โลกเราเคยเกิดสงครามล้างเผ่าพันธ์มาแล้ว

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย นะมะนะอะ, 22 กันยายน 2012.

  1. นะมะนะอะ

    นะมะนะอะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +83
    อ่านกับแบบ สนุกๆนะคับ อย่าคิดมากปวด ตับๆๆๆๆๆๆ


    ก็เรียนกันมาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้นกันเกือบทุกคนนะครับ สำหรับมหากาพย์ของอินเดียเรื่องมหาภารตะ และรามายณะ หรือรามเกียรติ ผมจะไม่เล่าประวัติ หรือเนื้อเรื่องของมหากาพย์ทั้งสองนี้ล่ะนะครับ คิดว่าคงรู้กันดีอยู่ ปัญหามันมีอยู่ว่า ไอ้ที่เราเรียนๆหรืออ่านกันนี้ มันเป็นฉบับดัดแปลงครับ หมายถึงสำนวน เนื้อเรื่อง ต่างๆเพี้ยนจากต้นฉบับไปเยอะมาก (ทำนองเดียวกับไบเบิล) ส่วนหนึ่งอาจมาจากกาลเวลาที่ยาวนาน รวมถึงการเล่าสืบต่อมาหลายชั่วอายุคน มีการดัดนั่น เสริมนี่เข้าไปจนเพี้ยนจากต้นฉบับเดิมมาก ส่วนหนึ่งก็มาจากการแปลครับ การแปลจากภาษาหนึ่งไปยังอีกภาษาหนึ่งเป็นเรื่องที่ลำบาก เพราะต้องคำนึงถึงภาษา ตลอดจนปัจจัยอื่นๆประกอบกันเพราะฉะนั้น ขอให้ทำความเข้าใจกันนิดว่า เอกสารทั้งหลายที่ผมอ้างอิงถึง เป็นเอกสาร Original ซึ่งขุดค้นพบโดยนักโบราณคดี และนักวิชาการเท่านั้น ถ้าคุณไปซื้อฉบับที่เป็นวรรณกรรมมาอ่านแล้วเนื้อหาไม่เหมือนกันจะมาโวยวายผมไม่ได้นา
    เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันเสียที นักวิชาการผู้สนใจเรื่องอารยธรรมโบราณทั้งหลายแหล่ มีอยู่ส่วนหนึ่งครับ ที่ปักใจเชื่อมั่นว่า ในอดีตโลกของเรา เคยถูกครอบครองโดยสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลกมาก่อน สำหรับท่านที่เข้ามาดูเว็บไซต์นี้บ่อยๆก็คงพอจะเข้าใจแนวคิดนี้ดี อินเดียเป็นหนึ่งในแหล่งอารยธรรมใหญ่ของโลก เคยรุ่งเรืองทั้งศาสตร์และศิลป์มาตั้งแต่อดีตกาล เรารู้จักกันในนามของอารยธรรมลุ่มน้ำ คงคา-สินธุ ครับ กลุ่มชนที่อาสัยในแถบนั้นสืบเชื้อสายมาจากชาวอินโด-อารยัน อันเป็นหนึ่งในเชื้อสายใหญ่ๆของโลก ชาวอินโดอารยันในแถบนี้มีความรู้ทางภาษามากครับ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ปรัชญา วรรณกรรม จึงมีให้เห็นเกลื่อนไปหมด ทว่า มีวรรณกรรมอยู่หลายเรื่องที่เก่าแก่จนหาที่มาที่ไปไม่ได้ว่าเริ่มต้นมาจากไหน บางเรื่องเก่ากว่าต้นกำเนิดของผู้คนในแถบหิมาลายันเสียอีก มหาภารตะ คือหนึ่งในเรื่องราวเหล่านี้ครับ

    จากต้นฉบับภาษาสันสกฤตโบราณที่ถูกค้นพบในอินเดียและปากีสถาน ทำให้นักโบราณคดีถึงกับอึ้งครับเมื่อพวกเขาแปลพบจารึกเหล่านี้ ร้อนถึงสภามหาวิทยาลัย และ สถาบันวิจัยของกองทัพอินเดียต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในการแปลข้อความเหล่านี้ ต้นฉบับสันสกฤตของมหาภารตะถูกค้นพบนานมากแล้วครับ เพียงแต่แรกเริ่มเดิมที ต้นฉบับเหล่านี้ถูกมองเป็นเพียงนิทานเท่านั้น แปลไปแปลมามันไม่ยักกะใช่น่ะซีครับ เพราะเนื้อหาที่กล่าวถึงมันช่างล้ำยุคล้ำสมัยเป็นที่สุด ร้อนถึงหลายๆสถาบันที่เกี่ยวข้องในยุโรปและอเมริกาต้องมาประชุมเครียดกัน เพื่อถกเถียงปัญหาเกี่ยวกับต้นฉบับดังกล่าว ผลสรุปได้ ออกมาดังนี้ครับ กลุ่มแรกเห็นว่ามันเป็นเพียง" ตำนาน"เท่านั้น ก็แค่นิทานและจินตนาการของกวี ไม่เห็นมีอะไรซักหน่อย

    แต่อีกกลุ่มเค้าไม่คิดแบบนั้นน่ะซีครับ เค้าบอกว่านี่แหละคือหลักฐานแบบจะๆที่สามารถอ้างอิงได้ว่า ในอดีตมนุษย์เคยมีการติดต่อกับสิ่งทรงภูมิปัญญาจากนอกโลก รวมถึงทำสงครามกันด้วยอากาศยานและเทคโนโลยีทางนิวเคลียร์มาแล้ว ว๊าว... เป็นไปได้ยังไงกัน?
    เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง นักโบราณคดีชาวจีนได้ค้นพบจารึกภาษาสันสกฤตในมณฑลลาซาของทิเบต ภาษาที่ใช้โบราณจนแปลลำบากมาก กลุ่มนักโบราณคดีได้ส่งจารึกชิ้นนี้ไปที่มหาวิทยาลัย Chandrigarh เพื่อขอความช่วยเหลือในการแปล ดร.Ruth Reyna หัวหน้าทีมแปลจารึกชิ้นนี้กล่าว่า เอกสารพวกนี้กล่าว ถึงวิธีการสร้างยานอวกาศครับ! เป็นยานที่ใช้โดยสารระหว่างดวงดาว มีการกล่าวถึงหลักการขับเคลื่อนของวิมานะ ด้วยกรรมวิธีที่เรียกว่า "laghima" (ลักษิมะ) ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไรกันแน่ ดร. Reyna กล่าวต่อไปว่า กลไกการขับเคลื่อนของตัวยานนั้น ตามจารึกเรียกว่า แอสตรา(Astras) สามารถที่จะนำมนุษย์ไปยังดาวดวงใดก็ได้ที่ต้องการ เหลือเชื่อดีมั๊ยล่ะครับ เอกสารโบราณของชาวภารตะเมื่อหลายพันปีก่อนเนี่ย

    นอกจากนี้ เนื้อหาในจารึกยังกล่าวถึง "อันติมะ" ยานยนตร์ที่ล่องหนได้ และ "การิมะ" อากาศยานขนาดใหญ่เท่าภูเขาขนาดย่อม เหมือนนิทานดีนะครับจารึกพวกนี้ แน่นอนว่าทีแรกทีมงานแปลไม่ได้ใส่ใจจารึกพวกนี้มากนัก จนกระทั่งกองทัพสาธารณรัฐประชาชนจีนประกาศว่า จะมีการนำเอาเนื้อหาส่วนหนึ่งของจารึกนี้มาวิจัยในโครงการอวกาศของจีนด้วยนั่นแหละ ทั่วโลกจึงหันมาจับตา "นิทานโบราณ"พวกนี้อย่างจริงจัง



    เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งว่า จารึกเหล่านี้ขาดหายตกหล่นไปเป็นจำนวนมาก ถึงกระนั้น นักวิชาการรวมไปถึงนักโบราณคดีก็ได้อะไรไม่น้อยจากจารึกนี้ เชื่อไหมครับว่ามีการกล่าวถึงการเดินทางสู่ดวงจันทร์ในมหากาพย์ รามายณะ อากาศยานที่พวกเขาใช้โดยสารเรียกว่า วิมานะ หรือ แอสตรา ที่เซอร์ไพรส์ยิ่งกว่านั้นก็คือมีการกล่าวถึง การทำสงครามอวกาศด้วยวิมานะด้วยครับ ระหว่างชาวอินเดียโบราณกับชาว Asvin (ขออ่านว่าอัศวินนะครับ) ด้วย ถ้าเรื่องในจารึกเป็นแค่นิทานหรือนิยาย ก็นับว่าเป็นนิยายวิทยศาสตร์เรื่องแรกของโลกที่กล่าวถึงการทำสงครามอวกาศก่อนหน้า Star Wars ของ จอร์จ ลูกัส เกือบหมื่นปีเชียวแหละคุณเอ๊ย


    --------------------------------------------------------------------------------

    เพื่อเจาะลึกเรื่องวิมานะนี้ให้มากขึ้นอีก ผมขออนุญาตพาท่านย้อนยุคไปยังอาณาจักรโบราณ ซึ่งตามจารึกกล่าว่าเจริญรุ่งเรืองมาเมื่อ 15,000 ปีก่อนหน้านี้ อาณาจักรนี้ชื่อ Rama Empire ครับ ตั้งอยู่ทางเหนือของอินเดียและปากีสถาน นักโบราณคดียืนยันว่า นครเก๋ากึ๊กแห่งนี้ไม่ใช่มีแต่ในนิทานเท่านั้น หากแต่มีอยู่จริงทำนองเดียวกับทรอยและไมซีนี่ เพราะมีการขุดพบโบราณสถาน โบราณวัตถุ ตลอดไปจนจารึกอีกจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่ในบริเวณที่ตั้งของนคร ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นทะเลทรายอย่างไม่ทราบสาเหตุ ร่องรอยของอาณาจักร Rama ยังหลงเหลืออยู่ในตำนานปัจจุบัน

    หลายเรื่องเช่นนครทั้งเจ็ดอันกอปรขึ้นเป็นอาณาจักร Rama นี้เรารู้กันกันตามตำนานในชื่อของ "The Seven Rishi Cities." หรือ นครของกษัตริย์ลิจฉวีนั่นเอง


    นครนี้มีคงความเจริญทางเทคโนโลยีไม่แพ้ปัจจุบันทีเดียว เพราะตามจารึกกล่าวถึงความเป็นอยู่ของพลเมืองไว้อย่างพิสดารมาก พวกเขาไปไหนมาไหนกันด้วยพาหนะที่เรียกว่า Vimanas หรือ วิมานครับ ลักษณะของมันประกอบด้วยดาดฟ้าสองชั้น ตัวยานมีลักษณะกลมเหมือนโดม มีรูระบายอากาศโดยรอบ โอ.. ศิวะเทพ! ทุกท่านคิดเหมือนผมไหมครับว่า ลักษระของเจ้าวิมานะเนี่ยช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ UFOs เสียจริงๆ ยังมีอีกนะครับ วิมานะสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วยิ่งกว่าสายลม แถมยังมีเสียงเหมือนบรรเลงเครื่องดนตรีสี่ประเภทพร้อมกันอีก วิมานะมีอยู่หลายรุ่นหลายรูปแบบครับ ในจารึกยังมีคู่มือการขับวิมานะประเภทต่างๆ รวมถึงการหลักการสร้างและทำลายวิมานะของข้าศึก เดี๋ยวผมจะเอารายละเอียดให้ดูครับ

    ข้อมูลเกี่ยวกับ -วิมานะ ที่มีอยู่ในจารึก

    ความลับในการสร้างวิมานะให้แข็งแกร่ง ไม่ไหม้ไฟ และไม่ให้โดนทำลายโดยง่ายจากข้าศึก

    กรรมวิธีขับเคลื่อนวิมานะ การหยุดกลางอากาศ การชะลอความเร็ว

    วิธีการทำให้วิมานะ สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากฝ่ายศัตรู

    การดักฟังคำสนทนาและเสียงอื่นๆในวิมานะฝ่ายตรงข้าม

    การตรวจจับและอ่านทิศทางการเคลื่อนไหวของวิมานะฝ่ายศัตรู

    กรรมวิธีทำให้ผู้ขับวิมานะของศัตรูหมดสติหรือสับสน

    การทำลายวิมานะข้าศึกด้วยวิธีต่างๆ

    อ่านๆดูแล้วงงเป็นไก่ตาแตกเลยครับผม ท่านจะเชื่อหรือครับว่านี่คือจารึกโบราณเมื่อหลายพันปีก่อน ถ้ามันเป็นแค่นิทาน ก็นับเป็นนิทานที่เขียนได้เป็นตุเป็นตะดีมาก เพราะมีทั้งการจารกรรม การวินาศกรรม และการขับอากาศยานแบบครบถ้วนกระบวนการเหลือเกิน สำหรับใครที่สนใจเรื่องราวแบบเต็มๆของเรื่องนี้ รายละเอียดมีอยู่ในงานแปลจารึกที่ถ่ายทอดออกมาจากต้นฉบับสันสกฤตเป็นภาษาอังกฤตครับ รู้สึกจะเป็น MAANIDASHAASTRA AERONAUTICS by Maharishi Bharadwaaja, translated into English and edited, printed and published by Mr. G. R.Josyer, Mysore, India, 1979 นี่แหละ หาอ่านกันตามสะดวกคร๊าบ

    ดร. Josyer สถาบันศึกษาภาษาสันสฤษนานาชาติกล่าวว่า จากลักษณะที่ปรากฏในจารึกโบราณหลายๆชิ้น เจ้าวิมานะนี้คงจะไม่ได้เป็นเพียงตำนานเสียแล้ว เขาให้ข้อสังเกตต่อไปว่า วิมานะสามารถขึ้นลงในแนวดิ่งและแล่นไปบนท้องฟ้าได้ด้วยความเร็วสูง หากเจ้าวิมานะไม่มีกลไกบางอย่างที่สามารถต้านทานแรงดึงดูดโลกแล้วล่ะก็ มันคงใช้หลักการขับเคลื่อนแบบเดียวกับเฮลิคอปเตอร์ในปัจจุบัน คือสามารถขึ้นลงตรงๆได้โดยไม่ต้องอาศัยสนามบิน

    "วิมานะไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยกฤษฎาอภินิหาร แต่มันอาศัยเชื้อเพลิงเป็นตัวขับเคลื่อนครับ เชื้อเพลิงที่ว่าเป็นของเหลวสีเหลืองออกไปทางขาว บางที่ก็ใช้ปรอทเหลวเป็นเชื้อเพลิง รู้สึกว่าผู้จารึกจะสับสนในรายละเอียดของเชื้อเพลิงอยู่มาก มันเหมือนกับว่าเขาเขียนเอาจากการสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ หรือไม่ก้อ้างอิงเอามาจากตำราสมัยก่อนเสียมากกว่า" ดร. Josyer ทิ้งท้ายไว้แบบนี้ครับ

    เป็นไปได้ไหมครับว่านั่นอาจเป็นเพราะวิมานะมีหลายรุ่น มีทั้งแบบใช้เชื้อเพลิงเจ็ทและใช้ปีกหมุนแบบเอลิคอปเตอร์ คำถามนี้คงไม่มีใครตอบได้ นอกเสียจากจะตามขึ้นไปถามคนจารึกบน
    สวรรณ์
    จากส่วนหนึ่งของมาหกาพย์ มหาภารตะ มีวิมานะอยู่ประเภทหนึ่งครับมีลักษณะเป็นลูกกลมๆ ส่งเสียงดังปานฟ้าผ่า แถมยังวิ่งด้วยความเร็วสูงมาก ลักษณะเหมือน UFOs ที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันไม่มีผิดครับ เมื่อเร็วๆนี้เอง มีการแถลงการจากนักโบราณคดีรัสเซียถึงการค้นพบเครื่องยนต์ปริศนา ที่ถ้ำเล็กๆในทะเลทรายโกบี เครื่องยนต์ที่ว่าทำจากแก้วและโลหะคาดว่าต้องเป็นชิ้นส่วนของยานพาหนะสักอย่างในอดีต ในโคนซึ่งมีลักษณะคล้ายท่อไอเสียของเครื่องยนต์พบสารปรอทตกค้างอยู่เป็นจำนวนมาก เล่นเอานักโบราณคดีกลุ่มนั้นงงเป็นไก่ตาแตก เพราะนึกไม่ออกเหมือนกันว่าใครหนอ ที่มาทิ้งเครื่องยนต์อายุเกือบแปดพันปีเหล่านี้ไว้ในถ้ำเล็กๆ ในทะเลทรายที่ปราศจากผู้คนแบบนี้


    น่าเสียดายครับ ที่วิมานะก็เหมือนอากาศยานที่ใช้กันในปัจจุบัน คือเน้นงานสงครามเป็นหลัก ชาวภารตะโบราณเล่าขานถึงการขับเคี่ยวในเชิงยุทธ ระหว่างพวกเขาและคู่สงครามด้วยวิมานะอย่างน่าฟัง คู่สงครามของพวกเขาเป็นมหานครที่เจริญด้วยอายธรรมเสียยิ่งกว่าพวกเขาอีก ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของ Rama Empire ไกลโพ้นออกไปกลางมหาสมุทร ชาวภารตะดบราณเรียกอาณาจักรนั้นว่าอาณาจักรของพวก Asvin และเรียกวิมานะของฝ่ายนั้นว่า Vailixi ครับ

    มีอยู่บทหนึ่ง(ในหลายๆบท)ในมหภารตะที่โด่งดังมากครับ เพราะให้ภาพชัดเจนเกี่ยวกับสงครามนิวเคลียร์มาก มีการใช้ขีปนาวุธที่ "ยาวราวเจ็ดชั่วตัวคน ขับเคลื่อนด้วยเปลวไฟในตัวเอง สามารถทำลายเมืองได้ทั้งเมือง" ถล่มกันจากวิมานะ มีอยู่บทหนึ่งกล่าวว่า อาวูธของฝ่ายข้าศึกช่างร้ายแรงราวกับรวมพลังจากทั่วสากลโลกมาไว้ในตัวเอง อานุภาพการทำลายเต็มไปด้วยไฟ ควัน และคลื่นความร้อนราวกับดวงอาทิตย์ขึ้นพร้อมกันทีละสิบดวง อาวุธนี้สามารถแปรสภาพพื้นที่รอบบริเวณได้ในพริบตา มันเผาผลาญธัญญาหารจนเกรียมวายวอดไปทั้งท้องทุ่ง ผู้คนจะผมเผ้าขาวโพลนและหลุดร่วง นกบนท้องฟ้าจะเปื้อนฝุ่นละอองสีขี้เถ้า ตกลงมาตายนับพันตัว มิช้ามินาน อาหารและเสบียงที่มีจะเป็นพิษจนหมดสิ้น วิธีการหนีรอดจากไฟบรรลัยกัลป์นี้ของทหารภารตะโบราณคือ ถอดเสื้อผ้าและชุดเกราะออก ลงไปชำระกายในน้ำครับ เพื่อมิให้ฝุ่นละอองนี้ติดตัว

    จินตนาการหรือครับ? นี่เป็นเพียงจินตนาการหรือการถ่ายทอดภาพของสงครามนิวเคลียร์ให้ชนรุ่นหลังได้รับทราบ? โดยส่วนตัวแล้ว ผมเห็นด้วยกับเจ้าของหนังสือเล่มที่ผมแกะมานี้มากเลย ระเบิดและฝุ่นกัมตภาพรังสี ผลที่เกิดกับร่างกายมนุษย์ การปนเปื้อนและตกค้างของฝุ่นนิวเคลียร์ ไม่มีอะไรจะต้องสงสัยอีกแล้วว่า เมื่อนานแสนนานมาแล้ว มนุษย์ได้ทำลายล้างกันด้วยอาวุธมหาประลัยชนิดนี้มาก่อนและบันทึกเรื่องราวเอาไว้เพื่อตักเตือนอนุชนรุ่นหลังถึงพิษภัยของมัน

    ในเมืองโมเฮนโจดาโร อดีตชุมชนแสนโบราณบริเวณลุ่มน้ำสินธุ มีการพบว่าโครงกระดูกในสุสานจำนวนมากที่ปนเปื้อนกัมตภาพรังสีอยู่ รวมทั้งกำแพงเมือง และภาชนะบางชิ้นที่หลอมละลายจนกลายเป็นแก้ว เนื่องจากโดน "ความร้อนที่ไม่ทราบที่มา" หลอมละลายจนกลายเป็นแบบนี้

    ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าวิมานะของชาวภารตะโบราณ เกี่ยวข้องอย่างไรกับ UFOs ที่พบเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน เพราะตามจารึกแล้ว Rama Empire ล่มสลายไปหมดเนื่องจากสงครามครั้งใหญ่ครั้งนั้น ทว่านักวิชาการส่วนหนึ่งยังมีความหวังอยู่ เนื่องจากในจารึกมีการกล่าวถึงการเดินทางระหว่างดวงจันทร์กับพื้นพิภพด้วยวิมานะ มีการรบกับระหว่างชาวภารตะกับชาว Asvin บนน่านฟ้าเหนือวงโคจรดวงจันทร์ ไม่แน่นะครับ ในหลืบใดหลืบหนึ่งของดวงจันทร์ อาจมีผู้รอดตายจากสงครามครั้งนั้นเหลืออยู่ก็ได้

    เครดิต Mythland.org |
    กรุณาอย่าคิดมาก นะคับ คิดซะว่าเป็นนิยายเรื่องหนี่ง
     
  2. Tanyong03

    Tanyong03 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +343
    สนุกจังค่ะ อ่านไปด้วยจินตนาการไปด้วย เราไม่สามารถบอกได้จริงหรือเปล่า อีก500ปี หรือพันปี อาจมีคนรุ่นหลังมาค้นพบหม้อ เตาอบ เตาถ่านของเรา ก็ได้เนาััะ อนุโมทนาค่ะ ขอบคุณที่นำมาให้อ่าน
     
  3. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    โลกเราเคยเกิดสงครามล้างเผ่าพันธ์มาแล้ว
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->นะมะนะอะ<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_6738537", true); </SCRIPT>
    สมาชิก
    <!-- google_ad_section_end -->
    ผมน่ะอ่านที่คุณมาลงแต่อ่านยังไม่ได้ครึ่ง ผมก็เดาต่อไปได้อ่ะครับ ผมจะเจาะลึกลงไปไม่ถึง พ.ศ. ๒.๕๐๐ และอาจจะลงไปนิดหน่อย อนุมานให้คุณได้เห็น และเข้าใจนิหน่อย คนสมัยเมื่อยังไม่ถึง พ.ศ.๒๕๐๐ ที่ผ่านมา คุณคงนึกไม่ถึงสินะ ในยุคนั้นผมยังเกิดทันอยู่ แต่ว่าคุณน่ะทันหรือเปล่า เมื่อไมถึง พ.ศ.๒๕๑๐ เด็กๆผู้หญิงในสมัยนั้น เขาไม่ค่อยมี เสื้อผ้าใส่กัน ไม่เจริญรุ่งเรืองเหมือนในสมัยนี้ ผมจะบอกคุณว่า ถ้าผู้คนอายุเกิน ๕๐ ปีขึ้นไปที่อยู่ตามบ้านนอก เขาเห็นเด็กๆผู้หญิง เขาใช้ปิ้งปิดปิ อย่าให้ผมอธิบายนะ ว่าปิ คืออะไร เดี๋ยวจะหาว่าผมพูดหยาบจริงๆมันไม่หยาบ เพราะมันเป็นภาษาชาวบ้านนอก บางคน อยู่ในบ้าน นมเท่าลูกมะนาว ยังไม่นุ่งผ้าเลย เริ่มเป็นสาวๆกะเตาะแล้ว คุณนึกภาพดูก็ได้ ว่ามันเป็นอย่างไรถ้าคุณเห็นแม่สาวๆน้อยๆในสมัยนี้ นุ่งแบบนั้นน่ะครับ ซึ่งในสมัยนี้ ออกมาปุ๊บใส่เสื้อผ้าแล้ว ยุคมันเปลี่ยนไป


    เกิดขึ้นในเบื้องต้น แล้วตั้งอยู่ และก็ดับไป มีความเจริญก็มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาของโลก มีถึงที่สุด ก็มีต่ำสุด อายุมนุษย์ บางครั้งบางยุค มีอายุขัยถึง ๑๐๐,๐๐๐ ปี หนึ่งแสนปี มนุษย์ๆยุคนี้กำลังเดินเข้าไปหา อายุต่ำสุด ๑๐ ปี สิบปีมนุษย์ อายุขัยต่ำสุด ผมให้คุณคิดตามไป และนึกถึง คนและสัตว์แต่ละยุค ผมจะไม่อะธิบายละเอียด คุณคงเรียนมาสูง ก็คงเข้าใจไม่จำเป็นต้ออธิบายหรอก ถ้าคุยกันเรื่องนี้ วันก็คุยกันไม่จบ แล้วผมจะเล่าให้ละเอียดไม่ได้หรอก เอาแค่ค่าวๆ เท่านั้นพอๆจับใจความได้ คนมีปัญญามันรู้ได้ ผมจะบอกคุณว่า คนในสมัยนี้เขาเชื่อไหมว่า เมื่อ ตก ๕๐ปีที่แล้ว คนจะเกือบจะเป็นสาวๆ ยังใช้ปิ้งปิดปิ คนมีฐานะหน่อยใช้ปิ้งแสตนเลส รวยขึ้นมาหน่อย ใช้กะปิ้งนาคปิดปิ ฮ่าฮ้าๆๆๆๆๆหยาบไหมไม่หยาบ ตูดขาวโพน เห็นหมด บางครั้ง กะปิ้งมันเป็นรูนี่ ถ้าเขาหันหน้ามาหาเรา เอ่อมันก็เห็น........... นะ แล้วใครบอกได้บ้าง มีใครบรรทึกไว้ไหม มันมีประโยชน์ไหม

    แล้วคุณนึกไปถึงประวัติศาตรย์ ชาติไทย สมัย รัตนโกสินตอนต้น อยุธยาปลายและต้น สุโขทัย ปลายและต้น เชียงแสนปลายและต้น โยนกนคร ประวัติศาตรย์ ชาติไทย มีจารึกถึงไหม ไอ้คนสันดาน บางคนมันบิดเบือน ชาติไทยก็มี เพราะเขาให้มันเขียนนี่ มันบิดเบือนอย่างไรก็ได้เปลี่ยนแปลงบ้าง ลดลงบ้าง เหมือนข้อกฎหมาย คนเขียนไม่กี่คน หนังสือก้เหมือนกัน เดี๋ยวนี้ มันใช้ บวกลบคูหาร เปลี่ยนไปเกือบหมด ซึ่งเด็กๆเอามาให้ผม สอนผมสอนไม่เป็น เลย มันเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมๆเขาดีกว่า แต่มันเปลี่ยนกันได้เห็นไหม มีอะไรเที่ยงสักอย่าง แค่นี้คุณยังมองไม่เห็นแล้วจะไปเห็นอะไร ซึ่งมันไกลกว่าความคิดของคุณ เป็นล้านๆปี หรืออสงขัยกัป เดี๋ยวมีเวลาจะเข้ามาใหม่ครับไปใส่บารตวันพระก่อนครับสวัสดี
     
  4. phloiwang

    phloiwang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +244
    ผมดูในยูทูปประจำ เวลาผ่านไปตั้งหลายพันปี แต่ยังมีกัมมันตรังสีตกค้างอยู่ที่โมฮันโจเดโร ยังตั้งข้อสังเกตุส่วนตัวว่า ทะเลทรายทั่วโลกเกิดจากสงครามนิวเคลียร์ในอดีตหรือเปล่า ยิ่งได้อ่าน ลาเซอต้า ที่เล่าถึงสงครามระหว่างสองเผ่าพันธ์ุเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว การระเบิดของนิวเคลียร์ครั้งนั้นทำให้อ่าวเม็กซิโกเป็นอย่างที่เห็น นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกลับเห็นต่างว่านั่นเกิดจากอุกาบาตพุ่งชนโลกต่างหาก ผมเป็นคนแนวสนใจอะไรแนวนี้มากถึงมากที่สุด คงไปกันได้กับจขกท.หรือท่านใดที่ชอบแนวใกล้ๆอจินไตยนั่นแหละ
     
  5. illanzer

    illanzer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +840
    สนุก ดี นะ ครับ อิ อิ
     
  6. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    กรุณาอ่านให้จบอ่านให้จบท่านจะเข้าใจครับ
    มาว่าต่อครับ ไปใส่บารตมาแล้ววันนี้วันพระครับ สบายใจได้ระดับหนึ่งแล้วครับ ผมกำลัง จะทำความเข้าใจ ในหัวข้อเจ้าของกระทู้และ ทุกท่านว่า ว่ามันมีมานานแล้ว ตั้งแต่ โลกนี้อุบัติมาพร้อมกับโลกของเรา ผมจึงเอาแค่อดีดใกล้ปัจจุบัติมาอนุมานให้ท่านทั้งหลายได้เข้าใจกันครับ เอาแค่ปัจจุบัน มันยังบิดเบือนประวัติศาตรย์เลย คนสมัยนี้เมื่อเกือบ ๖๐-๗๐ ปีก่อนโน้น เขาขายวัวควาย ตัวละ ๕๐ สต. ถึง ๑ บาทย่าผมเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้ท่านได้ตายไปแล้ว หลายสิบปี แต่เมื่อ พ.ศ.๑๐ กว่า วัวควายตัวละ ไม่ถึงพันบาท จนถึงพันกว่าๆ ณะปัจจุบันนี้ ตัวละ หลายพัน ถึงเป็นแสนหรือหลายๆแสนบาทณะจะบอกให้ คนสมัยเมื่อย้อนหลังลงไป ๒๕๐๐ ปีลงไป เขาทะเลาะกัน เขาไม่ค่อยฆ่ากันเหมือนคนสมัยนี้ อย่างดี ก็ฟันสั่งสอน ฝากแผลไว้ ให้เข็ดหลาบ เตะต่อยกัน ๆต่อหน้า สู้ซึ่งๆหน้า ไม่ทำร้ายลับหลัง เลิกแล้วก็แล้วกันไปไม่ค่อยอาฆาตมาดร้ายเหมือนคนสมัยนี้ มีอะไรก็ฆ่ากันดักยิงกันตาย ลับหลังให้วุ่นวายไปหมด ยิ่งย้อนลึกไป คนสมันนั้น เขาใช้วิชา ไสยเวท ทำร้ายกัน ใครดี กว่า เขาก็เคารพให้เกรียดกัน น้อยคนนักที่จะอาฆาต เขามีจิตใจงาม เรียนวิชาอาคม มีทุกเชื้อชาติ ๆไหนไร้คุณธรรม ก็ ตีบ้านแปลงเมืองคนอื่น ยึดมาเป็นของตนและพวก


    ยิ่งไปสมัยพระพุทะองค์ด้วยแล้ว คนเขามีกำลังใจสูง ไปไหนบางทีเขาย่นหนทางได้ไปกันไม่นานก็ถึง และสำเร็จมรรคผล เป็นอริยะบุคคลในพระศาสนามากมาย นับไม่ถ้วน ตัวอย่างพระเจ้าจักพรรดิ์ราช ปกครองคนทั่วโลก ไปไหนมาไหน ท่านเหาะไป พาบริวารไปด้วยการเหาะไป ได้ทั่วทั้งโลก และร่างของคนโบราณ มันหายไปไหนกันหมด น้อยนักที่นักโบราณคดี ขุดค้นพบ และมีบรรทึกประวัติศาสตร์ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ขุดพบ ผมจะเจาะลึกลงไป สมัยเมื่อต้นกัป พระพุทธเจ้า กกุสันโท ท่านมีอายุหลายหมืนปี เมื่อตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ยังสั่งสอนเวไนยสัตว์ อีก หลายหมื่นปี คนในยุคนั้น มีอายุเกือบแสนปี ร่างกายสูงนับเป็นสิบๆวา แล้วร่างกายคนในสมัยนั้นหายไปไหนหมดกันครับ น่าจะมีขุดค้นให้พบบ้าง เห็นไหม ผมกำลังบอกว่า ไม่ว่าคนหรือสัตว์ มันเสื่อมสลายไปตามกาลและเวลา ไม่มีอะไรเหลืออยู่ให้เราได้เรียนรู้และศึกษาอีกเลย มันมีการเจริญถึงที่สุดแล้วมันก็เสื่อมต่ำลงถึงที่สุดเหมือนกัน เหมือนคนเราเกิดมา จากวัยเด็ก เข้าสู่วัยหนุ่มสาว แล้วแก่แล้วตาย เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ไม่มีอะไรเหลือ



    โลกก็เหมือนกัน เปรียบเทียบดั่งที่ว่ามาครับ เอาง่ายๆที่จาก จ.เลย ในสมัยก่อนโน้น ดึกดำบรรเคยเป็นทะเลมาก่อน ซากฟอสซิ่ว นักวิทยาศาสตร์ ค้นพบซากมากมาย ของสัตว์โบราณ ย้อนหลังไป ต้นของกัปนี้ มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้มาแล้ว ถึง ๔ พระองค์ พระพุทธองค์ แต่ละองค์ก็ อายุยืนถึง หลายหมื่นปีแต่ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน มีพระชนมายุแค่ ๘๐ปีเอง นี่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงของโลก และอายุมนุษย์ ทั้งสิ้น ต้นกัปถึงปัจจุบัน ก็กินเวลา เกือบ ๓๐ ล้านปีในเมืองมนุษย์ กัปหนึ่งคำนวนไม่ได้ว่ามีอายุ กี่ล้านๆปีในเมืองมนุษย์ แต่ทางพระพุทธศาสนา ท่านว่าดังนี้ครับ ภูเขากว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ ๑๐๐ ปีในเมืองมนุษย์ เทวดาเอาผ้านุ่ม อ่อน มาปัดหนึ่งครั้ง จนกว่าภูเขาจะเหี้ยนเต้ เท่ากับพื้นดิน หรืออีกในหนึ่ง มีถังเมล็ดพันผักกาด สูง ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ ๑๐๐ ปีของเรา มีเทวดา เอาออกไปหนึ่ง เม็ด จนเมล็ดพันผักกาด หมดไปจากถัง เรียก มีอายุ ๑ กัปครับ เปรียบเทียบ ๑๐๐ ปีของเมืองมนุษย์ เท่ากับ ๑ วันบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก วัน เดือน ปีมีเหมือนกัน แต่มากกว่าเยอะ ๑๐๐ ปีในเมืองมนุษย์ เทวดา เอาผ้า หรือเอา เม็ดพันผักกาดออกไปจากถังหรือเตียนเท่าแผ่นดิน มีอายุ ๑ กัปพอดีครับ และอายุหนึ่งกัปนี้มีอายุไม่แน่นอนครับ



    ถ้านับไม่ได้ คำนวนไม่ได้ เลย เรียกว่า ๑ อสงขัยครับ แล้ว พระพุทะเจ้าท่านตรัสรู้มาแล้ว ไม่รู้กี่ล้านๆพระองค์ แผ่นดินมันก็เปลี่ยนแปลงไปตลอด จากเคยเป็นแผ่น ดิน ก็เป็นแผ่นน้ำ จากเป็นภูเขา ก็เป็นทะเล จากเป็นที่ลาภ ก็กลายเป็นที่สูง จากที่พวกนักวิทยาศาสตร์ค้นพบ ที่ออกข่าวให้พวกเราได้เห็นกัน นานๆครั้ง หรือออกมาให้เป็นตำรา ได้ พวกคุณเราๆได่เรียนรู้กันไงครับ ทั้งประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มนุษย์วิทยาศาสตร์ ธรณีศาสตร์ ตำราศาสตร์ ที่ให้พวกเราได้เรียนรู้ ทั้งที่อดีด ใกล้ปัจจุบัน เรายังไม่ค่อยรู่เลย นับประสาอะไร กับ มนุษย์โลกอื่นๆ สัตว์โลกอื่นๆ ที่เราไม่รู้จักและยังไปไม่ถึง แต่เขากับมาถึงเราได้ เวลาอันลวดเร็ว แต่อย่างไร ก็สู้พุทธศาสตร์ไม่ได้หรอกครับ แค่ฌาณโลกี ที่เป็นอภิญญา ๕ เขาก็ไปได้แล้ว โลกอื่นๆ จนมาเป็นตำราให้พวกเราได้เรียนรู้ แต่พวกเรามิได้สนใจต่างหาก นับประสาอะไรที่พระอริยะเจ้าทั้ง หลาย ที่ได้ วิชชาสาม อภิญญาหก และพระที่ได้ทรงปฏิสัมภิทาญาณ มันเรื่องเด็กๆ ท่านเลยไม่สนใจ กับพวกโลกๆของเราไงครับ



    ณ บัดนี้ก็โม้มานานพอหอมปากหอมคอแล้วก็ขอจบไว้เพียงแค่นี้แหละครับ มันก็มีประโยชนไม่มากก็น้อย สำหรับคนที่ไม่รู้ และผู้ที่รู้แล้วก็จะได้รู้ยิ่งๆขึ้นไปครับ ดังที่ท่านเจ้าของกระทู้วิสัชนา มาฉนี้แล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2012
  7. นะมะนะอะ

    นะมะนะอะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +83
    อ่าน บทความ ท่าน บุญทรง
    แล้ว กระผม ... ยิ้มมุมปาก
     
  8. นะมะนะอะ

    นะมะนะอะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +83
    ตัวผมเอง ได้ข้าวสารที่กลายเป็นหิน ได้จากหลวงพ่อที่ จังหวัดนครสวรรค์ มาบ้างเล็กน้อย
    ซึ่งผมได้ไปดูที่วัดเขาทั้งลูกเป็นข้าวสารหินทั้งหมด หลวงพ่อท่านเคยส่งไปพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ได้ผลว่า หินนี้มีอายุ ไม่ต่ำกว่า 200ล้านปี งงเหมือนกันทำไมข้าวสารถึงมีในยุคนั้น ถ้าเป็นข้าวเปลือกจะไม่แปลกในเลย ถ้ามีกล้องดีๆจะถ่ายรูปข้าวสารหินมาให้ชมกันคับ
     
  9. kokojazz

    kokojazz Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2012
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +31
    ขอบคุณ จขกท.ครับ หาบทความดีๆมาอีกนะครับ

    เขียนด้วยภาษาเรียบง่าย อ่านแล้วสบายๆ ธรรมดาดีครับ

    อย่างนี้กำลังพอดี เดี๋ยวขึ้นไปกดอนุโมทนาครับ
     
  10. หมูน้ำยืน

    หมูน้ำยืน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +38
    ก็ว่าอยู่อ่านแล้วคุ้น ๆ เอามาจาก มิธแลนด์ นี่เอง ผมชอบอ่านนะหนุกดี
     
  11. phloiwang

    phloiwang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +244
    คนสันด..น หมายถึง ขุน ว. และ พระยา อ. ปราชญ์เมื่อหกสิบเจ็ดสิบปีที่แล้วเชื้อสายมหาอำนาจใหม่ที่กำลังประท้วงญี่ปุ่นตอนนี้ใช่หรือเปล่า จำได้พอเลาๆสมัยเข้าเรียนประถม 50 ปีที่แล้ว ประวัติศาสตร์ไทยน่าจะกล่าวถึงเมืองแสนหวี สิบสองปันนา เมืองเชียงรุ้ง แต่เดี๋ยวนี้เราเริ่มที่กรุงสุโขทัยเมื่อแปดร้อยเก้าร้อยปีมานี่เอง ต่างจากประวัติศาสตร์ลาวซึ่งร่วมเผ่าพันธุ์เดียวกับเรา ยังบ่งบอกแน่ชัดถึงบรรพกษัตริย์ของชาติพันธุ์ไตว่าคือขุนบรม ในแถบสิบสองปันนาเช่นกัน และยังระบุอีกว่าเพราะถูกมองโกล(เจงกีสข่าน?)รุกรานจึงถอยร่นลงมาทางใต้
     
  12. โค้กคลับ

    โค้กคลับ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +49
    ผมก็นึกว่าบรรพบุรุษไทยมาจากฟิลิปปินส์ซะอีก เข้าใจผิดตั้งนาน
     
  13. แสงอุ่น

    แสงอุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,036
    ผมเชื่อว่าโลกเรา เป็นบ้านของหลายอารยะ ที่ผ่านไปและผ่านมา นานแสนนาน จนปัจจุบัน
     
  14. phloiwang

    phloiwang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +244
    ผมได้ความรู้จากยูทูป กษัตริย์ไตแถวสิบสองปันนาเพิ่งถูกคอมฯจีนดองไว้ไม่ให้มีอำนาจ(กลืนชาตินั่นแหละ)สักหกสิบเจ็ดสิบปีที่แล้วและยังทรงมีพระชนม์อยู่ พิมพ์ "สิบสองปันนา" ในยูทูปก็มีให้ดูมากมาย เพิ่งรู้ว่ามีคนไทยเชื่อว่าชาวฟิลิปปินส์เป็นบรรพบุรุษไทยจากคุณนี่ละ แต่ถ้าพูดเรื่องรูปร่างหน้าตาแล้ว มีหลายคนลงความเห็นว่าคนไทยกับฟิลิปปินส์หน้าตาใกล้เคียงกันที่สุดในอาเซียน นี่ไม่นับพวกผสมฝรั่งหรือจีนหรืออื่นๆ แต่หมายถึงพวกพื้นเมืองแท้ๆ
     
  15. phloiwang

    phloiwang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2008
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +244
    ขอแก้ขุน ว. เป็น หลวง ว. ครับ
     
  16. โค้กคลับ

    โค้กคลับ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +49
    เคยอ่านผ่านๆจากที่ไหนสักแห่ง ก็เลยเคยคิดเลยเล่นว่าไทยเคยอยู่แถวนั้นแล้วอพยพขึ้นมาเรื่อย ๆ อ่ะ ก็แค่คิดเล่น ๆ ไม่ได้เชื่อ 100% นะ
     
  17. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428
    <iframe src="http://www.youtube.com/embed/C8i1lGUnQZg" allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" width="560"></iframe>[​IMG]
     
  18. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    --ก่อนอื่นขออ้างถึงคัมภีร์สันสกฤตเกี่ยวกับการสร้างยานบินทุกแบบ ใหญ่เท่าภูเขาก็มี "วิมานิก้า ศาสตรา" ระบุว่ายานพวกนี้มีจริงและสามารถสร้างเป็นแบบแปลนขึั้นมาได้
    --คนสมัยห้าพันปีก่อนมีร่างกายใหญ่ ยักษ์ มีพลังจิตสูงเท่ากับเทพ
    ---ทาง สถาบันวิจัยของจุฬา สอนว่า คนไทยมาจากแถวๆฟิลิปปืนส์ อินโดนีเซีย เริ่มที่อาณาจักร ทวาราวดี ศรีวิชัย คนไทย--กับฟิลิปปินส์ไม่มีความแตกต่างทางรูปร่างหน้าตา
    --ในขณะที่ ไทยดำ ไทยอาหม หรือชนชาติจ้วงในจีน มานั่งคุยกับเรา ก็คุยได้ทั้งวัน เพราะพูดเหนือเหมือนคนเชียงใหม่
    --ไม่ใช่ว่าทางสถาบันมหาวิทยาลัยจะไม่รู้ เราพราะเราขอค้นเอกสารบันทึกของจีนได้
    หรืออาจจะมีชาวไทย อยู่ที่แผ่นดินสยามอยู่แล้ว
    --ทำไม่นักวิชาการไม่ยอมสรุปซะที เซ็งเป็ด หรือรอเข้าทรงพ่อขุน..สอบถามก่อน
     

แชร์หน้านี้

Loading...