จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ทิวลิปขาว

    ทิวลิปขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +1,555
    เป็นเราก็จะเล่านิทานให้น้องฟัง
    สมมุติว่า น้องกับพี่ เดินทางเข้าเมืองกันระหว่างทางมันมีครองกั้น สายน้ำก็ไหลเชียวกราด อีกทั้งตรงไหนน้ำลึกน้ำตื้น พี่ก็ไม่รู้

    พี่ก็จะบอกน้องว่า ให้น้องรอพี่ตรงฝั่งก่อน น่า
    ให้พี่วายน้ำข้ามฝั่งไปถึงฟากฝั่งนู้น แล้วพี่จะหาเรือมารับน้อง พี่สัญญาว่าจะกลับมารับน้องจริงๆ พี่จะไม่หนีไปเที่ยวในเมืองคนเดี๋ยวหรอกน่ารับรองได้

    แต่ว่าเมื่อพี่ว่ายน้ำข้ามฝั่งไปแล้ว พี่พายเรือกลับมา เพื่อรับเจ้า
    เจ้าจะงอนพี่ไหม ที่ปล่อยให้รอคนเดี๋ยวนานๆ
    เจ้าจะลงเรือไปกลับพี่ไหมเล่า

    หรือว่าเจ้าจะยอมตัวเปรียก ว่ายน้ำไปพร้อมๆกันกับพี่

    ......................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2012
  2. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    อารมณ์เฉย
    ดังที่เคยเขียนไปแล้วว่า อารมณ์เฉย เป็นอารมณ์ที่ด้านๆ เหมือนผนังพลาสติก
    ปาขี้โคลนเหนียวๆไป มันก็จะแปะจะเกาะอยู่ตรงนั้น ออกแนวทื่อๆ
    จะว่าซื่อก็ออกแนวซื่อบื้อ กลายเป็น ทื่อๆบื้อๆ
    ไม่เอากะอะไร ใครว่าไร ไม่รู้ไม่แคร์ไม่สนใจไม่นำพา แบบไร้สติ
    จะหาอะไรมาเปรียบได้ล่ะ หากจะไม่เปรียบว่า อารมณ์ตายด้าน
    ผู้ฝึกจิตทั้งหลาย อย่าได้หลงเข้าใจว่าอารมณ์นี้มันดีเชียวนะ
    เรื่องของเรื่องคือ มันร้าย แต่เป็น ร้ายโง่
    ร้ายตรงไหน ร้ายตรงที่ มันสามารถทำให้เราเข้าใจไปว่า มันเป็นอารมณ์
    ที่ดี เราไม่ไป ทุกข์ สุข กับอะไร แต่หารู้ไม่ สุกจนเกรียมเมื่อใดที่
    ไปติด ไปเกาะมัน แห้ง ตากขาบ ถูกสต๊าฟกับตรงนั้น มันทำให้เรา
    เข้าใจได้ว่า เราหลุดจากอารมณ์ต่างๆและถึงจุดปลายทางแล้ว นี่แหละ
    ที่ว่าร้าย น่ากลัวเชียว
    ที่ว่าโง่ เพราะอารมณ์นี้ เกิดขึ้นเหมือนอารมณ์ของอุเบกขา
    มันทำให้เราเข้าใจไปว่า เราอุเบกขา แล้ว แต่หารู้ไม่ เรากำลังอุแบกขา
    แขนแสนเท่า มันต่างจากอารมณ์อุเบกขา ตรงที่อารมณ์อุเบกขา
    มีสติเป็นตัวคอยประคับประคองนำพาจิตให้เดินทางตรงพิจารณาตัดลง
    ตรงกฎไตรลักษณ์ แต่อารมณ์เฉย ไม่ได้เอาสติมาประคับประคองจิต
    เฉยแล้วเฉยเลย เฉยไป เฉยมา เฉยๆ จิตไม่ได้พิจารณาอะไร
    มองเห็นตัวโกรธแล้วเดินหนีไปอย่างซื่อๆ หรือ เดินผ่านไปอย่างด้านๆ
    โกรธมากระแทกกระทบก็ไม่สะทกสะท้านเหมือนหุ่นยนต์ทื่อๆ ยังไงยังงั้น
    วิธีการวางกำลังใจก็ไม่ได้ยากตรงไหน หากใครไปติด(มีอารมณ์เฉย
    บ่อยๆ) ให้เอาสติไปงัดง้าง มันออกมา เอาสติไปดูรู้ และเข้าใจ
    บอกจิตไปว่านี่แหละคือตัวเฉย มันไม่เที่ยง มันยังเกิดและดับได้อยู่
    เหมือนกับอารมณ์ทุกข์ สุข มันเป็นกลุ่มเดียวกับอารมณ์ทั้งสองนั้น
    และหากมีแรงเร้าแรงกระทบเข้ามากระแทกจิตให้เอาสติตามดูว่าจิตเรา
    มันทุกข์ หรือ สุข หรือ เฉย อั่ยทุกข์ สุข นี้ดูง่าย แต่เฉย
    มันยาก ฝึกดูไป เคล็ดที่ไม่ลับก็คือ สติ สติ และ สติ นะจ๊ะ......
     
  3. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    โมทนาสาธุจ๊ะ แห๊ม เห็นภาพ
    ว่าแต่ หากน้องเป็นโรคกลัวน้ำแถม กางขาขึ้นเรือไม่เป็น
    ไม่ลอง ไม่พยายาม เราก็คงต้องวางอุเบกขา ปล่อยน้องไป
    หาคนข้างหน้าที่พร้อมจะลงเรือไปกับเรานะคะ เฮ้อ...
    ว่าแล้วก็ สาธุจ๊ะ
     
  4. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    เห็นครูดัช พูดเรื่องอารมณ์เฉย นึกขึ้นได้ ตอนส่งการบ้าน ขึ้นกระทู้ เคยส่งเรื่องนี้เหมือนกัน
    พอไปค้นแล้ว เลยเจอบางเรื่อง อาจจะเป็นประโยชน์แก่ท่านที่กำลังฝึกอยู่ตอนนี้บ้าง เลยตัดมาเป็นท่อนๆ ถ้าสนใจอ่านการบ้าน ฉบับเต็มก็ดูได้จากประมาณหน้า 170 ไปค่ะ

    เช้านี้เจอคนที่เคยมีปฏิคะด้วย ที่เมื่อวานยิ้มให้กันแล้ว วันนี้พี่ยิ้มให้แต่แกหน้าบึ้งตอบ ดูจิตตัวเองก็รู้สึกเฉยๆ ไม่โมโห คราวนี้เห็นแล้วว่าเฉยเพราะติดเฉยกับเฉยเพราะอุเบกขาต่างกัน หลายสัปดาห์ก่อน ที่แม่บ้านทำหน้าบึ้งใส่ แต่ไม่ใส่ใจเอาจิตหลบใน รู้แต่ไม่สนใจ แล้วยังไปบอกว่าไม่สนใจจริยาของผุู้อื่น ถ้าไม่ได้ครูคอยชี้แนะคงยากที่จะถึงฝั่ง

    คุณหมอแยกแยะอาการเฉยกับอุเบกขาได้ถูกต้องค่ะ ท่านผู้อ่านทั้งหลายโปรดนำไปเป็นกรณีศึกษาอารมณ์ของตนเองด้วยค่ะ เฉยกับอุเบกขาไม่เหมือนกันนะ

    4 08 55


    เช้านี้ไปวัด ไปเกือบไม่ค่อยทันเวลา ขับรถตามรถคันหน้าขับช้า แซงไม่ได้ ทางโค้งเยอะ ก็ไม่ได้หงุดหงิด หรือ รำคาญ
    นั่งสมาธิอยู่ มีพี่ที่รู้จักมาเรียก ชวนคุยบ่นคนอื่นให้ฟัง ก็ไม่ได้ร่วมไปด้วย หลับตา ชวนคุยอีก ก็ลืมตามาพูดกับด้วยม่ได้หงุดหงิด หรือ รำคาญ แต่อยากนั่งสมาธิ เพราะเดี๋ยวต้องกลับไปทำงาน
    ขากลับแวะซื้ออาหาร รอนานแถมโดนแซงคิว แต่เฉยๆ
    จริงๆคิดจะไปซื้อเจ้าถัดไปเพราะกลัวไปทำงานสายแต่ไม่อยากให้แม่ค้าโกรธ เดี๋ยวเขาจะเดือดร้อน เลยรอต่อ


    จิตยังทรงอยู่ที่อารมณ์เดียวคืออุเบกขาญาณให้เข้าใจสภาวะของจิตที่เป็นอยู่ด้วยค่ะที่เฉยเพราะเขาทรงอยู่ในอารมณ์เดียวคืออุเบกขาญาณ<O:p</O:p
    <O:p
    ในคลินิคพยายามแยกกายแยกจิต พอได้ มีติดๆบ้างพยายามนึกถึงพระไว้ตลอด ตอนพิมพ์นี้ เพิ่งพบว่าแค่นึกเฉยๆก็ได้ ก็เกิดปิติเหมือนกันใหม่ๆเอาจิตไปหาพระข้างนอก หลังๆมองย้อนไปในจิต ถ้าอย่างนี่แยกกายแยกจิตจะง่ายขึ้นกายไม่สะดุดเพราะไม่ต้องไปกำหนด แค่นึกเฉยๆ

    5555 พี่เพ็ญขอหัวเราะอ้าปากกว้าง ๆ หน่อยนะคุณหมอเพิ่งเก็ตแต่ครูปากเกือบฉีกถึงหู ฮ่าๆๆๆ ดีใจที่คุณหมอเข้าใจเสียทีใครอ่านอยู่ตอนนี้โปรดทำความเข้าใจตามที่คุณหมอได้อธิบายไว้ด้วยนะเจ้าคะ"แค่นึกเฉยๆ"<O:p
    <O:p
    เจ้าหน้าที่มาบอกคนไข้คนสุดท้ายไม่มาหัวเราะดีใจแต่ปาก ใจเฉย จะรีบกลับมาส่งการบ้าน

    สติกับจิตเกาะติดกันอยู่ข้างในแล้วจิตจึงจดจ่ออยู่แต่ในธรรม โมทนา สาธุค่ะ นึกถึงพระให้บ่อยค่ะ แค่นึกเฉย ๆนั่นแหละค่ะ เป็นการประครองจิตให้อยู่ในสมาธิให้ต่อเนื่องให้สังเกตนะว่าจิตที่อยู่กับธรรมในจิตเขาจะเบิกบานมาก

    หามือถือไม่เจอ ปากก็ว่าเอ๊ไปไหน แต่ใจเฉยสภาวะแบบนี้เห็นตั้งแต่เมื่อวาน หัวเราะ แต่ใจเฉย ว่าแล้วต้องโดน เรื่องศีล 8 ขอกราบงามๆ สำหรับไม้หน้าสาม ท่านใดยังไม่อ่านพี่ภูวิเคราะห์สภาวะที่เกี่ยวข้องได้ครอบคลุมมาก

    คุณหมอทำถูกต้องตามวิธีแยกกายแยกจิตแล้วค่ะกายก็เป็นเรื่องของกาย จิตก็เป็นเรื่องของจิต มันทำงานกันคนละหน้าที่ถ้าแยกกายแยกจิตเป็นแล้วจะเห็นชัดค่ะ แต่ถ้าสติอ่อนจะแยกไม่ออกและถ้าสติไปทางจิตไปทางก็แยกไม่ออกเหมือนกันเพราะฉะนั้นอยากเห็นการทำงานของจิตต้องเอาสติตามจิตไปติด ๆ ค่ะเหมือนขาซ้ายกับขาขวาห่างกันเมื่อไรเป็นอันล้มทั้งยืน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2012
  5. จารุณี22

    จารุณี22 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +1,403
    [​IMG]


    [​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
  6. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ขอโมทนา สำหรับ post นี้ ทำให้เข้าใจสภาวะดีขึ้น

    จิตโดนกระทบแล้วไม่หวั่นไหว เป็นกราฟเส้นตรง ____________ คือ อุเบกขา เป็น มรรค
    ผลอันเกิดจาก จิตไม่กระเพื่อม (อุเบกขา) เพราะมีสติ อยู่อย่างสมบูรณ์ เป็นนิโรธ
    เป็นนิโรธ เพราะกระทบแล้วไม่ทุกข์ หรือกระทบแล้วเห็นไตรลักษณ์ หรือ อริยสัจ 4 จิตจะเป็น สุข สงบ กว่าเดิม
    วันก่อนมีเวทนาทางกาย แต่จิตนิ่งอยู่ และเห็นว่า ขันธ์นี้เป็นทุกข์ จริงหนอ
    พอเห็นว่า ขันธ์นี้เป็นทุกข์ จริงหนอ ยิ้มเลย ยิ้มที่ปาก ใจสว่าง หยุดยิ้มไม่ได้อีก ทั้งที่เวทนาทางกายยังอยู่
    ยังนึกว่าาถ้าใครมาเห็น ตอนนั้น คงคิดว่าบ้าไปแล้ว

    จิตไม่หวั่นไหว จิตไม่กระเพื่อมเป็นวิหารธรรม
    คือจิตทรงอุเบกขา อยู่ตลอด

    ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เพื่อยังประโยชน์ เพื่อความสุข ให้แสงสว่างแก่ดวงจิต ของเวไนยจริงๆ
    เป็นธรรมเพื่อการพ้นทุกข์จริงๆ
    ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ด้วยเศียรเกล้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2012
  7. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ขออนุญาตประกาศจิตบุญดวงที่ ๙๐ ณ วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕

    ขอท่านทั้งหลายจงโมทนา
    กับจิตบุญดวงที่ ๙๐
    ของกลุ่มจิตบุญเทอญ

    สาธุ สาธุ สาธุ
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    คุณแม่ละเอียด ศิษย์ครูเพ็ญและแม่ชีปาลิดา
    จบกิจจิตเกาะพระเป็นจิตบุญ 90 ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2555
    คุณแม่ละเอียดอายุ 65 ปี เคยบวชชีและปฏิบัติแนวสุขวิปัสสโกมานานหลายปี
    ท่านเพิ่งลาสิกขา(ไม่แน่ใจว่าใช้คำนี้ป่าวค่ะถ้าเขียนผิดก็ขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้)เมื่อไม่นานมานี้
    ท่านเคยบวชชีพร้อมแม่ชีจี๋(ปาลิดา)แต่ตอนนี้ท่านลาสิกขาแล้ว
    แม่ชีจี๋แนะนำให้มาสอบอารมณ์เรียนจิตเกาะพระกับครูเพ็ญ

    เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 55 คุณแม่ละเอียดโทร.มาหาครูเพ็ญเมื่อเวลาประมาณ 2 ทุ่ม
    ครูเพ็ญจึงจับเทียบสังโยชน์ 10 กับบารมี 10 และวัด รัก โลภ โกรธ หลง อย่างละเอียดยิบๆๆ

    ปรากฎว่าสอบอารมณ์ไปได้ครึ่งทางลูกสาวกับลูกเขยเพิ่งกลับจากไต้หวัน
    โทร.เข้ามาท่านจึงขอพักวางสายก่อน ท่านเงียบไปพักใหญ่ก็โทร.กลับมาอีก
    บอกว่าเกรงใจครูเพ็ญแต่โทร.ไปหาแม่ชีปาลิดา
    แม่ชีปาลิดาบอกให้กลับมาสอบอารมณ์ต่อให้จบแล้วโทร.ไปรายงานผลท่านด้วยท่านจะได้โมทนา(เอ่ เหมือนแม่ชีปาลิดาจะรู้นะเนี่ย)

    พอกลับมาสอบอารมณ์ต่อรอบสอง ครูเพ็ญก็สอบซะละเอียดยิบอีก
    ท่านติดสงสัยเรื่องการวางกำลังใจในการรักษาศีลคือวางกำลังใจไม่ถูก
    ไปติดข้ออนาติปาตฯ คือไปฆ่าสัตว์หรือทำร้ายสัตว์เล็กโดยไม่ได้ตั้งใจ
    เช่น เดินไปเหยียบหอย มด แมลงตายโดยไม่ได้ตั้งใจ
    ท่านจึงคิดว่าท่านรักษาศีลไม่ได้ แต่พอครูเพ็ญปรับจิตให้ว่า
    การละเมิดศีลหรือไม่อยู่ที่เจตนา แต่ถ้าเราไม่ได้เจตนาศีลของเราก็ไม่ขาด
    แต่อาจจะมีพร่องไปสักเล็กน้อยก็ให้เติมให้เต็มด้วยการปรับปรุงศีลให้ดีอยู่เสมอ
    แล้วให้ขอขมาพระรัตนตรัยกับแผ่เมตตาให้สัตว์ที่เราฆ่าหรือทำร้ายไปโดยไม่เจตนา
    พออธิบายว่าอย่างนี้ท่านบอกว่า "แจ้งแล้ว ปัญญาเกิดแล้ว หายสงสัยแล้ว เข้าใจทะลุปรุโปร่งแล้ว"

    พอมาถึงข้อรูปราคะ ท่านติดรูปฌาน คือไปติดสงสัยในนิมิต ไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจ
    ถามใครไม่ได้ ถามครูอาจารย์ก็ไม่ได้ ไม่กล้าถาม ท่านไม่ให้ถาม
    พอมาถึงครูเพ็ญท่านเล่าหมดตามที่เคยเห็นแล้วก็สงสัยว่ามันจริงไหม มันคืออะไร ทำไมจึงเห็น
    ครูเพ็ญก็อธิบายว่านิมิตมีทั้งจริงและหลอก สิ่งที่คุณแม่เห็นนั้นท่านเรียกว่า "ของเก่าที่ติดมากับจิต"

    คือท่านไปรู้เรื่องอดีตและอนาคตแต่สงสัยว่าทำไมจึงรู้ทำไมจึงเห็น
    แล้วจะแก้ไขหรือวางกำลังใจอย่างไร
    ครูเพ็ญตอบว่าก็แค่ทำตัวรู้ขึ้นมาว่าเราเห็นอย่างนี้ เรารู้อย่างนี้ รู้ แล้วก็ วาง
    ไม่ยึด ไม่ถือว่านิมิตเป็นของเราจิต
    อย่าไปยึดติดในตัวสงสัยเพราะเป็นเครื่องขวางกั้นความเจริญของจิตทำให้ไม่เกิดปัญญา
    เมื่อเกิดรู้เห็นนิมิตขึ้นมาในจิตก็ให้สักแต่ว่ารู้ รู้แล้วก็วาง
    อย่าไปสร้างตัวสงสัยขึ้นมาปรุงแต่งต่อ
    นิมิตก็ดี ฌานก็ดี สมาธิก็ดี จิตก็ดี สติก็ดี ปัญญาก็ดี ร่างกายก็ดี อารมณ์ก็ดี อาการก็ดี
    ล้วนไม่เที่ยง เป็นสิ่งไม่ควรยึด ต้องทำตัวรู้คือสติขึ้นมาให้ทันการณ์ว่า
    อ๋อ รู้แล้วว่าเป็นอย่างนี้ ธรรมดามันเป็นอย่างนั้นเอง
    เกิดขึ้นแล้วเดี๋ยวก็ดับไปตามธรรมชาติ
    ให้ทำสติรู้สึกตัวและจิตตัวรู้ขึ้นมาให้ทันกัน
    รู้แล้วก็ปล่อยวางไป ทุกสิ่งในโลกนี้แลถึงจักรวาล
    ล้วนตั้งแต่บนกฎไตรลักษณ์ทั้งสิ้น
    ยึดไปก็เท่านั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน
    และอีกยืดยาว ฯลฯ

    โอ้ ครูเพ็ญพูดอยู่ 3 ชั่วโมงจนเสียงแห้งคอแห้งไปเลย
    สอบกันละเอียดยิบเลย เพราะรู้สึกว่าท่านนี้จิตแก่เต็มที่แล้ว
    แต่ไม่สามารถเปิดประตูพระนิพพานด้วยตนเองได้
    พอครูเพ็ญเปิดจิตสอบอารมณ์ยาวเหยียดนับรวมได้ 3 ชั่วโมง
    ท่านจบกิจสำเร็จเป็นจิตบุญ 90 ทันที

    ท่านนี้เข้ามาแบบจรวดแล้วก็ออกไปแบบจรวด
    อารมณ์สุดท้ายท่านบอกว่าไม่เหลืออะไรแล้ว
    ที่เคยติดสงสัยก็เกิดปัญญารู้แจ้งสว่างขึ้นมาแล้ว
    ทุกอย่างแยกออกจากกันหมดแล้ว(กายกับจิต)
    ใจโล่ง โปร่ง สบาย เป็นกลางเฉยอยู่อย่างนั้น ราบเรียบ สว่างอยู่กลางอก

    โมทนา สาธุ

    ปล.ลูกหว้าขอไอติมกับน้ำผลไม้ปั่นนะ เอาแบบพิเศษนะ
    เพราะอาหารที่ทานกับน้องฟ้าและน้องแนนเมื่อตอนเย็นย่อยสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
    555555555555555555555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2012
  9. urairatvi

    urairatvi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +2,401
    ขออนุโมทนาบุญกับจิตบุญดวงที่๙๐ด้วยคะ ขอให้ท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปคะ...
    ขออนุโมทนาบุญกับครูจิตบุญผู้ฝึกสอนด้วยคะ...
    ขอเป็นกำลังใจให้แกผู้ปฎิบัติจิตเกาะพระ,จิตบำเพ็ญให้เจริญในมรรคประสบความสำเร็จโดยเร็ววันด้วยเทอญ
    ขอเชื้อเชิญผู้ที่เกาะขอบกระทู้และยังลังเลสังสัย มาปฎิบัติเห็นผลด้วยตนเองด้วยเทอญ เพราะสิ่งนี้เป็น ปัจจัตังคะ เวลาผ่านไป ผ่านไป ท่านทำอะไรอยู่.....
     
  10. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ขออนุโมทนากับจิตบุญ ดวงที่90 และครูผู้สอนทุกท่านด้วยค่ะ...สาธุ
     
  11. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444


    ปล.ลูกหว้าขอไอติมกับน้ำผลไม้ปั่นนะ เอาแบบพิเศษนะ
    เพราะอาหารที่ทานกับน้องฟ้าและน้องแนนเมื่อตอนเย็นย่อยสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
    555555555555555555555[/QUOTE]...

    โมทนา สาธุ....ค่ะพี่เพ็ญ อย่างนี้ต้องรับแบรนด์ สักขวด นะคะ เพิ่มพลังค่ะ...ดูแลสุขภาพ ด้วยนะคะ พี่..ทราบว่าพี่หายป่วย ..น้องๆทางนี้เป็นห่วงพี่ค่ะ:cool:
     
  12. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    กำลังใจเรื่องอินทรีย์ห้า


    พี่ภู อย่าไปรั้งจิตผู้ปฏิบัติจิ จิตเขาก็เดินไปตามมรรคของเขา เรื่องอินทรีย์เป็นเรื่องของการสร้างบารมีจิต เพราะฉะนั้นทุกอย่างเดินไปตามมรรค จิตที่ยกขึ้นพระนิพพานอินทรีย์ท่านเต็มสมส่วนทุกคน ไม่มีใครยิ่งหย่อนไปกว่าใคร

    คำว่าอินทรีย์แก่กล้าขึ้นอยู่กับการสร้างบารมีของแต่ละท่าน ไม่เกี่ยวว่ายกไวหรือยกช้า เมื่อจิตยกแล้ว จิตจะปรับตัวได้เองภายหลัง แต่จะให้ทุกดวงจิตมีอินทรีย์แก่กล้าเหมือนกันเหรือเท่าเทียมกันนั้นเป็นไปไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าทุนเดิมของท่านฝึกมาสายใด

    สุขวิปัสสโก (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ละเอียด)

    เตวิชโช (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ว่องไว)

    ฉฬภิญโญ (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เข้มข้นและมีความคล่องตัวสูง)

    ปฏิสัมภิทัปปัตโต (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ทุกอย่างดีเลิศ)

    พี่เพ็ญยกมาเปรียบเทียบให้ดูจากการปฏิบัติของตนเอง จึงเห็นข้อแตกต่างกันในเรื่องอินทรีย์ดังที่กล่าวมาแล้ว เรื่องนี้ไม่ขออ้างตำราใด ๆ เพราะทุกอย่างได้มาจากการปฏิบัติทางจิตทั้งสิ้น

    การปฏิบัติในแต่ละแนวจิตของผู้ปฏิบัติจะเดินไปตามกำลังจิตของตนในสายนั้น ๆ เพราะฉะนั้นระดับอินทรีย์ของพระอรหันต์ในสี่สายจะแตกต่างกัน ก็เป็นไปตามขั้นตอนการฝึกจิตตามแนวปฏิบัติของสายนั้น ๆ

    หลายท่านคงมีคำถามว่าแล้วทั้งสี่สายต้องมีอินทรีย์แก่กล้าเท่าเทียมกันหรือจึงจะถือว่าปฏิบัติได้ดี ตอบว่าไม่ใช่

    พระอรหันต์ทุกองค์ที่ท่านผ่านวิปัสสนาญาณมาแล้วย่อมเรียกได้ว่าท่านมีปัญญารู้แจ้งในกฎไตรลักษณ์เหมือนกันหมด จะต่างก็แค่ชั่วโมงบิน(ขออนุญาตให้คำนี้เพื่อจะได้เห็นภาพชัด ๆ)

    ถามว่าคนจบปริญญาตรีต้องเก่งเหมือนกันหมดทุกคนไหม ตอบว่าไม่ เพราะแต่ละคนก็เรียนมาคนละสาขาวิชาตามที่ตนถนัด ปัญญาจึงรู้แตกต่างกันไปตามวิชาที่ตนได้เรียนมา ก็ถือได้ว่าท่านเป็นเอกในสายของท่าน แล้วอะไรเป็นตัววัดความถนัดของท่าน ก็คือเกรดเฉลี่ยใช่ไหม

    จิตบุญก็เหมือนกัน ถามว่าทุกท่านจบกิจไหม ตอบว่าจบแล้ว สอบผ่านกฎไตรลักษณ์แล้ว แต่ถ้าถามว่าเกรดเฉลี่ยเท่ากันไหม ตอบว่าไม่เ่ท่า เกรดเฉลี่ยของจิตบุญคืออะไร ก็คืออินทรีย์ห้าเป็นตัววัดค่าเฉลี่ยโดยรวมผ่านเกณฑ์ไหม แต่ในทางธรรมค่าคะแนนทุกตัวจะ้ต้องผ่านเกณฑ์ในแต่ละตัวด้วย เช่น ศรัทธามีคะแนนเต็ม 100 การที่คุณจะได้เกรด 4 คุณต้องทำคะแนน 80% ขึ้นไปใช่ไหม

    จิตบุญทุกคนทำคะแนนได้เกรด 4 ทุกตัว แต่ค่าของคะแนนอยู่ระหว่าง 80-100 เพราะฉะนั้นกำลังของอินทรีย์ห้าของแต่ละท่านจะไม่เท่ากัน แต่ก็อยู่ในเกรด 4 นะ แต่คนที่จะได้เหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญทองแดง(มีป่าวเนี่ย) ก็ต้องมาวัดกันที่คะแนนในเกรด 4 อีกที

    นี่ยกตัวอย่างเกรดสมัยก่อนมาให้ดูเพื่อประกอบคำอธิบาย จะเข้าใจกันป่าวเนี่ย - _-'
    ดังนั้น พระอรหันต์ที่มาจากการปฏิบัติในสี่แนว กำลังใจไม่เท่าเทียมกัน
    พระอรหันต์ที่มาจากแนวสุขวิปัสสโกกำลังใจของท่านจะไม่ว่องไวเท่ากับสายเตวิชโช
    กำลังใจของพระอรหันต์ที่ปฏิบัติแนวเตวิชโชจะไม่เข้มข้นเท่าสายฉฬภิญโญ
    กำลังใจของพระอรหันต์ที่ปฏิบัติแนวฉฬภิญโญจะไม่เท่าเทียมกับพระอรหันต์ที่ได้ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    แต่ถามว่าแล้วพระอรหันต์ทั้งหมดปฏิบัติขึ้นมากจากสี่แนวนั้นอินทรีย์ท่านแก่กล้าหรือไม่ ตอบว่าแก่กล้าสมส่วนตามแนวที่ท่านปฏิบัติมาแต่ไม่เท่าเทียมกัน

    เช่น สายสุขวิปัสสโกอินทรีย์ห้าสมส่วนตามแนวของท่านที่ได้ปฏิบัติมา

    สายเตวิชโชอินทรีย์ห้าสมส่วนตามแนวของท่านที่ได้ปฏิบัติมา ฯลฯ

    เพราะฉะนั้นจะเอาทั้งสี่สายมาเปรียบเทียบอินทรีย์กันไม่ได้

    แต่กำลังใจของพระอรหันต์ในสายใดท่านก็รักษากำลังใจในระดับที่ท่านทรงได้ในระดับนั้น จิตใครก็จิตใครต้องรักษาระดับกำลังจิตของตนไว้ พระอรหันต์สายสุขวิปัสสโกจะทำกำลังใจให้เท่ากับพระอรหันต์สายเตวิชโชก็ไม่ได้ ยกเว้นท่านเปลี่ยนแนวไปฝึกสายเตวิชโชหรือฉฬภิญโญต่อยอดขึ้นไป แต่ต้องลาสายฝึกเดิมก่อนนะ โลภทำหลายสายหรือทุกสายในเวลาเดียวกันไม่ได้ ความละเอียดของจิตไม่เท่ากัน

    ขอให้จิตบุญทุกท่านปรับเรื่องการวางกำลังใจเสียใหม่นะ โปรดจำไว้ว่าจิตจะต้องเดินทางสายกลางไปจนตาย ห้ามเลี้ยว ห้ามนอกลู่นอกทาง กำลังเรามีแค่ไหนเราก็ทำไปตามกำลังใจที่เรามี จะเอาจิตไปเปรียบเทียบกับจิตผู้ปฏิบัติแนวอื่นไม่ได้ แม้ในแนวเดียวกัน อินทรีย์ห้ายังไม่เท่ากันเลย แม้จะได้เกรด 4 เหมือนกัน แต่ก็ยังมีเหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญทองแดงอีกนะ นี่คือการเปรียบเทียบให้เห็นภาพมิใช่จะมาสร้างตัวสร้างตนกันนะ

    หลายคนคงจะสงสัยว่าแล้วจิตเกาะพระอยู่ในแนวไหน ใครอ่านมาถึงตรงนี้โปรดจำไว้นะ เราฝึกอยู่ในสายเตวิชโช(วิชชาสาม)

    บางคนที่เคยมีของเก่ามาก่อนตั้งแต่อดีชาติ เช่น พี่ภู กำลังใจท่านจึงสูง อินทรีย์ท่านแก่กล้าเข้มข้น คนที่จบกิจขึ้นมาใหม่จะนำจิตท่านไปเลียนแบบพี่ภูหรือเร่งจิตให้อินทรีย์แก่กล้าเท่าท่านไม่ได้ จะเปรียบเทียบกันก็ไม่ได้ เพราะจิตบุญแต่ละคนที่เข้ามาฝึกปฏิบัติจิตเกาะพระ ส่วนใหญ่นะมาจากสายสุขวิปัสสโกกับเตวิชโช แค่สองสายนี้เราก็เห็นความแตกต่างในทุนบารมีอย่างชัดเจนแล้ว

    ส่วนฉฬภิญโญที่พอจะมองเห็นกันในเรื่องจิตก็มีอีก 3-4 ท่าน ซึ่งล้วนอยู่ในระหว่างการรื้อฟื้นองค์รู้และฝึกปฏิบัติจิตในชาติปัจจุบันทั้งสิ้น นี่กล่าวถึงเฉพาะกลุ่มจิตบุญนะ ไม่เกี่ยวกับกลุ่มอื่น

    สรุปว่าอินทรีย์ห้าจะแก่กล้าก็ขึ้นอยู่กับชั่วโมงการฝึกฝนจิต ทุนบารมีเดิมที่เคยสั่งสมไว้ และสร้างทุนบารมีในชาติปัจจุบัน

    อินทรีย์ในที่นี้ไม่ใช่หมายถึงร่างกาย
    แต่หมายถึง ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
    ขอให้จิตบุญวางกำลังใจเรื่องอินทรีย์ห้าเสียใหม่นะ
    โปรดเดินอยู่บนทางสายกลางไปจนกว่าจะหมดอายุขัย

    พี่เพ็ญ จบ. 3
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2012
  13. ทิวลิปขาว

    ทิวลิปขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +1,555
    อนุโมทนาสาธุ กับจิตบุญใหม่ 90 กับครูผูฝึกสอนด้วยค่ะ
     
  14. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สาธุ สาธุ สาธุ ขออนุโมทนาบุญกับจิตบุญน้องใหม่ดวงที่ 90 และครูผู้สอนด้วยจ้าาาา สาธุ๊:cool::cool:
     
  15. kantinanna

    kantinanna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +1,819
    ขออนุโมทนากับจิตบุญ ดวงที่๙๐ และครูผู้สอนทุกท่านด้วยค่ะ...สาธุ
     
  16. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สาธุ สาธุ สาธุค่ะ พี่เพ็ญ แจ่มเลยค่ะ ไอ้ตรงตัดเกรดนี้ทำให้หนูนึกถึงตอนที่ตัดเกรดประเมินผลงานลูกน้องสมัยก่อน ก็ไม่อยากให้ทะเลาะกัน ก็ตัดมันเกรด A หมดเลย แต่ในเกรด A นั้น ก็จะมีคนได้เหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญทองแดง (80-100) อย่างที่พี่เพ็ญว่ามาเลยค่ะ สาธุ ช่างเข้าใจยกตัวอย่างเปรียบเทียบได้ลึกซึ้งกินใจเจงๆ ครูละเอียดของหนู 555555:cool:({):cool:({):cool:
     
  17. ทิวลิปขาว

    ทิวลิปขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +1,555
    กราบบูชาท่านพ่อค่ะ สาธุ
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสาธุๆ กับเธอด้วยนะ เพราะต่อไปเธอก็จะได้ช่วยคนให้ออกจากทุกข์กัน แถวๆนั้นกับคุณแนท(คนสวย) เพราะนับต่อนี้ไปสายบุญเธอก็จะขยันเข้ามาหาทางคุณแนท พี่ภูพูดงงไปไหม๊ ไม่ต้องงงนะ เพราะเดี๋ยวเธอก็จะพบกับความงงงวยงันของตนเองมากกว่านี้อีกนะ
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ก่อนที่เราจะเห็นธรรมะหรือธรรมชาติ พวกเราก็ต้องค้นหาจิตของตนเองก่อน เราถึงจะเห็นธรรมชาติแห่งจิตตนเองนั้น เป็นเช่นไร และเมื่อใครมองเห็นจิตตนเองดีแล้ว จิตใสแล้ว ต่อไปอีกไม่นานนัก จิตก็จะพบธรรมะภายใน(จิตในจิต)ของตนเอง แต่ก่อนจะเห็นธรรมะภายในจิตตน สติต้องตามดูจิต จนกว่าจะมองเห็นการเกิด-ดับของกิเลสตนได้อย่างชัดเจน นี่แหล่ะ คือจุดเด่นของจิตเกาะพระ เพราะจิตทรงฌานทั้งวันทั้งคืน จิตนิ่งเป็นผู้ดู ก็จะเห็นเจตสิก(feeling หรือความรู้สึกต่างๆของจิต)ของจิต(mindหรือดวงจิต)ได้ชัดเจนมาก พอแร๊ะพร่ำมาก เดี๋ยวจะออกทะเลเหนือ(North Sea)แถวๆบ้านเธอโน้น
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พี่ภูขอโมทนาสาธุกับธรรมาทานด้วย
    เผื่อจะได้จิตบุญนี่ ติดหลายอย่างจังเน๊อะ พอเราฝึกจับภาพพระนานๆไป(สร้างสติ) เมื่อจิตทรงฌานได้แล้ว เดี๋ยวก็ติดสุขจากฌานกันอีก ติดเฉยกันอีก ไม่ได้นะผู้ปฎิบัติเมื่อทำสมาถสมาธิได้แล้ว เราก็ต้องนำจิตทรงขณะสมถสมาธิอยู่นั้นไปทำวิปัสสนาและลงท้ายด้วยไตรลักษณ์อันเป็นธรรมสุดท้าย แต่ไม่ใช่เราไปเรียนรู้แทนจิตตนเองนะ เดินมรรคจะต้องนำจิตไปเดิน จึงมิใช่เรา

    ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้ลองทำดูนี่ อย่าเพิ่งไปคิดเอากันเองนะ มันไม่เป็นอย่างที่เข้าใจกันนะ จิตนี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน
     

แชร์หน้านี้

Loading...