์ เทพยดาและพระอรหันต์แล้ว ได้ให้ขุดคูหาอุโมงค์ที่ใต้พื้นดอยศรีจอมทองลึกนัก ใหญ่ประมาณเท่าที่ตั้งพระคันธกุฏิแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระเชตะวันมหาวิหาร พระนครสาวัตถีในสมัยพุทธกาล แล้วให้สร้างพระถูปองค์หนึ่งแล้วด้วยทองคำสูง ๖ ศอก ไว้ในคูหานั้น หล่อพระพุทธรูปยืนด้วยทองทิพย์หนัก ๑ แสน ๒ องค์ ตั้งไว้ทางทิศเหนือพระสถูปองค์ ๑ ทิศใต้ ๑ องค์ หล่อพระพุทธรูปนั่งด้วยทองคำ ๒ องค์หนักองค์ละ ๑ แสน ตั้งไว้ ณ ทิศตะวันออกพระสถูปองค์ ๑ ทิศตะวันตก องค์ ๑ และได้จัดสร้างดุริยดนตรี เครื่องปูลาด เตียงตั้ง และฉัตรธงไว้ทั้ง ๔ ด้านแห่งพระสถูปนั้น แล้วให้หล่อรูปยักษ์ ๘ ตน ยืนเฝ้าที่หน้ามุขพระสถูปทั้ง ๔ ด้าน ๆ ละตน และยืนเฝ้าประตูแห่งคูหาทั้ง ๔ ด้าน ๆ ละตน แล้วพระเจ้าอโศกมหาราชจึงเอาโกศแก้ววชิระ หนัก ๑ พันน้ำ มาตั้งไว้เหนืออาสนะทองคำ ครั้นได้นักขัตฤกษ์ชัยมงคล จึงพร้อมด้วยพระอรหันต์ เทวดา นาค ครุฑและสมณพราหมณ์ ทำการฉลองสมโภชบูชาพระบรมธาตุแห่งสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นมหาปางอันใหญ่ตลอด ๗ วัน ครั้นแล้วจึงได้ทำการอัญเชิญพระทักษิณโมลีธาตุจอมพระเศียรเบื้องขวาแห่งพระพุทธเจ้า เท่าเมล็ดในพุทราเสด็จเข้าสู่โกศแก้ววชิระนั้น พร้อมทั้งพระธาตุกระดูกด้ามมีดเบื้องขวา โตเท่าเมล็ดข้าวสารหัก มีสัณฐานเป็นสามเหลี่ยม และพระบรมธาตุย่อยอีก ๕ องค์เท่าเมล็ดพันธ์ผักกาด รวมเป็นพระธาตุ ๗ องค์ ให้เข้าอยู่ในโกศแก้ววชิระนั้น จึงเชิญโกศแก้ววชิระให้เข้าประดิษฐานไว้ในพระสถูปทองคำเสร็จแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราช พร้อมด้วยท้าวพระยาเสนามาตย์ เทพยดา และพระอรหันต์ทั้งหลาย จึงกล่าวคำอธิษฐานไว้ว่า ข้าแต่พระบรมธาตุเจ้าองค์ประเสริฐในกาลเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ได้เคยเสด็จมาสู่ที่นี่ และได้ตรัสทำนายไว้แก่พระยาอังครัฏฐะว่า "พระทักษิณโมลีธาตุของเราตถาคตจะมาประดิษฐานอยู่ที่นี่" ดังนี้ และบัดนี้พระบรมธาตุเจ้าก็ได้เสด็จเข้าประดิษฐานอยู่ในที่นี่ สมดังพระพุทธทำนายแล้ว ในกาลต่อไปข้างหน้า แม้ว่าคน เทวดาและครุฑ นาคใด ๆ ก็ดี จักมานำเอาพระบรมธาตุเจ้าไปในสถานที่ใดก็ดีขอพระบรมธาตุเจ้าอย่าได้เสด็จไปเลย แม้ถึงว่าได้เสด็จไปแล้วก็ขอจงได้ เสด็จกลับคืนมาอยู่ ณ สถานที่นี้ตราบเท่า ๕๐๐๐ พระวัสสา เพื่อได้เป็นที่สักการบูชาแก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายชั่วกาลนาน ข้าแต่พระบรมธาตุเจ้าในอนาคตกาลข้างหน้า หากมีพระราชาหรือมหาอำมาตย์ผู้ใด ได้มาสักการะพระบรมธาตุเจ้า ณ ดอยศรีจอมทองที่นี่ ขอจงให้พระราชาเป็นต้น พระองค์นั้นจงมีเดชานุภาพเหมือนดั่งข้าพระพุทธเจ้าอโศกมหาราชธรรมราชานี้เทอญ

    หรือบ้าเพราะ สงสัยตามที่ บรรพชน บันทึกไว้ ตามพระราชประวัติบรรพกษัตริย์ ที่ ว่า...

    พญาขอมได้ครองเมืองเชียงแสน นานได้ ๑๗ ปีก็หมดอำนาจแล้วก็หนีลงทางใต้ ไม่กลับมารุกรานไทยอีก ตลอดสมัยพระเจ้าพรหมมหาราช ครั้นทรงสร้างเมืองชัยปราการ เสร็จเรียบร้อยแล้วประมาณ ๓ ปี
    พระพุทธศักราชล่วงได้ ๙๔๙ ปี มีพระมหาเถระองค์หนึ่ง ชื่อว่า พระพุทธโฆษาจารย์ เป็นชาติมอญ มีบ้านเดิมอยู่เมืองสะเทิม (พม่าเรียกว่า ตะโถ่ง) อยู่ใกล้กับเมืองเมาะลำเลิง ประเทศพม่า
    พระพุทธโฆษาจารย์นี้ ท่านได้ออกจากเมืองมอญ ลงสำเภาไปศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศลังกา มีความรู้พระพุทธศาสนา จบพระไตรปิฏกอย่างแตกฉาน ก็ได้กลับมาสู่ประเทศของตน ท่านได้เผยแผ่พระพุทธศาสนา ในประเทศมอญ และประเทศพม่าตามลำดับ แล้วได้เดินทางเข้ามาในเมืองสุโขทัย ลำดับมา จนถึงเมืองโยนก ถึงเมืองเชียงแสน ในสมัยพระเจ้าพังคราช
    นอกจากพระพุทธโฆษาจารย์ จะนำพุทธศาสนา มาเผยแผ่ในนครโยนกแล้ว ท่านยังได้อัญเชิญพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้ามาด้วย ๑๖ องค์ เป็นอัฏฐิหน้าผาก มีขนาดใหญ่ กลาง เล็ก ได้แบ่งพระบรมธาตุขนาดใหญ่ ๑ องค์ ขนาดกลาง ๒ องค์ และขนาดเล็ก อีก ๒ องค์ ถวายแก่พระญาเรือนแก้ว ส่วนที่เหลือได้ถวายแก่พระเจ้าพังคราช พระเจ้าพังคราชได้นำพระโกฏเงิน พระโกฏทอง และพระโกฏแก้ว มารองรับพระบรมธาตุทั้ง ๑๑ องค์นั้น ทรงมอบให้พระเจ้าพรหมมหาราช นำไปประดิษฐาน ก่อพระเจดีย์ไว้ที่บนดอยน้อยหรือจอมกิตติ ซึ่งเป็นดอยที่ พระพุทธเจ้า ทรงประทานเกษาธาตุ บรรจุไว้ก่อนแล้ว ในสมัยโน้น


    หรือบ้าเพราะ สงสัยตามที่ บรรพชน บันทึกไว้ ตามพระราชพงศาวดารเหนือว่า..

    พระยาเชียงทอง เข้าเฝ้า สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ว่ายังมีพระอาจารย์องค์หนึ่งมาถวายพระพรว่า พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอานนท์ว่า สืบไปเมื่อหน้าเมืองสาวัตถี จะกลายเป็นเมืองหงสาวดี จะมีกษัตริย์องค์หนึ่งพระนามว่า พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช จะสร้างพระมาลีเจดีย์องค์หนึ่งในกลางพระนคร ทุกวันนี้ยังปรากฏมีอยู่ พระมาลีเจดีย์นั้นอยู่ทิศอุดร พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา แจ้งพฤติเหตุแล้วก็มีพระทัยยินดีนัก ในปี จ.ศ.๔๑๓ จึงตรัสสั่งให้ขุนการเวก และพระยาศรีธรรมราชา ภูดาษราชวัตรมเมืองอินทร์ ภูดาษกินเมืองพรหม ยกกระบัตรนายเพลิงกำจาย นายทำนององค์รักษ์ นายหาญใจเพชร นายเด็จสงครามข้าหลวงแปดนาย กับไพร่ห้าร้อยคุมเครื่องบูชาขึ้นไปถวายพระมาลีเจดีย์ คณะดังกล่าวเดินทางไป สุพรรณบุรีถึงบ้านชบา เมืองพระยาเจ็ดตน บ้านรังงาม ด่านทราง เจ้าปู่หิน ถึงแม่น้ำชุมเกลียว ณ ที่นั้นมีพระพุทธไสยาสน์องค์หนึ่งเป็นทองสัมฤทธิ์ ยาวห้าเส้น คณะทั้งหมดเข้าไปนมัสการ แล้วเดินทางต่อถึงเขาฝรั่งยางหิน ถึงตำบลเขาหลวง พอสิ้นแดนกรุงศรีอยุธยา ไปถึง ด่านทุ่งเขาหลวง สิ้นเขตแดนนับได้ ๓๘ วัน จากนั้นขาดระยะบ้านไม่มีผู้คนเดินเลย บ่ายหน้าไปทิศอุดร เป็นป่าใหญ่ เดินไปไม่ต้องแดด เป็นทุ่งอยู่กลางเป็นป่าละเมาะ คนทั้งปวงสิ้นอาหารกินแต่ผลไม้ สิ้นหนทาง ๓๐ วัน จึงเข้า เมืองหงสาวดี มีด่านบ้านพราหมณ์รายไปบ้าง สิ้นหนทางนั้น ๓๐ วัน จึงถึงเมืองหงสาวดี สิ้นทาง ๒ เดือน กับ ๒๑ วัน

    หรือบ้าเพราะ สงสัยตามที่ บรรพชน บันทึกไว้ ปรากฏใน “คำประกาศเทวดา” ครั้งสังคายนาพระไตรปิฎก ปีสัมฤทธิศก พ.ศ. ๒๓๓๑ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ว่า..

    ครั้นพระพุทธศักราชล่วงมาถึง ๒๐๐๐ ปีเศษนั้น พระปริยัติสาสนาอันเป็นมูลปรนนิบัติมัคคผล ซึ่งพระโมคคลีบุตรดิศเจ้าให้พระเถรเจ้าทั้งหลายไปตั้งสาสนาในปจันตชนบท แลพระไตรปิฎกอันพระพุทธโฆษาจารย์เจ้าไปแปลมาแต่ลังกามาไว้ในชมพูทวีป พระเถรานุเถระในชมพูทวีปได้เล่าเรียนสร้างสืบต่อกันมา แลท้าวพระยาเศรษฐี คหบดีศรัทธาสร้างไว้ในกรุงสัมมาทิฏฐิทั้งปวง คือ เมืองไทย,ลาว,เขมร,พม่า,มอญ, เป็นอักษรพิรุธส่ำสมกันอยู่เป็นอันมาก หาท้าวพระยาสมณะผู้ใดที่จะศรัทธาสามารถ อาจชำระพระไตรปิฎกขึ้นไว้ ให้บริบูรณ์ดุจท่านแต่ก่อนนั้นมิได้มี

    หรือบ้าเพราะ สงสัยตามที่ บรรพชน บันทึกไว้ ปรากฏใน นิราศพระแท่นดงรัง ซึ่ง นายมี หรือ หมื่นพรหมสมพัตสร ท่านได้แต่งเอาไว้เมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๓๗๙ ก่อนที่ เซอร์ อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม นักโบราณคดีชาวอังกฤษ จะขุดค้นพบพระพุทธรูปปางปรินิพาน ที่ประเทศอินเดีย ในปี พ.ศ. ๒๔๑๙ ที่ว่า..

    โอ้พระแท่นแผ่นผาอยู่ป่าดอน แต่ปางก่อนที่นี้เป็นที่เมือง
    ชื่อโกสินนารายสบายนัก เป็นเอกอรรคออกชื่อย่อมฤๅเลื่อง
    ทั้งแก้วแหวนเงินทองก็นองเนือง ไม่ฝืดเคืองสมบัติกษัตรา
    มีสวนแก้วอุทยานสำราญรื่น ดูดาดดื่นดอกดวงพวงบุปผา
    ปลูกไม้รังตั้งแท่นแผ่นศิลา คือแผ่นผาอันนี้ท่านนีพาน
    ของพระยามลราชประสาทไว้ ย่อมแจ้งใจทุกประเทศเขตสถาน
    ที่สำคัญมั่นหมายหลายประการ สมนิทานเรื่องเทศน์สังเกตฟัง
    แต่บ้านเมืองสูญหายกลายเป็นป่า พยัคฆาอาศัยเหมือนใจหวัง
    พระอุทยานร้างราเป็นป่ารัง อนิจจังอนาถจิตอนิจจา
    เดชะบุญได้นบอภิวาท ไม่เสียชาติที่ได้พบพระศาสนา
    รำพันพลางทางก้มบังคมลา ถอยออกมาเที่ยวชมพนมเนิน


    และผมก็ดีใจ ที่ไม่บ้าตามฝรั่ง จนไม่ลืมหูลืมตา ครับ


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2012
  12. BJTing

    BJTing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +262
    ...ลองเทียบระยะทางใหม่ โดยใช้ความสูงของคนในสมัยนั้นประมาณ 8 ศอก...
    ...ขนาด 1 ศอกของคนสมัยนั้นก็ประมาณ 2 ศอกสมัยนี้ ระยะทางควรจะเพิ่มอีกเท่าหนึ่งของสมัยนี้เมื่อเทียบเป็นกิโลเมตร..
    ...ตามบันทึกที่หลวงพ่อฤาษีท่านพาลูกศิษย์ไปอินเดีย บอกไว้ว่าสถานที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่ที่บริเวณใกล้ ๆ ที่อินเดียเขาทำไว้ห่างไปจากบริเวณนั้นทางทิศตะวันออกประมาณ 1 กิโลเมตร...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2012
  13. หยดน้ำเพชร

    หยดน้ำเพชร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +70
    มันก็น่าคิดนะคับถ้าอยู่เมืองไทยผมคิดว่าน่าจะเจริญที่สุดแต่มันก็ขัดกับบทเรียนต่างๆที่เรียนมาเพราะเค้าสอนว่าพระศาสดาเกิดและอยู่ที่อินเดีย
     
  14. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    เบาะแส จาก ประเพณี "หนึ่งเดียวในโลก" ซึ่งมีเฉพาะในประเทศพม่า คือ Thadingyut, the Month of the Light Festival โดยเฉพาะที่เมืองพุกาม หรือ Bagan ซึ่ง มีความเชื่อว่า สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อยู่เหนือภูเขา Myint Mo หรือ เขาพระสุเมรุ จึงเรียกประเพณีในชื่อหนึ่งว่า "Myint
    Mo Festival" นั้น อาจจะนำไปสู่การค้นพบหลักฐานที่ว่า "เมืองสังกัสสะอยู่ที่พุกาม" นี่เอง




    Thadingyut, the Month of the Light Festival

    Buddha observed his seventh Lent in Tavatimsa. There, sitting on the
    brown emerald slab called "Pandukambala" which was the throne of
    Sakka the King of devas, under the shade of the Pinlei Kathit Tree
    or Coral Tree (Erythrina indica) the Lord Buddha expounded the seven
    sections of Abhidhamma to a gathering of devas and Brahmas including
    his mother Santussita deva. The preaching of the Abhidhamma
    throughout the Lent came to an end on the Full Moon day of
    Thadingyut. So this day was designated and celebrated by the
    Buddhists as "Abhidhamma Day". The Lord Buddha told Sakka deva that
    he would return to human world. Whereupon Sakka deva created three
    stairways – one of gold on the right side for the devas, one of
    silver on the left side for the Brahmas and one in the middle of
    rubies for the Lord Buddha to descend upon. Many deities accompanied
    the Lord Buddha. They held several celestial regalia. Panca Thinkha
    deva on the right played the "Veluva" harp in praise of the Lord
    Buddha. Matali deva on the left carried flowers and fragrance to
    honour the Lord Buddha. Suyama deva carried the yak tail fly whisk,
    Santussita deva held the ruby-studded gold fan and Sakka deva blew
    the "Vizayuttara" Conch Shell to celebrate the occasion. All deities
    dwelling in the whole of the Universe also gathered to pay homage to
    the Lord Buddha as best they could. The three stairways being
    illuminated by the lights radiated from the deities led to the
    gateway of the City of Sakassa on earth. When the Lord Buddha set
    foot upon the earth, the crowd that awaited at the city gate all
    paid obeisance to the Lord Buddha and a grand ceremony was held to
    welcome and honour him.

    To commemorate this great event in the life of
    the Lord Buddha which took place on the Fullmoon day of Thidingyut
    the Myanmar people hold "Tawedeintha" (Tavatimsa) festival or "Myint
    Mo Festival" because Tavatimsa is said to be on the summit of Mt.
    Myint Mo (Mt-Meru).
    Fantastic replicas of Myint Mo are constructed
    artistically with the three stairways, and in the evening lights are
    lit on it. The event of the descent of the Lord Buddha accompanied
    by the deities is depicted with the statues, and devotees pay
    reverence to the image of the Buddha in a descending posture on the
    middle stairway. Offertories are made at shrines and pagodas and
    alms are given to the monks. Hymns are sung in praise of the Buddha
    and his teaching, the Dhamma. A reception is held where all comers
    are entertained with fruits, cakes and light refreshments.

    · The Thadingyut light festival was depicted
    in the mural paintings of the Pagodas and temples at old Bagan and
    other old capitals.
    One particular fresco, which vividly portrayed
    the Tawedeintha Festival of the time is found on the inner wall of
    Myinkaba Ku Byauk Kyi Temple at old Bagan.
    It is the scene of the
    descent of the Lord Buddha from Tavatimsa to the city of Sankassa
    .

    In other wall paintings are seen earthen oil lamps illuminating
    religious monuments. Earthen oil lamps called "si-mee gwet" are
    small circular flat cups of baked earth to contain some oil in which
    cotton wicks are soaked and lighted. Myanmar people still use them.

    ดูเพิ่มเติมที่ World Of Wisdom: Thadingyut - The Light Festival

    หากท่านใด เคยไปวัด Ku Byauk Gyi Temple ที่เมืองพุกาม แล้ว ได้ถ่ายภาพจิตรกรรมฝาผนังของโบราณ ในวันพระพุทธองค์เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็นำมาแบ่งปันกันชมด้วยนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2012
  15. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. Projazz

    Projazz สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +4
    ถ้าเป็นไปตามกระแสจริง ก็เหมือนกับว่า พวกฝรั่ง กำลังพยายามหาทางเปิดประเทศพม่า โดยทุกวิถีทาง

    แต่ผมก็เชื่อนะว่า พระพุทธเจ้า กำเนิดที่ประเทศไทย ^ ^
     
  17. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,944
    ค่าพลัง:
    +3,294
    เมียพม่าสักคนไหม"เอกอิสโรย"... แถวบ้านเราเยอะเลย
     
  18. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    หากจะอ้างพระไตรแล้ว
    ทำไมต้นไม้จึงงอกออกจากสะดือในปางนอน
    งอกออกไปจนถึงสวรรค์
    ท่านกล่าวเรื่องกายาหรือกาย

    วัดสะตือคือวัดอะไร
    อะไรคือกะ
    อะไรคือกามเทพ
    อะไรคือธนู

    สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดหากสมดุลย์แล้ว
    ทุกอย่างเหมือนฝ้ายกุ่ม
    คือการปั่นด้าย
    ยาวตลอด

    อะไรกำ กรรม กาม
    มีแต่มสื่อไทยเท่านั้นที่อธิบายได้

    ชาติสุดท้ายในกัณฑ์มหาชาดะกะ
    คือเตมีย์ใบ้
    ตะมีย์พม่าแปรว่าแสงหรือไฟฉาย

    แต่หากคิดอีกเรื่องคือการใบ้แสงและเงามาเป็นสื่อ
    คือหนังตาลุง
    นำไปสู่การมีกลางวันกลางคืนของโลก

    หากถามว่าที่อัฟกานิสถาน
    ท่านคงไม่ลืมทางสายไหมที่ยาวนาน
    ท่านคงไม่ลืมคนไทยที่ยังคงค้างและมีวัดอยู่ที่เมืองจีน

    หากเจอนักวิชาเกินอีกเยอะกว่านี้อีกหน่อยหิมะคงร่วงแน่
    เพราะวิชาบัวหิมะก๋วยเจ๋งเขารู้
    แต่ไอสไตน์คงทุกข์ทรมานมากที่สิ่งที่เขาคิด
    ถล่มฮิโรชิมาและนางาซากิตายเป็นแสนเป็นล้านคน

    เขาคงคิดว่าเขาไม่ควรคิดอย่างนั้น
    เขาไม่ควรเกิดมาบนโลกใบนี้
    เพื่อทำลายเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
    แทนที่จะทำให้โลกสงบตามหลักพุทธ
    หรือไม่อย่างไรขอรับ
     
  19. มู่หยงฟุ

    มู่หยงฟุ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +18
    แต่ผมว่าน่าจะที่อินเดียนั้นแหละนะ ชาวพุทธแท้เวลามีศรัทธาต่อพระรัตนไตรดีแล้ว ก็มักจะมีเมตตามากขึ้น พูดตรงๆก็คือเลิกบ้าสงคราม เลิกสะสมกำลังทะหาร อาวุธ

    เป็นเหตุให้ถูกรุกราน ลำลายจากศาสนาอื่นที่มีคำสอนในทำนองว่าฆ่า...ได้ถ้าทำเพื่อทำเพื่อเผยแพร่คำสอนของเสียงกระซิบ(ไม่รู้จะกระซิบทำไมได้ยินแค่ไม่กี่คน)จากเทพต่างมิติ
     
  20. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ไอ้ที่ดิฉันถามในกระทู้ก่อน คุณก็ไม่ยอมตอบ หาหลักฐานทางวิชาการไม่ได้เลย

    1. ทำไมพระไตรปิกฏเป็นภาษา บาลี สันสฤต?

    2. ทำไมเรื่องกฏแห่งกรรม การนั่งสมาธิ ของพระพุทธองค์ไป เหมือนในคำภีร์พระเวทของศาสนาพรหมณ์?
     

แชร์หน้านี้

Loading...