ของถามเรื่องนึงครับสงสัยมานาน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย dearhong, 21 กันยายน 2012.

  1. เอื้อมบุญ

    เอื้อมบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    385
    ค่าพลัง:
    +617
    ขออนุโมทนากับพี่ๆและทุกท่านที่อธิบายด้วยจ้า สาธุ..

    555 ฮิ้ว.......(||)(ยืมหน่อย..นะ)
    ว่าแล้วนั่งอ่านตอนเปิดกระทู้
    มาติดตามตอนต่อไปเหมือนดูเค้าวางไซไว้ดักปลา
    เหมือนจะถาม แต่จริงๆเค้าอยากจะบอกต่างหากจ้าา..

    แหม..ประเด็นนี้ไปเสริมกับบางกระทู้...ฮู้ๆๆได้เลยนะเนี่ย (y)
    ศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ที่ต้องทดลอง บางครั้งหัวข้อที่1ก้อจะตามด้วยข้อ1.1, 1.2, 1.3
    อเทวนิยมเป็นคำอธิบายลักษณะของพุทธศาสนา
    แต่เทวดาฯลฯเป็นหัวข้อย่อยเรื่องภพภูมิต่างๆในพุทธศาสนา
    ___________________________________________
    ส่วนที่เทอว่า "แต่การที่เราจะปฎิบัติธรรมหรือมีดวงตาเห็นธรรมมันเกี่ยวกับ พระเครื่อง เทพเทวดา ตรงไหนหรอครับ คือไม่เคยได้ยินเลยครับว่าพระเครื่องช่วยให้สําเร็จได้ หรือ ถ้าบูชาเทพเทวดาจะช่วยให้สําเร็จ"
    ____________________________________________

    อันนี้..มีเนื้อหายาว ขอยกสั้นๆอาทิเช่น

    พระเครื่อง = พุทธานุสติกรรมฐาน>>>ทางหนึ่งได้
    เทวดา = เทวตานุสติ>>>อีกทางหนึ่งได้

    ยกแค่สั้นๆคงไม่ใช่ศาสนาแห่งวิทยาศาสตร์อย่างที่ท่านเข้าใจ ที่เหลือคงต้องศึกษาวิจัยทดลองและประเมินผลเอาเองจ้า..

    ขออนุโมทนากับพี่ๆที่อธิบายน้องเค้าด้วยจ้า สาธุ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2012
  2. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    น้องพูดถูกว่า ตัวเองโง่ ก็โง่จริงๆนิหน่า เพราะผมไม่ได้บอกเลยว่า พระเครื่อง หรือ เทวดาจะช่วยให้สำเร็จ (นิพพาน) ผมย้ำตลอดว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องช่วยให้มีกำลังใจ ชั่วคราว ยามที่ท้อแท้ สิ้นหวัง

    เพราะ การสำเร็จ ซึ่ง พระนิพพาน มันไม่ได้แค่นึกเอา หรือ อ่านหนังสือจบ

    ก็ บรรลุเลย เหมือนเราวิ่ง มาราธอน เป็นร้อยๆกิโลเมตร เราวิ่งด้วยกำลังกาย

    กำลังใจของเรา (ก็เหมือนการ ปฏิบัติที่สู้สุดแรง) แต่ระหว่างระยะทางที่วิ่ง

    มันไกลมาก เราอาจจะหยิบน้ำมาดื่ม

    (มีคนส่งน้ำมาให้ หรือ ขอน้ำเค้ากิน ระหว่างวิ่ง ตามกติกา)

    น้ำที่เรากินนั้น ก็เหมือน พระเครื่อง เหมือนเทวดา) เรากินก็หายเหนื่อยชั่วขณะหนึ่ง แต่หน้าที่เราคือ วื่งต่อไปด้วยกำลังของเรา (นั้นคือการปฏิบัติ ธรรม)

    เพื่อเข้า เป้าหมาย คือ นิพพาน

    สรุป คือ ถ้าคุณมีแรงพอจะวิ่ง มาราธอนโดยไม่กินน้ำ หรือ ไม่พักเลย คุณทำได้

    ก็ถือว่า คุณเก่งมาก เรียกว่า เกิดมาก็ บรรลุธรรมได้เลย ไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใดๆ

    แต่การที่เรากินน้ำ หรือ หยุดพักบ้าง สุดท้ายเราก็ต้องวิ่งไปด้วยกำลังของเรา

    แต่ถ้าเป็น หลักของ เทวนิยม ที่อาศัย การวิงวอน เป็นหลักคือ กินน้ำนี้ แล้ว

    ถือว่าคุณจะเข้าเส้นชัยโดยไม่ต้องออกแรง(ไม่ต้อง ปฏิบัติ)

    คุณจะวาปไปหน้าเส้นชัยได้เลย ตามหลักศาสนาที่ นับถือพระเจ้า ที่ให้ พระเจ้า

    เป็นผู้ กำหนดโชตชะตาของเราเพียงคุณ เชื่อในพระองค์คุณก็ สำเร็จแล้ว

    ซึ่งไม่ใช้หลักของ พุทธะ ที่ต้อง ปฏิบัติด้วยตนเอง ถึงจะ สำเร็จ
     
  3. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    ส่วนเรื่อง อิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์ ผมว่าใครๆในที่นี้ก็อยากที่จะมีอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์เกือบทั้งนั้น ลองคิดดูซิถ้าจากคนธรรมดาๆอยู่ๆสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้และก็มีอิทธิฤทธิ์มากมาย ก็ก็จะทำให้เราดูเหมือนแตกต่างจากคนอื่นขึ้นมา คงมีผู้คนมากราบไหว้ ไม่ก็ขอความช่วยเหลือต่างๆ และก็ยังเป็นที่ยอมรับนับถือ
    ก็คงดูไม่ต่างอะไร อาจจะดูคล้ายๆกับคนธรรมดาคนหนึ่งอยู่ๆกลายเป็นมหาเศรษฐีขึ้นมา

    แต่อย่างน้อยมันก็ดูเป็นที่ปรารถนาต้องการของใครหลายๆคน ทั้งที่รู้ว่ามันมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา อาจะด้วยเหตุผลส่วนบุคคลหลากหลายอย่าง เช่น เพื่อให้ตนเองเหนือกว่าคนอื่น ต้องการเป็นที่ยอมรับ มีไว้ก็ยังดีกว่าไม่มี ถ้ามีก็สามารถที่จะยังประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นได้ ฯลฯ
    ยังไงผมว่ามันก็ขึ้นอยู่แต่ละคนครับ บางคนที่ยังมีความสนุกสนานเพลิดเพลินในภพ ก็อยากที่จะเป็นเศรษฐี อยากเป็นพระเจ้าจักพรรติ์ อยากจะมีอิทธิฤทธิ์อภิญญา แล้วก็เวียนว่ายตายเกิดวนไปวนมาสิ่งที่เคยมีเคยเป็นก็ลืมไปเสื่อมไป บางคนก็อาจจะเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาหลังจากเพลิดเพลินสนุกสนานมามากพอแล้ว ก็อยากจะเป็นพระอริยะ อย่างน้อยก็พระโสดาบัน บางคนก็อยากเป็นหมดทุกๆอย่างให้ครบ


    ยังไงก็ลองอ่านเพิ่มเติมต่อละกันไม่งั้นได้อธิบายยาว
     
  4. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    ก็ดีนะครับที่ตั้งกระทู้ถาม

    เพราะว่าสมัยนี้บางสิ่งบางอย่างเราก็อาจจะแยกออก บางสิ่งบางอย่างก็เหมือนจะดูแยกไม่ออก

    ถ้าจะอุปมา ก็คงเหมือนมีน้ำอยู่ในแก้วน้ำแต่มีเศษกรวดหินดินทรายอยู่ เราก็พอมองจะแยกออกได้มั้ง

    แต่ถ้าเป็น เกลือ หรือเป็น น้ำตาล ผสมอยู่ก็ยากที่จะแยกออกด้วยตา ดูผสมกลมเกลือนไปเสียหมด ต้องลองชิมหรือลิ้นสัมผัสนิดๆก่อนถึงจะรู้

    แต่ถ้าเป็นน้ำที่ใสแต่เต็มไปด้วยเชื้อโรคไวรัสแบคทีเรีย ต่อให้มอง ต่อให้ชิม ก็ไม่รู้ คงจะคิดว่าสามารถที่จะกินได้ดิ่มได้ กว่าจะรู้ก็คงต่อเมื่อกินน้ำเข้าไปแล้วเกิดอาการต่างๆขึ้นกับร่างกาย


    ก็ลองแยกแยะดูเองละกันครับ ใช้ชีวิตเป็นเครื่องพิสูจน์ดูเอา

     
  5. พระศุภกิจ ปภัสสโร

    พระศุภกิจ ปภัสสโร เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    2,015
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +11,166
    การสร้างพระมีหลักฐานที่มาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อน

    บุพพกรรมของมหาอุบาสิกาวิสาขา

    นางวิสาขานั้น ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปุทุมมุตตระ บังเกิดในเรือนสกุล กรุงหงสวดี
    กาลครั้ง หนึ่ง ตามพระบาลีว่า เมื่อนางวิสาขาไปฟังเทศน์ เขาบอกกล่าวกันบอกว่า มีพระเทศน์ที่วัดโน้นวัดนี้ นางวิสาขาได้ฟังกล่าวว่า มีพระท่านเทศน์จึงตั้งใจจะไปฟังเทศน์ แต่ในระหว่างทางปรากฏว่า นางวิสาขาไปพบพระพุทธรูปองค์หนึ่ง เขาสร้างไว้ในสถานที่โล่งแจ้ง คือตากแดด และก็พระพุทธรูปนั้นมีรอยร้าวเปลือกกระเทาะ ทองก็ร่อนไปหมด ปูนก็กระเทาะจนแหว่งแลดูไม่สวยสดงดงาม ไม่เจริญตา นางวิสาขาจึงเข้าไปกราบนมัสการพระพุทธรูป ตั้งใจเจริญใจเป็นพุทธบูชา กล่าวปฏิญาณว่า "เมื่อข้าพเจ้ากลับมาจากฟังพระธรรมเทศนาแล้ว จะให้ช่างมาทำนุบำรุงพระปฏิมากร รูปแทนพระองค์สมเด็จพระประทีปแก้วให้มีความสวยสดงดงาม"

    เมื่อนางไหว้ พระพุทธรูป นึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าแล้ว นางก็ไปฟังเทศน์ เมื่อเทศน์จบคนเขากลับ นางวิสาขาก็กลับ เมื่อกลับมาถึง ผ่านพระพุทธรูปนั้น ก็เข้าไปกราบอีก กล่าวคำปฏิญาณตามนั้น หลังจากนั้นแล้วนางวิสาขาเมื่อถึงบ้าน จึงได้สั่งให้นายช่างไปจัดการทำนุบำรุงพระพุทธปฏิมากร คือพระพุทธรูป ซ่อมแซมให้เรียบร้อย ให้ดีคงเดิม พอเสร็จแล้วก็ทาสีหรือว่าปิดทองเสร็จตามความนิยมในสมัยนั้น ตามพระบาลีไม่ได้บอกว่า เขาทาสีหรือปิดทอง ทำตามความนิยมที่เห็นว่าสวยสดงดงามเป็นที่เจริญตาเจริญใจ หลังจากนั้นนางวิสาขาจึงได้ให้นายช่างปลูกโรงทำหลังคาคลุมพระพุทธรูป ไม่ยอมให้ตากแดดตากฝนตามเดิม นี่แหละเป็นปัจจัยให้นางวิสาขาได้เบญจกัลยาณี คือ มีความงาม ๕ ประการ ทั้งนี้ก็เพราะว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรับรองเรื่องนี้ว่า การที่นางวิสาขาได้เบญจกัลยาณี คือ มีความดีถึง ๕ ประการของรูปโฉม ก็เพราะว่า นางวิสาขาทำนุบำรุงซ่อมแซมพระพุทธรูปที่เก่าคร่ำคร่า มีสภาพไม่ดีให้กลับมีความสวยสดงดงาม เพราะอานิสงส์ทำความงามให้แก่พระพุทธรูป อานิสงส์อันนี้จึงสร้างสรรค์ให้นางวิสาขาได้เบญจกัลยาณี
     
  6. dearhong

    dearhong Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +34


    ต้องขออภัยด้วยครับท่าน สรุปที่ท่านบอกคือพระเครื่องสําหรับท่านช่วยให้กําลังใจในการปฎิบัติธรรมได้ ถึงผมจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่าจะช่วยได้จริงหรือไม่ แต่ก็ขอบคุณท่านมากที่กรุณามาตอบนะครับ

    โปรดอย่าถือสาคนโง่เขลาอย่างผมเลยนะครับ ที่ผมถามเพราะอยากจะรู้สิ่งที่ได้ถามไปจริงๆมาพบเว็บนี้จึงคิดว่าน่าจะให้คําตอบผมได้บ้าง ก่อนที่เราจะเชื่อสิ่งใดก็ควรศึกษาพิจารณาสิ่งนั้นให้ดีเสียก่อนตามที่พุทธองค์สอนทรงสอนไม่ใช่หรือครับ ถ้าการตั้งคําถามของผมทําให้ท่านไม่พอใจหรือล่วงเกินอันใดก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ
     
  7. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +732
    - พระพุทธเจ้าห้ามหรือไม่ -- ไม่ครับ และพระพุทธเจ้าก็บอกว่าผู้ที่ทำลายพระพุทธรูปนั้นบาป

    - สมัยพระพุทธเจ้ามีหรือไม่ -- ไม่รู้ แต่พระไตรปิฎกก็ไม่มี ไม่เห็นใครให้เผาทำลายพระไตรปิฎก
    ก็ในเมื่อการดำรงพระธรรมคือการรวบรวมเป็นพระไตรปิฎกขึ้นมาให้คนได้อ่านได้ศึกษา แล้วทำไมพระพุทธจะสร้างเป็นพระพุทธรูปให้กราบไหว้บูชาไม่ได้

    - ที่บอกกันว่าหลุดพ้น จริงๆแล้วหมายถึงเหนือบุญเหนือบาปด้วยซ้ำ แปลว่าไม่ต้องทำบุญด้วยอย่างนั้นหรือ

    - การเคารพศรัทธาในศาสนา นำไปสู่ความเชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วถูกต้องแล้ว
    มีใครเกิดมาแล้วนั่งสมาธิบรรลุได้เองนอกจากพระพุทธเจ้า ดังนั้นก็ต้องเริ่มจากรู้จักศาสนาพุทธ รู้จักศาสดา รู้จักคำสอน รู้จักผู้ที่ปฏิบัติตามแล้วได้ผลจริง

    ยกตัวอย่าง เช่น เด็กรุ่นหลังไม่รู้จักร.1 การจะอธิบายก็ต้องมีรูปร.1 หรือมีรูปปั้น แต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานมา 2500 ปี รูปก็ไม่มี ช่างก็ปั้นตามจินตนาการ แม้ไม่เหมือนแต่เป็นที่รู้กันว่าถ้าปั้นลักษณะแบบนี้คือพระพุทธเจ้า

    จขกท.ลองย้อนกลับไปก็ได้ว่ารู้จักศาสนาได้อย่างไร เริ่มต้นเป็นอย่างไร หันมาสนใจศรัทธาได้อย่างไร

    เมื่อเกิดความศรัทธาแล้ว หันมาศึกษาพระธรรมคำสอนแล้ว แม้ไม่มีพระพุทธรูป แม้ไม่มีพระไตรปิฎก เราก็สามารถปฏิบัติตามได้ จะว่าไปก็เป็นลำดับขั้นตอน เหมือนพระไปธุดงค์ก็ไม่จำเป็นต้องแบกพระพุทธรูปหรือพระไตรปิฎกไป แต่เมื่อเจอพระพุทธรูปก็ยังแสดงความเคารพนั่นเพราะระลึกถึงพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เคารพดินหรือทองคำที่มาปั้นเป็นพระพุทธรูป

    - พระที่บรรลุแล้วต่างก็เคารพกราบไหว้พระพุทธรูป ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็คือธรรมอันเดียวกับพระอรหันต์ตรัสรู้นั่นแหละครับ เมื่อตรัสรู้แล้วแต่ยังไม่ปรินิพพานก็ยังต้องข้องเกี่ยวกับสมมติอยู่ ไม่ว่าจะเป็นภาษา เครื่องนุ่งห่ม อาหาร เหล่านี้ก็ล้วนสมมติ ถ้าบอกว่าเลยสมมติต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับสมมติแล้วจะให้พระอยู่ยังไง (แม้แต่พระเกษมที่บอกว่าไม่ยึดติดวัตถุจึงเผาทำลายพระพุทธรูป พอคนจะให้สึกกลับไม่ยอมสึก ยังจะอยู่ในผ้าเหลือง ทั้งที่จีวรก็เป็นสมมติอย่างหนึ่ง) ผมว่าคงต้องกลับไปทบทวนเรื่องคำว่ายึดติดกันเสียใหม่จะดีกว่า

    ปล. เคยเห็นก็แต่พวกอิสลามทำลายพระพุทธรูป มายุคนี้ชาวพุทธจะทำลายเสียเองเหรอครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2012
  8. dearhong

    dearhong Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +34


    ขอบคุณท่านมากครับ ผมตั้งกระทู้นี้เพราะความสงสัยจริงๆเป็นความสงสัยที่มีมานานแล้ว ไม่ใช่ผมคนเดียวนะครับที่สงสัยยังมีคนจํานวนมากที่สงสัยต้องการคําตอบ ถ้าผมเก็บความสงสัยไว้มันก้ไม่มีทางที่จะรู้ว่าสิ่งที่สงสัยนั้นแท้จริงแล้วมันเป็นจริงหรือไม่

    บางท่านอาจจะคิดว่าผมมาด้วยจุดประสงค์อะไรไม่ดีหรือเปล่า ผมเข้าใจครับว่าที่ผมถามบางทีอาจจะขัดใจบางท่านต้องขออภัยด้วยครับ ผมยอมรับว่าความรู้ด้านพุทธศาสนายังน้อยกว่าท่านทั้งหลายในเว็บนี้ จึงต้องตั้งคําถามขึ้นมาเพื่อให้คลายความสงสัย และถ้ามีคนสงสัยผมจะสามารถตอบพวกเค้าถึงสิ่งที่ผมเคยสงสัยได้ครับ
     
  9. dearhong

    dearhong Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +34


    ขอบคุณมากครับ จริงอย่างท่านว่าครับผมเองก้เริ่มมาจากลําดับขั้นตามที่ท่านบอก พอจะเข้าใจแล้วครับว่าทําไมถึงต้องมีพระพุทธรูป มันอาจจะผิดที่ความเข้าใจเจตนาของการสร้างพระพุทธรูปมิได้ไว้เพื่อขอโชคลาภ หรือ ไว้บนบาลศาลกล่าว แต่เพื่อให้เราระลึกถึงคําสอนของพุทธองค์และเป็นกําลังใจให้เราทําความดี ขอบคุณท่านมากๆครับ
     
  10. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    ที่ตอบไปให้ยาวๆๆนี้ คิดว่าผมโกรษหรอกหรืือ ก็พยายามช่วยอธิบายเต็มกำลัง

    ถ้าผมโกรษคงไม่มานั้งตอบ อธิบาย ยื้ดยาวหรอก

    สุดท้ายเหมือนที่หลายๆคนพยายามจะบอก คือ คุณต้อง ปฏิบัติด้วยตัวเอง

    อย่า เพียงแต่นั้งคิด ให้นั้งสมาธิ จับหลักใจความของ มหาสติปัฏฐาน4 แล้ว พิจรณาตาม

    แต่ที่ตนเองจะชอบ พิจรณาไปเรื่อยๆ แล้วก็จะรู้ได้ด้วยตัวเอง เริ่มปฏิบัติได้แล้ว

    อ่านในกระทู้ คุณไม่มีทางเข้าใจ ถ้ายังไม่เริ่มปฏิบัติ
     
  11. dearhong

    dearhong Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +34


    ขอบคุณท่านมากครับ อย่างที่บอกว่าเรื่องพุทธศาสนาความรู้ยังน้อยกว่าท่านทั้งหลายในเว็บนี้มาก ผมมาตั้งคําถามที่นี้เพื่อขอความรู้ล้วนๆครับยอมรับครับว่าโง่เขลาจริงๆส่วนเรื่อง
    พระเครื่อง = พุทธานุสติกรรมฐาน>>>ทางหนึ่งได้
    เทวดา = เทวตานุสติ>>>อีกทางหนึ่งได้

    เป็นเรื่องที่ผมอยากรู้เหมือนกัน ผมจะศึกษาหาข้อมูลเรื่องนี้จะได้รู้ว่าจริงหรือไม่ครับ ขอบคุณท่านมากครับ


     
  12. dearhong

    dearhong Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +34


    แฮะๆ จริงๆผมกลัวว่าสิ่งที่ผมถามจะทําโกรธน่ะครับ จริงๆเรื่องปฏิบัติผมยังไม่เริ่มเลยครับ ตอนนี้จิตใจยังไม่สงบแถมยังมีงานต้องรับผิดชอบเยอะพอควรครับ แต่ผมการสนทนาธรรมขอความรู้แบบนี้ผมชอบมากเลยครับ ยังไงก็ต้องขออภัยและขอบคุณท่านที่ได้มาให้ความรู้เรื่องนี้กับผมมากครับ
     
  13. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    อันที่จริงพระพุทธเจ้าก็มิได้ห้ามมิให้สร้างรูปเคารพดอก จะมีก็แต่ในศาสนาคริสต์ ยิว อิสลาม นั้นแล เพียงแต่พระพุทธเจ้าเน้นย้ำว่า เราควรจักต้องมองพระองค์ให้พ้นไปจากรูปนั้นแล เพราะที่ใดมีรูปลักษณ์ที่นั้นย่อมมีมายาภาพ มิพึ่งยึดถือสิ่งต่างๆๆด้วยรูป อันที่จริงเมื่อมองมาที่หลักใหญ่ใจความสำคัญ ของพุทธศาสนาก็จะพบว่าปฏิเสธแก่นสารของสิ่งทั้งปวงว่ามีอยู่จริง เช่นจิตนี้หาได้มีอยู่จริงไม่ เป็นเพียงผลสืบเนื่องของเหตุแลปัจจัยสืบต่อๆๆกันไป แต่เพราะความไม่รู้ผู้คนจึ่งไปยึดเอาว่ามีฉัน แลทำทุกๆๆอย่างเพื่อสนองความสุขของฉัน หรือปกป้องฉันจากความทุกข์ นี้แลคือรากเหง้าแห่งสังสารวัฏ ที่พระพุทธเจ้าวิเคราะห์ในรูปซีกทั้งสิบสอง ปฏิจจสมุปบาทนั้นแล ดังนั้นแต่โบราณมาจึ่งมินิยมสร้างรูปเคารพอย่างไรก็ตามเมื่อสร้างแล้ว ก็จะพบว่ามันมีทั้งจุดดีแลจุดเสียเช่นกัน จุดดีคงพอนึกออก จุดเสียคือความงมงายมองไม่เห็นสาระที่แท้ ก็ไปเข้าใจว่าพระพุทธรูปคือพระพุทธเจ้าทั้งๆๆๆที่ พระพุทธเจ้าย้ำเตือนว่าไม่พึงยึดเราด้วยรูป ดั้งนั้นเมื่อเรากราบพระพุทธรูป อันที่จริงเราไม่ได้กราบรูปนั้น แต่เรากราบสิ่งที่ไปพ้นจากรูปคือคุณความดีของพระพุทธองค์ รวมทั้งกราบธรรมชาติแห่งความดีงามในตัวเรา หรือพุทธะในตัวเราไปด้วย เป็นการศิโรราบความอหังการของเรา ว่าเรานั้นไม่มีพลังอำนาจใดๆๆเลยแม้แต่จะช่วยให้ตนเองพ้นจากบ่วงทุกข์ จึ่งต้องอาศัยพระธรรมที่พระพุทธองค์ชี้ทางไว้มันเป็นอุปายะนั้นเอง พระพุทธศาสนามิได้ปฏฺิเสธการมีอยู่ของเทวดา แต่ปฏิเสธความเชื่อที่ว่า เทวดามีอำนาจในการลิขิตบงการชีวิตเรา พระพุทธองค์เรียกความเชื่อทำนองนี้ว่า อิสสรนิทมานเหตุวาท จัดเป็นมิจฉาทิฏฐิ อันที่จริงพระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องเราจะพัฒนาตัวเราเองอย่างไร? และพระองค์ทรงเน้นย้ำว่า สำหรับผู้ซึ่งพัฒนาตัวเองจน หลุดออกไปจากบ่วงแห่งอวิชชา คนผู้นั้นแม้เป้นคนที่สังคมตราหน้าว่าเป็นคนต้อยต่ำ ก็สามารถกลายมาเป็นบุคคลผู้ซึ่งมนุษย์ เทพ มารหรือใครๆๆแม้แต่ตัวพระองค์เองสรรเสริญได้ทั้งนั้น เรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์ก็เช่นกันพระพุทธองค์เน้นย้ำว่า มีอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์เพียงหนึ่งเดียวคือการอยู่ที่นี่ตรงนี้ อย่างแท้จริง หรือการจุดไฟแห่งสติขึ้นมา เพราะมันเท่ากับว่าเราจุดเอาไฟแห่งชีวิต แห่งความดีงามทั้งปวงในทุกๆๆโลกธาตุขึ้นมาด้วย นี้แลคืออิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์ที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าเน้นย้ำ มันไม่ใช่การเดินบนน้ำ ดอกหลานเอ๋ย มันคือการเดินสัมผัสพื้นโลกอย่างเบิกบานในทุกๆๆก้าวให้ได้จริงๆๆต่างหาก หรือ กระทั้งการยิ้มอย่างเบิกบานได้ในทุกๆๆขณะ การตรัสรู้คืออะไร สัมมาทิฏฐิที่กอปรไปด้วยอำนาจแห่งสตินั้นแลคือการตรัสรู้ และถ้าเราปฏิบัติได้จริงๆๆตรงนี้ศีล สมาธิ ปัญญาก็จักบริบรูณ์ แล้วเราจะกลายมาเป็นกัลยาณมิตรผู้ซึ่งสามารถช่วยจุดเปลวไฟแบบเดียวกันนี้แก่คนอื่นๆๆที่กำลังหลับอยู่ได้ สิ่งนี้คือการสืบต่อดวงประทีป สืบต่อสายธรรม สืบต่อจิตสำนึก ซึ่งจักไม่มีวันสูญไป และ นี้แลอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์ที่แท้ล่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กันยายน 2012
  14. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +732
    ขอฝากต่ออีกนิด
    http://www.sammajivasil.net/BuddhaImage.htm
    พระพุทธรูป หมายถึง รูปที่สร้างขึ้นแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อกราบไหว้บูชา... โดยทั่วไป คำว่า พระพุทธรูปมักจะหมายถึง รูปขนาดใหญ่พอที่จะวางบูชาได้ สำหรับรูปขนาดเล็กมักจะเรียกว่า พระเครื่อง อย่างไรก็ตาม ทั้งสองแบบสามารถเรียกว่า พระพุทธรูป ได้เช่นกัน

    เพราะดูเหมือนจขกท.จะเข้าใจว่า พระเครื่อง คือ พวกเดียวกับเครื่องรางของขลัง

    จริงอยู่ว่ามีการนำไปบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล จนทำให้บางคนนำไปใช้ในความหมายเดียวกันกับเครื่องรางของขลังจนสุดท้ายสับสนปนเปแยกกันไม่ค่อยออก

    เอาเป็นว่าที่ผมเข้าใจคือพระพุทธเจ้าไม่สนับสนุนให้คนหลงงมงายกับเรื่องเครื่องรางของขลังหรือไสยศาสตร์ต่างๆ แต่ไม่ได้ห้ามการทำพระเครื่องที่มีจุดประสงค์ให้คนระลึกถึงพระรัตนตรัยอันจะนำไปสู่การยึดมั่นในศีลธรรมและคุณงามความดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2012
  15. dearhong

    dearhong Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +34


    ขอบคุณท่านมากครับ เพราะจุดเสียนี้ละครับมันจึงเป็นที่มาของคําถามที่ผมสงสัยแต่เหตุใดคนก็ยังเข้าใจเรื่องนี้ผิดกันจนคนรุ่นใหม่มองว่าเป็นเรื่องงมงาย
     
  16. dearhong

    dearhong Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +34


    นี้ก็อีกท่านนึง ต้องขอบคุณจริงๆครับสําหรับความรู้ที่ท่านตอบมา
     
  17. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ขอให้พิจารณาดูเถิดก็จักเข้าใจว่ามันมีรากฐานมาจากความไม่เข้าใจนั้นเอง คนที่สอนก็สอนอย่างหลับหูหลับตา คนที่เชื่อก็หลับหูหลับตา คนไม่เชื่อก็หลับหูหลับตา พ่อหนุ่ม เมื่อเรามองโลกในวันนี้ทุกมุมโลกมันก็ถูกกลืนไปด้วยกระแสแห่งบริโภคนิยม ของสังคมที่มุ่งแต่ผลสำเร็จแบบฉาบฉวยไม่สนใจวิธีการว่าจักผิดศีลธรรมอันใดหรือไม่ วัดวา(ส่วนมากที่ดีๆๆมันก็มี)มันก็สนใจแต่เรื่องผลประโยชน์ของตัววัดมากกว่าที่จะฝึกสมาชิกในสังคมให้พบความหมายของชีวิต ให้ได้รู้จักตนเอง ซึ่งก็อย่างที่รู้กันว่ามันก็ต้องมาทางไสย์เวทย์ มากกว่าทางคุณความดี ดังนั้นมันก็เสื่อมจริงไหมพ่อหนุ่ม มันก็เน้นไปที่การซ์้อขายสวรรค์ การสร้างวัตถุ เอ็งไปดูเถิดบางวัดมันทุบสถาปัตยกรรมโบราณ จิตรกรรมโบราณทิ้งเพราะสมภารจะเอาที่มาสร้างที่จอดรถ บางวัดมีหลายชั้นสูงกว่าอุโบสถเสียอีก เพื่อรับคนมาทำบุญ ไอ้ตัวสมภารเองมันหาได้เข้าใจคุณค่าของสิ่งเหล่านี้ไม่ มันมองไม่เห็นสุทรียภาพ แล้วจักเห้นความดี ความจริงได้อย่างไร แลมันจักสอนอะไรคนรุ่นหลังได้เล่า เด็กมันเห็นมันก็เลยพูดว่า งมงายเพราะโลกมันพัฒนาไปไกลแล้วเอ็งจะมาทำอะไรลอยๆๆพิสูตรไม่ได้จริง เด็กมันก็หาว่าบ้า มันเข้าใจว่าหน้าที่ของชาวพุทธคือเช้าใส่บาตร ไปวัดทำบุญ ถือศีลห้าเป็นครั้งคราว มีแค่นั้นเด็กมันก็หลงนึกไปว่ามันรู้แล้วมันฟังเบื่อแล้ว มันก็ไม่สนใจ แต่ลองเรายกเรื่องคุณความดีจริงๆๆ สาระแท้ๆๆทางพุทธธรรมมาสอนมากกว่ามุ่งหาเงินสิ แล้วทำให้มันร่วมสมัย เรียนรู้ที่จะประยุกต์ใช้อธิบายการดำเนินไปของโลก เด็กมันก็ต้องสนใจมันพิสูตรได้ปฏิบัติแล้วรู้เลย มันเป็นเรื่องที่ทุกคนพบเจอทุกยุคทุกสมัยเรื่องความทุกข์นี่ เรื่องที่เข้าไปข้างใน เข้าไปตามหาแก่นสาร สาระของการมีชีวิตตอยู่นี่ มันไม่มีวันล้าสมัยดอก เพราะเมื่อเกิดมาเราทุกคนก็เหมือนมนุษย์ต่างดาวที่ อยู่ๆๆก็หลุดมายังที่ที่เราไม่รู้จักนั้นแล เราจึ่งมักถามกับว่าฉันคือใคร? ฉันมาทำอะไรที่นี่ และ อะไรคือสิ่งที่ฉันเป็นอยู่ อะไรคือสาระของชีวิตฉัน นั้นแล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กันยายน 2012
  18. dearhong

    dearhong Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +34


    ขอบคุณมากๆครับ คําตอบของท่านและอีกหลายๆท่านช่วยให้คนโง่เขลาแบบผมได้พอที่จะเข้าใจแล้วครับ แต่ตอนนี้สิ่งที่เราเห็นกันคือ
    พระเดินห้าง
    เดินคลองถม
    ซื้อหนังโป๊
    ดูดบุหรี่
    กินKFC
    เสพเมถุน
    สักยันต์
    ให้หวย
    ฉันท์ยามวิกาล
    จนมีข่าวออกมาเยอะมากๆ แล้วยังมี
    หมอดู
    หมอเดา
    เข้าทรง
    รับแก้กรรม
    ดูกรรม
    สแกนกรรม
    ตัดกรรม

    มากมายในสังคมเราตอนนี้แล้วจะให้พวกเด็กรุ่นใหม่คิดยังไงละครับ ทําให้ผมต้องหันกลับมายึดหลักธรรมคําสอนของพุทธองค์เป็นหลักแล้วค่อยๆศึกษาต่อไปทีละขั้นๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2012
  19. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    จงมองดู และพิจรณา เป็น บุุคคลๆไปว่า พระ รูปไหนควรค่าแก้การยกมือไหว้

    บ้างที พฤติกรรมคล้ายๆกัน อาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เราคิด

    เช่น พระสูบบุหรี พระเคี้ยวหมาก (2 พฤติกรรมนี้ เรียกได้ว่าเหมือนกัน)

    อันนี้ น้องต้องศึกษาในเวปนี้อีกเยอะ เพราะมีคำตอบที่ดีมาก

    มาย หลวงปู่แหวน หลวงปู่ดู่ หลวงตามหาบัวก็เคยตอบเรื่อง นี้มาเยอะ

    พี่ยังไม่ตอบในตอนนี้ เพราะเราคงจะยิ่งเพิ่มความ งง สงสัยต่อไป

    เอาเป็นว่า ศึกษาต่อไป เดี่ยวก็ได้เรื่องเอง

    ส่วน พฤติกรรม ที่ส่อความ อุบาท ทางสายตา (ชาวโลกติเตียน) น้องก็พิจรณา

    ไปเถอะว่า กรรมใคร ก็กรรมมัน ติเตียนไป ตำหนิไป ก็ล้วนแต่สร้างกรรม

    สร้างเวรให้แก้กัน บางครั้งปล่อยวาง บางครั้งจะไม่ปล่อยวาง ก็ดูสถาณการณ์

    เอาเอง พระหลายๆรูป ก็เป็นเพียง คนหัวโล้นใส่ผ้าเหลือง ที่เค้ารู้ตัวดีว่า

    เค้าสร้างกรรมหนักของเค้า เราอย่าไปเกี่ยวข้องด้วยยิ่งดี

    เล่นกับขี้ บางครั้งต้อง เลอะขี้ แต่ถ้าไม่กลัวเลอะ ก็เล่นไปเถอะ

    เพราะบางครั้งคนที่เราตำหนิ มันอาจจะไม่ใช้ พระไปแล้ว แต่เพียงแต่งเครื่อง

    กายให้เหมือน พระ

    ยิ่งเจอพวก อาบัติ ปาราชิก ที่มันขาดจากการเป็นพระ ทั้งๆที่ใส่ห่มผ้าเหลือง


    ปาราชิก โทษประหารชีวิต ของพระภิกษุ

    ภิกษุล่วงอาบัติปาราชิกเพียงข้อใดข้อหนึ่งแล้ว ย่อมไม่สามารถอยู่กับภิกษุทั้งหลายเหมือนก่อนได้อีก เป็นปาราชิกหาสังวาสมิได้ แม้จะอุปสมบทอีก ก็ไม่เป็นภิกษุโดยชอบด้วยพระวินัยตลอดชาติ อาบัติในสิกขาบทนี้ จึงเป็น อเตกิจฉา คือแก้ไขไม่ได้ เป็น อนวเสสา คือหาส่วนเหลือมิได้ เป็น มูลเฉท คือตัดรากเหง้า ภิกษุจะล่วงมิได้เลยเด็ดขาด

    สิกขาบทที่๑ ภิกษุใด ถึงพร้อมซึ่งสิกขาและสาชีพของภิกษุทั้งหลาย แล้วไม่บอกคืนสิกขา ไม่ทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้ง เสพเมถุนธรรม โดยที่สุดแม้ในสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้
    สิกขาบทที่ ๒ ภิกษุใด ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ เป็นส่วนแห่งโจรกรรม จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี ในเพราะถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานใด ภิกษุถือเอาทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้เห็นปานนั้น แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้
    สิกขาบทที่ ๓ ภิกษุใด จงใจพรากกายมนุษย์จากชีวิต หรือแสวงหาศัสตราอันจะปลิดชีวิต ให้แก่กายมนุษย์นั้น หรือพรรณนาคุณแห่งความตาย หรือชักชวนเพื่ออันตาย โดยหลายนัย แม้ภิกษุนี้ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้
    สิกขาบทที่ ๔ ภิกษุใด ไม่รู้เฉพาะ [คือไม่รู้จริง] กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้ามาในตน อันผู้ใดผู้หนึ่งถือเอาตามก็ตาม ไม่ถือเอาตามก็ตาม [คือเชื่อก็ตาม ไม่เชื่อก็ตาม ถูกซักถามก็ตาม ไม่ถูกซักถามก็ตาม] เป็นอันต้องอาบัติแล้ว แม้ภิกษุนี้ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้ เว้นไว้แต่สำคัญว่าได้บรรลุ

    โดยเฉพาะ สิกขาบทที่2 เกี่ยวกับการถือครองของผู้ที่เจ้าของไม่ได้ให้

    ข้อนี้ โหดมาก มากที่สุดที่ต้องระวัง คือการหยิบยกของ ทรัพย์ที่มีเจ้าของ

    แม้นแต่เพียง 1 บาท ก็ ถือว่า ปาราชิก นะครับ


    ฉนั้นจงพิจรณาดูว่า ภิกษุใดความ เคารพ กราบไหว้ เป็นสงฆ์ที่ควรบูชา

    เป็น สงฆ์ที่ควรไหว้
     
  20. เอื้อมบุญ

    เอื้อมบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    385
    ค่าพลัง:
    +617
    ขออนุญาติแนะ..ไม่สอนเพราะเคยมีปัญหาเหมือนกันจ้า^^"

    ทุกท่านที่ตอบเพื่ออยากจะช่วยกันอธิบายคุณจขกท.จริงๆ
    "อย่าไปว่าตัวเองโง่มากมายเลย..เพียงไม่รู้ถึงถามเท่านั้นเอง"
    ไม่ใช่ตั้งคำถามเอาปริญญาหรือชิงเงินรางวัลซะหน่อย
    คนไม่รู้จะบอกว่าโง่อย่างเดียวได้ไง? ไม่รู้ถึงถามเรียกไฝ่รู้(y)
    ___________________________________________

    เพราะเห็นว่าจะเริ่มปฎิบัติ..เราขอตั้งจิตอนุโมทนาในบุญกุศล..ถ้าเป็นไปได้ให้ "เริ่มวางอารมณ์ใจใหม่เลยจะดีกว่ามั้ย?"

    พระเดินห้าง เดินคลองถม ซื้อหนังโป๊ ดูดบุหรี่ กินKFC เสพเมถุน ฯลฯ
    เห็นแล้วใครขุ่นมัวล่ะ?.."แหมเห็นแล้วมันน่าโมโหสุดๆ...."
    คนทำขุ่น?? หรือใครขุ่นข้องหมองใจ??
    ใครจะปฎิบัติ?? เราจะเริ่มปฎิบัติต้องไม่เห็นสิ่งเหล่านี้งั้นเหรอ??
    ไม่ขออธิบาย..เพราะสิ่งที่ได้เกิดกับผู้ระลึกรู้เอง พิจารณาเองจะเลือกรับหรือต้องการอะไรจากสิ่งที่เห็นและนำเสนออยู่..

    คนดี ไม่ดี เลว มีอยู่ทั่วทุกมุมโลกเราจะไปแก้ระบบรื้อกรรมแต่ละคนหรือ?
    (เรื่องวินัยนั้นผิดคือเขาผิดแจ้งได้ก้อแจ้งไปช่วยกันดูแลประคับประคองไป)

    มองออกไปสิ่งที่"ชอบใจ"มีน้อยกว่าสิ่ง"ที่ไม่ชอบใจ"มาก
    สิ่งมัวหมองมีมากมายในโลกใบนี้อย่ามองแค่จุดเดียว
    อย่ามัวแต่เพ่งโทษผู้อื่น...โดยยังไม่ได้เริ่ม
    อย่าให้ความเลวคนอื่น..มาปิดกั้นความดีตนเอง

     

แชร์หน้านี้

Loading...